ฉบับที่ 129 วัคซีนสมอง (เข็มที่ 3) มหัศจรรย์น้ำผัก

  ผู้เขียนเป็นคนตื่นนอนเช้าราวตีสี่ถึงตีห้า ไม่ใช่ว่าขยันอะไรหนักหนา แต่เป็นเพราะมักเกิดอาการหิวในช่วงเช้าตรู่ และถ้าไม่ได้กินอาหารจะเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดหัวไมเกรนเอาง่ายๆ ยกเว้นกรณีเดียวคือ พอตื่นมาแล้วได้ออกกำลังไม่ว่าจะทำงานบ้านหรือเล่นกีฬา ก็สามารถเลื่อนไปกินอาหารเช้าได้ราว 7 โมงเช้า ความที่นอนตื่นเช้า เลยมักมีโอกาสได้ดูอะไรหลายๆ อย่างทางโทรทัศน์ที่เจ้าหน้าที่รัฐซึ่งรับผิดชอบเกี่ยวกับการโฆษณาขายสินค้าหลอกลวงผู้บริโภคต่างๆ ยังไม่ตื่น ความจริงสินค้าหลายอย่างที่โฆษณาขายนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่คำพูดที่ใช้โฆษณานั้นเป็นตัวก่อปัญหา เนื่องจากเป็นคำโฆษณาที่ไร้ปัญญาหรือเจตนาจะหลอกลวงผู้บริโภคเอาดื้อๆ โดยคนที่โฆษณานั้นส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่มีอาชีพตบตาคนทั่วไปเป็นอาจิณคือ  นักแสดง นั่นเอง สินค้าที่กระทบใจผู้เขียนว่า ไม่ควรมีการโฆษณาเพ้อเจ้อขนาดนี้คือ เครื่องสกัดน้ำผลไม้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มันก็คือเครื่องปั่นแยกกากเพื่อให้เราคั้นน้ำผลไม้กินได้สะดวกขึ้นนั่นเอง ผู้เขียนเคยซื้อไว้ชุดหนึ่งให้นักศึกษาใช้ในห้องปฏิบัติการที่สถาบันราคาประมาณ 300 บาท ซึ่งเป็นของลดราคาแต่คุณภาพปรกติ และปัจจุบันก็ยังใช้อยู่เรื่อยๆ ตามความจำเป็นในการทำวิจัย ส่วนเครื่องสกัดน้ำผักผลไม้เพื่อให้ได้เอนไซม์มากินบำรุงร่างกายที่มีโฆษณาขายทางโทรทัศน์และอินเตอร์เน็ทนั้น มีตัวอย่างราคาที่พบในการโฆษณาทั่วไปเช่น “ราคาช่วงแนะนำ 15,900 บาท เหลือ 14,900 บาท กรุงเทพ ปริมณฑล จัดส่งฟรี ต่างจังหวัดค่าขนส่ง ทั่วประเทศ 300 บาท พร้อมบริการหลังการขายที่ครบครัน ทั้งอะไหล่ และบริการ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ XXXHome Product โทร. 081 8357YYY, 02 4131ZZZ และ Fax. 02 8698AAA ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทเครื่องคั้นแยกกากน้ำผัก ผลไม้ เพื่อสุขภาพ แบรนด์ดังของอเมริกา สั่งผลิตและติดแบรนด์ของตนเอง ตัวอย่างเช่น OBAMA (ชื่อสมมุติ) รุ่น VRT 330 (HD) และ VRT350 และอีกหลายแบรนด์ดัง สำหรับรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทย YAHOM (นี่ก็ชื่อสมมุติ) รุ่น HU-100 เป็นรุ่น TOP สุด เทียบเท่า OBAMA VRT350 ในประเทศสหรัฐอเมริกา” และมีอีกเครื่องหนึ่งโฆษณาในเว็บเดียวกันว่า “มีราคาช่วงแนะนำ คือ 22,500 บาท กรุงเทพฯ ปริมณฑล จัดส่งฟรี” พร้อมกำกับคำโฆษณาว่าเหมาะสำหรับใช้สกัดน้ำผักจากต้นอ่อนข้าวสาลี ซึ่งฝรั่งนิยมดื่มกัน เข้าใจว่ามันคงมีกลิ่นรสคล้ายน้ำสกัดจากหญ้า เพราะข้าวสาลีก็เป็นหญ้า ดังนั้นเครื่องนี้คงเหมาะกับคนที่สมองมีปัญญาคิดในระดับใด ท่านผู้อ่านคงพอเดาได้ ความจริงการดื่มน้ำผักและน้ำผลไม้เป็นเรื่องที่ดี น่าสนับสนุน แต่ผู้ดื่มก็ควรดื่มอย่างมีสติ รู้จักใช้ปัญญาคิดว่า ต้องการดื่มเพราะอะไร ซึ่งมันไม่ถึงกับมีเหตุผลเป็นร้อยแปดพันประการดอก ทั่วไปแล้วน้ำผักน้ำผลไม้นั้น ควรดื่มเพื่อแก้กระหาย ซึ่งดีกว่าการดื่มน้ำอัดลมใส่สี ผลประโยชน์ทางอ้อมที่ได้คือ สารที่เป็นประโยชน์พวกไวตามินบางชนิดและเกลือแร่หลายตัว ที่สำคัญก็คือ ผักและผลไม้หลายชนิดที่นำมาทำเป็นเครื่องดื่มในปัจจุบันนั้น เป็นพืชสมุนไพร มีศักยภาพในการกระตุ้นระบบทำลายสารพิษได้ดี เพียงแต่ต้องปรุงให้ดีหน่อย เพื่อกลบกลิ่นรสที่รุนแรงเกินห้ามใจ (ห้ามใจให้กินนะครับไม่ใช่ห้ามใจไม่ให้กิน) แต่ในบางเว็บไซต์ได้ผลิตน้ำผักและผลไม้ในแบบฉบับที่ไม่รู้ไปเรียนมาจากตำราเล่มไหน เช่น ผลิตน้ำหมักเอนไซม์จากผลไม้กว่า 20 ชนิด หมักนานกว่า 6 ปี เป็นอย่างต่ำ โดยใช้สูตรและวิธีการหมักตามธรรมชาติของ XXX แห่งชมรม YYY ภายใต้การดูแลของมูลนิธิ ZZZ  เป็นน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพที่ใช้เวลาในการหมักบ่มเพื่อสกัดเอาเอนไซม์และสาร อาหาร แร่ธาตุ วิตามิน ออกมาจาก…(บลา ๆๆๆๆๆ)…. ซึ่งดูไปดูมามันคือ น้ำส้ม (หมัก) ผลไม้รวมเสียมากกว่า แต่สิ่งที่รับได้ยากและเป็นเครื่องบ่งชี้ความมั่วซั่วของเว็บไซต์คือ การอ้างสรรพคุณว่า น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ มีประโยชน์ในการปรับความเป็นกรดเป็นด่างในร่างกาย  ทำให้ระบบการย่อยและการขับถ่ายดีขึ้น ทำให้แต่ละเซลล์ในร่างกายได้สารอาหารอย่างสมดุล  สลายสารพิษและสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย( ลดการใช้ยาปฏิชีวนะ )  อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามินและเกลือแร่ คือ วิตามินบีรวม, บี 1, บี 2, บี12 สิ่งที่บ่งชี้ความมั่วนั้นมีหลายประเด็น แค่ประเด็นว่า น้ำผลไม้ให้โปรตีน ก็ลำบากใจที่จะรับแล้ว ทั้งนี้เพราะผลไม้ที่ให้โปรตีนนั้น ตั้งแต่ผู้เขียนหารับประทานโดยการสอนหนังสือมานั้น ก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าได้แก่อะไรบ้าง ถ้าเป็นถั่วบางชนิดพอพูดได้ว่า มีโปรตีนสูง แต่ผลไม้ที่เป็นแหล่งของโปรตีนนั้น นึกไม่ออกเอาทีเดียว ดังนั้นสิ่งที่ผู้บริโภคควรหาความรู้ไว้ประจำตัวก็คือ สารอาหารที่ร่างกายต้องการมี 5 กลุ่มคือ แป้ง โปรตีน ไขมัน แร่ธาตุและไวตามิน นั้นมีอยู่ในอาหารอะไร ซึ่งข้อมูลประเภทนี้หาได้ตามหนังสือเรียนชั้นมัธยมทั่วไป การออกมาบอกว่า ผลไม้ให้โปรตีนนั้นมันส่ออะไรบางอย่างที่ท่านผู้อ่านควรคิดได้เองว่าควรเชื่อเว็บสังคโลกนี้หรือไม่ อีกตัวอย่างของการนำเอาผลไม้มาผสมปนกันแล้วหมักได้เป็นน้ำ มหามนตรา (ชื่อสมมุติ) ซึ่งแนะนำให้ “ควรดื่ม มหามนตรา อย่างน้อย 30 นาทีก่อนทานอาหาร เพราะเมื่อกระเพาะไม่เต็มไปด้วยอาหาร มหามนตรา สามารถซึมเข้าสู่ระบบต่างๆ ของร่างกายได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ยิ่งตอนเช้าหลังจากตื่นนอน ให้ มหามนตรา เป็นสิ่งแรกที่ท่านดื่ม ยกเว้นผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคกระเพาะควรดื่ม มหามนตรา หลังอาหาร หลังจากเปิดใช้แล้วให้รีบปิดฝาคืนเพื่อมิให้จุลินทรีย์ในอากาศเข้าไปทำปฏิกิริยากับน้ำผลไม้ในขวด  และไม่ควรแช่ตู้เย็นเพราะจะทำให้จุลินทรีย์ดีๆ ที่จะเข้าไปช่วยท่านเข้าจำศีลและเมื่อท่านดื่มเข้าไปเขาจะใช้เวลาในตื่นกลับมา บางขวดอาจจะยังมีแรงดันอยู่บ้างเนื่องจากความตื่นตัวของจุลินทรีย์ที่ดีที่มีอยู่ใน มหามนตรา ขอท่านอย่าได้ตกใจ ถือได้ว่าเป็นเรื่องปรกติ” โดยมีเป้าหมายของลูกค้าคือ ผู้ที่มีปัญหาทางสุขภาพ อาทิ เช่น ภูมิแพ้ หอบหืด โรคกระเพาะ เบาหวาน มะเร็ง เอดส์ ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตต่ำ โรคหัวใจ พาร์กินสัน เป็นต้นโลหิตต่ำ โรคหัวใจ พาร์กินสัน เป็นต้นการโฆษณาแบบนี้ทำให้ท่านผู้บริโภคได้ดื่ม (น้ำผลไม้ปนเชื้อจุลินทรีย์อะไรก็ได้แบบไม่ระบุเจาะจง) ที่มีลักษณะเหมือนจะเป็นน้ำหมักชีวภาพที่มหาวิทยามหิดล ศาลายาได้ผลิตจากของเหลือพวกผักผลไม้ แล้วจ่ายแจกฟรีให้บุคลากรนำไปใช้เป็นปุ๋ยน้ำรดต้นไม้ เนื่องจากมันมีความคล้ายหรือใช่เลยว่าเป็น น้ำอีเอ็ม นั่นเอง ความพยายามของผู้ประกอบการในการขายสินค้าที่ตนเองก็ไม่รู้จักจริงว่ามันมีประโยชน์ตามที่คิดหรือไม่นั้น เป็นสิ่งที่เห็นได้จากโทรทัศน์ทั่วโลก ไม่ต่างกัน เพราะถ้าที่ไหนมีคนที่คิดว่าตนเองไม่แข็งแรง (ซึ่งก็อาจจริง) ณ ที่นั้นก็จะมีคนพยายามหยิบยื่น สิ่งที่อาจใช่หรือไม่ใช่ ขายให้ หลายครั้งในตอนเช้ามืดที่ผู้เขียนเห็นดาราออกมาให้ข้อมูลว่า ผู้บริโภคควรบริโภคน้ำผักเพื่อให้ได้เอนไซม์ที่ช่วยให้สุขภาพดี ผู้เขียนมักจะถามตัวเองว่า มันเป็นเอนไซม์ตัวไหนหว่าที่อยู่ในผักแล้วมนุษย์ต้องการ ในวิชาชีวเคมีที่ผู้เขียนเรียนจบมาจากจุฬาเมื่อสามสิบปีก่อนสอนว่า ส่วนใหญ่ของเอนไซม์ที่อยู่ในอาหารคนนั้นมักถูกทำลายด้วยความร้อน การปั่นผักนั้นแม้ไม่ใช่ความร้อน แต่แรงอัด กระแทก ปั่นของเครื่องมักทำให้เอนไซม์เสียคุณภาพ ดังนั้นเวลานักศึกษาที่เรียนเกี่ยวกับเอนไซม์ ไม่ว่าจากพืชหรือสัตว์ จะต้องเป็นคนสุภาพในการสกัดเอนไซม์ ไม่ลงมือลงไม้แบบรุนแรงเพราะเอนไซม์จะเสียสภาพใช้งานไม่ได้ ทำไมนักแสดงละครและภาพยนตร์ต่าง ๆ ที่รับโฆษณาเครื่องปั่นน้ำผักผลไม้ จึงมักกล่าวสนับสนุนให้คนซื้อเครื่องที่โฆษณาไปผลิตเอนไซม์จากพืชกิน คำตอบน่าจะง่าย ๆ ว่า เขาไม่เคยเรียนชีวเคมีมา คนที่เขียนบทให้เขาพูดก็ไม่เคยเรียนมา เจ้าของบริษัทก็ไม่เคยเรียนมา คนประดิษฐ์อุปกรณ์นี้อาจเคยเรียนมาแต่สอบตกชีวเคมีแบบไม่เหลือความรู้เลย ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นอันตรายต่อกระเป๋าผู้บริโภค เพราะการซื้อเครื่องปั่นสักเครื่อง เพื่อใช้ทำน้ำผักน้ำผลไม้ดื่มนั้นเป็นการดี แต่ไม่ควรต้องจ่ายในราคาหลายพันบาทจนถึงหลายหมื่นบาทขึ้นไป เพียงเพราะหลงเชื่อดาราที่ไร้ความรู้มาบอกเท่านั้น

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

นิตยสารออนไลน์ ฉบับที่ 128 วัคซีนสมอง (เข็มที่ 2) ความรู้พื้นฐานของชีวิต

