ฉบับที่ 278 1 ปี หลังควบรวมธุรกิจโทรคมนาคม ผู้บริโภคคิดอย่างไร

        ใครยังพบปัญหาการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ (เน็ตมือถือ) มีความอืดช้าลงกว่าเดิม หรือมีการสะดุดหรือหลุดหายของสัญญาณ ถูกเปลี่ยนรายการส่งเสริมการขายหรือแพ็กเกจการใช้งานโดยไม่รู้ตัว รวมถึงการหายไปของแพ็กเกจเน็ตราคาย่อมเยา ซึ่งเป็นผลกระทบจากการควบรวมของบริษัทโทรคมนาคม ทรูและดีแทค เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว ให้แน่ใจเถอะว่า คุณไม่ได้คิดไปเองแน่นอน         สรุปผลสำรวจความคิดเห็นผู้ใช้บริการโทรคมนาคม (เครือข่ายมือถือ)เรื่อง ระดับความพึงพอใจต่อมาตรการหรือเงื่อนไขเฉพาะ เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคและพัฒนาธุรกิจโทรคมนาคม ที่ กสทช. กำหนดให้บริษัทต้องปฏิบัติหลังควบรวมธุรกิจโทรคมนาคม สำรวจระหว่างวันที่ 11-23 เมษายน 2657จำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม 1,012 คน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 278 กระแสต่างแดน

หิวเมื่อไรก็แวะมา         เทศบาลเมืองปีนังประกาศยืนยันไม่ยกเลิกใบอนุญาตในการประกอบการร้านอาหาร 24 ชั่วโมงก่อนหน้านี้ CAP องค์กรผู้บริโภคแห่งปีนังได้ออกมาเรียกร้องให้ภาครัฐพิจารณาจำกัด “ชั่วโมงเปิดขาย”ของร้านประเภท “มามัก” หรือร้านอาหารแบบดั้งเดิมที่เสิร์ฟอาหารพลังงานสูง (เช่น โรตี) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการแก้ปัญหาโรคอ้วนของประชากร         ผลสำรวจของกระทรวงสาธารณสุขมาเลเซียระบุว่า ร้อยละ 31.3 ของประชากรมีน้ำหนักเกิน ในขณะที่ร้อยละ 22.2 เป็นโรคอ้วน และปัจจุบันมาเลเซียยังครองสถิติประเทศที่มีผู้ใหญ่เป็นโรคอ้วนมากที่สุดในอาเซียนด้วย หากรัฐบาลไม่รีบแก้ไข เมื่อถึงปี 2035 สองในสามของเยาวชนมาเลเซียก็จะมีภาวะโรคอ้วน         เรื่องนี้มีกระแสต่อต้านล้นหลาม เนื่องจาก “มามัก” เป็นแหล่งกินดื่มยอดนิยมของนักศึกษา รวมถึงคนที่เลิกงานดึกและแฟนบอลที่นิยมมารวมตัวกันดูฟุตบอล เพราะค่าใช้จ่ายถูกกว่าผับบาร์ทั่วไป ยังไม่นับกลุ่มคนที่ต้องตกงานหรือรายได้น้อยลงเพราะร้านปิดเร็วขึ้นด้วย อนาคตไว้ทีหลัง          สมาคมประกันชีวิตแห่งเกาหลีซึ่งมีสมาชิกเป็นบริษัทประกันจำนวน 22 บริษัท ออกมาแสดงความวิตกหลังพบว่า จำนวนลูกค้าที่ขอยกเลิกกรมธรรม์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงสามปีที่ผ่านมา         ล่าสุดพบว่ามีกรมธรรม์ที่ถูกยกเลิกก่อนกำหนดไปถึง 1.14 ล้านฉบับ ทั้งแบบที่ยกเลิกอัตโนมัติเพราะลูกค้าผิดเงื่อนไข เช่น ขาดส่งเบี้ยหรือส่งล่าช้าและแบบที่ลูกค้าสมัครใจขอยกเลิกเอง เพราะมีความจำเป็นต้องใช้เงิน เช่น ต้องการเงินไปผ่อนบ้านเพราะกลัวถูกยึด         ร้อยละ 32.8 ของคนที่บอกเลิกสัญญา ให้เหตุผลว่ายกเลิกเพราะรับภาระไม่ไหว ราคาอาหารหรือสินค้าอื่นๆ ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้เกาหลีกำลังประสบภาวะเงินเฟ้อสูงและมีดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงที่สุดตั้งแต่ปี 2008 (อัตราร้อยละ 3.5)         อย่างไรก็ตาม แม้จะต้องจ่ายเงินคืนให้กับลูกค้ามากเป็นประวัติการณ์ในปี 2023 บริษัทประกันฯ ก็ยังมีผลกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.6    ค้าขายต้องเป็นธรรม         สำนักงานบริหารการกำกับดูแลตลาดแห่งชาติจีน (State Administration for Market Regulation) ออกระเบียบใหม่เพื่อปราบปรามการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมในตลาดออนไลน์ เพื่อคุ้มครองสิทธิของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค         สำนักงานฯ บอกว่าระเบียบนี้เป็นการแสดงจุดยืนเรื่องการกำกับดูแลอีคอมเมิร์ซ  อุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ต การจัดระเบียบการค้าขาย รวมถึงการส่งเสริมนวัตกรรมและเศรษฐกิจแบบดิจิทัล         เนื้อหาซึ่งแบ่งออกเป็น 43 ข้อ มีการกล่าวถึง “ความหมายของการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม” ข้อมูลปลอม โฆษณาหลอกลวง ความรับผิดชอบตามกฎหมาย การจัดเก็บข้อมูลของลูกค้า รวมถึงการทำธุรกิจแบบเลือกปฏิบัติ         ที่สำคัญยังกำหนดให้แพลตฟอร์มต่างๆ มีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นในการกำกับดูแลให้ร้านค้าแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม หากฝ่าฝืนจะต้องรับโทษที่สูงกว่าเดิม         ระเบียบนี้จะมีผลบังคับตั้งแต่เดือนกันยายนนี้เป็นต้นไปลุ้นยิ่งกว่าบอล         การรถไฟเยอรมนีประกาศว่า เขาพร้อมแล้วที่จะให้บริการแฟนบอลจำนวนมากที่จะเดินทางเข้ามาเชียร์ทีมของตัวเองในศึกยูโร 2024  ตั้งแต่การจัดที่นั่งเพิ่มอีก 10,000 ที่ในวันที่มีการแข่ง ไปจนถึงโปรโมชันส่วนลดสำหรับผู้โดยสารที่ถือตั๋วเข้าชมฟุตบอล         แม้แต่การซ่อมบำรุงที่ทำอยู่เป็นประจำก็จะงดเว้นตลอดช่วงการแข่งขันเพื่อป้องกันรถไฟล่าช้า         อย่างไรก็ตามรายงานระบุว่า ระบบรถไฟในเยอรมนีนั้นมีปัญหาสะสมอยู่ไม่น้อย ทั้งตัวขบวนรถ ตัวรางที่ค่อนข้างเก่า ทำให้เกิดการขัดข้องทางเทคนิคจนขบวนรถต้องเสียเวลาอยู่บ่อยครั้ง ในปี 2023 อัตราการ “ดีเลย์” (ตั้งแต่ 6 นาทีขึ้นไป) ของรถไฟทางยาวในเยอรมนีสูงถึงร้อยละ 36         แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ พฤติกรรมของแฟนบอลที่อาจระเบิดฟอร์มใส่เจ้าหน้าที่ของการรถไฟได้ทุกเมื่อ เรื่องนี้สหภาพรถไฟเขายื่นคำขาดไว้แล้วว่า ถ้าถูกคุกคามพวกเขาจะหยุดปฏิบัติงานทันที         จากการสำรวจสมาชิกสหภาพฯ จำนวน 4,000 คน มีถึงร้อยละ 64 ที่เคยถูกผู้โดยสารทำร้ายหรือด่าทอ 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 278 สำรวจฉลาก “แป้งเย็น”

        เมื่อสภาวะโลกร้อนได้กลายเป็นโลกเดือดอยู่ในตอนนี้ ดวงอาทิตย์แผดแสงจ้ามาแบบไร้ความปราณีอากาศร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลไคลย้อยไม่สบายตัว บางคนเกิดผดผื่นคันบนผิวหนังชวนให้หงุดหงิดใจไปอีก เวลาร้อนๆ หลายคนมักจะอาบน้ำประแป้งเย็นๆ ช่วยให้สดชื่นขึ้น แป้งเย็นจึงเป็นสินค้าที่อยู่คู่คนไทยมานาน และไม่ต้องแปลกใจว่าตลาดแป้งโรยตัวที่มีมูลค่าทางการตลาด 3,900 ล้านบาท ตลาดแป้งเย็นจะเป็นเซ็กเมนต์หลักที่มีสัดส่วนในตลาดสูงถึง 42% (ข้อมูลจาก Nielsen Dec’21) ซึ่งนอกจากจะมีสูตรเย็นธรรมดาแล้ว ยังมีสูตรเย็นสุดขั้ว พ่วงเพิ่มความหอมนาน ลดเหงื่อ ลดกลิ่นกาย และลดผดผื่นคัน มาให้เลือกใช้อีกด้วย         ส่วนประกอบหลักของแป้งเย็นคือ ทัลค์(Talc) [ทัลคัม (Talcum) หรือไฮเดรต แมกนีเซียม ซิลิเกท (Hydrated Magnesium Silicate)] แร่หินธรรมชาติที่มีคุณสมบัติดูดความชื้น เมนทอล (Menthol) ที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาททำให้เมื่อทาผิวแล้วจะรู้สึกเย็น(แต่อุณหภูมิร่างกายไม่ได้ลดลง) และ/หรือ การบูร(Camphor) ที่ให้กลิ่นหอมเย็นสดชื่นที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งสารเหล่านี้มีทั้งประโยชน์และโทษ ต้องระวังว่าหากใช้แป้งเย็นในปริมาณที่มากเกินไปและใช้ไม่ถูกวิธี ก็อาจทำให้ผิวระคายเคือง หรือถ้าสูดดมฝุ่นแป้งที่ฟุ้งเข้าไปบ่อยๆ อาจเกิดปัญหากับระบบทางเดินหายใจได้ ดังนั้นแม้เลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานแล้วก็ยังต้องใช้ให้ถูกวิธีด้วย         นิตยสารฉลาดซื้อ ได้สุ่มเลือกแป้งเย็น จำนวน 14 ตัวอย่าง 12 ยี่ห้อ เมื่อเดือนมีนาคม 2567 มาสำรวจฉลากว่าแสดงข้อมูลที่จำเป็นครบถ้วนหรือไม่ พร้อมเปรียบเทียบราคา เพื่อให้ผู้บริโภคใช้ตัดสินใจเลือกซื้อแป้งเย็นให้ตอบโจทย์ทั้งความต้องการ ความคุ้มค่าและความปลอดภัยได้ต่อไป    ผลสำรวจ- ทุกตัวอย่างมีเลขที่ใบรับจดแจ้งจาก อย.ถูกต้อง และยังมีสถานะคงอยู่ ยกเว้น ยี่ห้อทรอส ฟรีซคูล แอนด์ โพรเทคชัน คูลลิ่ง ทัลคัม ที่หมดอายุไปแล้วเมื่อ 7/06/66 (ตัวอย่างที่นำมาสำรวจครั้งนี้ผลิตเมื่อ 18/05/66)- ทุกตัวอย่าง ยกเว้น ยี่ห้อเต่าเหยียบโลก แป้งระงับกลิ่นกาย คูลเฟรช มีระบุคำเตือนบนฉลากว่า “ห้ามใช้กับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และระวังอย่าให้แป้งเข้าจมูกและปาก” ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องแสดงไว้สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีทัลค์เป็นส่วนประกอบ- ทุกตัวอย่างมีทัลค์ (Talc /Talcum/ Hydrated Magnesium Silicate) อยู่ในส่วนประกอบ - ทุกตัวอย่างมีเมนทอล(Menthol) อยู่ในส่วนประกอบ ยกเว้น ยี่ห้อเอเวอร์เซ็นส์ เอ็กซ์ตรีมลี่ คูล เซนต์ พาวเดอร์- ทุกตัวอย่างมีการบูร(Camphor) อยู่ในส่วนประกอบ ยกเว้น ยี่ห้อเต่าเหยียบโลก แป้งระงับกลิ่นกาย คูลเฟรช- เมื่อเปรียบเทียบราคาต่อปริมาณ 1 กรัม พบว่า ยี่ห้อเต่าเหยียบโลก แป้งระงับกลิ่นกาย คูลเฟรช แพงสุด คือ 1.82 บาท ส่วนยี่ห้อเอเวอร์เซ็นส์ เอ็กซ์ตรีมลี่ คูล เซนต์ พาวเดอร์ และ เอ็กซิท เป็ปเปอร์มินต์ ฟิลล์ สูตรรีเฟรชชิ่ง ถูกสุด คือ 0.14 บาท  ข้อสังเกต- ยี่ห้อเทียร่า ป็อป คันทรี  เป็นตัวอย่างเดียวที่ระบุปริมาณเมนทอล(0.95%) และการบูร(0.74) ในส่วนประกอบ- ยี่ห้อไอโอเดิมร์ กลิ่นคลาสสิคคูลลิ่ง เป็นตัวอย่างเดียวที่มีมีข้อความ “เครื่องสำอางควบคุม” บนฉลาก และระบุเฉพาะวันเดือนปีที่ผลิต- มี 13 ตัวอย่าง ระบุทั้งวันเดือนปีที่ผลิตและหมดอายุ โดยส่วนใหญ่จะมีอายุ 3 ปี - มี 8 ตัวอย่าง ระบุว่าผ่านการทดสอบจากผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง- ตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นแป้งเย็นสูตรเย็นสุดขั้ว เย็นสูงสุด เย็นเต็มแมกซ์ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการใส่ส่วนผสมที่ให้ความเย็นเพิ่มมากขึ้นกว่าสูตรเย็นธรรมดา ดังนั้นคนที่ผิวแพ้ง่ายจึงควรเลี่ยงการใช้แป้งเย็นสูตรนี้  - ระดับความเย็นที่ระบุบนฉลากเป็นการเปรียบเทียบเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เป็นยี่ห้อเดียวกัน  ฉลาดซื้อแนะ- อ่านฉลากอย่างละเอียดทุกครั้ง เพื่อดูว่าในส่วนประกอบมีสารที่แพ้หรือเปล่า และควรมีการทดสอบอาการแพ้ก่อนเริ่มใช้ เนื่องจากสารให้ความรู้สึกเย็น หรือสารให้ความหอมต่าง ๆ ในแป้งเย็นไม่เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย- เลือกระดับความเย็นที่ใช่ กลิ่นที่ชอบ และคุณสมบัติอื่นๆ ที่ต้องการ เช่น หากต้องออกกำลังกาย ทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือทำงานนอกบ้านในวันที่ร้อนๆ อาจเลือกสูตรเย็นมาก หอมนาน ลดเหงื่อ ลดกลิ่นกาย ที่ช่วยให้เย็นแล้วยังเพิ่มความมั่นใจได้อีกด้วย- ลองซื้อแป้งเย็นกระป๋องเล็กมาใช้ก่อน เมื่อเลือกได้ยี่ห้อที่ถูกใจแล้วค่อยซื้อกระป๋องใหญ่แบบแพ็คคู่จะคุ้มกว่า   - ควรปฏิบัติตามคำเตือนอื่นๆ ที่ระบุไว้ด้วย เช่น สำหรับใช้ภายนอกเท่านั้น ห้ามใช้กับผิวหนังที่มีรอยถลอกหรือมีแผลเปิด หากใช้แล้วมีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นต้องหยุดใช้และปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร - ทัลค์เป็นสารอนินทรีย์ ไม่ถูกย่อยสลายตามธรรมชาติ ดังนั้น ถ้าโรยแป้งในปริมาณมาก ผงแป้งจะลอยฟุ้งกระจายในอากาศ หากสูดดมเข้าไปเป็นเวลานาน จะเกิดการสะสมเป็นก้อนในปอด ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจได้ ฉะนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการโรยแป้งไปที่ตัวโดยตรง แต่ควรเทใส่มือในปริมาณน้อย ๆ และลูบไล้ที่มือก่อนทาบางๆ บนตัว  หรือหยดน้ำนิดๆ ทำเป็นแป้งน้ำแล้วมาประตามตัวก็ได้ ส่วนคุณผู้หญิงนั้นไม่ควรโรยแป้งบริเวณจุดซ่อนเร้น (มีเคสที่พบว่าทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่)- ทั้งเมนทอนและการบูรเป็นสารฤทธิ์เย็นที่ส่งผลต่อระบบประสาท หากเทแป้งเย็นทาแบบฟุ้งๆ จนสูดดมฝุ่นแป้งเข้าไปมากๆ บ่อยๆ อาจทำให้บางคนติดกลิ่นแป้งคล้ายกับติดยาดม หรือระคายเคืองเยื่อบุโพรงจมูกได้- ไม่ควรทาแป้งเย็นที่มีเมนทอนในปริมาณที่เยอะเกินไป เพราะหากผิวหนังสัมผัสกับเมนทอลในปริมาณที่มากๆ ก็อาจจะทำให้ผิวหนังเกิดผื่นแดง เกิดอาการแสบและคันขึ้นมาได้ - หลีกเลี่ยงการทายาแป้งเย็นที่มีการบูรบริเวณรอบดวงตา ปาก และตรงที่มีแผลเปิด เพราะการบูรดูดซึมผ่านผิวหนังได้ง่าย และอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ แหล่งข้อมูลอ้างอิงhttps://th.my-best.com/23699https://oryor.com/https://worldchemical.co.thhttps://www.pobpad.com/https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/judprakai

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 278 สิ่งที่ต้องระวัง “ช่วงฤดูฝน”

        เริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูฝนแล้ว คิดว่าหลายๆ คนคงจะได้งัดร่มและเสื้อกันฝนออกมาใช้งานกันแล้วแน่ๆ ฤดูฝนของประเทศไทยเรียกได้ว่าเราทุกคนคงต้องระวังกันเป็นพิเศษ เนื่องจากพายุฝนที่กระหน่ำลงมาจะทำให้มีอากาศที่อับชื้น เฉอะแฉะ หรือมีน้ำท่วมขังจนสร้างความไม่สะดวกสบายให้กับผู้คน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีหลายสิ่งที่เราควรจะต้องระมัดระวังกันในช่วงหน้าฝนด้วย         อย่างแรก ช่วงหน้าฝนสิ่งที่เราควรจะต้องระวังกัน คือ โรคต่างๆ ที่มาพร้อมกับหน้าฝน ซึ่งจะมีอะไรบ้างไปดูกัน  โรคที่มียุงเป็นพาหนะ           แน่นอนว่าเมื่อมีฝนก็อาจจะมีน้ำขัง ซึ่งเป็นแหล่งก่อให้เกิดลูกน้ำยุงลายพาหะของไข้เลือดออก ดังนั้นหากในบ้านหรือบริเวณรอบบ้านมีน้ำขังก็รีบให้จัดการไม่ให้มีพวกน้ำขังไม่ว่าจะบนพื้นหรือในภาชนะต่างๆ ทันที เพื่อป้องกันการเกิดลูกน้ำยุงลาย และถ้าบ้านใครมีโอ่งหรือถังน้ำก็ควรหาฝามาปิดให้เรียบร้อย อย่าลืมป้องกันตนเองด้วยการพยายามอย่าให้ยุงกัด ใส่เสื้อแขนยาวขายาวหรือใช้ผลิตภัณฑ์กันยุง โรคน้ำกัดเท้า         โรคนี้เกิดจากการอับชื้นบริเวณเท้า โดยสาเหตุหลัก เช่น เท้าของเราต้องแช่น้ำหรือลุยน้ำเป็นเวลานานๆ นั้นเอง และน้ำที่เท้าเราไปสัมผัสอาจจะไม่สะอาด บางทีเป็นน้ำท่วมขังที่มีสิ่งสกปรกปะปนอยู่จนก่อให้เกิดการเชื้อราที่เท้าเราได้นั้นเอง แนะนำวิธีป้องกันเบื้องต้น หลังจากลุยน้ำมาต้องรีบทำความสะอาดด้วยสบู่ทุกซอกนิ้วแล้วเช็ดให้เท้าแห้งทันที และไม่ควรสวมถุงเท้าหรือรองเท้าที่อับชื้นเป็นเวลานานๆ  โรคหวัด         ถือว่าเป็นโรคยอดฮิตเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะหน้าหนาวหรือหน้าฝนกับไข้หวัด ดังนั้นป้องกันโดยการดูแลตนเองโดยการล้างมือให้สะอาดเป็นประจำ อย่าลืมสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งก่อนออกจากบ้านเพื่อป้องกันการติดเชื้อ สระผมหลังเปียกฝนและเช็ดให้แห้งสนิททุกครั้งก่อนเข้านอน โรคฉี่หนู         เป็นโรคที่ต้องระมัดระวังเช่นกัน เพราะบริเวณน้ำท่วมขังอาจมีปัสสาวะของสัตว์ที่เป็นพาหะปะปนอยู่ ดังนั้นสำหรับคนที่มีบาดแผลบริเวณเท้าหรือขา พยายามอย่าให้โดนน้ำไม่สะอาดโดยเฉพาะพวกน้ำท่วมขังที่มีสิ่งปฏิกูลปะปน หากต้องเดินลุยน้ำจริงๆ ให้สวมใส่รองเท้าบูทเพื่อป้องกัน หลังจากลุยน้ำให้รีบทำความสะอาดทันทีและอย่าสัมผัสสัตว์ที่เป็นพาหนะของโรคได้ สำหรับอาการโรคฉี่หนู เริ่มต้นอาจมีอาการคล้ายเหมือนไข้หวัด ถ้าไม่แน่ใจผู้บริโภคควรไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์และหาสาเหตุที่แท้จริง เพื่อการรักษาอย่างถูกวิธี         ทั้งนี้นอกจากโรคต่างๆ ที่มาพร้อมกับฤดูฝนแล้ว ยังคงมีสิ่งที่ต้องระวังอีก เช่น สัตว์มีพิษทั้งหลาย งู แมงป่อง ตะขาบ เป็นต้น แนะนำให้ดูแลสำรวจเช็กพื้นที่ภายในบ้านให้ดี ตรงไหนที่น่าจะเป็นพื้นที่ให้สัตว์มีพิษอาศัยได้ให้เอาออกและทำให้เป็นที่โล่งๆ ได้ยิ่งดี พยายามอย่าทำให้รกรุงรังเพราะอาจกลายเป็นที่อยู่อาศัยจากสัตว์มีพิษชั้นดี แล้วกลายเป็นที่อันตรายต่อผู้อยู่อาศัยซะเอง ก่อนสวมรองเท้าก็ควรดูให้ดี เคาะๆ ก่อนใส่ เพื่อเช็กว่าไม่มีสัตว์มีพิษทั้งหลายอยู่ในรองเท้า         ส่วนอีกเรื่องที่ต้องดูให้ดีเพื่อความปลอดภัย คือ เรื่องของไฟฟ้าภายในบ้านที่ต้องระวัง เพราะเป็นเรื่องอันตรายที่ใกล้ตัวมากที่สุด ไม่ควรปิดเปิดและถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าขณะตัวเปียกๆ อย่านำมือไปใกล้หรือสัมผัสเครื่องไฟฟ้าเด็ดขาด หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องไฟฟ้าที่เปียกน้ำไปแล้ว หากต้องการใช้งานควรรอให้แห้งสนิทเท่านั้น และอย่าลืมติดตั้งสายดินเพื่อความปลอดภัย และปิดถอดปลั๊กทุกครั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งหลังใช้งาน ข้อมูลจาก PEA เตือนภัยจากการใช้ไฟฟ้าช่วงฤดูฝนฉี่หนู หน้าฝนน้ำท่วมต้องระวังให้หนักhttps://www.siphhospital.com/th/news/article/share/leptospirosisโรคติดเชื้อที่มากับฤดูฝนhttps://www.bumrungrad.com/th/health-blog/november-2011/hong-kong-foot-althletes-foot-flood

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 278 ฮีลใจเพิ่มพลังผ่านแอปพลิเคชัน

        ฉบับนี้ขอแนะนำคำว่า “ภาวะหมดไฟ” เป็นความรู้สึกหมดพลัง เหนื่อยล้าทางอารมณ์ รู้สึกสูญเสียพลังจิตใจ ไม่มีกำลังใจ ไม่อยากทำอะไร ฯลฯ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจากการทำงาน จากครอบครัว จากสังคมได้ทั้งสิ้น ภาวะเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างแน่นอน หลายคนที่เกิดภาวะหมดไฟจะพยายามหาทางออกในรูปแบบที่แตกต่างกันไป เช่น ทานอาหารอร่อยๆ นั่งเล่นตามร้านเบเกอรี่ เดินเล่นตามสถานที่ต่างๆ ไปท่องเที่ยวตามแหล่งธรรมชาติ ช้อปปิ้ง ทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ เป็นต้น         เมื่อจิตใจหมดพลัง การทำความเข้าใจและให้กำลังใจกับตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ณ ช่วงเวลานั้น ครั้งนี้จึงมาแนะนำการฮีลใจผ่านแอปพลิเคชัน 2 แอปพลิเคชัน ดังนี้ อันแรกคือ แอปพลิเคชัน WithU ที่มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาขึ้นมาเพื่อส่งต่อความรู้สึกดีๆ ผ่านตัวอักษร ทำให้เกิดพลังบวกให้กับผู้อ่าน ลดความเครียดความวิตกกังวล พร้อมทั้งช่วยส่งเสริมและให้กำลังใจในเวลาท้อแท้ได้เป็นอย่างดี ขอยกตัวอย่างข้อความฮีลใจในแอปพลิเคชันนี้กันสักหน่อย             “วันนี้มันก็แค่วันแย่ๆ วันนึง เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เช้าแล้วนะ”             “วันนี้เธอเจออะไรมาบ้าง เหนื่อยมั๊ย สู้ๆน้าา กอดๆคนเก่ง”             “ขอให้ฝนหยุดตกในใจเธอ แล้วมีสายรุ้งเข้ามาแทนนะ”         ประโยคอาจจะดูเลี่ยนๆ หน่อย แต่เชื่อเถอะว่าสำหรับผู้ที่กำลังต้องการกำลังใจและเหนื่อยล้ากับชีวิต อ่านแล้วจะรู้สึกดีและมีพลังเดินต่อได้ เป็นประโยชน์ต่อการฮีลใจได้อย่างมาก         อันที่สอง แอปพลิเคชัน MOODA เป็นแอปพลิเคชันสำหรับบันทึกอารมณ์ความรู้สึกในแต่ละวัน ซึ่งรูปแบบในการบันทึกจะผ่านไอคอนสีหน้าตามอารมณ์หรือความรู้สึกแบบต่างๆ เพื่อแทนอารมณ์และความรู้สึกในแต่ละวัน มาพร้อมกับสีของไอคอนที่แตกต่างกันออกไปตามความรู้สึกนั้นๆ        การใช้งานภายในแอปพลิเคชัน MOODA จะเริ่มจากการกดมีสัญลักษณ์เครื่องหมายบวกด้านล่าง จากนั้นให้เลือกไอคอนสีหน้าตามอารมณ์ความรู้สึกในวันนั้น และเลือกวันเดือนปีที่ต้องการบันทึก ต่อมาจะเป็นขั้นตอนการใส่ข้อความตามความรู้สึกที่จะบอกให้ตัวเองได้รับรู้และเก็บบันทึกไว้อ่านในอนาคต และกดบันทึก หลังจากนั้นไอคอนจะปรากฎบนปฏิทิน         เมื่อผู้ใช้แอปพลิเคชันบันทึกอารมณ์ความรู้สึกทุกวัน จะช่วยทำให้เข้าใจตนเองว่าอารมณ์ความรู้สึกในแต่ละช่วงเป็นอย่างไร ซึ่งอาจจะช่วยในการปรับอารมณ์ได้ดีมากขึ้น         การได้อ่านข้อความฮีลใจและการได้ระบายบอกตนเองให้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึก เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่จะลดความเครียด ความกดดัน ความวิตกกังวล ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจไม่มากก็น้อย ลองมารักษาใจผ่านแอปพลิเคชันWithU และแอปพลิเคชัน MOODA กัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 278 ทันตกรรมต้องเท่าเทียม เมื่อสิทธิผู้บริโภคก็คือสิทธิมนุษยชน

        ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาลของกองทุนประกันสังคม กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ ถูกพูดถึงมาอย่างยาวนานในสังคมไทย           ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดตัวอย่างหนึ่งคือ สิทธิทางทันตกรรม ซึ่งสำนักงานประกันสังคมกำหนดเพดานให้ทั้งการขูดหินปูน อุดฟัน ถอนฟัน และผ่าฟันคุด จำกัดในวงเงินเพียง 900 บาท ต่อคนต่อปี ตัวเลขดังกล่าวย่อมไม่อาจทำให้ประชาชนไทยมีคุณภาพทันตกรรมที่ดีได้ เมื่อเปรียบเทียบกับกองุทนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือ 'บัตรทอง' และระบบสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ ที่ต่างกำหนดให้เบิกได้ตามความจำเป็นจริง         ล่าสุด ความเดือดร้อนนี้ประชาชนได้นำเข้าร้องเรียนกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแล้ว สุภัทรา  นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รับเรื่องไว้ตั้งแต่วันแรกและยังคงส่งเสียงเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันยกระดับสิทธิของผู้ประกันตนในประกันสังคม เพื่อไม่ให้เป็นการเลือกปฏิบัติ สร้างความเป็นธรรมในสังคมไทย  คุุณสุภัทราช่วยแนะนำตัวให้ หลายๆ คนได้รู้จักหน่อยค่ะ         ปัจจุบันทำงานเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ก็เป็นกรรมการสิทธิในสายเรียกว่า เป็นผู้มีประสบการณ์ ในการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ไม่น้อยกว่า 10 ปี พื้นฐานพี่เป็นนักกฎหมาย  เป็นทนายความ เริ่มต้นทำงานเป็นอาสาสมัครเพื่อสังคม ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้เป็นมูลนิธิ แล้วก็ได้ไปทำงานที่กลุ่มเพื่อนหญิง ในปี 2536 มาทำงานทางด้านเอช ไอวี  จนตั้งองค์กร ชื่อว่า ศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ ซึ่งทำงานกับคนหลายกลุ่มทั้งผู้ใช้ยาเสพติด แรงงานข้ามชาติ แล้วทำเรื่องนี้มาจนกระทั่งมาเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเลย         การได้เข้ามาร่วมในงานคุ้มครองผู้บริโภคก็เป็นพันธมิตรอยู่แล้ว ทำด้วยกันมานานแล้ว ตั้งแต่ช่วงที่ผลักดันให้มีการจัดตั้งองค์กรอิสระด้านสิทธิผู้บริโภคตามรัฐธรรมนูญ พี่ได้เข้าไปเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ แล้วก็มาช่วยเครือข่ายผู้บริโภคขับเคลื่อนเรื่องกฎหมาย จนสุดท้ายออกมาเป็น พ.ร.บ. จัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค เราก็ทำงานกับผู้บริโภคมาโดยตลอด พี่มองว่าสิทธิผู้บริโภคก็คือสิทธิมนุษยชน  มีประชาชนเข้าไปใช้สิทธิร้องเรียนที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนไม่น้อยและหลากหลายเรื่อง         ใช่ ต้องเริ่มจากการเข้าใจ บทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติก่อน เรามีอำนาจตาม พระราชบัญัติประกอบรัฐธรรมนูญปี 2560 ให้อำนาจในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนมาทั้งจากคนมาร้องเรียนหรือกรรมการสิทธิฯ จะยกขึ้นมาเองก็ได้เช่น เรื่องทหารตายในค่าย หากเราสงสัยว่าเป็นการซ้อมทรมานหรือเปล่า เราอาจจะเขียนเป็นข่าวเสนอให้ยกขึ้นมาตรวจสอบก็ได้ ถ้าพบว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนก็จะต้องมีรายงานการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนออกมา และมีข้อเสนอแนะไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คณะรัฐมนตรี หรือรัฐสภา หรือใครก็ตามเพื่อให้ป้องกัน แก้ไข  เยียวยา ไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีก         การทำงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทำมากกว่ากฎหมายภายในประเทศ ในมาตรา 4  เขียนว่ากฎหมายสิทธิมนุษยชนมากกว่ากฎหมายภายในประเทศ เป็นพันธะกรณีกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ประเทศไทยให้การรับรองทั้งหมด จึงไม่ได้หมายความว่า ไม่มีกฎหมายภายในประเทศแล้วเราจะไม่คุ้มครอง เราก็อาจจะยื่นข้อเสนอให้มีการตรากฎหมายให้มันสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนก็ได้  บทบาทที่หนึ่งจึงเป็นการคุ้มครองสิทธิ  ตรวจสอบการละเมิดสิทธิ สอง คือการส่งเสริมสังคมเคารพสิทธิมนุษยชน  เรามีหน้าที่ส่งเสริมหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติตามหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชน สร้างการเรียนรู้  เรื่องสิทธิมนุษย์ชนเพื่อให้คนเคารพกัน ไม่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต่อกัน และสาม คือเรามีหน้าที่ศึกษาและจัดทำข้อเสนอ ไม่ว่าจะเรื่องของกฎหมาย กฎระเบียบข้อบังคับ ใด ๆ ที่มีคนร้องว่า กฎระเบียบนี้ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน เช่นที่เขาจะเลือกตั้งกรรมการประกันสังคม สำนักงานประกันสังคมออกประกาศว่า  ผู้เลือกตั้งประกันสังคมต้องมีสัญชาติไทย เรากรรมการสิทธิจึงเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล ชี้แจงสอบถาม สุดท้ายก็เป็นการเลือกปฏิบัติ เพราะผู้ที่ส่งเงินสบทบที่ไม่ใช่สัญชาติไทยมีอยู่กว่า 1,400,000 คน เป็นการกีดกัน         กรรมการสิทธิฯ ชุดปัจจุบัน มี 7 ท่านแต่ละท่านก็จะแบ่งงานกันงานกันไปในประเด็นต่าง ๆ พี่ดูเรื่องสิทธิผู้บริโภค สิทธิแรงงาน สิทธิของกลุ่มเปราะบาง ความหลากหลายทางเพศ เราแบ่งงานกันดูแลแต่เมื่อจะออกรายงานหรือมีข้อเสนอออกไป เราก็ได้คุยกันทุกคน จนมีมติร่วมกันเรื่องล่าสุดที่เพิ่งออกรายงานไป คือเรื่องประกันโควิด   มีผู้เสียหายหลายหมื่นคน และความเสียหายประมาณ 68,000 ล้าน  ต้องใช้เวลาประมาณ 40 ปี ถึงจะใช้หมด แล้วเราก็เชิญหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาช่วยกันหาทางออก   เมื่อปี 2566 มีประชาชนได้เข้าไปร้องเรียนเรื่องสิทธิทันตกรรม ที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เรื่องนี้มีที่มาอย่างไร         ใช่ค่ะ  มีคนมาร้องว่าเขาเป็นผู้ประกันตน มีสิทธิประกันสังคม แล้วไปใช้สิทธิในการทำฟัน แล้วปรากฎว่า เขาก็ได้แค่ 900 บาท ซึ่งเมื่อเทียบแล้วน้อยกว่าสิทธิบัตรทอง เมื่อเทียบแล้วเขาจ่ายเงินสมทบด้วย แต่ทำไมเขาได้สิทธิน้อยกว่า บัตรทอง แล้ว 900 ครอบคลุมแค่ 4 อย่าง ขูดหินปูน อุดฟัน ถอนฟัน และถอน/ผ่าฟันคุด นอกนั้นไม่ครอบคลุม เขารู้สึกว่าไม่เป็นธรรม เขาเลยอยากให้เราตรวจสอบ เราจึงเชิญ กรมบัญชีกลาง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานประกันสังคม สำนึกทันตสาธารณสุข กรมอนามัย ทันตแพทยสภา เชิญชุมชนผู้ประกันตน  องค์กรผู้บริโภค เชิญทุกฝ่ายมาชี้แจงให้ข้อมูล         มุมมองของสำนักงานประกันสังคมเขามองว่าปฏิบัติต่อผู้ประกันตนเสมอเหมือนกัน ไม่ได้เลือกปฏิบัติหรือกีดกัน ความหมายของเขาคือในกลุ่มผู้ประกันตน เขาปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันคือได้แค่ 900/คน / ปี ผู้ประกันตนทุกคนก็ได้เหมือนกัน แต่การออกประกาศกำหนดให้ผู้ประกันตน  มีสิทธิเบิกค่าบริการทันตกรรมขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ขูดหินปูน อุดฟัน ถอนฟัน และผ่าฟันคุด จำกัดในวงเงินเพียง 900 บาทต่อคนต่อปี ขัดกับพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ที่กำหนดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคนที่จะต้องได้รับบริการสุขภาพที่จำเป็นอย่างเท่าเทียมกัน และเข้าถึงระบบบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพและมีมาตรฐาน         ผู้ที่มาร้องเรียนเขายังมองอีกว่า ในสิทธิประกันสังคมยังเป็นกลุ่มที่เขาจ่ายเงินตนเองเข้าไปสมทบ แต่สิทธิยังได้น้อยกว่า คนประกันสังคมเป็นคนกลุ่มเดียวที่ยังต้องจ่ายค่าสุขภาพของตัวเอง ขณะที่สิทธิของประชาชนในบัตรทองสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐเป็นการใช้เงินภาษีของประชาชนมันจึงเป็นความเหลื่อมล้ำ สิทธิของประกันสังคมไม่ควรจะต่ำกว่าสิทธิบัตรทอง เพราะว่าประกันสังคมยังมีการจ่ายเงินเพิ่มเข้าไปอีก         หลังจากฟังได้ข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้บัญญัติรับรองว่า บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพ และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องใดจะกระทำมิได้และบุคคลย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐ  โดยรัฐต้องดำเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึงและบัญญัติรับรองสิทธิดังกล่าวไว้ในพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ซึ่งสอดคล้องกับกติการระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และกติการระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) เราจึงถือได้ว่า สำนักงานประกันสังคมกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้ประกันตน ปัจจุบันเรื่องนี้ ดำเนินการอยู่ในขั้นตอนไหน         เราจัดวงที่รับฟังข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายไปเมื่อช่วงต้นปีนี้ หลังจากนั้นเรามีข้อเสนอแนะในการป้องกันและแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไปยังคณะกรรมการประกันสังคม (ผู้ถูกร้อง) และคณะกรรมการการแพทย์  ให้ปรับปรุงแก้ไขประกาศคณะกรรมการการแพทย์ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราสำหรับประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน โดยยกเลิกการกำหนดเพดานค่าบริการทันตกรรมขั้นพื้นฐานในวงเงินไม่เกิน 900 บาท ต่อคนต่อปี และกำหนดสิทธิประโยชน์ด้านบริการทันตกรรมให้ไม่ต่ำกว่าสิทธิบัตรทอง         นอกจากนี้ มีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ให้คณะกรรมการประกันสังคมและคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วมกันดำเนินการให้ผู้ประกันตนสามารถใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ ตามมาตรา 5 และมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 โดยออกเป็นพระราชกฤษฎีกา ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว มีข้อเสนอที่เราออกไปเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2567 และเราได้ส่งรายงานและข้อเสนอแนะไปให้หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ สำนักงานประกันสังคมและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)         หลังจากนี้คณะกรรมการสิทธิเรามีคณะกรรมการติดตามข้อเสนอแนะว่า หลังจากมีข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปแล้ว เขาได้ดำเนินการต่อไปอย่างไร ได้ดำเนินการหรือไม่ ติดขัดหรือมีอุปสรรคอะไรที่เราจะเข้าไปช่วยได้ เราก็อยากให้ข้อเสนอเราเป็นจริงในทางปฏิบัติ ไม่ได้แค่เสนอไป ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงของการติดตามการดำเนินการของหน่วยงานต่างๆ  ความเหลื่อมล้ำในการได้รับสิทธิเข้ารับบริการสาธารณสุขของทั้ง 3 กองทุนมีมานานแล้ว เป็นไปได้ไหมที่จะมีความเปลี่ยนแปลงให้เท่าเทียมกัน หรือพูดง่ายๆ ว่ารวมกันหมด         พี่เชื่อว่าทำได้ ถ้าพูดในหลักการ เชิงการบริหารจัดการแต่การทำได้ต้องมีความกล้าหาญทางการเมือง เพราะจุดเริ่มต้น มาจากสวัสดิการการรักษาพยาบาลข้าราชการเริ่มมีก่อน แล้วมีประกันสังคม แล้วมีบัตรทอง จริงๆ แต่ถึงสิทธิบัตรทองจะเกิดขึ้นภายหลัง แต่ตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติย่อมต้องการให้ประชาชนไทยทุกคนได้สิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานที่เท่าเทียมกันอยู่แล้ว การที่แยกบริหารมันก็เป็นความสิ้นเปลือง   แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ยุบสำนักงานประกันสังคมแต่ประกันสังคมก็ไม่ได้มีความชำนาญ ไม่ได้มีหมอเป็นของตนเอง อย่างน้อยที่สุด ไม่รวม 3 กองทุน ก็รวม 2 คือรวมประกันสังคมกับบัตรทอง  แล้วรัฐบาลก็จ่ายค่าหัวให้เหมือนกับบัตรทองส่วนสำนักงานประกันสังคมก็ดูแลอีก 6 สิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนเหมือนเดิม แต่สิทธิทางด้านการรักษาพยาบาลด้านสาธารณสุขนำมารวมกัน แล้วอาจทำให้เงินที่เราจะได้จากสำนักงานประกันสังคม เพื่อเอามาใช้ตอนแก่ มีมากขึ้นก็ได้ สิทธิการรักษาของข้าราชการหลายคนก็อาจจะมองว่าดี แต่ทุกสิทธิมีช่องโหว่นะ สิทธิการรักษาของข้าราชการ เมื่อใช้สิทธิฉุกเฉินก็ทำให้ต้องจ่ายเงินเองเยอะได้ ส่วนสวัสดิการบัตรทองมีกองทุนช่วยเหลือเบื้องต้นเมื่อเข้ารับการรักษาแล้วได้รับความเสียหายที่ไม่ใช่จากพยาธิสภาพของโรค เช่นไปผ่าตัดแต่มีอะไรหลงลืมไว้ในท้อง ส่วนของข้าราชการไม่มีกองทุนช่วยเหลือเบื้องต้นแบบนี้มีอะไรต้องไปฟ้องศาลกันอย่างเดียวเลย   ปัจจุบันคุณสุภัทรามองว่ามีสถานการณ์อะไรที่ผู้บริโภคควรจะต้องตื่นตัวหรือตื่นรู้ให้เท่าทันบ้าง         คือในปัจจุบันพี่คิดว่า โลกมันเปลี่ยนไปเยอะ ปัญหามันเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ตอนนี้โจทย์เรื่องการทำให้ผู้บริโภคเข้มแข็งเป็นโจทย์ใหญ่  ซึ่งเหตุผลของการมีสมาชิกของสภาองค์กรของผู้บริโภคเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้าเป็นเหตุผลสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้บริโภค มันเป็นเรื่องที่ถูกพิสูจน์มาทั้งโลก จากการที่เราไปประชุมระดับโลกมาแล้ว เขาพบว่า ต่อให้มีกฎหมายดีเข้มแข็งแค่ไหนแต่ถ้าผู้บริโภคไม่เข้มแข็งก็ไม่ค่อยจะมีผลอะไรมากนัก  ฉะนั้นการทำให้ผู้บริโภคเข้มแข็งจึงมีความสำคัญมากๆ          แล้วความเข้มแข็งคืออะไร ก็คือการที่ผู้บริโภครู้สิทธิ รู้ช่องทาง ร้องเรียนและมีการรวมกลุ่ม เพราะการไปสู้กับผู้ประกอบการ ประชาชนตัวเล็กๆ ควรต้องรวมตัวกัน เมื่อรวมกลุ่มแล้วจะได้ช่วยกันส่งเสริมต่อรอง เรียกร้องสิทธิ เผยแพร่เพื่อให้เกิดการตระหนักรู้ขณะเดียวกันเราก็ต้องดูด้วยว่ากฎหมายของเรามีช่องว่างอะไรที่อาจทำให้ไม่เกิดการคุ้มครองผู้บริโภคอยู่ ก็ต้องทำให้เป็นมาตรฐานสากล   การใช้สิทธิร้องเรียนของผู้บริโภค คุณสุภัทราเชื่อว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร         แน่นอน คือเราไม่มีทางรู้เลยนะว่าปัญหาของผู้บริโภคคืออะไร ถ้าผู้บริโภคไม่มาร้องเรียนซึ่งปัจจุบันเราก็มีตัวเลขชัดเจนเลยนะว่า สถิติการร้องเรียนของผู้บริโภคยังมีแค่ 2 % เท่านั้นที่มาร้องเรียน กลุ่มสองเปอร์เซ็นต์นี้เขาเป็นหน่วยกล้าตายมากเลยเพราะถ้าไม่เหลือทนจริงๆ เขาก็ไม่มาร้องเรียนหรือว่าดำเนินการถูกไหม ดังนั้นการร้องเรียนสำคัญมาก ไม่อยากให้เก็บไว้ บางเรื่องมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่เมื่อนับจำนวนคนที่ต้องมาเจอปัญหาหรือมาถูกหลอกก็เป็นมูลค่ามหาศาล อยากจะให้ผู้บริโภคทุกคนตระหนักถึงสิทธิของเรา เรามีสิทธิที่จะได้ข้อมูลข่าวสารที่รอบด้าน เพียงพอในการตัดสินใจในการซื้อหรือไม่ซื้อบริการ และเมื่อเราซื้อสินค้าและบริการไปแล้วมันไม่ตรงปก เราก็ไม่ควรจะเก็บเรื่องเอาไว้ว่า ช่างมันเถอะ แค่ 50 บาท 80 บาท 100 บาท แต่รวมแล้วกี่คนที่ต้องมาถูกหลอก การที่บอกว่าร้องเรียนหนึ่งครั้ง ดีกว่าบ่นพันครั้ง  มันก็ยังจริง  บ่นแล้วมันไม่เกิดประโยชน์อะไร การร้องเรียนคือ การเดินออกมาบอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นและจะไม่ปล่อยให้ปัญหามันอยู่ต่อ จะต้องมีการแก้ไข  เพื่อไม่ให้ปัญหามันเเกิดขึ้นต่อไป         มีเรื่องหนึ่งที่่อยากจะแชร์มาก นานแล้วมีกรณีที่โรงพยาบาลจะเก็บเงินค่าบำรุง  20 บาท มีใบเสร็จให้ด้วยแล้วมีประชาชนเอาเรื่องนี้ไปฟ้องศาลปกครองว่า การเก็บเงินค่าบำรุงแบบนี้ใช้อำนาจตามกฎหมายอะไร แล้วเงินบำรุงมันควรจ่ายตามความสมัครใจไหม ไม่ใช่การเก็บอัตโนมัติ  เขาก็ไปฟ้องศาลปกครอง ศาลก็พิจารณาอยู่เป็นปี คนอื่นอาจมองว่ามันแค่ 20 บาท แต่สุดท้ายศาลมีคำวินิจฉัยว่าไม่ได้มีอำนาจตามกฎหมายใด ที่ให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเก็บเงินบำรุงได้ แล้วเงินบำรุงไปดูระเบียบโรงพยาบาลมันเหมือนเงินบริจาคมันต้องสมัครใจไม่ใช่การเก็บแบบแบบอัตโนมัติแบบนี้  พอศาลมีคำพิพากษาแบบนี้โรงพยาบาลต่างๆ  ก็ยกเลิกการเก็บเงินบำรุงทั้งหมด คนที่ไปอาจเริ่มจากตนเอง แต่คุณอาจไม่รู้ว่ามันจะนำไปสู่อะไรบ้าง นี่คือตัวอย่างที่เกิดขึ้น เรื่องเล็กๆ ก็เป็นฐานของเรื่องใหญ่ๆ ถ้ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง มันก็ส่งผลให้คนอีกหลายคน อาจทั้งสังคมได้รับประโยชน์ด้วย  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 278 ข้าวโพดขึ้นรา..อร่อยหรือกร่อย

