ฉบับที่ 192 เล็บสีเจล สวยให้ปลอดภัย

ผู้หญิงส่วนใหญ่มักต้องการให้เล็บมือและเล็บเท้าสวยงามอยู่เสมอ ซึ่งหนึ่งในวิธีการยอดฮิตเพื่อตกแต่งเล็บให้สวยงามก็หนีไม่พ้นการทาเล็บสีเจล เพราะนอกจากจะทำให้เล็บมีสีสันสวยงามแวววาวกว่าการทาเล็บแบบธรรมดาแล้ว ยังทำให้เล็บสวยนานอยู่ทนทานเป็นเดือนได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามการทำเล็บด้วยวิธีดังกล่าวจะมีข้อดีมากหรือน้อยกว่าข้อเสียอย่างไร เราลองไปดูกันมารู้จักเล็บสีเจลกันสักนิดการทาเล็บสีเจล เริ่มเป็นที่นิยมในบ้านเราเมื่อประมาณ 3 - 4 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการใช้ยาทาเล็บชนิดเจล (Gel nail polish) มาทาลงบนเล็บจริง หรือเล็บที่ต่ออะคริลิคแล้ว โดยยาทาเล็บชนิดนี้มีจุดเด่นตรงที่ติดทนนาน หรืออยู่ได้ประมาณ 2-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับวิธีการรักษาของแต่ละคน และมีสีสันสดใสสวยงามกว่ายาทาเล็บทั่วไป อย่างไรก็ตามหากต้องการล้างออก ต้องใช้ยาล้างเล็บสำหรับเล็บเจลโดยเฉพาะ และไม่สามารถปล่อยให้แห้งเองได้ ต้องใช้เครื่องอบเล็บเท่านั้น นอกจากนี้วิธีการทาเล็บเจลยังต่างจากการทาเล็บธรรมดา เพราะต้องตะไบหน้าเล็บก่อนลงสี เพื่อช่วยให้สีเกาะหน้าเล็บผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อทาเล็บเจลแม้ยาทาเล็บเจลจะสามารถทำให้สีติดทนนานและสวยงามกว่าปกติ จนเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ อย่างรวดเร็ว แต่ยังมีข้อเสียที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนี้- หน้าเล็บเสียโฉม เพราะทุกครั้งที่ทาและล้างเล็บเจล ต้องมีการตะไบหน้าเล็บออกเสมอ ซึ่งหากเราทำประจำสามารถส่งผลให้หน้าเล็บพัง หรือมีลักษณะเป็นรอยขูดได้ โดยต้องใช้เวลาดูแลประมาณ 2 – 3 เดือนเพื่อทำให้หน้าเล็บกลับมาปกติเหมือนเดิม นอกจากนี้บางคนอาจเกิดอาการเล็บอ่อนแอ เปราะหักง่าย หรืออักเสบ เพราะถูกตะไบหน้าเล็บออกมากเกินไป- เกิดความผิดปกติที่เล็บ หากอุปกรณ์ที่ใช้สะอาดไม่เพียงพอ สามารถส่งผลให้เชื้อโรคเข้าสู่เล็บหรือเกิดเชื้อราที่เล็บได้ ซึ่งจะทำให้เล็บผิดปกติ เช่น เล็บเป็นขุย เปลี่ยนสี โค้งงอบิดเบี้ยว หรือแตกเปราะ- เกิดการระคายเคืองทางเดินหายใจและดวงตา ตามข้อมูลจากสำนักเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ระบุว่าสารเคมีฟอร์มัลดีไฮด์ (Formaldehyde) ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในยาทาเล็บ สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ในกลุ่มผู้ที่ไวต่อสารเคมีได้ โดยหากสัมผัสกับผิวหนังจะปรากฏเป็นผดผื่นและมีอาการคัน หรือหากสูดดมเข้าไปเป็นประจำ สามารถสร้างความระคายเคืองในลำคอ หรือก่อให้เกิดโรคมะเร็งในระบบทางเดินหายใจได้- มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง เพราะเล็บสีเจลต้องถูกทำให้แห้งด้วยเครื่องอบเล็บเจล เนื่องจากไม่สามารถแห้งได้ด้วยแรงลมธรรมดา ซึ่งต้องอบหลายครั้งเพื่อช่วยให้สีแห้งสนิท ดังนั้นผู้ที่ใช้บริการเป็นประจำอาจมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ เพราะเครื่องอบเล็บเจลใช้ความร้อนจากจากหลอดยูวี (UV) และหลอดแอลอีดี (LED) แต่สามารถป้องกันได้เบื้องต้นด้วยการทาครีมกันแดดที่มือ- ราคาค่อนข้างสูง โดยปัจจุบันพบว่าอัตราค่าบริการ เริ่มตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพันบาท ขึ้นอยู่กับลายที่เลือก ร้านหรือยี่ห้อของน้ำยาเราสามารถเลือกวิธีทำเล็บให้สวยสมใจและปลอดภัยได้ดังนี้- ล้างเล็บอย่างถูกวิธี เพื่อช่วยป้องกันหน้าเล็บเสียโฉม ซึ่งเราควรเลือกทำเล็บกับช่างผู้ชำนาญ- เว้นช่วงการทำเล็บบ้าง เพื่อให้เล็บเกิดการซ่อมแซมตัวเอง ‪ซึ่งหากพบว่าหน้าเล็บบาง ถลอก หรืออักเสบ ควรดูแลจนกว่าจะหายแล้วค่อยทำใหม่ ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 6 เดือน แต่หากพบว่าเล็บไม่มีปัญหาอะไรก็สามารถเว้นระยะ 1-3 เดือนแล้วค่อยทำอีกครั้งก็ได้ ‬‬‬- บำรุงเล็บและมือเสมอ ด้วยการทาครีมกันแดดก่อนเข้าเครื่องอบเล็บเจล และทาครีมบำรุงมือและเล็บเป็นประจำ นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อเล็บ เช่น อาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารประเภทโปรตีนอย่าง ถั่ว ปลา เต้าหู้ หรืออาหารที่มีวิตามิน A C และ E สูง เช่น กล้วย แคนตาลูป ผักใบเขียว พืชตระกูลถั่ว มะม่วง มะละกอ พริกไทย ฟักทอง มะเขือเทศและเมล็ดธัญพืช หรืออาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี เช่น อาหารทะเล

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 192 ใครจ่ายเมื่อบาดเจ็บ

หากเราประสบอุบัติเหตุไม่คาดฝัน สิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ซึ่งบางครั้งเราอาจไม่ทราบว่าสามารถเบิกจากที่ไหนได้บ้าง ดังเหตุการณ์ของผู้ร้องรายนี้คุณสุชาติส่งเรื่องมาขอคำปรึกษาที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิว่า เขาประสบอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ล้มแขนหัก ขณะที่กำลังขี่ไปทำงาน ทำให้ต้องหยุดพักรักษาตัวเป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งทางบริษัทได้ออกค่านอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้ อย่างไรก็ตามคุณสุชาติพบว่าตนเองได้ทำประกันตาม พ.ร.บ. ไว้กับบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ด้วย จึงต้องการทราบว่าสามารถเบิกค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มเติมได้อีกหรือไม่แนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์พิทักษ์สิทธิ ได้ชี้แจงการเบิกใช้สิทธิ พ.ร.บ. ในวงเงินค่าเสียหายเบื้องต้น ดังนี้กรณีบาดเจ็บ เบิกจ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาล ในวงเงินตามที่รักษาจริงไม่เกิน 30,000 บาทต่อคน (ปรับเพิ่มจากเดิมคุ้มครองเพียง 15,000 บาท) โดยผู้ประสบภัยจะเบิกเองหรือมอบอำนาจให้โรงพยาบาลตั้งเบิกกับบริษัทกลางฯ ผ่านระบบออนไลน์ก็ได้ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทกลางฯ ได้จัดทำระบบสินไหมอัตโนมัติ (ระบบสินไหมอัตโนมัติ หรือ e-claim online บริษัทกลางฯ จะโอนเงินจ่ายคืนโรงพยาบาลภายใน 7 วันนับแต่วันที่ส่งเรื่องตั้งเบิก) และขอความร่วมมือโรงพยาบาลทุกแห่งเข้าใช้ระบบ เพื่อลดภาระของประชาชนและผู้ประสบภัยจากรถอย่างไรก็ตามในกรณีที่ค่ารักษาพยาบาลเกินกว่านี้ ผู้ร้องสามารถใช้สิทธิจากวงเงินค่าเสียหายเบื้องต้นไปก่อน 30,000 บาท ส่วนเกินที่เหลือสามารถเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้จาก 1.สิทธิบัตรทอง 30 บาท (ถ้ามี) 2.สิทธิประกันสังคม (ถ้ามี) หรือ 3.ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งในกรณีนี้ต้องรอผลสรุปทางคดีและสามารถเรียกร้องเอาจากคู่กรณีได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 192 คนใช้สิทธิยอดเยี่ยม’59 “สิทธิของเรา เราใช้ได้ เราทำได้”

ฉลาดซื้อฉบับนี้จะพาไปรู้จักคนใช้สิทธิยอดเยี่ยมประจำปี 2559 ซึ่งคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จัดให้มีการมอบรางวัล “ คนใช้สิทธิยอดเยี่ยม” ขึ้น ซึ่งในแต่ละปีจะมีผู้บริโภคที่เห็นความสำคัญในสิทธิอันพึงมีพึงได้ในฐานะผู้บริโภค และมีความมุ่งมั่นในการปกป้องสิทธิ ดำเนินการร้องเรียน ต่อสู้เพื่อให้ได้ความเป็นธรรม อีกทั้งคอยติดตามแก้ไขปัญหาของตนเองเป็นตัวอย่างที่ดีต่อสังคมและทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อสังคมในภาพรวม ซึ่งเรานำมาให้ทุกท่านรู้จักเรียงตามลำดับดังนี้1.เจตนิพิฐ สุขกัลยาเจตนิพิฐ สุขกัลยา ผู้บริโภคที่ใช้สิทธิร้องเรียนโรงพยาบาลเพื่อคืนสิทธิบัตรทองให้ญาติชาวจีนผ่านศูนย์พิทักษ์สิทธิคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดปัตตานี ผลจากการใช้สิทธิในครั้งนี้ทำให้คนต่างด้าวเชื้อสายจีนที่มาอยู่ในจังหวัดปัตตานีอีกหลายคนได้รับผลการคืนสิทธิด้วยนางเจตนิพิฐ สุขกัลยา อายุ 37 ปี ได้ช่วยเหลือนายเซี๊ยะทง แซ่อั้ง ซึ่งมีศีกดิ์เป็นลุง นายเซี๊ยะทงถือสัญชาติจีนและเชื้อชาติจีนโดยกำเนิด มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยอย่างยาวนาน จนได้รับสัญชาติไทยมีเลขประจำตัวประชาชน นายเซี๊ยะทงมีโรคประจำตัว เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดสมองตีบ เส้นเลือดหัวใจตีบ ไต ต่อมลูกหมากโต รักษาตัวและใช้สิทธิบัตรทองที่โรงพยาบาลปัตตานี จนกระทั่ง วันที่ 27 ตุลาคม 2557 ได้ไปรับยาต่อมลูกหมากโตตามหมอนัดและญาติได้พาคนป่วยไปให้หมอดูแผลเบาหวาน เมื่อเข้าพบหมอเพื่อรับยาต่อมลูกหมากโต หมอได้ยื่นใบสั่งยาให้ หลังจากได้ดูใบสั่งยา เจตนิพิฐ สังเกตว่าสิทธิรักษาพยาบาลถูกเปลี่ยนสิทธิบัตรทองผู้สูงอายุ เป็นแบบต้องจ่ายเงินเอง จึงสอบถามเจ้าหน้าที่และไปติดต่อห้องสิทธิ (แต่คนป่วยได้พบหมอเรื่องแผลเบาหวาน หมอสั่งให้นอนโรงพยาบาล และให้ไปรับยาของโรคต่อมลูกหมากก่อน)เมื่อติดต่อเรื่องสิทธิกับห้องสิทธิของโรงพยาบาล ทางห้องสิทธิแจ้งว่า คนป่วยเป็นต่างด้าว ไม่สามารถใช้สิทธิบัตรทองได้ ต้องจ่ายเงินรักษาพยาบาล เธอจึงได้ถามว่าจะทำยังไงเพราะคนป่วยเป็นผู้สูงอายุไม่มีรายได้จะให้จ่ายเงินแบบนี้ทุกเดือนและรอบนี้ต้องนอนโรงพยาบาลด้วย จะมีค่าใช้จ่ายสูง ห้องสิทธิเสนอให้ซื้อแบบรักษาพยาบาลของคนต่างด้าว คนละ 2,800 บาท แต่มีหลักเกณฑ์ว่าต้องไม่มีโรคประจำตัว และต้องมาตรวจร่างกาย ซึ่งท้ายที่สุดก็ไม่สามารถซื้อสิทธิคนต่างด้าวได้ต่อมาเธอจึงได้โทรไปปรึกษาเรื่องนี้กับคุณกัลยา เอี่ยวสกุล ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนและศูนย์ 50(5) จ.ปัตตานี โดยเล่าประวัติคนป่วยและสอบถามว่าผู้ป่วยหากไม่มีบัตรประชาชนแต่ถ้ามีเลข13 หลักในทะเบียนบ้านแล้วจะสามารถใช้สิทธิบัตรทองอีกได้หรือไม่ คุณกัลยาจึงประสานไปที่กระทรวงสาธารณสุขจนทราบว่าคนป่วยมีสิทธิใช้สิทธิ์บัตรทองได้ จึงติดต่อกลับมาที่เธออีกครั้งหนึ่งหลังจากนั้นเจตนิพิฐ จึงนำหลักฐานของคนป่วยที่มีเลข 13 หลักลงไปห้องสิทธิโรงพยาบาล เพื่อเขียนคำร้องการขอใช้สิทธิ เธอได้โทรศัพท์สอบถามกับกระทรวงฯ ถึงข้อเท็จจริงอีกรอบ เจ้าหน้าที่กระทรวงฯ ได้อธิบายขั้นตอนการขอคืนสิทธิบัตรทองของคนป่วยกลับมาให้ใช้ได้เหมือนเดิมและกำชับให้เอาหลักฐานของผู้ป่วยไปยื่นที่ห้องสิทธิ หากมีปัญหาให้ทางห้องสิทธิโทรกลับมาที่กระทรวงฯ จากนั้นเธอจึงนำเอกสารตามที่เจ้าหน้าที่กระทรวงบอกทุกอย่าง ไปยื่นที่ห้องสิทธิของโรงพยาบาลปัตตานี แต่ก็ยังมีปัญหา เพราะความไม่เข้าใจของเจ้าหน้าที่ห้องสิทธิ จึงให้เจ้าหน้าที่ห้องสิทธิคุยสายตรงกับกระทรวงสาธารณสุข เจ้าหน้าทางกระทรวงฯ ได้ชี้แจงเรื่องสิทธิของคนป่วยให้ห้องสิทธิฟัง ทางห้องสิทธิจึงยอมทำเรื่องคืนสิทธบัตรทองให้กับนายเซี๊ยะทงผลจากการคืนสิทธิให้นายเซี๊ยะทง แซ่อั้ง ครั้งนี้ ทำให้คนต่างด้าวเชื้อสายจีนที่มาอยู่ในจังหวัดปัตตานีอีกกว่าร้อยคนได้รับผลการคืนสิทธิด้วยทำไมจึงลุกขึ้นมาใช้สิทธิที่ผ่านมาลุงรับการรักษาด้วยระบบบัตรทองมาตลอด ซึ่งสามารถช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาพยาบาลไปได้เยอะ แต่ภายหลังกลับถูกเปลี่ยนสิทธิกะทันหัน ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเองจำนวนมาก จึงรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะเสียสิทธิที่ควรจะได้รับ และเชื่อว่าต้องมีอีกหลายคนที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน ซึ่งเขาอาจไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ดังนั้นเราจึงลุกขึ้นมาเป็นตัวแทนในการร้องเรียนปัญหาและอุปสรรคในการใช้สิทธิร้องเรียนปัญหาหลักที่พบคือ การสื่อสารของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เนื่องจากไม่มีความชัดเจนว่าสิทธิบัตรทองสามารถใช้กับใครได้บ้าง นอกจากนี้เมื่อสอบถามข้อมูลมากๆ ก็ดูเหมือนว่า ไม่ทราบรายละเอียดและไม่ค่อยเต็มใจช่วยเหลืออยากให้คนที่ถูกละเมิดสิทธิ ลุกขึ้นมาใช้สิทธิอย่างไรอยากให้คนที่ถูกละเมิดสิทธิลุกขึ้นมาร้องเรียนปัญหา คนไทย เป็นคนง่ายๆ พอโมโหก็อยากจะใช้สิทธิ พอหายโมโห ก็คิดว่าอย่าไปทำอะไรเขาเลย สงสารเขา สงสารหน่วยงาน ตอนนี้พี่ก็เหมือนกระบอกเสียงนะ กระตุ้นให้คนออกมาใช้สิทธิของตัวเองให้เต็มที่ สิทธิของเรา เราใช้ได้ เราทำได้ แต่กังวลว่าบางคนเขาอาจไม่รู้แนวทาง ซึ่งหากเราไม่รู้จักกับศูนย์ประสานงานคุ้มครองผู้บริโภคก็คงไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรเช่นกัน จึงอยากให้มีการประชาสัมพันธ์ถึงแนวทางการร้องเรียน รวมทั้งข้อมูลเรื่องสิทธิบัตรทอง ให้ชาวบ้านได้รับทราบมากขึ้น2.สมคิด โพธิ์จินดาผู้บริโภคที่ลุกขึ้นต่อสู้เรื่องการตั้งเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ โดยขอยกเลิกสัญญาเช่าพื้นที่สำหรับติดตั้งเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ ผ่านสมาคมคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดประจวบคีรีขันธ์นายสมคิด โพธิ์จินดา เป็นเกษตรกรเลี้ยงโคนมและเป็นเจ้าของพื้นที่ให้เช่าเพื่อตั้งเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ วันหนึ่งเขาได้ตั้งข้อสังเกตว่าตั้งแต่มีการตั้งเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์นั้น ปริมาณน้ำนมที่รีดได้ในแต่ละวันลดลงจากเดิมก่อนที่มีการตั้งเสา และวัวก็เป็นหมันแม้ว่าจะผสมกับวัวสาวก็ตาม จะไม่ติดลูกหรือถ้าติด ลูกที่ออกมาก็จะขาลีบ ส่วนสุขภาพของตนเองจะเป็นโรคความจำสั้น หงุดหงิดง่าย และเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ต่อมาในเดือนตุลาคม 2557 เขาได้ดำเนินการขอยกเลิกสัญญาเช่าฉบับใหม่ไปก่อนถึงวันสิ้นสุดสัญญาเช่าพื้นที่ เนื่องจากไม่ประสงค์ทำสัญญาเช่าต่อไปด้วยเหตุผลด้านการประกอบธุรกิจส่วนตัวและสุขภาพ ทั้งนี้บริษัทผู้เช่ารับทราบพร้อมดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557 แต่เวลาผ่านไปจนถึงประมาณปลายปี 2559 ก็ยังคงเพิกเฉย และไม่ดำเนินการรื้อถอนอุปกรณ์ของบริษัทออกจากพื้นที่ แต่กลับมาดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม ซึ่งนายสมคิด ได้บอกกล่าวให้บริษัทดำเนินการตามสัญญาที่ระบุไว้ในเวลาอันเหมาะสมแล้ว แต่บริษัทไม่ดำเนินการ ทำให้ได้รับความเสียหาย จึงได้มาร้องเรียนกับสมาคมคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ช่วยเหลือเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมโดยเร็ว โดยมอบอำนาจให้สมาคมคุ้มครองสิทธิฯ รับผิดชอบดำเนินการประสานงานฯ แทนตนต่อมาทางสมาคมฯ จึงได้มีหนังสือถึง กสทช. เพื่อช่วยเหลือในการดำเนินการเรียกร้องสิทธิและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการตั้งเสาส่งสัญญาณฯ ดังกล่าวในประเด็นดังนี้1.ขอให้บริษัท ดำเนินการรื้อถอนเสาส่งสัญญาณฯ ดังกล่าวภายใน 15 วันนับจาก (กสทช.)ได้รับหนังสือฉบับนี้ เพื่อให้เป็นไปตามสัญญาที่เป็นธรรม2.ขอให้ กสทช. ตรวจสอบการติดตั้งเสาส่งสัญญาณว่าเป็นไปตามประกาศ กสทช. หรือไม่ หากพบการกระทำดังกล่าวไม่เป็นไปตามประกาศ ฯ ขอให้ระงับการส่งคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ทันทีจนกว่าจะพิสูจน์ถูกผิด 3.ขอให้บริษัท ชดเชยและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการขอเช่าพื้นที่ติดตั้งเสาส่งสัญญาณ โดยไม่ชี้แจงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งด้านร่างกาย,จิตใจ และผลกระทบต่ออาชีพ (ฟาร์มเลี้ยงวัวนม) อ้างอิงจาก งานวิจัยผลกระทบต่อสุขภาพจากเสาสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดย อ.สุเมธ วงศ์พานิชเลิศ และสถิติจาก ศูนย์สหกรณ์ไทย-เดนมาร์คประจวบคีรีขันธ์ จำกัดนายสมคิด มีการติดตามการแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิดอย่างสม่ำเสมอจนในที่สุดบริษัทแก้ไขปัญหาโดยการถอนเสาออกจากพื้นที่ กระทั่งถึงขั้นตอนต้องฟ้องศาลแพ่งเรียกค่าเสียหายจึงเกิดความคิดได้ว่า “ประเด็นนี้หนทางชนะน้อยนิดเหลือเกินเพราะมันเกิดขึ้นในประเทศไทย” ตนเองจึงเปลี่ยนวิธีการเป็นให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ชุมชนด้วยการเป็นวิทยากรในเวทีต่างๆ เพราะเชื่อว่า หากประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ ประชาชนจะเป็นผู้ดูแลสิทธิของตนเองและช่วยเหลือแบ่งปันต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด…จากตัวอย่างดังกล่าวเห็นได้ชัดเจนว่าการแก้ไขปัญหาเรื่อง “เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์” เป็นไปด้วยความยากลำบากทั้งหน่วยงานที่ไม่ร่วมแก้ไขอย่างที่ควรเป็นและข้อมูลที่ผ่านมาของประเทศไทยไม่พบการแก้ไขที่เป็นรูปธรรม จึงนำมาสู่เวที “รับฟังความคิดเห็นสื่อสาธารณะกลุ่มประเด็นผู้บริโภคและสภาผู้บริโภคเพื่อการขับเคลื่อนให้องค์กรสื่อสาธารณะ กสทช. และเครือข่ายผู้บริโภค ต่อการแก้ไขสถานการณ์ปัญหาเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่”ทำไมจึงลุกขึ้นมาใช้สิทธิ พบว่าวัวนมที่เลี้ยงมีอาการผิดปกติ เช่น ดวงตาเป็นมะเร็งหรือผสมพันธุ์ไม่ติดจำนวนมาก ซึ่งไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ทำให้ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำนมขาย โดยปกติจะผลิตได้ 700-800 กก. แต่ภายหลังกลับได้น้ำนมไม่ถึง 100 กก. ทำให้รายได้ลดลงจำนวนมาก นอกจากนี้สุขภาพของผู้สูงอายุในชุมชนรวมทั้งตนเองแย่ลงมากผิดปกติอีกด้วยปัญหาและอุปสรรคในการใช้สิทธิร้องเรียนคิดว่าหากเราไม่รู้จักกับทางสมาคมคุ้มครองผู้บริโภค ปัญหาดังกล่าวคงไม่ได้รับการแก้ไข เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยไปร้องเรียนโดยตรงกับบริษัท แต่ก็ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชาวบ้านธรรมดาอย่างเรา ไม่มีอำนาจในการต่อรองกับบริษัทเลยอยากให้คนที่ถูกละเมิดสิทธิ ลุกขึ้นมาใช้สิทธิอย่างไรอยากให้คนที่ถูกละเมิดสิทธิลุกขึ้นมาร้องเรียนปัญหา และอยากให้มีการรณรงค์เรื่องการตั้งเสาสัญญาณ โดยให้รายละเอียดถึงข้อดีและข้อดีอย่างครบถ้วน เพื่อให้ประชาชนตามหมู่บ้านได้ทราบข้อมูลที่แท้จริง3.นิตญา วงศ์หลี ผู้บริโภคที่ร้องเรียนเพื่อให้ญาติได้รับเกิดการชดเชยเยียวยาที่เป็นธรรม กรณีอุบัติเหตุ รถโดยสารสาธารณะไฟไหม้นางสาวนิตญา วงศ์หลี เป็นหลานสาวของนางสาวสุภาศินี วงศ์หลี ผู้ประสบอุบัติเหตุ รถโดยสารสาธารณะรถบัสบริษัทตรังร่วมมิตร เส้นทางภูเก็ต-สตูลไฟไหม้ เพราะคนขับรถหยุดเชื่อมเก้าอี้ของตัวเองโดยที่ไม่แจ้งให้ผู้โดยสารลงจากรถ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายรายซึ่งหนึ่งในนั้นคือ นางสาวสุภาศินี วงศ์หลี ได้รับการบาดเจ็บตามร่างกายหลายแห่ง อาการสาหัสจากการไฟไหม้อย่างรุนแรงทำให้มีแผลไฟไหม้บริเวณ แขน ลำตัว และใบหน้า จนทำให้มือข้างซ้ายไม่สามารถใช้การได้ ปอด ทางเดินหายใจและเส้นเสียงต้องผ่าตัดเจาะคอเพื่อเป็นช่องทางช่วยหายใจทางเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคใต้และเครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดกระบี่ ได้ดำเนินการแจ้งสิทธิและลงพื้นที่ไปกับผู้เสียหายในการเรียกร้องสิทธิ เบื้องต้นผู้เสียหายได้รับการชดเชยเยียวยาจากพรบ.ภาคบังคับและประกันภาคสมัครใจเป็นจำนวนเงิน 704,000 บาทและได้ติดต่อศูนย์ทนายความอาสา ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคในการช่วยเหลือดำเนินการฟ้องร้องบริษัทตรังร่วมมิตร ที่ศาลจังหวัดพังงา เรียกค่าเสียหายรวมทั้งสิ้น 2,286,212 บาทโดยก่อนฟ้องคดีนิตญา ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของเครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดกระบี่ ได้ประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องทั้งแพทย์ ตำรวจ บริษัทประกัน บริษัทผู้ก่อเหตุเพื่อเจรจา และดำเนินการเตรียมเอกสารด้านต่างๆ เช่น ใบรับรองแพทย์ ภาพถ่ายอุบัติเหตุ ภาพถ่ายผู้เสียหาย และจัดทำรายการค่าใช้จ่ายต่างๆ ช่วยเหลือในทุกขั้นตอนเพื่อเตรียมฟ้องคดีต่อศาล ในการนัดเจรจาไกล่เกลี่ยที่ศาล ครั้งที่ 1 บริษัทตรังร่วมมิตรเสนอให้ 200,000 บาท นิตยา และผู้เสียหายพิจารณาเห็นว่าเป็นจำนวนที่น้อยและไม่เพียงพอต่อการชดเชยเยียวยาจึงไม่ตกลงและศาลได้นัดสืบคดีต่อมา วันที่ 22 พฤศจิกายน 2559 ในวันนัดสืบคดี ทนายของบริษัทตรังร่วมมิตรยื่นข้อเสนอขอเจรจา โดยเสนอเงินจำนวน 500,000 บาท ทางนางสาวนิตยา วงษ์หลี และโจทก์ผู้เสียหายได้พิจารณาเสนอที่ 600,000 บาท ทางทนายและตัวแทนบริษัทตรังร่วมมิตรต่อรองโดยให้ทางบริษัทจ่าย 500,000 บาท และทางจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคนขับรถคันเกิดเหตุ รับผิดชอบเป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท โดยผ่อนจ่ายเดือนละ 1,500 บาท โดยสรุป ในคดีนี้ ผู้เสียหายได้รับค่าชดเชยความเสียหาย รวมเป็นเงินทั้งหมด 1,304,000 บาท ( หนึ่งล้านสามแสนสี่พันบาทถ้วน)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 192 กระแสในประเทศ

