ฉบับที่ 139 น้ำกัดเท้า

น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง ...... โอมเพี้ยง....ขออย่าให้คณะผู้บริหารจัดการน้ำไม่เป็นแบบคำพังเพยโบราณเลย....... ถ้าน้ำมาก็ขอให้น้อยกว่า 10 เท่าเมื่อเทียบปี 55 นะๆๆ แต่ถ้าน้ำนองในบางพื้นที่ ขอแนะนำสูตรยาแก้น้ำกัดเท้าที่ตกทอดมารุ่นต่อรุ่น ตั้งแต่สมัยสังคมไทยยังเป็นเมืองทำนาปลูกข้าวกว่า 80% จนตอนนี้หดหายไปเกือบครึ่ง หลบไปทำอย่างอื่นกันหมด แม้ยังทำเกษตรแต่ก็แห่ไปทำสวนยางสวนปาล์มกันมากมาย โบราณกาล ชาวนาเขาต้องยืนแช่น้ำในนาข้าวอยู่นานสองนาน ต้องเจอกับน้ำกัดเท้าเป็นประจำ ตำรับยานี้จึงทำง่ายสุดๆ และเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมขนานแท้ เพียงแค่นำสารส้มสะตุ และดินสอพองสะตุมาผสมกัน คำว่าสะตุ เป็นคำโบราณเกี่ยวกับการปรุงยาไทย หมายถึงไปทำให้สะอาดหรือดับพิษลดพิษจากตัวยาเสียก่อน วิธีทำ ให้นำสารส้มมาบดเป็นผงละเอียด นำไปใส่ในหม้อดิน แล้วนำไปตั้งไฟ สารส้มจะฟูขึ้น ปล่อยไว้จนฟูขาวสะอาดดี จึงนำลงจากเตาไฟ เรียกว่าสารส้มสะตุ สรรพคุณตามตำรายาไทยกล่าวว่า สารส้มช่วยสมานทั้งภายในภายนอก เฉพาะยาภายนอกช่วยแก้อาการคัน สมานแผล ห้ามเลือด ดินสอพองสะตุ ให้นำดินสอพองใส่กระทะ ตั้งไฟให้ร้อน คั่วดินสอพองให้สุกหรือผ่านความร้อนเพื่อทำให้สะอาดเช่นกัน ดินสอพองมีฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้อโรคอ่อนๆ และเป็นเหมือนแป้ง เมื่อทาผิวจะลดความชื้น แก้อาการคัน และไม่ให้เชื้อราลุกลามได้ง่ายนั่นเอง   ตำรับยาให้ใช้สารส้มสะตุและดินสอพองสะตุ อย่างละเท่าๆ กัน นำผสมกันใช้ทาที่แผล(หยดน้ำสะอาดเล็กน้อยเพื่อให้ผงยาเป็นยาเหลวทาง่ายขึ้น) ใช้วันละ 3-4 ครั้ง แต่ถ้าหาดินสอพองทำยาได้ยาก ก็ไม่ต้องใช้ ให้ใช้เฉพาะผงสารส้มสะตุละลายน้ำทาเลย ถ้าน้ำท่วมใหญ่มาอีกรอบ ขอให้บริจาคก้อนสารส้มกันบ้าง แล้วบรรดาอาสาสมัครแบ่งกลุ่มมาช่วยกันนั่งตำให้เป็นผง ตั้งเตาไฟใส่หม้อดินตามวิธีข้างต้น ปล่อยให้แห้งหาขวดใบเล็กๆ กรอกไว้แจกจ่าย แล้วแบ่งงานอาสาอีกกลุ่มช่วยกันทำฉลากและวิธีใช้ติดข้างขวด ใครๆ ก็ใช้ได้ถูกต้อง แต่ถ้าจวนเจียนไม่มีใครทำสะตุให้ ทำแบบสดๆ ก็สามารถใช้ได้ทันที ให้เอาก้อนสารส้มก้อนเล็กๆ ใส่ในช้อน แล้วเอาช้อนไปลนไฟเทียนไข สารส้มจะค่อยๆ ละลายเป็นน้ำ ใช้ก้านไม้พันสำลีจุ่มลงไปในน้ำสารส้ม แล้วเอามาทาที่น้ำกัดเท้า ทาบางๆ วันละ 3-4 ครั้ง ก็ช่วยบรรเทาอาการได้ดีไม่แพ้กัน อีกสูตรหนึ่งถ้าพื้นที่แห้งมีการปลูกต้นพลูไว้ ให้อาสาสมัครนอกแนวน้ำท่วมช่วยกันเอาใบพลูมาล้างให้สะอาด หั่นซอยเป็นชิ้นเล็ก แล้วใส่ครกตำให้ละเอียด ใส่ภาชนะหรือโหลแก้วแล้วเทเหล้าขาวหรือแอลกอฮอล์ให้ท่วมยา ปิดฝาแช่ทิ้งไว้ 1 คืน (อย่างน้อย 12 ชั่วโมง) กรอกเอาแต่น้ำยาบรรจุขวดเล็กๆ เวลาใช้ให้เอาสำลีชุบน้ำยาในพลูทาที่แผล วันละ 3-4 ครั้ง ใบพลู ซึ่งมีน้ำมันหอมระเหย มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้หลายชนิด ช่วยแก้อาการคัน และแก้กลาก เกลื้อน และโรคน้ำกัดเท้าที่มาจากเชื้อราได้ ขณะนี้มีการผลิตเป็น เจลพลู หรือเรียกโก้ๆ ว่าพลูจีนอล สรรพคุณไม่ด้อยกว่ายาแผนปัจจุบันเลย ใบพลูแน่กว่ายาต้านเชื้อราเฉยๆ เพราะใบพลูมีสรรพคุณลดอาการคันด้วย เนื่องจากน้ำมันหอมระเหยจากพลูมีฤทธิ์คล้ายยาชาเฉพาะที่ (ฤทธิ์อ่อนๆ) จึงช่วยแก้อาการคัน ถ้าต้องเดินลุยน้ำแช่น้ำ ควรล้างเท้าให้สะอาด และเช็ดเท้าให้แห้ง ช่วยลดการเกิดน้ำกัดเท้า แต่ถ้าเสียทีน้องน้ำแล้ว ให้ลองใช้ตำรายาโบราณสู้กับน้ำกัดเท้าดูนะ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 106 ทำไมถึงทำกับอาตมาได้

ในชนบทชาวบ้านยังคงให้ความเคารพและศรัทธาในวัดเสมอ ดังนั้นหากไม่มีระบบตรวจสอบเฝ้าระวังที่ดี วัดอาจจะกลายเป็นแหล่งที่ผู้ไม่หวังดีอาศัยเพื่อหลอกลวงผู้บริโภคก็ได้ เมื่อไม่นานมานี้ มีบริษัทหนึ่งมาเร่ขายเครื่องแช่เท้าในเขตอำเภอเสนาและพื้นที่ใกล้เคียง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต่อมาบริษัทนี้คงจะชะล่าใจที่หลอกคนได้เรื่อยๆ จึงนำเครื่องแช่เท้าไปเปิดให้บริการที่วัดโรงหลวงจนเป็นข่าวโด่งดังขนาดออกโทรทัศน์ช่อง 3 ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดจึงส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ พบว่า เครื่องมือนี้ประกอบไปด้วยอ่างสี่เหลี่ยมสำหรับใส่น้ำแช่เท้าและต่อสายไปยังเครื่องที่มีสายไฟฟ้าต่ออีกทอดหนึ่ง เมื่อเอาเท้าแช่ลงไปและเปิดให้เครื่องทำงาน น้ำจะเปลี่ยนเป็นสีต่างๆ เช่น เหลือง น้ำตาลแดง ดำ เขียว ตามแต่โรคที่ผู้ให้บริการอ้างว่าผู้บริโภคเป็น เหตุที่วัดนี้โด่งดังขึ้นมา เพราะพระที่วัดเคยไปใช้บริการแช่เท้ามาก่อนและคงประทับทั้งใจและทั้งเท้า ต่อมาเมื่อมีคนเอามาถวายที่วัด 2 เครื่อง จึงมีการเปิดบริการแก่ชาวบ้าน จนชาวบ้านหลั่งไหลมามากมาย จะด้วยเห็นว่าบริการนี้เริ่มติดตลาดหรือด้วยจิตอันเป็นกุศล แต่ที่แน่ๆ พระท่านได้สั่งซื้อเครื่องเพิ่มอีกเป็น 5 เครื่อง เพื่อพร้อมรับมือ ไม่ใช่ซิ! รับเท้า ให้บริการ จนดังระเบิดเถิดเทิง ผู้คนหลั่งไหลมากันใหญ่ ภก.สันติ พนักงานเจ้าหน้าที่ประจำกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่ได้ไปตรวจสอบและอธิบายให้ทั้งพระทั้งโยมทราบว่า การที่น้ำเปลี่ยนสีนั้นเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมี โดยไฟฟ้าจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนอนุมูลของไอออน (ion) ในน้ำทำให้เกิดสารประกอบทางเคมีที่เราเรียกกันว่า สารประกอบเชิงซ้อน และการที่มีสีต่างๆ นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่ามันไปจับตัวกับสารอะไร เช่น เหล็ก สนิมเหล็ก แมงกานิส จึงทำให้มันมีสีแตกต่างกันไป (ไม่ได้เกิดจากการขับพิษออกจากร่างกายแต่อย่างใดนะครับพระคุณท่าน) งานนี้เรียกว่ากว่าจะรู้ตัวก็ถูกหลอกกันถ้วนหน้าแบบไม่เลือกปฏิบัติ ทั้งญาติโยมและหลวงพ่อเลยนะครับ เหตุการณ์ทำนองนี้ในอดีตเคยเกิดที่จังหวัดปทุมธานี ครั้งนั้นมีคนไปถวายเครื่องเขย่าขาแก่พระ และต่อมาพระท่านก็เปิดธรรมเทศนาให้ญาติโยมซื้อเครื่องเขย่าขาให้บิดา มารดา เพื่อเป็นบุญกุศล (และคงเป็นกำไรของผู้ขายด้วย) กันเอิกเกริก สมาชิกท่านใดไปวัดบ่อยๆ แล้วเจอผลิตภัณฑ์หรือบริการอะไรแปลกๆ อย่าหลงเชื่อง่ายๆ นะครับ รีบแจ้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตรวจสอบโดยด่วนนะครับ อย่างนี้ซิได้บุญของจริง...สาธุ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 182 รองเท้าใหม่ใช้ได้แค่วันเดียว