        คลิปหนึ่งใน TikTok ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความนิยมของคนเม็กซิกันในการกินข้าวโพดที่ขึ้นราจนเมล็ดมีลักษณะผิดปรกติ โดยเนื้อข่าวมีประมาณว่า คนเม็กซิกันไม่โยนข้าวโพดที่ขึ้นราจนเมล็ดดูน่าเกลียดทิ้ง แต่กลับชอบนำมาทอดทำเป็นอาหารกิน อีกทั้งยังเป็นสินค้าเกษตรที่มีราคาแพงเป็นพิเศษเพราะ (ในความรู้สึกของคนเม็กซิกัน) ข้าวโพดดังกล่าวมีรสชาติดีและมีกรดอะมิโนจำเป็นคือ lysine สูงกว่าข้าวโพดปรกติ นอกจากนี้ยังมีการอธิบายด้วยว่า เป็นภูมิปัญญาโบราณของคนพื้นเมือง Aztec ที่สูญหายไปจากสังคมโลกแล้ว (แต่อาจซ่อนตัวอยู่ในป่าลึกส่วนที่ไม่ใครรู้เห็นได้)... ท้ายสุดของคลิปนั้นได้ตั้งประเด็นที่นักพิษวิทยาได้ยินแล้วสยองว่า “ไม่รู้ว่าข้าวโพดที่ขึ้นราในประเทศไทยกินได้แบบนี้หรือไม่ เพราะถ้าได้….หมายความว่า รายได้เกษตรกรจะเพิ่มขึ้นมากมาย”         มีคำถามว่า ราชนิดที่ขึ้นบนเมล็ดข้าวโพดที่ยังอยู่ในฝักดังแสดงในคลิปวิดีทัศน์นั้นคืออะไร ซึ่งเมื่อสืบหาข้อมูลจากอินเตอร์ตามช่องทางต่างๆ ก็พบว่า รานี้มีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Ustilago maydis (อุสติลาโก เมย์ดิส) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อสามัญว่า "ราดำ", "ทรัฟเฟิลเม็กซิกัน","huitlacoche (ฮ์วีท-ลา-โค-เช่ะ)" หรือ "cuitlacoche (ค์วีท-ลา-โค-เช่ะ)" คำหลังนี้ใช้น้อยกว่าคำแรกมาในคลิปต่าง ๆ ใน YouTube         เชื่อกัน (แต่หลักฐานไม่ชัดเจน) ว่า ที่มาของคำว่า ฮ์วีทลาโคเช่ะ หรือ ค์วีท-ลา-โค-เช่ะ นั้นเป็นคำในภาษาของอารยธรรมแอซเท็ก ซึ่งมาจากคำว่า cuitla (ขี้) และ cochi (หมู) โดยรวมแล้ว ฮ์วีทลาโคเช่ะ จึงหมายถึง ขี้หมู ซึ่งผู้เขียนไม่แน่ใจว่า สิ่งที่เหมือนขี้หมูนั้นคือ กลิ่นหรือเปล่า แต่เวลาคูคลิปที่มีการปรุงเป็นอาหาร ทุกคนดูมีความสุขดีในการกิน         บทความเรื่อง Huitlacoche (Ustilago maydis), an Iconic Mexican Fungal Resource: Biocultural Importance, Nutritional Content, Bioactive Compounds, and Potential Biotechnological Applications ในวารสาร Molecules ของปี 2023 ให้ข้อมูลว่า อุสติลาโก เมย์ดิส เป็นเชื้อราที่เกิดบนข้าวโพดที่ทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่สำคัญในประเทศต่างๆ แต่ในทางกลับกันการบริโภคข้าวโพดขึ้นรานี้ (ฮ์วีทลาโคเช่ะ) กลายเป็นเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมอาหารเม็กซิกัน และมีมูลค่าทางการค้าสูงในตลาดภายในประเทศ บทความให้ข้อมูลต่อว่า ฮ์วีทลาโคเช่ะเป็นแหล่งสารอาหารที่ดีเยี่ยม เช่น โปรตีน ใยอาหาร กรดไขมัน แร่ธาตุ และวิตามิน อีกทั้งยังมีหลักฐานว่า เป็นแหล่งสำคัญของสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่มีคุณสมบัติเสริมสร้างสุขภาพอีกด้วย โดยมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่า สารสกัดหรือสารประกอบที่แยกได้จากฮ์วีทลาโคเช่ะมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ต้านจุลชีพ ต้านการอักเสบ ต้านการก่อกลายพันธุ์ ต้านเกล็ดเลือด (แสดงถึงศักยภาพในการบำบัดโรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ อาการเจ็บหน้าอกที่มีสาเหตุจากหัวใจ เป็นต้น) และมีฤทธิ์โดปามิเนอร์จิค (คือ มีฤทธิ์ที่มีบทบาทสำคัญในอารมณ์ เพิ่มแรงจูงใจและความสุข จึงมักถูกเรียกว่าเป็น "สารก่อความรู้สึกดี" เพราะมันถูกปล่อยออกมาเพื่อตอบสนองต่อประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจและสามารถช่วยยกระดับอารมณ์ได้)         สำหรับความน่าสนใจในทางอุตสาหกรรมนั้น มีความพยายามนำฮ์วีทลาโคเช่ะมาทดลองใช้ในการสังเคราะห์อนุภาคนาโนอนินทรีย์ ใช้ในการกำจัดโลหะหนักออกจากตัวกลางที่เป็นน้ำ ใช้ช่วยในการควบคุมทางชีวภาพ ใช้สำหรับกระบวนการผลิตไวน์ ใช้เป็นแหล่งของสารลดแรงตึงผิวทางชีวภาพ (bio-surfactant) และเอ็นซัมบางชนิดที่มีศักยภาพในบางอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ประเด็นที่น่าสนใจคือ มีแนวโน้มว่าจะนำเอาฮ์วีทลาโคเช่ะมาใช้เป็นส่วนผสมในการพัฒนาอาหารสุขภาพ (น่าจะหมายถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร) เนื่องจากมีคุณสมบัติในการลดคอเลสเตอรอล เป็นต้น        ความจริงนั้นรา อุสติลาโก เมย์ดิส เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่เกษตรกรไทย เพียงแต่เรียกกันเป็นชื่ออื่น นักวิชาการจัดรานี้ว่า เป็นรากลุ่ม basidiomycetes fungus ก่อโรคในข้าวโพดเรียกว่า โรคราเขม่าดำข้าวโพด (corn smut disease) ซึ่งสมาคมนักโรคพืชแห่งประเทศไทยเมื่อ 11 ตุลาคม 2559 ให้ข้อมูลใน Facebook ของสมาคมว่า โรคสมัท (Smut) หรือราเขม่าดำ เกิดจากเชื้อรา อุสติลาโก เมย์ดิส พบระบาดทั่วไปในแหล่งที่มีการปลูกข้าวโพดทั่วโลก ทำให้ผลผลิตเสียหายเล็กน้อยไปจนถึง 6 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตและทำความเสียหายกับข้าวโพดหวานเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยลักษณะอาการแสดงให้เห็นบนส่วนต่าง ๆ ของพืชที่อยู่เหนือดิน ลำต้น ใบ ฝักและเกสรตัวผู้ เชื้อราสร้างปม (gall) ขึ้นโดยครั้งแรกมีขนาดใหญ่สีขาว ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีดำ เมื่อแก่ปมจะแห้งผนังที่หุ้มปมจะแตกออก ภายในมีผงสีดำ คือ สปอร์ (spore) ของเชื้อรา ซึ่งเป็นตัวแพร่ระบาดของโรคในฤดูต่อๆ ไป         นอกจากนี้เอกสาร ข่าวเตือนการระบาดศัตรูพืชประจำสัปดาห์ ของกองส่งเสริมการอารักขาพืชและจัดการดินปุ๋ย กรมส่งเสริมการเกษตร ปีที่ 15 ฉบับที่ 51 ประจำวันที่ 5 เมษายน 2560 มีบทความเรื่อง โรคราเขม่าดำข้าวโพด (Smut Disease) ได้แจ้งเตือนเกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดทุกชนิดให้ระวังโรคราเขม่าดำหรือโรคสมัทที่มักพบได้ในข้าวโพดทั่วประเทศไทย อีกทั้งโรคนี้ยังสามารถทำความเสียหายแก่ พืชไร่ เช่น อ้อย (โรคแส้ดำ) และธัญพืชต่าง ๆ หลายชนิด โดยเข้าทำลายเมล็ด เกิดการเพิ่มปริมาณผงสปอร์สีดำงอกเต็มผลผลิต ทำให้ผลผลิตเสียหายและคุณภาพลดลง ซึ่งในช่วงนี้ (เมษายน) สภาพอากาศเหมาะสมสำหรับเชื้อรานี้เจริญเติบโตแพร่ระบาดและทำความเสียหายรุนแรง ดังนั้น เกษตรกรควรหมั่นสำรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเริ่มพบอาการของกลุ่มผงสีดำ หรือเมล็ดข้าวโพดเป็นปุ่มปมบวมพอง ให้รีบขอคำแนะนำเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเกษตรอำเภอ หรือสำนักงานเกษตรจังหวัด เพื่อหาแนวทางควบคุม และป้องกันกำจัดก่อนเกิดการระบาดรุนแรง         ดังได้เกริ่นแล้วในตอนต้นของบทความว่า ผู้ที่ทำคลิปลง TikTok เกี่ยวกับ ฮ์วีทลาโคเช่ะ ได้ทิ้งท้ายในคลิปว่า ถ้าในประเทศไทยมีการระบาดของรา อุสติลาโก เมย์ดิส บนข้าวโพดบ้านเรา เกษตรกรคงได้เพลินในการเก็บเงินที่ได้จากการขายวีทลาโคเช่ะเป็นกอบเป็นกำเช่นเดียวกับเกษตรกรเม็กซิกัน ซึ่งความจริงแล้วในทางวิชาการนั้น การระบาดของราดังกล่าวเป็นหายนะของเกษตรกรต่างหาก เพราะบริบทของข้าวโพดขึ้นราที่เกิดขึ้นในไทยนั้นอาจมีลักษณะหลายประการที่ต่างจากข้าวโพดขึ้นราของชาวเม็กซิกัน อีกทั้งในการปรุงอาหารจานเด็ดดังกล่าวอาจต้องมีเคล็บลับบางประการที่ทำให้ผู้บริโภคเม็กซิกันดูมีความปลอดภัยดีหลังบริโภคฮ์วีทลาโคเช่ะ         ถ้า Mexican soft power เกี่ยวกับข้าวโพคขึ้นราดำนี้เข้ารุกรานไทย มีข้อมูลอะไรที่ผู้บริโภคชาวไทยควรสนใจบ้าง ก่อนอื่นผู้บริโภคควรตระหนักว่า ลักษณะข้าวโพดที่ติดโรคนั้นเป็นการกลายพันธุ์ของเมล็ดอย่างหนึ่ง เพราะราอุสติลาโก เมย์ดิส นั้นมีคุณสมบัติพิเศษในการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกทางพันธุกรรมของเมล็ดข้าวโพดจนแสดงลักษณะผิดปรกติ ข้อมูลเชิงลึกทางวิชาการคือ อุสติลาโก เมย์ดิส ดังกล่าวเป็นเจ้าบ้าน (host) ของไวรัสจำเพาะคือ UmV (Ustilago maydis virus) ในลักษณะปรสิตที่ทำให้มีการสร้างสารพิษ killer toxins ออกมาได้ (ทำนองเดียวกับแบคทีเรียหลายชนิดมีไวรัสที่เรียกว่า phage หรือ bacteriophage เป็นปรสิต) ซึ่งสารพิษเหล่านี้สามารถฆ่าตัวเชื้อราเองได้ และมีศักยภาพในการนำไปใช้ควบคุมยีสต์ชนิดที่ไม่เป็นประโยชน์ในการผลิตไวน์ดังกล่าวถึงแนวโน้มในการประยุกต์ใช้รานี้ข้างต้น         ที่น่ากังวลใจแทนผู้บริโภคชาวเม็กซิกันคือ การที่ข้าวโพดถูกรุกรานด้วยรา อุสติลาโก เมย์ดิส ดังกล่าว เป็นการเอื้อให้ราชนิดอื่น เช่น ราที่สร้างสารพิษอัฟลาทอกซินและราที่สร้างสารพิษฟูโมนิสซิน เข้ารุกรานข้าวโพดได้ง่ายขึ้น ดังปรากฏในบทความเรื่อง Aflatoxin and Fumonisin in Corn (Zea mays) Infected by Common Smut Ustilago maydis ในวารสาร Plant Disease ของปี 2015 ซึ่งได้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ผู้ที่นิยมกินฮ์วีทลาโคเช่ะอาจได้อร่อยไปพร้อมกับการได้รับอัฟลาทอกซินและฟูโมนิสซินเข้าไปเป็นของแถมด้วย ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเป็นเรื่องดี เพราะอัฟลาทอกซินนั้นมีสมาชิกสำคัญคือ อัฟลาทอกซิน บี1 ซึ่ง IARC จัดเป็นสารก่อมะเร็งตับในมนุษย์ ส่วนสารฟูโมนิสซินซึ่งเพิ่งค้นพบในราวปี 1988 นั้นมีข้อมูลพื้นฐานจัดว่า เป็นสารพิษที่ทำให้ม้าเสียการทรงตัวและตายเนื่องจากสมองถูกทำลาย ทำให้เกิดอาการลิ่มเลือดอุดตันในปอดของหมูส่งผลให้หมูเกิดอาการหอบเหนื่อยฉับพลัน หายใจถี่และระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ และสารพิษนี้เป็น non-genotoxic carcinogens (ก่อให้เกิดมะเร็งโดยไม่ทำให้สารพันธุกรรมกลายพันธุ์) โดยมีข้อมูลทางระบาดวิทยาว่า ก่อมะเร็งหลอดอาหารในประชากรของอัฟริกาใต้และในจีน รายละเอียดเกี่ยวกับฟูโมนิซินนั้นสามารถอ่านได้ในบทความเรื่อง ฟูโมนิซิน สารพิษจากเชื้อราที่มีความสำคัญต่อคนและสัตว์ ในวารสารสัตวแพทย์ศาสตร์ มข ปีที่ 11 พ.ศ. 2544 ซึ่งดาว์นโหลดมาอ่านได้