สรุปความเคลื่อนไหวเดือนกุมภาพันธ์ 25601 เม.ย.ทำฟันประกันสังคมกับ รพ.รัฐไม่ต้องสำรองจ่าย 1 เมษายน 2560 นี้ ผู้ใช้สิทธิประกันสังคม สามารถเข้ารับบริการด้านทันตกรรมที่โรงพยาบาลรัฐ ทั้งโรงพยาบาลสังกัด สธ., สังกัดกระทรวงกลาโหม, สังกัดกทม. และ โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ ตามสิทธิ 900 บาท โดยไม่ต้องสำรองจ่าย ซึ่งเลื่อนจากเดิมที่วางกำหนดไว้วันที่ 1 ก.พ. เพื่อให้สถานพยาบาลแต่ละแห่งได้เตรียมความพร้อมในการให้บริการในส่วนของโรงพยาบาลเอกชน นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวว่า ขณะนี้มีคลินิกทันตกรรมเอกชนที่เข้าร่วมแล้วกว่า 530 แห่ง และคาดว่าภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะเพิ่มเป็น 800 แห่ง ทั้งนี้ก่อนรับบริการให้สังเกต “สติกเกอร์สัญลักษณ์ประกันสังคม” ที่จะติดไว้ที่คลินิกที่ร่วมโครงการ ซึ่งสามารถรับบริการโดยไม่ต้องสำรองจ่ายผู้ประกันตนที่พบปัญหาจากใช้บริการหรือพบคลินิกหรือสถานพยาบาลที่มีสติกเกอร์สัญลักษณ์ประกันสังคม แต่ยังมีการเรียกเก็บเงิน สามารถโทร.แจ้งเอาผิดได้ที่สวยด่วน สปส. โทร. 1506 คิดดอกเบี้ยเงินกู้โหด เจอโทษตามกฎหมายจากนี้ไปลูกหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ ไม่ต้องกังวลเรื่องเจ้าหนี้คิดดอกเบี้ยโหดอีกแล้ว เพราะล่าสุดได้มีการออกพระราชบัญญัติ ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 15 มกราคม 2560 ที่ผ่านมาสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือ กำหนดให้ห้ามเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยปัจจุบันกฎหมายกำหนดห้ามคิดอัตราดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี หากกระทำความผิดจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมที่กำหนดโทษไว้ว่าจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 3 พันบาทนอกจากนี้ในกฎหมายฉบับนี้ยังมีการระบุว่า ห้ามกำหนดข้อความอันเป็นเท็จในเรื่องจำนวนเงินกู้หรือเรื่องอื่นๆ ไว้ในหลักฐานการกู้ยืมเพื่อปิดบังการเรียกดอกเบี้ยเกินอันตราที่กฎหมายกำหนด หรือมีการระบุว่าจะเรียกรับประโยชน์อย่างอื่นนอกจากดอกเบี้ย ไม่ว่าจะเป็นเงิน สิ่งของ หรือโดยวิธการอื่นใด จนเห็นได้ชัดว่าประโยชน์ที่ได้รับนั้นมากเกินสมควรตามเงื่อนไขแห่งการกู้ยืมเงินเส้นก๋วยเตี๋ยวใช้สารกันบูดน้อยลง แต่ยังเจอเกินค่ามาตรฐานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมอนามัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศ ได้ร่วมดำเนินงานภายใต้โครงการก๋วยเตี๋ยวอนามัย โดยหนึ่งในวัตถุประสงค์สำคัญของโครงการคือการควบคุมเรื่องการใช้ปริมาณวัตถุกันเสียโดยมีการสุ่มตรวจวิเคราะห์วัตถุกันเสียในเส้นก๋วยเตี๋ยวด้วยวิธีทางห้องปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2555 - 2559 จากจำนวนตัวอย่างทั้งหมด 370 ตัวอย่าง ตรวจพบการใช้วัตถุกันเสียเกินมาตรฐานกำหนด 71 ตัวอย่าง หรือร้อยละ 19.2 โดยพบกรดเบนโซอิค ปริมาณที่พบอยู่ระหว่าง 10.6 - 3,995 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ในเส้นก๋วยจั๊บ เส้นใหญ่ และเส้นผัดไทชนิดแห้ง ซึ่งค่ามาตรฐานที่อนุญาตให้พบคือไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ส่วนกรดซอร์บิค พบประมาณร้อยละ 3.1 ปริมาณที่พบอยู่ระหว่าง 102 - 414 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมเมื่อนำข้อมูลที่ได้มาเปรียบเทียบกับข้อมูลจากงานวิจัยในปี 2550 พบว่า จำนวนตัวอย่างที่ตรวจพบการใช้วัตถุกันเสียเกินมาตรฐานกำหนดลดลงจาก ร้อยละ 36 เหลือเพียง ร้อยละ 19.2 และปริมาณวัตถุกันเสียที่ตรวจพบสูงสุดลดลงจาก 17,250 เหลือเพียง 3,995 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม แต่ก็ยังเกินกว่าค่ามาตรฐาน“เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” ชื่อนี้เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน (กพฉ.) เตรียมเปลี่ยนชื่อโครงการเจ็บป่วยฉุกเฉิน รักษาทุกที่ ดีทุกสิทธิ เป็น “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” เพื่อให้มีความชัดเจนขึ้น แก้ปัญหาความเข้าใจผิด ของทั้งผู้ป่วย ญาติ และสถานพยาบาล ซึ่งที่ผ่านมามีกรณีร้องเรียนเรื่องสถานพยาบาลเรียกเก็บเงินจากการรักษาพยาบาลฉุกเฉินจำนวนไม่น้อยโดยการใช้คำว่า “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต” ก็เพื่อให้เข้าใจตรงกันว่า หมายถึงอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตระดับสีแดง ซึ่งสามารถเข้ารักษาได้ทุกที่ทุกสิทธิ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในช่วง 72 ชั่วโมงแรก ซึ่งหลักการคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสีแดงที่ กพฉ. กำหนด แบ่งเป็น 25 กลุ่มอาการ ดังนี้ 1.ปวดท้องบริเวณหลัง เชิงกราน และขาหนีบ 2.แพ้ยา แพ้อาหาร แพ้สัตว์ต่อย แอนาฟิแล็กซิส ปฏิกิริยาภูมิแพ้ 3.สัตว์กัด 4.เลือดออกโดยไม่ได้มีสาเหตุมาจากการบาดเจ็บ 5.หายใจลำบาก หายใจติดขัด 6.หัวใจหยุดเต้น 7.เจ็บแน่นทรวงอก หัวใจ มีปัญหาทางด้านหัวใจ 8.สำลัก อุดกั้นทางเดินหายใจ 9.เบาหวาน 10.ภาวะฉุกเฉินเหตุสิ่งแวดล้อม11.ปวดศีรษะ ภาวะผิดปกติทางตา หู คอ จมูก 12.คลุ้มคลั่ง ภาวะทางจิตประสาท อารมณ์ 13.พิษ รับยาเกินขนาด 14.มีครรภ์ คลอด นรีเวช 15.ชัก มีสัญญาณบอกเหตุการชัก 16.ป่วย อ่อนเพลีย อัมพาตเรื้อรัง ไม่ทราบสาเหตุจำเพาะ 17.อัมพาต กล้ามเนื้ออ่อนแรง สูญเสียความรู้สึก ยืนหรือเดินไม่ได้เฉียบพลัน 18.ไม่รู้สติ ไม่ตอบสนอง หมดสติชั่ววูบ 19.เด็ก กุมารเวช 20.ถูกทำร้าย 21.ไหม้ ลวกเหตุความร้อน สารเคมี ไฟฟ้าช็อต 22.ตกน้ำ จมน้ำ บาดเจ็บทางน้ำ 23.พลัดตกหกล้ม อุบัติเหตุ เจ็บปวด 24.อุบัติเหตุยานยนต์ และ 25.อื่นๆ หากมีข้อสงสัยสามารถโทรสอบถามกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) โทร. 1669ชัดเจน!!! ห้ามใช้ “โคลิสติน” ในฟาร์มสัตว์หลังจากมีข่าวว่ามีการตรวจพบฟาร์มเลี้ยงหมูในหลายจังหวัดมีการใช้ยา “โคลิสติน” (Colistin) ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะชนิดรุนแรงที่ทั่วโลกกำลังเฝ้าระวัง เพราะทำให้เกิดการดื้อยาทั้งในคนและสัตว์เรื่องดังกล่าวสร้างความวิตกกังวลกับผู้บริโภคไม่น้อย กรมปศุสัตว์ที่มีหน้าที่จัดการดูแลปัญหานี้โดยตรงก็ไม่รอช้าเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ด้วยความรวดเร็ว โดยได้ออกคำสั่ง “เรื่อง การควบคุมการใช้ยา Colistin ในฟาร์ม” ส่งตรงถึง “นายกสมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทย” ซึ่งมีสมาชิกทั่วประเทศกว่า 800 คน โดยเนื้อหาสำคัญในประกาศ คือการสั่งห้ามสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มสั่งหรือใช้ยาโคลิสตินผสมอาหารหรือละลายน้ำให้สัตว์กินโดยเด็ดขาด พร้อมทั้งให้สัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มต้องคัดกรองและตรวจสอบอาหารสัตว์สำเร็จรูปที่ใช้เลี้ยงสัตว์จะต้องไม่มียาโคลิสตินผสมอยู่ โดยให้มีการเก็บตัวอย่างอาหารสัตว์ส่งตรวจเพื่อพิสูจน์ทางห้องปฏิบัติการเป็นระยะแต่ก็ยังผ่อนปรนให้สามารถใช้ยาโคลิสตินได้ ในกรณีที่สัตว์ป่วยแล้วไม่มียาปฏิชีวนะชนิดใดใช้แล้วได้ผล“ยาโคลิสติน” เป็นยาปฏิชีวะที่นิยมใช้รักษาหมูท้องร่วงจากเชื้อแบคทีเรีย “อี.โคไล” แต่เมื่อปีที่แล้วมีข่าวว่าจีนพบหมูและคนดื้อยาโคลิสตินจากฟาร์มหมูชนิดข้ามสายพันธุ์ได้ หรือ “ยีนเอ็มซีอาร์-วัน” ที่สามารถส่งสายพันธุกรรมหรือเชื้อดื้อยาข้ามจากสัตว์มาสู่คน และยังถ่ายทอดไปยังเชื้อโรคตัวอื่นๆ ในร่างกายมนุษย์ได้อีกด้วย ขณะนี้มีรายงานการพบยีนดื้อยาตัวนี้ในมนุษย์ หมู และไก่ ช่วงปี 2010–2015 จำนวนทั้งสิ้น 16 ประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 188 รู้เท่าทันเมล็ดเจีย

ระยะนี้ ดูเหมือน เมล็ดเจีย กลายเป็นพระเอกในตลาดสินค้าสุขภาพทางเลือกโดยเฉพาะในต่างประเทศ ประเทศไทยกำลังตามมาติดๆ เมล็ดเจียจะแซงเมล็ดงาดำหรือแมงลักได้หรือไม่ ในต่างประเทศมีความนิยมเรื่องเมล็ดธัญพืชที่ไม่ขัดสีและเมล็ดธัญพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นอกจากนี้เมล็ดเจีย ยังมีตำนานว่าเป็นธัญพืชที่ชาวแอซเท็กโบราณในคริสศตวรรษ 14-16 นิยมบริโภคเพราะเชื่อว่า จะให้พลังกับร่างกายและสติปัญญา ต่อมาได้เกิดสูญพันธุ์ไป และมาค้นพบใหม่อีกครั้ง ทำให้มีการนำมาเพาะปลูกและบริโภคโดยเชื่อว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างยิ่งเพราะมีภูมิปัญญาโบราณของชาวแอซเท็กเป็นหลักฐาน เรามารู้เท่าทันเมล็ดเจียกันเถอะเมล็ดเจียคืออะไรเมล็ดเจียมีชื่อว่า Salvia hispanica หรือนิยมเรียกกันทั่วไปว่า Chia เป็นพืชตระกูลมินต์ มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโกกลางและใต้ และในกัวเตมาลา นักรบชาวแอซเท็กกินเมล็ดเจียเพื่อให้พลังงานและความทนทานสูง พวกเขาเชื่อว่า การกินเมล็ดเจียแค่หนึ่งช้อนชาจะช่วยเพิ่มพลังได้นาน 24 ชั่วโมงคุณค่าของเมล็ดเจียมีการโฆษณาเกี่ยวกับเมล็ดเจียในเว็บไซต์จำนวนมาก ทั้งบริษัทร้านค้าและแพทย์ทางเลือกที่มีชื่อเสียง บางคนเรียกว่าเป็น superfood ก็มี และอ้างคุณค่าว่า มี โอเมก้า 3 มากกว่าปลาแซลมอน 8 เท่า, โอเมก้า 6, เหล็กมากว่าผักโขม 3 เท่า, สารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าบลูเบอรี่ 3 เท่า, แมกนีเซียมมากกว่าบรอกโคลี 15 เท่า, แคลเซียมมากกว่านม 5 เท่า, เส้นใยอาหารสูง และยังดีต่อโรคหัวใจ ลดไขมัน ความดันเลือดลดลง เป็นต้น ในบางเว็บไซต์ อ้างว่า เมล็ดเจียช่วยในการลดน้ำหนัก รักษาโรคเบาหวาน กระดูกพรุน สำหรับนักกีฬาราคาซื้อขายเมล็ดเจียในท้องตลาดสุขภาพในท้องตลาดประเทศไทยมีการขายเมล็ดเจียกันหลายราคา ตั้งแต่ 600 บาทต่อกิโลกรัม จนถึงพันกว่าบาท โดยเฉพาะที่นำเข้าจากประเทศเม็กซิโกและเป็นเกษตรอินทรีย์จะมีราคาสูงเป็นพิเศษการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีงานวิจัยเกี่ยวกับเมล็ดเจียในวารสารวิชาการจำนวนมาก ในวารสาร Pubmed มีการตีพิมพ์การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเมล็ดเจียประมาณ 46 รายงาน จากการทบทวนงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Pubmed พบว่า งานวิจัยต่างๆ นั้นยังมีหลักฐานทางวิชาการที่จำกัด ไม่สามารถยืนยันประสิทธิผลของเมล็ดเจียได้เพียงพอ แต่พบว่า มีงานวิจัยคลินิก 2 รายงานที่น่าเชื่อถือ โดยรายงานการศึกษาทางคลินิกรายงานหนึ่ง พบว่า เมล็ดเจียอาจมีประสิทธิผลต่อปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดและหัวใจ (รวมทั้งน้ำหนักร่างกายที่มากเกินไป) บ้าง ส่วนอีกรายงานนั้นพบว่า ไม่มีประสิทธิผลต่อปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดและหัวใจ ทั้ง 2 การศึกษาพบว่า เมล็ดเจียไม่มีผลต่อการลดน้ำหนักของร่างกายอย่างไรก็ตาม การทบทวนเอกสารวิชาการโดยเฉพาะเอกสารทางประวัติศาสตร์ พบว่า เมล็ดเจียมีความปลอดภัยในการบริโภคสำหรับผู้ที่ไม่มีอาการแพ้เมล็ดเจียในการทบวนงานวิจัยเสนอว่าต้องมีการศึกษาที่เป็นระบบเพิ่มเติม ก่อนที่จะใช้เมล็ดเจียมาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและใช้ในการบำบัดโรคและอาการต่างๆ ตามที่มีความเชื่อกันอยู่ในปัจจุบันสรุปว่า เมล็ดเจียนั้นเป็นธัญพืชอย่างหนึ่งที่มีคุณค่าทางอาหาร แต่การนำมาบริโภคเพื่อบำบัดอาการ และโรคต่างๆ นั้น ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ยืนยันประสิทธิผลดังกล่าว จึงควรที่จะประเมินดูว่า คุ้มกับราคาที่สูงมากเกินไปหรือไม่