  ถ้าต้องการปิ้งลูกชิ้น 1 ไม้ให้สุกพร้อมกันทั้งไม้ ควรใช้อุปกรณ์แบบใดและวางในลักษณะเช่นใด  1. ใช้ตัวสะท้อนพาราโบลารับแสงอาทิตย์ นำลูกชิ้นวางไว้ที่จุดโฟกัส2. ใช้แว่นขยายซึ่งเป็นเลนส์นูนทำหน้าที่รวมแสง และวางลูกชิ้นไว้ที่จุดโฟกัสของเลนส์ด้านตรงข้ามกับด้านที่แสงตกกระทบ3. ใช้แผ่นโค้งพาราโบลารับแสงอาทิตย์ และวางลูกชิ้นไว้ตามแนวจุดโฟกัส4. ใช้กล่องอบแห้งแสงอาทิตย์ และวางลูกชิ้นภายในกล่องอบแห้ง  ที่ท่านผู้อ่านเห็นนี้เป็น ข้อสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย วิชาวิทยาศาสตร์กายภาพชีวภาพ วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2546 เวลา 15.00 -17.00 น ได้มาจาก http://www.unigang.com ซึ่งแสดงให้เห็นความพยายามของคนออกข้อสอบในการประยุกต์ความรู้เกี่ยวกับแสงอาทิตย์และพลังงานสู่ชีวิตประจำวันของผู้เรียน แต่ความพยายามนี้น่าจะไร้ประโยชน์เพราะคงไม่มีใครทำในชีวิตจริง ยิ่งถ้าไปถามเด็กที่ไม่ได้เรียนสายสามัญเพื่อเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย เด็กคงบอกว่า ไปเซเว่น ก็ได้คำตอบแล้ว  ผู้เขียนเคยคุยกับผู้เข้าฟังการบรรยายต่างๆ ที่เกี่ยวกับอาหาร โภชนาการและสุขภาพ พบว่าความรู้ทางวิชาการที่ได้จากการไปโรงเรียนนั้น หลายอย่างไรไม่ได้ช่วยให้ประชาชนเอาตัวรอดจากการถูกหลอกลวงให้ซื้อสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพเลย เพราะเป็นความรู้ที่ไม่ได้กระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานในด้านการ คิดเป็น ของสมอง แต่มักเป็นความรู้ตายที่จำไว้ใช้ตอบข้อสอบ เมื่อเวลาผ่านไปก็ลืม ดังนั้นเมื่อพบผู้ประกอบการขายสินค้าสุขภาพที่มีความสามารถพิเศษในการเสกสรรปั้นแต่งข้อมูล โอกาสที่ถูกหลอกของผู้บริโภคจึงเกิดขึ้น  ดังนั้นในฉลาดซื้อฉบับนี้เราจะมาพิจารณาดูว่า ทำไมคนเราถึงยอมถูกหลอกให้ซื้ออะไรต่อมิอะไรกิน ซึ่งดูเหมือนกับเพลง รู้ว่าเขาหลอก ของศิรินทรา นิยากร ที่บรรยายว่ามันเป็นเวรกรรมที่ต้องถูกหลอกทั้งที่ก็รู้   จุดอ่อนของผู้บริโภค การหลอกลวงนั้นมีทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่คนอเมริกันซึ่งน่าจะมีความรู้ดี แต่เมื่อมีปัญหาทางสุขภาพ หลายส่วนก็ยังหลงเชื่อกระบวนการรักษาที่บางครั้งดูไม่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์  ความรู้ทางวิทยาการการแพทย์ของมนุษย์ในปัจจุบันได้ก้าวหน้าไปมากแล้ว แต่ผู้ที่ทนทุกข์ทรมานต่อการเผชิญกับความเจ็บป่วยเรื้อรัง ความผิดปรกติของร่างกาย หรือแม้แต่ความตายที่กำลังมาเยือน ยังจำเป็นต้องหาอะไรก็ได้ ที่ให้ความหวังว่าจะพ้นจากทุกขเวทนาที่ประสบอยู่ สภาวการณ์ดังกล่าวนี้จึงเอื้อต่อการถูกเอาเปรียบในการถูกกล่อมให้ซื้อทั้งสินค้าและบริการสุขภาพจากนักขาย ซึ่งบางครั้งเป็นผู้ที่จบการศึกษาสูงแต่ไร้คุณธรรม โดยที่เหยื่อนั้นมักมีลักษณะต่อไปนี้เป็นองค์ประกอบ ขาดความระแวงระไว อาการนี้เป็นโทษสมบัติหลักของผู้เคราะห์ร้ายซึ่งมักเชื่อในข้อมูลที่มีการตีพิมพ์เผยแพร่ แม้แต่บนกระดาษที่พับเป็นถุงกล้วยแขก ยิ่งถ้าคนให้ข้อมูลเป็นดอกเตอร์ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นด๊อกจากไหน เชื่อได้หรือไม่ เพราะในอเมริกานั้นด๊อกห้องแถวมีเยอะมาก พวกนี้มักอ้างว่าตนเองมีประสบการณ์สูง ผู้เคราะห์ร้ายก็จะทึกทักเองว่าข้อมูลคงเป็นจริงดังโฆษณา ยิ่งถ้าเป็นการขายสินค้าหรือบริการที่รับประกันความรวดเร็ว สะดวกสบาย หายจากโรคง่าย ความเชื่อถือก็จะง่ายขึ้น ผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้จึงอาจถูกจำแนกได้ว่า มีปัญหาทางจิตโดยคิดว่าตนเองนั้นอ่อนแอทั้งปัญญาและร่างกาย ทำให้ต้องหาคนที่ฉลาดกว่ามาปกป้อง สื่อสาธารณะบางประเภทก็เป็นแหล่งที่มาของข้อมูลหลอกลวง ปัญหานี้มักไม่มีใครยื่นมือเข้าไปจัดการ เพราะของชั่วร้ายหลายคนพยายามหลีกเลี่ยง แม้แต่คนที่มีหน้าที่ดูแลก็พยายามหลีก สื่อเหล่านี้มีทั้งที่เป็นสิ่งพิมพ์และออกอากาศด้วยกรรมวิธีต่างๆ โดยเฉพาะประเภทหนีไปอยู่บนดาวเทียมนั้น ร้อยละร้อยหารับประทานแบบหลอกลวงทั้งสิ้น โดยเมื่อได้เงินจากเหยื่อแล้วมักไม่สนใจรับผิดชอบต่อคำรับประกันว่าสินค้านั้นใช้ได้หรือไม่ ผู้เขียนก็ไม่ทราบว่าเราจะพึ่ง กสทช ที่เพิ่งได้มาหมาดๆ หรือไม่ เพราะคลื่นของสื่อหลายคลื่นเป็นคลื่นหลอกลวงประจำวันเชื่อในสิ่งมหัศจรรย์ ประเด็นนี้เป็นลักษณะทั่วไปของคนไทยที่มักกล่าวว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เห็นพืชหรือสัตว์หรือสิ่งของที่มีลักษณะประหลาดก็กราบไหว้บูชาได้ ดังนั้นพี่น้องชาวไทยหลายคนจึงง่ายต่อการที่จะถูกโน้มน้าวให้เชื่อในความมหัศจรรย์ของอะไรก็ตามที่อาจมีเศษทองคำเปลวติดอยู่ แล้วนำมาบูชาหรือแช่น้ำดื่ม หรือแม้แต่ซื้อหนังสือมาสวดคาถาภาษาประหลาดเพื่อปลุกเสกอะไรสักอย่างด้วยอาคมเพื่อหวังช่วยตนเอง  มั่นใจในตนเองสูง ลักษณะดังกล่าวนี้มีโอกาสได้ทั้งสองด้านในการถูกชักชวนให้ซื้อสินค้าไม่เข้าท่าคือ อาจซื้อทันทีหรือไม่ซื้อตลอดไป ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องมีศิลปะในการหลอกสูงมากที่จะขายสินค้าให้บุคคลประเภทนี้ ซึ่งถ้าขายได้ ก็จะขายได้กับคนอื่นได้ เนื่องจากลูกค้าลักษณะนี้จะทุ่มกายถวายหัวประชาสัมพันธ์สินค้าต่อในลักษณะ หมาจิ้งจอกหางด้วน ที่พยายามประโลมเล้าให้คนมีความคิดเหมือนตน ความสิ้นหวังในชีวิต ผู้เคราะห์ร้ายหลายคนประสบปัญหาโรคร้ายที่แม้แพทย์ก็บอกว่า เป็นอาการของโรคที่อยู่ในกลุ่มร้อยละ 10 ของการเจ็บป่วยที่รักษาหรือไม่รักษาก็หาย คือ คนไข้หายไปจากโลกนี้  เคยมีท่านผู้รู้ท่านหนึ่งบรรยายทางวิทยุสถานีหนึ่งว่า โรคที่มนุษย์เป็นนั้นแบ่งเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกมีจำนวนร้อยละ 80 ไม่ต้องรักษาก็หายได้เอง ส่วนกลุ่มที่สองนั้นเป็นร้อยละ 10 ที่หายเมื่อได้รักษา ส่วนกลุ่มที่สามคืออีกร้อยละ 10 รักษาอย่างไรก็ตาย ดังนั้นเมื่อมีใครสักคนมาหยิบยื่นการบำบัดโรคที่เป็นความหวังว่าอาจหายได้ให้ ทุกคนในกลุ่มที่สามก็จะไขว่คว้า ซึ่งหลายครั้งก็อาจหายหรือยืดอายุได้  ผู้เขียนได้เคยเห็นตัวอย่างของคนไข้ป่วยเป็นเอดส์สองคนที่ทำงานที่เดียวกัน คนหนึ่งตายไปตามความเป็นไปของโรค ในขณะที่อีกคนขวนขวายหาอะไรต่อมิอะไรมากิน แล้ววันหนึ่งก็ดูดีขึ้นจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทำให้ต้องเชื่อว่า เอดส์รักษาให้หายไม่ได้ แต่อยู่กับมันอย่างมีหวังได้ ถ้าปฏิบัติตนถูก แต่จะมีสักกี่คนที่จะโชคดีอย่างนี้ เพราะส่วนมากจะถูกหลอกเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งนอกจากโรคร้ายแรงแล้ว ยังมีกลุ่มคนที่สิ้นหวังจากความแก่ ความที่ไม่สามารถหยุดยั้งความเหี่ยว กล่าวง่าย ๆ ว่าเอาชนะสังขารไม่ได้ ก็มักจะเป็นเหยื่ออันโอชาของผู้ขายโดยหวังว่าจะกลับมาเป็นหนุ่มสาวได้  รู้สึกโดดเดี่ยว ซึ่งตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า alienation ความรู้สึกนี้คนที่เคยไปอยู่ต่างประเทศในเมืองที่ไม่มีคนไทยเลยคงเข้าใจดี เป็นความรู้สึกว่ามองไม่เห็นใครเป็นที่พึ่ง บุคคลที่รู้สึกเช่นนี้ จะต่อต้านการรักษาพยาบาลแบบแพทย์แผนปัจจุบันและมักชอบวิธีการทางธรรมชาติ ไม่ชอบการใช้ยาซึ่งเป็นสารเคมีเนื่องจากมีความรู้บ้างว่า สารเคมีนั้นมักมีความเป็นพิษเมื่อใช้ในปริมาณสูง ในขณะที่สารธรรมชาติซึ่งมักอยู่ในรูปของสมุนไพร(ไม่ใช่สารบริสุทธิ์) กว่าจะแสดงความเป็นพิษนั้นจะต้องใช้ปริมาณสูงมากๆ จนเป็นไปไม่ได้ที่จะรับสารนั้นเข้าร่างกาย ลักษณะที่เด่นชัดของเหยื่อเหล่านี้คือ มีความไม่เชื่อถืออย่างรุนแรงต่อผู้ให้บริการด้านสาธารณสุข อุตสาหกรรมอาหาร บริษัทยา และหน่วยงานรัฐ ซึ่งอาจเนื่องมาจากระบบการทำงานของบุคลากรของรัฐเป็นแบบพิธีรีตองมากจนน่าเบื่อ ดังนั้นหลายครั้งที่คนกลุ่มนี้จะเป็นเหยื่อของการแพทย์นอกระบบ ซึ่งมักอยู่ในที่ห่างไกลจากตัวเมือง คนไข้เข้าถึงได้เร็ว ไม่ต้องใช้เวชระเบียนให้เบื่อหน่าย  จากตัวอย่างลักษณะของผู้ที่มีอาการภูมิต้านทานสมองบกพร่องนี้จะเห็นว่า การที่จะทำให้คนไทยมีสุขภาพดีถ้วนหน้านั้น คงต้องทำการกำจัดลักษณะดังกล่าวด้วยการวางพื้นฐานการศึกษาให้มีการกระตุ้นระบบภูมิต้านทานของสมองในการรับรู้ข้อมูลว่า ข้อมูลด้านสุขภาพที่ได้รับนั้นเป็นข้อมูลถูกหรือผิดเสียก่อน เพื่อให้การบริโภคสินค้าหรือบริการด้านสุขภาพนั้นเป็นไปในทางที่ไม่มีการหลอกลวง  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 127 วัคซีนสมอง (เข็มที่ 1) โฆษณามหาหลอก

  ผู้เขียนเคยได้ดูรายการโทรทัศน์ที่มีวิทยากรออกมาให้คำจำกัดความของ โฆษณา ว่า เป็นการสร้างการรับรู้ของผู้บริโภค โดยการให้ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ การโฆษณานั้นจะมีเป้าหมายที่แน่นอนว่า ผู้รับข้อมูลเป็นวัยรุ่น วัยทำงาน หรือวัยใกล้แย้มฝาโลง เป็นต้น  เป้าหมายของการโฆษณาในแต่ละวัยนั้นจำแนกย่อยได้อีกเช่น วัยรุ่นไร้สมอง(พวกไร้สิ่งยึดเกาะทางจิตใจ ต้องหาไอดอลไว้สักการะ) วัยรุ่นขี้เกียจเรียน(ประเภทอยากเอ็นติดมหาวิทยาลัยดีๆ แต่ขี้เกียจเรียนเลยต้องกินสินค้าที่เข้าใจว่าเพิ่มความคิดให้สมอง) เป็นต้น สำหรับวัยใกล้แย้มฝาโลงก็คงต้องแบ่งเป็นหญิงและชาย เช่น ขายสินค้ากันหน้าเหี่ยว อกย้อย ไร้สมรรถนะความเป็นชาย เป็นต้น  นอกจากนี้การโฆษณายังรวมทั้งการสื่อในวัตถุประสงค์ที่ทำให้องค์กรดูมีคุณค่าเช่น บางองค์กรหารับประทานแบบผูกขาดการทำลายสิ่งแวดล้อมทั้งอากาศและน้ำ แต่ออกมาปลูกป่าบ้างเป็นครั้งคราว  เขาทำโฆษณากันอย่างไร  ในการทำโฆษณานั้น ผู้ที่คิดโฆษณาจะคิดตัวโฆษณาโดยอาศัยความเชื่อของผู้บริโภค