อ่านเพิ่มเติม >

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เรียกร้อง กสทช. เร่งออกมาตรการกำกับดูแลธุรกิจให้บริการ OTT

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เรียกร้อง กสทช. เร่งออกมาตรการกำกับดูแลธุรกิจให้บริการ OTT หลังบ้านสมเด็จโพล เผยผู้บริโภคร้อยละ 87.1 ยินดีจ่ายค่าสมาชิกบริการ OTT แต่ไม่ยินดีดูโฆษณาคั่นร้อยละ 25.6มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เรียกร้อง กสทช. เร่งออกมาตรการกำกับดูแลธุรกิจให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) ชี้เหตุมีปัญหารอบด้านที่สร้างผลกระทบต่อผู้บริโภค หลังบ้านสมเด็จโพล เผยผู้บริโภคร้อยละ 87.1 ยินดีจ่ายค่าสมาชิกบริการ OTT แต่ไม่ยินดีดูโฆษณาคั่นร้อยละ 25.6         วันนี้ ( 7 พฤษภาคม 2567 ) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่า ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้ดำเนินโครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) โดยเก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,114 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 7 - 10 เมษายน 2567 กลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ใช้เกณฑ์ตารางสำเร็จรูปของ Taro Yamane กำหนดว่า ประชากรเกิน 100,000 คนต้องการความเชื่อมั่น 95% และความผิดพลาดไม่เกิน 3% ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,111 กลุ่มตัวอย่าง  ผลการสำรวจในครั้งนี้เรื่องการให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) คือการให้บริการเนื้อหาสื่อรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ วีดิโอ ผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต การบริการผ่าน แพลตฟอร์ม และเป็นแบบin app purchase คือ การดาวน์โหลดแอพพลิเคชัน แล้วมีการจ่ายค่าบริการเพิ่มเติม หรือ ที่บอกรับสมาชิกและเรียกเก็บเงินโดยแพลตฟอร์ม ในปัจจุบันมีผู้ใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) เป็นจำนวนมากเนื่องจากสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคจากความสะดวกสบายในการรับฟังและรับชมได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านหลากหลายอุปกรณ์ โดยผู้ให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) มีทั้งที่จดทะเบียนบริษัทในประเทศไทยที่เสียภาษีให้กับประเทศแบบถูกต้อง และแบบที่ไม่ได้จดทะเบียนในประเทศไทยโดยเงินของคนไทยที่ใช้บริการไหลออกไปยังต่างประเทศ โดยที่ประเทศไทยไม่ได้รับภาษีจากการชำระค่าบริการนั้นๆ         ในปัจจุบัน พบว่า กสทช.มีอำนาจกำกับดูแลเฉพาะบริการไอพีทีวี (IPTV) หรือโทรทัศน์ผ่านอินเตอร์เน็ต แต่สำหรับการให้บริการ OTT นั้น กสทช. ยังไม่มีกฎหมายที่ชัดเจนมากำกับดูแลโดยเฉพาะ ทำให้เกิดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) ส่วนใหญ่ คือ ไม่สามารถควบคุมเนื้อหาที่เหมาะสม การกำหนดราคาที่เหมาะสมกับผู้บริโภค การมีโฆษณาคั่นในการรับชมผ่าน OTT แม้จะมีการชำระค่าสมาชิกก็หรือค่ารับชมแล้วก็ตาม เหล่านี้ คือปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้บริโภคที่ไม่ได้รับการคุ้มครองเท่าที่ควร รวมถึงความเหลื่อมล้ำจากการถูกกำกับดูแลและการเสียภาษี ระหว่างผู้ให้บริการ IPTV และผู้ให้บริการ OTT ทั้งๆ ที่ลักษณะและรูปแบบของการให้บริการมิได้แตกต่างกัน กสทช. ควรหาแนวทางกำกับดูแลกิจการ OTT ให้เป็นธรรมและเหมาะสมเพื่อประชาชน         โดยผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อเรื่องการให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) มีข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) ร้อยละ 91.3 มีการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) แบบเสียค่าสมาชิก ร้อยละ 87.1 และมีการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) มากกว่า 1 แพลตฟอร์ม ร้อยละ 90.1 มีการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) จากผู้ให้บริการที่เจ้าของเป็นบริษัทในประเทศไทย อันดับที่หนึ่ง คือ TRUEID ร้อยละ 49 อันดับที่สอง คือ AISPLAY ร้อยละ 44.3 อันดับที่สาม คือ 3 PLUS ร้อยละ 18 อันดับที่สี่ คือ MONOMAX ร้อยละ 13.3 และอันดับที่ห้า คือ Bugaboo inter ร้อยละ 8.4 และมีการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) จากผู้ให้บริการที่เจ้าของเป็นบริษัทอยู่ในต่างประเทศ อันดับที่หนึ่ง คือ Netflix ร้อยละ 67 อันดับที่สอง คือ Youtube ร้อยละ 48.7 อันดับที่สาม คือ Disney plus Hotstar ร้อยละ 15.3 อันดับที่สี่ คือ Viu ร้อยละ 13.3 และอันดับที่ห้า คือ iQIYI ร้อยละ 12.2 ปัจจุบันมีการเสียค่าใช้จ่ายในการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) ต่อเดือน เดือนละ 1 – 500 บาท ร้อยละ 75.5 มากที่สุด โดยคิดว่าค่าใช้จ่ายในการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) ในปัจจุบันมีความเหมาะสม ร้อยละ 65.8 และคิดว่าค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมในการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) 1 – 500 บาท ต่อเดือน ร้อยละ 74.7 มากที่สุด กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ที่ใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) แบบเสียค่าสมาชิก คิดว่าไม่ควรมีโฆษณาคั่นในแพกเกจแบบเสียค่าสมาชิก ร้อยละ 73.8 และ 25.6% เคยพบโฆษณาคั่นในแพกเกจแบบเสียค่าสมาชิก  โดยเหตุผลที่ใช้บริการแพกเกจแบบเสียค่าสมาชิก อันดับที่หนึ่ง คือ ต้องการรับชมเนื้อหาที่สนใจ ร้อยละ 72.2 อันดับที่สอง คือ ไม่ต้องการรับชมโฆษณา ร้อยละ 19.4 อันดับที่สาม คือ ต้องการติดตามดาราที่ชื่นชอบ ร้อยละ 6.8  กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ คิดว่าภาครัฐควรจัดเก็บภาษีของผู้ให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) ร้อยละ 42.3 ภาครัฐไม่ควรมีการกำกับเนื้อหา ร้อยละ 51 ของผู้ให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) และภาครัฐควรมีการกำกับราคาค่าสมาชิกของผู้ให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) ร้อยละ 70.2 โดยอยากให้ทางภาครัฐ มีการกำหนดบทลงโทษกับผู้ให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) ที่ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบ อันดับที่หนึ่ง คือ จ่ายค่าปรับ ร้อยละ 76.4 อันดับที่สอง คือ ปิดการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต ร้อยละ 42.1 อันดับที่สาม คือ ยึดใบอนุญาต ร้อยละ 1.9  หากพบเห็นปัญหาในการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) จะร้องเรียน อันดับที่หนึ่ง คือ คอลเซ็นเตอร์ของผู้ให้บริการ (OTT) ร้อยละ 54.4 อันดับที่สอง คือ คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ) ร้อยละ 16 อันดับที่สาม คือ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ  (กสทช) ร้อยละ 13.6 อันดับที่สี่ คือ ไม่แน่ใจ ร้อยละ 6.6 และอันดับที่ห้า คือ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และ สภาองค์กรของผู้บริโภค ร้อยละ 4.7 นางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ฝ่ายพิทักษ์สิทธิ์ ให้ความคิดเห็นเพิ่มเติมจากข้อมูลโพลสำรวจของ ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เกี่ยวกับการให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) เห็นด้วยว่า  การดำเนินธุรกิจการให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT)  กสทช. ควรมีบทบาทกำกับดูแลทั้งระบบ  เพราะเป็นการให้บริการในรูปแบบเดียวกัน  เพราะปัจจุบัน พบว่า กสทช.มีอำนาจกำกับดูแลเฉพาะบริการไอพีทีวี (IPTV)  และยังไม่มีหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแล  ระบบ OTT   ผู้บริโภคจะเจอปัญหาว่าเมื่อใช้บริการ จะเจอเนื้อหาที่ไม่สุภาพ และมีโฆษณาที่ไม่เหมาะสม  และหากต้องการดูแบบไม่มีโฆษณาจะคิดค่าบริการที่มีราคาแพง และบังคับการใช้อุปกรณ์เท่าที่ระบุไว้ตามราคาเท่านั้น เช่น ถ้าซื้อราคา 99 บาท/เดือน ใช้ได้เฉพาะมือถือและแท็ปเล็ตเท่่านั้น  เป็นต้น     อีกทั้งพบว่า บริการ OTT ที่ผู้บริโภคใช้ส่วนมากจะเป็น ผู้ประกอบการที่อยู่ในต่างประเทศซึ่งตรงกับโพลสำรวจข้างต้น   จึงขอให้ กสทช. มีหลักเกณฑ์การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจบริการ OTT ที่เป็นผู้ประกอบการต่างประเทศให้อยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศไทยเหมือนกัน ซึ่งหากไม่มีการกำกับดูแลให้ทั่วถึงแล้ว นอกจากผู้บริโภคไทยจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์แล้ว  รัฐจะเสียผลประโยชน์ด้านภาษีด้วย  หมายเหตุ : การสำรวจความคิดเห็นของบ้านสมเด็จโพล ดำเนินการโดยเก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,114 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 7 - 10 เมษายน 2567 กลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ใช้เกณฑ์ตารางสำเร็จรูปของ Taro Yamane กำหนดว่า ประชากรเกิน 100,000 คนต้องการความเชื่อมั่น 95% และความผิดพลาดไม่เกิน 3% ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,111 กลุ่มตัวอย่าง  ส่วนที่ 1 การให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT)        1.  ท่านใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) ใช่หรือไม่                ใช่                                                ร้อยละ 91.3                ไม่ใช่                                             ร้อยละ 8.7        2. ปัจจุบันท่านใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) มากกว่า 1 แพลตฟอร์ม ใช่หรือไม่                ใช่                                                 ร้อยละ 90.1                ไม่ใช่                                             ร้อยละ 9.9        3. ท่านใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) จากผู้ให้บริการที่เจ้าของเป็นบริษัทในประเทศไทย รายใดบ้าง  (เลือกได้มากกว่า 1 ข้อ)                 TRUEID                                                 ร้อยละ 49                AISPLAY                                                ร้อยละ 44.3                MONOMAX                                            ร้อยละ 13.3                3 PLUS                                                  ร้อยละ 18                Bugaboo inter                                  ร้อยละ 8.4                อื่นๆ                                                       ร้อยละ 2             4. ท่านใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) จากผู้ให้บริการที่เจ้าของเป็นบริษัทอยู่ในต่างประเทศ รายใดบ้าง (เลือกได้มากกว่า 1 ข้อ)                 Netflix                                          ร้อยละ 67                   Prime Video                                  ร้อยละ 11.5                 Disney pluss Hotstar                      ร้อยละ 15.3                HBO Go                                        ร้อยละ 7.3                  WeTV                                           ร้อยละ 11.8                Viu                                               ร้อยละ 13.3                iQIYI                                            ร้อยละ 12.2                 Youtube                                        ร้อยละ 48.7                อื่นๆ                                              ร้อยละ 0.7          5. ท่านใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) แบบเสียค่าสมาชิก ใช่หรือไม่                ใช่                                                ร้อยละ 87.1                 ไม่ใช่                                             ร้อยละ 12.9         6. ปัจจุบันท่านเสียค่าใช้จ่ายในการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) เท่าไรต่อเดือน                ไม่เสียค่าใช้จ่าย                              ร้อยละ 14.5                 1 – 500 บาท                                 ร้อยละ 75.5                 501 – 1,000  บาท                          ร้อยละ 8.6                  มากกว่า 1,000 บาทขึ้นไป                 ร้อยละ 1.4                   7. ท่านคิดว่าค่าใช้จ่ายในการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) ในปัจจุบันเหมาะสมหรือไม่                เหมาะสม                                      ร้อยละ 65.8                 ไม่เหมาะสม                                   ร้อยละ 17.1                 ไม่แน่ใจ                                        ร้อยละ 17.1         8. ท่านคิดว่าค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมในการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) เท่าไรต่อเดือน                ไม่เสียค่าใช้จ่าย                              ร้อยละ 19.4                 1 – 500 บาท                                 ร้อยละ 74.7                 501 – 1,000  บาท                          ร้อยละ 5.3                  มากกว่า 1,000 บาทขึ้นไป                 ร้อยละ 0.6                   9. ท่านใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) แบบเสียค่าสมาชิก เพราะเหตุใด                ต้องการรับชมเนื้อหาที่สนใจ               ร้อยละ 72.2                ต้องการติดตามดาราที่ชื่นชอบ            ร้อยละ 6.8                ไม่ต้องการรับชมโฆษณา                   ร้อยละ 19.4                อื่นๆ                                             ร้อยละ 1.6          10. ท่านเคยพบโฆษณาในการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) แบบเสียค่าสมาชิก หรือไม่                เคยพบโฆษณา                                ร้อยละ 25.6                ไม่เคยพบโฆษณา                            ร้อยละ 60.7                ไม่แน่ใจ                                         ร้อยละ 13.7        11. ท่านพบโฆษณาในการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) แบบเสียค่าสมาชิก ท่านคิดว่าควรมีโฆษณาหรือไม่                ควรมี                                            ร้อยละ 10.3                ไม่ควรมี                                         ร้อยละ 73.8                ไม่แน่ใจ                                         ร้อยละ 15.9        12. ท่านคิดว่าภาครัฐควรจัดเก็บภาษีของผู้ให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) หรือไม่              ควร                                              ร้อยละ 42.3                ไม่ควร                                           ร้อยละ 40.7                ไม่แน่ใจ                                         ร้อยละ 17        13. ท่านคิดว่าภาครัฐควรมีการกำกับเนื้อหาของผู้ให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) หรือไม่                ควร                                              ร้อยละ 32.9                ไม่ควร                                           ร้อยละ 51                ไม่แน่ใจ                                         ร้อยละ 16.1        14. ท่านคิดว่าภาครัฐควรมีการกำกับราคาค่าสมาชิกของผู้ให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) หรือไม่                ควร                                               ร้อยละ 70.2                ไม่ควร                                           ร้อยละ 10.7                 ไม่แน่ใจ                                        ร้อยละ 19.1        15. ท่านอยากให้ทางภาครัฐ มีการกำหนดบทลงโทษกับผู้ให้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) ที่ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบอย่างไร (เลือกได้มากกว่า 1 ข้อ)                 จ่ายค่าปรับ                                            ร้อยละ 76.4                ปิดการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต                  ร้อยละ 42.1                ยึดใบอนุญาต                                   ร้อยละ 1.9        16. หากท่านพบเห็นปัญหาในการใช้บริการเนื้อหาวิดีโอโดยการสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต (OTT) ท่านจะร้องเรียนผ่านช่องทางใด                 คอลเซ็นเตอร์ของผู้ให้บริการ (OTT)                                                                                        ร้อยละ     54.4                คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ)                                                                                    ร้อยละ     16                กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.)                        ร้อยละ     4.7                คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ  (กสทช)       ร้อยละ     13.6                สภาองค์กรของผู้บริโภค                                                                                               ร้อยละ     4.7                ไม่แน่ใจ                                                                                                                   ร้อยละ     6.6         ข้อมูลด้านประชากรศาสตร์                1.  เพศ                 ชาย                     ร้อยละ        51.5           หญิง                   ร้อยละ        48.5                2.  อายุ                 ต่ำกว่า  20 ปี        ร้อยละ        11.8            20 – 25  ปี         ร้อยละ        35.2                                              26 – 30  ปี            ร้อยละ        20.8           31 – 35  ปี          ร้อยละ         14.5                                              36 – 40  ปี            ร้อยละ        7.9             41 – 45  ปี           ร้อยละ        3.9                                              46 – 50  ปี            ร้อยละ        2.6              มากกว่า 50  ปี     ร้อยละ        3.3                3.  อาชีพ      นักเรียน / นิสิต / นักศึกษา                                    ร้อยละ         36                                     ข้าราชการ/พนักงานของรัฐ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ        ร้อยละ         12.8                                 พนักงานบริษัทเอกชน                                         ร้อยละ         25                                      นักธุรกิจ/เจ้าของกิจการส่วนตัว                              ร้อยละ         12                                 แม่บ้าน/พ่อบ้าน                                                 ร้อยละ          6                                 รับจ้างทั่วไป                                                      ร้อยละ         8.2 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 278 ลูกชิ้นปลา ทำฟันระเบิด!

        ลูกชิ้นหมู ลูกชิ้นเนื้อ ลูกชิ้นปลา ของกินสุดแสนอร่อยที่ใครหลายคนชื่นชอบ มีขายอยู่ทั่วเกือบทุกพื้นที่ของประเทศไทย ถึงขนาดปัจจุบันก็มีร้านเฟรนไชส์ขายลูกชิ้นกันให้เกลื่อนเต็มไปหมด ซึ่งถ้าพูดถึงร้านเฟรนไชส์เราก็คงจะคาดหวังว่าอาหารที่เราจะซื้อคงจะสะอาดปลอดภัย ถูกสุขอนามัยทุกขั้นตอนใช่ไหมล่ะ (เป็นมาตรฐานที่ควรจะมีสำหรับการขายอาหารอยู่แล้ว) แต่ดันไม่ใช่กับเคสของคุณจุ๊บ        คุณจุ๊บเข้ามาร้องเรียนกับทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคว่า เธอซื้อลูกชิ้นปลาร้านเฟรนไชส์เจ้าหนึ่งมารับประทาน จำนวน 1 ถ้วย ราคา 55 บาท พอได้รับสินค้ามาแล้วเธอก็รับประทานทันที แต่ในระหว่างที่กำลังเคี้ยวอยู่นั้น ก็เหมือนกับเจออะไรแข็งๆ โดนที่ฟัน ซึ่งพอเอาออกมาดูก็พบกับเศษเหล็กและฟันกรามของเธอที่แตกหักเสียหาย เธอจึงติดต่อไปยังเฟรนไชส์ดังกล่าวให้รับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมด เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเสียเวลาทำงานและอื่นๆ เป็นเงินจำนวน 69,300 บาท         ทั้งนี้ จากที่คุณจุ๊บติดต่อไปยังบริษัทเฟรนไชส์ลูกชิ้นปลาดังกล่าว ทางบริษัทก็ได้มารับชิ้นส่วนดังกล่าวไปตรวจสอบ หลังจากนั้นทางบริษัทก็ได้ติดต่อผู้เสียหายมาว่าทางบริษัทได้ให้ทางโรงงานที่ผลิตตรวจสอบแล้ว ไม่พบชิ้นส่วนเหล็กดังกล่าว อย่างไรก็ตามจะขอชดเชยค่าเสียหายดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน 40,000 บาท แทน คุณจุ๊บเองนั้นไม่โอเคกับขอเสนอดังกล่าวเนื่องจากเธอนั้นตั้งครรภ์อยู่จึงไม่สามารถทำฟันได้ทันที และการที่เธอได้รับประทานลูกชิ้นดังกล่าวไปในขณะตั้งครรภ์อยู่ทำให้ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก พร้อมกับหน้าที่การงานของเธอนั้นต้องใช้หน้าตาในการให้บริการลูกค้า ซึ่งตั้งแต่เกิดเรื่องเธอต้องถือเอาเรื่องโควิดมาช่วยแก้สถานการณ์ในการทำงานโดยต้องใส่แมสก์ตลอดเวลา เพราะไม่มั่นใจ ไม่กล้ายิ้มหรือพูดคุยได้เหมือนปกติ ที่สำคัญอีกอย่างคือค่าเสียหายทั้งหมดที่เธอต้องเสียไปในการรักษาพยาบาลก็มากกว่าจำนวนเงินที่ทางบริษัทเสนอมาอีกด้วย แนวทางการแก้ไขปัญหา         เพื่อติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติม ทางมูลนิธิฯ ได้ติดต่อไปยังคุณจุ๊บอีกครั้ง ทำให้ได้ทราบว่าคุณจุ๊บมีการเจรจากับทางบริษัทอีกครั้ง โดยทางบริษัทฯ เจ้าของเฟรนไชส์ลูกชิ้นปลาได้มีการส่งตัวแทนเข้าไกล่เกลี่ยและยื่นข้อเสนอเป็นเงินชดเชยจำนวน 50,000 บาท ทางคุณจุ๊บยินยอมรับข้อเสนอดังกล่าว เป็นอันว่าจบไปได้ด้วยดี         ก่อนจะเข้าร้องเรียนที่มูลนิธิฯ คุณจุ๊บเองได้มีการไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันเพื่อเป็นหลักฐาน พร้อมกับตรวจเช็กร่างกายนำใบเสร็จและใบรับรองแพทย์มาเป็นหลักฐาน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญของการรวบรวมหลักฐานเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย อย่าลืมถ่ายรูปอาหารที่มีสิ่งแปลกปลอมหรือความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ใบเสร็จหรือสลิปโอนเงินก็เป็นหลักฐานอย่างดีว่าเราซื้อหรือใช้บริการจริง ผู้บริโภคทุกคนควรใส่ใจ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 278 อย่ายอม ! หากโรงแรมให้ไปจอดรถในที่มืดๆ

        โรงแรมเป็นสถานที่พักที่ต้องจัดให้บริการให้เป็นไปมาตรฐานที่ทั้งต้องอำนวยความสะดวกให้ผู้เข้าพัก มีความสะอาด ปลอดภัย หากไม่เป็นไปตามนี้อาจเสี่ยงทำให้ทรัพย์สินของผู้มาใช้บริการเสียหายได้ เช่นเรื่องราวของคุณนัท         เรื่องราวคือ คุณนัทได้เข้าไปใช้บริการโรงแรมมีชื่อแห่งหนึ่งย่านรัชดา เมื่อวันที่ 10 ก.พ. ในเวลา 19.40 น. โดยได้ติดต่อขอใช้บริการห้องพักชั่วคราวกับโรงแรมเป็นเวลา 2 ช.ม. และได้ชำระเงิน 600 บาท โดยเป็นค่าห้องพัก 300 บาท และค่ามัดจำกุญแจ 300 บาท หลังชำระเงินเสร็จแล้ว จึงค่อยมาทราบทีหลังว่าไม่สามารถนำรถไปจอดหน้าห้องพักตามปกติได้ทั้งที่คุณนัทเคยมาใช้บริการก่อนหน้านี้สามารถนำรถมาจอดหน้าห้องพักได้เลย         ในครั้งนี้พนักงานให้คุณนัทนำรถไปจอดฝั่งตรงข้ามโรงแรม  คุณนัทจึงได้ขอยกเลิกคืนเงินในทันทีแต่โดนปฏิเสธการคืนเงิน จึงจำใจต้องใช้บริการแต่เมื่อทำเลื่อนรถไปจอดฝั่งตรงข้าม พนักงานยังไม่มีแจ้งสถานที่จอดรถที่ชัดเจน ทั้งยังไม่มีป้ายบอกหรือแสดงข้อความที่ชัดเจนว่าต้องเข้าจอดตรงไหน ตลอดจนไปที่จะให้ความสว่างก็มีไม่เพียงพอ เรียกว่าเกือบมืดเลยแหละ คุณนัทไม่รู้ว่าจะจอดรถอย่างไร พนักงานจึงเดินมาบอกให้ขับเข้าไปจอดด้านในมืดๆ         คราวนี้คุณนัทรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยจึงตัดสินใจยอมทิ้งค่าห้องพัก ไม่พักแล้ว เพราะบริการของโรงแรมไม่ได้มาตรฐานและหากต้องจอดรถในที่มืด ไม่มีระบบป้องกันความปลอดภัยใดๆ รถก็เสี่ยงเสียหายได้ คุณนัทจึงตัดสินใจเชคเอ้าท์ออกในเวลา 19.53 โดยได้รับเงินค่ามัดจำกุญแจคืน จำนวน 300 บาท และจ่ายค่าห้องพัก 2 ช.ม. ไปฟรี 300 บาท โดยที่ไม่ได้เข้าพัก         คุณนัทจึงมาร้องเรียนกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพราะการบริการของโรงแรมดังกล่าวไม่ปลอดภัยต่อทรัพย์สินของผู้ใช้บริการ ไม่ได้เป็นไปตามาตรฐานของโรงแรงตามที่ควรเป็นหลายประการ  แนวทางการแก้ไขปัญหา         เมื่อมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนแล้ว ได้ติดต่อกับโรงแรมดังกล่าว สอบถามถึงข้อปัญหาที่บกพร่อง ต่อมาเจ้าของหน้าที่ของโรงแรมได้ประสานและรายงานแสดงผลกับมูลนิธิฯ ว่าได้ปรับปรุงจุดที่มีปัญหาแล้ว คือได้ทำให้ไฟหน้าห้องพักใช้งานได้ตามปกติ  ติดตั้งป้ายและไฟในที่จอดรถแล้ว และได้โทรศัพท์แจ้งผลการปรับปรุงให้คุณนัททราบด้วย คุณนัทจึงพึงพอใจไม่ติดใจโรงแรมอีก         มาตรฐานของโรงแรมแล้วนั้น กฎกระทรวงกำหนดประเภทและหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจโรงแรมพ.ศ. 2551 โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้           1.ให้มีโทรศัพท์หรือระบบการติดต่อสื่อสารต้องมีจำนวนเพียงพอ        2. การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเพื่อส่งไปยังสถานพยาบาลใกล้เคียง         3. ระบบรักษาความปลอดภัยอย่างทั่วถึงตลอด 24 ชั่วโมง         4. จัดให้มีห้องน้ำและห้องส้วมในส่วนที่ให้บริการสาธารณะโดยจัดแยกชายและหญิง          5. มีการรักษาความสะอาด มีการจัดแสงสว่างอย่างเพียงพอ และมีระบบระบายน้ำ บำบัดน้ำเสีย และระบบระบายอากาศที่ถูกสุขลักษณะ         6. ทุกชั้นต้องติดตั้งเครื่องดับเพลิงแบบมือถือไม่น้อยกว่าชั้นละ 1 เครื่อง และเครื่องดับเพลิงต้องอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ตลอดเวลา         7. ต้องติดตั้งระบบสัญญาณเตือนเพลิงไหม้         8. ต้องมีทางหนีไฟหรือบันไดหนีไฟตามหลักเกณฑ์ 9. ต้องจัดให้มีระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้าสำรองสำหรับกรณีฉุกเฉิน ใช้ได้อัตโนมัติเมื่อระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้าปกติหยุดทำงาน 10. ต้องอยู่ห่างจากแม่น้ำ คู คลอง หรือแหล่งน้ำสาธารณะไม่น้อยกว่า 10 เมตร         นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์ที่จะช่วยทำให้มาตรฐานความปลอดภัยถูกยกระดับมากยิ่งขึ้น อีกหลายประการ เช่น กล้องวงจรปิด ,บัตรผ่านจอดรถ ,คีย์การ์ด ,สัญญาณกันขโมย ,ไม้กั้นอัตโนมัติ เป็นต้น         หากผู้บริโภคท่านอื่นๆ พบเจอปัญหาเช่นคุณนัท ก็สามารถร้องเรียนได้ เพราะมาตรฐานการบริการของโรงแรมมีกฎหมายกำหนดไว้อย่างเข้มงวด ชัดเจน 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 278 ผู้โดยสารร้องแท็กซี่ไม่กดมิเตอร์ ปล่อยลงกลางทาง

        แม้หลายคนจะเคยได้รับรู้ข่าวปัญหาจากการเดินทางด้วยรถแท็กซี่ตามหน้าสื่อต่างๆ ว่าผู้โดยสารบางคนโบกแล้วแท็กซี่ไม่จอด จอดแล้วไม่ไปบ้าง ขับพาอ้อมบ้าง ไม่กดมิเตอร์บ้าง โก่งราคาบ้าง หรือกระทั่งถูกปล่อยทิ้งกลางทาง แต่คงไม่มีใครคาดคิดว่าตัวเองจะเจอปัญหานี้ คุณริต้าก็เช่นกัน แต่เธอก็เจอแจ็กพ็อตจนได้         ในเช้าวันหนึ่ง คุณริต้ามีธุระต้องเดินทางไปดอนเมือง เธอมายืนเรียกแท็กซี่อยู่ที่หน้าสถานีรถไฟฟ้า BTS สนามเป้า รอสักพักก็มีรถแท็กซี่คันหนึ่งผ่านมาและจอดรับ เธอขึ้นรถตอนเจ็ดโมงกว่าๆ เกือบแปดโมงเช้า คุณโชเฟอร์เขาขับรถออกไปโดยไม่ได้กดมิเตอร์ตามปกติ แต่กลับหันมาเรียกเก็บค่าโดยสารจำนวน 600 บาทแทน คุณริต้าตกใจ แต่ก็มีสติพอที่จะไม่จ่ายให้เพราะรู้สึกว่าแพงเกินไป         เมื่อผู้โดยสารปฎิเสธ คนขับแท็กซี่ก็เลยจอดรถและให้เธอลงกลางทางที่หน้าปากซอยพหลโยธิน 2 แล้วมุ่งหน้าไปยังถนนวิภาวดี เรียกว่าปล่อยเธอไว้กลางทาง ตอนนั้นเธอรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเรียกแท็กซี่คันใหม่ในบริเวณนั้นให้ไปส่งที่ดอนเมืองแทน เมื่อถึงปลายทางเธอจ่ายค่าโดยสารไปเพียง 163 บาท ทำให้เธอเชื่อว่าแท็กซี่คันแรกนั้นต้องจ้องจะเอาเปรียบผู้โดยสารแน่ๆ เธอจึงร้องเรียนมายังมูลนิธิฯ เพื่อขอให้ดำเนินการตามกฎหมายกับคนขับแท็กซี่ที่ไม่กดมิเตอร์ เรียกเก็บค่าโดยสารแพงเกินจริงและทิ้งผู้โดยสารไว้กลางทางรายนี้    แนวทางการแก้ไขปัญหา         หลังจากทางมูลนิธิฯ ได้ติดต่อเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลแล้วก็ได้ประสานไปที่กรมการขนส่งทางบก เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป โดยทำหนังสือถึงอธิบดีกรมขนส่งทางบก ขอให้ดำเนินการตรวจสอบแก้ไขปัญหาในกรณีนี้ ซึ่งจากการสอบถามเจ้าหน้าที่กรมขนส่งฯ กรณีมีการแจ้งให้ตรวจสอบแท็กซี่จากหน่วยงาน หากในหนังสือระบุข้อมูลเบอร์ติดต่อผู้เสียหาย ทางกรมขนส่งฯ จะติดต่อผ่านผู้เสียหายเองเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หากมีข้อมูลตกหล่นหรือหากต้องการข้อมูลเพิ่มสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งเมื่อโดยสารรถแท็กซี่คือ ผู้โดยสารควรจดจำทะเบียนรถหรือชื่อคนขับรถแท็กซี่ไว้ เผื่อเกิดปัญหาอะไรขึ้นจะได้ติดต่อตามตัวมาได้อย่างรวดเร็ว  และสายด่วนเพื่อร้องเรียนพฤติกรรมของผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะ คือ สายด่วน 1584 กรมการขนส่งทางบก

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 278 นั่งกินหมูกระทะแต่กลับได้แผลกลับบ้าน

        มาตรฐานของร้านอาหารนอกจากเรื่องความสะอาดและสุขอนามัยในอาหารแล้ว ความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมในการรับประทานอาหารทั้งโต๊ะ เก้าอี้ อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการปรุงอาหารก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะไม่อย่างนั้น แค่เพียงไปนั่งรับประทานหมูกระทะก็อาจจะได้แผลกลับมาเหมือนเรื่องของคุณสุดเขตต์         เรื่องราวเริ่มเมื่อคุณสุดเขตต์ไปรับประทานหมูกระทะกับแฟน ในวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา คุณสุดเขตต์ก็นั่งรับประทานตามปกติ แต่แค่เพียงขยับขาเปลี่ยนท่านั่งเข่าก็ไปชนกับ ก้นของเตาเข้าอย่างจังจนทำให้สะดุ้ง ชักขากลับแทบไม่ทัน         แม้ขาจะชนขอบเตาเพียงไม่นานแต่ก็เกิดเป็นแผล เริ่มแรกเป็นเพียงรอยแดงถลอก ต่อมาไม่กี่ชั่วโมงจึงเริ่มพุพอง         “เตาหมูกระทะของร้านนั้น เขาติดตั้งแบบเขาเจาะหลุมกลางโต๊ะ แล้วก็หย่อนตัวเตาลงไป ก้นเตาที่อยู่ด้านล่าง มันยาวกว่า 20 เซ็นได้ แล้วเตามันก็ใหญ่ มันทำให้ชิดกับขาของคนนั่ง ตอนแรกที่นั่ง ยังไม่รู้ เพราะยังไม่ได้ทันสังเกตแต่พอโดนเข้าแล้วแบบนี้ เราก้มดู ติดตั้งเตาแบบนี้อันตรายมาก ใครนั่งก็โดน เด็กๆ มานั่งยิ่งโดนไม่ปลอดภัยจริงๆ ”         หลังจากรับประทานหมูกระทะในวันนั้น คุณสุดเขตต์ได้เข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาแผลพุพองที่ได้จากการไปกินหมูกระทะ และกลายเป็นแผลที่เข่าขนาดกว้าง ยาวกว่า 1 นิ้ว รักษาอยู่ต่อเนื่อง 4 – 5 วันจึงค่อยหายดีแล้วคุณสุดเขตต์จึงมาร้องเรียนที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคว่าจะสามารถเรียกร้องสิทธิอะไรได้บ้าง   แนวทางการแก้ไขปัญหา         เมื่อประชาชนพบเจอปัญหาเช่นคุณสุดเขตต์ คือได้รับความไม่ปลอดภัยจากร้านอาหารให้ดำเนินการ สองแนวทาง คือ หนึ่งเข้าร้องเรียนกับหน่วยงานที่กำกับดูแลร้านอาหาร เช่น กรุงเทพฯ ให้เข้าร้องเรียนที่สำนักงานเขตที่ร้านอาหารนั้นตั้งอยู่ โดยกรุงเทพมหานครได้มีสำนักงานสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม สำนักอนามัย กรุงเทพมหานครประจำอยู่ในแต่ละสำนักเขตพื้นที่ มีอำนาจหน้าที่คือตรวจสอบมาตรการความปลอดภัยร้านอาหารในพื้นที่ และออกคำสั่งให้ร้านปรับปรุงให้ได้ตามมาตรฐาน  สำหรับต่างจังหวัดคือเทศบาลของแต่ละพื้นที่         สอง รวบรวมหลักฐาน ทั้งหลักฐานการจ่ายเงินว่าได้เข้ารับประทานอาหารในร้านดังกล่าวจริง รูปถ่ายความเสียหายและเอกสารจากการเข้ารับการตรวจรักษา เพิ่มเติมด้วยการเข้าบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจ และเจรจาเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลกับทางร้านอาหาร  กรณีของคุณสุดเขตต์ ซึ่งเข้าร้องเรียนกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคนั้น ขณะนี้กำลังประสานงานเพื่อจะดำเนินการเรียกร้องสิทธิให้กับผู้บริโภค เพื่อให้ร้านอาหารเยียวยาค่าเสียหายให้กับผู้เสียหายต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >


ฉบับที่ 278 ความเคลื่อนไหวเดือนเมษายน 2567

คกก.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เผย ปชช.แห่หารือ กม. PDPA        พันตำรวจเอก ดร.ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล  หรือ สคส. เปิดเผยว่า การบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือกฎหมาย PDPA ถือเป็นเรื่องใหม่และมีรายละเอียดมาก ทำให้กฎหมาย PDPA กำหนดให้ประชาชนสามารถขอคำแนะนำหรือคำปรึกษาด้านตัวกฎหมายจาก ‘PDPC หรือ สคส. ได้         ตั้งแต่เริ่มต้นมาจนถึงวันที่ 1 เมษายน 2567 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีสถิติตอบข้อหารือและให้คำปรึกษา PDPA แล้ว 4,884 เป็นเรื่องตอบข้อหารือแล้ว 4,540 เรื่อง ผอ.สำนักกฎหมายย้ำชัดว่า ประชาชนสามารถเข้าหารือได้ทุกเวลาใน 3 ช่องทาง ได้แก่ การยื่นหนังสือ, อีเมล,โทรศัพท์และ Walk-in พร้อมเผยหน่วยงานกำลังเร่งยกระดับกระบวนการตอบข้อหารือไม่ให้มีความล่าช้า พร้อมมุ่งเน้นที่ขั้นตอนต่อ ๆ ไปควบคู่ไปด้วย เพื่อให้มั่นใจว่ากฎหมายจะได้รับการบังคับใช้อย่างจริงจัง รวดเร็ว สุภาพอ่อนโยน เสมอภาคเท่าเทียม ถูกต้องตามหลักการที่ควรจะเป็น       อย. แจ้งอาหารนำเข้าต่างประเทศ ต้องแสดงฉลากให้ถูกต้อง         เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า พบปัญหาการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่จำหน่ายในร้านค้าและในโลกออนไลน์ โดยที่สินค้าอาหารดังกล่าวไม่ได้รับเลข อย. ไม่มีฉลากภาษาไทยหรือมีฉลากแต่แสดงไม่ถูกต้อง ซึ่งไม่เป็นตามที่กฎหมายกำหนดจำนวนมาก         ปัญหาดังกล่าวอาจจะทำให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลไม่ถูกต้อง จนอาจเกิดความไม่ปลอดภัยในการบริโภคอาหาร ทาง อย.จึงมีความร่วมมือที่จะสร้างความรู้ความเข้าใจกับผู้ประกอบการที่จำหน่ายสินค้าอาหารต่างๆ พร้อมกับแนะนำให้ผู้บริโภคป้องกันตนเองจากสินค้าอาหารผิดกฎหมายดังกล่าว โดยการให้เลือกซื้อสินค้าที่มีฉลากภาษาไทยและแสดงฉลากอย่างถูกต้อง เช่น แสดงชื่ออาหาร มีเลข อย. ส่วนประกอบ ส่วนผสม ชื่อ - ที่ตั้งของผู้นำเข้า ชื่อ - ประเทศผู้ผลิต วันเดือนปีที่หมดอายุ น้ำหนักสุทธิหรือปริมาตรสุทธิ และข้อมูลการใช้วัตถุเจือปนอาหาร สารก่อภูมิแพ้ แต่งกลิ่น เป็นต้นอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม "นโยบายรัฐบาลช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้า"        นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะโฆษกกระทรวงฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ กล่าวถึง ผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 19 - 25 เมษายน 2567 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 1,196,893 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 160 ข้อความ ทั้งนี้ช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social Listening จำนวน 139 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 21 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 141 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 89 เรื่อง         ข่าวปลอมที่ประชาชนให้ความสนใจ อันดับที่ 1 “นโยบายรัฐบาลช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้า ตั้งแต่ใบแจ้งค่าไฟฟ้าประจำเดือน เม.ย.-ก.ค. 67” รองลงมาเป็น “SMS แจ้งการถอดมิเตอร์ เนื่องจากผู้ใช้ไฟค้างชำระค่าไฟ หากชำระแล้วยืนยันหลักฐาน” ทั้งนี้ ขอให้ประชาชน อย่าหลงเชื่อคปภ.เร่งแก้ปมโควิดเจอจ่ายจบ เสนอผู้เคลมประกันรับเงินอัตราส่วนลด         นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.)ในฐานะที่ดูแลกองทุนประกันวินาศภัย ได้มีมติเสนอทางเลือกให้แก่ผู้ที่ต้องการเคลมประกันโควิด เจอ จ่าย จบ โดยรับเงินเคลมประกันวันนี้ในอัตราส่วนลดแทนที่จะรอเงินเคลมในอนาคต เพื่อแก้ไขปัญหาผู้เคลมประกันที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะได้รับเงินจากการเคลม เนื่องจาก กองทุนวินาศภัยเหลือเงินในกองทุนน้อยมาก         “แทนที่ผู้ขอเคลมประกันโควิดเจอ จ่าย จบ จะใช้เวลานานเป็น 10 ปี เพื่อเคลมประกัน หากต้องการได้เงินในวันนี้เลย มีทางเลือกให้รับในอัตราที่เป็นส่วนลด เช่น สิทธิการเคลมประกันที่ 100 บาท อาจลดเหลือ 60 บาท โดยกองทุนประกันวินาศภัย เป็นผู้รับผิดชอบจ่ายเงินเคลมประกัน แทนบริษัทประกันวินาศภัยที่ปิดกิจการที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด และกองทุนประกันวินาศภัย จะจ่ายให้กับผู้เคลมประกัน รายละไม่เกิน 1 ล้านบาทตามกฎหมาย” ผู้บริโภคร้องเมเจอร์เปิดขายบัตรแลกโฟโต้การ์ด ไม่เป็นธรรม        จากกรณี เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ได้เปิดขายบัตร AESPA WORLD TOUR IN CINEMAS ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับบทสรุปภาพยนตร์การเดินทางของสาวๆ วง AESPA ในราคา 900 บาท ระหว่างวันที่ 24-27 เมษายน 2567  ทำให้มีแฟนคลับของกลุ่มศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปดังกล่าวสนใจเป็นจำนวนมาก และได้โปรโมทจูงใจโดยมีเงื่อนไขให้ผู้ซื้อบัตรสามารถนำมาแลกรับ PHOTO CARD ได้ทุกรอบ แต่เมื่อซื้อไปแล้วสุดท้ายกลับไม่เป็นตามเงื่อนไขที่มีประกาศออกมานั้น         นายธนัช ธรรมิสกุล หัวหน้าฝ่ายพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้กล่าวว่า  มีผู้เสียหายมาร้องเรียนกับทางมูลนิธิฯ ให้ข้อมูลว่า 27 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ทางเมเจอร์ได้เริ่มเปิดขายบัตรผ่านออนไลน์ ทางผู้เสียหายได้มีการกดบัตรไปจำนวน 4 ใบ ซึ่งเป็นแบบดูภาพยนตร์ในวันเดียวกันทั้ง 4 ใบ เนื่องจากเข้าใจว่าจะได้รับ PHOTO CARD ทั้งหมด 4 แบบ แต่ปรากฏว่าหลังจากที่เธอทำการจองไปแล้วนั้น ทางเมเจอร์กับมีการโพสต์ทวิตเตอร์แจ้งว่า ผู้ซื้อบัตรจะได้รับ PHOTO CARD 1 แบบ ต่อ 1 วัน เท่านั้น และแบบที่ 1 ให้เฉพาะผู้เข้าชมวันที่ 24 เมษายน ส่วนแบบที่ 2-3-4 ให้เฉพาะผู้เข้าชมภาพยนตร์ วันที่ 25-26-27 เมษายน ตามลำดับ หากต้องการทั้ง 4 แบบ ผู้บริโภคต้องซื้อบัตรเข้าชมทั้ง 4 วันเท่านั้น ทำให้ผู้ร้องรู้สึกไม่เป็นธรรม เนื่องจากเป็นการแจ้งเงื่อนไขหลังจากที่มีการเปิดจองบัตร         ทั้งนี้ ทางผู้เสียหายจึงขอเรียกร้องไปยังเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ให้มีการสุ่ม PHOTO CARD แทนการกำหนดเจาะจงแบบให้แก่ผู้เข้าชม เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถแลกเปลี่ยนบัตรกันได้ตามที่ต้องการ หรือสามารถเปลี่ยนวันรับชมได้ นอกจากนี้ ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ยังเห็นว่าข้อความชี้แจงของทาง เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เป็นการประกาศโฆษณาอาจเข้าข่ายก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 อีกด้วย 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 278 โฆษณาคือส่วนหนึ่งของสัญญา ได้บ้านไม่ตรงปกฟ้องให้รับผิดตามโฆษณาได้

        เชื่อว่าทุกคนในยุคนี้ เวลาจะซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมสักหลัง คงหาข้อมูลเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจ ทั้งทำเล ราคา โปรโมชั่นต่างๆ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าก่อนจะจ่ายเงินก้อนออกไปจากกระเป๋า และโฆษณาชวนเชื่อที่บอกว่าบ้านจะมีสาธารณูปโภคหรือสิ่งอำนวยความสะดวกแบบนั้น แบบนี้ จะมีพื้นที่ส่วนกลาง มีสระว่ายน้ำ มีห้องออกกำลังกาย ก็เป็นสิ่งที่เรามักจะเอามาพิจารณาเสมอก่อนเข้าทำสัญญา แต่บางครั้งเราอาจเจอปัญหาสินค้าไม่ตรงปก ไม่ตรงตามโฆษณาและมาทราบภายหลังทำให้เราเกิดเปลี่ยนใจหรือรู้สึกเหมือนถูกหลอกจากโฆษณา         มีคดีหนึ่งที่ผู้บริโภคได้เห็นโฆษณาของผู้ประกอบธุรกิจห้องชุด การโฆษณารูปแผนผังที่ปรากฏทางพิพาทที่เป็นทางเข้าออกและพื้นที่ติดชายหาดติดต่อกับพื้นที่อาคารชุดทำให้เข้าใจว่าเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่ตนสามารถใช้ประโยชน์ได้  แต่ปรากฎมาทราบภายหลังว่า ไม่ใช่พื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งตอนโฆษณาผู้ประกอบธุรกิจห้องชุดก็ไม่บอกให้ชัด ศาลจึงตัดสินว่าเป็นการโฆษณาที่ไม่เป็นธรรม และต้องถือว่าโฆษณาเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา จึงพิพากษาให้ผู้ประกอบธุรกิจห้องชุดดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นทรัพย์ส่วนกลางของเจ้าของร่วมโดยปลอดภาระผูกพัน คำพิพากษาฎีกาที่  5351/2562         แผ่นพับโฆษณาเป็นประกาศโฆษณาที่จำเลยแจกจ่ายแก่ผู้ซื้อห้องชุด เพื่อจูงใจให้ผู้พบเห็นเข้าทำสัญญากับจำเลย สิ่งที่จำเลยกำหนดในแผ่นพับที่เป็นสื่อกลางโฆษณาให้ผู้ซื้อทราบว่าจะได้รับสิ่งใดเป็นการตอบแทนการเข้าทำสัญญาซื้อห้องชุดจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาระหว่างจำเลยกับผู้ซื้อ ดังที่บัญญัติไว้ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 11 จำเลยซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจจึงมีหน้าที่ตามมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรมที่จะต้องแจ้งข้อที่ผู้บริโภคควรทราบให้กระจ่างชัด ทั้งต้องไม่ใช้ข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมในการโฆษณาต่อผู้บริโภคเกี่ยวกับ สภาพ คุณภาพ หรือลักษณะของสินค้าหรือบริการไม่ว่าในทางใด ซึ่งตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 มาตรา 22 (2) บัญญัติว่า ข้อความที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการไม่ว่าจะกระทำโดยใช้หรืออ้างอิงรายงานทางวิชาการ สถิติ หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอันไม่เป็นความจริงหรือเกินความจริงหรือไม่ก็ตาม ถือว่าเป็นข้อความที่ไม่เป็นธรรม ดังนี้ แม้จำเลยไม่มีเจตนาให้ที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลง ส่วนของจำเลยเป็นทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุด แต่ตามแผ่นพับโฆษณา รูปแผนผังที่ปรากฏทางพิพาทที่เป็นทางเข้าออกและพื้นที่ติดชายหาดติดต่อกับพื้นที่อาคารชุด มีลักษณะที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลง ซึ่งเป็นพื้นที่ใช้สอยอันมีผลต่อสถานะความเป็นทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุด ทำให้ผู้ซื้อเข้าใจไปว่าที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลง เป็นพื้นที่ที่เจ้าของร่วมจะได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งของอาคารชุด การโฆษณาของจำเลยจึงเป็นการโฆษณาด้วยข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค ดังบัญญัติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 มาตรา 22 (2) จำเลยจึงต้องรับผลแห่งการโฆษณานั้น         การที่จำเลยไม่แสดงให้ชัดแจ้งเพื่อให้ปรากฏแก่ผู้ซื้อ ซึ่งเป็นผู้บริโภคว่าที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลง ไม่ใช่ทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดซึ่งเป็นหน้าที่ของจำเลยผู้ประกอบธุรกิจต้องกระทำให้ปรากฏอย่างชัดเจนในการโฆษณา ในขอบมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมกับภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม แม้จำเลยไม่มีเจตนาลวงผู้บริโภค จำเลยก็ต้องผูกพันตามแผนผังในแผ่นพับโฆษณา ซึ่งถือเป็นข้อตกลงอันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาด้วย ดังที่บัญญัติตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 11 และแม้ลักษณะที่แสดงตามแผ่นพับจะแสดงว่าทางและที่ดินติดชายหาดเป็นการใช้ประโยชน์ร่วมกันของโรงแรมและอาคารชุดก็ตาม ที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลง ก็ยังคงมีสถานะเป็นทรัพย์ที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกันสำหรับเจ้าของร่วมอยู่ด้วย         การที่โรงแรมมีส่วนร่วมใช้ประโยชน์ด้วยหาทำให้ที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลง ไม่ใช่ทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกันสำหรับเจ้าของร่วมไม่ ทั้งทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดนั้น นอกจากทรัพย์สินอื่นๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติแล้ว ยังหมายความถึงทรัพย์สินอื่นที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกันสำหรับเจ้าของร่วมซึ่งกฎหมายบัญญัติให้ถือเป็นทรัพย์ส่วนกลางด้วยดังบัญญัติความตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 4 และมาตรา 15 ทั้งนี้ ไม่ว่าทรัพย์สินนั้นจะขึ้นทะเบียนอาคารชุดระบุว่าเป็นทรัพย์ส่วนกลางหรือไม่หรือเจ้าของทรัพย์สินนั้นจะแสดงเจตนายกกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นให้เป็นทรัพย์ส่วนกลางหรือไม่ก็ตาม เพราะเป็นกรณีตกเป็นทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดโดยผลของกฎหมาย พิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 66572 และโฉนดเลขที่ 66574 เฉพาะส่วนของจำเลยเป็นทรัพย์ส่วนกลางของโจทก์โดยปลอดภาระผูกพัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 278 ‘ออมทอง’ vs ‘กองทุนทอง’ (1) ไม่ต้องมีเงินก้อนก็ซื้อทองได้

        ณ เวลาที่เคาะแป้นพิมพ์อยู่ ราคาขายทองรูปพรรณตกราวๆ บาทละ 41,000 บาทไปแล้ว ใครเห็นราคาแล้วเป็นต้องตกใจและเสียใจที่ไม่ได้ซื้อทองตอนราคาต่ำกว่านี้ ไม่ต้องเสียใจหรอก ไม่ว่ากับสินทรัพย์อะไรก็มักเป็นอย่างนี้เสมอแหละ         ทองคำจัดเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่ถูกแนะนำให้มีติดพอร์ตไว้เพราะมันช่วยลดความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ ตอนปี 2540 ราคาทองคำคือ 4,869 บาท 27 ปีผ่านไปราคาพุ่งขึ้นมาเกือบ 10 เท่า เห็นได้ว่าทองคำมันก็ขึ้นไปเรื่อยๆ ตามอัตราเงินเฟ้อ การถือครองทรัพย์สินเป็นทองคำจึงเท่ากับลดความเสี่ยงของพอร์ตสินทรัพย์ทั้งหมด        คำถามมีอยู่ว่า ถ้าฉันจะซื้อทองใส่พอร์ตต้องทำยังไง?         คำถามเหมือนง่าย...ก็เอาเงินไปซื้อทองสิ แต่คำตอบยากกว่าที่คิด สิ่งแรกคือคุณต้องมีเงินก้อนเกือบๆ ครึ่งแสนถ้าคิดจะซื้อทองรูปพรรณหนัก 1 บาท ใช่ว่าทุกคนจะมีเงินเยอะขนาดนั้น ปัญหาต่อมา สมมติว่าคุณมีเงินซื้อการเก็บรักษาทองคำให้ปลอดภัยก็ดูยุ่งยาก การแขวนไว้ที่คอเป็นทางเลือกแรกๆ ที่หลายคนคิด แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่ามันก็เหมือนแขวนเหยื่อล่ออาชญากรไว้ที่คอ หรือต่อให้เก็บไว้ที่บ้านก็ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าจะปลอดภัย คนรวยๆ เลยใช้วิธีเอาทองไปเก็บไว้ที่ธนาคารที่มีบริการตู้เซฟแบบที่เห็นในหนังนั่นแหละ ถามว่าคุณมีทองและเงินมากพอจะทำหรือเปล่า ถ้ามี การเก็บรักษาทองคำก็ไม่เป็นปัญหาอะไรนัก         แต่ระบบทุนนิยมก็ช่วยแก้ปัญหาให้คนที่อยากเก็บทองคำไว้ในพอร์ตโดยลดความยุ่งยากที่ว่ามาข้างต้น ปัจจุบันมีอยู่ 2 วิธีหลักๆ คือออมทองกับซื้อกองทุนทองคำ         โดยข้อดีของ 2 วิธีนี้ก็คือคุณไม่จำเป็นต้องมีเงินสี่ซ้าห้าหมื่นหอบไปซื้อทองที่ร้าน แต่สามารถค่อยๆ ซื้อตามกำลังเงินในมือได้ตามมูลค่าขั้นต่ำที่ร้านทองหรือกองทุนทองนั้นๆ กำหนด บางทีมีแค่ 100 เดียวก็ซื้อทองได้แล้ว         100 อาจจะได้ทองคำประมาณหนวดกุ้ง แต่คุณไม่ต้องสะดุ้งจนเรือนไหวกลัวใครจะปล้น ที่สำคัญคือคุณสามารถใช้วิธีเดียวกับการลงทุนหุ้นหรือกองทุนหุ้นได้ นั่นก็คือ DCA หรือ Dollar Cost Average หรือการซื้อทุกเดือนด้วยจำนวนเงินเท่าๆ กัน ซึ่งก็ได้ผลตอบแทนไปในทิศทางเดียวกับการซื้อทองคำแท่งด้วยตนเอง แต่สะดวกกว่า         ปัญหาอยู่ที่ว่าจะซื้อออมทองหรือทยอยซื้อทองทุกเดือนๆ หรือจะซื้อผ่านกองทุนทองคำดี         ไว้มาติดตามกันต่อตอนหน้า