ของใช้ต่างๆ ย่อมเสื่อมสภาพตามวันเวลา แต่หากเราซื้อของมาแล้วใช้ได้แค่วันเดียว ถึงแม้จะมีราคาไม่สูงมากนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องปกติที่น่ายินดีสักเท่าไร  ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ร้องรายนี้คุณมัลลิษาซื้อรองเท้าคู่ใหม่มือหนึ่งยี่ห้อ Kito ราคาเกือบ 400 บาท จากการออกบูทขายสินค้าที่ห้างสรรพสินค้าย่านอนุสาวรีย์ชัย แต่วันแรกที่สวมใส่ก็พบว่ารองเท้าดังกล่าวชำรุด โดยพื้นรองเท้ากับรองเท้าได้แยกออกจากกัน ซึ่งเธอคิดว่าปัญหาดังกล่าวน่าจะมาจากล็อต (Lot) การผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะมั่นใจในตราสินค้าว่ามีคุณภาพและเชื่อว่าอย่างน้อยก็ต้องใช้งานได้เป็นปี จึงส่งอีเมล์ร้องเรียนปัญหาดังกล่าว พร้อมแนบรูปถ่ายสินค้าที่ชำรุดไปยังบริษัท เพื่อให้มีการตรวจสอบและชดเชยความเสียหาย เพราะถือว่าเป็นการจำหน่ายสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ อย่างไรก็ตามภายหลังส่งเรื่องร้องเรียนไปก็ไม่มีการตอบรับจากบริษัท เธอจึงมาร้องเรียนที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอความช่วยเหลือแนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์ฯ โทรศัพท์ไปสอบถามความคืบหน้ากับทางบริษัทฯ ซึ่งแจ้งว่ายังไม่พบการร้องเรียนดังกล่าว จึงขอให้ส่งรายละเอียดปัญหาไปอีกครั้งทางแฟกซ์ โดยภายหลังได้รับทราบปัญหาก็ขอโทษพร้อมชดเชยผู้ร้องด้วยการส่งรองเท้าคู่ใหม่มาให้ พร้อมชี้แจงว่าปัญหาดังกล่าวอาจเกิดจากการข้อผิดพลาดทางการผลิต ซึ่งพนักงานฝ่ายการผลิตอาจลืมขัดพื้นรองเท้าที่สำหรับทากาวให้ยึดเกาะ ด้านผู้ร้องเมื่อได้รับรองเท้าคู่ใหม่ก็ยินดียุติการร้องเรียน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่่ 136 รองเท้าแตะคู่ 3 พัน ใช้ไม่กี่วันเจ๊ง

“ดิฉันได้ไปซื้อรองเท้า FITFLOP ที่ห้างสรรพสินค้าพารากอน เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2554” คุณเสาวรินทร์เริ่มเรื่องเธอบอกว่ารองเท้าคู่นี้ ราคา 3,290 บาท เป็นรองเท้าแตะ...“บ๊ะ!” เจ้าหน้าที่รับเรื่องของมูลนิธิฯ ร้อง รองเท้าแตะอะไรจะแพงขนาดนั้นเปิดดูภาพรองเท้าที่คุณเสาวรินทร์ส่งมาให้ ก็เห็นเป็นรองเท้าแตะหูหนีบ พื้นหนาหน่อย สไตล์โฉบเฉี่ยวเพรียวเท้าถูกใจสาวรุ่น คิดในใจก็ว่าราคายังไม่น่าถึงสามพัน ดูที่สายรองเท้าเห็นลวดลายมองได้เป็นทั้งหนังงูหรือไม่ก็หนังตัวเงินตัวทอง ดูใกล้เคียงกัน ไม่แน่ใจ“คงจะสายรองเท้ามั๊ง ที่ทำให้สมราคาสามพัน” เจ้าหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนคิดในใจคุณเสาวรินทร์เล่าปัญหาของเธอต่อไปว่า รู้ว่าเป็นรองเท้าราคาแพง พอซื้อมาก็สวมใส่ใช้งานอย่างทะนุถนอม ถามว่าทะนุถนอมยังไงเธอบอกว่า ใช้ใส่เดินในห้างเดินในตึกอย่างเดียว ไม่เคยเอามาใส่เดินบนถนน บนฟุตบาทให้แปดเปื้อนศักดิ์ศรีรองเท้าจากพารากอนเลยสักครั้ง เพราะเดี๋ยวเกิดไปสะดุดปุ่ม สะดุดตออะไรเข้าจะเกิดรอยฉีกรอยขาดเสียหายได้  เวลาเก็บก็เช็ดวางเข้าชั้นวางรองเท้าอย่างดี เรียกว่าแทบจะอัญเชิญเข้าหิ้งก็ไม่ปานอุตส่าห์ทะนุถนอมถึงขนาดนั้น ปรากฏว่าใส่ขึ้นห้างได้แค่ 6 วัน สายหนีบรองเท้าข้างหนึ่งก็ฉีกขาดเสียแล้ว จะปลอบใจตัวเองว่ายังเหลืออีกข้างราคาพันห้าทนใส่ข้างเดียวมันก็ยังไงๆ อยู่ จึงเอาใบเสร็จขึ้นมาดู ปรากฏข้อความเด่นหราว่า“รับประกันสินค้าภายใน 14 วัน” อ่านแล้วเหมือนได้รับข้อความจากสวรรค์ รีบโทรติดต่อไปที่บริษัท สตาร์แฟชั่น(2551) จำกัด ซึ่งเป็นชื่อที่ปรากฏอยู่ในใบเสร็จรับเงินว่าเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายและนำเข้ารองเท้า ได้รับคำตอบว่า รองเท้ายังอยู่ในเงื่อนไขระยะเวลารับประกันขอให้ส่งใบเสร็จและนำรองเท้าส่งไปที่ร้านคุณเสาวรินทร์จึงได้ส่งรองเท้าและใบเสร็จไปและรอการติดต่อกลับมาเป็นเวลา 20 วัน แต่ต้องผิดหวังกับคำตอบที่ได้รับเป็นอย่างมาก“ดิฉันได้รับคำตอบว่า การฉีกขาดของหูรองเท้าไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของตัวสินค้า แต่เกิดจากการสวมใส่ จึงไม่สามารถรับผิดชอบ หรือซ่อม หรือเปลี่ยนรองเท้าให้ได้แต่อย่างใด”“ด้วยการสวมใส่ของดิฉันไม่ได้สะดุด หรือมีการกัดของสัตว์เลี้ยงแต่อย่างใด ดิฉันมั่นใจว่า รองเท้าของดิฉันมีปัญหาจากโรงงานเนื่องจากการผลิต อยากทราบว่า ถ้าทางบริษัทฯ รับประกันสินค้า และสินค้าเกิดความชำรุดภายในระยะเวลากำหนด และทางบริษัทฯ ไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น ดิฉันสามารถดำเนินการใดๆ ได้บ้างคะ” คุณเสาวรินทร์ร้องถามความเป็นธรรมให้เท้าของตนเอง แนวทางแก้ไขปัญหาขอว่าด้วยเรื่องหลักกฎหมายเป็นความรู้กันก่อนในความรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้กล่าวไว้ในมาตรา 472 ว่า กรณีสินค้าที่ขายชำรุดบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์ที่จะใช้ได้เป็นปกติก็ดี หรือประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี กฎหมายกำหนดให้ผู้ขายต้องรับผิด ไม่ว่าในความชำรุดบกพร่องของสินค้านั้นผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องนั้นมีอยู่กรณีที่ผู้ขายสินค้าไม่ต้องรับผิดก็มีเช่นกัน กล่าวในมาตรา 473 ของกฎหมายฉบับเดียวกัน คือ(1)  ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชำรุดบกพร่องหรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน(2) ถ้าความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ และผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยไม่อิดเอื้อน(3) ถ้าทรัพย์นั้นได้ขายทอดตลาดทั้งนี้ ในข้อรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องนั้น กฎหมายห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ได้พบเห็นความชำรุดบกพร่องนั้น (ป.พพ. มาตรา 474)สำหรับกรณีจึงสรุปได้ว่า เมื่อผู้ขายไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ความชำรุดบกพร่องของสินค้าเกิดจากการใช้ของผู้บริโภค ก็คงต้องรับผิดชอบในสินค้าที่ชำรุดเสียหายนั้น แม้จะมีเงื่อนไขว่ารับคืนหรือเปลี่ยนสินค้าภายใน 14 วัน แต่ในหลักกฎหมายก็ยังให้สิทธิในการฟ้องร้องในอายุความ 1ปี แต่นี่คือหลักกฎหมายเพราะในชีวิตมีเพียงน้อยรายที่จะยอมเสียเวลาขึ้นโรงขึ้นศาลเพื่อแลกกับค่าเสียหายระดับหลักพันบาทเช่นนี้ดังนั้น การเจรจาไกล่เกลี่ยจึงเป็นวิธีที่เหมาะสมในสถานการณ์เช่นนี้ มูลนิธิฯ จึงได้มีหนังสือร้องเรียนสินค้าชำรุดบกพร่องถึงบริษัท สตาร์แฟชั่น(2551) จำกัด ในฐานะผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย และยังส่งหนังสือร้องเรียนอีกฉบับไปที่บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ในฐานะเจ้าของพื้นที่ขายสินค้า เพื่อให้ช่วยกดดันลูกค้าของตนเองให้แสดงความรับผิดชอบต่อผู้ใช้บริการของห้างผลปรากฏว่า บริษัท สตาร์แฟชั่น(2551) ยอมเยียวยาความเสียหายให้กับคุณเสาวรินทร์เป็น Gift Voucher มูลค่า 3,500 บาท มากกว่ามูลค่าราคารองเท้าที่เสียหายเล็กน้อย (รองเท้าซื้อราคา 3,290 บาท) คุณเสาวรินทร์บอกแค่นี้ก็พอใจมากแล้ว เพราะไม่คาดว่าจะเรียกร้องกับบริษัทได้ หลังจากนั้นจึงนำ Gift Voucher ไปแลกซื้อรองเท้าคู่ใหม่ทันที