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 184 กระแสในประเทศ

สรุปความเคลื่อนไหว เดือนมิถุนายน 2559“เนื้อปลาดิบ” ปลอดภัยไม่มีสีเกิดกระแสฮือฮาเป็นข้อถกเถียงกันในโซเชียลมีเดีย  เรื่องของ “เนื้อปลาดิบย้อมสี” ที่มีนักวิชาการมาให้ข้อมูลออกเป็น 2 ฝั่ง โดยฝั่งแรกคือรองศาสตราจารย์ สัตวแพทย์หญิง ดร.นันทริกา ชันซื่อ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เล่าว่าได้ไปรับประทานอาหารญี่ปุ่นร้านดังแห่งหนึ่ง แล้วสังเกตว่าปลาโอและปลาแซลมอนในร้าน มีสีแดงสดผิดปกติ จึงได้เก็บตัวอย่างมาตรวจสอบ พบว่าเมื่อนำปลาดิบไปแช่น้ำทิ้งไว้ไม่กี่นาทีเกิดมีสีละลายออกมาจากเนื้อปลาชัดเจน ซึ่งข้อความดังกล่าวที่ถูกโฟสในเฟซบุ๊คสร้างความวิตกและสงสัยกับผู้คนที่ได้รับข้อมูลเป็นอย่างมาก ว่ามีการย้อมสีในเนื้อปลาจริงหรือมั้ย และเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือเปล่าอีกด้านคือ อาจารย์ เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว อธิบายถึงสีที่ละลายออกมาจากเนื้อปลาว่า ไม่น่าจะเป็นการย้อมสี แต่เป็นสารโปรตีนธรรมชาติที่อยู่ในเนื้อปลา หรือที่เรียกว่า มายโอโกลบิน (myoglobin)ประเด็นปลาดิบย้อมสีเป็นที่สนใจในวงกว้าง เพราะทำให้คนที่ชอบกินปลาดิบรู้สึกกังวลถึงเรื่องความปลอดภัย อย.ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องอาหารปลอดภัย จึงได้ออกมาทำหน้าที่ โดยได้สุ่มเก็บตัวอย่างปลาดิบจากร้านอาหาร 6 แห่ง เพื่อตรวจหาสีสังเคราะห์ ซึ่งผลที่ได้คือ ไม่พบสีสังเคราะห์ในปลาดิบทั้ง 6 ตัวอย่างที่นำมาวิเคราะห์ ซึ่งจากผลวิเคราะห์ที่ได้ น่าจะช่วยให้ผู้บริโภครู้สึกอุ่นใจได้มากขึ้น   บังคับ “สีทาบ้าน” เป็นสินค้าควบคุมฉลาก ลดการใช้สารตะกั่วคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้ออกประกาศบังคับให้สีทาบ้าน ทั้งใช้ทาภายในและภายนอก ที่มีส่วนผสมของสารตะกั่ว เป็นสินค้าควบคุมฉลาก คือต้องแสดงปริมาณของสารตะกั่วที่ผสมอยู่ในสีโดยระบุหน่วยเป็น ส่วนในล้านส่วน (พีพีเอ็ม) และหากมีปริมาณสารตะกั่วมากกว่า 100 ส่วนในล้านส่วน ต้องมีการระบุคำเตือนว่า “สารตะกั่วอาจเป็นอันตรายต่อสมองและเม็ดเลือดแดง ห้ามใช้ทาบ้านและอาคาร” ซึ่งรายละเอียดปริมาณสารตะกั่วและคำเตือนต้องใช้ตัวอักษรหนาสีแดง ขนาดไม่ต่ำกว่า 5 มิลลิเมตร บนพื้นสีขาว โดยต้องแสดงไว้ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจน สารตะกั่ว เป็นโลหะหนักที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเกิดการสะสม เป็นอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพ ทำให้เกิดโรคโลหิตจาง มีผลต่อการทำงานของไต และส่งผลต่อการพัฒนาของสติปัญญา ซึ่งถ้าสีที่มีส่วนผสมของสารตะกั่วถูกนำไปใช้ในสถานรับเลี้ยงเด็กหรือศูนย์เด็กเล็กต่างๆ อาจส่งผลให้เด็กได้รับสารตะกั่วส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการช้า หรืออาจร้ายแรงถึงขั้นทำให้เด็กป่วยด้วยโรคปัญญาอ่อน   อาหารเสริม-กาแฟลดอ้วน เจอสารอันตรายเพียบ!!!ใครที่ยังหลงเชื่อหลงซื้อบรรดาอาหารเสริม-กาแฟลดความอ้วนอยู่อีกละก็ อ่านข่าวนี้แล้วน่าจะต้องคิดใหม่ ถ้าหยุดซื้อได้ก็ควรหยุด เพราะล่าสุดสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร กรมวิทย์ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้เปิดเผยผลตัวอย่างอาหารและเครื่องดื่มที่อาจจะมีการนำยาแผนปัจจุบันมาผสม ตลอดช่วงปี 2556-2558 จำนวนทั้งหมด 1,160 ตัวอย่าง พบว่ามีมากกว่า 50% ที่พบการปนเปื้อนของสารอันตรายต้องห้ามอย่าง ไซบูทรามีน สเตอรอยด์ หรือแม้แต่ยาเบนโซไดอะซีปีนส์ ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ซึ่งเป็นยาควบคุม ต้องมีแพทย์เป็นคนจ่ายยาเท่านั้นโดยตัวอย่างที่วิเคราะห์ทั้งหมด 1,160 ตัวอย่าง แบ่งเป็น 1.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 690 ตัวอย่าง ตรวจพบไซบูทรามีน ร้อยละ 20, กลุ่มยารักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ร้อยละ 43.4, กลุ่มยาสเตียรอยด์ ร้อยละ 3.9 และ กลุ่มยาระบาย ร้อยละ 0.52.กาแฟสำเร็จรูปชนิดผง 391 ตัวอย่าง ตรวจพบไซบูทรามีน ร้อยละ 14.5 กลุ่มยารักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ร้อยละ 26.2 กลุ่มยาเบนโซไดอะซีปีนส์ ร้อยละ 0.63.เครื่องดื่ม 49 ตัวอย่าง ตรวจพบกลุ่มยาสเตียรอยด์ร้อยละ 21.4และ 4.อาหารอื่นๆ 30 ตัวอย่าง การที่ผลิตภัณฑ์อาหารนำยาแผนปัจจุบันซึ่งส่วนใหญ่เป็นยาที่มีการควบคุมการใช้โดยแพทย์หรือเภสัชกรมาใช้เป็นส่วนผสม เมื่อผู้บริโภคหลงกินผลิตภัณฑ์อาหารเสริมดังกล่าวเข้าไป อาจมีความเสี่ยงต่อสุขภาพซึ่งรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้จากการแพ้ตัวยาดังกล่าว หรือได้รับตัวยาในปริมาณที่มากเกินไปจนเกิดผลข้างเคียง อาหารที่มีการผสมยาแผนปัจจุบันจัดว่าเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์ ผู้ผลิตและผู้ขายมีความผิดตามกฎหมาย   กุ้งไทยปลอดภัยไม่ฉีดสารเจลาตินสร้างความตื่นตกใจให้กับคนที่ชอบรับประทานกุ้งเป็นอย่างมาก หลังจากที่มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอที่ไม่แน่ชัดถึงที่มาที่ไปแต่คาดว่าจะมาจากต่างประเทศ โดยในคลิปเป็นภาพที่ของคนงานในโรงงานคัดแยกกุ้งกำลังฉีดสารบางอย่างเข้าไปในตัวกุ้ง ตามข่าวรายงานว่าเป็นสารหนืดเพื่อช่วยเพิ่มน้ำหนักให้ตัวกุ้งคลิปดังกล่าวสร้างความกังวลและสงสัยต่อผู้บริโภคเป็นอย่างมาก ทำให้ กรมประมง ที่ดูแลอุตสาหกรรมกุ้งทั้งในประเทศและส่งออกต้องรีบออกมาทำความเข้าใจและยืนยันว่า เหตุการณ์ในคลิปดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยแน่นอน พร้อมการันตีว่าอุตสาหกรรมกุ้งไทยมีระบบการผลิต การตรวจสอบคุณภาพ สารปนเปื้อน และเชื้อโรคอย่างเข้มงวด ก่อนส่งถือมือผู้บริโภค ขอให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่ากุ้งไทยปลอดภัยจากสารปนเปื้อนแน่นอนสำหรับสารที่ฉีดมีลักษณะหนืดคล้ายเจลาติน เรียกว่า Carboxy Methyl cellulose (CMC) แม้จะเป็นสารที่ปลอดภัยต่อการบริโภค เพราะสังเคราะห์จากพืช และใช้ในอุตสาหกรรมอาหารหลายประเภทเช่น ใช้เป็นสารคงตัวในไอศกรีม ใช้เป็นสารให้ความใสในน้ำผลไม้ ไวน์ เบียร์ แต่การนำมาฉีดในตัวกุ้งเพื่อหวังเพิ่มน้ำหนักถือเป็นการกระทำที่ไม่ซื่อสัตย์และไม่มีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค และดูแล้วเป็นการเพื่อต้นทุนซะมากกว่า เพราะต้องใช้แรงงานจำนวนมากเพื่อมาฉีดสารดังกล่าวเข้าไปในตัวกุ้งทีละตัว    สธ.ยืนยันไม่ใช้ “พัดลมไอน้ำ” ใน รพ.หวั่นแพร่เชื้อโรคนพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ออกมายืนยันว่า โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขไม่มีการใช้พัดลมไอน้ำทั้งที่ตึกผู้ป่วยนอก (โอพีดี) และหอผู้ป่วย ตามคำแนะนำของสถาบันบำราศนราดูร สถาบันด้านโรคติดต่อและโรคติดเชื้อในโรงพยาบาลระดับนานาชาติ หลังจากมีข่าวว่าพัดลมไอน้ำในโรงพยาบาลเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคลีเจียนแนร์ ปลัด สธ.ให้ข้อมูลว่า โรคลีเจียนแนร์ แม้จะเป็นโรคที่ทำให้ผู้ที่ป่วยเสียชีวิตได้ แต่ก็ไม่รุนแรงเหมือนโรคซาร์ส โรคไข้หวัดนก และไม่ติดต่อจากคนสู่คน และรักษาให้หายได้เพียง 1 สัปดาห์ก็หายขาด อาการของโรคนี้จะคล้ายไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ไอ คลื่นไส้อาเจียน แต่หากเชื้อเข้าสู่ร่างกายไปที่ปอด ทำให้ปอดอักเสบ มีไข้สูง ไอ หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย อาจเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิต ซึ่งโรคนี้มักส่งผลกับผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำและผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรัง ซึ่งพัดลมไอน้ำที่ใช้เป็นประจำแล้วไม่ได้ทำความสะอาดภาชนะบรรจุน้ำของพัดลมไอน้ำอย่างสม่ำเสมอ อาจเกิดการปนเปื้อนของเชื้อลีเจียนแนร์ ละอองน้ำจากพัดลมจะแพร่กระจายโรคนี้รวมทั้งโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ดังนั้นผู้ป่วยในโรงพยาบาลจึงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนทั่วไปทั้งนี้ สธ. ยังฝากเตือนถึงประชาชนทั่วไปหมั่นดูแลล้างทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศในที่พัก ทำความสะอาดท่อหล่อเย็น หรือ ถาดรองน้ำหล่อเย็นของเครื่องปรับอากาศ อย่าให้มีน้ำขัง เปียกชื้น ควรทำให้แห้ง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค ส่วนพัดลมไอน้ำให้ล้างภาชนะบรรจุน้ำอย่าปล่อยให้มีตะไคร่น้ำและเปลี่ยนน้ำบ่อยๆ เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อโรค

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 164 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2557 ใช้ “พ.ร.บ.ทวงหนี้” จัดการเจ้าหนี้โหด คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน นักกฎหมาย ตัวแทนลูกหนี้  มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล  ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ นายมนตรี ศรีเอี่ยมสะอาด ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณา “ร่างพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ...” เพื่อเสนอความเห็นและข้อเสนอต่อ คณะกรรมาธิการฯ ให้พิจารณาแก้ไขบทบัญญัติในกฎหมายเพื่อให้เกิดการคุ้มครองลูกหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบให้ได้รับความเป็นธรรมจากการทวงถามหนี้  พร้อมเสนอให้เพิ่มเติมมาตรการเยียวยาความเสียหายแก่ลูกหนี้ ที่ได้รับผลกระทบจากการทวงหนี้  และขอให้เร่งการออกกฎหมายฉบับนี้โดยเร็วเพื่อเป็นมาตรการคุ้มครองลูกหนี้และลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกับลูกหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ ปัจจุบันปัญหาเรื่องการทวงหนี้ที่ไม่เป็นธรรม กลายเป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งในสังคม โดยวิธีการที่เจ้าหนี้ใช้มีทั้ง การข่มขู่ การใช้วาจาหยาบคาย ยึดทรัพย์โดยพลการ หรือการทำร้ายร่างกาย ซึ่งผลจากการคุกคามของเจ้าหนี้ทำให้ลูกหนี้ต้องกู้เงินนอกระบบมาชำระหนี้ในระบบเพิ่มอีก บ้างก็ตัดสินใจออกจากงานเพราะทนแรงกดดันไม่ไหว, ครอบครัวมีปัญหา รวมไปถึงการฆ่าตัวตายดังที่เป็นข่าว ซึ่งการมายื่นหนังสือต่อประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณา พ.ร.บ.ฯ ครั้งนี้ เพื่อต้องการให้มีการเร่งรัดการประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้โดยเร็วที่สุด พร้อมกับมีข้อเสนอเพิ่มเติม ทั้งการควบคุมให้สถาบันการเงินที่ปล่อยบัตรสินเชื่อเงินสดหรือสินเชื่อให้กับลูกหนี้ ห้ามยึดเงินเดือนจากบัญชีธนาคารของลูกหนี้เนื่องจากขัดต่อกฎหมาย การยึดเงินเดือนของลูกหนี้ตามกฎหมายต้องฟ้องศาลก่อน เมื่อศาลมีคำสั่งจึงเข้าสู่กระบวนการอายัดเงินเดือนได้สูงสุด 30% ของเงินเดือนเท่านั้น หรือการคิดดอกเบี้ยเกินที่กฎหมายระบุ ซึ่งนายมนตรีรับปากว่า จะผลักดันกฎหมายฉบับนี้ให้ประกาศใช้ได้ก่อนสิ้นปี 2557 นี้   เครือข่ายผู้บริโภคขอ “พ.ร.บ. ยา” ที่เป็นธรรมกับประชาชน แนะตัดภาคธุรกิจออกจากคณะกรรมการฯ ผศ.ภญ.สำลี ใจดี ประธานมูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนา  และตัวแทนคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชนร่วมกับภาคประชาสังคม 15 องค์กร เข้าพบเลขาธิการอย. เพื่อยื่นหนังสือโดยขอให้นำความเห็นและข้อเสนอแนะที่มีต่อร่าง “พระราชบัญญัติยา พ.ศ.....” ฉบับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.)  เพื่อให้แก้ไขและบรรจุในพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งมีรายละเอียดตามมติดังนี้ 1. สนับสนุนร่างพระราชบัญญัติยา พ.ศ...... ฉบับประชาชน  เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคและพัฒนาระบบยาของประเทศ 2. เสนอให้ตัดผู้แทนจากภาคธุรกิจออกจากคณะกรรมการยาทั้ง 4 ชุด เพราะเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไม่สมควรเข้ามากำกับดูแลนโยบาย 3. เสนอให้คงไว้และห้ามตัดออกสาระที่ดีมากใน พ.ร.บ. ยาฉบับกฤษฎีกา คือ ข้อมูลการขึ้นทะเบียนยา โดยเฉพาะ โครงสร้างราคายาและข้อมูลสิทธิบัตร เพราะมีส่วนในการกำหนดราคายาที่เหมาะสมและเป็นการเข้าถึงยาของประชาชนเมื่อยานั้นหมดสิทธิบัตรลง 4. เสนอให้เพิ่มหมวดการควบคุมราคายา เพื่อป้องกันการกำหนดราคายาที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค โดยให้นำสาระจากร่าง พ.ร.บ. ยา ฉบับประชาชน 5. การจัดการกับการโฆษณาและการส่งเสริมการขายยาจะต้องเข้มงวดมากขึ้น โดยยกระเบียบต่างๆ ขึ้นมาอยู่ในระดับกฎหมาย 6. ต้องไม่ขยายคำจำกัดความของ “ยาปลอม” ไปครอบคลุมเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นกลวิธีของอุตสาหกรรมยาข้ามชาติที่ต้องการขัดขวางการเข้าถึงยาของประชาชนและทำลายอุตสาหกรรมยาชื่อสามัญ   สปสช., สคบ., มพบ. จับมือทำงาน “ผู้บริโภค มาด้วยใจ ก้าวไกลด้วยกัน” เมื่อวันที่ 24-25 กันยายน 2557 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ร่วมกันจัดงานประชุมวิชาการด้านการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค “Consumer Convergence: ผู้บริโภค มาด้วยใจ ก้าวไกลด้วยกัน” ซึ่งการเสวนาและระดมความคิดเพื่อยกระดับการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทย สร้างความร่วมมือกันในการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจทั้งการเสวนาวิชาการเกี่ยวกับผู้บริโภค การแลกเปลี่ยนเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคในต่างประเทศจากประสบการณ์ของคนทำงานคุ้มครองผู้บริโภคจากเวียดนามและอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการร้องเรียนปัญหา แนวทางการพัฒนาให้ผู้บริโภคเข้มแข็ง การนำเสนองานวิจัยที่เกียวกับการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทย มีการจัดการประชุมกลุ่มย่อยในหัวข้อ “What’s next? ความร่วมมือในการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคระดับจังหวัดและระดับประเทศในอนาคต” เพื่อช่วยกันระดมความคิดในการพัฒนาระบบการคุ้มครองผู้บริโภคในเรื่องของการมีหน่วยรับเรื่องร้องเรียนภาคประชาชน เรื่องขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับการมีส่วนร่วมในการคุมครองผู้บริโภค และเรื่องของนวัตกรรมด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ประชาคมอาเซียน นอกจากนี้ภายในงานยังมีการมอบรางวัลศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพในหน่วยบริการดีเด่นระดับประเทศปี 2556 โดยผู้ได้รับรางวัลประเภทโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปอันดับที่ 1 ได้แก่ โรงพยาบาลร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด อันดับที่ 2  โรงพยาบาลนครพนม จังหวัดนครพนม และอันดับที่ 3  โรงพยาบาลพะเยา จังหวัดพะเยา ส่วนรางวัลชมเชยได้แก่ โรงพยาบาลสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ในส่วนของประเภทโรงพยาบาลชุมชน อันดับที่ 1 ได้แก่ โรงพยาบาลกันตัง จังหวัดตรัง อันดับที่ 2 โรงพยาบาลสนม จังหวัดสุรินทร์ และอันดับที่ 3 โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี ส่วนรางวัลชมเชยได้แก่โรงพยาบาลมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น และโรงพยาบาลบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี นอกจากนี้ยังมีการมอบรางวัลศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพในหน่วยบริการดีเด่นระดับเขต ประจำปี 2556 ประเภทโรงพยาบาลชุมชนได้แก่ โรงพยาบาลบ้านค่าย จังหวัดระยอง และโรงพยาบาลเรณูนคร จังหวัดนครพนม   ยกเลิกสัญญาอินเตอร์เน็ตไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม ปัญหาเรื่องการถูกเรียกเก็บเงินจากการขอยกเลิกบริการอินเตอร์เน็ตภายในบ้าน เป็นปัญหาที่มีการร้องเรียนมายัง กสทช. เป็นจำนวนมาก จากข้อมูลตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน มีการร้องเรียนจากผู้บริโภคว่าถูกผู้ประกอบการโทรคมนาคมคิดค่าปรับ ค่าธรรมเนียม หรือค่าใช้จ่ายอื่นใด เมื่อผู้ใช้บริการต้องการยกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนด โดยมีจำนวนเรื่องร้องเรียนทั้งหมด  757 กรณี ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตมักอ้างเหตุผลว่า ฟรีค่าติดตั้งและค่าธรรมเนียมแรกเข้า แต่หากผู้ใช้บริการบอกเลิกการใช้บริการก่อนกำหนดจะต้องจ่ายค่าบริการที่เป็นโปรโมชั่นดังกล่าว เหมือนเป็นการผู้มัดผู้ใช้บริการว่าต้องใช้สินค้าของตนแม้จะใช้แล้วรู้สึกไม่พอใจในสินค้าแต่ก็ห้ามยกเลิก หากยกเลิกต้องเสียเงิน ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อข้อ 15 ของประกาศ กทช. เรื่อง “มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549” ซึ่งห้ามบริษัทผู้ให้บริการคิดค่าปรับ หรือค่าเสียหายจากการที่ผู้ใช้บริการยกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนด ผู้บริโภคจึงมีสิทธิยกเลิกสัญญาใช้บริการอินเตอร์เน็ตกับผู้ให้บริการได้ โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ หากผู้บริโภคพบเจอปัญหาดังกล่าวสามารถร้องเรียนไปได้ที่ สายด่วน กสทช. 1200   นักวิชาการชี้ “ยาอมแก้เจ็บคอ” ไม่ช่วยรักษาอาการ นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล อาจารย์ประจำภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ยาอมแก้เจ็บคอที่วางขายในท้องตลาดเป็นจำนวนมากนั้น พบว่า มีการผสมยาปฏิชีวนะ 2 ประเภท คือ นีโอมัยซิน (Neomycin) และเบซิทราซิน (Bacitracin) ในปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อการฆ่าเชื้อแบคทีเรียในลำคอให้ตาย แต่กลับเข้าไปรบกวนแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดการต่อต้านและกลายพันธุ์เป็นเชื้อแบคทีเรียดื้อยา ซึ่งเป็นปัญหาทั่วโลก ส่วนที่กินแล้วรู้สึกอาการเจ็บคอดีขึ้น เป็นเพราะมียาชา จึงอยากให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เร่งทบทวน และยกเลิกตำรับยาประเภทนี้ เพราะถือเป็นการใช้ยาที่ไม่จำเป็น การเจ็บคอเนื่องจากหวัดนั้นกว่า 70-90% ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นยาปฏิชีวนะสูตรเดี่ยว หรือยาที่มียาปฏิชีวนะเป็นส่วนผสมมาใช้ในการรักษา เพราะสามารถรักษาให้หายได้ด้วยตัวเอง เช่น 1. ดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง 2. ยาอมสมุนไพรฟ้าทลายโจร 3. อมน้ำเกลือกลั้วคอ 4. พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อสร้างเสริมภูมิต้านทานของร่างกาย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 101 กระแสในประเทศ

กระแสในประเทศ ฉบับที่ 1012 มิถุนายน 2552 เรดบูลโคล่าพบโคเคน ขายต่างประเทศไทยคนละสูตร นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงข่าวสำนักงานความปลอดภัยด้านอาหาร กระทรวงอาหาร การเกษตร และคุ้มครองผู้บริโภค ประเทศเยอรมนี ตรวจพบร่องรอยของสารโคเคนในเครื่องดื่มเรดบูลโคล่าและไต้หวันอายัดเครื่องดื่ม Red Bull Energy Drink เพราะตรวจพบร่องรอยของสารโคเคนเจือปนอยู่เล็กน้อยหลังจากให้กองควบคุมอาหารเก็บตัวอย่างสินค้าเครื่องดื่มกระทิงแดงโคล่าที่ผลิตในประเทศไทยไปตรวจสอบอย่างเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม เรดบูลโคล่าในเยอรมนีถูกพัฒนาสูตรโดยบริษัท Red Bull GmbH ประเทศออสเตรีย และผลิตในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สำหรับเครื่องดื่ม Red Bull Energy Drink ที่จำหน่ายในประเทศไต้หวัน ผลิตและส่งออกจากบริษัทในออสเตรีย ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ผลการตรวจวิเคราะห์ในรุ่นการผลิตเดียวกันของประเทศออสเตรียไม่พบโคเคน ซึ่งจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป "กระทิงแดงโคล่าที่จำหน่ายในประเทศไทย เป็นคนละสูตรกับผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในต่างประเทศ ไม่ได้ใช้แหล่งการผลิตเดียวกัน ขอให้ประชาชนผู้บริโภคอย่าตื่นตระหนก อย.ได้เฝ้าระวังเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ให้มีการตรวจวิเคราะห์อย่างละเอียดที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์อีกด้วย ขอให้ผู้บริโภคมั่นใจการดำเนินงานของ อย. เมื่อพบผลิตภัณฑ์ใดมีปัญหาจะเร่งตรวจเฝ้าระวังดำเนินการและชี้แจงให้ผู้บริโภครับทราบข้อมูลโดยเร็ว”   15 มิ.ย. 52ห้ามขาย-ห้ามทาน น้ำหวาน “แคนดี้ ไซรับ” นพ.นรังสันต์ พีรกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า ตามที่ได้รับข้อมูลว่าพบร้านค้าบริเวณหน้าโรงเรียนใน จ.ราชบุรี มีการนำขนมที่มีชื่อว่า “แคนดี้ ไซรับ” ซึ่งมีลักษณะเป็นน้ำหวานบรรจุในขวดสเปรย์ เวลารับประทานจะใช้วิธีการฉีดพ่นเข้าปาก มาจำหน่ายให้กับเด็กนักเรียน ทาง อย. จึงรีบออกมาแจ้งให้ทราบว่า ผลิตภัณฑ์ประเภท “น้ำหวานในขวดสเปรย์” ไม่มีการอนุญาตให้ผลิตหรือนำเข้า และเตือนให้เด็กๆ อย่าซื้อมารับประทานเป็นอันขาด อย. ได้ประสานต่อไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรี พบว่า เลขเอกสารบนฉลากอาหารดังกล่าวเป็นผลิตภัณฑ์น้ำดื่ม ไม่ใช้ของหวานในขวดสเปรย์ นอกจากนี้ยังไม่พบข้อมูลผู้ผลิตและผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าว อย. ฝากให้สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดช่วยตรวจตาและเฝ้าระวังการผลิต นำเข้า ทั้งผลิตภัณฑ์แคนดี้ ไซรับ และผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัยและอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค 29 มิ.ย. 52เลิกบุหรี่อาจถึงตาย! อย่าใช้ “นิโคตินเจล”กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ออกโรงเตือนผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ ว่าอย่าซื้อ “นิโคตินเจล” มาใช้เด็ดขาด เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้รับการรับรองจาก อย. ผู้ที่ใช้อาจได้รับอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต การพิสูจน์ทางการแพทย์ระบุว่า การใช้นิโคตินทดแทนมีประโยชน์และมีประสิทธิภาพสูงในการเลิกบุหรี่ ซึ่งในต่างประเทศมีอยู่ด้วยกัน 6 วิธี คือ หมากฝรั่งเคี้ยวนิโคติน, แผ่นปิดผิวหนังนิโคติน, นิโคตินชนิดสูบพ่นทางปาก, นิโคตินชนิดสเปรย์พ่นจมูก, ยาอมนิโคติน และนิโคตินชนิดเม็ดอมใต้ลิ้น แต่สำหรับในเมืองไทยได้มีการขึ้นทะเบียนไว้เพียง 3 รูปแบบ คือ หมากฝรั่งเคี้ยวนิโคติน, แผ่นปิดผิวหนังนิโคติน และยาอมนิโคติน โดยผลิตภัณฑ์เพื่อการเลิกบุหรี่เหล่านี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป แต่ต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรเสียก่อน สำหรับ “นิโคตินเจล” ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียน เนื่องจากยังต้องตรวจสอบเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยจาก อย. เพราะการใช้ยานิโคตินทดแทนที่ไม่ได้มาตรฐานอาจส่งผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น หัวใจเต้นแรง และทำให้แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้หายช้า ผู้ที่มีประวัติการป่วยเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง และผู้เป็นโรคแผลในทางเดินอาหาร ต้องพิจารณาให้ดีในการใช้ยานิโคตินเพื่อเลิกบุหรี่ ใครที่ต้องการเลิกบุหรี่และอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติม โทร.ไปได้ที่ “สายด่วนเลิกบุหรี่ 1600” 29 มิ.ย. 52ห้ามหักเงินในบัญชีใช้หนี้บัตรเครดิตนายนิโรธ เจริญประกอบ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เผยว่า สคบ.เตรียมออกประกาศห้ามไม่ให้ธนาคารพาณิชย์หักบัญชีเงินฝากของผู้บริโภคเพื่อนำมาชำระหนี้บัตรเครดิต หากยังเป็นกรณีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือยังไม่มี ข้อยุติใดๆ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย สคบ.เนื่องจากธุรกิจบัตรเครดิตเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา ทั้งนี้ สคบ.ได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคเป็นจำนวนมากว่า ได้รับความเดือดร้อนจากกรณีที่ธนาคารพาณิชย์หักเงินในบัญชีของผู้ฝากเงินเพื่อชำระหนี้ตามสัญญาบัตรเครดิตโดยไม่ได้แจ้งให้ทราบ ทำให้ผู้บริโภคไม่ได้รับความเป็นธรรม “การที่สถาบันการเงินกำหนดข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตไว้ในสัญญาและกำหนดให้ผู้ถือบัตรทำหนังสือยินยอมให้ธนาคารมีอำนาจหักเงินจากบัญชีเงินฝากที่ผู้ถือบัตรมีอยู่กับธนาคารมาชำระหนี้บัตรเครดิตในทันที ถือเป็นข้อสัญญาที่มีผลให้คู่สัญญาต้องรับภาระเกินกว่าที่บุคคลธรรมดาจะสามารถคาดหมายได้ตามปกติ เพราะการไม่ชำระหนี้บัตรเครดิตอาจเกิดได้หลายกรณี โดยที่เจ้าของบัตรไม่มีเจตนาหรือจงใจ เช่น กรณีบัตรสูญหาย บัตรถูกลักขโมย ซึ่งยังไม่ได้พิสูจน์ความรับผิด นอกจากนี้ สคบ.ยังเห็นว่าเป็นการใช้ข้อสัญญาที่เลี่ยงกระบวนการยุติธรรมโดยไม่ไปใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลเพื่อพิสูจน์ความผิดให้เสร็จสิ้นเสียก่อน” เทสโก้ แพ้คดีเรียก 1000 ล้าน ศาลอาญาสั่งยกฟ้องคดีที่ เทสโก้ โลตัส ฟ้อง ว่าที่ร.อ.จิตร์ ศิรธรานนท์ อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในกรณีหมิ่นประมาททำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและรายได้ โดยทาง เทสโก้ โลตัส ได้เรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินถึงหนึ่งพันล้านบาท ซึ่งศาลสั่งยกฟ้องด้วยเหตุผลว่าการติชมเป็นการทำหน้าที่โดยสุจริตที่มาของการฟ้องร้องเกิดขึ้นเมื่อ ว่าที่ร.อ.จิตร์ ให้สัมภาษณ์ในหัวข้อข่าว “ค้ากำไรบนซากโชวห่วย เทสโก้สูบไทย 37% จากยอดขายทั่วโลก” ตีพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ “ผู้จัดการรายวัน” ฉบับวันที่ 1 ต.ค.50 โดยเนื้อข่าวระบุว่า เทสโก้ โลตัส ดูดเงินจากผู้บริโภคชาวไทยส่งกลับไปยังบริษัทแม่ที่อังกฤษหลายหมื่นล้าน ทำให้เทสโก้ฯไต่ทะยานขึ้นเป็นบริษัทร่ำรวยที่สุดอันดับ 4 ของโลก มียอดขายรวมทั่วโลก 79,978 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมาจากไทยมากถึง 37% สวนทางกับผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยของไทย ที่ล้มตายอย่างรวดเร็วเหลือรอดไม่ถึงครึ่ง โดยที่ต่อมา ทาง “ผู้จัดการรายวัน” ได้แก้ไขตัวเลขยอดรายได้ของเทสโก้ฯในไทย จาก 37% เป็น 3.7% ตามที่ผู้บริหารของเทสโก้ฯแจ้งมาในภายหลัง ซึ่งทาง เทสโก้ฯ ไม่ได้ฟ้องหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เป็นจำเลยในคดี แต่ได้ฟ้อง ว่าที่ร.อ.จิตร์ โดยเรียกค่าเสียหายพันล้านบาท และฟ้องคอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ คือนายกมล กมลตระกูล นักสิทธิมนุษยชน และนางนงนาถ ห่านวิไล บรรณาธิการน.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ เรียกค่าเสียหายรายละ100 ล้าน ซึ่งเผยแพร่เนื้อหาว่า เทสโก้ฯ ขยายกิจการจนส่งผลกระทบต่อร้านค้าปลีกรายย่อยในชุมชนล่มสลาย สำหรับคำพิพากษาของศาลอาญา สรุปได้ว่า วันที่ 16 มิ.ย. 52 ความอาญาระหว่างบริษัทเอก–ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด เป็นโจทก์ฟ้อง ว่าที่ร.อ.จิตร์ ศิรธรานนท์ เป็นจำเลยฐานความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ละเมิด เรียกค่าเสียหาย 1,000 ล้านบาท ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำบรรยายของว่าที่ร.อ.จิตร์ ที่พูดถึงปัญหาค้าปลีกในประเทศไทย มีฐานข้อมูล ในฐานะหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับจำเลยมาก่อน ส่วนเรื่องที่จำเลยกล่าวหาว่าโจทก์เลี่ยงภาษี เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งประชาชนสามารถทำได้ ส่วนคำพูดที่ว่า โจทก์ใช้เล่ห์เหลี่ยมในการขายสินค้าโดยวิธีต่ำกว่าทุน จึงมิใช่จำเลยกล่าวอย่างเลื่อนลอย ไม่มีมูลความจริง จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์ ส่วนที่โจทก์กล่าวว่า “โลตัสเปรต” เป็นเพียงการเรียกความสนใจของผู้ฟัง เป็นเพียงคำกล่าวที่ไม่สมควรตามวิสัยสันดานของแต่ละคน เป็นเพียงการใช้ถ้อยคำเกินเลยไป เมื่อฟังว่า คำบรรยายของจำเลยในงานสัมมนาไม่เป็นความผิด ในส่วนข้อความติชมนั้น ไม่ว่าจะให้สัมภาษณ์ในฐานะกรรมาธิการพาณิชย์ หรือไม่ก็ตาม จึงยังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยอ้างข้อมูลเท็จ อันจะทำให้ผู้อื่นเข้าใจโจทก์ผิด คดีของโจทก์จึงไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง ส่วนในคดีแพ่ง เมื่อจำเลยมิได้ทำผิดตามฟ้อง โจทก์จึงไม่เสียหาย การที่โจทก์ขอคิดค่าเสียหายโดยอ้างว่าทำให้ยอดขายสินค้าลดลงมา 1,000 ล้านบาทนั้น เป็นว่าส่อแสดงเจตนาเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริต พิพากษายกฟ้อง ยกเลิกบัตรทอง ใช้แค่บัตรประชาชน!นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ประกาศเตรียมยกเลิก “บัตรทอง” ทั่วประเทศปลายเดือน ก.ย. นี้ โดยจะเปลี่ยนมาใช้แค่บัตรประชาชนใบเดียวเพื่อความสะดวก โดยจะเริ่มจากการใช้รักษาในโรงพยาบาลตามสิทธิ พร้อมเตรียมให้ 8 จังหวัดนำร่องใช้บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกโรงพยาบาลในจังหวัด เพื่อศึกษาข้อดี-ข้อเสียก่อนปรับใช้ทั่วประเทศ “กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินโครงการในการใช้บัตรประจำตัวประชาชนแทนบัตรทองมาแล้ว 37 จังหวัดทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา ใน 13 จังหวัด และ 1 มิ.ย. อีก 24 จังหวัด และในเดือน ต.ค.นี้ จะนำร่องใน 8 จังหวัด ให้ใช้บัตรประชาชนใบเดียวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลใดก็ได้ภายในจังหวัดนั้นๆ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีสิทธิประกันตนที่ระบุในแต่ละโรงพยาบาล ซึ่งขณะนี้ได้ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ดูความพร้อมของแต่ละโรงพยาบาลและพิจารณางบประมาณ ก่อนดำเนินการใช้ให้ครอบคลุมทั่วประเทศต่อไป”

