ฉบับที่ 215 เด็ก...ที่มีพ่อแก่

หลายคนมีสัญชาติญาณต้องการมีลูกด้วยสาเหตุนานับประการ ซึ่งผู้เขียนไม่ขอกล่าวในที่นี้ แต่ขอเล่าเพียงว่า โดยส่วนตัวแล้วเมื่อครั้งมีลูกใหม่ๆ นั้นสิ่งที่ประจักษ์แน่คือ รักแม่มากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะการเลี้ยงเด็กอ่อนแต่ละคนจนโตนั้น พ่อแม่ที่มีความรับผิดชอบมักรู้สึกทั้งเหนื่อยกายและเหนื่อยใจ จนทำให้เข้าใจได้ว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งชื่อพระราชบุตรว่า ราหุล ซึ่งแปลว่า บ่วง ที่ทำให้เราต้องเป็นห่วงประจำ         อย่างไรก็ดียังมีประเด็นที่น่าเป็นห่วงมากขึ้นในปัจจุบันนี้ สำหรับพ่อแม่ที่ไม่คิดมีลูกกวนตัว เพราะสนุกกับงาน สนุกกับรูปแบบชีวิตที่หวือหวา สนุกกับเทคโนโลยีที่อำนวยความสนุก จนวันหนึ่งหลังจากอายุล่วงเลยเข้าสู่วัยแห่งความโรยรา จึงคิดได้ว่า ควรมีลูกเสียที ไม่ว่าจะโดยวิธีธรรมชาติหรือใช้ความสามารถของวิทยาศาสตร์การแพทย์ช่วย ซึ่งถ้าลูกมีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง โตขึ้นเรียนหนังสือจบ ทำมาหาเลี้ยงตนเองได้ แล้วสุดท้ายกลับมาดูแลพ่อแม่เมื่อแก่ เรื่องราวก็จบลงอย่างสุขสมบูรณ์ แต่ถ้าเคราะห์ร้ายได้ลูกที่ไม่ปรกติ ทุกอย่างไม่เป็นตามที่หวัง ความทุกข์ย่อมมาเยือนสำหรับผู้หญิงเป็นที่รู้กันว่า ถ้ามีอายุมากเกิน 35 ปี เมื่อตั้งท้องแล้วจำเป็นต้องตรวจเซลล์ในถุงน้ำคร่ำว่า มีโครโมโซมผิดปรกติหรือไม่ เพื่อยืนยันว่าเด็กในท้องนั้นมีความปรกติอย่างที่ควรเป็น เพราะไข่ในรังไข่ของผู้หญิงที่อายุเกิน 35 ปีนั้นถือว่าเป็น ไข่ที่เก่าแล้ว (เนื่องจากไข่ทั้งหมดนั้นถูกสร้างไว้ในรังไข่ของเด็กหญิงตั้งแต่ราว 3 เดือนก่อนออกจากท้องแม่ จากนั้นไข่จึงถูกพัฒนาให้สุกพร้อมผสมกับอสุจิเมื่อโตเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์มีฮอร์โมนเพศหญิงต่าง ๆ มาจัดการ) อาจมีการกลายพันธุ์ เนื่องจากในช่วงเวลาที่ไข่ถูกเก็บไว้ในรังไข่นั้น ไข่มีโอกาสสัมผัสสารพิษที่เข้าสู่ร่างกายผู้เป็นแม่ หรือแม่รับการแผ่รังสีที่ทะลุทะลวงถึงเซลล์ไข่แล้วทำให้เกิดความผิดปรกติที่โครโมโซมของไข่ ดังนั้นโอกาสที่เด็กซึ่งเกิดจากแม่มีอายุเลยวัยกลางคนแล้วจึงมีโอกาสผิดปรกติเช่น ดาว์นซินโดรม สูงกว่าเด็กที่มีแม่อายุประมาณ 20 ปีสำหรับผู้ชายในตำราสรีรวิทยาที่ผู้เขียนเคยเรียนมาบอกเป็นทำนองว่า อสุจิของพ่อนั้นสร้างใหม่ทุกครั้งที่ต้องใช้(freshly prepare) แบบวันต่อวัน ผู้เขียนจึงสรุปเองว่า อสุจินั้นไม่น่าเป็นสินค้าค้างสต็อกนาน เหล่าชายชาตรีทั้งหลายจึงร่าเริงคิดเข้าข้างตนเองว่า มีลูกเมื่อใดก็ได้ ตราบใดที่ใจยังสู้ชูสองนิ้วอยู่ ดังนั้นผู้ชายหลายคนที่เมื่อภรรยาคนแรกปิดโรงงานไม่ยอมมีลูกเพราะอายุมากแล้วนั้น เขาต่างหาเหตุเปิดโรงงานใหม่เพื่อให้ได้มีลูกเพิ่มขึ้นมาโดยไม่มีความรู้ว่า ในส่วนหนึ่งของอัณฑะที่เรียกว่า หลอดสร้างอสุจิหรือ seminiferous tubule นั้นมีเซลล์ที่เรียกว่า สเปอร์มาโทโกเนียม (spermatogonium) ซึ่งจะมีฮอร์โมนมาช่วยพัฒนาให้กลายเป็นอสุจิตามความต้องการของร่างกาย ดังนั้นเซลล์ดังกล่าวนี้จึงมีอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนวันหนึ่งที่ชายสูงวัยแล้วแต่ยังต้องการสร้างตัวอสุจิก็จำเป็นต้องใช้เซลล์ที่เก่าเก็บมานาน ซึ่งอาจสัมผัสสารพิษที่เข้าสู่ร่างกายตลอดเวลาของการมีชีวิตหรือรับการแผ่รังสีจากแหล่งต่าง ๆ (เช่นเดียวกับไข่ในรังไข่ผู้หญิง) จนกลายพันธุ์ไปส่งผลให้ตัวอสุจิที่ได้ไม่สูมบูรณ์ดังที่ควรเป็น        บทความเรื่อง Association of paternal age with perinatal outcomes between 2007 and 2016 in the United States: population based cohort study (doi: 10.1136/bmj.k4372) ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารออนไลน์ BMJ 2018;363:k4372 ในเดือนตุลาคม 2018 ได้ศึกษาและอภิปรายผลเหมือนเป็นการยืนยันว่า สมมุติฐานของความไม่สมบูรณ์เนื่องจากอสุจิของชายสูงวัยแล้วทำให้ได้ลูกที่ไม่สมบูรณ์นั้นเป็นจริง รวมถึงแม่ซึ่งแม้ยังสาวอยู่แต่ได้ตั้งท้องกับชายสูงวัยก็อาจมีลูกที่สุขภาพที่ไม่ปรกติงานวิจัยดังกล่าวศึกษาในเด็กอเมริกันเกิดใหม่ในช่วงปี 2007-2016 กว่า 40 ล้านคน โดยแบ่งกลุ่มพ่อของเด็กเหล่านี้ออกได้เป็น 5 กลุ่มอายุ คือ อายุน้อยกว่า 25 ปี 25-34, 35-44, 45-54 ปีและอายุมากกว่า 55 ปี ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ผู้ชายมีความจำกัดของอายุในการมีลูก โดยเด็กที่มีพ่อสูงวัย (เกิน 45 ปี) มักคลอดก่อนกำหนดพร้อมน้ำหนักแรกคลอดต่ำกว่าเกณฑ์ และมีสุขภาพไม่ค่อยดีเช่น ระบบหายใจไม่ปรกติจึงทำให้มีค่า APGAR score ที่ต่ำ        APGAR score คือ ตัวเลขที่ได้จากการประเมินสภาวะเด็กทารกแรกเกิดใน 1 นาทีแรก ต่อด้วย 5 นาที และ 10 นาที หลังคลอด เป็นการประเมินภาวะการหายใจในทารกประกอบด้วย ลักษณะสีผิว อัตราการเต้นของหัวใจ สีหน้าจากการกระตุ้น การเคลื่อนไหวของทารก และความพยายามในการหายใจ ซึ่งมีค่าคะแนนเต็ม 10 คะแนน ทารกปกติต้องมีคะแนน 7 คะแนนขึ้นไป (ข้อมูลนี้อากู๋บอก)         นอกจากนี้ยังมีอาการผีซ้ำกรรมซัดให้สตรีที่ท้องกับสามีที่มีอายุเกิน 45 ปี ต้องเสี่ยงต่อโอกาสเป็นเบาหวานขณะตั้งท้อง (gestational diabetes ซึ่งส่งผลให้มีความดันโลหิตสูง วิตกกังวล และมักจำต้องทำการผ่าท้องคลอด) เนื่องจากรกที่เชื่อมระหว่างลูกและแม่ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน human placental lactogen แล้วปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดของแม่จนอาจก่อให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน เพื่อเพิ่มการใช้พลังงานจากไขมันแล้วสงวนน้ำตาลในเลือดส่งไปให้ทารกในครรภ์ สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ เด็กที่เกิดจากแม่ที่มีอาการเบาหวานขณะตั้งท้องแล้วไม่ได้รับการแก้ปัญหาให้เหมาะสมนั้น มักมีน้ำหนักมากผิดปรกติ มีน้ำตาลในเลือดต่ำและเป็นดีซ่าน        ประเด็นสำคัญที่ทำให้จำเป็นต้องมีงานวิจัยเกี่ยวกับผลจากการมีลูกเมื่ออายุมากของพ่อแม่นั้น เป็นเพราะประชาชนทั้งหญิงและชายของสหรัฐอเมริกาขณะนี้ จำเป็นต้องมีลูกเมื่ออายุสูงกว่าเดิมแล้วทั้งนั้น ในกรณีของผู้หญิงดังที่กล่าวในตอนต้นแล้วว่า รู้กันมานานว่าอายุที่จะมีลูกนั้นไม่ใช่แค่ตัวเลขที่ไม่สนใจไม่ได้ ผู้เขียนเคยอ่านพบคำแนะนำในวารสารวิชาการเรื่องหนึ่งกล่าวว่า อายุเหมาะที่สุดในการมีลูกสำหรับผู้หญิงคือ ช่วง 20 ปีต้นๆ ซึ่งในความเป็นจริงมักทำไม่ได้เพราะยังเรียนไม่จบปริญญาตรี ยังไม่มีงานที่มั่นคงถาวรจึงมีการเสนอว่า อายุประมาณ 27 ปี ดูเหมาะสมที่สุด ส่วนผู้ชายนั้นแต่เดิมไม่เคยกังวลเรื่องอายุ จึงมักทำหยิ่งไม่รีบมีลูก แต่เมื่องานวิจัยออกมาดังกล่าวข้าง งานก็เข้าซิครับท่านผู้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของชาย-หญิงอเมริกันจำนวนหนึ่งระบุว่า เขาเหล่านี้มักมีหนี้ที่กว่าจะชำระหมดก็เป็นช่วงวัยกลางคนตอนปลายๆ หนี้เหล่านี้ ได้แก่ เงินยืมเพื่อการศึกษา(ทำนองเดียวกับ กยศ.) เงินกู้เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ เงินกู้เพื่อซื้อรถยนต์ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เช่น มือถือ ตลอดจนถึงสร้อยคอ เท่าที่แหล่งเงินกู้ยอมให้ยืม เนื่องจากคนอเมริกันไม่เคยเรียนรู้คำว่า พอเพียง จึงทำให้เป็นหนี้ยาวจนต้องรอถึงช่วงสูงวัยปลอดหนี้จึงคิดถึงการมีลูกเสียที ประเด็นนี้ดูจะคล้ายคนบางอาชีพในประเทศ กูมี ที่มักนิยมเป็นหนี้สหกรณ์เพื่อซื้อของที่อยากได้ให้มีเหมือนคนอื่นเขา ในลักษณะรสนิยมสูงเกินรายได้ จนมีการตั้งกลุ่มประกาศขอชักดาบเงินกู้ต่างๆ ทำให้สังคมที่ได้ยินข่าวนี้พากันสรรเสริญในความเลวที่ตั้งท่าจะกระทำบทเรียนที่อาจถอดออกมาได้จากงานวิจัยเกี่ยวกับการที่เด็กมีพ่อสูงวัยในสหรัฐอเมริกาอาจมีปัญหาด้านสุขภาพนั้น สามารถนำมาประยุกต์กับคนไทยเพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะปรากฏว่า อัตราการเกิดของคนในพื้นที่อาณาเขตประเทศไทยนั้นต่ำลงมาก โดยเฉพาะในคนที่มีการศึกษาดีที่มองอนาคตของลูกที่จะเกิดมาไม่ออก จนเมื่อใกล้หมดวัยเจริญพันธุ์แล้ว (แค่) บางคน (ซึ่งเป็นส่วนน้อย) ที่มองเห็นทางออกว่า ลูกที่อาจมีจะทำมาหากินอะไร จึงกระตืนรือล้นอยากมีลูก ส่วนที่เหลือไม่หวังมีลูกก็ได้แต่ก้มหน้ารอรับกรรมเมื่อแก่ต่อไปเพราะคงไม่มีลูกมาดูแล

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 195 ควรแนะนำให้สตรีมีครรภ์กินปลาเพื่อได้ลูกที่มีสติปัญญาตามที่ควรเป็นหรือไม่

สาเหตุหนึ่งที่หลายคนเลี่ยงการกินปลาคือ ปลานั้นต้องอยู่ในน้ำตลอดเวลาและน้ำเป็นแหล่งธรรมชาติที่มักมีสารพิษปนเปื้อน มากบ้างน้อยบ้างขึ้นกับความมักง่ายของคนในพื้นที่ที่ปลาถูกจับ จึงมีคำถามว่า แล้วอย่างนี้ควรแนะนำให้สตรีมีครรภ์กินปลาเพื่อได้ลูกที่มีสติปัญญาตามที่ควรเป็นหรือไม่การศึกษาทางระบาดวิทยาเกี่ยวกับผลของการกินปลาต่อการพัฒนาของระบบประสาทเด็กในท้องแม่นั้นมีมานาน เช่น การศึกษาในชุมชนบนเกาะซีเซลล์ (Seychelles) ซึ่งอยู่นอกฝั่งอัฟริกาด้านตะวันออกในมหาสมุทรอินเดีย(เมื่อปี 1998 และ 2003) และการศึกษาในชุมชนบนหมู่เกาะฟาโร (Faroe Islands) ในมหาสมุทรแอตแลนติกซึ่งอยู่ในอาณัติของเดนมาร์ค (เมื่อปี 1997) แสดงให้เห็นว่า DHA (Docosahexaenoic acid) ซึ่งเป็นหนึ่งในกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโอเมกา 3 ที่สำคัญต่อการพัฒนาระบบประสาทในสมองส่วนสีเทา (grey matter) และผนังของลูกตาในช่วงสามเดือนสุดท้ายของการท้องต่อเนื่องถึง 2 ปีแรกหลังคลอดของเด็ก และที่น่าสนใจเมื่อพบว่า แม่ที่กินปลาเป็นประจำระหว่างท้องได้ลูกมีพฤติกรรมที่ดี ผลการเรียนดี สายตาดี ความจำดี สามารถเรียนรู้และเข้าใจในการเรียนภาษาได้ดีตั้งแต่เด็ก ในทางระบาดวิทยาได้พบหลักฐานว่า การกินกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโอเมกา-3 จากปลาหรือน้ำมันปลานั้นลดความเสี่ยงต่อการตาย เนื่องจากโรคเกี่ยวกับเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจ (Coronary heart diseases) โดยมีข้อสรุปจากการศึกษาว่า การกินน้ำมันปลา 250-500 มิลลิกรัมของกรดไขมันชนิด EPA (Eicosapentaenoic) รวมกับ DHA ต่อวัน ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเกี่ยวกับเส้นเลือดหัวใจร้อยละ 36 อย่างไรก็ดีการกินมากขึ้นกว่านี้กลับไม่ช่วยให้ความเสี่ยงต่ำลงไปอีก ซึ่งแสดงว่า ประโยชน์จากการกินน้ำมันปลาต่อการป้องกันโรคหัวใจนั้นไม่ได้แปรผันโดยตรง ดังนั้นผู้สนใจกินน้ำมันปลาจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนด้วยเหตุที่การกินปลาเป็นเรื่องสำคัญของชาวโลกโดยเฉพาะในสตรีมีครรภ์ องค์การอาหารและเกษตรร่วมกับองค์การอนามัยโลก ซึ่งต่างก็สังกัดองค์การสหประชาชาติจึงได้ร่วมทำงาน(Joint Expert Consultation) อีกครั้งในเรื่องเกี่ยวกับ ความเสี่ยงและประโยชน์(Risks and