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 145 รองเท้ามือสอง เสน่ห์หรือภัยเงียบ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สินค้ามือสอง มีเสน่ห์สำหรับหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นแบบที่ถูกใจหรือราคาที่ถูกมากเมื่อเทียบกับคุณภาพของสินค้า โดยเฉพาะรองเท้ามือสอง ซึ่งคงไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นเท่านั้นที่นิยมรองเท้ามือสอง คนอีกหลายวัยก็นิยมเช่นกัน เพราะสินค้ารองเท้ามือสองนั้นมีความหลากหลายของรูปแบบที่เข้าได้กับทุกกลุ่ม เพศ วัย ไม่ว่าจะเป็นผ้าใบยี่ห้อดัง รองเท้าหนังเท่ๆ หรือส้นสูงสุดเฉี่ยว   ถึงจะเป็นที่นิยมมากแค่ไหน แต่รองเท้ามือสองกำลังเป็นคำถามสำคัญที่ผู้บริโภคต้องใส่ใจมากขึ้น ว่าจะยังตระเวนซื้ออย่างสนุกสนานต่อไป หรือว่าควรมีรองเท้ามือสองไว้ในครอบครองแต่พอดี   เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่เรื่อง ขยะรองเท้ามือสองกองสูงเป็นภูเขา(ฝ่ายที่กองไว้อ้างว่าอยู่ระหว่างรอการกำจัด) เป็นปัญหาเดือดร้อนรำคาญและก่อผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ที่จังหวัดสระแก้ว ใกล้ตลาดโรงเกลือ ซึ่งถือเป็นแหล่งค้ารองเท้ามือสองที่ใหญ่สุดในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน ขยะดังกล่าวได้ถูกกำจัดไปส่วนหนึ่งแต่ก็ไม่ทันกับปริมาณของตัวขยะ(ใหม่)ที่เพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน เพราะตลาดของรองเท้ามือสองนั้นติดลมบนและมีมูลค่ามหาศาลไปแล้ว คำถามก็คือ เราจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาขยะรองเท้ามือสองต่อไป หรือเราจะเปลี่ยนตัวเอง ด้วยการซื้อรองเท้ามือสองให้น้อยลงหรือแม้แต่รองเท้าใหม่ก็เช่นกัน และถนอมใช้รองเท้าที่เรามีอยู่ไปจนเปื่อยขาดหมดสภาพแล้วจึงค่อยซื้อใหม่ดี   “ปัจจุบันมีโรงเท้ามือสองถูกนำเข้ามาจากต่างประเทศ กระจายไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ภายในตลาดโรงเกลือ อ.อรัญประเทศ วันละ 6-10 ตัน เพื่อนำไปซ่อมแซม และตกแต่ง เพื่อจำหน่ายต่อไป ซึ่งจะมีชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ต้องทิ้งเป็นขยะ ประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ ของรองเท้าทั้งหมด”  นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว     พิสูจน์ความสะอาดของรองเท้ามือสอง ฉลาดซื้อฉบับนี้ไปช้อปปิ้งรองเท้ามือสองจากตลาดนัดที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งของรองเท้ามือสองจำนวน 9 แห่ง โดยเลือกรองเท้าที่ไม่เหมาะกับการซัก แต่อาจต้องทำความสะอาดด้วยวิธีอื่นๆ ทั้งนี้เพื่อส่องดู เชื้อโรคและเชื้อรา(standard plate count และ Mold) ว่ามีอยู่มากน้อยแค่ไหน  การทดสอบทำโดย บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด (Standard plate count / วิธีตรวจนับจุลินทรีย์มาตรฐาน) ผลการทดสอบ   วิธีทำความสะอาดรองเท้ามือสอง 1.ถ้าเป็นรองเท้าที่ซักด้วยน้ำและผงซักฟอกได้ เมื่อซื้อมาแล้วให้ซักล้างทำความสะอาด ตากแดดให้แห้งสนิท ก่อนสวมใส่ 2.รองเท้าที่ซักด้วยน้ำและผงซักฟอกไม่ได้ ควรเช็ดถูด้านในรองเท้าด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคหรือแอลกอฮอล์ และนำไปผึ่งแดดจัดๆ แต่ถ้าเป็นรองเท้าหนังไม่ควรผึ่งแดดจัด เพราะจะทำให้เสื่อมสภาพไวขึ้น ควรผึ่งในที่ร่มที่มีลมพัดผ่าน 3.ถ้าภายในรองเท้าเปียกชื้น การซับด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์จะช่วยดูดความชื้นออกไปได้ 4.ควรหมั่นซัก ล้าง ทำความสะอาดรองเท้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขอนามัยอันดีและป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์   -------------------------------------------------------------------------------------------- สิ่งที่อาจมากับของใช้มือสอง 1.อาการภูมิแพ้ ทั้งจากวัสดุ ฝุ่น เชื้อโรคหรือแม้แต่น้ำยาปรับผ้า น้ำยารีดผ้า 2.โรคจากเชื้อรา ชื่นชอบอากาศและความอับชื้นเป็นพิเศษ จึงเจริญเติบโตได้ดีในรองเท้าที่ไม่ค่อยได้ซักทำความสะอาด กรณีรองเท้ามือสอง หากไม่ทำความสะอาดให้ดีก่อนสวมใส่ อาจก่อให้เกิดอาการเท้าเป็นเชื้อรา คันตามบริเวณง่ามเท้า ฝ่าเท้า 3.โรคผิวหนัง เชื้อโรคเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังต่างๆ และเมื่อแบคทีเรียรวมตัวกับความเปียกชื้นจากเหงื่อก็จะทำให้เกิดปัญหากลิ่นอับ ซึ่งเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 123 เลือก “รองเท้านักเรียน” คู่ใหม่ ต้อนรับเปิดเทอม

  ถึงเวลาเปิดเทอม ก็ถึงเวลาที่เด็กๆ และพ่อแม่จะต้องมองหาอะไรใหม่ๆ ไว้ต้อนรับการศึกษาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเขียนใหม่ ชุดนักเรียนใหม่ เสื้อใหม่ กางเกงใหม่ และที่ลืมไม่ได้คือ “รองเท้าคู่ใหม่” ความสำคัญอันดับแรกของรองเท้าผ้าใบสำหรับนักเรียนในบ้านเรา คงหนีไม่พ้นเรื่องของความถูกต้องตามระเบียบของโรงเรียน และรวมไปถึงไว้สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ในชั่วโมงพละ ซึ่งแน่นอนว่ารองเท้านักเรียนแม้จะเป็นที่นิยมของเด็กๆ ในการเตะฟุตบอล เล่นตะกร้อ (เพราะราคาไม่แพงแถมถูกระเบียบ) แต่ประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้งานคงสู้ไม่ได้กับรองเท้าที่ผลิตขึ้นมาสำหรับใส่เล่นกีฬาโดยเฉพาะ  ฉลาดซื้อ ได้ส่งตัวอย่าง “รองเท้าผ้าใบสำหรับนักเรียนชาย” ไปทดสอบยังกรมวิทยาศาสตร์บริการ เพื่อทดสอบโดยยึดตามเกณฑ์มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ซึ่งตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรองเท้าผ้าใบมีการกำหนดคุณลักษณะที่รองเท้าผ้าใบควรมีเอาไว้หลายข้อ แต่ด้วยข้อจำกัดในการจัดเตรียมชิ้นทดสอบทำให้บางรายการทดสอบไม่สามารถทำได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ทดสอบของกรมวิทยาศาสตร์บริการได้ให้ข้อมูลกับทางฉลาดซื้อ ว่าบางรายการทดสอบ เช่นการทดสอบความทนทานต่อการพับงอของส่วนพื้น ที่ต้องมีการเตรียมชิ้นทดสอบเป็นส่วนพื้นยางที่มีความหนาและความกว้าง เกินกว่าความหนาของพื้นรองเท้าผ้าใบที่ทางฉลาดซื้อส่งไปทดสอบ แถมยังต้องใช้ชิ้นทดสอบมากกว่า 1 ชิ้นต่อ 1 ตัวอย่าง  แต่ฉลาดซื้อก็ยังได้ผลทดสอบรองเท้าผ้าใบสำหรับนักเรียนชายมาฝากแฟนๆ ด้วยผลทดสอบ 3 เรื่องที่น่าสนใจ ประกอบด้วย  1.