และมาตรฐานการกำกับดูแลเรื่องโฆษณาในแต่ละประเทศเป็นพื้นฐานสำคัญ แต่ที่เป็นลักษณะร่วมของการโฆษณาคือ การให้ข้อมูลเฉพาะด้านดีของสินค้าเท่านั้น ส่วนที่เป็นปัญหาเนื่องจากสินค้าจะมีการเม้มริมฝีปากไว้ไม่ให้มันหลุดรอดออกมาให้ผู้บริโภคได้ยิน โดยหมายว่าให้ผู้บริโภคไปมีประสบการณ์ตรงเอาเอง เหมือนเป็นการสนองตอบนโยบายของหลายโรงเรียนที่พยายามให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางการศึกษาที่เด็กๆ เรียกว่า ควายเซนเตอร์ การโฆษณานั้นไม่ว่าจะเป็นทางโทรทัศน์ วิทยุ แผ่นพับ เศษกระดาษปลิว หรืออื่น ๆ อาจแบ่งแบบง่าย ๆ โง่ ๆ ได้เป็น การโฆษณาตรงๆ ชนิดจะขายอะไรก็บอกเลยจะขาย ขอให้ผู้บริโภคเชื่อแล้วมาซื้อเถอะไม่ผิดหวังได้เสียเงินแน่ แต่ไอ้ที่จะได้รับการตอบแทนแบบที่ต้องการนั้นคนทำโฆษณาไม่รู้ด้วย เพราะคนทำโฆษณาไม่ได้เป็นคนทำสินค้า การโฆษณาแบบนี้บางครั้งก็ไม่ได้เป็นการหลอกลวงอะไรเช่น การโฆษณายาถ่ายพยาธิ ซึ่งต่างกับการโฆษณาขายขยะที่ถูกทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มที่มักอวดอ้างสรรพคุณเกินเลยความจริง  แบบที่สองเป็นการโฆษณาแบบประชาสัมพันธ์ เป็นการทำเพื่อให้คนสามารถจดจำชื่อบริษัทได้ว่ายังมี brand นี้อยู่ในโลกนะ เพราะสินค้าของบริษัทนั้นได้ติดตลาดแล้ว ไม่ต้องโฆษณาก็น่าจะอยู่ได้ แต่ไม่ไว้ใจเสียทีเดียว เนื่องจากลูกค้าขาประจำนั้นก็แก่ไปตามวันเวลา ลูกของลูกค้าอาจไม่รู้จักสินค้าหรืออาจบอกว่า เนื่องจากเป็นสินค้าที่พ่อแม่ใช้ มันเลยต้องเชยระเบิด เพราะพ่อแม่อยู่ในยุค baby boom แต่ลูกมันเป็นพวก generation XYZ ขืนใช้สินค้า brand เดียวกันกับพ่อแม่เพื่อนล้อตาย ดังนั้นบริษัทจึงต้องหาทางดึงพวกลูกทรราชเหล่านี้ให้กลับไปมี brand royalty เหมือนพ่อแม่ ด้วยวิธีการต่างๆ แม้กระทั่งการหลอกลวง ประเภทที่สาม การโฆษณาแบบดูฉลาดแฝงความโง่ ซึ่งมักเห็นตามละครซิทคอม(ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ซิทคอมที่แท้จริง เนื่องจากเป็นการเปิดเทปเสียงคนหัวเราะ ปรบมือ ถ้าเป็นซิทคอมจริงต้องมีการหมุนกล้องไปให้เห็นว่า มีคนนอกกองถ่ายเข้าไปนั่งดูแล้วเอ็นจอยไปด้วย) คนทำโฆษณามักคิดว่าต้องทำแบบนี้เพราะคนไม่ชอบดูโฆษณาตรง ต้องหาวิธีแฝงเช่น เอาถ้วยกาแฟที่มียี่ห้อไปวางบนโต๊ะอ่านข่าว เอาป้ายโฆษณาสินค้าไปแปะที่หลังคาตึกแถวเวลาถ่ายช็อตอินเสิร์ตก่อนเข้าฉากจริง เหล่านี้แสดงความขี้เท่อของการโฆษณาออกมาโดยแท้  มีประเด็นหนึ่งที่น่าประหลาดใจคือ ไม่มีการกำหนดให้การโฆษณาสินค้าต้องบอกราคากลางของสินค้า เพื่อให้ผู้บริโภคได้ใช้เป็นเครื่องตัดสินใจในการซื้อสินค้านั้น ดังนั้นสินค้าที่มาจาก lot เดียวกัน จึงอาจมีราคาที่ต่างกันเมื่อซื้อต่างแหล่งขาย ยกเว้นกรณีของน้ำมันที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ ซึ่งรัฐคุมราคาไว้ให้ใกล้กัน เพราะบางทีคนละยี่ห้อก็มาจากโรงกลั่นเดียวกัน ไม่ต้องโฆษณาหลอกให้มากนักผู้บริโภคก็ตัดสินใจซื้อ โดยความรู้สึกว่า เป็นบริษัทของคนไทยหรือต่างด้าว ซึ่งคล้ายๆ เป็นการวัดใจในความรักชาติไปกลายๆ  ลักษณะโฆษณาเอาเปรียบผู้บริโภค โฆษณาที่เอาเปรียบผู้บริโภคนั้นมีมากมาย เช่น กรณีบริการอินเตอร์เน็ตบอกว่าเร็วถึง 6.0 Mb นั้น เมื่อมีผู้นำไปทดสอบจริงในบริเวณที่เป็นแหล่งที่ควรจะมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตเร็ว เช่น สยามสแควร์นั้นกลับพบว่ามีความเร็วจริงแค่ 0.1 Mb บริษัทจะตอบโต้ทันทีว่า เพราะมีคนบ้าเน็ตอยู่แถวนั้นเยอะ อยากให้เร็วจริงก็ต้องไปเล่นแถวบางกระเจ้าสมุทรปราการหรือบางระมาดใกล้พุทธมณฑลสิ จะได้เร็วตามที่โฆษณาไว้  บางครั้งก็มีการโฆษณาสินค้าแบบปิดๆ เปิดๆ เช่น นำคนที่ไม่ใช่ทันตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจริงๆ มายืนหันหลังแนะนำผลิตภัณฑ์ยาสีฟัน โดยบอกในโฆษณาว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญที่โดยจรรยาบรรณแล้วให้เห็นหน้าไม่ได้ ลักษณะนี้เป็นการพิสูจน์อย่างหนึ่งว่า รัฐไม่ได้ดูแลหรือไม่อยากดูแลในเรื่องนี้ ปล่อยให้คนออกมาโกหกได้ในที่สาธารณะ  ความจริงแล้วในประเด็นการโกหกผ่านสื่อนั้นน่าจะมีการควบคุมอย่างจริงจัง เช่น ถ้าพรีเซนเตอร์บอกว่าดื่มสินค้านี้เป็นประจำทุกวันในโฆษณา พร้อมทำท่าเปิดตู้เย็นที่มีแต่เครื่องดื่มที่โฆษณา ทั้งที่ในสถานการณ์จริงแล้วรากแตกออกมาทุกครั้งที่ลองดื่ม ก็น่าจะมีกฎหมายสักข้อที่จะลงโทษฐานหลอกลวง หรืออย่างน้อยองค์กรทางศาสนาน่าจะออกมาประณามว่าเป็นคนผิดศีลข้อ 4  ในเรื่องการผิดศีลข้อ 4 นี้ผู้เขียนได้ดูรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งชื่อ ทีวีธรรมดา