อ่านเพิ่มเติม >

คอลาเจน ช่วยให้เต่งตึงได้จริงหรือ

คอลาเจน ช่วยให้เต่งตึงได้จริงหรือโดย รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ สถาบันโภชนาการ  มหาวิทยาลัยมหิดล  อะไรคือสิ่งที่ผู้หญิงหลายคน (รวมทั้งชายบางประเภท) กลัวที่สุดแต่ก็ต้องพบ เพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้   คำตอบก็คือ ความเหี่ยวและแก่ ดังนั้นถ้ามีใครเอาอะไรก็ไม่รู้มาขาย แล้วบอกว่า สิ่งนี้ช่วยพิชิตความเหี่ยวและแก่ได้  สิ่งนั้นก็จะขายดี  ตัวอย่างที่เห็นชัดในสังคมไทยวันนี้คือ การโฆษณาขายคอลาเจน ดังเช่นที่ปรากฏในเว็บขายของทั้งไทยและเทศ สำหรับผู้เขียนแล้ว เวลาเห็นโฆษณาขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เรียกว่าคอลาเจนทีไร ผู้เขียนจะนึกถึงขาหมูพะโล้ที่เก็บในตู้เย็นทุกที ทั้งนี้เพราะขาหมูพะโล้ที่เก็บในตู้เย็นคืนหนึ่งแล้ว พอเปิดตู้เย็นดูจะเห็นส่วนที่เป็นน้ำขาหมูกลายเป็นเจลหยุ่นๆ ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์แล้ว ส่วนที่กล่าวถึงนั้นก็คือ คอลาเจนจากขาหมู คอลาเจนคืออะไร ในทางชีวเคมีแล้ว คอลาเจนคือโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งมีส่วนประกอบเป็นกรดอะมิโนชนิดที่ต่างจากโปรตีนอื่นๆ ของร่างกาย แต่ก็มีความสำคัญมากเพราะเป็นองค์ประกอบถึง 75 เปอร์เซ็นต์ของผิวหนัง โดยทำให้ผิวหนังแข็งแรง ดังนั้นโปรตีนทั้งหมดของร่างกายจึงมีองค์ประกอบเป็นคอลาเจนถึง 33 เปอร์เซ็นต์ ผู้เขียนขออธิบายให้ผู้ไม่เคยเรียนวิชาชีวเคมีมาก่อนทราบว่า โปรตีนที่เรากินนั้นต้องมีกรดอะมิโนอย่างน้อย 10 ชนิดที่ร่างกายเราสร้างไม่ได้ และจะไปผสมกับกรดอะมิโนอีก 10 ชนิดที่ร่างกายสร้างได้เอง จากนั้นจะมีกระบวนการที่เซลล์ของร่างกายนำกรดอะมิโนเหล่านี้มาต่อกันให้เป็น โปรตีนที่ร่างกายต้องการตามแต่ชนิดเซลล์ของแต่ละอวัยวะ ดังนั้นโปรตีนในร่างกายจึงมีลักษณะต่างกันตามลำดับของกรดอะมิโนต่าง ๆ สำหรับคอลาเจนนั้นเป็นโปรตีนที่มีลักษณะพิเศษ ทั้งองค์ประกอบและโครงสร้าง องค์ประกอบพิเศษคือ มีกรดอะมิโนที่ถูกปรับให้มีคุณสมบัติทางเคมีเปลี่ยนไป 2 ชนิด คือ จากกรดอะมิโนโพลีนและกรดอะมิโนไลซีน ถูกปรับไปเป็นกรดอะมิโนไฮดรอกซีโพลีนและกรดอะมิโนไฮดรอกซีไลซีน ส่วนกรดอะมิโนชนิดอื่นที่เป็นองค์ประกอบของคอลาเจนก็คือ กลัยซีน โพลีน และไลซีนนั้น เป็นกรดอะมิโนธรรมดา จึงทำให้สายของกรดอะมิโนที่ต่อกันเป็นโปรตีนคอลาเจนนั้นมีกรดอะมิโนหลัก เพียง 5 ชนิด จึงถูกจัดว่าเป็นโปรตีนไม่สมบูรณ์ และมีลักษณะโครงสร้างโมเลกุลเป็น เบต้าพลีตเต็ดชีท ซึ่งต่างกับโปรตีนทั่วไปที่เป็นอัลฟาเฮลลิก คอลาเจนที่ผิวหนังนั้นถูกสร้างจากเซลล์ไฟโบรบลาสท์ใต้ผิวหนัง ซึ่งในกระบวนการสร้างนั้นต้องมีไวตามินซีช่วย การขาดไวตามินซีจึงทำให้เกิดปัญหาที่ผิวหนัง รวมไปถึงเหงือก ซึ่งจะแสดงอาการมีเลือดออกตามไรฟัน คอลาเจนนั้นมีการสร้างทดแทนอยู่ตลอดเวลาที่ร่างกายแข็งแรง แต่กระบวนการสร้างนั้นก็จะน้อยลงเรื่อยๆ ไปตามวัย จนถึงจุดหนึ่งการสูญเสียคอลาเจนตามธรรมชาติเกิดมากกว่าการสร้าง ความเหี่ยวก็จะมาเยือน ข้อมูลเรื่องนี้ดูได้จากเว็บโฆษณาต่างๆ  สาเหตุหลักของการสูญเสียคอลาเจนจากผิวหนังก็คือ โดนแสงอัลตร้าไวโอเล็ทหรือที่เรียกทั่วไปว่า แสงยูวี จึงควรป้องกันด้วยการไม่โดนแสงแดดจัด และกินอาหารที่มีสารป้องกันอนุมูลอิสระ เช่น พืชผักใบเขียว หรือผลไม้สีจัด มีข้อสังเกตว่า ผิวบริเวณที่ไม่โดนแดดเลยของคนไทย เช่น แก้มก้น คอลาเจนจะมีเหลืออยู่มาก ทำให้บริเวณนี้เป็นบริเวณผิวหนังที่ดูสวยที่สุดของร่างกาย ข้อมูลที่ให้นี้ดูเป็นวิชาการมากทีเดียว ต่อไปก็จะเป็นข้อมูลกึ่งวิชาการบ้าง เพราะมักมีคำถามว่ากินคอลาเจนแล้วได้ประโยชน์อะไรในทางโภชนาการแล้ว คอลาเจนเป็นโปรตีนไม่สมบูรณ์ คือ ให้กรดอะมิโนไม่ครบตามที่ร่างกายต้องการ โดยทั่วไปแล้วโปรตีนเกือบทุกชนิดถูกย่อยด้วยระบบย่อยอาหารในทางเดินอาหารจน ได้กรดอะมิโนอิสระออกมา ซึ่งต้องมีครบทั้ง 20 ชนิด ส่วนคอลาเจนให้เพียง 5 ชนิด ดังนั้นการกินอาหารมีคอลาเจนนั้น จึงเป็นการกินเพื่อความบันเทิง มากกว่าจะเอาประโยชน์จริงจัง จะไม่ให้กล่าวว่าโปรตีนคอลาเจนให้ความบันเทิงในการกินได้อย่างไร ในเมื่อคอลาเจนเป็นองค์ประกอบของผิวหนัง กระดูก กระดูกอ่อน (Cartilage) เอ็น (tendons) และเนื้อเยื่อที่เกี่ยวกับการยึดเหนี่ยว (ligaments) เช่น เหงือกของสัตว์ชั้นสูง ดังนั้นเวลาเรากินลูกชิ้นเอ็น เราก็ได้เคี้ยวคอลาเจนสนุกปาก ส่วนในน้ำต้มขาหมู คอลาเจนจากกระดูกและเอ็นก็จะถูกความร้อนทำให้เปลี่ยนสภาพไป และสามารถอุ้มน้ำได้มาก เกิดสภาพที่เป็นเจลซึ่งเรียกว่า เจลาติน โดยเมื่อได้รับความร้อนก็จะละลายกลับสู่สภาพน้ำขาหมูพะโล้ ดังนั้นเวลาเห็นโฆษณาเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เป็นคอ ลาเจนแล้ว ผู้เขียนก็จะรู้สึกหดหู่ใจทุกครั้งว่า มนุษย์หนอมนุษย์ เมื่อไม่มีความรู้ ก็มักเป็นเหยื่อเหมือนหมูให้คนต้มได้ง่ายๆ การสร้างคอลาเจนของร่างกายเรา โดยเฉพาะที่ผิวหนังนั้น มีเพียงในช่วงอายุต้นๆ เมื่อแก่แดดแก่ลมไป การสร้างก็จะน้อยลงเรื่อยๆ คราวนี้ก็เป็นเรื่องของบุญกรรม ถ้าทำกรรมมาก คือ ใช้ร่างกายอย่างทารุณ ไม่รู้จักถนอม คอลาเจนก็ถูกทำลายหายไปจากผิวหนัง ผลตามมาก็คือ ความเหี่ยว ดังนั้นเครื่องสำอางหลายชนิดจึงโฆษณาว่าสามารถลดความเหี่ยว หรือพลิกกลับผิวหนังให้เต่งตึงได้ ซึ่งไม่จริง ทั้งนี้เพราะคอลาเจนนั้นเมื่อทำเป็นเครื่องสำอางทาหน้า ก็มีคุณสมบัติคล้ายเจล (เพ็คติน) ในแตงกวา คือ ช่วยดูดน้ำทำให้ผิวชุ่มชื้นตราบที่มันยังติดบนผิว ที่สำคัญคือผู้เขียนไม่เชื่อว่าคอลาเจนจะซึมเข้าสู่ผิวได้ เพราะผิวหนังเราทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันอันตรายของร่างกาย ถ้าขืนให้อะไรต่ออะไรซึมได้ โอกาสเกิดอันตรายก็จะมากขึ้น แล้วถ้ากินคอลาเจนเข้าไป ร่างกายเราสามารถดูดซึมได้ไหม คำตอบคือ ไม่มีทาง แม้แต่ในเว็บที่ขายสินค้าดังกล่าวก็ยังบอกว่าไม่ได้ ผู้บริโภคจำนวนมากมักเชื่อคนขายสินค้าที่ถูกสอนมาให้พูดว่า คอลาเจนที่กินเข้าไปนั้นจะไปเสริมแทนที่คอลาเจนที่สูญสลายไปจากผิวหนัง ในทางวิชาการ คำพูดลักษณะนี้ถือว่าผิด เพราะ ประการที่หนึ่ง คอลาเจนต้องถูกย่อยออกเป็นกรดอะมิโนอิสระก่อนถูกดูดซึม ซึ่งก็ไม่มีอะไรวิเศษนัก เพียงแต่เราได้ไฮดรอกซีโพลีนและไฮดรอกซีไลซีน ซึ่งนำไปสร้างคอลาเจนได้เลย ทั้งที่ความจริงเราสามารถสร้างกรดอะมิโนทั้งสองได้เอง คุ้มไหมกับสิ่งที่ได้ในราคาที่แพงกว่ากินเนื้อสัตว์ธรรมดา  ประการที่สอง ถ้าร่างกายไม่สามารถสร้างคอลาเจนได้อีกแล้ว เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ กรดอะมิโนทั้งสองที่ได้จากคอลาเจนที่กินเข้าไป ก็เกือบเปล่าประโยชน์ เว้นเฉพาะบางส่วนของผิวหนัง เช่นที่เล็บ อาจมีการนำเอาคอลาเจนไปช่วยสร้างเล็บให้สวยได้ และในคนวัยหนุ่มสาวที่ชอบการเพาะกาย คอลาเจนก็จะช่วยได้บ้าง รวมถึงพวกนักมวยปล้ำที่เป็นแผลแตก ก็จะหายได้เร็ว ส่วนพวกหัวงูที่ชอบปล้ำเหมือนกัน คอลาเจนคงไม่ช่วยอะไร

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 122 เจ็นนิสตีน ดาบสองคม ???? ตอนที่ 2

  ในฉบับที่แล้วผู้เขียนได้เกริ่นเรื่องของเจ็นนิสตีนในถั่วเหลืองว่าอาจก่อปัญหาได้ถ้ากินไม่เป็น และได้หยุดประเด็นไว้เพราะต้องการให้ท่านผู้อ่านทำความรู้จักกับสารในกลุ่มฮอร์โมนเอสโตรเจนเสียก่อน เพื่อไปสรุปตอนท้ายว่า ตกลงเจ็นนิสตีนมีปัญหาแล้วผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองจะมีปัญหาหรือไม่  เอสโตรเจนในร่างกายสตรีนั้น เมื่อมีการไปจับตรงบริเวณตัวรับฮอร์โมนบนเซลล์ เซลล์นั้นจะทำการเพิ่มขนาดทุกอย่าง รอเพียงคำสั่งอีกนิดเดียว ก็อาจมีการแบ่งเซลล์ได้ หรือทำหน้าที่ผลิตน้ำนมถ้าเป็นเซลล์ต่อมน้ำนม (mammalian gland cell)  อย่างที่ว่ารอคำสั่งอีกนิดเดียว คำสั่งที่จะบอกให้เซลล์ต่อมน้ำนมเริ่มพัฒนาเพื่อทำการผลิตน้ำนมคือ การฝังตัวของตัวอ่อนในมดลูก ซึ่งแสดงว่าเกิดการตั้งครรภ์แล้ว ร่างกายต้องเตรียมตัวผลิตน้ำนม ดังนั้นต่อมน้ำนมจึงต้องทำตัวให้พร้อมเหมือนการขยายโรงงานผลิตนมนั้นเอง การขยายตัวแบบนี้ถือว่าปรกติ  ปรกติแล้วเมื่อสตรีมีการตกไข่ในแต่ละเดือน เอสโตรเจนในร่างกายจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีเอสโตรเจนมาจับที่เซลล์ต่อมน้ำนมแล้วกระตุ้นให้เซลล์นี้เพิ่มขนาด เพื่อพัฒนาไปสร้างน้ำนม ในกรณีเจ้าของร่างกายเป็นสาวทั้งแท่งในลักษณะดอกไม้ไกลมือชายนั้น การเตรียมตัวนี้อาจนำไปสู่การแบ่งเซลล์แบบไม่ตั้งใจ ซึ่งถือว่าผิดกฎ กติกาและมารยาทอย่างแรง จึงทำให้ส่วนใหญ่ลงท้ายด้วยการเป็นมะเร็ง  อีกกรณีหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจคือ มีการศึกษาพบว่า สตรีที่เคยแท้งลูก ไม่ว่าด้วยความเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม มักมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมสูงขึ้นกว่าสตรีที่ไม่เคยแท้งลูก จึงมีความเข้าใจกันว่าเป็น เพราะเซลล์ต่อมน้ำนมนั้นได้พัฒนาเพื่อผลิตน้ำนมแล้ว แต่บังเอิญการตั้งครรภ์หยุดไปก่อน เซลล์นั้นจึงงง ทำอะไรไม่ถูกจนถึงขั้นทำการแบ่งตัวเสียให้รู้แล้วรู้รอดกลายเป็นมะเร็งไปเลย สิ่งที่ทำให้คิดขณะนี้ก็คือ สตรีผู้ไปใช้บริการสุสานเก็บเด็กที่วัดไผ่เงินทั้ง 2002 คนนั้น ป่านนี้ปรกติสุขดีอยู่หรือ   เจ็นนิสตีนกับมะเร็งเต้านม   ผู้เขียนได้เขียนถึงเรื่องของเอสโตรเจนและผลของการจับระหว่างเอสโตรเจนต่อบริเวณรับที่อยู่บนผนังเซลล์ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจภาพว่า ขณะที่เกิดการจับตัวกันนั้น เอสโตรเจนจะส่งสัญญาณทำให้เซลล์ต่อมน้ำนมขยายตัวและเข้าใจว่ามีการอุ้มน้ำจึงเกิดอาการเจ็บคัดหน้าอกของสตรี อีกทั้งเอสโตรเจนนั้นมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการบีบตัวของมดลูกด้วย จึงทำให้สตรีบางคนที่มีประจำเดือนเกิดอาการปวดท้องเกร็งอย่างแรง บางคนถึงกับเป็นลม ดังนั้นถ้ามีสารใดสารหนึ่งสามารถเข้าไปจับตัวกับบริเวณรับของเอสโตรเจนบนผนังเซลล์ที่หน้าอกและมดลูก และสารนั้นไม่ออกฤทธิ์ใด ๆ หรือออกฤทธิ์แต่น้อย ความเจ็บปวดทรมานในช่วงเวลามีประจำเดือนก็จะลดลง  ในความเป็นจริงแล้วสารที่สามารถจับกับบริเวณรับของเอสโตรเจนได้ก็ควรมีลักษณะโครงสร้างทางเคมีที่คล้ายเอสโตรเจน ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์สุขภาพเราทราบกันดีว่า เจ็นนิสตีน ที่อยู่ในถั่วเหลืองนั้นมีฤทธิ์เป็นเอสโตรเจนจึงเรียกว่า ไฟโตเอสโตรเจน (phytoestrogen) แต่เจ็นนิสตีนออกฤทธิ์เป็นเอสโตรเจนที่มีฤทธิ์ต่ำกว่ามาก ดังนั้นเมื่อสตรีใดบริโภคผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองเข้าไปก่อนเริ่มมีประจำเดือนสัก 2-3 วัน เพื่อให้เจ็นนีสตีนได้เข้าไปแย่งจับบริเวณรับของเอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้นในช่วงมีประจำเดือนแล้ว อาการคัดเต้านมและปวดมดลูกก็ควรลดลง  เจ็นนิสตีนนี้มีประวัติที่ยาวนานพอควร นอกจากข้อมูลการลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมแล้วก็ยังมีข้อมูลที่กล่าวว่า สามารถป้องกันการเป็นซ้ำ (recurrent) ของมะเร็งเต้านมได้อีก โดยอาศัยคุณสมบัติของสารนี้ในการตัดท่อน้ำเลี้ยงของเซลล์มะเร็ง  เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า เซลล์มะเร็งนั้นเมื่อเกิดขึ้นหรือหลุดจากอวัยวะหนึ่งไปเกาะติดที่อีกอวัยวะหนึ่ง จะต้องมีการสร้างเส้นเลือดฝอยจากเส้นเลือดแดงไปหล่อเลี้ยงเซลล์มะเร็ง การทั้งนี้ไม่ใช่เป็นความเต็มใจของร่างกายที่จงใจจะสร้างท่อน้ำเลี้ยงให้เซลล์มะเร็งเป็นกรณีพิเศษ แต่เกิดขึ้นเนื่องจากเซลล์มะเร็งส่งสารจำเพาะ ที่สามารถไปกระตุ้นให้เส้นเลือดใหญ่เคลิบเคลิ้มสร้างเส้นเลือดฝอยเพื่อส่งอาหารไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งเป็นกรณีเฉพาะ เรื่องนี้มีการพิสูจน์โดยการฝังเซลล์มะเร็งในสัตว์ทดลอง ทิ้งไว้ระยะหนึ่ง ก็พบว่ามีเส้นเลือดฝอยมากมายไปหล่อเลี้ยงเซลล์มะเร็ง ดังนั้นในหลักการที่จะป้องกันการเกิดซ้ำหรือการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งแล้ว ประการหนึ่งคือ  การใช้สารเคมีทั้งสังเคราะห์ หรือธรรมชาติไปทำลายท่อน้ำเลี้ยงเซลล์มะเร็ง มะเร็งก็จะฝ่อไป หลักการดังกล่าวนี้เป็นทฤษฎีที่ตั้งขึ้นโดย Dr. Judah Folkman ซึ่งเป็นแพทย์นักวิจัยของโรงพยาบาลเด็ก คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาดในบอสตัน สหรัฐอเมริกา ซึ่งเจ็นนิสตินก็เป็นสารไอโซเฟลโวนชนิดหนึ่งที่มีผู้ศึกษาพบว่ามีคุณสมบัติในการตัดท่อน้ำเลี้ยงเซลล์มะเร็งด้วยเช่นกัน  จากคุณสมบัติที่เจ็นนิสตีนสามารถตัดท่อน้ำเลี้ยงของเซลล์มะเร็งได้ ทำให้ผู้เขียนมีจินตนาการต่อไปว่า ถ้างั้นเจ็นนิสตีนจะมีผลต่อตัวอ่อนในมดลูกของสาว ๆ หรือไม่ ทั้งนี้เพราะสมัยเรียนวิชา histology อาจารย์ที่สอนได้พูดเป็นเชิงว่า “Fetus acts as a big tumor.” แปลเป็นไทยคือ ตัวอ่อนในท้องแม่นั้นทำตัวเป็นเนื้องอกก้อนเบ้อเริ่มเลย  เหตุผลที่อาจารย์ให้ไว้คือ เวลาท้องนั้นตัวอ่อนจะดูดสารอาหารทุกอย่างที่ต้องกันจากแม่ไปสู่ตัวเองโดยผ่านทางรก ซึ่งในรกนั้นจะมีเส้นเลือดมากมายที่ลำเลียงทั้งน้ำ อาหารและอากาศ ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้ผู้เขียนจินตนาการว่า เจ็นนิสตีนจะมีผลกับระบบเส้นเลือดในรกที่มาเลี้ยงตัวอ่อนหรือไม่ เพราะถ้าตัวอ่อนเปรียบเหมือนก้อนเนื้องอกแล้ว เส้นเลือดที่มาเลี้ยงตัวอ่อนก็น่าจะอ่อนไหวต่อการทำงานของเจ็นนิสตีนในการยับยั้งการส่งสารอาหาร น้ำและออกซิเจน คล้ายการที่เจ็นนิสตีนยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกหรือมะเร็ง  จินตนาการดังกล่าวของผู้เขียนดูเหมือนจะมีความหมายพอควร เมื่อนักศึกษาของผู้เขียนนำบทความวิชาการเกี่ยวกับผลของเจ็นนิสตีนต่อการสุกของไข่ การปฏิสนธิ และการพัฒนาของตัวอ่อนในหนูเม้าส์มาเม้าท์กันในการสัมนาวิชาการ ดังที่อ้างถึงในฉลาดซื้อฉบับที่แล้ว ในบทความดังกล่าว ผู้วิจัยได้พบว่า สารเจ็นนิสตีนในขนาดที่ค่อนข้างสูงเมื่อผสมน้ำให้หนูกินนานติดต่อกัน 4 วัน ส่งผลให้ไข่ของหนูที่แยกออกมาจาหนูไปเลี้ยงในหลอดทดลองสุกช้าไปจากที่ควรเป็น การผสมของไข่นั้นกับสเปิร์ม (ในหลอดทดลอง) และการเจริญของตัวอ่อน (ที่ได้จากการผสมในหลอดทดลอง) ซึ่งถูกย้ายไปฝังตัวในหนูแม่เลี้ยงก็ช้าไปจากเดิม นอกจากนี้ตัวอ่อนที่เกิดก็มีน้ำหนักที่น้อยจากที่ควรเป็น และสุดท้ายนักวิจัยได้กล่าวสรุปเป็นเชิงว่า เจ็นนิสตีน เป็นปัจจัยที่ก่อปัญหาให้กับตัวอ่อนในท้องแม่   ท่านผู้อ่านต้องตั้งหลักในการคิดให้ดีว่า การศึกษาที่ยกเป็นตัวอย่างนั้นเป็นการใช้สารเจ็นนิสตีนบริสุทธิ์ ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง และมีการศึกษาซึ่งส่วนใหญ่เป็นนอกร่างกายหนูคือ ใช้หลอดทดลองค่อนข้างเยอะ ดังนั้นการแปลผลโดยตรงจากเจ็นนิสตีนถึงผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองนั้นคงเป็นไปไม่ง่ายนัก เพราะคงไม่มีใครกินผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองจนได้เจ็นนิสตีนในปริมาณสูง ที่ได้กล่าวนี้เพื่อไม่ให้ท่านผู้อ่านตื่นตระหนก ถ้าบังเอิญไปพบข้อความที่มีการนำงานวิจัยนี้บางส่วนไปโพสต์บนอินเตอร์เน็ท แล้วกล่าวว่าการกินถั่วเหลืองทำให้มีลูกยาก สิ่งที่ควรสังเกตในงานวิจัยนี้คือ การได้รับเจ็นนิสตินบริสุทธิ์เช่นในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งมีวางขายในต่างประเทศแล้วนั้น อาจส่งผลไม่พึงปรารถนาต่อสตรีที่เตรียมพร้อมจะตั้งครรภ์แล้วบังเอิญกินสารนี้อยู่ในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่คงไม่ถึงกับบอกผู้บริโภคให้ยุติการกินผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองซึ่งว่าไปมีประโยชน์ในการต้านมะเร็งบางชนิดได้ ซึ่งข้อมูลเหล่าทำให้ผู้เขียนขอให้ท่านผู้อ่านย้อนกลับไปอ่านตอนต้นของบทความในฉลาดซื้อฉบับที่แล้วในเรื่อง ความเหมาะสมของการดำรงชีวิตที่อยู่ในทางสายกลาง เพื่อเป็นข้อสรุปของบทความในฉลาดซื้อชุดที่เกี่ยวกับเจ็นนิสตินนี้  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 121 เจ็นนิสตีน ดาบสองคม ???? ตอนที่ 1