Benefits) ของการกินปลา เมื่อวันที่ 25-29 มกราคม 2010 ที่สำนักงานใหญ่ขององค์การอาหารและเกษตร ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ประเด็นหลักของการประชุมคือ แม้ว่าปลาหลายชนิดอุดมด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโอเมกา 3 ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ แต่ปลาก็เป็นแหล่งของสารพิษที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมที่ปลาอาศัยอยู่เช่น เม็ททิลเมอร์คิวรีและไดออกซิน ดังนั้นการชั่งน้ำหนักถึงความเสี่ยงในการได้รับสารพิษต่อประโยชน์จากการกินปลาจึงเป็นเรื่องสำคัญในการถกความรู้ของผู้เชี่ยวชาญ 17 คน ถึงความเสี่ยงภัยและประโยชน์ที่ได้จากการกินปลานั้น เป็นการพูดคุยกันในกรอบความรู้ด้านโภชนาการ พิษวิทยา ระบาดวิทยา และการประเมินความเสี่ยง/ประโยชน์ในการกินปลา ซึ่งสุดท้ายได้มีรายงานการประชุมชื่อ Report of the Joint Fao/Who Expert Consultation On The Risks And Benefits Of Fish Consumption ออกมาให้เราได้อ่านงานหลักของผู้เชี่ยวชาญครั้งนี้คือ การทบทวนข้อมูลของระดับสารอาหารและสารปนเปื้อนบางชนิดคือ เม็ททิลเมอร์คิวรีและไดออกซิน ซึ่งปนเปื้อนในปลาหลากหลายสายพันธุ์ ตลอดจนข้อมูลอื่นๆ ที่สำคัญ เพื่อใช้ในการพิจารณาประเมินถึงความเสี่ยงอันตรายจากสารพิษต่อประโยชน์ที่ได้จากน้ำมันปลามีการตั้งความหวังว่า ผลที่ได้จากการประชุมนั้น ควรถูกประเทศสมาชิกของสหประชาชาตินำไปใช้เป็นข้อแนะนำในการปฏิบัติงานเพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ในการกินปลาของประชาชน โดยในรายงานฉบับนี้กำหนดให้ “ปลา” หมายถึง ปลาที่มีครีบและสัตว์น้ำที่มีเปลือก ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ทะเลหรือน้ำจืด ทั้งที่เลี้ยงในฟาร์มและอยู่ในธรรมชาติหลังการประชุมเสร็จผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องกันว่า ควรมีขั้นตอนการประเมินความเสี่ยงต่อประโยชน์ที่ได้จากการกินปลาของแต่ละประเทศสมาชิกที่เข้าร่วมประชุมอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อใช้ในการทำความเข้าใจกับประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภค ดังนั้นสิ่งที่ได้ออกมาจากการประชุมคือ ขอบข่ายงาน (Framework) ของการประเมินผลสุดท้ายที่ได้จากการกินอาหารปลา ทั้งด้านประโยชน์และโทษเพื่อเป็นเกณฑ์ให้หน่วยงานด้านความปลอดภัยทางอาหารระดับชาติของแต่ละประเทศและองค์กรที่กำหนดมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ เช่น Codex Alimentarius Commission ใช้ในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงในการบริโภคปลาสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญสรุปได้คือ การกินปลา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการกินของแต่ละชุมชนนั้นเป็นประโยชน์ เพราะปลาเป็นแหล่งของ โปรตีน พลังงาน และสารอาหารต่างๆ ซึ่งรวมถึง กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโอเมกา-3 และที่สำคัญคือ การกินปลานั้นช่วยลดความเสี่ยงของโรคเกี่ยวกับเส้นเลือดหัวใจ ดังนั้นจึงมีคำแนะนำให้สตรีมีครรภ์กินปลาเพื่อให้การพัฒนาระบบประสาทของเด็กในครรภ์เป็นไปตามศักยภาพที่มีในแง่ของอันตรายจากสารปนเปื้อนนั้นพบว่า ความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหากับเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจเนื่องจากเม็ททิวเมอร์คิวรีนั้น ข้อมูลที่มีอยู่ไม่ชัดเจน ส่วนความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเนื่องจากไดออกซิน(dioxin) นั้น แม้พบว่ามีอยู่แต่ก็ยังมีผลต่ำกว่าการรับได้ประโยชน์ต่อสุขภาพจากการกินปลา นอกจากนี้ในการประชุมนั้น ได้มีการพิจารณาเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับจากกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโอเมกา-3 ต่อความเสี่ยงอันตรายเนื่องจากเม็ททิลเมอร์คิวรีของลูกในกลุ่มสตรีวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งพบว่า การกินปลาระหว่างการตั้งครรภ์ช่วยลดความเสี่ยงของการไม่พัฒนาของระบบประสาทของลูกแบบแอบแฝง (suboptimal neurodevelopment) ให้ต่ำลงเมื่อเทียบกับลูกของสตรีที่ไม่กินปลาสำหรับระดับของการสัมผัสสารพิษไดออกซิน จากการกินปลาและอาหารอื่นของแม่โดยทั่วไปนั้น ยังไม่เกินระดับที่ยอมรับให้สัมผัสได้ในแต่ละเดือน (Provisional Tolerable Monthly Intake หรือ PTMI) ที่กำหนดโดย JECFA (เมื่อพิจารณาถึงสาร PCDDs, PCDFs และ PCBs) คือ 70 พิโคกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ดังนั้นการกินปลาจึงยังไม่น่าก่อให้เกิดความเสี่ยงในการพัฒนาด้านระบบประสาทของเด็กในครรภ์ อย่างไรก็ดีในกรณีที่มีการสัมผัสสารพิษไดออกซินของสตรีในบางประเทศเกินระดับที่กำหนดนั้น ความเสี่ยงดังกล่าวไม่สามารถถูกตัดทิ้ง เมื่อมีการพิจารณาถึงกลุ่มทารก เด็กเล็กและวัยรุ่นเกี่ยวกับการกินปลานั้น พบว่าข้อมูลในการประชุมดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะสร้างขอบข่ายการประเมินเกี่ยวกับปริมาณ(quantitative framework) สารพิษที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพและประโยชน์ที่ได้รับจากการกินปลา อย่างไรก็ดีรูปแบบการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพซึ่งรวมถึงการกินปลานั้น ได้ถูกวางไว้ในวัยดังกล่าวแล้วเพื่อให้มีผลต่อเนื่องถึงชีวิตการเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดี อีกทั้งในปี 2007 นั้น The World Cancer Research Fund และ American Institute for Cancer Research ได้รายงานถึงผลของอาหาร โภชนาการ การเคลื่อนไหวร่างกายต่อการเกิดมะเร็ง โดยไม่มีข้อมูลที่ระบุว่าการกินปลานั้นก่อความเสี่ยงอันตรายแต่อย่างไรสำหรับข้อเสนอแนะที่สำคัญจากการประชุมครั้งนี้คือ ประเทศสมาชิกต้องหาทางลดความเสี่ยงในการเกิดอันตรายต่อกลุ่มเป้าหมายตามกระบวนการที่แนะนำ ทั้งในเรื่องการประเมินและการจัดการความเสี่ยง/ประโยชน์ที่ได้รับจากการกินปลาตลอดจนถึงการสื่อสารส่งต่อข้อมูลสู่ประชากร มีการเน้นย้ำว่า เพื่อให้ประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบประสาทของเด็กที่คลอดจากหญิงตั้งครรภ์และแม่ให้นมลูกที่กินปลาเกิดขึ้นนั้น ประเทศสมาชิกต้องดำรงและปรับปรุงระบบฐานข้อมูลที่เกี่ยวกับสารอาหารจำเพาะในปลาบางชนิดและโอกาสปนเปื้อนของสารพิษ(โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ททิลเมอร์คิวรีและไดออกซิน) ในปลาที่ประชาชนในแต่ละประเทศสมาชิกกินและที่สำคัญคือ ต้องมีการพัฒนาและประเมินหลักการจัดการความเสี่ยงรวมถึงการสื่อสารข้อมูลในการลดความเสี่ยงอันตรายจากการกินปลาให้ต่ำสุดโดยได้รับประโยชน์จากการกินปลาสูงสุดสิ่งที่น่ากังวลจากการประชุมคือ มีบางประเทศที่เกิดความเสี่ยงในการยับยั้งการพัฒนาสมองของเด็กระหว่างที่อยู่ในท้อง เนื่องจากแม่กินปลาที่มีการปนเปื้อนเม็ททิลเมอร์คิวรี นอกจากนี้โอกาสเสี่ยงต่ออันตรายที่เกิดต่อหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ ผลกระทบด้านภูมิต้านทานและการสืบพันธุ์ก็ยังเป็นไปได้ อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ความสมบูรณ์ในข้อมูลด้านอันตรายของไดออกซินที่ปนเปื้อนในปลาต่อสุขภาพเช่น ผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ ภูมิต้านทาน การพัฒนาระบบประสาทตลอดจนถึงมะเร็งนั้นยังไม่สมบูรณ์พอสุดท้ายนี้จึงมีคำถามซึ่งอยู่ในใจของผู้เขียนว่า สตรีมีครรภ์ในบ้านเราได้กินปลาที่ปลอดภัยจากสารพิษที่ปนเปื้อนในทะเลแล้วหรือไม่ เพราะปลาที่จับจากอ่าวไทยมันนั้นน่าจะมีสารพิษเพิ่มขึ้นทุกวัน ทั้งสารพิษจากชุมชม โรงงานอุตสาหกรรม ตลอดจนการล่มของเรือบรรทุกน้ำมันและการรั่วไหลจากบ่อน้ำมันในทะเล อีกทั้งบนชายฝั่งทะเลอันดามันนั้นก็กำลังมีการสร้างนิคมอุตสาหกรรมแถบทวารและมะริดของเพื่อนบ้านไล่ลงมาถึงความพยายามสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน (ซึ่งยังไงๆ ก็ไม่มีทางสะอาด) แล้วสุขภาพทางสมองของเด็กไทยที่แม่ต้องกินปลาที่ปนเปื้อนจะเป็นอย่างไร

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 167 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนมกราคม 2558 ศาลสั่ง “BTS” ทำลิฟท์ทุกสถานีให้ผู้พิการ ศาลปกครองสูงสุดมีมติ ให้กลุ่มผู้พิการ โดยมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ เป็นฝ่ายชนะคดีที่ฟ้องร้องต่อ กทม. และบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กรณีร่วมกันก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส (BTS) โดยไม่มีการก่อสร้างลิฟต์และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการ หลังจากที่ต่อสู้เรียกร้องสิทธิมายาวนาน ตั้งแต่เริ่มมีการสร้างรถไฟฟ้าก่อนเปิดให้ใช้งาน นับเวลารวมแล้วเกือบ 20 ปี โดยมติของศาลมีว่า กทม. และบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ต้องจัดทำลิฟต์ที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสทั้ง 23 สถานี (ปัจจุบันมีเพียง 5 สถานี ได้แก่ สยาม หมอชิต ช่องนนทรีย์ สนามกีฬาแห่งชาติ และอ่อนนุช โดยแต่ละสถานีมีลิฟต์เพียง 1 ตัวเท่านั้น) และให้จัดทำอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวก ทั้ง 23 สถานี รวมทั้งจัดทำอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกบนรถไฟฟ้า โดยให้จัดที่ว่างสำหรับเก้าอี้เข็นคนพิการ ให้มีความกว้างไม่น้อยกว่า 120 ซม. และให้ราวจับสูงจากพื้นไม่น้อยกว่า 80 ซม. บริเวณทางขึ้นลงและติดสัญลักษณ์คนพิการไว้ทั้งในและนอกตัวรถที่จัดให้สำหรับคนพิการ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 4 (พ.ศ.2542) ออกตามความใน พ.ร.บ.การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ.2534 และตามระเบียบคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการว่าด้วยมาตรฐานอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกโดยตรงแก่คนพิการ พ.ศ.2544 ทั้งนี้ให้ดำเนินการตามคำสั่งศาลให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี หลังจากมีคำพิพากษา   ไม่อยาก “ซิมดับ” รีบไปลงทะเบียน ใครที่เป็นผู้โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเติมเงิน แล้วยังไม่เคยลงทะเบียนซิม ต้องอ่านข่าวนี้ให้ดี เพราะ กทสช. ออกประกาศชัดเจนแล้ว หากใครยังไม่ยอมนำซิมไปลงทะเบียนก่อนวันที่ 31 ก.ค. 2558 ซิมจะถูกระงับการใช้งานโทรเข้า-โทรออกไม่ได้ เรื่องการบังคับให้ผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบเติมเงิน หรือ prepaid ต้องลงทะเบียนซิมนั้น เป็นไปตามประกาศตั้งแต่สมัย กทช. เพื่อผลในเรื่องของความปลอดภัย ทำให้ทราบถึงข้อมูลของผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่แต่ละหมายเลข รวมทั้งเป็นผลดีในเรื่องของการคุ้มครองผู้บริโภคด้วย ช่วยในความสะดวกเวลาใช้สิทธิหรือร้องเรียนปัญหาต่างๆ อย่างเช่น การย้ายค่ายเบอร์เดิม ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือแบบเติมเงินที่ยังไม่เคยลงทะเบียนซิม สามารถลงได้โดยนำซิมการ์ดที่ต้องการลงทะเบียนและบัตรประชาชนนำไปติดต่อขอลงทะเบียนได้ที่ศูนย์บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เครือข่ายที่เราใช้บริการอยู่   “ไอโอดีน” ในวิตามินรวมสำหรับคนท้องตกมาตรฐานเพียบ มี “ทั้งขาด – ทั้งเกิน” กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เผยผลตรวจวิตามินรวมผสมเกลือแร่สำหรับหญิงตั้งครรภ์ จำนวน 13 ตัวอย่าง ทั้งที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ พบผิดมาตรฐาน 9 ตัวอย่าง (ร้อยละ 69) โดยพบว่าแต่ละตัวอย่างมีปริมาณไอโอดีนในแต่ละเม็ดแตกต่างอย่างมาก บางเม็ดยาตรวจไม่พบไอโอดีนเลย ขณะที่บางเม็ดพบปริมาณไอโอดีนสูง 40 เท่าของปริมาณที่แจ้งไว้ ไอโอดีนถือว่า 1 ในสารอาหารสำคัญสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เพราะช่วงตั้งครรภ์หากมารดาขาดสารไอโอดีนจะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมองและระบบประสาทของเด็กทารกได้ จึงกลายเป็นช่องทางให้มีผู้ผลิตอาหารเสริมผสมไอโอดีนออกมาขาย แต่จากผลทดสอบที่ได้จะเห็นว่าผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายอยู่ส่วนใหญ่ไม่ได้มาตรฐาน อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพของผู้ที่กินได้ ซึ่งหลังจากนี้ทาง อย.จะต้องมีการควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ยาและอาหารเสริมที่มีสารไอโอดีนเป็นองค์ประกอบ และต้องมีการกำหนดข้อบ่งใช้กับสตรีมีครรภ์เพื่อความปลอดภัยต่อผู้ใช้   “สปาหอยทาก” เจอ “อีโคไล” วิวัฒนาการเรื่องความสวยความงามมีมาได้ไม่สิ้นสุดจริงๆ ที่มาสร้างความฮือฮาแบบสุดๆ ก็คือ “สปาหอยทาก” ที่จับเอาหอยทากมาไต่บนใบหน้า เพราะเชื่อว่าที่ตัวหอยทากมีสารช่วยบำรุงผิวหน้าเป็นสูตรลับจากฝรั่งเศส แต่งานนี้ดูไม่ชอบมาพากล เพราะหลายคนตั้งคำถามถึงเรื่องความสะอาดและความปลอดภัย ร้อนถึงกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ต้องรุดเข้าไปตรวจสอบ สปาหอยทากนี้ตั้งอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ มีเจ้าของเป็นชาวฝรั่งเศส โดยนอกจากจะเปิดให้บริการในลักษณะเป็นร้านเสริมสวยที่ใช้หอยทากมาไต่ที่ผิวหน้าแล้วนั้น ยังมีฟาร์มหอยทากจำนวนกว่า 3 หมื่นตัว โดยเจ้าของระบุว่า เดิมนำเข้าแม่พันธุ์มาจากฝรั่งเศสประมาณ 100 ตัว แล้วค่อยมาขยายพันธุ์ที่เมืองไทย ซึ่งหลังจากการตรวจสอบโดยกรมประมง พบว่ามีเชื้ออีโคไลปนเปื้อนในตัวอย่างหอยทากที่นำไปตรวจ นอกจากนี้ยังอาจมีความผิดฐานนำเข้าสัตว์โดยผิดกฎหมาย ส่วนเรื่องของของเปิดบริการสถานเสริมความงาม พบเรื่องการใช้เครื่องมือแพทย์โดยผู้ที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ได้รับใบอนุญาต และสถานบริการดังกล่าวยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับ สบส. แค่จดทะเบียนการค้ากับกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น ใครที่จะไปใช้บริการก็ขอให้ระวังเรื่องของเชื้ออีโคไลให้ดี เพราะเป็นเชื้อที่ผลต่อระบบทางเดินอาหาร อาจทำให้ท้องร่วงรุนแรงได้   จับตากฎหมาย “จีเอ็มโอ” หวั่นเอื้อประโยชน์บรรษัทเมล็ดพันธุ์ข้ามชาติ มูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน นักวิชาการ กลุ่มธุรกิจอาหาร และกลุ่มเกษตรอินทรีย์ ร่วมกันจัดเวทีเสวนา จับตาการผลักดัน “ร่าง พ.ร.บ.ความปลอดภัยทางชีวภาพ พ.ศ....” หวั่นเอื้อประโยชน์บรรษัทเมล็ดพันธุ์ข้ามชาติ ซึ่งหลังจากที่คณะทำงานศึกษาแนวทางการนำสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม (GMO) และผลิตภัณฑ์มาใช้ใน ประเทศไทย ได้มีมติร่วมกันว่า การทดลองเรื่องจีเอ็มโอนั้นให้กลับไปใช้มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2550 ที่มีเงื่อนไขควบคุมการทดลองจีเอ็มโอในภาคสนามที่เข้มงวด เช่น ต้องทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ต้องทดลองในสถานที่ของราชการเท่านั้น ต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ และนักวิชาการ และคณะรัฐมนตรีต้องเป็นผู้อนุมัติให้มีการทดลองเป็นรายกรณี ซึ่งจากข้อกำหนดนี้ จะส่งผลลบกับกลุ่มบรรษัทเมล็ดพันธุ์ข้ามชาติ ที่หวังจะนำเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอเข้ามาขายในประเทศไทย ทำให้การพลักดัน “ร่าง พ.ร.บ.ความปลอดภัยทางชีวภาพ พ.ศ....” นี้จึงเป็นเครื่องมือของเหล่าบรรษัทข้ามชาติ ที่ลดทอนความเข้มงวดในการควบคุมการใช้เมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอในประเทศ ทั้งนี้เมล็ดดัดแปลงพันธุกรรมหรือ จีเอ็มโอนั้น ถูกทำให้เชื่อว่าจะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ให้ผลผลิตที่ดีกว่าเมล็ดพันธุ์ทางธรรมชาติปกติ แต่นั่นเป็นเพียงการสร้างมายาคติของบรรษัทผู้ถือสิทธิเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอเท่านั้น การใช้เมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอเกษตรกรจะต้องซื้อจากบรรษัทเจ้าของสิทธิ ไม่สามารถเพาะได้เองเหมือนเมล็ดพันธุ์ตามธรรมชาติ ซึ่งในอนาคตจีเอ็มโออาจจะกลายเป็นเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้ในการกีดกันทางการค้า เมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอจะทำลายเมล็ดพันธุ์ทางธรรมชาติอื่นๆ ที่สำคัญคือเมืองไทยเราเป็นเมืองเกษตร มีความอุดมสมบูรณ์ในการเพาะปลูกพืชพรรณต่างๆ อยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องพึ่งพาเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอจากต่างชาติ โดยหลังจากนี้จะมีการทำหนังสือถึงคณะรัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ชะลอการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้เอาไว้ก่อน โดยจะขอให้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะ และปรับปรุงเนื้อหาที่จะไม่เป็นการทำร้ายเกษตรกร ภาคธุรกิจ และผู้บริโภคในประเทศ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 150 ตรวจสุขภาพฝากครรภ์ ใครๆ ก็ใช้บัตรทองได้