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 278 มือปราบมหาอุตม์ : ฉันจะเป่าคาถา…เพื่อทวงหาคุณธรรม

                หากใครเป็นคอภาพยนตร์แนวบู๊ของฮอลลีวูด จะพบว่า ในกลุ่มหนังบู๊นั้น มีหนังแนวหนึ่งที่เน้นต่อสู้แอ็กชันผสมแฟนตาซีโรมานซ์ โดยใช้ฉากย้อนยุคแบบพีเรียดในอดีต ซึ่งรู้จักกันดีในชื่อภาษาอังกฤษว่า ภาพยนตร์บู๊ประเภท “swashbuckler film”         หนังแนว “swashbuckler” มักผูกโยงเรื่องราวของตัวละคร “สีเทาๆ” ที่แม้ด้านหนึ่งจะเป็นพระเอกของเรื่อง แต่อีกด้านหนึ่งก็สวมบทบาทเป็นจอมโจรผู้เชี่ยวชาญอาวุธ โดยเฉพาะการต่อสู้ด้วยดาบ เพื่อปกป้องทั้งหญิงสาวคนรัก และปล้นมิจฉาชีพผู้ร่ำรวยเพื่อมาอภิบาลชาวบ้านผู้อ่อนแอจากอความอยุติธรรมที่ได้รับจากชนชั้นนำหรือชนชั้นปกครอง แบบที่เราเห็นได้จากตัวละครคลาสสิกอย่าง “โรบิน ฮู้ด” แห่งป่าเชอร์วูด หรือ “จอมโจรโซโร” ผู้ผดุงคุณธรรมใต้หน้ากาก ไปจนถึง “กัปตันแจ็ค สแปร์โรว์” จ้าวแห่งโจรสลัดจากทะเลแคริบเบียน         ถ้าการปรากฏขึ้นของตัวละครในโลกสัญลักษณ์ไม่ได้ตกฟากมาอย่างเลื่อนลอย แต่มีเหตุผลรองรับจากความเป็นจริงแห่งปัจจุบันขณะ ดังนั้น ด้วยเรื่องราวของตัวละครย้อนยุคที่ต่อสู้เพื่อความถูกต้องซึ่งอยู่ในเส้นเรื่องของภาพยนตร์แนวนี้ ก็น่าจะสะท้อนย้อนให้เห็นว่า เมื่อไรก็ตามที่สังคมมิอาจไล่ล่าตามหาความยุติธรรมในโลกจริงได้แล้ว ตัวละครแบบ “swashbuckler” ก็จะลุกขึ้นมาทวงหาความเที่ยงธรรมแบบนี้ในโลกจินตนาการของเราเป็นการทดแทน         ออกจากป่าเชอร์วูดและทะเลแคริบเบียนมาสู่ชุมชน “เขาสมิง” ในปีพุทธศักราช 2508 ตัวละครโรบิน ฮู้ด จอมโจรโซโร และกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ ก็ได้แปลงรูปโฉมโนมพรรณเสียใหม่ มาอยู่ในคราบไคลของจอมโจรคาดหน้าภายใต้สมัญญาว่า “เสือผาด” ผู้คอยปล้นสะดมคนรวยเพื่อเอาเงินไปช่วยเหลือคนจนผู้ยากไร้ ในละครโทรทัศน์แนวบู๊แฟนตาซี หรือ “swashbuckler” แบบไทยๆ เรื่อง “มือปราบมหาอุตม์”         จุดเริ่มต้นของเรื่องเกิดขึ้นด้วยการแนะนำให้เรารู้จักกับ “กระทิง” หรือชื่อในอดีตว่า “สันติ” นายตำรวจหนุ่มอนาคตไกลผู้ไม่เคยกลัวใคร ยึดมั่นในคุณธรรม และคอยปราบปรามเหล่าร้ายนอกกฎหมาย หลังจากที่ติดยศเป็น “ผู้กองกระทิง” เขาได้เดินทางมายังเขาสมิง ดินแดนไกลปืนเที่ยงที่เสือผาดได้ใช้ชีวิตอยู่ในชุมโจรอันลึกลับเพื่อหลบเร้นจากอำนาจแห่งกฎหมายหรือข้อกำหนดใดๆ ของสังคม         ในขณะเดียวกัน แม้จะได้ชื่อลือเลื่องว่าเป็นจอมโจรใต้หน้ากากที่คนรวยตีตราให้เป็นประหนึ่งปีศาจ แต่กับคนยากคนจนทั้งหลาย กลับชื่นชมเสือผาดไม่ต่างจากพระเจ้าที่คอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเหล่านั้น และที่สำคัญ แม้ยังไม่เคยมีใครที่ได้เห็นใบหน้าแท้จริงของเสือผาด แต่จริงๆ แล้ว ขุนโจรผู้นี้ก็คือเพื่อนวัยเยาว์ของกระทิงที่ชื่อ “ไม้” ที่มีปมพ่อแม่ถูกฆ่าตาย จนเป็นกำพร้าตั้งแต่ยังเด็ก         ภายใต้เส้นเรื่องที่พระเอกสองคนผู้เล่นบทบาทต่างกันได้เวียนวนมาพบกันหลังจากพลัดพรากไปตั้งแต่ยังเล็ก โดยที่คนหนึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่รักษากฎหมาย อีกคนหนึ่งเป็นผู้ขบถต่อกฎเกณฑ์แห่งสังคม ละครก็ได้เพิ่มปมขัดแย้งให้เข้มข้นขึ้น เพราะบุรุษหนุ่มทั้งคู่ไปตกหลุมรักผู้หญิงคนเดียวกันคือ “บุหลัน” หรือในอดีตชื่อ “กำไล” เพื่อนวัยเด็กของทั้งสอง ที่ปัจจุบันเป็นนักร้องสาวสวยประจำบาร์เขาสมิง และต้องปกปิดความลับของตัวตนไม่ให้ผู้อื่นรับรู้เช่นกัน         ในขณะที่ฮอลลีวูดสร้างตัวละครแบบ “swashbuckler” ผู้อยู่ “นอกกฎหมาย” มาเฝ้าคอยผดุงคุณธรรมของสังคม รวมถึงปกป้องหญิงสาวคนรักและผู้คนจากอำนาจมืดที่อยู่ “เหนือกฎหมาย” นั้น ละคร “มือปราบมหาอุตม์” ก็เดินเรื่องบนโครงพล็อตไม่แตกต่างกันนัก         ด้วยเหตุดังกล่าว แม้พระเอกทั้งสองจะเคยผูกพันด้วยมิตรภาพที่มีมาตั้งแต่เด็ก แต่เสือผาดในฐานะจอมโจรแห่งเขาสมิงผู้อยู่ “นอกกฎหมาย” ก็มิวายต้องขัดแย้งกับผู้กองกระทิงที่เล่นบทบาทเป็นผู้ “พิทักษ์กฎหมาย” ควบคู่ไปกับสี่ห้องหัวใจที่เขาทั้งคู่ต่างมอบให้กับหญิงสาวคนเดียวกันอีก         ที่สำคัญ อำนาจที่อยู่ “เหนือกฎหมาย” ของตัวร้ายอย่าง “เสือหาน” ตัวละครที่ทำให้ชาวบ้านเขาสมิงล้วนประหวั่นพรั่นพรึง ก็คือเหตุปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดตำนานเสือผาดจอมโจรใต้หน้ากากผู้เฝ้าคอยดูแลปกป้องชาวบ้านร้านตลาดจากอำนาจมืดดังกล่าว และก็เป็นเสือหานนี้อีกเช่นกันที่ทำให้เพื่อนรักอย่างไม้ สันติ และกำไล ต้องพลัดพรากบ้านแตกสาแหรกขาด จนต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบากมานานเกินกว่าสิบปี         ไม่เพียงเสือหานจะเป็นอภิมหาเจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพลด้านมืดเพื่อขึ้นเป็นใหญ่ในเขาสมิงเท่านั้น แต่เมื่อตัดสินใจจะเข้าสู่สนามการเมืองระดับชาติ เสือหานก็พยายามชุบตัวเสียใหม่กลายเป็น “เฮียหาน” และซื้อตัวบรรดาตำรวจยศใหญ่หลายคน รวมถึง “ทวี” หนึ่งในนายตำรวจผู้เป็นลูกน้องที่เขาปลุกปั้นจนได้มียศเป็นผู้กำกับประจำสถานีตำรวจเขาสมิง         เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศแบบไทยๆ และสอดรับกับกระแส “มูเตลู” วิถีความเชื่อที่ไม่เคยตกยุคตกสมัยในสำนึกของคนไทยแล้วนั้น แทนที่เราจะได้เห็นฉากดวลดาบดวลปืนแบบที่คุ้นเคยในหนังอเมริกัน ทั้งฮีโร่นักบุญในคราบจอมโจรและพระเอกหนุ่มผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ก็เลยสวมวิญญาณเจ้าพ่อแห่งวิชาอาคม เสกเป่าคาถามนตราต่างๆ เพื่อต่อสู้กับเฮียหานผู้ที่ได้ชื่อว่าอาคมแก่กล้าเกินกว่าใครในปฐพี         จากนั้น เพื่อสร้างอรรถรสในการเสพฉากบู๊สายมูเยี่ยงนี้ ละครจึงได้หวนให้เราเห็นภาพภูมิปัญญาอันหลากหลายของศาสตร์วิชชามหาอุตม์ ที่ชื่ออาจจะฟังดูไม่คุ้นหู ณ กาลปัจจุบัน แต่ก็ถูกขุดกรุออกมาเป็นอาวุธห้ำหั่นฟาดฟันกันทั้งจากฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรม ไม่ว่าจะเป็นว่านกำบังกาย ยันต์ไขคำปาก นกคุ้มส่งข่าว อานุภาพเหล็กไหล คาถานาคราชนาราชันย์ มนต์ธรรมราช ตรีศูลศาสตราวุธ และอื่นๆ อีกมากมาย         หลังจากต่อสู้เป่ามนตรามหาอุตม์อย่างชวนตื่นเต้นเร้าใจตลอดทั้งเรื่องแล้ว แม้ตามหลักกฎหมายแล้ว จอมโจรนักบุญกับตำรวจมือปราบจะเล่นบทบาทที่ยืนอยู่กันคนละขั้วคนละฝ่าย แต่ทว่าทั้งด้วยมิตรภาพและด้วยจุดมุ่งหมายที่ต้องการโค่นล้มมาเฟียใหญ่แห่งเขาสมิง การผนึกกำลังของชายสองคนต่างขั้วตรงข้ามกันก็ยืนยันให้เห็นว่า ต่อให้เสือหานจะมีวิชาอาคมเก่งกาจเพียงใด หากไร้คุณธรรมกำกับด้วยแล้ว ฝ่ายอธรรมก็ต้องแพ้พ่ายต่อพลังแห่งธรรมะและกฎแห่งกรรมเสมอ         เมื่อถึงฉากจบของการทวง “คืนความสุขให้เขาสมิง” กลับมาได้แล้ว ด้วยบทบาทที่เล่นกันคนละจุดยืน กอปรกับมิตรภาพที่เคยมีมาตั้งแต่วัยเด็กของบุรุษหนุ่มตัวเอกทั้งสองของเรื่อง ไม้ในนามเสือผาดได้เลือกหายสาบสูญจากเขาสมิงไปตลอดกาล เพื่อให้ส้นติและกำไลได้ลงเอยครองคู่กันอย่างแฮปปี้เอนดิ้งไปในที่สุด          คู่ขนานไปกับการคลี่คลายปมรักปมแค้นและปมขัดแย้งหลักของเรื่องละครเช่นนี้ บางทีการปรากฏตัวและลาจากไปของเสือผาดก็อาจตั้งคำถามกับเราไม่มากก็น้อยด้วยว่า ทุกวันนี้ที่สังคมเป็น “สีเทาๆ” ความดีความเลวแยกขาดกันได้ไม่ชัดเจน เราจะยังหวังทวงหาคุณธรรมและความยุติธรรมในโลกจริงกันได้เพียงไร หรือต้องรอให้จอมโจรใต้หน้ากากลุกขึ้นมาเป่าคาถากอบกู้คุณธรรมความถูกต้องให้เรากันอีกกี่ครั้งครา

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 278 ดังในเรื่องไม่ดี

        315 Gala รายการแฉผู้ประกอบการ “ยอดแย่” ประจำปีที่ออกอากาศในคืนวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมาหรือวันสิทธิผู้บริโภคสากล ทางสถานีโทรทัศน์แห่งชาติของจีน (China Central Television หรือ CCTV) มีผู้ชมไม่ต่ำกว่า 70 ล้านคน ยังไม่นับอีกกว่า 1,560 ล้านวิวในเวยป๋อ         เป็นที่รู้กันว่าธุรกิจหรือผู้ประกอบการที่ถูก “ฟีเจอร์” ในรายการนี้จะถูกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบดำเนินคดี แถมยังอาจถูกบอยคอตจากผู้บริโภคไปอีกนานด้วย        มาดูกันว่าปฏิบัติการซ่อนกล้องของ CCTV ประจำปี 2024 มีอะไรน่าสนใจบ้าง         เริ่มต้นกันที่ผลิตภัณฑ์อาหาร กระแสต่อต้าน “อาหารพร้อมทาน”​ ในประเทศจีนทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปีก่อน ทีมงานจึงเลือกเปิดโปงการใช้เนื้อหมูที่ชำแหละอย่างไม่ถูกต้องตามหลักอนามัยของผลิตภัณฑ์ “หมูสามชั้นตุ๋นผักดอง” ของผู้ประกอบการรายหนึ่ง         นักข่าวของ CCTV พบว่าเนื้อหมูที่ใช้เป็นส่วนที่อยู่ระหว่างส่วนหัวและตัวของหมู ซึ่งมีทั้งต่อมน้ำเหลืองและต่อมไทรอยด์ที่มีฮอร์โมนเป็นพิษต่อคนกิน กฎหมายจีนได้กำหนดกระบวนการเฉพาะเพื่อจัดการกับเนื้อส่วนดังกล่าวให้สะอาดปลอดความเป็นพิษ แต่โรงงานผลิตซึ่งตั้งอยู่ในมณฑลอานฮุยและเคยถูกปรับจากความผิดนี้มาแล้วก็ยังไม่ปรับปรุงแก้ไข            เมนูนี้เป็นอาหารซิกเนเจอร์ของมณฑลกวางตุ้ง จึงสร้างความขุ่นเคืองใจให้ผู้คนในแถบนั้นที่ต้องเสียหน้าและผู้บริโภคทั่วประเทศที่ต้องเยงต่ออันตรายด้วย         จากเรื่องของอาหารมาดูที่เครื่องดื่มกันบ้าง ถ้าถามคนจีนตอนนี้สุราขาวที่ราคาแพงที่สุดของประเทศเขา มันไม่ใช่ “กุ้ยโจวเหมาไถ” ที่เรารู้จักกันดีเสียแล้ว           สุราหน้าใหม่ในบู๊ลิ้มที่เข้ามาชิงบัลลังก์สุราไฮเอนด์ได้แก่ “Ting Hua” ที่ขายปลีกในราคาขวดละไม่ต่ำกว่า 50,000 หยวน (ประมาณ 254,000 บาท) แบรนด์นี้ทำการตลาดหนักมาก ไม่ว่าจะไปไหนก็เห็นโฆษณาของเขา ทั้งในลิฟท์ นิตยสารบนเครื่องบิน แถมชาวเน็ตตาดียังบอกว่าแม้แต่ CCTV ที่กล่าวหาว่าเขาโฆษณาหลอกลวงก็ยังเคยฉายโฆษณาของเขาด้วยและที่เป็นประเด็นก็คือการโฆษณาเกินจริงของเขานี่เอง ทีมงาน 315 Gala ที่แยกย้ายกันไปไปสืบเสาะตามร้านค้าปลีกหลายแห่ง พบว่าพนักงานขายให้ข้อมูลกับลูกค้าว่าผลิตภัณฑ์นี้สามารถรักษาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้ แถมยังบอกว่าส่วนผสมที่ “จดทะเบียนการค้า” เป็นส่วนผสมระหว่างแอลกอฮอลและสารให้ความเย็นชนิดหนึ่ง แต่เมื่อตรวจสอบกับหน่วยงานรัฐก็พบว่ามีเพียงการ “ยื่นขอ” จดทะเบียน แต่ยังไม่มีการ “รับจดทะเบียน” แต่อย่างใด และสารที่ว่าก็ไม่ใช่อะไรอื่น มันคือใบมินต์หรือสะระแหน่นั่นเอง         บริษัทรีบออกมาบอกกับสังคมว่าได้เก็บสินค้าทั้งหมดออกจากร้านค้าออนไลน์ และได้ตั้งทีมสืบสวนพิเศษเพื่อสืบหาการกระทำที่ผิดกฎหมายของลูกจ้างแล้ว ... แหม่         มาถึง “อุปกรณ์ช่วยโกง” แบบไฮเทคที่แม้จะน่ากลัวแต่กลับหาซื้อกันได้ไม่ยาก         ทีมสำรวจพบว่าเมนบอร์ดสำหรับโทรศัพท์มือถือที่สามารถควบคุมโทรศัพท์เครื่องอื่นได้ถึง 20 เครื่อง ที่มีหมายเลข IP ต่างกัน สามารถหาซื้อได้ในราคาตั้งแต่ 3,000 ถึง 6,000 หยวน (ประมาณ 15,200 ถึง 30,500 บาท) และถ้าเป็นมือสองก็อาจจะลดลงมาเหลือแค่ 100 หยวน (หรือ 500 บาท) เท่านั้น แถมยังพบว่าถ้าใช้เครื่องมือนี้หลายตัวพร้อมกันจะสามารถควบคุมเกม จำนวนโพสต์หรือแม้แต่การโหวตออนไลน์ได้ด้วย  เพราะมันใช้ง่ายเหมือนโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ จึงมีคนนิยมซื้อไปใช้เพื่อดึงดูดลูกค้า สร้างโฆษณาในแพลตฟอร์ม ทำคลิปวิดีโอและยังสามารถเปลี่ยน IP ของวิดีโอ ทำให้เจ้าของแพลตฟอร์มหรือหน่วยงานราชการไม่สามารถตรวจเจอ จึงสามารถส่งลิงก์จำนวนมากได้โดยไม่ถูกระงับการใช้งานด้วย เรียกว่างานหลอกลวงเป็นทางของเขาเลยทีเดียว          คราวนี้เรามาดู “อุปกรณ์” ที่ใช้ไม่ได้ตามที่ควรจะเป็นกันบ้าง         ประเทศจีนมีข่าวพาดหัวเกี่ยวกับเหตุการณ์เพลิงไหม้ค่อนข้างบ่อย ถังดับเพลิงจึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าจับตาเป็นพิเศษ         ทีมงานปลอมตัวเป็นลูกค้าไปหาซื้ออุปกรณ์ดังกล่าวจากร้านขายส่ง พวกเขาพบว่าหลายร้านจำหน่ายสินค้าที่ต่ำกว่ามาตรฐาน เช่น จะต้องมีแอมโมเนียมดีไฮโดรเจนฟอสเฟตร้อยละ 75 แต่ผู้ค้าบางรายปรับลดลงมาเหลือเพียงร้อยละ 20 เพื่อจะได้ขายในราคาถูกลง         ตามกฎหมายของจีน อาคารและพื้นที่สาธารณะจะต้องมีถังดับเพลิง แต่เมื่อหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบออกไปตรวจสอบกลับพบว่าใบรับรองความปลอดภัยโดยผู้ผลิตนั้นเป็นของปลอม และถังดับเพลิงที่ติดตั้งนั้นจะมีทั้งแบบที่ผ่านและไม่ผ่านมาตรฐานปะปนกัน ประมาณว่าเอาไว้หลอกผู้ตรวจ ที่พีคสุดคือมีร้านหนึ่งบอกกับทีมงาน (ซึ่งเขาคิดว่าเป็นลูกค้า) ว่า “มันดับไฟไม่ได้หรอก ยิ่งพ่นไฟก็ยิ่งลาม” คนฟังก็ช็อคจนขำไม่ออก         แน่นอนว่าตอนนี้รัฐบาลส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจทุกร้านที่ถูกพาดพิงในวิดีโอดังกล่าวแล้ว         เรื่องสุดท้ายว่าด้วยค่าธรรมเนียมตามหาเนื้อคู่         หนุ่มสาวจีนหลายคนเลือกใช้บริการหาคู่ออนไลน์เพราะทำแต่งานจนไม่มีเวลาออกไปคบหาดูใจกับใคร แต่การสืบเสาะโดยทีมจาก CCTV พบว่าบริษัทเหล่านี้หลอกเอาเงิน (แม้จะเป็นจำนวนไม่มาก) จากผู้ใช้บริการด้วยการสัญญาว่าเขาหรือเธอจะได้เจอรักแท้ พ่อสื่อแม่สื่อมืออาชีพเหล่านี้ (ซึ่งดูไปคล้ายเซลล์ขายสินค้ามากกว่า) ถูกฝึกมาให้สืบหาพื้นหลังทางการเงินของลูกค้าก่อนจะรับเข้าเป็นสมาชิกผู้ใช้บริการ จากนั้นก็จะล้างสมองให้เชื่อว่าเว็บหาคู่ของเขานี่แหละคือทางออกสุดท้าย ว่าแล้วก็จัดหา “เนื้อคู่ทิพย์” ขึ้นมา         หลังถูกเปิดโปง เว็บ jiayuan.com ซึ่งเป็นพื้นที่พบปะกันระหว่างลูกค้ากับพ่อสื่อแม่สื่อได้ยุติการดำเนินการแล้ว ก่อนหน้านี้เว็บดังกล่าวเป็นสปอนเซอร์ให้กับรายการหาคู่ชื่อดัง “ถ้าเธอคือคนที่ใช่” ที่คนดูก็รู้กันอยู่ว่าเตี๊ยมกันมาทั้งนั้น         หลายคนมองว่าการซ่อนกล้อง ปลอมตัว หรือบุกจับ ของรายการนี้เป็นการเล่นใหญ่เพื่อเอาเรตติ้ง ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้บริโภคอย่างยั่งยืน แต่อีกหลายคนก็สะใจที่เห็นคนทำผิดถูกลงโทษ อย่างน้อยมีสักครั้งในหนึ่งปีที่ผู้บริโภคได้รู้สึกว่า “คืนนี้เป็นคืนของฉัน”