  เวลาผู้เขียนสอนหรือไปบรรยายนอกสถานที่เรื่องเกี่ยวกับอาหารต้านมะเร็ง หรืออาหารที่ลดความเสี่ยงของมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม อาหารที่มักจะถูกยกขึ้นเป็นตัวอย่างในประเด็นนี้คือ ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง ทั้งนี้เพราะมีข้อมูลการศึกษาทางระบาดวิทยาว่า อัตราความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของสตรีเนื่องจากมะเร็งเต้านมในเอเชียนั้นต่ำกว่าสตรีชาวตะวันตกมาก เนื่องจากสตรีเอเชียมีการบริโภคถั่วเหลืองในปริมาณที่สูงกว่า  นักวิทยาศาสตร์ตะวันตกได้เริ่มศึกษาในระดับลึกว่า สารเคมีธรรมชาติอะไรที่มีประโยชน์ในการลดความเสี่ยงของมะเร็งที่อยู่ในถั่วเหลือง สุดท้ายก็มีการลงความเห็นว่า เจ็นนิสตีน (Genistein) คือสารเคมีที่เป็นความหวังในการลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านม (โดยมี Daidzein และ Glycitein เป็นสารที่มีผลเช่นกัน แต่จะไม่กล่าวถึงในที่นี้) และก็เป็นอย่างที่มักเป็นในแบบของชาวตะวันตกคือ อะไรที่คิดว่า “ดี” ก็ต้องกินมันให้มากๆ จะได้ดีมากๆ โดยไม่คำนึงว่า มีชายในอดีตคนหนึ่งเคยกล่าวเป็นเชิงว่า “สารเคมีในโลกนี้เป็นได้ทั้งสารพิษและยา โดยที่ขนาดของสารที่ใช้เท่านั้นถึงจะบอกว่าสารนั้นจะเป็นอะไรกันแน่”  ถ้าผู้เขียนจะบอกว่าชายคนดังกล่าวชื่อ  Philippus Aureolus Theophrastus Bombastus von Hohenheim ซึ่งเกิดในเมือง Einsiedeln ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1493 และตายวันที่ 24 กันยายน ปี ค.ศ. 1541 ในเมือง Salzburg ประเทศออสเตรีย ข้อมูลดังกล่าวนี้ร้อยทั้งร้อยคนก็นึกไม่ออกว่าเป็น ใคร สำคัญอย่างไร แต่ถ้าบอกว่าชายดังกล่าวมีสมญานามว่า Paracelsus ทุกคนที่เรียนในสาขาพิษวิทยาต้องร้องอ๋อ เพราะชายผู้นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น บิดาของพิษวิทยาสมัยใหม่  ในความเป็นจริงแล้วยังมีชายอีกคนหนึ่งที่ได้ค้นพบหลักการสำคัญของชีวิตประมาณเดียวกันกับที่ Paracelsus ได้กล่าวไว้คือ ทางสายกลาง ซึ่งแนะนำว่าไม่ควรทำกิจอะไรในชีวิตมากไปหรือน้อยไป ควรทำกิจนั้นแต่พอดี ซึ่งจะทำให้มนุษย์เป็นสุข การค้นพบนี้พบมานานถึง 2554 ปี บวกกับอีก 45 ปี (ซึ่งเป็นช่วงที่ชายผู้ยิ่งใหญ่นั้นอายุ 35 ปี) ท่านผู้อ่านคงนึกออกว่าชายผู้นี้คือ พระพุทธเจ้า  เหล่าพุทธศาสนิกชนได้น้อมนำเอาคำกล่าวของพระพุทธเจ้ามาเป็นเครื่องช่วยในการกำหนดการดำเนินชีวิต ซึ่งควรรวมถึงการบริโภคเจนนิสตีนเพื่อป้องกันโรคมะเร็งเต้านมด้วย  เหตุที่ผู้เขียนกล่าวเช่นนี้เพราะในวิชาสัมมนาของนักศึกษาที่ผู้เขียนดูแลที่สถาบันโภชนาการนั้น นักศึกษาผู้หนึ่งได้นำเอาบทความผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่สอดคล้องกับแนวทางคำกล่าวของพระพุทธเจ้าและ Paracelsus ว่า อะไรที่บริโภคมากไปอาจก่อปัญหาสุขภาพได้ บทความนั้นชื่อ Impact of genistein on maturation of mouse oocytes, fertilization, and fetal development ซึ่งกล่าวเป็นภาษาไทยง่าย ๆ ว่า ผลของเจ็นนิสตีนต่อการสุกของไข่ การปฏิสนธิ และการพัฒนาของตัวอ่อนในหนูเม้าส์ งานวิจัยนี้เป็นของ Wen-Hsiung Chan ตีพิมพ์ในวารสาร Reproductive Toxicology ชุดที่ 28 หน้า 52–58 ในปี 2009 นี้เอง บทความดังกล่าวนั้นมีข้อมูลอย่างไร ขอพักไว้ก่อน เพราะผู้เขียนคิดว่า น่าจะเล่าเรื่องความสำคัญของเจ็นนิสตีนให้ท่านเข้าใจพื้นฐานว่า สารนี้มีประโยชน์เมื่อกินเป็น แต่เกิดโทษได้เมื่อกินไม่เป็นเสียก่อน   เจ็นนิสตีน คืออะไรและสำคัญอย่างไร ในชั้นเรียนที่ผู้เขียนสอนถึงเรื่อง อาหารกับมะเร็งนั้น ในขั้นต้นของการสอนผู้เขียนมักตั้งประเด็นถามนักศึกษาหญิงก่อนว่า ใครบ้างเคยมีประสบการณ์ปวดมดลูกและเต้านมระหว่างการมีประจำเดือน และถ้าอยากบรรเทาอาการนี้ ขอแนะนำให้เพิ่มปริมาณการบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารที่มีถั่วเหลืองเป็นองค์ประกอบมากขึ้นจากเดิม โดยเริ่มในช่วงก่อนมีรอบเดือนสัก 2-3 วัน ผลตอบรับค่อนข้างดีว่า ลูกศิษย์ของผู้เขียนมีปัญหาการปวดช่วงมีรอบเดือนมีอาการลดลงหรือหายปวดไปเลย หลักการในการแก้ปัญหาดังกล่าวนั้นมีพื้นฐานว่า ถั่วเหลืองเป็นพืชชนิดหนึ่งที่เป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่มีสารเคมีธรรมชาติชื่อ เจ็นนิสตีน ในปริมาณสูง นอกจากนี้ยังพบว่ามีในพืชชนิดอื่นซึ่งคนไทยอาจไม่ได้บริโภคคือ lupin, fava beans, kudzu, และ psoralea เจ็นนิสตีนนั้นเป็นสารธรรมชาติที่จัดอยู่ในประเภทที่เรียกว่า ไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ว่า เป็นสารที่ออกฤทธิ์ได้ในลักษณะเดียวกับเอสโตรเจนธรรมชาติที่มีมากในสตรีและ(ควรจะ) เล็กน้อยในบุรุษ ก่อนจะอธิบายว่า เจ็นนิสตีนออกฤทธิ์เหมือนเอสโตรเจนนั้นเป็นอย่างไร และเจ็นนิสตีนออกฤทธิ์มากกว่าหรือน้อยกว่าเอสโตรเจนธรรมชาติ ท่านผู้อ่านบางท่านโดยเฉพาะท่านชายควรทราบว่า ธรรมดาแล้วเอสโตรเจนในตัวมนุษย์หรือสัตว์ชั้นสูงนั้นเป็นฮอร์โมนเพศ ซึ่งควบคุมการแสดงลักษณะประจำของเพศหญิง ที่แน่ๆ คือทำให้เพศหญิงมีประจำเดือนและหน้าอก ดังนั้นจึงไม่ประหลาดที่จะกล่าวว่า ถ้าผู้ชายกินฮอร์โมนนี้มากหน่อย หน้าอกก็จะออกมาคล้ายของหญิงฮอร์โมนนี้ถ้าบังเอิญมีมากในเพศชาย ก็จะทำให้ชายผู้นั้นมีความละเอียดในการปฏิบัติตนคล้ายหญิง แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นกระเทยหรือมีความรู้สึกอยากข้ามเพศ ในทางตรงข้ามถ้าเพศหญิงมีน้อยไปหน่อย ก็จะทำให้เพศหญิงผู้นั้นออกห้าวได้คล้ายชาย และก็ไม่จำเป็นต้องข้ามเพศนะครับ เพียงแต่เป็นความหลากหลายเท่านั้น  พืชอาหารที่มีสารที่ออกฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจนอีกชนิดหนึ่ง คือ มะพร้าวอ่อน ดังมีข่าวเมื่อไม่กี่ปีมานี้ว่า... “อาจารย์ มอ.หาดใหญ่ วิจัยพบฮอร์โมนเอสโตรเจนในน้ำมะพร้าวอ่อน เตรียมพัฒนาเป็นอาหารเสริม เครื่องสำอาง และยาชะลออัลไซเมอร์ หวังช่วยหญิงวัยทองทั่วโลกที่มีโรคแทรกซ้อนหลังหมดประจำเดือน เร่งจดสิทธิบัตรให้เร็วที่สุดหวั่นซ้ำรอยต่างชาติตัดหน้าจดกวาวเครือ” แต่ไม่มีข้อมูลว่า สารที่ออกฤทธิ์นั้นชื่ออะไร เข้าใจว่าคงไม่ใช่เจ็นนิสตีน  เพราะเจ็นนิสตีนนั้นเป็นไฟโตเอสโตรเจนที่ออกฤทธิ์น้อยกว่าเอสโตรเจนธรรมชาติในสตรี แต่มีความสามารถในการจับตัวรับเอสโตรเจน (estrogen receptor) บนผนังเซลล์ต่อมน้ำนมดีกว่าเอสโตรเจนที่สตรีผลิตในช่วงเริ่มมีประจำเดือน ผลดังกล่าวนี้จึงช่วยให้ความปวดประจำเดือนลดลงได้ เอสโตรเจนนั้นจัดเป็นสารสเตียรอยด์ (steroid) กลุ่มที่เรียกว่า อะนาบอลิกเสตียรอยด์ (anabolic steroid) โดยที่คำว่าอะนาบอลิกนั้นเป็นศัพท์ที่มีความหมายว่า “มีการสร้างขึ้น” ซึ่งตรงข้ามกับคำว่า คะตาบอลิก (catabolic) ที่หมายถึงมีการ “ทำให้สลายไป” ดังนั้นเอสโตรเจนจึงมีผลทำให้อะไรต่ออะไรมันใหญ่ขึ้น ซึ่งในความหมายทางชีววิทยาแล้ว เอสโตรเจนมีความสามารถในการกระตุ้นให้เซลล์ที่มันเข้าจับกับบริเวณรับบนเซลล์นั้นเตรียมแบ่งตัว หรือถ้าหมดสภาวะจะแบ่งตัวแล้วก็สามารถทำให้เซลล์ขยายตัวได้ ไม่นานมานี้เวลาเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ต้องการผลิตไก่ตอน จะใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติคล้ายเอสโตรเจนคือ Hexoestrol ฉีดฝังเข้าตัวไก่ ฮอร์โมนนี้จะไปควบคุมให้ไก่หมดสภาพความเป็นแมนไปทันที โดยจะมีลักษณะเนื้อแน่นเหมือนชายแต่นุ่มนิ่มแล้วโตเร็วเหมือนหญิงวัยเจริญพันธุ์ ส่งผลให้ข้าวมันไก่ตอนจานละห้าสิบบาทอร่อยกว่าข้าวมันไก่ต้มจานละยี่สิบบาท อย่างไรก็ดีปัจจุบันนี้ฮอร์โมนสังเคราะห์ Hexoestrol นี้ได้ถูกประกาศห้ามใช้โดยกรมปศุสัตว์แล้ว ดังนั้นการทำไก่ตอนจึงต้องทำโดยวิธีเดิมๆ คือ ตัดกล่องดวงใจไก่หรืออัณฑะทิ้งไป ไก่ก็จะขาดฮอร์โมนเพศชาย มีแต่ฮอร์โมนเพศหญิงที่แสดงอำนาจครอบงำให้เป็นไก่นะยะไปแทน แต่ไก่ตอนลักษณะนี้มักไม่ค่อยอร่อย จึงปรากฏว่า การทำไก่ตอนแบบทูอินวันคือ ทั้งตัดและฝังฮอร์โมนมีอยู่ทั่วไป ใครจะไปจับถ้าทำไม่ประเจิดประเจ้อ เพราะไม่ใช่ยาอีสักหน่อย  ผู้เขียนขอกั๊กเรื่องเจ็นนิสตีนไว้เพียงแค่นี้แล้วต่อฉบับหน้านะครับ  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 141 มาม่า - กระเจี๊ยบเขียว