ความหนาของบัวส้น – ส่วนส้นเท้ามีความสำคัญ บริเวณบัวส้นของรองเท้าที่แข็งแรงจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อเท้า ความหนาของบัวส้นยังมีผลต่อการคงตัวของทรงรองเท้า บัวส้นที่มีความหนาก็จะช่วยทำให้รูปทรงของรองเท้าคงตัว ไม่บิดเบี้ยวหรือเสียรูปทรงขณะวิ่งหรือเดิน ช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บ 2.ความหนาของวัสดุเสริมพื้น –  วัสดุเสริมพื้นที่ดีจะช่วยรับและกระจายแรงกระแทกจาก หลัง ขา และเท้า ก่อนลงสู่พื้น แถมยังช่วยเพิ่มความมั่นคงในการเดินและวิ่ง ซึ่งในการทดสอบครั้งนี้จะดูแค่เรื่องความหนาตามเกณฑ์มาตรฐาน มอก. เท่านั้น ไม่ได้ทดสอบไปถึงเรื่องวัสดุที่ใช้ซึ่งมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องความหนาของวัสดุเสริมพื้น  3.การติดแน่นของยางขอบกับผ้า – การติดแน่นของขอบพื้นยางกับส่วนผ้าของรองเท้าผ้าใบ มีผลต่อความแข็งแรงคงทนของตัวรองเท้า รวมถึงการทนทานต่อการพับงอ   ดังนั้นผลทดสอบรองเท้าผ้าใบสำหรับนักเรียนทั้ง 3 เรื่องนี้ จะบอกได้เฉพาะในเรื่องของ ความคงทน และลักษณะความคงรูปทรงของรองเท้าเท่านั้น ไม่ได้บอกถึงประสิทธิภาพในการใช้  ฉลาดซื้อหวังว่าผลทดสอบครั้งนี้ น่าจะพอมีประโยชน์สำหรับคุณพ่อ-คุณแม่และผู้ปกครองได้บ้าง อย่างน้อยก็เรื่องความแข็งแรงคงทน   ตารางผลทดสอบรองเท้าผ้าใบสำหรับนักเรียนตามมาตรฐาน มอก. ชื่อยี่ห้อ ชื่อรุ่น ราคา ตามที่แจ้งไว้ในฉลาก (บาท) ความหนาของบัวส้น (มม.) ความหนาของวัสดุเสริมพื้น (มม.) การติดแน่นของยางขอบกับผ้า (กรัมต่อ ซม.)   มาตรฐาน มอก.   ไม่น้อยกว่า 1.3 มม. ไม่น้อยกว่า 1.5 มม. ไม่น้อยกว่า 1,000 กรัมต่อ ซม.   1.Gold City 205S 249 1.3 7.0 3,219.1   2.นันยาง 205-S 274 1.3 8.0 283.4   3.Pan PF4136-AA 345 ไม่มี 3.5 -   4.Breaker BK-55 389 1.5 8.0 -   5.บาจา b-first - 299 1.0 4.0 1,720.1   6.Breaker futsal BK-30 385 1.5 8.0 -   7.Feebus F-111 249 1.4 8.0 3,411.1   8.Feebus F-599 179 ไม่มี 5.0 1,054.4   9.kito SSAM610 258 1.3 6.0 1,154.4   10.บาจา b-first - 269 2.2 7.0 2,823.1   11.Clicks CL-555 229 ไม่มี 4.0 1,943.6   12. Breaker futsal BK4/M+ 309 1.3 7.0 3,632.2   13.Breaker 4X4 4X4/M 289 1.4 5.5 2,650.6   14.Gerry Gang F-499 249 ไม่มี 5.0 702.1   15.Dynamic DU-111 295 1.0 4.0 1,795.4   16.Nike Zoom Alpha TR ครอส เทรนนิ่ง 2900 2.0 4.0 2,329.9   17.Adidas G21413 running men liquid 3390 1.4 6.0 1,560.4   18.Reebok Hosscat aluminum   3250 2.7 5.0 3,333.3     ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------รองเท้าผ้าใบที่ดีต้องมีอะไรบ้าง-ต้องมีความแข็งแรง ส่วนบนที่เป็นผ้าใบและส่วนพื้นที่เป็นยางของรองเท้าต้องยึดแน่นเข้าด้วยกัน-ทุกส่วนของรองเท้าต้องติดกันแน่นสนิท-ขอบยางต้องติดแน่นรอบพื้นและส้นรองเท้า และไม่ยื่นออกมานอกระดับของพื้นรองเท้า-ส่วนหัวรองเท้าต้องอยู่ตัวไม่บิดเบี้ยว-ส่วนบนของรองเท้าต้องมีความแข็งแรงและทนทานเพื่อป้องกันรอยย่นและโค้งงอ-พื้นรองเท้าด้านในต้องรองด้วยเศษยาง หรือแผ่นวัสดุที่ทำจากเศษผ้าและเศษยางบดรีดผสมกัน และบุด้วยผ้าอีกชั้นหนึ่ง-พื้นรองเท้าต้องนุ่ม ไม่ลื่น -มีรูระบายอากาศช่วยระบายความร้อน---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เรื่องของ “เท้า” ที่เราควรรู้ 1.เมื่อรูปร่างของเรามีการเปลี่ยนแปลง เช่น น้ำหนักเพิ่มขึ้น อายุเพิ่มขึ้น ขนาดเท้าของเราก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน2.เท้าของเราอาจเปลี่ยนขนาดตามสภาพอากาศ เช่น อากาศร้อนทำให้เท้าขยายใหญ่ขึ้น3.ว่ากันว่าช่วงเวลาในแต่ละวันก็มีผลต่อขนาดของเท้าเช่นกัน 4.โรคภัยไข้เจ็บและอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับเท้า เช่น โรคข้ออักเสบ หรือมีบาดแผลที่เท้า ก็อาจเป็นสาเหตุทำให้รูปเท้ามีการเปลี่ยนแปลง5.เวลาที่เท้าเรามีบาดแผล รองเท้าที่ใส่ประจำอาจต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อลดอาการบาดเจ็บและป้องกันการบาดเจ็บเพิ่มขึ้น6.เท้าเป็นอวัยวะเล็กๆ ที่ถูกใช้งานหนัก แต่เรากลับให้ความสำคัญกับมันน้อยมาก เรียกว่าแทบไม่ได้ค่อยได้รับการดูแล ดังนั้นเราควรหันมาใส่ใจดูแลกับเท้าคู่น้อยๆ ของเรากันให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเรื่องความสะอาด การออกกำลังในส่วนของข้อเท้าและกล้ามเนื้อเท้าเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและกระตุ้นการไหลเวียนเลือดมาสู่ปลายเท้า--------------------------------------------- เลือกซื้อรองเท้า-ต้องลองสวมร้องเท้าทุกครั้งก่อนซื้อ เพราะขนาดของรองเท้าแม้จะมีมาตรฐานระบุไว้ แต่รองเท้าแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น ถึงจะเป็นเบอร์เดียวกัน ขนาดของรองเท้าก็อาจไม่เท่ากัน -เวลาลองรองเท้าต้องลองทั้ง 2 ข้าง เพราะเท้าของเราข้างซ้ายกับขวาอาจมีขนาดไม่เท่ากัน ต้องเลือกรองเท้าคู่ที่ลองใส่แล้วใส่ได้สบายทั้ง 2 ข้าง-เวลาลองรองเท้าอย่าลืมสวมถุงเท้า-พยายามลองรองเท้าหลายๆ แบบ หลายๆ รูปทรง เพื่อเลือกดูว่ารองเท้าแบบไหนเหมาะกับเท้าของเรามากที่สุด-เมื่อเลือกรองเท้าคู่ที่โดนใจได้แล้ว ให้ลองสวมแล้วลองเดินไปเดินมา เพราะรองเท้าที่ดีต้องใส่สบายทั้งตอนที่นั่ง ยืน และตอนเดิน ซึ่งถือเป็นตอนที่เราใช้งานเท้าของเรามากที่สุด-รองเท้าที่ดีที่สุด คือ รองเท้าที่สวมแล้วเข้ากับรูปเท้าของเรา ไม่คับหรือหลวมเกินไป ใส่สบาย -การเลือกรองเท้าควรเหลือพื้นที่ระหว่างปลายนิ้วเท้าและขอบในรองเท้าไว้บ้าง เพื่อไม่ให้เท้ารู้สึกอึดอัดเกินไป ป้องกันการเสียดสีของเท้ากับตัวรองเท้า และเผื่อไว้สำหรับการขยายของเท้า-เลือกรองเท้าที่สวมแล้ว ส้นเท้าพอดี ไม่หลวมและไม่หลุดในขณะเดินหรือวิ่ง-ควรเลือกซื้อรองเท้าให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่จะทำ เช่น รองเท้าสำหรับใส่ประจำวัน หรือรองเท้าสำหรับออกกำลังกาย ซึ่งกีฬาแต่ละประเภทก็มีการผลิตรองเท้าเฉพาะของแต่ละประเภทกีฬา  เพราะการเลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่ทำนอกจากจะช่วยในเรื่องความปลอดภัย ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมต่างๆ-ควรเลือกรองเท้าที่สามารถปรับความกระชับได้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 175 แบรนด์รองเท้าวิ่งกับความรับผิดชอบต่อสังคม

งานสำรวจขององค์กรผู้บริโภคพบว่า ประมาณร้อยละ 20 ของราคารองเท้ากีฬาแบรนด์ดังที่เราซื้อมา เป็นสิ่งที่เราจ่ายเป็น “ค่าแบรนด์” เพื่อแลกกับความมั่นใจว่าจะได้สินค้าที่มีคุณภาพ น่าเชื่อถือ และเป็นตัวแทนของความดีงามต่างๆ นานา หลายปีมานี้ “ความรับผิดชอบต่อสังคม” (Corporate Social Responsibility: CSR) ที่กำลังมาแรงก็เป็นอีกองค์ประกอบในการสร้างแบรนด์ของธุรกิจต่างๆ เพราะผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมผ่านสินค้า/บริการที่ตนเองเลือกซื้อด้วยเช่นกัน แต่การดำเนินงาน “หลังบ้าน” ของบริษัทก่อนจะได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการนั้นมีรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขนาดไหนยังไม่ค่อยมีใครทราบ การรับรู้เรื่อง CSR ในบ้านเราค่อนไปทางการ “คืนกำไรสู่สังคม” หรือ “อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” ผ่านการบริจาคเงิน สิ่งของ สร้างอาคาร หรือปลูกป่า ฯลฯ ที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านสื่อ เสียมากกว่าสมาชิกฉลาดซื้อไม่ต้องวิตกไป เรามี “เรื่องหลังบ้าน” มาฝากคุณเป็นประจำ คราวนี้เรามีผลสำรวจโดยนิตยสารขององค์กรผู้บริโภคเยอรมนี Stiftung Warentest ที่เจาะลึกเบื้องหลังการผลิตรองเท้าวิ่งรุ่นยอดนิยม 9 แบรนด์ที่ขายในเยอรมนี (สนนราคาตั้งแต่ 110 – 180 ยูโร หรือ 4,500 – 7,300 บาท) ด้วยการหาข้อมูล สัมภาษณ์ และเยี่ยมชมโรงงาน (ทั้งในส่วนของโรงงานผลิตพื้นรองเท้า โรงงานผลิตชิ้นส่วนอื่นๆ และโรงงานประกอบรองเท้า) ในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อค้นหาแบรนด์ที่ให้ความสนใจกับสภาพการทำงานและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ใส่ใจกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมพร้อมๆกับการดูแลผู้บริโภค และที่สำคัญคือใครมีความโปร่งใสในการดำเนินงานมากกว่ากัน แบรนด์ที่วิ่งนำหน้าเข้าเส้นชัยได้แก่ Brooks และที่ตามมาติดๆคือ Addidas  Reebok และ Salomon แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังได้คะแนนไปเพียง 3 ดาวเท่านั้น ส่วนแบรนด์ที่ถือว่าแพ้ฟาวล์ (เพราะไม่ให้ความร่วมมือในการสำรวจ) ได้แก่ Mizuno  New Balance  Nike  และ Saucony   ---------------------------------------------------------------------------------------------คะแนนรวม ความรับผิดชอบต่อสังคม 100 คะแนน คิดจาก นโยบายบริษัทด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการดูแลผู้บริโภค            ร้อยละ 15สภาพการทำงานและการรักษาสิ่งแวดล้อมในโรงงานประกอบตัวรองเท้า        ร้อยละ 25สภาพการทำงานและการรักษาสิ่งแวดล้อมในโรงงานผลิตพื้นรองเท้า        ร้อยละ 25สภาพการทำงานและการรักษาสิ่งแวดล้อมในโรงงานผลิตชิ้นส่วนอื่นๆ         ร้อยละ 25ความโปร่งใส                                 ร้อยละ 10•    นโยบายบริษัทในที่นี้หมายถึง แนวปฏิบัติด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม การดูแลพนักงาน การฝึกอบรม การรักษาสิ่งแวดล้อม การจัดซื้อ มลภาวะที่เกิดขึ้นในการผลิตหรือมลภาวะจากตัวรองเท้า การติดต่อสื่อสารกับองค์กรไม่แสวงหากำไร และการให้บริการลูกค้า  •    สภาพการทำงานในโรงงานผลิตพื้นรองเท้าและส่วนประกอบอื่นๆ หมายถึง มาตรการขั้นต่ำด้านแรงงาน การส่งเสริมสุขภาพ ความปลอดภัยในการทำงาน การดูแลด้านสังคม สวัสดิการและเงินเดือน รวมถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม•    ความโปร่งใส วัดจากความร่วมมือในการให้สัมภาษณ์ การอนุญาตให้ตรวจเยี่ยมโรงงาน และสัมภาษณ์พนักงาน                   ในบ้านเราการวิ่งออกกำลังกายกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ดูได้จากยอดขายรองเท้าวิ่งที่เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ข้อมูลจาก CRC SPORTS เดือนมีนาคม 2558 ระบุว่า ร้อยละ 60 ของตลาดอุปกรณ์กีฬามูลค่า 22,000 ล้านบาทของประเทศไทยเป็นตลาดรองเท้ากีฬา และการวิ่งออกกำลังกายมีแนวโน้มจะได้รับความนิยมสูงสุดในปีนี้ (ร่วมกับกีฬาอีก 3 ชนิด ได้แก่ จักรยาน ว่ายน้ำ และกอล์ฟ)-----------------------------------------------------มาวิ่งกันเถอะ ... มาวิ่งกันเถอะ•    สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา ระบุว่าการวิ่งออกกำลังกายสัปดาห์ละ 75 นาที สามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจได้ •    การออกกำลังกายทุกชนิดล้วนดีต่อกระดูก นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนพบว่า ถ้าคุณวิ่งออกกำลังกายครั้งละ 12 -20 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง  ความหนาแน่นของกระดูกจะเพิ่มขึ้น•    การวิ่งสามารถช่วยลดความดันเลือดได้ดีกว่ายาหรือการควบคุมอาหาร •    งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันพบว่า หนูทดลองอายุมากที่ต้องวิ่งเป็นประจำ แสดงอาการสมองเสื่อมช้ากว่ากลุ่มที่ไม่ได้วิ่ง การวิ่งก็น่าจะช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ในคนได้เช่นกัน  •    งานวิจัยจากโรด ไอแลนด์ คอลเลจ พบว่านอกจากจะทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นแล้ว การวิ่งยังช่วยเพิ่มผลิตภาพและความคิดสร้างสรรค์ด้วย•    เมื่อคุณวิ่ง คุณจะใช้งานกระดูก 26 ชิ้น ข้อต่อ 33 ข้อ และเอ็นกระดูก 112 เส้น รวมถึงเครือข่ายเอ็นกล้ามเนื้อ ปลายประสาท และเส้นเลือด (นี่แค่เท้าอย่างเดียวนะ)•    ... ทั้งนี้ คุณต้องวิ่งอยู่ในทางสายกลางนะจ๊ะ คนที่วิ่งสัปดาห์ละ 20 -30 กิโลเมตรต่อสัปดาห์จะมีภูมิคุ้มกันโรคดีขึ้น ในขณะที่คนที่วิ่งสัปดาห์ละ 80 กิโลเมตร จะมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับระบบหายใจมากกว่าคนทั่วไป 2 เท่า •    โดยทั่วไปผู้ชายจะวิ่งได้เร็วกว่าผู้หญิง เพราะมีมวลกล้ามเนื้อและความจุปอดมากกว่า ปริมาณเทสโตสเตอโรนและฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดก็สูงกว่า แต่คุณผู้หญิงอย่าเพิ่งท้อ ... ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการออกกำลังกายด้วยการวิ่งจะเกิดขึ้นได้รวดเร็วและชัดเจนกว่าในผู้หญิง เช่น กล้ามเนื้อขาที่กระชับขึ้น หรือรอบเอวที่ลดลง  •    การสวมรองเท้าวิ่งราคาถูกช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการบาดเจ็บได้ ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเบิร์นซึ่งทำการวิเคราะห์นักวิ่งจำนวน 4,358 คน พบว่า คนที่ใช้รองเท้าราคาสูงกว่า 95 เหรียญ (ประมาณ 3,400 บาท) มีโอกาสบาดเจ็บเป็นสองเท่าของคนที่สวมรองเท้าวิ่งราคาไม่เกิน 40 เหรียญ (ประมาณ 1,400 บาท)  วารสาร Medicine & Science in Sports & Exercise ก็พบว่าผู้ที่ใส่รองเท้าที่มีฟีเจอร์แพรวพราว จะมีโอกาสได้รับบาดเจ็บมากขึ้น  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 108 กระแสต่างแดน