เราอาจเคยได้ยินว่าสิทธิด้านสุขภาพต่างๆ ที่รัฐจัดให้ ทั้งสิทธิประกันสังคม สิทธิข้าราชการ หรือสิทธิตามหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า(บัตรทอง) หากใครมีสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว จะไปใช้สิทธิอีกอย่างหนึ่งไม่ได้ ด้วยความรู้แบบนี้และความอ่อนแอในการสื่อสารของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ทำให้ประชาชนพลาดสิทธิที่มีอยู่ได้เช่นกันสุพัตรา เป็นพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่งมีสิทธิประกันสังคม เธอตั้งครรภ์อยากจะฝากครรภ์พอเปิดไปดูรายละเอียดความคุ้มครองเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ในประกันสังคม ก็พบแต่เงินช่วยเหลือเหมาจ่าย 13,000 บาทให้ค่าคลอดบุตรเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าต้องควักเงินสำรองจ่ายไปก่อนจนคลอดบุตรแล้วถึงจะไปขอเบิกคืนได้ ก็อยากจะประหยัดเงินมากที่สุดเท่าที่จะทำได้  เธอจึงขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมจนทราบว่า ในสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทอง ได้ให้สิทธิแก่ผู้ถือบัตรประกันสังคมและคนไทยทุกคนให้มาใช้สิทธิบัตรทองได้ในการรับบริการสาธารณสุขเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคได้ซึ่งรวมถึงการฝากครรภ์ด้วย โป๊ะเช่ะ...ไม่ต้องควักเงิน ลุย !สุพัตรา เดินเข้าไปที่โรงพยาบาลราชวิถีเพื่อขอฝากครรภ์และขอใช้สิทธิบัตรทอง เรื่องการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเป็นงง  บอกใช้ไม่ได้มีสิทธิประกันสังคมอยู่แล้วก็ให้ไปเบิกเงินกับทางนั้นซะ คนถือบัตรประกันสังคมจะใช้สิทธิส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคได้เพียงเรื่องการคุมกำเนิดเท่านั้น รอคลอดก่อนแล้วค่อยใช้สิทธิทำตอนทำหมันนะจ๊ะซึมเล็กๆ เมื่อได้รับคำตอบแบบนั้น สุพัตราหยิบมือถือโทรไปที่ call center สปสช. 1330 ถามความชัดเจนว่ามันเป็นยังไงกันแน่ เห็นใบประชาสัมพันธ์บอกว่าใช้ได้ไง call center สปสช. ยืนยันว่า ผู้ถือบัตรประกันสังคมสามารถใช้สิทธิส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคเรื่องการฝากครรภ์ได้ และแนะนำให้สุพัตราไปคุยกับทางศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพของโรงพยาบาลราชวิถีอีกครั้ง สุพัตราอุ้มท้องอ่อนๆ แล้วค่อยๆ เดินไปที่ศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพของโรงพยาบาลราชวิถีเพื่อขอยืนยันการใช้สิทธิอีกคำรบ“ไม่ได้ค่ะ เราเคยมีผู้ถือบัตรประกันสังคมมาขอใช้สิทธิแบบน้องนี่แหละค่ะ ก็ต้องแจ้งว่าผู้ที่ใช้สิทธิได้จะเป็นผู้ที่ส่งประกันสังคมไม่ครบ 7 เดือนเท่านั้นค่ะ” เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพของโรงพยาบาลอธิบาย สุพัตราจึงกดโทรศัพท์และขอให้เจ้าหน้าที่ สปสช. ได้เจรจากับเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพ คุยกันอยู่พักใหญ่สุดท้ายศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพของโรงพยาบาลก็ยังยืนยันไม่ให้เธอใช้สิทธิ แถมยังบอกว่า ไม่มีนโยบาย หากต้องการใช้สิทธิส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคให้ไปขอใช้สิทธิที่สถานพยาบาลอื่นแทน  จะเรียกว่าเป็น “ไล่” อย่างสุภาพก็ว่าได้เมื่อการใช้สิทธิล้มเหลว สุพัตราจึงโทรคุยกับเจ้าหน้าที่ สปสช. อีกครั้ง เจ้าหน้าที่แจ้งว่าแม้ สปสช.จะมีนโยบายดังกล่าว แต่ สปสช. ไม่มีอำนาจบังคับให้โรงพยาบาลทำตามนโยบายดังกล่าวได้“เอ้า...แล้วมันจะเรียกว่านโยบายได้ไงน่ะ เที่ยงนี้ขนมจีนอย่ากินดีกว่า มันคงไม่มีน้ำยาเหมือนกัน” สุพัตราบ่นกับตัวเองพร้อมควักเงิน 760 บาทเป็นค่าดำเนินการฝากครรภ์ให้กับโรงพยาบาล ก่อนนำเรื่องมาร้องเรียนกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แนวทางแก้ไขปัญหาหลังรับเรื่องร้องเรียน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ตรวจสอบที่มาที่ไปในสิทธิการรับบริการสาธารณสุข การสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ได้พบความเป็นมาว่าสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 13 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ดำเนินงานภายใต้นโยบายสาธารณสุขที่ต้องการให้ประชาชนได้รับบริการทางสุขภาพทั้งด้านการรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสภาพ การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคอย่างมีมาตรฐาน เสมอภาค และเท่าเทียมกัน รวมถึงการพัฒนาสุขภาพโดยเฉพาะเรื่องการลดอัตราตายของเด็กและทารก อัตรามารดาตาย การป้องกันและควบคุมโรคติดต่อที่สำคัญ เป็นต้น จึงได้ดำเนินการแปลงนโยบายที่ว่าสู่การปฏิบัติเพื่อให้มีการดูแลประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง มีระบบบริการเน้นการดูแลในระดับ Primary care และในชุมชน โดยจัดให้มีบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์จนถึงวัยสูงอายุโดยการจัดสรรงบเหมาจ่ายรายหัว/ตามกิจกรรมหรือตามผลงานบริการ ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์ที่กำหนด นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ด้านส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคแก่ผู้มีสิทธิอื่นๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขมากขึ้น และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขในอนาคต  โดยเปิดให้ผู้ที่ใช้สิทธิประกันสังคมและสิทธิราชการ สามารถใช้สิทธิประโยชน์ดังกล่าวได้จากเอกสารเผยแพร่ในสิทธิหลักประกันสุขภาพยังยืนยันว่า ผู้มีสิทธิประกันสังคมสามารถเข้าขอใช้สิทธิการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้ ไม่ใช่แค่การฝากครรภ์ แต่ยังรวมไปถึงการวางแผนครอบครัวแบบชั่วคราว ทั้งการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาฉีดคุมกำเนิด ยาฝังคุมกำเนิด ห่วงอนามัย แม้กระทั่งการจะขอรับการตรวจหามะเร็งปกมดลูก ผู้ใช้สิทธิประกันสังคมสามารถใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพได้เมื่อได้ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าว มูลนิธิฯจึงได้ทำหนังสือเรียนถึง ประธานคณะกรรมการคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุขเพื่อให้ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทำให้ในเวลาต่อมาได้มีการประสานงานระหว่าง สปสช. กับโรงพยาบาลราชวิถีอีกครั้ง และมีการยินยอมให้สุพัตราสามารถใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพได้ เนื่องจากการฝากครรภ์อยู่ในบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคที่ให้ความคุ้มครองแก่คนไทยทุกคน โดยต้องเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลรัฐและเอกชนที่เข้าร่วมโครงการหลักประกันสุขภาพประเด็นนี้ทำให้เห็นจุดอ่อนใหญ่ๆ 2 จุด คือ ความคุ้มครองด้านสุขภาพของประกันสังคมใครอยากใช้สิทธิต้องควักเงินก่อนและมีข้อจำกัดของวงเงินซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และเน้นให้ความคุ้มครองด้านการรักษาแต่ไม่เน้นด้านการป้องกัน ขณะที่นโยบายในความคุ้มครองของหลักประกันสุขภาพแม้จะมีนโยบายที่ดีมุ่งหวังดูแลประชาชนถ้วนหน้าแต่ยังมีการปฏิบัติที่ไม่ถ้วนหน้าจากสถานพยาบาลบางแห่งหรือบางครั้งอยู่ จำเป็นที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะต้องวางกรอบระเบียบแนวทางการปฏิบัติเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิได้อย่างแท้จริงต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 177 กระแสต่างแดน

ขับช้าลดมลพิษ?ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เทศบาลเมืองมาดริด ประเทศสเปน ประกาศลดอัตราความเร็วสูงสุดบนท้องถนนเหลือ 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง (จากเดิม 90 กิโลเมตร 100 กิโลเมตร และ 120 กิโลเมตร ต่อชั่วโมงแล้วแต่ประเภทของถนน) ... นี่ถือเป็นครั้งแรกของเมืองนี้เลยทีเดียวเทศบาลมาดริดออกประกาศดังกล่าว หลังจากพบว่าระดับไนโตรเจนไดออกไซด์ใน 11 สถานีตรวจวัด (จากทั้งหมด 24 สถานี) ทั่วเมือง มีค่าสูงเกินเกินกำหนด 200 ไมโครกรัม ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัย เขาถึงขั้นประกาศให้ชาวเมืองที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจงดออกกำลังกายในที่โล่งแจ้งกันไปสักพัก การปราศลดความเร็วนั้นเป็นหนึ่งในความพยายามที่จะลดมลพิษ แต่ถ้าวิธีนี้ยังไม่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ ขั้นต่อไปเขาจะประกาศห้ามผู้ที่ไม่ได้อยู่อาศัยในเขตใจกลางเมืองนำรถเข้ามาจอดในเมืองด้วย นี่ยังไม่นับว่าทุกวันนี้ เวลาชาวมาดริดเขาขับรถไปไหนมาไหน ก็จะเจอแต่ป้ายบิลบอร์ดที่ขอร้องให้คนช่วยกันจอดรถไว้บ้าน แล้วหันมาใช้การขนส่งสาธารณะเพื่อช่วยกันลดมลภาวะด้วย ถามว่าเรื่องนี้เข้าตานักสิ่งแวดล้อมไหม เขาตอบเลยว่าด้วยความยินดี เพียงแต่ยังรู้สึกว่าวิธีลดปริมาณก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ในบรรยากาศของเมืองนี้ได้ดีที่สุดคือการห้ามใช้รถยนต์ไปเลยมากกว่า    ของแท้อยู่ยากชาวเวียดนามบริโภคน้ำปลาปีละประมาณ 200 ล้านลิตร คิดเป็นมูลค่าประมาณ 12,600 ล้านบาท แต่เชื่อหรือไม่ว่าร้อยละ 75 ของน้ำปลาที่บริโภคกันอยู่นั้นเป็นน้ำปลาผสม น้ำปลาแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์แบบดั้งเดิมกำลังจะหายไปจากตลาดเวียดนาม ผู้บริหารระดับสูงของโรงงานน้ำปลาแท้ยี่ห้อยอดนิยม ที่เป็นที่รู้จักกันในเวียดนามมานานก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์ยอมรับว่ารายได้ของบริษัทในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ลดลงไปถึงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เขาบอกว่ามีเพียงผู้บริโภคที่เข้าใจเรื่องน้ำปลาจริงๆ เท่านั้นที่ยังควักกระเป๋าซื้อน้ำปลาแท้แบบดั้งเดิมแม้จะราคาแพงกว่า ในขณะที่คนส่วนใหญ่มักเลือกน้ำปลาราคาถูก ที่ได้ของแจกของแถมหรือส่วนลดมากกว่า ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของบริษัทก็ถูกเบียดตกชั้นในซูเปอร์มาร์เก็ตไปหลายตัวแล้วจะให้ของดีมีราคาถูกก็เป็นไปได้ยาก เขาบอกว่ากระบวนการทำน้ำปลาของโรงงานต้องเริ่มตั้งแต่จัดซื้อเกลือแล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 1 ปีให้หมดกลิ่นของแม็กนีเซียมก่อน จึงนำมาหมักกับปลาในช่วงเดือนเมษายนถึงสิงหาคม แล้วจึงนำมาบรรจุขายได้ ในขณะที่โรงงานน้ำปลาผสมแค่ซื้อน้ำปลาแท้มาเติมรสแล้วผสมออกมาขายได้วันละหลายแสนลิตร มันก็ต้องถูกกว่าเป็นธรรมดา บางที่ทำออกมาขายได้ในราคาเพียงขวดละ 8,000 ด่อง(13 บาท) เท่านั้น   ด้วยกำลังซื้อที่ลดลงของผู้คน ซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ จึงกดดันให้ผู้จัดส่งน้ำปลาแท้เหล่านี้ลดราคาลงประมาณร้อยละ 25 ทำให้หลายเจ้าตัดสินใจไม่วางแผงในห้าง และอีกหลายเจ้าก็มีทีท่าว่าจะเลิกผลิตน้ำปลาแท้ไปเลย ทำให้มีเพียงบริษัทใหญ่ๆ ที่ทำน้ำปลาผสมเท่านั้นที่ยังอยู่ได้ และบริษัทเหล่านี้ทุ่มเงินมหาศาลไปกับการโฆษณาและการตลาดเป็นหลัก ไม่ใช่คุณภาพของน้ำปลา รถนักเรียนต้องรับรองผลิตภัณฑ์ล่าสุดที่กำลังจะได้รับการรับรองจากสมาคมผู้บริโภคสิงคโปร์ Consumer Association of Singapore (CASE) คือรถนักเรียน หลังจากมีกรณีร้องเรียนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา 39 กรณี ประมาณ 10 กรณีเป็นเรื่องของการปิดกิจการกะทันหันของผู้ประกอบการรถนักเรียนหลังจากเรียกเก็บเงินจากผู้ปกครอง อีก 6 กรณีเป็นการขอขึ้นราคาหลังจากได้ทำสัญญากันไปแล้ว ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องของคุณภาพบริการและการคิดราคาค่าบริการแพงเกินไป  พ่อแม่ผู้ปกครองและเด็กๆ ที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อสมาชิก 18 รายของสมาคมรถนักเรียนสิงคโปร์ Singapore School Transport Association เข้าร่วมลงนามในโครงการรับรองดังกล่าวกับ CASE ว่าปัญหาต่างๆที่ว่ามานั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก หนึ่งในเงื่อนไขการรับรองคือการให้ผู้ประกอบการวางเงิน 100,000 เหรียญ(ประมาณ 2.5 ล้านบาท) เป็นประกันกรณีที่เลิกกิจการไว้ด้วย การรับรองนี้จะมีผลในอีก 6 เดือนข้างหน้า ใส่แล้วร้อน  ในที่สุดโรงงาน KinTai Garment ในกรุงพนมเปญ ผู้ผลิตเสื้อผ้าให้กับแบรนด์อาร์มานี ได้ประกาศปิดกิจการลงอย่างเป็นทางการแล้ว ก่อนหน้านั้นมีข่าวออกมาเป็นระยะว่าสภาพการทำงานที่นี่สุดแสนจะทานทน ด้วยการไม่มีระบบระบายอากาศจึงทำให้อุณหภูมิในพื้นที่ทำงานบางครั้งสูงเกิน 37 องศา เป็นเหตุให้พนักงานสาวน้อยสาวใหญ่เป็นลมคาจักรเย็บผ้ากันไปบ่อยๆ  แต่ต่อมาในเดือนมิถุนายน พนักงานก็ได้เฮ เพราะโรงงานประกาศจะติดตั้งระบบสปริงเคิลเพื่อทำให้โรงงานเย็นสบายขึ้น แถมยังจะให้โบนัสตามอายุงาน และทำสัญญาจ้างระยะยาวจากเดิมที่เป็นสัญญาจ้างแบบแค่ 3-6 เดือนด้วยน่าเสียดายที่เฮกันได้ไม่นาน เจ้าของโรงงานซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติไต้หวันก็โยกออเดอร์จากอิตาลีไปยัง Golden Plus Textile โรงงานใหม่ที่ตั้งอยู่ในเมืองกันดาลแทน แล้วก็ประกาศปิดโรงงานแห่งเดิมไป พนักงานหลายร้อยคนจึงต้องตกงาน ผู้นำสหภาพฯ ของโรงงาน KinTai Garment บอกว่า แม้โรงงานประกาศว่าจะจ่ายเงินที่ค้างไว้ให้กับพนักงานทุกคน แต่เธอเชื่อว่าเงินที่โรงงานเตรียมไว้ไม่เพียงพอจ่ายพนักงานแน่นอน ข่าวบอกว่าโรงงานติดค้างค่าจ้างและโบนัสไม่ต่ำกว่า 50,000 เหรียญ (ประมาณ 1.8 ล้านบาท)ที่น่าเจ็บใจไปกว่านั้นคือเธอและเพื่อนๆ พบว่า บริษัทไปประกาศรับพนักงานจำนวนมากที่เมืองกันดาล เพราะต้องการขยายกิจการ แถมยังบอกว่าก็ไม่ได้ห้ามพนักงานเก่ามาสมัคร ใครไม่อยากย้ายมาจากพนมเปญก็ช่วยไม่ได้ ... อ้าว     “เตรียมตัวตั้งครรภ์” นาทีนี้ในประเทศจีน ผลิตภัณฑ์ไหนก็ไม่ฮิตไปกว่าคำว่า “ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ต้องการตั้งครรภ์” แล้ว หลังจากรัฐบาลประกาศยกเลิกนโยบาย “ลูกคนเดียว” เมื่อวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา สถิติคำค้น “เตรียมตัวตั้งครรภ์” ในเว็บไซต์ของอาลีบาบา ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 148 จากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา หลังบรรดาคู่สมรสทราบว่าพวกเขาสามารถมีบุตรได้ 2 คนผลิตภัณฑ์ยอดฮิต 3 อันดับแรกที่ถูกซื้อในอาลีบาบา ได้แก่ ชุดตรวจการตั้งครรภ์ ชุดคำนวณวันไข่ตก ชุดตรวจการตกไข่ด้วยน้ำลาย ข้อมูลนี้ยังบอกอีกว่าผู้คนในภาคเหนือและภาคกลางมีความสนใจอยากมีลูกคนที่สองมากกว่า คนในเมืองใหญ่ๆ อย่าง ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ หรือกวางโจว  ทั้งนี้เพราะผู้คนในเมืองเล็กๆ รู้สึกว่าด้วยค่าครองชีพที่ถูกกว่า พวกเขาจึงน่าจะสามารถเลี้ยงดูลูกคนที่สองได้โดยไม่ลำบาก ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ สื่อจีนรายงานว่าแผนนี้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วยุทธภพ ราคาหุ้นทั้งในตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นในต่างประเทศต่างก็พากันถีบตัวสูงขึ้น นโยบาย “ลูกคนเดียว” ที่ใช้มากว่า 35 ปีสามารถป้องกันการเกิดของเด็กได้ไม่ต่ำกว่า 400 ล้านคน แต่ถ้าดูโครงสร้างประชากร ณ ปัจจุบัน จะพบว่าร้อยละ 9 ของประชากรจีน มีอายุมากกว่า 65 ปี และเด็ก 1 คน จะต้องเป็นผู้ดูแล พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา และ ยาย ... เรียกว่า 1 ต่อ 6 กันเลยทีเดียว  

อ่านเพิ่มเติม >