โครงการรับจำนำข้าวคงต้องรอปิดดีลการขายแบบ G – to – G ของสิ้นปี 2555 จบ แล้วดูผลลัพท์เพื่อพิสูจน์ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์นี้จะสามารถเปลี่ยนกลไกการตลาดข้าวโลกเพื่อเพิ่มรายได้ของชาวนาตามมาตรฐานใหม่ที่ชาวนาควรมีรายได้เพิ่มขึ้นตามเงื่อนไขที่เปลี่ยนไปแล้วอย่างความเสี่ยงที่จะการเกิดภัยพิบัติ  ภาวการณ์ขาดแคลนพลังงาน และราคาปัจจัยการผลิต ที่มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นในโลกอนาคต  และหันมาเพิ่มรายได้ชาวนาเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายและสร้างการเงินหมุนวียนภายในประเทศได้มากน้อยเพียงไร ดีไปอย่างที่วิวาทะเกี่ยวกับโครงการจำนำนั้น   นอกจากจะทำคนไทยหันมาสนใจเรื่องของชาวนาอย่างกว้างขวาง  ตั้งแต่ชาวนาไทยที่แท้จริงรวยหรือจน?    รวมถึงข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาชาวนาที่ยั่งยืนมากขึ้นในรูปแบบอื่นๆ อย่างเช่นรัฐควรดูแลที่ดินทำกินของเกษตรกรให้ชาวนาเป็นผู้ถือครองมีกรรมสิทธิเป็นของตนเอง  การดูแลรายได้และการลดต้นทุนการผลิต ประเด็นแลกเปลี่ยนกันอย่างสุดฮิตใน FB  ก็คือ ความสามารถของชาวนาไทยในการแข่งขันผลิตข้าวขายในตลาดข้าวโลก โดยอิงตัวเลขจาก TDRI  โดยระบุว่า ไทยมีผลผลิต/ไร่ เป็นลำดับที่ 6  อัตรา 448 กก./ไร่   ต่ำกว่าลำดับที่ 1 เวียดนาม , อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ , มาเลเซีย ,  และลาว คือ  862.4 , 779.2 , 616 ,  592 , 588.8 กก./ไร่   แถมด้วยมีสารคดี “ASEAN Beyond 2015 : ข้าวเวียดนามชนะข้าวไทย”   ที่ Thai PBS ลงทุนเดินทางไปถ่ายทำและนำเสนอความยาวเกือบ 1 ชั่วโมง ฉายภาพให้เห็นโอกาสอันก้าวหน้าของอนาคตข้าวเวียดนาม พร้อมบรรยายว่ามีต้นทุนการผลิตเพียง 4,426 บาท/ไร่ แต่กำไรมากเป็น 4 เท่าของชาวนาไทย คือ 5,555 บาท และปีนี้ซื้อขายกันที่ตันละ 7,000 บ.  ซึ่ง อ.วิโรจน์ ณ ระนอง นักวิจัยของ TDRI เอง ได้ชี้ให้เห็นข้อมูลที่ผิดพลาดนี้ว่า หากชาวนาเวียดนามจะขายให้ได้กำไรอย่างที่บรรยายไว้ โดยอัตราผลผลิต/ไร่ที่ 800 กก./ไร่ ราคาที่ควรขายจริงน่าจะอยู่ที่ 12,500 บาท   ถ้าผลผลิต/ไร่ของไทยต่ำกว่าเกือบครึ่งหนึ่งราคาที่ชาวนาไทยจะอยู่รอดได้จริงควรเป็นเท่าไหร่ดี(ฮา) อันที่จริงเรื่องปริมาณผลผลิต/ไร่ ที่มากกว่า ก็ไม่ชัวร์ว่าจะเป็นตัวชี้วัดความสามารถในการแข่งขันในตลาดข้าวโลกได้   ตัวเลขที่หลายคนหยิบมาใช้นี้ไม่ได้บอกวิธีคิดที่แยกแยะความแตกต่างของชนิด/พันธุ์ข้าวที่ปลูกในแต่ละประเทศ   และลักษณะจำเพาะของตลาดที่ซื้อขายข้าวชนิดต่างๆ    ในกรณีของไทยอนุมานว่านำตัวเลขผลผลิต/ไร่ ของข้าวพื้นที่เพาะปลูกนาปรังในพื้นที่ชลประทานรวมกับนาปีเขตน้ำฝนรวมกันแล้วหาค่าเฉลี่ย  ขณะที่เวียดนามเองก็มีทั้งพื้นที่ปลูกข้าวอายุสั้น ต้นเตี้ย ผลผลิตสูงแต่ราคาต่ำ  และพื้นที่ปลูกข้าวคุณภาพดีรวมอยู่ด้วยเช่นกัน   นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องสภาพดินฟ้าอากาศที่เป็นเงื่อนไขสำคัญในการชี้วัดผลผลิตข้าวรวมทั้งประเทศในแต่ละปีว่าจะมีแค่พอกินหรือเหลือขาย ซึ่งเห็นได้ชัดเจนในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่มีอัตราผลผลิต/ไร่สูงกว่าไทยแต่ต้องนำเข้าข้าว  เป็นต้น ยิ่งกว่าขำก็คือ หลายคนห่วงว่าชาวนาไทยจะเปลี่ยนใจหันมาเพิ่มรอบการปลูกข้าวมากขึ้นด้วยการใช้พันธุ์ข้าวอายุสั้น แต่กลับเอาปริมาณผลผลิต/ไร่ของข้าวอายุสั้นที่มากกว่าในเวียดนามมาใช้    ข้อมูลภาคสนามที่ฉันได้จากชาวนาพบว่า ข้าวอายุสั้น 75 วัน หรือที่เรียกว่าข้าวซีพี แม้จะโตไวแต่เพราะผลผลิต/ไร่ต่ำ ไม่ได้น้ำหนัก และขายยากไม่น่าสนใจ  ชาวนาแถวบ้านยังเลือกปลูกข้าวอายุ 100 กว่าวันในนาปรังหนแรกช่วงต้นปี และรีบปลูกข้าวปรังหนที่ 2 ทันที ซึ่งบางรายยังสนใจที่จะปลูกข้าวพันธุ์เดียวกับปรังหนแรกเพราะน้ำหนักดี แต่บางรายปรับมาปลูกข้าว 90 วันแทนเพราะต้องการหนีให้ทันน้ำ ยังมีเรื่องขำขันในสารคดีนี้อีกไม่น้อย เช่น แหล่งข้าวหอมมะลิไทยในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือภาพที่ดูดีไปหมดของการมีอาชีพทำนาในเวียดนาม และประสิทธิภาพของรัฐในการส่งเสริมการลดต้นทุนชาวนา ที่ฉันได้แต่รำพึงในใจว่าถ้าดีและเก่งอย่างนั้นจริงๆ น่าจะส่งหน่วยงานส่งเสริมเกษตรของไทยไปฝึกงานอย่างจริงจังดูมั่ง แต่ก็ยังลังเลอยู่ว่า ชาวนารายที่มีที่นาถือครองเพียง 4 – 5,000 ตร.เมตร นั้นสามารถขายข้าวและผลผลิตในการทำเกษตรผสมผสานได้จริงๆ หรือ ก่อนคอลัมน์นี้จะเปลี่ยนสถานะจากคอลัมน์ how to cook ไปเป็น วิจารณ์หนัง/โฆษณา และกลายเป็นมาม่าทีวีไทยไปเสียก่อน เรามาทำอะไรง่ายๆ กินดีกว่า หลายวันก่อน คุณชาวนาเพื่อนของฉันที่สุพรรณ เอารูปกระเจี๊ยบเขียวและประชาสัมพันธ์ขายเมล็ดของมันใน FB  ฉันเลยทดลองทำกระเจี๊ยบเขียวอบกรอบกินดู ทั้งที่ไม่มีหม้ออบสุญญากาศ  ... แต่ยังไม่ได้ผลค่ะ รอสำเร็จเมื่อไหร่ค่อยเอามาแลกเปลี่ยนกันในคอลัมน์นี้ กระเจี๊ยบเขียว  ฝักรูปทรงยาวเรียวคล้ายนิ้วมือ(ยักษ์)แต่มี  5 - 10 เหลี่ยม เลยได้ชื่อว่า Okra หรือ Lady’s finger  พันธุ์ที่นิยมมากเพื่อนำไปแปรรูปและส่งออกไปชาวญี่ปุ่นของคือพันธุ์ 5 เหลี่ยม รูปฝักค่อนข้างตรง  ด้วยเพราะความนิยมในการปลูกส่งออกแล้วนี่แหละเราคนไทยจึงได้มีโอกาสกินกระเจี๊ยบเขียวเพิ่มมากขึ้นจากในอดีต  ซึ่งนิยามกินในรูปของการนำไปลวกจิ้มน้ำพริก เกือบ 20 ปีก่อน เพื่อนชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งแนะนำฉันต่อหน้าเพื่อนชาวเนเธอแลนด์ว่ากระเจี๊ยบเขียวกินสดได้และส่งเข้าปากเคี้ยวกรุบกรอบทันทีในแปลงผักอินทรีย์แห่งหนึ่งใน จ.สุพรรณบุรี   ฉันก็ลองดูบ้างและพบว่ามันกรอบอร่อยและมีเมือกน้อยกว่า    หลังจากนั้นมาฉันว่าฉันชอบกินกระเจี๊ยบสดมากกว่ากระเจี๊ยบลวกสุกจริงๆ ด้วย หลังรู้วิธีกินกระเจี๊ยบเขียวสดได้ไม่กี่ปี ฉันมีโอกาสได้ไปประชุมอะไรสักอย่างที่กัวลาลัมเปอร์ แต่เพราะต้องเดินทางราคาประหยัดกับเพื่อนหมู่มาก จึงมีโอกาสได้แวะพักที่นอนราคาถูกแถวปีนัง   และเจอร้านบะหมี่โต้รุ่งที่นั่นมีบริการหั่นผักชนิดต่างๆ ใส่ตะกร้า และบอกราคาขายที่คนซื้อต้องจ่ายเพิ่มหากต้องการเติมลงในบะหมี่  ซึ่งในตะกร้าเหล่านั้นนั้นมีทั้งเห็ดทอด เห็ดฟาง ต้นกระเทียมญี่ปุ่น บล็อกโคลี และกระเจี๊ยบเขียวหั่นท่อนรวมอยู่ด้วย   โกยซีหมี่กันดีกว่า เครื่องปรุง 1.บะหมี่เหลืองกวางตุ้งหรือบะหมี่เตี๊ยว  2.แฮม 1 ขีด  2.กระเจี๊ยบเขียวหั่นท่อน  2 ขีด 3.เห็ดหอมแห้งแช่น้ำ  3 – 4 ดอก 4.ต้นหอม  3 ต้น 5.กระเทียม  4 – 5 กลีบ  6.แป้งข้าวโพดหรือแป้งมัน  7.น้ำ  8.ซีอิ๊วขาว  9.น้ำตาล  10.จิ๊กโฉ่(ซอสเปรี้ยว) วิธีทำ ลวกเส้นบะหมี่ให้สุกแล้วพักไว้   จากนั้นเตรียมน้ำสำหรับราดเส้นหมี่ ซึ่งมีวิธีทำคล้ายราดหน้า   เริ่มที่เจียวกระเทียมให้หอมแล้วนำเห็ดหอมแห้งที่แช่น้ำและหั่นเป็นชิ้นแล้วลงไปผัดสักครู่ ตามด้วยแฮมหั่นเป็นเส้น  แล้วเติมฝักกระเจี๊ยบเขียวลงไปผัดต่อไปไวๆ เติมน้ำ ระหว่างนี้ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวและน้ำตาลตามชอบ รอจนกระทั่งน้ำเดือด ค่อยๆ เติมน้ำละลายแป้งข้าวโพดลงไป  เมื่อน้ำข้นได้ที่ก็ปิดเตา บางรายหากชอบมาม่า ก็ใช้แทนเส้นบะหมี่ได้ ทั้งแบบกรุบกรอบและแบบลวกล้างเค็มออก ก่อนตักโกยซีหมี่กระเจี๊ยบเขียวเข้าปาก  ฉันยังอดสงสัยไม่ได้ว่าปรากฏการณ์แล้งนานและกินพื้นที่กว้างขวางในสหรัฐอเมริกาปีนี้จะมีผลต่อราคาขนมปัง มาม่า บะหมี่ มักกะโรนี พลาสต้า  และบรรดาผลิตภัณฑ์จากข้าวสาลีหรือเปล่า???

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 131 เมนูกุ้งฝอย : ไข่เจียว กับ กุ้งฝอยคลุกกะปิ

  ตั้งแต่หัวน้ำเริ่มลดลงหลังวันลอยกระทง กุ้งฝอยโผล่โฉมมาให้เห็นแบบยกขบวนมามากหน้าหลายตาอยู่หลายหน ทั้งในตลาดสด ตลาดนัด ทั้งรูปแบบปรุงเป็นอาหารแล้วและแบบสดๆ จะเพราะความคุ้นชินกับฐานทรัพยากรอาหารตัวนี้ที่มีติดตัวมาตั้งแต่จำความได้ ทั้งในแง่เหยื่อของปลาที่วิ่งไปซื้อในตลาดแทนการขุดไส้เดือนดิน – แมงกะชอน   และเหยื่อของคนในรูปตำรับอาหารต่างๆ ก็ไม่รู้ ไม่แน่ใจ ...  แต่จู่ๆ วันหนึ่งพลันนึกถึงว่าตัวเองกำลังกลายเป็นกุ้งซะงั้น  ประเภทกุ้งฝอยน้ำจืดที่คุ้นที่สุดนั่นแหละ อ่านข่าวเร่งพัฒนาแก้มลิงตามโครงการพระราชดำริ กว่า 3,000 แห่ง รับมือภัยน้ำท่วมที่จะมาในอนาคต , อิทธิพลลานิญาปี 55  และ ระบบปลูกข้าวใหม่ 3 รูปแบบ ตามนโยบาย ก.เกษตร ที่ยังดันทุรังผลักดันที่ต่อเนื่องจากปีที่แล้วแม้จะมีชาวนาในจังหวัดอยุธยาเข้าร่วมต่ำกว่าเป้ามโหฬาร และยิ่งมีตัวเลขต่ำลงอีกเมื่อนับพื้นที่นาที่ชาวนาทำจริงตามโครงการ แล้วอดไปได้ที่จะขับรถออกไปดูเวิ้งน้ำที่ยังเนืองนองในทุ่งต่างๆ รอบตัวอำเภอ ทำให้ฉันครุ่นคิดไปเองอีกแล้วว่า มันจะลดลงทันต้นมกราคมปีหน้าแล้วชาวนาเริ่มไถหว่านกันตั้งแต่ต้นปีอย่างที่รายงานข่าวสั้นในวิทยุประกาศนโยบายของกรมชลประทานไหม? ไม่รู้ว่าข้อมูลข่าวที่ไหลอวลอยู่ในหัว หรือยาที่ฉันเพิ่งอัพเข้าไปก่อนขับรถมาถึงทุ่งลาดชะโด ออกฤทธิ์  ฉันจอดรถแล้วลง เดินเซแถดๆ ไปที่ริมถนน 4เลนส์เส้นใหญ่ที่ใครๆ ก็ต้องบอกขอบคุณบรรหารที่สร้างและยกมันขึ้นสูงอีก 1.5 เมตร หลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2549  เพราะมันเป็นเส้นทางเดียวที่คนในตลาดผักไห่ใช้เดินทางไปสุพรรณ และที่ใกล้เคียงที่น้ำยังไม่ท่วมได้  แต่นโยบายกระทรวงเกษตรนี่ทำเอาฉันอยากเปลี่ยนคนบริหารจัง รวงข้าวฟางลอยที่เพิ่งหว่านเมื่อพฤษภาคมเพิ่งอยู่ในช่วงน้ำนม ไม่รู้ว่าปีนี้ผลผลิตจะเป็นอย่างไร จะแย่กว่าปีที่แล้วที่ได้แค่ 2 ขีด/ไร่ ไหม?  และหากน้ำไม่ลดลงจนแห้งกลางเดือนมกราคม ชาวนาที่นี่คงได้เกี่ยวข้าวกลางน้ำกันอีกรอบหรือเปล่า?  ข่าวเรื่องน้ำท่วม โครงการแก้มลิง  ลานิญา ปัญหา กส.ยึดเงินชาวนาลูกหนี้ในโครงการจำนำข้าว และชาวนาสุพรรณกับชาวนาอยุธยาจะปิดถนนประท้วงเรื่องเงินชดเชยน้ำท่วมเมื่อวานนี้ที่ ถนนสาย 340 ช่วง อ.สาลี จะมีอิทธิพลต่อแผนการขยายพื้นที่นาปรังปี 55 อีกกว่า 100 ไร่ ในทุ่งแห่งนี้ที่ฉันรับรู้มาเมื่อช่วงตอนน้ำขึ้นขั้นพีคหรือเปล่าหนอ? ดงดอกผักบุ้งที่อยู่ในช่วงอุ้มลูกอุ้มดอกบานล้อลมแข่งกับดอกพงพลิ้วสวยไม่มีคำตอบให้ แต่แดดแรงๆ และลมเย็นกรรโชกทำให้ฉันเย็นใจ ผักบุ้งรอดมาช่วงฤดูกาลการจ้างฉีดพ่นยาฆ่าหญ้าในเดือนสิงหาคมมาได้ฉันใด ชีวิตคนปลูกข้าวก็คงอยู่ในครรลองเดียวกันกับเหล่าสิ่งชีวิตในทุ่งแห่งนี้ฉันนั้น อา... หรือว่ายาที่อัพมาเมื่อกี้มันหมดฤทธิ์อีกแล้ว ฉันถึงกลับมานึกว่าตัวเองเป็นกุ้งฝอยอีกครั้งเมื่อนึกว่าต้องกลับมาปั่นต้นฉบับ กุ้งฝอยสด 2 ขีด 25 บาท ถูกใส่กระชอนล้างน้ำที่ไหลจากก๊อกอย่างเหม่อๆ  แม้เลยกำหนดส่งต้นฉบับไป 1 วัน ฉันยังเย็นใจได้กับการนั่งตัดกรีกุ้ง และเฉือนเอาส่วนขี้ที่อยู่ในหัวออกไปทีละตัว ทีละตัว จนครบทุกตัวแล้วจับใส่กระชอนล้างน้ำอีกรอบ ตอกไข่ 2 ใบใส่ชาม ฝานมะนาว 1 ซีกลงชามนั้น จนสะดุ้งเฮือก ... มือที่พลาดไปถูกไอกรดกำจัดเชื้อราหลังทำความสะอาดบ้านที่บางบัวทองเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทำเอาฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้งจากฤทธิ์ยาที่เพิ่งอัพเข้าไปใหม่ ฉันพยายามตื่นฝืนฤทธิ์ยา  ตั้งใจตีไข่ในชาม  แล้ว ใส่หอมแดงซอย กุ้งฝอย 2 – 3 ช้อน และน้ำปลา  แล้วตั้งกระทะใส่น้ำมัน เจียวไข่ กุ้งฝอยหัวขาดที่เหลือ 3 ใน 5 ส่วน จากที่เตรียมไว้ เอามาผัดกับเครื่องปรุง คล้ายๆ กับเมนูที่คนใต้ใช้ผัดสะตอกับน้ำพริกก้นถ้วย แต่หลายวันมานี่ฉันกินแต่น้ำพริกแมงดากับปลาช่อนย่าง เลยต้องเตรียม กระเทียมบุบ-สับ 1 หัว พริกขี้หนูสวนบุบ 4- 5 เม็ด  กะปิดี 1 ช้อนชาละลายน้ำและใส่น้ำตาลทรายสัก 1 ช้อนชา ใบมะกรูด 2 ใบ หั่นเส้น  ถั่วพู 2 ฝัก   และมะนาวอีก 2 ชิ้นที่เหลือจากเจียวไข่ ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันจนน้ำมันร้อน ใส่กระเทียมบุบลงไปผัดจนเหลืองหอม ใส่กุ้งฝอยหัวขาดผัดจนแดงระเรื่อแล้วใส่น้ำละลายกะปิกับน้ำตาลทราย  ผัดต่ออีกนิดจะยกลงใส่ถั่วพูหั่นแฉลบและพริกขี้หนูบุบ  ปิดเตา ตักใส่จาน ... ว้า! น้ำแห้งไปหน่อย มีแต่เนื้อๆ ถ่ายรูปจัดฉาก ชิม และเตรียมส่งงาน  แต่ไม่วายแว้บ... ดู FB อีกที เม้นท์ตอบ พรรคเพื่อนในแคมเปญฝ่ามืออากง...  ฮากับการไล่ไปอยู่ตปท.ของท่านแม่ทัพ  ฯ นาทีนี้ฉันก็นึกว่าตัวเองย้ายไปอยู่ที่เกาหลีเหนือเป็นวูบๆ ตามแรงของยาที่อัพเข้าไป ... มั้ง   ...เพลินกะจะโม้ถึงรสอร่อยที่เพิ่งกินให้เพื่อนฟัง ใบหน้าใจดีของหัวหน้ากองบก.ฉลาดซื้อก็ลอยเข้าไปได้ก็รีบละมาก่อน เฮ่อ!... นี่ฉันจะต้องผวานึกว่าเป็นกุ้งที่กินไปเมื่อกี้อีกกี่ครั้ง กว่าจะหมดฤทธิ์ยา  สวัสดีปี2555

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 126 ปลาตะเพียนกรอบราดเต้าเจี้ยว

  ช่วงจะเข้าพรรษา มีฝนตกหนักใหญ่ๆ หลายครั้งกระจายอย่างทั่วถึงทั้งในบริเวณตลาดผักไห่ และหมู่บ้านรายรอบ  ชาวนาบ้านหนองน้ำใหญ่ในพื้นที่ศึกษาระยะสั้นเกี่ยวกับการปรับตัวของชาวนาข้าวฟางลอยของฉัน เปลี่ยนจากการสู้รบกับเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเมื่อฤดูปลูกข้าวนาปรังครั้งแรกมาเป็นการตั้งเครื่องสูบน้ำพญานาคเพื่อวิดน้ำออกจากนาปรังครั้งที่ 2 ของพวกเขาแทน ฝน ไม่ได้พาแต่ความเย็นชุ่มฉ่ำให้กับชาวนา เมื่อระบบการทำนาเปลี่ยนไปพึ่งน้ำคลองที่ควบคุมโดยชลประทาน หากแต่ฝนยังนำความกังวลใจมาตั้งแต่เริ่มหว่านข้าวลงนาว่าเมล็ดข้าวที่หว่านลงไปจะเน่าเสียหายเพราะน้ำฝนและฟ้าครึ้มไหม  ครั้นข้าวงอกโตขึ้นมาได้เป็นต้นกล้า ก็ต้องวิดน้ำออกไปให้ได้ระดับไปจนถึงช่วงข้าวตั้งท้องถึงออกรวง  หากฝนตกมากและถี่ ทั้งในบริเวณที่นาของตัวเองและและบริเวณจังหวัดที่อยู่ทางตอนเหนือของหมู่บ้านขึ้นไปมากๆ ชาวนาก็ต้องคอยลุ้นกันว่าน้ำจะถูกปล่อยลงคลองมาท่วมนาก่อนหรือหลังข้าวจะได้เกี่ยวหรือไม่  ถ้าทันเกี่ยวก็ดีไปและไปเปลี่ยนเรื่องลุ้นใหม่หลังได้ผลผลิตแทนเช่นราคาข้าว  หากแต่ไม่ทันและต้องเกี่ยวข้าวกลางน้ำทั้งที่รวงยังเขียว ก็คงหน้าซีดปากเหี่ยวและกัดฟันสู้กันใหม่ในการทำนารอบหน้า  รอบที่ต้องรออีกสัก 4 เดือนให้น้ำในนาลดลงไปอยู่ในคลองเสียก่อน  ฉันถามชาวนาหนองน้ำใหญ่หลายคนว่าช่วงหลังนาพวกเขาทำอะไร  ฉันเองก็คิดตามประสาว่าผืนนากว่า 2,000 ไร่ ที่น้ำท่วมตั้งแต่เดือนกันยายนไปจนถึงสิ้นปีแบบนี้ชาวนาน่าจะมีรายได้จากการจับปลา  แต่เปล่าเลย มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จับปลาหากินเป็นรายได้ มีเพียงบางรายที่หาปลาเองเพราะความชอบ แต่ส่วนใหญ่กับใช้วิธีการซื้อจากคนหาปลาในหมู่บ้าน หรือซื้อจากตลาดเสียมากกว่า  “หาปลาลำบาก ต้องอดทนมาก เราไม่มีความชำนาญ หาได้ก็ไม่คุ้มเวลา ซื้อเขาสะดวกกว่า” พี่จุก ชาวนาวัย 46 ปีบอก และเล่าให้ฟังว่าหลังนาปรังรอบ 2 ช่วงน้ำท่วม 4 เดือนนั้นเขาจะกลายเป็นพ่อค้าเร่ขายของเล่นเด็กตามตลาดนัด แม้จะต้องมีการลงทุนซื้อของและเร่ออกขาย ซึ่งมีรายได้ดีบ้างไม่ดีบ้าง เขาก็ว่ายังดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆ ส่วนในช่วงฤดูนาปรังทั้ง 2 ครั้ง หรือ 8 เดือนใน 1 ปี พี่จุกใช้วิธีเช่านาเพื่อนบ้านทำ และรับจ้างฉีดยาหว่านปุ๋ย และช่วยน้องสาวทำหูกระเป๋าให้กับโรงงานที่จ้างเหมาแบบราคาถูก ที่ตลาดนัดเช้าวันจันทร์  ฉันกวาดตามองหาชายคนจับปลาคนที่ฉันเคยซื้อปลาช่อนของเขาหลังจากพูดคุยสั้นๆ และขอถ่ายรูปไปเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน   แต่ 2 สัปดาห์แล้วสินะที่ฉันตามหานักจับปลามืออาชีพคนนั้นไม่เจอ เดินวนหารอบตลาดก็ไม่พบหรือว่าแม่ค้าปลาคนใดคนหนึ่งเป็นคนที่มาขายแทนแก วูบหนึ่งฉันนึกถึงเรื่องที่ตำรวจที่อยู่ในแฟลตตำรวจหน้าบ้านคุยกัน เรื่องการเพิ่งจับปรับคนจับปลาที่เอาลอบไปวางในคลองในช่วงฤดูหวงห้ามเพราะเป็นช่วงปลาตั้งท้องวางไข่ แล้วต้องสลัดความอยากรู้แบบฟุ้งซ่านทิ้งไปอย่างรวดเร็ว  อีกหลายวันถัดมา ฉันมานั่งอยู่ที่เถียงนาของพี่สุภาพ ชาวนาสุพรรณ วัย 49 ปี ที่ย้ายข้ามเขตมาเช่าที่นาแถว ต.หน้าโคก ทำนา  คุยกันหลายเรื่องตั้งแต่เพลี้ยกระโดดรุมทำลายนาเสียหาย  กับปริมาณผลผลิตที่จะเกี่ยวลดลงไปเพราะต้นข้าวล้มระเนนระนาด เนื่องจากลมฝนหอบใหญ่เมื่อวันก่อน  ไปยันเรื่องที่นาที่ลูกพี่ลูกน้องของแก ที่เคยเช่าทำถูกคนดูแลที่ดินไล่ที่ไม่ให้ทำนา โดยไม่จ่ายค่าชดเชยให้ทั้งๆ ที่มีสัญญาเช่าทำถึง 6 ปี และยังทำนาได้ไม่ครบปีตามสัญญา   สาเหตุเพราะเจ้าของนาที่เปลี่ยนมือไป ซื้อที่นาไว้เพื่อจะมาทำนาเอง  จนกระทั่งมาถึงคำถามที่ทำให้ฉันต้องอึ้งกับคำตอบของเธอที่พูดไปเรื่อยๆ ราวกับเหตุการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องปกติเต็มประดา “บ่อปลานี่นะเหรอ ก็ต้องจ่ายค่าเช่าบ่อด้วย จ่ายไม่น้อยเชียวนา  ไม่รวมกับค่าที่เช่านา วันก่อนจะจับปลาก็ต้องใช้หม้อไฟฟ้าช็อต เพราะมันลึกและเราลงไปจับไม่ได้  จ้างเขาก็ต้องจ่ายเยอะ แต่ไม่รู้มีใครไปแจ้งตำรวจ มันมาจับก็เลยเสียค่าปรับไป 3,000 กว่าบาท ...” เธอว่าพร้อมส่ายหัว ฉันได้แต่ยิ้มเนือยๆ ราวกับคำพูดคำถามที่เตรียมมามันกระโดดหายไปเสียแล้ว   เย็นแล้ว...กลับถึงบ้าน  แม่กำลังเตรียมผัดหมูสามชั้นกับเต้าเจี้ยวใส่ขิง 3 รส ราดปลาตะเพียนทอดกรอบ ฉันนั่งมองปลาแม่น้ำของชอบของฉันที่ราคาไม่แพงตัวนั้นถูกแม่หั่นเป็นบั้งถี่ๆ และทอดเสียจนกรอบจากน้ำมันปาล์ม ที่ตอนนี้ฉันเลิกสนใจไปแล้วว่าราคามันขวดละเท่าไหร่  หลังเสียง ฉ่า ฉ่า ของกระเทียมถูกทุบที่ผัดไวๆ ในกระทะน้ำมันร้อนจัด ก็มีกลิ่นหอมฟุ้งชวนหิวขึ้นมาแทนความคำนึงทั้งหมดที่แบกมาระหว่างขับรถกลับจากนามาสู่บ้าน กระเทียมเจียวเหลืองกรอบ กลิ่นมันหอมโดดเด่น สักพักก็มีเสียงฟู่แบบใหม่มาจากในกระทะ  ที่แม่หย่อนหมูสามชั้นหั่นชิ้นเล็กๆ ลงไปกลิ้งคลุกเคล้า พร้อมกับน้ำเต้าเจี้ยว น้ำมะขามเปียก และน้ำตาลปี๊บ   จากนั้นเสียง ฉ่า ฉ่า เปลี่ยนเป็นเสียงน้ำข้นๆ เดือดปุดๆ เพียงครู่เดียวแม่ก็ใส่ใบขึ้นฉ่ายหั่นท่อน  พริกสดหั่นแฉลบ และขิงซอยลงไปผัดพอสลด แล้วดับเตาไฟ ตักเครื่องราด 3 รส เปรี้ยว เค็ม หวานกลมกล่อมลิ้น ราดลงปลาตะเพียนตัวกรอบ   ถึงตอนนี้แล้ว ของโปรดของอร่อยมาวางอยู่ต่อหน้า เรื่องอื่นๆ ของคนอื่นๆ ก็คงต้องวางไว้ก่อนแล้วแหละนะ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 96 อบวุ้นเส้นเจ