เรื่องเท้าของสาวอังกฤษ ไม่ใช่มีแต่สาวจีนเท่านั้นที่นิยมการมีเท้าเล็ก ข้อมูลงานวิจัยของสมาคมแพทย์โรคเท้าแห่งอังกฤษระบุว่าในช่วงมหกรรมลดราคารองเท้าประจำหน้าร้อนเมื่อปีก่อน มีสาวเมืองผู้ดีร้อยละ 37 ซื้อรองเท้าที่เล็กกว่าขนาดเท้าจริงของพวกเธอ (ข่าวบอกว่าปัจจุบันขนาดเท้าโดยเฉลี่ยของสาวอังกฤษเท่ากับ เบอร์ 6)งานวิจัยครั้งนี้สำรวจผู้หญิงอังกฤษจำนวน 2,000 คน โดยสมาคมดังกล่าวยังพบอีกว่าร้อยละ 80 ของผู้หญิงกลุ่มนี้มีปัญหาเกี่ยวกับเท้า เช่น นิ้วเท้าผิดรูป เล็บขบ เป็นต้น แต่มีเพียงร้อยละ 40 เท่านั้นที่ไปพบแพทย์ ร้อยละ 73 ของสาวๆ เหล่านี้ ใส่รองเท้าที่มีส้นสูงเกินห้านิ้วอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง โดยแต่ละครั้งจะสวมเป็นเวลาประมาณ 6 ชั่วโมง มีเพียงร้อยละ 4 เท่านั้นที่สวมรองเท้าที่มีส้นสูงไม่เกินสองนิ้วที่น่าเป็นห่วงคือแม้บรรดาผู้เชี่ยวชาญจะออกมาแนะนำว่าไม่ควรใส่รองเท้าส้นสูงเกินอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง แต่ก็ยังมีจำนวนไม่น้อยที่ใส่ส้นสูงกันห้าวันต่อสัปดาห์ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าความจริงแล้วปัญหาเท้านั้นแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการใส่รองเท้าที่เป็นมิตรต่อเท้า แต่ที่ยากคือจะทำอย่างไรให้สาวๆ ยอมเลิกใส่รองเท้าส้นสูงซึ่งใครๆ ก็บอกว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเสริมลุคให้ดูดีนั่นเอง ก็ไม่แน่นักเพราะแม้แต่วิคตอเรีย เบคแฮม ที่เคยให้สัมภาษณ์ว่าถ้าเธอไม่ได้ใส่ส้นสูงแล้วจะคิดอะไรไม่ออก ก็ยังเปลี่ยนมาใส่รองเท้าส้นแบนสลับกับรองเท้ากีฬาเวลาที่เธอไปไหนมาไหน เหตุผลน่ะหรือ ก็เพราะเธอคือหนึ่งในสาวอังกฤษที่เป็นโรคนิ้วเท้าผิดรูปนั่นเอง +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ต้องการอาสาสมัครเปิดเผยข้อมูลการใช้โทรศัพท์ถ้าเราใช้โทรศัพท์มือถือบ่อยๆ เราจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคระบบประสาท เนื้องอก โรคซึมเศร้า หรือโรคนอนไม่หลับ มากกว่าคนที่ไม่ค่อยใช้หรือไม่ งานวิจัยชิ้นล่าสุดโดยองค์กรที่ดูแลเรื่องความปลอดภัยของนิวเคลียร์และรังสีของประเทศฟินแลนด์ (STUK) กำลังจะหาคำตอบนี้ให้ได้ ด้วยงานวิจัยแบบที่ยังไม่มีใครกล้าทำมาก่อน การสำรวจที่เกิดจากการผลักดันขององค์การอนามัยโลกครั้งนี้จะเป็นการขอข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของผู้ใช้โทรศัทพ์มือถือโดยตรงจากผู้ให้บริการ เหตุที่เลือกทำงานสำรวจดังกล่าวที่ฟินแลนด์ก็เพราะที่นั่นมีการใช้โทรศัพท์มือถือกันมานานกว่าที่ใดๆ ในโลก (คนที่นั่นเขาใช้มือถือมาตั้งแต่ช่วงปี 80 แล้ว) ในปีที่ผ่านมาผู้วิจัยได้สุ่มหมายเลขโทรศัพท์ขึ้นมา 30,000 เลขหมาย และส่งเอกสารไปยังเจ้าของเบอร์เหล่านั้น เพื่อให้ลงชื่อแสดงความยินยอมให้ผู้ให้บริการมือถือของตนเปิดเผยข้อมูลการใช้โทรศัพท์ (หมายเลข และเวลา) กับองค์กร STUKใครที่ยินดีเข้าร่วมงานวิจัยก็ให้ลงชื่อและส่งกลับมา จากนั้นพวกเขาก็จะได้รับแบบสอบถามเกี่ยวกับสุขภาพและพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ของตนเอง ข่าวไม่ได้บอกว่าเขาต้องการผู้เข้าร่วมกี่คน แต่บอกว่าการสุ่มหมายเลขหาอาสาสมัครนี้จะยังดำเนินการต่อไปในปีนี้และปีหน้าด้วย ก็ได้แต่หวังว่าคนประเทศนี้เค้าจะไม่มีกิ๊กกันมากนัก ไม่เช่นนั้นคงต้องรอกันนานกว่าจะได้อาสาสมัครที่ยอมเปิดเผยข้อมูลการใช้โทรศัพท์มือถือตามจำนวนที่นักวิจัยเขากำหนด และอาจจะไม่เสร็จภายในเวลาห้าปีตามแผน +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ อวตาร VS ขงจื้อ รัฐบาลจีนเขาใช้มาตรการเด็ดขาดในการลดคู่แข่งให้กับภาพยนตร์ชีวประวัติของขงจื้อซึ่งจะเข้าฉายในช่วงวันหยุดตรุษจีนที่เพิ่งผ่านไป เรื่องนี้ทำได้ไม่ยากแค่ประกาศยกเลิกการฉายภาพยนตร์แอนิเมชั่นอวตาร ในแบบสองมิติในโรงหนังทั่วประเทศจีนเท่านั้นเอง ถ้าใครอยากดูจริงๆ ก็ต้องไปดูในแบบสามมิติที่ยังมีฉายอยู่ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ ทางผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ UME ของจีนเขาบอกว่าไม่น่าจะมีผลกระทบใดๆ (ก็คงจะไม่มีจริงๆ นั่นแหละเพราะร้อยละ 90 ของโรงหนังค่ายนี้เป็นโรงหนังสามมิติหรือไม่ก็โรงหนังไอแม็กซ์) และการถอนโปรแกรมเรื่องอวตารซึ่งทำยอดขายตั๋วได้สูงที่สุดในประเทศจีน (ได้ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 300 ล้านหยวน หรือ 1,500 ล้านบาท) ออกไปจะทำให้มีโรงสำหรับฉายภาพยนตร์เรื่องขงจื้อมากขึ้น แต่ผู้บริโภคนี่สิ ถ้าอยากดูก็ต้องจ่ายค่าตั๋วหนังแพงขึ้น ในขณะที่ตั๋วหนังธรรมดาใบละไม่เกิน 40 หยวน (200 บาท) ถ้าเป็นตั๋วหนังสามมิติก็ไม่ต่ำกว่า 60 หยวน (300 บาท) โรงไอแม็กซ์ก็ไม่ต่ำกว่า 130 หยวน (650 บาท) ที่ประเทศจีนมีโรงภาพยนตร์ธรรมดาทั้งหมด 4,500 โรง โรงหนังสามมิติ 800 โรง และโรงหนังไอแม็กซ์อีก 10 กว่าโรง ++++++++++++++++++++++++++++++++++++ อินเดียหยุดแผนปลูกมะเขือดัดแปรพันธุกรรมเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วรัฐบาลอินเดียประกาศอนุญาตให้มีการปลูกมะเขือม่วงดัดแปรพันธุกรรมพันธุ์ BT bringal เพื่อการค้าได้ หลังจากที่การปลูกในแปลงทดลองเป็นผลสำเร็จในปีก่อนหน้านั้น แต่วันนี้นายใจราม ราเมช รัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมของอินเดีย ออกมาประกาศว่าอินเดียจะระงับการปลูกพืชดังกล่าวไว้ก่อน จนกว่าจะมีผลการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมอีกว่ามันปลอดภัยต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อม เรื่องนี้กำลังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างรุนแรงในอินเดีย ข่าวระบุว่าคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการปลูกพืชดัดแปรพันธุกรรมชนิดนี้มีอยู่อย่างละเท่าๆ กัน เกษตรกรส่วนหนึ่งมองว่านี่คือทางรอดของพวกเขาเพราะทุกวันนี้ต้องใช้สารเคมีปริมาณมากในการควบคุมวัชพืชให้กับมะเขือม่วง พวกเขาหวังว่าเจ้า BT bringal ที่คิดขึ้นมาโดย บริษัท Mahyco ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของมอนซานโต ในอินเดียนั้นจะเป็นคำตอบ ในขณะที่อีกฝ่ายยังไม่เชื่อว่ามะเขือม่วงแบบดัดแปรพันธุกรรมนั้นจะสามารถช่วยเกษตรกรประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับสารเคมีได้จริง เพราะพวกเขาเห็นมาแล้วว่าฝ้ายดัดแปรพันธุกรรม BT cotton ที่ปลูกกันมาได้ระยะหนึ่งแล้วนั้นไม่ได้ช่วยลดการใช้สารเคมีหรือเพิ่มผลผลิตต่อไร่แต่อย่างใด อินเดียคือผู้ผลิตมะเขือม่วงรายใหญ่ที่สุดในโลก และมีมะเขือชนิดนี้มากกว่า 4,000 พันธุ์ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ เลิกสะสมแต้มกันเถอะบัตรสะสมแต้มของห้างค้าปลีกไม่ได้ช่วยให้คุณจับจ่ายได้อย่างคุ้มค่าขึ้นแต่อย่างใด งานวิจัยโดยนิตยสารเพื่อผู้บริโภค Choice ของออสเตรเลียเขายืนยันว่าอย่างนั้น Choice พบว่าในปีที่ผ่านมาคนออสซี่ใช้จ่ายเงินในห้างค้าปลีกสัปดาห์ละ 156 เหรียญ (ประมาณ 4,600 บาท) ถ้าคิดจากอัตรานี้ ผู้บริโภคที่เป็นเจ้าของบัตรสมาชิกห้างค้าปลีกจะต้องใช้เวลา 7 ปีถึงจะสะสมแต้มได้เพียงพอสำหรับแลกตั๋วเครื่องบินไปกลับซิดนีย์ – เมลเบิร์น (ไม่รวมภาษีและค่าธรรมเนียม) แต่ปัญหาคือเจ้าคะแนนสะสมที่ว่านั้นมีอายุแค่ 3 ปีเท่านั้น นอกจากนี้เขายังพบอีกว่าสมาชิกห้างโคลหรือวูลเวิร์ธ ต้องใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 15,000 หรือ 11,000 เหรียญ (442,000 หรือ 324,000 บาท) ตามลำดับ ถึงจะแลกคูปองราคา 50 เหรียญ (1,400 บาท) ซึ่งคิดแล้วก็เท่ากับการได้ส่วนลดไม่เกิน 70 เซ็นต์ (20 บาท) ต่อการซื้อของในหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเราสามารถประหยัดเงินจำนวนเท่านั้นได้ทันทีด้วยด้วยการซื้อของให้น้อยลงหนึ่งชิ้น หรือเลือกยี่ห้อที่ราคาถูกกว่า หรือถ้าจะให้ดีก็ไปซื้อจากร้านที่เขาขายถูกกว่านั้นเสียเลย ไม่จำเป็นต้องรักเดียวใจเดียว คนที่ได้ประโยชน์ไปเต็มๆ จากบัตรสมาชิกเหล่านี้ก็มีแต่ทางห้างที่ออกบัตรนั่นเอง เพราะนอกจากยอดขายจะเพิ่มขึ้นเห็นๆ (มีสถิติที่ระบุว่าลูกค้าทั่วไปของห้างแห่งหนึ่งใช้จ่ายเฉลี่ยปีละประมาณ 23,500 บาท ในขณะที่ลูกค้าที่มีบัตรสมาชิกของห้างจะใช้จ่ายเฉลี่ยมากกว่านั้นอีกประมาณ 800 บาท) ทางห้างยังได้ข้อมูลส่วนตัวพร้อมพฤติกรรมการจับจ่ายของลูกค้าไปวางแผนการตลาดได้อีก ร้านวอลมาร์ทในอเมริกาก็เคยพบว่า ในช่วงบ่ายวันศุกร์กลุ่มลูกค้าผู้ชายที่อายุระหว่าง 25–35 ปี จะซื้อผ้าอ้อมสำเร็จรูปพร้อมๆ กับเบียร์ ก็เลยย้ายเบียร์มาวางไว้ที่ชั้นใกล้ๆ กับชั้นผ้าอ้อมสำเร็จรูปเสียเลย ผลคือยอดขายเพิ่มขึ้นถล่มทลาย นอกจากนี้บัตรสมาชิกที่ให้สะสมแต้มพวกนี้ยังดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาจับจ่ายที่ร้านนั้นๆ อีกด้วย เพราะว่ากันว่าโดยธรรมชาติแล้วผู้บริโภคมักจะหลายใจ(งานวิจัยเรื่องพฤติกรรมผู้บริโภคพบว่ามีลูกค้าเพียงแค่ร้อยละ 10 เท่านั้นที่จะซื้อของจากร้านเดียว) Choice บอกว่าถ้าผู้บริโภคต้องการจะประหยัดก็อย่าไปหวังพึ่งโปรโมชั่นสะสมแต้มพวกนี้ แค่เปลี่ยนไปจับจ่ายในห้างค้าปลีกที่ใกล้บ้านเดือนละครั้ง(อย่างน้อยๆ ก็ประหยัดค่าน้ำมันรถได้ทันที) และเลือกสินค้าแบบเปรียบเทียบราคาต่อหน่วย และถ้าต้องการซื้อของเพียงไม่กี่ชิ้นก็อุดหนุนร้านโชว์ห่วยแถวบ้านดีกว่า

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 175 การเลือกซื้อรองเท้าสำหรับวิ่งออกกำลังกาย

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการการวิ่งออกกำลังกายเป็นการลงทุนที่มีความสำคัญต่อสุขภาพ เพราะสุขภาพแข็งแรงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถซื้อ แต่ต้องลงมือทำเอง ภาพคนวิ่งออกกำลังกายในสวนสาธารณะในกรุงเทพ และต่างจังหวัดเป็นสิ่งที่เราเห็นได้ทั่ว ๆ ไป สิ่งที่ควรคำนึงของนักวิ่งคือ เรื่องน้ำหนักร่างกายที่จะส่งผลต่อแรงกระแทกในขณะที่กำลังวิ่ง แรงที่กระแทกมีขนาดเท่ากับสองถึงสามเท่าของน้ำหนักตัว หากเราหนัก 60 กิโลกรัม แรงกระแทกที่กระทำต่อข้อเท้า เข่า อาจสูงถึง 180 กิโลกรัม คนที่ชอบวิ่งเป็นประจำ มีความจำเป็นที่จะต้องหารองเท้าสำหรับวิ่งที่เหมาะสม เพื่อลดแรงกระแทกและป้องกันปัญหาเรื่องการบาดเจ็บที่ข้อเท้า เข่าและสะโพกเสื่อมสภาพลงสิ่งที่ต้องคำนึงในการเลือกซื้อรองเท้าวิ่งโดยทั่วไป ได้แก่ ลักษณะของข้อเท้าในขณะที่วิ่ง กรณีที่เราวิ่ง การบิดของข้อเท้า น้อยหรือไม่มีเลย (normal pronation) เราควรจะเลือกรองเท้าวิ่งแบบ neutral running shoes ดูรูปที่ 1 aกรณีที่การบิดของข้อเท้ามาก เข้าด้านใน หรือ ออกด้านนอก (over pronation) ควรจะเลือกรองเท้าวิ่งแบบ stability running shoes ดูรูปที่ 1 b และ c (คำแนะนำ สำหรับนักวิ่งที่ต้องการทราบลักษณะการวิ่งของตัวเองว่า การบิดข้อเท้าเป็นอย่างไร ในต่างประเทศจะมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวิ่งในร้านขายรองเท้าเฉพาะนักวิ่ง (specialist running shoe shop) ให้คำปรึกษาได้ แต่สำหรับนักวิ่งในประเทศของเราอาจต้องลองหาคำปรึกษาจากหมอเวชศาสตร์ฟื้นฟู หรือ หมอทางด้านออร์โธปิดิกส์) หรือต้องให้เพื่อนร่วมวิ่งช่วยสังเกตข้อเท้าของเราขณะที่วิ่งก็ได้ โดยคนสังเกตจะคอยวิ่งตามหลังเรา)    ความสามารถในการรับแรงกระแทกการพิจารณาสมบัติของรองเท้าวิ่งในข้อนี้จำเป็นต้องใช้การทดสอบในห้องแลป ทาง biomechanics โดยใช้เซนเซอร์วัดแรงกระแทกติดไว้ที่รองเท้าวิ่ง แต่อย่างไรก็ตามทีมงานฉลาดซื้อ ก็มีผลการทดสอบรองเท้าวิ่ง จากองค์กรทดสอบและวิจัยสินค้านานาชาติ ( International Consumer Research and Testing ICRT) มาเผยแพร่ให้สมาชิกฉลาดซื้อได้รับทราบเป็นระยะๆ สำหรับคอลัมน์นี้ขอนำผลการทดสอบขององค์กรทดสอบสินค้าเยอรมัน (Die Stiftung Warentest) มาเผยแพร่ผลการทดสอบรองเท้าวิ่ง ซึ่งผลการทดสอบในประเด็นความสามารถในการรับแรงกระแทกของรองเท้าที่ได้คะแนนดี- ดีมาก ได้แก่•    รองเท้ากลุ่ม neutral running shoes ได้แก่ ยี่ห้อ Asics รุ่น Gel-Cumulus 16, New Balance 880 V4, Mizuno Wave Ultima 6, Solomon X-Scream 3D•    รองเท้ากลุ่ม stability running shoes ได้แก่ ยี่ห้อ Asics GT-1000 3, Mizuno Wave Inspire 11 และยี่ห้อ Brooks Adrenaline GTS 15สำหรับนักวิ่งสมัครเล่นที่ซ้อมน้อย ยิ่งควรเลือกรองเท้าวิ่งที่มีความสามารถในการรับแรงกระแทกได้ดี เพราะจะช่วยป้องกัน ข้อเท้า และข้อเข่าได้ดีกว่า ช่วยลดปัญหาในการบาดเจ็บขณะวิ่งได้ เพื่อที่เราจะสามารถวิ่งออกกำลังกายเพื่อสุขภาพไปได้นานๆ (ที่มา: วารสาร Test ฉบับที่ 8/ 2015)  รูปที่ 1 ลักษณะการบิดข้อเท้าแบบต่างๆ ของนักวิ่ง a) การบิดของข้อเท้า น้อยหรือไม่มีเลย (normal pronation) b) การบิดของข้อเท้าแบบ เข้าด้านใน c) การบิดข้อเท้าออกด้านนอก

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 150 ตัวอย่างหลักสูตร การคุ้มครองผู้บริโภคในโรงเรียน: ความเท่าทันสื่อ (Media Competency)

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการบทความนี้ผมได้แปลสรุปมาจากสื่อการเรียนการสอนของ องค์กรผู้บริโภคแห่งเยอรมนี ที่ได้จัดทำสื่อให้กับคุณครูและเด็กนักเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การจัดทำหลักสูตรดังกล่าวมีองค์กรภาคเอกชนหลายหน่วยงานได้เข้ามาร่วมกันทำงาน  สำหรับเนื้อหาในเรื่องความเท่าทันสื่อนี้ องค์กรคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชนเข้ามามีบทบาทที่สำคัญ จากตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่างานบางอย่างรัฐไม่ได้ดำเนินการเอง แต่สนับสนุนให้องค์กรภาคเอกชนดำเนินการ แม้แต่เรื่องหลักสูตรการเรียนการสอนในการศึกษาขั้นพื้นฐานรัฐก็ไม่ได้ผูกขาดไว้คนเดียว องค์กรปกครองส่วนท้องถื่นในบ้านเราที่มีความเข้มแข็งในการปกครองตนเอง ก็น่าจะนำไปประยุกต์ใช้กับ โรงเรียนในสังกัดกันบ้างนะครับ ในปี 1998 ผลการศึกษาของ JIM* การใช้มัลติมีเดียของวัยรุ่นอายุระหว่าง 12- 19 ปี พบว่ามีเพียง 19 % เท่านั้นที่ใช้อินเตอร์เน็ต และ 20 % ที่ไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับอินเตอร์เน็ตหรือ โทรศัพท์มือถือเลย ในขณะที่ผลการศึกษาในปี 2010 กว่า 90 % ของวัยรุ่นเล่นอินเตอร์เน็ตทุกวันและวันละหลายครั้ง วัยรุ่น 97 % มีโทรศัพท์มือถือส่วนตัว และหากนับรวมสื่ออื่นๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ และยูทูบ ตลอดจนเกมส์คอมพิวเตอร์ จะเห็นว่าสื่อทั้งหลายเหล่านี้อยู่รอบๆ ตัวของวัยรุ่น เป็นจำนวนมาก ซึ่งเรื่องดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ รับทราบ และเป็นเรื่องที่น่ากังวลสำหรับคุณพ่อ คุณแม่ ครู อาจารย์ยุคนี้ ที่กลัวว่าสื่อยุคใหม่จะส่งผลในเชิงลบต่อพฤติกรรมวัยรุ่นยุคนี้ จนเป็นที่มาของความเสื่อมในด้านวัฒนธรรม (Sittenverfall) การแพร่หลายของสื่อประเภทต่างๆ นี้ มีผลต่อวัยรุ่นอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นผลทางด้านบวก หรือผลทางด้านลบ เป็นทั้งโอกาสและเป็นทั้งความเสี่ยง หน้าที่อย่างหนึ่งของคุณครูและพ่อแม่ต่อการรับมือกับสภาพของสื่อที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นก็คือ เข้าไปทำความรู้จัก เรียนรู้ นำตัวอย่างที่ดีมาสอน อธิบายเรื่องความเสี่ยงและความน่ากลัวของสื่อ ให้วัยรุ่นรับฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่วัยรุ่นในยุคนี้จะต้องเรียนรู้ และสามารถคิดวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ ตลอดจนกำหนดการใช้เวลาอยู่กับสื่อต่างๆ เหล่านี้ ได้ด้วยตนเอง จึงเป็นที่มาของหลักสูตร การเท่าทันสื่อ (Media Competency) พัฒนาการและการสนับสนุน หลักสูตรการเท่าทันสื่อ จะมีกระบวนการดังต่อไปนี้ คือความรู้ในเรื่องสื่อ (Knowledge) กระบวนการการประเมินผล (Reflexion) และกระบวน การการจัดการ (Take action) จากกระบวนการเรียนรู้การเท่าทันสื่อตามแนวความคิดดังกล่าว วัตถุประสงค์ของหลักสูตรนี้ คือ การสามารถวิเคราะห์การใช้สื่อต่างๆ ด้วยตัวเอง ซึ่งกระบวนการประเมินผล จะเป็นกระบวนการสำคัญ เนื่องจากเด็กวัยรุ่นจำนวนมากได้ใช้สื่อต่างๆ อยู่แล้วในชีวิตประจำวัน การที่เปิดโอกาสให้เด็กสามารถทำการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้สื่อของตัวเอง การอภิปรายในเรื่องงานอดิเรกอื่นๆ ในเวลาว่าง และสามารถทำการประเมินระดับของการเสพติดสื่อได้ สำหรับคุณครูหรือพ่อแม่ที่ เกิดก่อนปี 1980 นั้นต้องเข้าใจว่า เป็นพวกอพยพเข้ามาสู่ยุคดิจิตอล(Digital Immigrants) ในขณะที่เด็กที่เกิดหลังปี 1980 นั้น จะเป็นพวกชนพื้นเมืองยุคดิจิตอล(Digital Natives) เนื่องจากคนกลุ่มนี้พอเกิดมาจำความได้ ก็รู้จักสื่อต่างๆ ที่รายรอบตัวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคนที่เกิดมารุ่นก่อนต้องทำความเข้าใจในการสอน Media Competency ภายใต้หลักการที่ว่า เป็นกัลยาณมิตรต่อกันและกัน คือ ไม่ได้เห็นดีเห็นงามด้วยกับบางสิ่งบางอย่างที่คนรุ่นใหม่กระทำทุกเรื่อง แต่ภายใต้ความหวังดีที่มีให้นั้น ก็สามารถเป็นที่ปรึกษากับพวกเขาเหล่านั้นได้ เนื่องจากพ่อ แม่ ผู้ปกครองมีวุฒิภาวะที่สมบูรณ์ เพียบพร้อมกว่าเด็กวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยที่ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนการเจริญเติบโต เนื้อหาในหลักสูตรนั้นทางองค์กรผู้บริโภค ได้จัดเตรียมไว้ให้กับคุณครูทางอินเตอร์เน็ต คุณครูสามารถดาวน์โหลด เพื่อมาประกอบการเรียนการสอนในห้องได้ นอกจากนี้ยังมีช่องทางให้คุณครูสามารถประเมินหลักสูตร เพื่อเป็นเสียงสะท้อนให้กับฝ่ายจัดทำหลักสูตรได้อีกด้วย เยอรมันเป็นชาติที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาทุกระดับ และสิทธิในการได้รับการศึกษาก็เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้ตราไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐของไทย เพียงแต่เขาเอาจริง และทำจริงมากกว่าของเราในตอนนี้   *JIM เป็นโครงการการสำรวจอิทธิพลของสื่อที่มีต่อเด็กวัยรุ่น โดยทุกๆปี โดยเริ่มทำมาตั้งแต่ปี 1998 จะทำการสอบถามวัยรุ่นจำนวน 1,000 คน ในประเด็นดังต่อไปนี้ การทำกิจกรรมในยามว่าง หัวข้อที่สนใจและแหล่งของข้อมูล รายการโทรทัศน์ที่ชื่นชอบ การใช้สื่อประเภทต่างๆ ที่มีอยู่ การใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต แนวความคิดในการใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์กับโรงเรียน การใช้โทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ต

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point