ซึ่งออกอากาศทางไทยพีบีเอสแต่ต้องไปดูย้อนหลังใน youtube เพราะในเว็บของไทยพีบีเอสผู้เขียนหาไม่พบ เป็นตอนชื่อ คนหลอกคน ซึ่งมีดาราที่น่าสนใจมาออกรายการและได้เปิดประเด็นว่า การผิดศีลข้อ 4 นั้นเป็นเรื่องที่ร้ายแรง เพราะมันเป็นการไปก่อให้เกิดการผิดศีลข้ออื่นได้อีก ผู้เขียนลองนั่งหาตัวอย่างเอง(เพราะผู้ร่วมรายการมีเวลาน้อยที่จะยกตัวอย่าง) ก็นึกได้ว่า ตัวแทนขายรถ(ไม่ว่ายี่ห้อใด) ถ้ามีศีลข้อ 4 ควรจะบอกลูกค้าว่า รถของบริษัทนั้นมันก็ดีอยู่ถ้าไม่ขับเร็วเกินไป เช่น ถ้าเหยียบเกิน 150 กม ต่อชั่วโมงแล้ว โอกาสไปเกิดใหม่(ซึ่งอาจไม่ได้เป็นคน) จะสูงมาก ดังนั้นถ้ายังอยากเป็นคนอยู่ควรขับไม่เกิน 100 กม ต่อชั่วโมง ซึ่งก็มีสิทธิได้ใบสั่งจากตำรวจแล้ว อีกตัวอย่างคือ การโฆษณาขายเครื่องดื่มที่มีแทนนินสูง เช่น ชา นั้น น่าจะบอกผู้บริโภคว่า กินมากอาจอึแข็งได้ ซึ่งถ้าเป็นนานๆ ไปอาจกลายเป็นริดสีดวงทวาร หรือถ้าไม่มีอาการอึแข็งก็หมายความว่าสินค้านั้นเป็นน้ำล้างถุงชา เพราะเขารู้กันมาตั้งแต่พระเจ้าจิ๋นซีฮ๋องเต้ยังไม่ตายว่า การดื่มชาแก่ๆ ทำให้อาการถ่ายท้องหยุดชะงัดนัก และถึงชานั้นชงไม่แก่ก็ทำให้ถ่ายลำบากบ้างพอควรในหลายคน ผู้ใหญ่สมัยก่อนจึงห้ามเด็กดื่มน้ำชากาแฟเนื่องจากมันทำให้สุขภาพไม่ดีเพราะท้องผูก และนอนไม่หลับ  อย่างไรก็ดีโฆษณาที่ดูถูกปัญญาของผู้บริโภคนั้นได้มีการถูกตอบโต้บ้างเหมือนกัน ผู้เขียนได้มีโอกาสไปพบการพิสูจน์ของผู้บริโภคที่ลุกขึ้นมาบอกว่า โฆษณานั้นไม่เป็นความจริงเลย โดยมีผู้บริโภคสตรีลุกขึ้นมาบอกในเว็บ http://www.sudtua.com/index.php?topic=5423.0;wap2 ว่า ผ้าอนามัยที่มีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายยี่ห้อ และบ้างก็พัฒนาไปถึงขนาดมีกลิ่นชาเขียว  นั้น คุณเธอกล่าวว่าได้ลองมาหมดแล้ว ทั้งแบบไม่มีปีก มีปีก แบบยาวจนถึง 35 เซนติเมตร รวมถึงบางยี่ห้อที่บอกว่ามีเส้นใยพิเศษเหมือนมีชั้นล็อคสามชั้นกันการซึมเปื้อนไม่หวั่นแม้วันมามาก ปรากฏว่าไม่ว่าจะมีปีกหรือไม่มีปีกนั้นมันช่างหลุดง่ายหลุดดายเสียจริงๆ บางทีแปะเสร็จแล้วชั่วเดินออกจากห้องน้ำ ปีกก็หลุด หรือแบบที่พรีเซนเตอร์ใส่แล้วตื่นนอนมาบอกว่าแห้งสนิทศิษย์ส่ายหน้านั้น จริงๆ แล้วตรงกันข้าม เป็นต้น   ดังนั้นจะเห็นว่า ตราบใดที่รัฐ โดยเฉพาะสภาที่เราเลือกคนเข้าไปทำหน้าที่ออกกฎหมาย ยังไร้ความสำนึกในการคุ้มครองผู้บริโภคในเรื่องการโฆษณาแล้ว รีโมทโทรทัศน์แบบขายถูกตามตลาดนัด ย่อมขายดีแน่เพราะตัวที่มากับโทรทัศน์นั้นถูกกดเปลี่ยนหนีโฆษณาที่คิดว่าผู้บริโภคโง่พังไปก่อนอายุอันควรนั่นเอง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 176 รู้เท่าทันวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่

เมื่อเร็วๆ นี้ มีการสอบถามกันจากเพื่อนๆ ทางไลน์และเฟสจำนวนมากว่า มีการชักชวนทางเว็บไซต์ให้ผู้สูงอายุไปฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เข็มละ 2,000 บาท ฉีดครั้งเดียวสามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้ตลอดชีวิต และมีการกล่าวอ้างให้ไปฉีดที่สภากาชาดไทย (ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวมีบริการฉีดวัคซีนประเภทต่างๆ จำนวนมาก)”  สามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้ตลอดชีวิตจริงหรือไม่  ถ้าจริงก็ยินดีที่จะเสียเงินเพราะคุ้มเนื่องจากไม่ต้องฉีดทุกปีเหมือนวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ฉีดให้ฟรีตามโรงพยาบาลต่างๆ       การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้จริงหรือไม่  ฉีดครั้งเดียวป้องกันได้ตลอดชีวิตจริงหรือไม่  เรามารู้เท่าทันวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่กันดีกว่า     จาการสืบค้นการทบทวนงานวิจัยใน PubMed และ Cochrane Library พบว่ามีการทบทวนประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่อย่างเป็นระบบ ดังนี้     ใน PubMed มีการตีพิมพ์บทความการทบทวนประสิทธิผลและประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่อย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์อภิมาณ(meta-analysis) โดยคัดกรองบทความ 5,707 บทความ พบบทความที่เกี่ยวข้อง 31 บทความ  พบว่า  ประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตาย (trivalent inactivated vaccine) แสดงผลใน 8 (67%) จาก 12 ฤดู (ผลรวมของประสิทธิผล 59% ในผู้ใหญ่อายุ 18-65 ปี และผลการป้องกันดังกล่าวจะลดลงอย่างมากหรือไม่มีผลเลยในบางฤดู  และยังไม่มีหลักฐานที่ดีพอในการป้องกันไข้หวัดใหญ่ในผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป  ประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็น (live attenuated influenza vaccine) แสดงผลใน 9 (75%) จาก 12 ฤดู  (ผลรวมของประสิทธิผล 83% ในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 7 ขวบ  ในเด็กที่อายุมากกว่านี้จะได้ผลน้อยลง  จึงจำเป็นที่จะต้องพัฒนาวัคซีนแบบใหม่ที่มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพที่รับรองแล้วในการลดการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตจากไช้หวัดใหญ่     ใน Cochrane Library ได้มีการทบทวนเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในงานวิจัยต่างๆ จำนวนมาก ทั้งในห้องสมุดคอเครน, MEDLINE (1966-2009) EMBASE (1974-2009)  และ Web of Science (1974-2009)  พบว่า  จากหลักฐานงานวิจัยต่างๆ ที่คัดกรองเข้ามาศึกษา 75 บทความ  บทความเหล่านี้มีคุณภาพการศึกษาที่ไม่ดีพอและไม่ยืนยันเกี่ยวกับความปลอดภัย ประสิทธิผล หรือประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นวัคซีนแบบเชื้อตายที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่  ในผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป   จึงควรที่จะมีการศึกษาแบบสุ่ม และมีกลุ่มควบคุม โดยทำการศึกษาในระยะเวลาหลายฤดู เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนและเชื่อถือได้     สรุปว่า ในขณะนี้ยังไม่หลักฐานทางการแพทย์หรือการวิจัยที่ดีพอ ที่จะยืนยัน นั่งยันได้ว่า วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายสามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่ในผู้สูงอายุได้อย่างจริงจัง ได้ผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  และในบางฤดูกาลกลับได้ผลน้อยหรือไม่ได้ผลเลย  ยกเว้นวัคซีนชนิดเชื้อเป็นจะได้ผลในเด็กเล็กก่อน 7 ขวบเท่านั้น  จึงควรที่ผู้สูงอายุจะกลับมาที่การดูแลสุขภาพตนเอง  ออกกำลังกายให้แข็งแรง  ป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่จากผู้อื่น จะเป็นสิ่งที่ได้ผลมากกว่าการฉีดวัคซีน    คงต้องเพิ่มอีกข้อในกาลามสูตรว่า อย่าเชื่อเพราะไลน์หรือเฟสส่งต่อกันมา (มา อนุสฺสเวน)  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 81 วัคซีน ความจำเป็นหรืออุบายขายโรค

โลกยุคนี้ข้อมูลข่าวสารเป็นเรื่องสำคัญมาก ให้ผลได้ทั้งบวกและลบกับทุกคนบนโลกใบนี้ ยิ่งเป็นข้อมูลด้านสุขภาพ ยิ่งสำคัญ และยิ่งต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะข้อมูลที่ถูกนำเสนอเพื่อให้ซื้อหรือใช้บริการบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเด็ก  คุณพ่อคุณแม่ยิ่งต้องให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ ฉลาดซื้อสนใจทำสำรวจ เรื่องการบริการวัคซีนในโรงเรียน ด้วยเหตุจากผู้ปกครองหลายคนสอบถามเข้ามาว่า จดหมายที่โรงเรียนนำมาแจกให้และมีข้อความเชิญชวนให้ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคให้ลูกหลานนั้นจะทำอย่างไรดี ควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อดี  ฉลาดซื้อจึงจัดเวทีเล็กๆ ร่วมกับเครือข่ายพ่อแม่เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ พบว่า ยังมีผู้ปกครองหลายคนที่ไม่รู้เรื่องการให้บริการวัคซีนอย่างเพียงพอสำหรับการตัดสินใจ ส่วนใหญ่ก็จะยินดีให้เด็กรับวัคซีนไว้ก่อน นัยว่า “กันไว้ดีกว่าแก้”  ข้อดีคือป้องกันย่อมดีกว่ารักษา แต่ค่าบริการก็ไม่ใช่น้อยๆ และบางครั้งก็เป็นการฉีดวัคซีนซ้ำซ้อน สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุฉลาดซื้อร่วมกับเครือข่ายพ่อแม่ จึงได้ลองทำแบบสำรวจเล็กๆ เพื่อวัดความรู้เรื่องวัคซีนของคุณพ่อคุณแม่ขึ้น และดูแนวโน้มของการเสนอบริการวัคซีนทางเลือกที่รุกเข้าสู่สถานศึกษา  แบบสอบถามทั้งหมดได้จากผู้ปกครองจากโรงเรียนประเทืองทิพย์ พระมหาไถ่  สายน้ำทิพย์ อนุบาลโชคชัย  สายน้ำผึ้ง เทพศิรินทร์ วัฒนาวิทยาลัย และอื่นๆ จำนวน 301 ราย  เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษา ร้อยละ 78.4 ชั้นมัธยมศึกษาร้อยละ 21.6   ผู้ตอบคำถามส่วนใหญ่เป็นคุณแม่อายุ 31-45 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี  ร้อยละ 46.7 มัธยมปลาย ร้อยละ 21 ซึ่งส่วนใหญ่ร้อยละ 78 คิดว่า บุตรของตนได้รับวัคซีนครบตามมาตรฐาน แต่ความจริงคือ… วัคซีนบังคับ หมายถึง วัคซีนที่รัฐจัดบริการให้ฟรีแก่เด็กตั้งแต่แรกเกิด  เพื่อลดอัตราการป่วยและตายจากโรคติดเชื้อต่างๆ ได้แก่ วัณโรค ไวรัสตับอักเสบบี คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน โปลิโอ หัด หัดเยอรมัน คางทูม ไข้สมองอักเสบ (เด็กทุกคนจะมีสมุดคู่มือการฉีดวัคซีนประจำตัว)วัคซีนบังคับ...ไม่รู้ว่าฟรีจึงต้องเสียสตางค์จากการสำรวจของฉลาดซื้อพบว่า วัคซีนวัณโรค ร้อยละ 88.7 คิดว่าได้รับแล้ว ในจำนวนนี้ ร้อยละ 87.9 ได้รับที่โรงพยาบาล  ส่วนใหญ่แล้วโรงเรียนจะดำเนินการให้วัคซีนนี้ซ้ำในระดับป.1แต่มีผู้ตอบว่า ได้รับวัคซีนตัวนี้ที่โรงเรียนเพียง ร้อยละ 0.8 ซึ่งหมายถึง อาจมีปัญหาด้านการสื่อสารระหว่างโรงเรียนและผู้ปกครอง เช่นเดียวกับวัคซีนคอตีบ บาดทะยักซึ่งเด็กนักเรียนควรได้รับครั้งที่ 5 เมื่อชั้น ป. 6 แต่มีผู้ปกครองตอบมาว่า ได้รับจากโรงเรียนน้อยกว่าร้อยละ 1วัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ และตับอักเสบบี เป็นวัคซีนบังคับซึ่งผู้ปกครองมากกว่าร้อยละ 90 คิดว่า ได้รับแล้วที่โรงพยาบาลเป็นส่วนใหญ่   วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม ซึ่งเป็นวัคซีนบังคับเช่นกันต้องได้รับสองครั้งที่อายุ 9 เดือน และ 5 ปี รวมทั้งวัคซีนไข้สมองอักเสบที่ต้องได้รับสามครั้งที่อายุหนึ่งปี เป็นต้นไป แต่ผู้ปกครองรับรู้ว่าได้รับวัคซีนทั้งสี่ชนิดนี้แล้วเพียงร้อยละ 80-85 เท่านั้น  ส่วนใหญ่ได้รับที่โรงพยาบาล ผู้ปกครองรับรู้ว่า โรงเรียนมีส่วนในการให้วัคซีนนี้เพียงร้อยละ 1.8 1สำหรับหัดเยอรมัน วัคซีนอีกสามชนิด โรงเรียนมีส่วนในการให้ต่ำกว่าร้อยละ 1วัคซีนชุดนี้รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดหาวัคซีนแก่เด็กทั้งหมดอย่างเพียงพอ และเด็กทุกคนต้องได้รับโดยไม่ต้องจ่าย อย่างไรก็ตามผู้ปกครองส่วนใหญ่ยังคงจ่ายค่าวัคซีนในการฉีดที่คลินิก โรงพยาบาล โดยไม่ได้รับรู้เรื่องการจัดสรรงบประมาณโดยรัฐบาล มีเพียงโปลิโอเท่านั้นที่ผู้ปกครองร้อยละ 82 คิดว่า รัฐบาลจัดหาวัคซีนให้ฟรี สำหรับวัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยักนั้นผู้ปกครองร้อยละ 58 รับรู้เรื่องการฉีดฟรี  วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม และตับอักเสบบีนั้นผู้ปกครองรับรู้เพียงร้อยละ 37-39  และน้อยกว่าร้อยละ 29 ในไข้สมองอักเสบวัคซีนทางเลือก หรือวัคซีนนอกโปรแกรมบังคับ เป็นวัคซีนที่ไม่จำเป็นต้องฉีดในเด็กทุกราย แต่สามารถเลือกฉีดได้ตามความเหมาะสม เช่น มีการระบาดของโรคติดเชื้อบางอย่าง หรือเด็กต้องอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อโรคติดเชื้อบางชนิด เช่น วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โรคอีสุกอีใส เป็นต้นวัคซีนนอกโปรแกรมบังคับวัคซีนนอกโปรแกรมบังคับซึ่งมีในตลาดมานานระยะหนึ่งแล้ว  เช่น วัคซีนไวรัสตับอักเสบ เอ ซึ่งสามารถให้ได้ตั้งแต่อายุสองปีครึ่ง มีผู้ปกครองรับรู้ว่าบุตรได้รับแล้วร้อยละ 68 โดยเป็นการได้รับที่โรงเรียนร้อยละ 1.8 เท่านั้น เช่นเดียวกับวัคซีนป้องกันโรคสุกใส ซึ่งสามารถให้ได้ตั้งแต่อายุหนึ่งปีเป็นต้นไป มีผู้ปกครองรับรู้ว่าบุตรได้รับแล้วร้อยละ 50 โดยเป็นการได้รับที่โรงเรียนร้อยละ 1.5 เท่านั้น  สำหรับวัคซีนใหม่นั้นได้แก่     ไข้หวัดใหญ่  IPD  มะเร็งปากมดลูก มีผู้ปกครองรับรู้ว่าบุตรได้รับแล้วร้อยละ 30, 17, 0.5 ตามลำดับ โดยที่วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีการให้ที่โรงเรียนในสัดส่วนสูงกว่าวัคซีนอื่นคือร้อยละ 8อย่างไรก็ตามวัคซีนใหม่เหล่านี้มีราคาสูงเนื่องจากไม่เป็นวัคซีนบังคับ รัฐบาลมิได้จัดการกลไกการตลาดเพื่อลดราคา ขณะเดียวกันนักวิชาการได้ให้ข้อมูลประชาชนในวงกว้างในเรื่องความจำเป็น คุณประโยชน์ที่ได้รับ ประกอบกับโรงพยาบาลเอกชนมีการเดินตลาดโรงเรียนเพื่อขายวัคซีนเป็นลอตใหญ่ๆโดยร่วมมือกับโรงเรียนออกจดหมายถึงผู้ปกครองลักษณะการสื่อความรู้ กระบวนการดังกล่าวเป็นการให้ความรู้แก่ผู้ปกครองก็จริงแต่เป็นการกดดันผู้ปกครองให้ไม่มีทางเลือก เนื่องจากไม่มีเหตุผลใดจากข้อมูลที่ได้รับที่จะตัดสินใจไม่ให้ลูกฉีดวัคซีน นอกจากไม่ยอมจ่ายเงินเท่านั้น หากวัคซีนใหม่เหล่านี้มีความจำเป็นจริง นักวิชาการควรดำเนินการแสดงประโยชน์และความคุ้มทุนต่อรัฐบาล เพื่อต่อรองให้เด็กทุกคนได้รับเท่าเทียมกัน  การขายวัคซีนนั้นไม่ควรให้มีการเดินซื้อขายผ่านโรงเรียนยอย่างเสรีโดยพนักงานขายตรง และให้ข้อมูลสุขภาพเชิงโฆษณาแม้ว่าข้อมูลจะมีประโยชน์ก็ตาม แต่เป็นการสร้างความไม่เท่าเทียมกันในการป้องกันโรค โดยซ่อนเร้นการไม่ยอมแก้ไขกลไกตลาดเพื่อลดราคาลง ทั้งนี้ทั้งนั้นประโยชน์มิได้คำนึงถึงเด็กที่จะได้รับวัคซีนนี้น แต่คำนึงถึงกำไรสูงสุดที่บริษัทผู้ผลิตจะได้รับ รวมทั้งผลประโยชน์เล็กน้อยที่โรงพยาบาลและโรงเรียนจะได้รับเป็นค่ายี่ปั๊ว

อ่านเพิ่มเติม >