เรื่องเรียงเคียงจานนก อยู่วนาromsuan@hotmail.com ก่อนวันปีใหม่ 1 วัน ลองไปเดินตลาดสดที่บางบัวทอง เห็นเผือกหอมในกระจาดน่ากินเลยคิดลองทำขนมเผือกดู เผื่อว่าจะทำไปพร้อมกันกับอบวุ้นเส้นเจ ไฟล์ความทรงจำเกี่ยวกับขนมเผือกในสมัยเด็กประถมยังใช้การได้ดี เพราะเครื่องปรุงและวิธีทำมันง่ายด้วย นอกจากเผือกหอมแล้วฉันเลยสั่งแป้งข้าวเจ้าและถั่วลิสงเม็ดใหญ่จากแม่ค้าด้วย ช่วงปลายปีที่เพิ่งผ่านมา ได้มีเวลาสะสางบ้านช่องที่มีแต่กองหนังสือและเอกสารสุมตามจุดต่างๆ ของบ้าน กำลังหมกหมุ่นอยู่กับการเก็บกวาดอยู่นั้น พี่แป้นโทรมาบอกว่า วันที่ 6 มกราคม (ก็ผ่านมาพอสมควรล่ะนะ) จะทำบุญขึ้นออฟฟิศใหม่ของพี่เอ พร้อมออร์เดอร์มาเรียบร้อยว่าอยากกิน “อบวุ้นเส้นเจ” ฉันรับปากไป ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยกิน ไม่เคยทำ ก่อนวันปีใหม่ 1 วัน ลองไปเดินตลาดสดที่บางบัวทอง เห็นเผือกหอมในกระจาดน่ากินเลยคิดลองทำขนมเผือกดู เผื่อว่าจะทำไปพร้อมกันกับอบวุ้นเส้นเจ ไฟล์ความทรงจำเกี่ยวกับขนมเผือกในสมัยเด็กประถมยังใช้การได้ดี เพราะเครื่องปรุงและวิธีทำมันง่ายด้วย นอกจากเผือกหอมแล้วฉันเลยสั่งแป้งข้าวเจ้าและถั่วลิสงเม็ดใหญ่จากแม่ค้าด้วย ขนมเผือกเครื่องปรุง เผือกหอมซอยเป็นเส้น 1 ถ้วย , แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย , ถั่วลิสงแช่น้ำ 24 ชั่วโมงแล้วนำไปต้มแค่พอสุก 3ส่วน4 ถ้วย , น้ำ 1 ถ้วย , เกลือ 1 ช้อนชา เครื่องปรุงน้ำจิ้ม ซอสดำรสหวาน ? ถ้วย , น้ำส้มสายชู 1 – 2 ช้อน , น้ำตาลทรายไม่ฟอกสี ครึ่ง ถ้วย , เกลือ นิดหน่อย , น้ำ ครึ่ง ถ้วย พริกชี้ฟ้าสดซอย 3 – 4 เม็ด วิธีทำ 1. ทำน้ำจิ้ม โดยผสมซอสดำ น้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลือ และน้ำ ตั้งไฟจนละลายดี ปรับรสตามที่ชอบ ออกเปรี้ยวหวานนำ เมื่อจะเสิรฟให้ใส่พริกชี้ฟ้าสดซอยลงไป2. เลือกภาชนะที่เหมาะสำหรับทนไฟ ใส่เผือกและถั่วลงไป3. ละลายแป้งกับน้ำลงในชามอีกใบจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเทน้ำแป้งลงในภาชนะ ในข้อ 24. นำไปนึ่งไฟปานกลางค่อนข้างแรง ประมาณ 20 – 25 นาที ลองใช้ส้อมจิ้มดูตรงกลาง ถ้าแห้งดีไม่มีน้ำแป้งเกาะส้อม ถือว่าสุกใช้ได้ 5. ตัดเป็นชิ้นๆ เสิรฟพร้อมน้ำจิ้มความที่ฉันขนซื้อเผือกมาเป็นกิโล ขนมเผือกเลยกลายเป็นขนมต้อนรับปีใหม่กับเพื่อนบ้าน และแม่แทนขนมเค้กไปโดยปริยาย และนอกจากขนมเผือกจะกินแบบนึ่งร้อนๆ แล้ว เอาไว้อังไฟใส่น้ำมันน้อยๆ ในกระทะเคลือบแบนๆ พอให้เหลืองและหอมก็อร่อยไปอีกแบบเช้าวันทำบุญ ดีที่ตัดสินใจทำแค่อบวุ้นเส้นเจอย่างเดียว ตั้งอกตั้งใจมากเป็นพิเศษเพราะเพิ่งทำครั้งแรก จนพลาดการถ่ายรูปขั้นตอนการทำมาฝาก แต่วิธีการปรุงอบวุ้นเส้นเจ ไม่ยากค่ะ มีรายละเอียดพอสมควร แต่ก็คุ้มกับรสชาติอร่อยๆ แบบเจๆ ดี   อบวุ้นเส้นเจเครื่องปรุง 1. ถั่วลิสงแช่น้ำ 24 ชั่วโมงแล้วต้มพอสุก 1 ถ้วย 2. ถั่วแดงเม็ดใหญ่ แช่น้ำ 24 ชั่วโมงแล้วต้มพอสุก 1 ถ้วย 3. เต้าหู้อ่อนขาว ปลอดจีเอ็มโอ 6 ก้อน 4. เห็ดหอมแห้ง แช่น้ำแล้วหั่นเป็นเส้นหยาบๆ 1 ถ้วย 5. กระเทียมไทยแกะกลีบสับ ครึ่ง ถ้วย 6. เผือกหั่นเป็นลูกเต๋าขนาด ครึ่งนิ้ว 1 ถ้วย 7. วุ้นเส้นไม่ฟอกสีขนาดซองกลาง 6 ถุง 8. ต้นหอม / คื่นฉ่าย หั่นเป็นท่อน 4 ถ้วย 9. หอมแดงไทยหัวเล็กสับหยาบ 1 ถ้วย 10. พริกไทยเม็ด บดหยาบๆ 11. น้ำมันพืชสำหรับทอดกระเทียม12. ซอสเห็ดหอม และซีอิ๊วขาว 30 – 40 เมล็ด วิธีการ1. แช่วุ้นเส้นในน้ำสะอาดจนนิ่มแล้วหั่นให้เป็นท่อนสั้นๆ เตรียมไว้ในชามอ่าง 2. ทอดเต้าหู้ขาวด้วยไฟอ่อนปานกลางจนเหลืองกรอบ ตักพักไว้ 3. เจียวกระเทียมในน้ำมันจนหอม ตักกระเทียมแยกออก แล้วใช้น้ำมันผัดเครื่องปรุง โดยใส่หอมสับ เห็ดหอมซอย ตามด้วย ถั่วลิสง ถั่วแดง เผือก ปรุงรสด้วยพริกไทยบด ซีอิ๊วให้พอมีรสเค็มอ่อนๆ ผัดแค่พอหอมดีแล้วยกลง 4. ผสมซอสเห็ดหอมกับซีอิ๊ว อย่างละประมาณ 1/3 ถ้วย ให้เข้ากันดี แล้วค่อยๆ ผสมลงในวุ้นเส้นที่เตรียมไว้ ระวังอย่าให้มีรสเค็มจัด5. ใช้กระทะใบใหญ่อีกใบเป็นภาชนะสำหรับอบ โดยเรียงคื่นฉ่ายและต้นหอมหั่นเป็นท่อนๆ ขนาด 1 นิ้วไว้ข้างล่าง แล้วใส่เต้าหู้ทอดกรอบ และเครื่องปรุงที่ผัดเตรียมไว้ จากนั้นใส่วุ้นเส้นที่คลุกซีอิ๊ว และโรยหน้าด้วยต้นหอม คื่นฉ่ายและกระเทียมเจียว 6. ปิดฝาอบด้วยไฟอ่อนประมาณ 20 นาที สังเกตดูเส้นใสดีแล้วยกลง อย่าอบนานเกินไปเพราะจะก้นกระทะจะไหม้ ออกจากบ้านแต่เช้ามืดนั่งรถแท็กซี่ไปพร้อมๆ กับลุ้นกับรถติดอยู่นาน เฮ้อ!.... ทันถวายอาหารเช้าพระท่านพอดิบพอดี อบวุ้นเส้นเจคราวนี้ลืมขิงไปอย่างหนึ่ง นึกได้ตอนก่อนผัดเครื่อง ใส่ขิงซอยบางๆ สัก 20 ชิ้น ก็คงจะดี แต่คราวนี้ไม่มีก็ไม่เป็นไร ดูจากที่แต่ละคนกินแล้วบอกอร่อยดี โดยไม่มีใครจับได้สักคน อิอิ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 186 ใช้คอลลาเจนพอกหน้าดีจริงหรือ

เมื่อเราต้องการผ่อนคลายผิวหน้าหรือเติมความชุ่มชื้นให้มากขึ้น สาวๆ หลายคนเลือกการมาสก์ (Mask) หรือพอกหน้ามาเป็นตัวช่วย อย่างไรก็ตามปัจจุบันผลิตภัณฑ์ประเภทนี้มีหลายยี่ห้อ ทำให้ผู้ผลิตหลายรายแข่งขันกันด้วยการโฆษณาส่วนผสมที่อ้างว่าช่วยให้ผิวหน้าดีขึ้นได้มากกว่า ซึ่งแน่นอนว่าคอลลาเจนเป็นหนึ่งในสารสกัดสำคัญที่มักถูกนำมาประกอบการขาย แต่เราสามารถมั่นใจได้หรือว่าคอลลาเจนมีประโยชน์ในการพอกหน้าจริงๆมารู้จักการพอกหน้ากันสักนิดผลิตภัณฑ์สำหรับใช้มาสก์หรือพอกหน้าถือเป็นเครื่องสำอางประเภทหนึ่ง ซึ่งมีไว้เพื่อความสะอาดหรือความสวยงาม โดยสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น ครีม เจล หรือมาสก์หน้ากาก ทั้งนี้ภายหลังการพอกหน้าผู้ใช้ส่วนใหญ่จะพบว่าผิวหนังมีความชุ่มชื้นหรือเปล่งปลั่งขึ้น นั่นเพราะส่วนใหญ่ส่วนประกอบหลักในผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มักผสมสารให้ความชุ่มชื้นหรือช่วยดึงสิ่งสกปรกออกจากรูขุมขม ซึ่งทำให้รูขุมขุมกระชับขึ้น อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะอยู่ชั่วคราวและไม่สามารถรักษาหรือแก้ไขริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นในชั้นผิวหนังแท้ได้ เนื่องจากการพอกหน้าสามารถส่งผลต่อเซลล์ผิวหนังชั้นนอกสุดเท่านั้น ใช้คอลลาเจนพอกหน้าดีกว่าจริงหรือคอลลาเจนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งในร่างกายของเรา ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมความยืดหยุ่น เชื่อมเซลล์ต่างๆ ไว้ด้วยกันและมีความสามารถในการอุ้มน้ำของผิวหนัง อย่างไรก็ตามจะเสื่อมสภาพไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้ที่ผ่านมามีการนำคอลลาเจนมาผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยมักโฆษณาสรรพคุณว่า ช่วยให้ผิวเด้งเต่งตึงอ่อนเยาว์หรือขาวใสขึ้นได้ ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการพอกหน้า อย่างไรก็ตามด้วยคุณสมบัติของคอลลาเจน ที่เป็นเพียงโปรตีนชนิดหนึ่ง และคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการพอกหน้า ที่มีไว้เพื่อให้ความสะอาดหรือความสวยงาม เช่น ผิวชุ่มชื้นเพียงครั้งคราวนั้น จึงไม่สามารถซึมผ่านผิวหนัง เพื่อช่วยเปลี่ยนแปลงความเสื่อมของผิวหน้า เช่น ทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้นได้ แต่หากเราพบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวทำให้ผิวขาวใสขึ้นได้จริงก็ควรระวังไว้ก่อนว่า อาจผสมสารห้ามใช้อย่าง สารปรอท หรือไฮโดรควินิน เพราะที่ผ่านมากรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เคยตรวจพบสารดังกล่าว ในครีมพอกหน้าที่จำหน่ายผ่านทางอินเทอร์เน็ตมาแล้วแนะนำวิธีเลือกซื้อมาสก์แม้ผลิตภัณฑ์สำหรับใช้มาสก์หรือพอกหน้าจะมีหลายยี่ห้อ แต่วิธีเบื้องต้นในการเลือกซื้อให้ปลอดภัยต่อผิวหน้ามีดังนี้1. ควรเลือกซื้อจากร้านค้าที่มีหลักแหล่งแน่นอนเชื่อถือได้2. ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากภาษาไทย โดยให้มีรายละเอียดดังนี้ - ประเภทหรือชนิดของเครื่องสำอาง - ชื่อการค้าและชื่อเครื่องสำอาง (ต้องมีขนาดใหญ่กว่าข้อความอื่น) - ชื่อสารทุกชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสม เรียงลำดับจากสารที่มีปริมาณมากไปสารที่มีปริมาณน้อย - วิธีใช้ / คำเตือน - ชื่อที่ตั้งของผู้ผลิต- ปริมาณสุทธิ - เลขที่แสดงครั้งที่ผลิตเครื่องสำอาง เดือน/ปีที่ผลิต หรือเดือน/ปีที่หมดอายุ 3. ต้องมีเลขที่ใบรับแจ้งเป็นตัวเลข 10 หลัก4. ควรหยุดใช้หากเกิดอาการแพ้ ผื่นคันและรีบไปพบแพทย์ 5. โดยทั่วไปสามารถเลือกใช้มาสก์แบบใดก็ได้ เพราะจุดประสงค์หลักคือการทำความสะอาด และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า แต่หากต้องการให้เหมาะสมกับสภาพผิวก็สามารถทำได้ เช่น หากมีผิวมันก็ควรเลือกใช้มาสก์ที่มีลักษณะเป็นวัสดุดูดซับ เช่น ดิน หรือโคลน เพราะสามารถช่วยดูดซับสิ่งสกปรกหรือขี้ไคลให้หลุดออกมาด้วย หรือสำหรับผู้ที่มีผิวปกติไปจนถึงผิวแห้ง ควรเลือกมาสก์ที่เป็นลักษณะเจล เพราะมาสก์เจลจะมีส่วนผสมของกาวยาง (gum tragacanth) เมื่อทาแล้ว เจลจะไม่แข็งตัว จะช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้นข้อมูลอ้างอิง: http://pr.moph.go.th/iprg/include/admin_hotnew/show_hotnew.php?idHot_new=56712      

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 129 ปิโตรเลียม เจลลี

  ฉบับนี้ อ.พิมลพรรณ ฝากขออภัยแฟนๆ นะคะ เนื่องจากอาจารย์ไม่สะดวกจริงๆ ทางกองบรรณาธิการ จึงขอนำเสนอเรื่องสวยๆ งามๆ แทน เรื่องที่ขอเสนอคราวนี้เป็นเรื่องของปิโตรเลียม เจลลี(Petroleum Jelly) ค่ะ งงๆ ใช่ไหมคะ แต่ถ้าเรียกว่า วาสลีน(Vaseline)  ล่ะก็ คงร้องอ๋อกันใช่ไหม ปิโตรเลียมเจลลี นั้นเป็นชื่อสามัญ ซึ่งไม่ฮิตติดตลาดเท่าชื่อเจ้าของดั้งเดิมต้นตำรับ คือ วาสลีน ทำไมถึงเลือกเขียนเรื่องนี้ มันก็เป็นเหตุจากช่วงชุลมุนวุ่นวายเก็บของหนีน้ำท่วมและแพ็กถุงยังชีพส่วนตัว ซึ่งขอแนะนำว่าควรเลือกพกปิโตรเลียม เจลลี 1 กระปุกไว้ในถุงด้วย เพราะอะไรเหรอคะ ก็เพราะว่ามันเป็น เครื่องสำอางอเนกประสงค์มากๆ ค่ะ   ประโยชน์ของปิโตรเลียม เจลลี ปิโตรเลียม เจลลี ถูกค้นพบจากกระบวนการขุดเจาะน้ำมัน เรียกว่าเป็นผลพลอยได้ที่ล้ำค่าไม่แพ้น้ำมันเลยค่ะ และด้วยคุณสมบัติที่ว่ามาจากน้ำมันข้อนี้ ทำให้เราสามารถใช้ปิโตรเลียม เจลลี ทดแทนโลชั่นเพื่อปกป้องผิวไม่ให้แห้งกร้านได้เป็นอย่างดี นอกจากช่วยถนอมผิวแล้ว ยังใช้ล้างเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมันได้ดีอีกด้วย เรียกว่า ทดแทนครีมล้างเครื่องสำอางได้เลย และสำหรับคนที่มีริมฝีปากแห้ง ปิโตรเลียม เจลลี ช่วยทำหน้าที่แทนลิปมันได้เลย บางคนว่าโบกที่ริมฝีปากหนาๆ ก่อนนอนช่วยให้ริมฝีปากนุ่มชุ่มชื้นไปทั้งวัน เมื่อใช้กับปากได้ กับมือหรือเท้าที่หยาบกร้านเนื่องจากการทำงาน ทาปิโตรเลียม เจลลีก็ช่วยทำให้ผิวกลับมานุ่มนวลขึ้นได้เช่นกัน   สารพัดประโยชน์ยามผจญน้ำท่วม 1.แก้อาการแสบร้อนจากแดดเผา กรณีต้องตากแดดแรงๆ ลุยน้ำท่วม แล้วมีอาการแสบร้อนผิว  ทาหนาๆ หน่อย บริเวณผิวที่โดนแดดโดนลมทำร้าย จะช่วยบรรเทาอาการ ปวดแสบปวดร้อน ได้ 2. แก้ผิวแตกจากลมหนาว บางพื้นที่นอกจากภัยน้ำแล้ว ยังเจอภัยหนาวด้วย ทาผิวที่แห้งแตกจากลมหนาวด้วยปิโตรเลียม เจลลี จะช่วยบรรเทาอาการคันยิบๆ ได้ แล้วผิวก็ไม่แห้งเป็นขุยด้วย 3. ป้องกันน้ำกัดเท้า ถ้าต้องออกไปลุยน้ำท่วมแบบเลี่ยงไม่ได้ ให้ทาบริเวณซอกนิ้วเท้าให้หนาๆ ไว้ จะช่วยให้ผิวบริเวณดังกล่าวไม่ถูกน้ำแทรกซึมทำร้ายเอาได้ง่ายๆ เป็นการป้องกันน้ำกัดเท้าได้อีกวิธีหนึ่ง 4. ห้ามเลือด อันนี้สำหรับกรณีฉุกเฉิน เราสามารถใช้ปิโตรเลียม เจลลี ห้ามเลือดกรณีบาดแผลไม่ลึกมากได้ เป็นเทคนิคที่เรียนรู้มาจากเวทีมวยอีกที แต่เมื่อเลือดหยุดแล้วต้องรีบล้างแผลทำความสะอาดนะคะ เห็นไหมล่ะ ว่าพกไว้เพียง 1 กระปุก เจ้าปิโตรเลียม เจลลี ที่มีหน้าตาเป็นน้ำมันใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่นนี้ สามารถช่วยเราได้เยอะเชียว และราคาต้องบอกว่า ถูกมากๆ เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่คุณสมบัติใกล้กัน ปัจจุบันมีให้เลือกหลายยี่ห้อนะคะ ไม่จำเป็นต้องซื้อในชื่อ วาสลีน เท่านั้น อ้อ...ข้อเสียอย่างเดียวของปิโตรเลียม เจลลี ก็คือ ความเหนียวเหนอะหนะ ซึ่งบางคนไม่ชอบเอาเลย แต่จริงๆ แล้วมันเป็นคุณสมบัติมากกว่าโทษสมบัตินะคะ โดยเฉพาะกรณีที่ปกป้องผิวจากการสูญเสียน้ำ ปิโตรเลียม เจลลีเขาจะเคลือบและแทรกซึมเข้าระหว่างเซลล์ผิวได้ดี ทำให้สามารถป้องกันการสูญเสียน้ำผ่านออกจากผิวหนังได้ถึง 99% แต่เพราะความเหนียว ถ้าไม่ชอบจริงๆ ก็ควรใช้เฉพาะในบริเวณที่แตกแห้งพิเศษ เช่น บริเวณริมฝีปาก ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ผื่นผิวหนังที่หนาๆ  ผิวแตกแห้ง จะได้ไม่รู้สึกเหนอะหนะเกินไป

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 176 ออกซิเจนไม่ได้มีไว้แค่หายใจ (แต่มีไว้ให้เสียสตางค์ด้วย)

ผมได้รับโทรศัพท์สอบถามจากผู้บริโภครายหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า เขาได้รับการชักชวนจากเพื่อนสนิทซึ่งเป็นสมาชิกเครือข่ายขายตรงแห่งหนึ่ง แนะนำผลิตภัณฑ์เสริมออกซิเจน(เป็นของเหลวใส่ขวดประมาณ 30 มิลลิลิตร) ให้เขาลองนำไปรับประทาน  แต่ไม่ได้ให้ลองฟรีนะครับ ค่าลองครั้งนี้ราคา 2,500 บาท  โดยเพื่อนที่ขายให้เขาอ้างว่าผลิตภัณฑ์เสริมออกซิเจนนี้ จะสามารถเติมออกซิเจนให้กับร่างกายได้  หากรับประทานประจำแล้วจะไม่เป็นโรคมะเร็ง(เจ้าของแบรนด์เป็นบุคลากรทางการแพทย์นำเข้ามาจากอเมริกา) ผู้บริโภคท่านนี้เห็นท่าไม่น่าเป็นไปได้ (แต่ดันเสียเงินไปแล้ว) จึงโทรศัพท์มาสอบถาม ผมเข้าไปสืบค้นข้อมูลของผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ในอินเตอร์เน็ต โดยเริ่มจากเว็ปไซต์ของบริษัทที่จำหน่าย พบว่าเป็นบริษัทขายตรงแห่งหนึ่ง มีผลิตภัณฑ์หลายชนิดจำหน่าย รวมทั้งผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ด้วย เมื่ออ่านรายละเอียดก็บรรยายสรรพคุณไม่มาก บอกว่าช่วยในการเติมออกซิเจนให้ร่างกาย พร้อมเติมเต็มสารอาหาร 129 ชนิดที่ร่างกายต้องการ  เพราะการรับประทานอาหารในแต่ละวัน อาจได้สารอาหารไม่ครบ วิธีรับประทาน  ให้หยดผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ จำนวน 8 หยดลงในน้ำหรือน้ำผลไม้หนึ่งแก้ว ดื่มวันละ 2 – 3 ครั้ง ดูไปแล้วก็ไม่ได้โฆษณาสรรพคุณมหัศจรรย์ อย่างที่ผู้บริโภคสอบถามแต่เมื่อผมลองไปค้นข้อมูลในแหล่งต่างๆ ในอินเตอร์เน็ต กลับพบว่าผลิตภัณฑ์เสริมออกซิเจนชนิดนี้ มีการโฆษณาในที่อื่นๆ อีกมาก และโฆษณาอย่างเกินจริงมากกว่าในเว็บของบริษัทด้วยซ้ำ  เช่น บอกว่าเป็นการเพิ่มออกซิเจนให้ร่างกาย ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ทำให้เลือดมีสภาวะปกติ เหมาะมากสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดและโรคหัวใจ ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด โดยอ้างว่าเมื่อร่างกายมีออกซิเจนมากขึ้นก็จะแข็งแรงมากขึ้น  ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ชนิดนี้คือ  สารละลายแร่ธาตุ 27% กรดอะมิโน 8%  น้ำส้มสายชู หมักจากข้าว 6%  สารสกัดจากจมูกข้าวสาลี 4% มีการระบุเลข อย.ชัดเจน ซึ่งแสดงว่ามันเป็นอาหาร แต่ก็โอ้อวด บรรยายสรรพคุณซะเข้าข่ายยา แถมเป็นยาผีบอกที่ไม่มีหลักฐานอะไรพิสูจน์ด้วยซ้ำ อย่างนี้ก็ผิดกฎหมายแน่นอน ในยุคที่โลกเชื่อมโยงกันด้วยอินเตอร์เน็ต โอกาสที่ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายจะถึงตัวผู้บริโภคได้เร็วขึ้น ผู้บริโภค อย่าเพิ่งผลีผลามเชื่อข้อมูลที่เห็น  ให้ยึดหลวงพ่อเอ๊ะไว้ก่อน “เอ๊ะ!จริงหรือ?” , “เอ๊ะ!เป็นไปได้หรือ?”, “เอ๊ะ!หลอกฉันหรือ?”  หลังจากนั้นสติมันจะมา  แล้วรีบใช้ประโยชน์จากอินเตอร์เน็ตสืบค้นข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ต่อไปเลย และถ้าเจอพิรุธก็รีบใช้อินเตอร์เน็ตร้องทุกข์ไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาโดยด่วน อย.เขาให้ร้องทุกข์ได้ฟรีครับ ไม่ต้องเสียสตางค์ 2,500 บาทแบบผลิตภัณฑ์เสริมออกซิเจนด้วยครับ  ส่วนใครอยากได้ออกซิเจนเยอะๆ ขอแนะนำให้สูดหายใจเข้าให้ลึกๆ แค่นี้ก็ได้ออกซิเจนเต็มปอดครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 163 ผลลัพธ์สุดท้าย “กินเจ” = กินอย่างมีคุณภาพ

เดือนนี้ขอเกาะติดกระแส เทศกาล “กินเจ” ช่วงเวลาที่ธงสีเหลืองแต้มด้วยข้อความสีแดง เห็นคำว่า “เจ” ชัดเจน และไม่ว่าท่านผู้บริโภคจะเดินไปย่านไหนก็จะเจอแต่อาหารที่โรยด้วยผักสีสันน่ารับประทาน ปราศจากเนื้อสัตว์หลากหลายเมนูทยอยออกมาวางขาย ทุกปีเราจะเห็นคนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง กินเจ บรรยากาศตามท้องถนนจึงคึกคักไปด้วยผู้ประกอบการขายอาหารเจ ตั้งแต่ร้านริมทางจนถึงห้างสรรพสินค้า ต่างก็งัดเมนูมาให้ผู้บริโภคได้เลือก ยิ่งในปีนี้จะมีเทศกาลกินเจ 2 รอบ เป็นครั้งแรกในรอบ 132 ปี คนจีนเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า “หยุ่ง ง้วย” หรือมีเดือน 9 จำนวน 2 ครั้ง กล่าวคือ รอบแรกเริ่มวันที่ 24 กันยายน-2 ตุลาคม และอีกรอบตามศรัทธา วันที่ 24 ตุลาคม-1 พฤศจิกายน รวม 18 วัน อย่างไรก็ตามจากผลสำรวจเมีอปี 2556 พบว่า คนไทยทานเจในช่วงเทศกาลเจสูงขึ้นและมีการใช้จ่ายเพื่อซื้ออาหาร เพิ่มมากกว่า 10% โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ มีค่าใช้จ่ายราวๆ 3.2 พันล้านบาท   โดยหากคิดค่าใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่มต่อคนจะเฉลี่ยอยู่ที่ 200 บาทต่อคนต่อวัน ซึ่งคาดว่าในปี 2557 นี้ มูลค่าการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลเจจะมีถึงประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 6.2% เท่ากับค่าเฉลี่ยในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ยิ่งทราบข้อมูลผู้บริโภคหันมากินเจ ละเนื้อสัตว์มากขึ้นอย่างนี้แล้ว ก็อดดีใจไม่ได้ แต่นอกจากผักที่มีอยู่ในจานหลักของอาหารเจแล้ว สิ่งที่ผู้บริโภคต้องคำนึงที่สุด คือ สุขภาพ เพราะในจานยังอุดมไปด้วย แป้ง , ไขมัน และเกลือ  หากยิ่งกินไปมากๆ การกินเจที่เราคิดว่ากินผักดีไม่มีเนื้อสัตว์ ก็อาจส่งผลข้างเคียงให้กับร่างกายได้เช่นกัน เพราะเนื่องจาก แป้งและไขมัน ถ้ารับประทานไปเกินความพอดีของร่างกาย ก็จะทำให้โรคร้ายถามหา..!! อาทิ โรคอ้วน โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด เร็วๆ นี้ก็มีคนรู้จักสนิทสนมกันมานานของผมต้องป่วยด้วยโรคไขมันอุดตัน  ยังมีโรคเบาหวาน หรือโรคอัลไซเมอร์ ที่ไม่เห็นผลของโรคใน 5 ปี 10 ปี แต่พอเราสูงวัยมากขึ้นจะปรากฏให้เห็นเด่นชัด  ดังนั้นจึงอยากจะแนะนำวิธี “กินเจให้อิ่มใจ” ห่วงใยสุขภาพกับผู้บริโภคทุกท่าน รวมถึงสามารถนำไปใช้แม้ไม่ได้อยู่ในเทศกาลก็ตาม ว่า อาหารที่แม้จะไม่มีเนื้อสัตว์ปะปนอยู่เลย แต่ โปรตีน ที่นำมาใช้นั้นเป็นสารอาหารประเภททดแทน ที่หาได้จากพืช อาทิ ฟองเต้าหู้ นมถั่วเหลือง ถั่ว ธัญพืช เป็นต้น ก็ควรจะบริโภคให้เหมาะสมกับอายุและปริมาณที่สมควร  โดยจะขอแบ่ง โภชนาการอาหารอย่างเหมาะสม เป็น 3 วัย ดังนี้   วัยรุ่น : แม้แป้งหรือไขมัน จะไม่ค่อยมีผลต่อวัยนี้ เพราะเป็นช่วงอายุที่ใช้พลังงานสูง แต่เพื่อป้องกันการสะสมของไขมัน อันจะเป็นต้นเหตุของโรคอ้วน จึงควรกิจอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน หรือแป้งที่ไม่ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ธัญพืช เผือก แทนข้าวขาว และของทอด จะทันสมัยหน่อยก็ลองกินเต้าหู้กับซอสญี่ปุ่น เพราะนอกจากอร่อยแล้วยังดีต่อร่างกายด้วย วัยทำงาน : คนทำงานออฟฟิศส่วนใหญ่ เดินน้อย แต่ใช้กำลังสมองมาก และมักบ่นอุบว่าไม่มีเวลาดูแลสุขภาพ ของว่าง “เจ” เช่น งาขาว งาดำ ถั่วปากอ้า ซึ่งเป็นธัญพืชประเภทไขมันชนิดดี ทำหน้าที่เก็บขยะ หรือไปเก็บคราบไขมันที่เกาะอยู่ตามผนังเส้นเลือดไปที่ตับและขับออกทางน้ำดี หากเคี้ยวของว่างพวกนี้ในยามบ่ายจะทำให้อยู่ท้อง และทำให้สมองแล่น เพราะการเคี้ยวช่วยเสริมกระบวนการคิดได้ ส.ว. (สูงวัย) : อยากให้หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีกากใย รวมถึงผักสด เช่น กะหล่ำปลีสด ผักกาดหอม เพราะจะทำให้ท้องอืดและมีปัญหาเรื่องแก๊สในกระเพาะอาหาร อาหารที่แนะนำจึงเป็นประเภทน้ำ ทั้งน้ำงาดำ น้ำลูกเดือย และเพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหาร ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของโรคอัลไซเมอร์ จึงแนะให้ทานมื้อว่างเสริมเป็นอาหารนิ่มๆ เช่น ผัดเต้าหู้สามรส , จับฉ่ายเห็ดหอมเต้าหู้ , เต้าหู้ผัดเปรี้ยวหวานสับปะรด โดยเอนไซม์จากสับปะรดจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหารให้ดีขึ้น ทราบอย่างนี้แล้ว “กินเจ” หรือ “มื้อไหนๆ” ก็อยากให้ผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพ กินของดีมีคุณภาพ ให้สมกับคำฝรั่งว่าไว้ You are what you eat  เพิ่มคุณค่าให้ร่างกายด้วยคุณประโยชน์จากอาหารที่เลือกกิน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 160 คนฉลาดซื้อ...ภญ.วารุณี เจือสันติกุลชัย

ทุกคนมีสิทธิฉบับขึ้นปีที่ 21 นี้เราจะพาท่านไปพบกับสมาชิกนิตยสารฉลาดซื้อที่อุดหนุนกันมาตั้งแต่ฉบับแรกๆ   ติดตามเป็นแฟนพันธุ์แท้กันมาตั้งแต่ปี 2537 มาจนปัจจุบัน   เป็นเภสัชกรหญิงที่เรียกได้ว่าทำงานเชิงพาณิชย์ผสมผสานกับงานชุมชนได้อย่างลงตัว เป็นทั้งคนขายยา ไปจนกระทั่งเสมือนญาติ พี่น้องของชาวบ้านร้านตลาดในบริเวณนั้น  เราเดินทางไปหา ภญ.วารุณี เจือสันติกุลชัย   ที่ร้านขายยาใจกลางกาดหลวง หรือตลาดวโรรส  ตลาดที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่ ในบ่ายของเดือนที่เกือบร้อนที่สุดของปี งานที่ร้านยาของพี่เป็นอย่างไรบ้าง ร้านยาของเราเป็นประเภทที่เรียกว่า Stand alone คือ เจ้าของคนเดียว ไม่ใช่รูปแบบบริษัท ไม่ได้จ้างเภสัชกร เราเปิดร้านเอง ขายเอง มีธุระก็ปิดร้าน เลยไม่มีปัญหาที่ตอนนี้มีปัญหาว่าร้านยาไม่มีเภสัชฯ อยู่ แต่ข้อเสียก็มีบ้าง เช่นบางครั้งลูกค้าประจำอยากมาหาก็จะไม่เจอ เราก็ติดเบอร์โทรไว้ให้ลูกค้าสามารถติดต่อได้ อาชีพเภสัชฯ ก็เหมือนเป็นที่ปรึกษา สามารถปรึกษาได้ทุกเรื่อง บางคนไปหาหมอมาแล้วมีปัญหาคาใจ บางคนไปซื้อยามาหลายที่แล้วไม่หาย ก็หอบหิ้วยามาถามก็มี หลายๆ ครั้งก็พยายามไม่จ่ายยาเอง แต่จะแนะนำที่ๆ เรารู้จักหรือที่ๆ เขาควรจะได้รับการรักษาที่ถูกต้อง   การเลือกยาเข้าร้านมีหลักการในการเลือกอย่างไร ก่อนจะเปิดร้านยาเคยอยู่โรงพยาบาลและสาธารณสุขจังหวัด เพราะฉะนั้นค่อนข้างจะรู้ส่วนหนึ่งว่าการคัดเลือกยาเข้าโรงพยาบาล เขามีเกณฑ์ตั้งอะไรบ้าง ตัวไหนมี GMP ตัวไหนมีโรงงานเก่าแก่ รวมทั้งดูรูปลักษณ์ของยา appearance เม็ดยาสวยไหม บรรจุหีบห่อดีไหม แพ็กเกจให้ข้อมูลดีไหม บางอย่างดีหมดแต่ต้องให้เราสั่งมาทีละเยอะๆ สต็อกเก็บไว้ก็ไม่ไหว บางอันเขาตัดเป็นปริมาณเล็กๆ ให้เราสั่งมาขายได้เรื่อยๆ มันเสื่อมสภาพ หมดอายุไป เราสามารถเปลี่ยนได้ ก็จะค่อนข้างโอเคกับบริษัทพวกนี้มากกว่า   การให้ความรู้เรื่องยากับคนที่มาซื้อ เช่นเรื่องยาชื่อสามัญมีบ้างไหม ให้ข้อมูลทั้ง 2 อย่าง คือเขาควรรู้จักชื่อทางการค้าและชื่อสามัญด้วย เราก็พยายามให้ความรู้ไป แต่เวลาเขียนบนซองยาเราต้องเขียนเป็นชื่อการค้าด้วย เพราะถ้าเขียนเป็นชื่อสามัญเวลาลูกค้าหยิบไปซื้อที่อื่นก็จะกลายเป็นชื่อสามัญอะไรก็ไม่รู้ แล้วลูกค้าก็จะตอบไม่ได้ว่ายาที่เขาใช้อยู่คือยาอะไร แต่ถ้าเราเขียนชื่อการค้าด้วย ชื่อสามัญด้วย และเราแนะนำเขาไปด้วยนั้น เวลาเขาไปซื้อเขาจะเข้าใจว่า ยาไดโคลฟีแนคนะ ยี่ห้ออะไรก็ได้ เป็นต้น เภสัชกรเวลาแนะนำยาต้องอย่าไปดูที่ตัวยาอย่างเดียว เราต้องดูที่องค์รวมของคนไข้ด้วย  ทำให้เขาหายจากโรค บางครั้งต้องให้คำแนะนำเหมือนครูสอนสุขศึกษาว่า โรคที่เขาเป็นเกิดจากเชื้อโรค หรือเกิดจากความประพฤติที่ไม่ถูกต้อง และเราจะต้องแก้ไขตรงปัจจัยตรงไหนบ้าง เพื่อรักษาโรคที่เป็นอยู่ให้หายและป้องกันไม่ให้เป็นอีก อย่างเช่นโรคเชื้อราที่ผิวหนังต้องแก้จากชีวิตประจำวัน ประมาณนี้ เพราะหลายๆ ครั้งลูกค้าประจำที่เป็นพ่อค้า แม่ค้าอยู่ในตลาด ส่วนใหญ่ที่เป็นคือ ปวดหลัง ปวดเอว จากการยกของ มันเป็นเรื่องที่ต้องพักนะ กินยาแล้วก็ต้องหยุดพัก แต่พ่อค้า แม่ค้าเขาหยุดไม่ได้ เหมือนกับว่ากินยาบรรเทาแล้วก็ต้องทำงาน เราก็ต้องบอกว่าถ้ากินยาแล้วทำงานต่อคุณจะหายช้า มันจะเรื้อรัง เราต้องหาทางเลือกให้เขา เช่น ถ้าต้องยกของต้องช่วยกันยก 2 คน หรือบางคนอาการไม่ดีก็ต้องแนะนำให้ไปหาหมอ มีคนเข้ามาซื้อยาหรือขอความรู้จากที่เขาได้ฟังโฆษณาเกินจริงตามสื่อต่างๆ บ้างไหม จริงๆ บางอย่างเราก็เอามาขายนะ เพราะถ้าเราไม่ขายลูกค้ามาถามหาแล้วไม่มีเขาก็ไป เขาไม่ได้เปิดโอกาสในการคุย และบางครั้งถ้าของมันมีขายตามโฆษณาวิทยุ ตามสื่อท้องถิ่น เราเรียกอยู่ 2 อย่าง คือ หนึ่งมันถูกต้องไหม มันผิดที่ผลิตภัณฑ์ผิดหรือผิดที่วิธีการใช้ กับอีกอันคือผลิตภัณฑ์มันผิด ถ้าผลิตภัณฑ์มันผิดไม่เอามาขายแน่นอน แต่ถ้าสมมติว่าตัวยามันไม่ได้ผิด เช่น กาโน่ ตัวผลิตภัณฑ์มันไม่ผิดแต่วิธีใช้มันผิดหมดเลยตามโฆษณา การที่เราไม่มีขายเลยเราไม่มีโอกาสให้ความรู้ที่ถูกต้องในการใช้ยา แต่ถ้าเรามีมันเหมือนเราได้สอนเขาบ้าง ถ้าลูกค้าจะซื้อนั่นคือสิทธิของเขาแล้ว แต่ถ้าไม่มีขายเลยลูกค้าออกจากร้านเราเขาก็ไปซื้อร้านอื่น แต่การใช้ยาที่ผิดมันก็ยังคงอยู่ เมื่อลูกค้าเข้ามาแต่ไม่ได้ยากลับไป ทางร้านได้ให้คำแนะนำเขาไปอย่างไรบ้าง เยอะเลย ล่าสุดมีคุณป้าน้ำหนักตัวประมาณ 70 กก. มีอาการปวดเข่า ก็ซักถามข้อมูลเคยรับการรักษาจากคุณหมอ เคยกินยาแล้วแต่ไม่หาย เราดูก็รู้ว่าเกิดจากข้อเข่าเสื่อม ซึ่งคุณป้าก็รู้และรักษาโรงพยาบาลประจำอยู่ คุณหมอให้คุณป้าควบคุมน้ำหนักแต่คุณป้าคุมไม่ได้ กินยามาเยอะแล้วไม่อยากกินยาอีกจึงอยากได้ยาทา เราต้องบอกไปว่าคุณป้าอายุขนาดนี้ ทำงานแบบนี้ สาเหตุมันคือข้อเข่าเสื่อม ถ้ารักษากับหมอแล้วหมอให้ยา กินยาไม่หายต้องฉีด ถ้าฉีดไม่หายสุดท้ายต้องเปลี่ยนข้อเข่า คุณป้าก็ไม่ยอม ต้องบอกคุณป้าไปว่าถ้าปิดทางออกของตัวเองก็ต้องปวดต่อไป แล้วอีกหน่อยก็จะไปหายาแก้ปวดแรงๆ ยาสมุนไพรผสมสเตียรอยด์ เพราะฉะนั้นต้องทำความเข้าใจกับเขาว่าโรคที่เป็นอยู่นั้นเกิดจากพฤติกรรมการยืน การนั่ง การมีน้ำหนักตัวเยอะ การกินยามันจะช่วยบรรเทาชั่วครั้งคราว การแก้ไขปัญหาคือ จะต้องตั้งเป้าหมายร่วมกันว่า ต้องลดน้ำหนักได้ไหม ให้เขาตั้งเป้าหมาย ไม่อย่างนั้นปล่อยให้โรคมันเสื่อมไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะเดินไม่ได้ ต้องใช้ไม้เท้ามันจะเจ็บปวดกว่าตอนนี้ คุณป้าก็นั่งคิดนานมาก ก็จะให้คำปรึกษาประมาณนี้ แล้วก็มีเรื่องพวกผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสมรรถภาพทางเพศ เพราะบางทีเราให้ข้อมูลไปแต่ใจเขาคิดอีกอย่าง ซึ่งมันจะไม่ตรงกัน แล้วพวกที่มันเป็นผลิตภัณฑ์ไม่ถูกกฎหมายค่อนข้างจะมีเยอะ เราต้องอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจเพราะโรคพวกนี้เกี่ยวข้องกับจิตใจ บางคนมีโรคประจำตัวซึ่งต้องปรึกษาคุณหมอด้วย   เป็นสมาชิกฉลาดซื้อมาตั้งแต่ฉบับแรกๆ แสดงว่าฉลาดซื้อต้องมีประโยชน์กับพี่บ้าง เป็นสมาชิกมาเกือบ 10 ปีแล้ว กับอาชีพเภสัชกรนั้นมันทำให้เรารู้กว้างขึ้น เพราะไม่ค่อยได้เปิดวิทยุ หรือโทรทัศน์มาก เพราะว่าเปิดมาแล้วเจอแต่โฆษณาน่าเบื่อ แต่ฉลาดซื้อจะคัดกรองและเปรียบเทียบให้ ที่ชอบมากคือ เรื่องน้ำยาขัดห้องน้ำ เพราะชีวิตประจำวันเราก็ต้องใช้น้ำยาขัดห้องน้ำมาตั้งแต่เล็กจนโต เราก็รู้แค่ว่าอันนี้ฟู่หรือไม่ฟู่ อันนี้สะอาดหรือไม่สะอาด แต่เราไม่เคยมา differentiate อันไหนเป็นกรด เป็นด่าง อันไหนมีอันตรายมากน้อยแค่ไหน เพราะว่าในท้องตลาดก็จะแบ่งแค่สีขาว สีชมพู สีม่วง เราก็ซื้อตามโฆษณาไป ซึ่งที่ทำเรื่องนี้ดีมากๆ อีกเรื่องคือรางปลั๊กไฟเป็นเรื่องใกล้ตัวที่อันตรายมากๆ เพราะการที่เราเสียบแช่ไว้นานๆ ความร้อนที่มันเกิดขึ้นสามารถทำให้เกิดไฟไหม้ได้ แต่ที่ไม่เข้าใจก็มีอย่างพวกเรื่องกล้อง เพราะเราไม่ใช่คนเล่นกล้องก็จะไม่รู้ แต่เรื่องอื่นๆ เราก็ยังเปรียบเทียบได้ โดยรวมแล้วชอบตรงที่ไม่มีโฆษณาด้วย เพราะตอนนี้หนังสือดีๆ หลายเล่มแทรกโฆษณาไป 50 % เรารู้สึกว่าต้องจ่ายเงินไปกับสิ่งที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เปลืองทรัพยากรโดยไม่ใช่เหตุ หลังๆ ก็อ่านแล้วพยายามเก็บข้อมูลให้ได้แล้วนำหนังสือไปแจกตามห้องสมุดบ้าง กาชาดบ้าง ไม่อยากอ่านแล้วเก็บไว้คนเดียวมันไม่มีประโยชน์ เพราะว่าเราจะได้ใช้ก็คือการจุดประกายเป็นภูมิต้านทานให้กับลูกค้าเรา หรือว่านำมาสอนน้องๆ ได้เสริมให้คนอื่นที่ได้อ่านก็จะดี รู้จักฉลาดซื้อครั้งแรกที่ไหน จบเภสัชฯ แล้วไปใช้ทุนที่สาธารณสุขจังหวัดแม่ฮ่องสอนปี 2537 เป็นปีที่เริ่มฉลาดซื้อพอดี (หัวเราะ) ก็ได้เป็นข้อมูลเยอะแยะมากที่จะเอามาสอนงานคุ้มครองผู้บริโภค เพราะว่าตอนนั้นปัญหาค่อนข้างจะเยอะ ก็เลยรู้สึกว่าถึงแม้เราจะเป็นเภสัชกรนั้นแต่เรื่องอาหาร เรื่องยา เรื่องเครื่องสำอาง พวกเรื่อง DDT เรื่องวัตถุอันตรายในสาธารณสุขในบ้านที่เป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราไม่ค่อยจะรู้ อย่างเช่น เรื่องขนมปังที่ไม่มีวันขึ้นรา เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ซึ่งถ้าเรารู้ 1 คนเราสามารถจะสอนคนรอบข้างเราได้ มันช่วยให้ในอนาคตนั้นการเจ็บป่วยมันลดน้อยลง มากกว่าการที่เราไปหายาที่ดีๆ แรงๆ เทคโนโลยีทางการแพทย์ แล้วมาตามรักษาไม่ทัน   คอลัมน์โปรด ชอบคอลัมน์เปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ อย่างเช่นสุ่มตรวจแหนม สุ่มตรวจผัก เพราะบางทีเราสงสัยอะไรเราไม่มีกำลังจะไปสุ่มตรวจส่งกรมวิทยาศาสตร์ฯ พวกครีมทาผิว ครีมทาฝ้า ครีมกันแดดแต่ละตัวเป็นอย่างไรบ้าง แม้กระทั่งการเปรียบเทียบราคาต่อซีซีเรื่องนี้เยี่ยมมาก และที่ได้ประโยชน์มากคือข้อร้องเรียน หลายครั้งที่เราเจอปัญหากับตัวเอง จะเป็นคนประเภทที่ ช่างมัน ไม่ค่อยร้องเรียนเรื่องอะไรเลย แต่จะเรียนรู้จากบทเรียนทำให้เรารัดกุมมากขึ้น แต่ถ้ามองอีกแบบหนึ่ง คนที่ช่างมันแบบเรานั้นมีเป็นล้านคน เพราะฉะนั้นมูลค่าของการเสียประโยชน์ และถูกบริษัทเอาเปรียบจากตรงนี้มันเยอะ ก็จะได้เรียนรู้ข้อกฎหมายจากตรงนี้ด้วย อย่างเช่นเรื่องบ้าน เรื่องคอนโดฯ ร้องเรียนเรื่องรถ เรื่องโทรศัพท์มือถือ ที่มีประโยชน์มากๆ ถ้าให้แนะนำคนอื่นเรื่องนิตยสารฉลาดซื้อ คือตัวเรามีลูก เรื่องสำคัญที่สุดสำหรับเด็กก็เรื่องอาหารการกิน เรื่องโภชนาการ สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนข้อมูลที่เราจะเลือกประเภทอาหารกับขนมให้ลูกได้ พอเราเลือกได้เราก็จะสร้างนิสัยให้ลูกได้และมันก็จะติดกับตัวเขาไปจนโต โอกาสที่ลูกจะได้รับสารปรุงแต่งจากอาหารก็จะน้อย และรู้สึกว่าเขาจะไม่ชอบใช้ภาชนะที่ใช้แล้วทิ้ง รู้สึกว่าลูกมีความรักษ์โลกมากขึ้น ขยะตรงนี้เอามาใช้ได้อีก ขยะอันนี้กี่ปีถึงจะย่อยสลาย เขาก็มีความเข้าใจตรงนี้ได้ดี ถ้าเราสร้างพื้นฐานให้กับคนรุ่นใหม่ได้เราก็จะไม่ต้องห่วงสิ่งแวดล้อม เวลาดูโทรทัศน์ลูกแยกได้ว่าอันไหนจริง อันไหนไม่จริง ก็ขอแค่นี้ก็พอ เพราะว่าอย่าไปหวังพึ่งนโยบายอะไรใหญ่ๆ มาก บางครั้งมันช้า และสื่อที่มันเป็นโซเชียลเราไม่สามารถไปบังคับมันได้ อย่างเช่นการโฆษณาอาหารเสริมต่างๆ บน Facebook มันอันตรายเกินไป เด็กสมัยนี้จะไม่มีข้อมูลว่าที่โฆษณาว่าขาวไวภายใน 7 วัน มันเป็นไปไม่ได้ ตามหลักแล้วมันไม่เป็นจริง อย่างน้อยเด็กต้องได้รู้ว่าอันไหนมันสมเหตุสมผลก็จะช่วยกรองไม่ให้ถูกหลอก ตรงนี้ “ฉลาดซื้อ” ช่วยได้   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point