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 277 จองรถ แล้วถูกเลื่อน ขอคืนเงินจองได้ไหม

        ภายใต้สภาพการขนส่งมวลชนที่ยังไม่เชื่อมโยงให้การเดินทางเป็นไปโดยสะดวก ผู้บริโภคจึงให้ความสนใจกับการมีรถยนต์ส่วนตัว เพื่อใช้ขับขี่ในการใช้ชีวิตประจำวัน และการซื้อรถยนต์ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเป็นสินค้าที่มีราคาค่อนข้างสูง ส่วนใหญ่จะมีการทำสัญญาจองรถยนต์กันก่อน และแน่นอนว่าต้องมีระยะเวลาหนึ่ง กว่าจะได้รถมา สิ่งที่ผู้บริโภคเจอปัญหาจากการจองรถ ส่วนหนึ่งคือ ไม่ได้รถตามกำหนดเวลาที่จองไว้ เช่นนี้ หลายคนจึงสงสัยว่าในฐานะผู้บริโภคที่จองรถเราจะมีสิทธิอะไรบ้าง วันนี้ จึงขอนำเสนอตัวอย่างคำพิพากษาของศาลฏีกาที่น่าสนใจ ซึ่งได้ตัดสินวางบรรทัดฐานในเรื่องนี้ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค โดยได้วินิจฉัยในกรณีที่ผู้ซื้อได้บอกเลิกสัญญาจองรถพร้อมเรียกให้คืนเงินมัดจำแล้ว แต่ผู้ขายยังคงเพิกเฉยไม่สงมอบรถหรือเยียวยาด้วยวิธีอื่นใด ซึ่งศาลก็พิพากษาให้คืนเงินจองแก่ผู้บริโภค โดยคดีนี้แม้ว่าการจองจะไม่มีกำหนดเวลาส่งมอบที่ชัดเจน แต่ศาลก็ถือว่าการส่งมอบรถก็ควรดำเนินการในเวลาอันควร หากไม่ดำเนินการ ผู้บริโภคมีสิทธิบอกเลิกสัญญา ขอเงินจองหรือเงินมัดจำคืนได้         คำพิพากษาศาลฎีกาที่  2816/2540                 โจทก์สั่งจองซื้อรถยนต์จากจำเลยไว้ 1 คัน ในราคา 2,370,000 บาท โดยวางเงินมัดจำไว้ 50,000 บาท หลังจากสั่งจองแล้วจำเลยไม่ติดต่อให้โจทก์ไปรับรถ โจทก์จึงมีหนังสือถึงจำเลยบอกเลิกการจองซื้อรถและขอรับเงินมัดจำคืน แม้ใบสั่งจองรถยนต์จะมิได้กำหนดเวลาให้จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่สั่งจองไว้ แต่การสั่งจองได้ระบุยี่ห้อ แบบ และรุ่นของรถยนต์ไว้ ตามปกติผู้ที่ซื้อรถยนต์ใหม่ก็ต้องมีความประสงค์จะได้รถยนต์รุ่นใหม่ที่ทันสมัย ซึ่งก็เป็นที่คาดกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายว่าจะต้องส่งมอบรถยนต์ที่จองไว้ในเวลาอันสมควร ไม่ล่าช้ามากเกินไป นับจากวันที่โจทก์สั่งจองซื้อรถยนต์จนถึงวันที่โจทก์มีหนังสือบอกเลิกการจองและขอให้จำเลยคืนเงินมัดจำ  เป็นเวลา 5 เดือนเศษ จำเลยก็ยังไม่ส่งมอบรถยนต์ให้แก่โจทก์ ทั้งหลังจากนั้นจำเลยก็ยังเพิกเฉย หาได้เสนอที่จะชำระหนี้โดยส่งมอบรถยนต์ให้แก่โจทก์แต่อย่างใดไม่ ตามพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นเจตนาของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายต่างสมัครใจที่จะเลิกสัญญาต่อกันโดยปริยาย สัญญาจองรถยนต์ที่โจทก์จำเลยทำไว้จึงไม่มีผลผูกพันต่อไป โจทก์และจำเลยต่างต้องกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ตาม ป.พ.พ.มาตรา 391 วรรคหนึ่ง                นอกจากนี้ ตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการขายรถยนต์ที่มีการจองเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2551 ได้กำหนดให้การจองรถยนต์ต้องทำเป็นสัญญา มีลักษณะและข้อความ ดังต่อไปนี้         สัญญาจองรถยนต์ ที่ผู้ประกอบธุรกิจทำกับผู้บริโภค ต้องมีข้อความเป็นภาษาไทยที่สามารถเห็นและอ่านได้ชัดเจน มีขนาดของตัวอักษรไม่เล็กกว่าสองมิลลิเมตร และต้องใช้ข้อสัญญาที่มีสาระสำคัญและเงื่อนไข ดังต่อไปนี้         (1) รายละเอียดเกี่ยวกับรถยนต์ ดังนี้             – ยี่ห้อ รุ่น ปีที่ผลิต สี และขนาดกำลังเครื่องยนต์             – รายการอุปกรณ์ติดตั้งเพิ่มเติมและของแถมหรือสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ (ถ้ามี)             – จำนวนเงิน หรือสิ่งที่รับไว้เป็นมัดจำ (ถ้ามี)             – ราคา         รวมถึงมีบัญญัติคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญาจองรถ ว่าในกรณี 1. ปรับเปลี่ยนราคารถยนต์สูงขึ้น 2.ไม่ส่งมอบรถยนต์ให้ผู้บริโภคภายในระยะเวลาที่กำหนด 3.ไม่ส่งมอบรถยนต์ที่มียี่ห้อ รุ่น ปีที่ผลิต สี และขนาดกำลังเครื่องยนต์ตรงตามที่กำหนดในสัญญา และ 4. ไม่ส่งมอบรถยนต์ที่มีรายการอุปกรณ์ติดตั้งเพิ่มเติมและของแถม หรือสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ตามที่กำหนดในสัญญา  ผู้บริโภคมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและขอเงินคืนได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 277 รวมมิตรปัญหา SMS (1)

        เมื่อราว 15 ปีก่อน ในขณะที่มีการร่างกฎหมาย กสทช. หรือพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ได้มีการปรารภเรื่องปัญหาการได้รับ sms หรือข้อความสั้นที่ส่งมาทางโทรศัพท์มือถือ บทบัญญัติหนึ่งจึงถูกบรรจุไว้ในวรรคท้ายของมาตรา 31 ความว่า         “ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ หรือกิจการโทรคมนาคม ดำเนินการใด ๆ ในประการที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค โดยอาศัยการใช้เครือข่ายหรือการโฆษณาอันมีลักษณะเป็นการค้ากำไรเกินควร หรือก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ ไม่ว่าด้วยวิธีการใด ตามหลักเกณฑ์ที่ กสทช. กำหนด ให้ กสทช. มีอำนาจสั่งระงับการดำเนินการดังกล่าวได้”         จะเห็นได้ว่า ข้อความสำคัญ นอกเหนือจากคำว่า “การใช้เครือข่าย” แล้ว ยังมี “การโฆษณาอันมีลักษณะการค้ากำไรเกินควร” และ “ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ” ซึ่งสะท้อนและตอกย้ำอย่างเข้าเป้าว่า บทบัญญัตินี้มุ่งให้ กสทช. วางมาตรการแก้ไขปัญหา sms เป็นการเฉพาะ เพียงแต่ก็ไม่ได้จำกัดสำหรับปัญหาอื่นๆ ที่อาจเกิดจากการใช้เครือข่าย หรือมีลักษณะเข้าตามข้อความสำคัญที่เหลือด้วย         ตรงกับข้อเท็จจริงในยุคนั้น ที่ปัญหาหลักๆ แล้วยังเป็นเรื่องของ sms รบกวน หรือที่บางคนเรียกว่า “sms ขยะ” ซึ่งสร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้บริโภคตรงตามตัว นั่นคือทำให้ถูกรบกวน         ส่วนปัญหา sms ที่มีการเรียกเก็บค่าบริการ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า sms กินเงิน แม้ในขณะนั้นก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่ยังมีลักษณะเป็นการให้บริการข้อมูลข่าวสารค่อนข้างตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเป็นข่าวด่วนข่าวร้อน คำทำนายดวง ใบ้หวย หรือคลิปเด็ดต่างๆ ฯลฯ รูปแบบจึงเป็นการคิดค่าบริการจากทุกๆ ข้อความสั้นที่มีการส่งเข้ามายังเครื่องมือถือของผู้รับ ในฐานะเป็นราคาของข้อมูลข่าวสารนั้นๆ บวกรวมด้วยค่าส่ง คิดออกมาเป็นราคาเหมาข้อความละเท่าไรก็ว่าไป หรือในยุคแรก บางกรณีก็คิดเป็นรายเดือน หรือรายสัปดาห์ รายวัน         ในยุคแรกนั้น แม้ปัญหากรณี sms กินเงินจะเกิดขึ้นแพร่หลายในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เกิดกว้างขวางจนถึงกับว่า ผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือต่างประสบปัญหากันถ้วนหน้า ไม่เลือกยากดีมีจน เหมือนในช่วงเวลาต่อมา         โดยลักษณะปัญหา sms ในยุคแรกที่ผู้บริโภคประสบมักเกี่ยวข้องกับการได้รับข้อความจนรำคาญ ซ้ำร้ายยังถูกเรียกเก็บเงินด้วย การถูกหลอกล่อเข้าสู่บริการด้วยคำว่า “ทดลองใช้ฟรี ... วัน” แต่เมื่อครบเวลาแล้วก็กลายเป็นการเข้าสู่บริการแบบเสียเงินโดยอัตโนมัติ ไม่มีการสอบถามใหม่ กลายเป็นภาระให้ผู้บริโภคต้องเป็นฝ่ายหาทางตอบปฏิเสธ หรือบางกรณีไม่มีช่องทางให้ปฏิเสธด้วยซ้ำ หรือมีช่องทางที่ต้องดำเนินการยุ่งยาก และเมื่อทำแล้วไม่สามารถบรรลุจุดประสงค์ได้ เช่น ไม่มีคนรับสาย แจ้งไปแล้วแต่ยกเลิกไม่สำเร็จ บางกรณีก็เป็นการยัดเยียดบริการโดยผู้บริโภคไม่มีสิทธิเลือกหรือตัดสินใจว่าจะตอบรับหรือไม่         แม้ปัญหา sms รบกวนและ sms คิดเงินจะเป็นเรื่องที่ผู้คนเอือมระอากันอย่างยิ่ง จนถึงกับมีการระบุไว้ในกฎหมายจัดตั้งองค์กร กสทช. ดังกล่าวอย่างไรก็ตาม กระทั่งมีการตรากฎหมายออกมาบังคับใช้แล้ว และ กสทช. ได้รับการจัดตั้งขึ้นแล้ว แต่ไม่เพียงปัญหาเดิมไม่หมดไป ทว่ากลับมีการพัฒนาสู่ปัญหาที่รุนแรงขึ้น ทั้งในส่วนของปัญหาลักษณะเดิม โดยเฉพาะ sms กินเงินที่มาในรูปแบบหลากหลายมากขึ้น ยัดเยียดหนักกว่าเดิม และเน้นให้ปลายทางไม่รู้ตัว         เรื่องการก่อความรำคาญจึงซาลง ในขณะที่เรื่องการสูญเสียค่าบริการเพิ่มแบบไม่รู้ตัวเกิดมากขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในระบบจ่ายรายเดือนหรือระบบเติมเงิน และส่วนใหญ่มักรู้ตัวเมื่อสูญเงินไปมากระดับหนึ่งแล้ว เช่น เกิดการผิดสังเกตว่า เงินที่เติมเข้าไปในระบบหายวับหรือหมดไปอย่างรวดเร็ว หรือตระหนักได้ว่าค่าบริการรายเดือนสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่ไม่ได้เปลี่ยนรายการส่งเสริมการขาย         นอกจากนั้น ในระยะสองสามปีหลังนี้ยังมีปัญหามิติใหม่เพิ่มเติมด้วย คือปัญหา sms หลอกลวง         ทั้งนี้ เห็นได้ชัดว่า พัฒนาการของปัญหา sms มีลักษณะรุนแรงขึ้นและก่อความเสียหายได้หนักหน่วงขึ้นด้วย จากที่เพียงเป็นพวกข้อความโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่สร้างความรบกวนชวนรำคาญ กลายมาเป็นเหตุให้เสียเงินค่าบริการ กระทั่งกลายเป็นตัวเชื่อมต่อให้เกิดการหลอกลวงเอาทรัพย์สินถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัวได้ และบางกรณีอาจสร้างความเสียหายอื่นๆ ร่วมด้วย เช่นการหลอกลวงด้านความสัมพันธ์         ส่วนแนวทางแก้ไขปัญหานั้น ก็พลอยซับซ้อนและยุ่งยากขึ้นไปด้วย จากเดิมที่เคย (น่าจะ) แก้ได้ด้วยมาตรการปิดกั้น หรือการจัดทำระบบข้อมูลผู้ประสงค์หรือไม่ประสงค์จะรับสายหรือ sms โฆษณาหรือเชิญชวนให้ซื้อสินค้าและบริการ ดังที่ในต่างประเทศทำกัน ที่เรียกว่า Do Not Call Register ซึ่งในภายหลังมีการพัฒนามาเป็น Do not Originate List         ทั้งที่มาตรการดังกล่าวยังคงไม่ได้เกิดขึ้นอย่างจริงจังในประเทศไทย แต่ถึงวันนี้กลับกลายเป็นมาตรการที่ไม่เพียงพอสำหรับกรณีปัญหา sms หลอกลวง ไปเสียแล้ว         ส่วนมาตรการทางกฎหมายตามที่พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ บัญญัติไว้ ว่าให้มี หลักเกณฑ์ที่ กสทช. กำหนด” นั้น หลังจากผ่านช่วงระยะเวลาแรกแห่งการถูกเพิกเฉยละเลยเกือบ 5 ปี ในที่สุดก็มีการตราออกมาเป็นประกาศ กสทช. เรื่อง การกระทำที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม โดยอาศัยการใช้เครือข่ายหรือการโฆษณาอันมีลักษณะเป็นการค้ากำไรเกินควร หรือก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ พ.ศ. 2558         อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติจริง ประกาศดังกล่าวก็ถูกนำมาบังคับใช้น้อยมาก ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่จะได้ขยายความในตอนต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >