ฉบับที่ 227 ทำไมยิ่งขัดผิว ผิวยิ่งหมอง

        ผิวโดยเฉพาะผิวหน้า หากได้ขัดหรือสครับอย่างถูกวิธี จะช่วยให้ผิวดูสดใส เปล่งปลั่ง แต่หากทำผิดวิธี และละเลยข้อจำกัดบางอย่าง แทนที่จะได้ผิวสวยก็จะได้ผิวหมองมาแทน          ทำไมจึงต้องสครับผิว         ธรรมดาผิวพรรณคนเราจะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเป็นปกติ ช่วงขณะเปลี่ยนผ่านหากมีการช่วยจากภายนอก เช่น การขัดผิวหรือสครับผิวเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปผิวจะดูขาวใสขึ้น สะอาดตาขึ้น  แต่ต้องไม่ไปรบกวนผิวจนเกินไป เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเข้าใจหลักการเสียก่อน ด้วยว่าถ้าทำผิดวิธี จากผิวสวยๆ จะกลายเป็นผิวเสียแทน         การสครับผิวต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง         1.รู้จักผิวตัวเอง และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพผิว ลักษณะของผิวหน้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน แบ่งได้เป็นสี่แบบ คือ ผิวธรรมดา จริงๆ คือผิวที่มีสุขภาพดีเพราะมีความสมดุลไม่แห้งหรือมันจนเกินไป มีความเรียบเนียนไม่แพ้ง่าย นับว่าเป็นผิวในอุดมคติ ผิวแห้ง อธิบายถึงสภาพผิวที่ขาดความชุ่มชื้นจากน้ำมันธรรมชาติบนผิว ผิวจึงหยาบกร้านและแตกลอกง่าย ผิวมัน คือสภาพผิวที่มีการผลิตความมันในปริมาณที่มากเกินไป สังเกตได้ถึงรูขุมขนที่กว้างผิวดูมัน เงา และสุดท้ายคือ ผิวผสม บ่งบอกถึงผิวที่ประกอบด้วยประเภทของผิวมากกว่าหนึ่งประเภทอยู่ด้วยกัน เมื่อจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับการขัดหรือสครับหน้า ต้องอ่านฉลากให้ดี และไม่เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสารประกอบที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวตัวเอง อย่าคิดเองว่าใช้อะไรก็ได้         2.สภาพผิวไม่พร้อม อย่าสครับ โดยเฉพาะถ้ามีสิวอักเสบ ควรรักษาสิวให้หายเสียก่อน เพราะหากฝืนขัดผิวหน้าทั้งที่สิวยังอักเสบ จะยิ่งเกิดสิวอักเสบลุกลามมากขึ้น         3.อย่าขัดอย่างรุนแรง หลายครั้งที่เราเลือกผลิตภัณฑ์ขัดผิวแบบที่ขายทั่วไป ต้องอ่านฉลากให้ดี หลายผลิตภัณฑ์ผสมเม็ดบีด (bead)  ซึ่งเป็นเม็ดพลาสติก หรือเป็นสารสังเคราะห์ที่มีชื่อบนฉลากว่า Polyethylene นั่นเอง เจ้าสารเคมีตัวนี้ จะลื่นมัน ยืดหยุ่นดี จึงใช้สครับผิวได้ แต่เปลี่ยนมาเป็นวัสดุจากธรรมชาติจะอ่อนโยนมากกว่า         4.ไม่ขัดผิวบ่อยเกินไป ควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ก็พอ หากขัดมากเกินไปก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่น ๆ ได้ง่าย         5.หลีกเลี่ยงการสครับผิวขณะผิวแห้ง การใช้ผลิตภัณฑ์สครับหน้าควรใช้น้ำเป็นตัวหล่อลื่น และควรทำความสะอาดผิวก่อนที่จะลงมือสครับผิว         ขั้นตอนสครับผิวหน้า         ควรเริ่มต้นด้วยการล้างหน้าหรือร่างกายให้สะอาด เพื่อไม่ให้สิ่งสกปรกบนผิวมีโอกาสแทรกเข้าไปในผิว จากนั้นนำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบาๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบา ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียนใช้น้ำล้างออกให้สะอาดซับให้แห้งแล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 225 วิธีลดปัญหาผิวเปลือกส้ม

        นึกภาพผิวเปลือกส้มออกไหม ถ้ามาปรากฎบนผิวกายเรา มันจะดูไม่สวยเพราะมีสภาพเหมือนเป็นรอยตะปุ่มตะป่ำ นูนๆ หรือลอนคลื่นบนผิว ไม่เรียบเนียนสวยงาม ผิวเปลือกส้มนี้ เรียกอีกอย่างว่า เซลลูไลท์(Cellulite)  ซึ่งใครมีโอกาสเป็นได้บ้าง ถ้าเป็นแล้วจะดูแลอย่างไร มาดูกัน         สาเหตุที่ทำให้เกิดผิวเปลือกส้ม ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจน แต่เชื่อว่าเกิดจากการสะสมของไขมันที่มากเกินไปใต้ชั้นผิวหนังตื้นๆ ในบริเวณที่เลือดไหลเวียนไม่ดี จนทำให้ผนังชั้นหุ้มเซลล์เกิดผิวที่ขรุขระแตกลาย ดูไม่สวยงามคล้ายกับผิวเปลือกส้ม          อย่างไรก็ตามหากประมวลจากปัจจัยหลายอย่างที่พบบ่อยว่า น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผิวเปลือกส้ม พอสรุปได้ดังนี้          1.ไม่ค่อยขยับร่างกาย อยู่ในท่าเดียวนานๆ ทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดขัดข้อง         2.ขาดการออกกำลังกาย        3.การรับประทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง        4.การอดอาหารอย่างหนักเพื่อให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว        5.การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน        6.ดื่มน้ำน้อยกว่าปกติ        7.ดื่มแอลกอฮอล์ เซลล์จะสูญเสียน้ำ และยังลดประสิทธิภาพของตับ ทำให้ตับขจัดสารพิษได้ไม่ดี        8.ความเครียด ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัว        9.ท้องผูก        10.พันธุกรรมและเชื้อชาติ คนยุโรปจะมีเซลลูไลท์มากกว่าคนเอเชีย        ดูแบบนี้เหมือนผิวเปลือกส้มจะเกิดกับคนอ้วนใช่ไหม ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่เลย เซลลูไลท์หรือผิวเปลือกส้มไม่ได้เกิดเฉพาะในคนที่มีน้ำหนักตัวมากเท่านั้น คนผอมก็สามารถมีได้เช่นกัน และเกิดขึ้นในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยเฉพาะกับผู้ชายที่อ้วนมาก ๆ         วิธีรักษาเซลลูไลท์ ไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่ดูแลได้ด้วยการทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การลดน้ำหนักในคนที่อ้วน(แต่ต้องเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป) การออกกำลังกาย(การออกกำลังกายแบบแอโรบิกและการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อการเคลื่อนไหวเพื่อกระชับผิว) ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน ควบคุมอาหารหวาน มัน และการนวดผิวหนังเพื่อกระชับกล้ามเนื้อ 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 224 เครียดทำหมดสวย

        ขณะกำลังเค้นสมองคิดว่า “สวยอย่างฉลาด” ฉบับนี้จะนำเสนอเรื่องอะไรดี ก็เริ่มรู้สึกตัวว่าหัวคิ้วชนกันแน่น และกล้ามเนื้อใบหน้าเกร็งนิดๆ ใช่แล้ว อาการเครียดนั่นเอง นี่แหละศัตรูตัวร้ายอันดับต้นๆ ที่ทำให้เราหมดสวย         ไปค้นนิยามเรื่องความเครียดจากกรมสุขภาพจิต ได้ความว่า  ความเครียดนั้นเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบโต้ต่อสภาพแวดล้อม  ความเครียดเป็นประสบการณ์เฉพาะตัวของแต่ละบุคคลในสภาวการณ์อย่างเดียวกันร่างกายจะแสดงออกเวลามีความเครียดโดยมีความดันโลหิตสูงขึ้นกว่าปกติชีพจรเต็นเร็วขึ้น หายใจถี่ขึ้น  หัวใจจะทำงานมากขึ้น  และกล้ามเนื้อจะเกร็ง ปฏิกิรยาเหล่านี้เรียกโดยรวมว่าเป็นปฏิกิรยาของการ “จะสู้หรือจะถอยหนี ”         ความจริงเมื่อเกิดความเครียดมันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งกายและใจ แน่นอนว่าผิวพรรณย่อมได้รับผลตามไปด้วย ลองมาสังเกตชัดๆ ว่ามีอะไรบ้าง         กลิ่นตัวแรง เวลาวิตกกังวลร่างกายจะหลั่งเหงื่อออกมามาก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของกลิ่นตัว         แผลอักเสบ บางคนเวลาเครียดอาจเผลอแกะสิว เกาเนื้อตัวอย่างรุนแรงจนเกิดแผลและกลายเป็นผิวอักเสบ        บางคนความเครียดจะแสดงทางร่างกายด้วยอาการผมร่วง รังแคที่ผิวหน้า(เซ็บเดิร์ม)        ริ้วรอยเหี่ยวย่น เมื่อเครียดหัวคิ้วที่ย่นเข้าหากันจนเกิดร่องรอยลึก บางคนก็นอนไม่พอส่งผลให้ขอบตาดำคล้ำ        ที่กล่าวถึงนี้มีสาเหตุจากความเครียด และพอรู้สึกตัวว่าร่างกายไม่ปกติ ผิวพรรณไม่สดใส แก่ก่อนวัย ก็ยิ่งทำให้พลอยเครียดมากไปกว่าเดิม          การบำรุงผิวเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดจากความเครียด        แน่นอนว่าต้องไปกำจัดที่ต้นตอ คือ กำจัดความเครียดให้พ้นไป เมื่อร่างกายผ่อนคลาย จิตใจไม่วิตกกังวล การฟื้นฟูสภาพของผิวก็ไม่ยาก แต่ใช่ว่าจะกำจัดความเครียดกันได้ง่ายๆ บางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า กำลังอยู่ในสภาวะเครียด ฉะนั้นเราก็ต้องดูแลป้องกันผิวพรรณในระหว่างที่ค้นหาทางจัดการกับความเครียดเสียก่อน         สิว อาจเกิดจากอาการท้องผูก หรือฮอร์โมนที่ร่างกายหลั่งออกมาในช่วงเครียด ทางแก้คือรับประทานอาการที่มีกากใยสูง อาหารที่มีโพรไบโอติกช่วยเรื่องการระบาย ในส่วนผิวหน้าอย่าแกะเกาหรือใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรง อาจงดแต่งหน้าเพื่อให้ผิวได้ผ่อนคลายบ้าง         ผิวแพ้ง่าย เกิดผด ผื่นแดง อาการลมพิษอ่อน เนื่องจากภูมิคุ้มกันลดลง ควรรักษาตามอาการ ใช้ยาให้เหมาะสม อย่าปล่อยให้เกิดแผลอักเสบ         ถุงใต้ตาหรือขอบตาคล้ำ เพราะนอนไม่หลับ ดูแลด้วยผลิตถนอมผิวรอบดวงตา(อายครีม) หรือวิธีธรรมชาติอย่างการใช้แตงกวา ถุงชาวางบนผิวเปลือกตา (ควรศึกษาวิธีก่อนใช้) ผมลีบแบนหรือแตกปลาย เพราะอาจไม่มีเวลาหรือจิตใจจะดูแลเส้นผม ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงและหาเวลาดูแลเส้นผมมากขึ้น         ผมหลุดร่วง อาจเกิดจากการขาดสารอาหาร เนื่องจากเครียดจนไม่ได้กินอาหารที่มีประโยชน์ ต้องใช้การบำรุงทั้งจากภายใน รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ เพิ่มพวกโปรตีนมากขึ้น และดูแลภายนอกด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่รุนแรงต่อเส้นผม          หลักๆ คือสังเกตและให้เวลากับการดูแลตัวเอง อย่าปล่อยให้ความเครียดทำให้หมดสวยนะคะ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 223 ข้อคิดชีวิตนักช้อปออนไลน์

        ยุคนี้กระแสช้อปปิ้งออนไลน์มาแรง บรรดาร้านช้อปออนไลน์ทั้งหลายต่างหาโปรโมชั่นมาล่อตาล่อใจขาช้อปอย่างเราๆ ทั้งลดราคา 30 – 80%, ซื้อ 1 แถม 1, บางร้านก็ทั้งลดทั้งแถม จัดโปรโมชั่นกันขนาดนี้ ขาช้อปจะทนไหวได้อย่างไร อย่างเช่นเดือนที่ผ่านมาก็มี โปรโมชั่น 9.9 วันที่ 9 เดือน 9 ก็ทำให้บรรดาขาช้อปออนไลน์ทั้งหลายกระเป๋าเบาไปตามๆ กัน แต่เดี๋ยวก่อนการจัดโปรโมชั่นทั้งลดทั้งแถม ร้านค้าก็ถือเป็นโอกาสการระบายสินค้าใกล้หมดอายุอีกทางหนึ่งด้วย ต้องระวังกันไว้ให้ดี อย่างเช่นร้านค้าออนไลน์เจ้านี้         ภูผาหนุ่มออฟฟิศที่รักสินค้าลดราคาเป็นชีวิตจิตใจ ในมือถือของเขามีแอปพลิเคชันร้านค้าออนไลน์เพียบ ช่วงเดือนสิงหาคมเขาได้เข้าไปในแอปวัตสันออนไลน์ เห็นว่ากำลังจัดโปรโมชั่น สินค้าครีมบำรุงผิวยี่ห้อดัง ซึ่งลดราคา 30 – 70% ดูไปดูมาเห็นภาพโฆษณาโลชั่นทาผิวขนาด 600 ml ราคาถูกมาก รู้สึกไม่ไหวแล้วต้องจัด คุณภูผาคิดว่าอย่างไรเสียโลชั่นก็เก็บไว้ใช้นานๆ ได้ จึงสั่งไปจำนวน 10 ขวด รวมเป็นเงิน 1,240 บาท          ปัญหาอยู่ตรงที่เมื่อสินค้ามาส่งเขาเปิดสินค้าดูพบว่าเป็นโลชั่นที่ขวดยังเป็นรุ่นเก่า แต่ภาพโฆษณาในแอปตอนสั่งเป็นขวดรุ่นใหม่ที่ขายในปัจจุบัน และเมื่อดูวันหมดอายุก็พบว่า สินค้าจะหมดอายุภายในเดือนกันยายนนี้ เขารู้สึกว่าถูกร้านค้าหลอกและถูกเอาเปรียบ เพราะว่าได้สินค้าไม่ตรงกับโฆษณา ภาพในแอปใช้สินค้าขวดใหม่โฆษณาแต่ส่งสินค้าขวดเก่ามาให้ ทั้งสินค้ายังจะหมดอายุภายในเดือนกันยายนนี้ด้วย สั่งไปตั้ง 10 ขวด เดือนเดียวใช้อย่างไรก็ไม่หมด 10 ขวด         คิดจนปวดหัวจึงติดต่อไปยังคอลเซนเตอร์  02-2178899 เล่าเรื่องให้พนักงานฟัง พนักงานแจ้งว่าสามารถนำสินค้าไปเปลี่ยนได้ที่สาขาใกล้บ้าน แต่เมื่อนำไปเปลี่ยนที่วัตสัน สาขา โลตัสสุขุมวิท 50 พนักงานที่สาขากลับไม่ทราบเรื่อง(ไม่เป็นนโยบาย) จึงไม่รับเปลี่ยนสินค้า คุณภูผาจึงโทรศัพท์ไปยังคอลเซนเตอร์อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้พนักงานแจ้งว่ายังไม่ได้รับรายงานเรื่องที่คุณภูผาเคยร้องเรียนเลย  คุณภูผารู้สึกว่าถูกเอาเปรียบและบริษัทฯ ไม่มีแนวทางการแก้ปัญหาที่ชัดเจน จึงแจ้งมายังมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพื่อขอให้ช่วยเหลือดำเนินการต่อไป แนวทางการแก้ไขปัญหา        ศูนย์พิทักษ์สิทธิแนะนำว่าการกระทำของร้านค้าอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดเรื่องโฆษณาเป็นเท็จ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 22 และบทลงโทษอยู่ในมาตรา 47 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ        ดังนั้นศูนย์ฯ จึงได้ติดต่อไปยังคอลเซนเตอร์ของวัตสัน พนักงานอธิบายว่าผู้ร้องได้ร้องเรียนในวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุด พนักงานคอลเซนเตอร์วันนั้นจึงเพียงรับเรื่องไว้เท่านั้น เรื่องของผู้ร้องยังไม่ถูกส่งต่อให้บริษัท ทำให้บริษัทยังไม่ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้ร้อง สาขาที่ผู้ร้องไปคืนสินค้าและขอเงินคืน ไม่สามารถดำเนินการให้ได้ เพราะยังไม่มีต้นเรื่องคำสั่งจากบริษัทแจ้งเข้ามา         ศูนย์พิทักษ์จึงขอให้บริษัทฯ เร่งแก้ไขปัญหาโดยด่วนและเมื่อสอบถามถึงเรื่องการจัดโปรโมชั่นลดราคา พนักงานแจ้งว่า ปกติสินค้าช่วงโปรโมชั่นลดราคา ผู้ซื้อจะทราบอยู่แล้วว่าเป็นสินค้าเก่า บริษัทจะนำสินค้าเก่าใกล้หมดอายุมาลดราคาอยู่แล้วเป็นปกติ เพราะเป็นการลดล้างสต็อค อย่างไรก็ตามปัญหาของผู้ร้องรายนี้บริษัทดำเนินการแก้ไขปัญหาให้ผู้ร้องภายใน 1 วัน หลังจากศูนย์พิทักษ์เร่งให้ดำเนินการแก้ไขปัญหา         การกระทำของร้านค้าออนไลน์เจ้านี้เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างมาก และยังผลักภาระการรับรู้ให้ผู้บริโภคด้วย การจำหน่ายสินค้าออนไลน์เป็นการจำหน่ายโดยไม่เห็นสินค้า ร้านค้าควรแจ้งวันหมดอายุให้ผู้บริโภคทราบไม่ใช่อ้างว่าเป็นสินค้าลดราคาผู้บริโภคต้องทราบเอง ยิ่งกรณีของผู้ร้องรายนี้ถ้าผู้ร้องทราบก่อนว่าสินค้าจะหมดอายุภายในเดือนกันยายน ซึ่งในขณะซื้อสินค้าเป็นเดือนสิงหาคม ผู้ร้องคงไม่ซื้อสินค้าเป็นจำนวนมากแบบนี้         บรรดาขาช้อปทั้งหลายที่ถูกใจโปรโมชั่นลดราคา และของแถมทั้งหลาย อาจจะภาคภูมิใจที่ซื้อสินค้ามาได้ในราคาถูก แต่หารู้ไม่ว่าตนเองอาจจะตกเป็นช่องทางการระบายสินค้าอายุโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่นพ่อหนุ่มภูผาที่รักสินค้าลดราคาเป็นชีวิตจิตใจ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 223 ผู้สูงวัยดูแลผิวแห้งลอกเป็นขุยอย่างไรดี

        พอเลขอายุเริ่มสูงขึ้น สุขภาพผิวก็เสื่อมลงเป็นธรรมชาติอันยากจะเอาชนะ ผิวที่แห้งแตกลอกเป็นขุยในผู้สูงวัยเกิดจากการผลัดผิวของชั้นหนังกำพร้าที่ช้าลงไปเรื่อยๆ (ปกติผิวชั้นหนังกำพร้าจะเปลี่ยนเซลล์ใหม่ในเวลา 4 สัปดาห์)  ทำให้ผิวแตก เกิดขุยและคัน บางคนเกาจนกลายเป็นแผลอักเสบติดเชื้อ  ฉลาดซื้อจึงขอนำแนวทางการดูแลผิวแห้งมาฝากเพื่อช่วยให้อาการคันและอักเสบต่างๆ บรรเทาลง         ผลิตภัณฑ์ชำระล้าง        ถ้าสภาพผิวแห้งมากควรอาบน้ำโดยงดเว้นการใช้สบู่ ทั้งสบู่ก้อนและสบู่เหลว เพราะสบู่ส่วนใหญ่โดยเฉพาะสบู่เหลวมีสารชำระล้างที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อผิว หากจะเลือกใช้ควรเปลี่ยนเป็นสบู่เด็กหรือสบู่ที่ผลิตแบบธรรมชาติไม่ได้ใช้ไขมันสัตว์ ไม่ใส่สารชำระล้างที่แรง(สังเกตจากฟอง ฟองมากมักเกิดจากสารชำระล้าง) ไม่มีวัตถุกันเสียหรือแอลกอฮอล์         ครีมบำรุงผิว/โลชั่น        หลังอาบน้ำ ควรทาครีมบำรุงผิว โดยเลือกที่เนื้อครีมหนักเน้นให้ความชุ่มชื้น เลือกที่ไม่มีส่วนผสมของสารกันเสียอย่างพาราเบน แอลกอฮอล์ หรือเลือกใช้เป็นเบบี้ออยล์ชโลมผิว อาจรู้สึกเหนอะหนะแต่จะช่วยลดอาการผิวลอกเป็นขุยได้         เลี่ยงการอาบน้ำอุ่น        หลายท่านชอบอาบน้ำอุ่นหรือแช่น้ำอุ่นเพราะรู้สึกผ่อนคลาย แต่น้ำอุ่นสร้างความแห้งให้แก่ผิวโดยตรง ยิ่งสัมผัสนานผิวยิ่งแห้งดังนั้นควรเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น หรือหากต้องการผ่อนคลายควรแช่เฉพาะบางส่วนเช่น มือ เท้า         ใช้ครีมกันแดด        เมื่อต้องออกไปเผชิญแดดจัดจ้าควรปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยครีมกันแดด หรือสวมใส่เสื้อผ้าปิดบังผิวบริเวณที่มักลอกเป็นขุยเช่น แขน หน้าแข้ง หรือใช้ร่ม หมวกเพื่อลดความเสี่ยงจากแสงแดดแรงที่ส่งผลต่อผิวหนัง         ดูแลเรื่องอาหาร         ดื่มน้ำให้มาก งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่                 ไม่ใช้ยาประเภทคาลาไมน์                      เวลาเกิดผดผื่น บางคนนิยมใช้ยาคาลาไมน์หวังทาลดอาการคัน แต่รู้ไหมว่าผลข้างเคียงคือทำให้ผิวยิ่งแห้งตึง         สังเกตความผิวปกติของไฝหรือก้อนเนื้อบนผิว         หากไฝหรือตุ่มนูนบนผิวมีการขยายใหญ่ขึ้น หรือเกิดการอักเสบมีเลือดออก สีเปลี่ยนไป ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อหาสาเหตุและรักษาทันที         ผิวแห้งกร้านในผู้สูงอายุ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้เพราะเป็นเรื่องของผิวที่เสื่อมลงไปตามกลไกธรรมชาติ แต่สามารถดูแลและป้องกันไม่ให้เกิดอาการที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันได้ ผู้สูงอายุบางท่านอาจไม่สามารถจดจำหรือดูแลตัวเองได้ ลูกหลานควรใส่ใจและช่วยดูแลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของท่าน   

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 206 ฉีดเลือด เพื่อผิวอ่อนเยาว์

ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้กาลเวลาพรากความอ่อนเยาว์ของผิวหน้าไป จึงสรรหาสารพัดวิธีมาเอาชนะปัญหาดังกล่าว โดยหนึ่งในวิธีที่ยังได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลายก็หนีไม่พ้น “การฉีดเลือดเพื่อผิวอ่อนเยาว์” ซึ่งจะมีข้อมูลน่าสนใจหรือให้ผลลัพธ์ได้อย่างที่หลายคนปรารถนาหรือไม่นั้น เราลองไปหาคำตอบกันฉีดเลือดเพื่อผิวอ่อนเยาว์ คืออะไรหลักการฉีดเลือดเพื่อให้ผิวอ่อนเยาว์ขึ้นนั้น คือการนำเลือดตัวเองมาปั่นเพื่อให้ได้เกล็ดเลือด ที่เรียกว่า Growth Factors (โกรท แฟคเตอร์) ซึ่งเป็นสารที่สามารถเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในร่างกายของสิ่งมีชีวิต และมีความสามารถกระตุ้นให้เซลล์มีการเพิ่มจำนวนหรือเจริญเติบโตได้ โดยหลังจากได้เกล็ดเลือดดังกล่าวแล้ว ก็จะฉีดกลับเข้าไปที่ผิวหน้าในบริเวณที่ต้องการ เช่น ริ้วรอยเหี่ยวย่นต่างๆ บนผิวหน้า ทั้งนี้สถาบันเสริมความงามหลายแห่งที่นำวิธีการนี้มาบริการ อาจใช้ชื่อที่แตกต่างกันไป เช่น PRP (Platelet-Rich Plasma) หรือ Vampire Facelift เป็นต้น รวมทั้งบางแห่งอาจมีการผสมสารอื่นๆ เช่น คอลลาเจน/ อีลาสติน หรือใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เพื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งมักโฆษณาว่าการฉีดเลือดกลับเข้าไปที่ผิวนั้นสามารถทำให้ผิวกระจ่างใส ดูอ่อนวัย และสามารถให้ผลลัพธ์ได้ 1 – 2 ปี นอกจากนี้ยังมีความปลอดภัยสูงอีกด้วยฉีดเลือด ปลอดภัยสูงจริงหรือแม้การฉีดเลือดด้วยโกรท แฟคเตอร์ เพื่อการเสริมความงาม จะถูกโฆษณาถึงผลดีมากมายตามที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น แต่ในทางกลับกันกลับพบว่าวิธีการดังกล่าว ยังไม่ได้รับการยอมรับทางการแพทย์และยังถือว่าไม่ใช่วิธีการรักษาที่เป็นไปตามมาตรฐาน เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ภาวะแทรกซ้อนหรือการติดเชื้อได้ โดยสามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวหนังอักเสบบริเวณ ข้อบวมอักเสบ เกิดสิวหรือหนอง รวมทั้งยังทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งโลหิตได้ ส่งผลให้วิธีการดังกล่าวมักถูกใช้เพื่อรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะร่างกายขาดเกล็ดเลือด เกล็ดเลือดต่ำหรือโรคไข้เลือดออกเท่านั้นตรวจสอบ ก่อนรับบริการแน่นอนว่าการฉีดเลือด เพื่อหวังผลให้ผิวอ่อนเยาว์นั้นจะยังคงมีอยู่ และอาจเปลี่ยนชื่อเรียกไปเรื่อยๆ ดังนั้นผู้บริโภคอย่างเรา จึงควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสถาบันเสริมความงามที่เรากำลังจะเข้ารับบริการนั้น มีความปลอดภัยจริง โดยที่ผ่านมากรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้ออกประกาศ เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและค่าใช้จ่ายในการโฆษณาหรือประกาศเกี่ยวกับสถานพยาบาล เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับบริการในด้านระบบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ มาตรฐาน ปลอดภัยและไม่โฆษณาโอ้อวดเกินจริง ซึ่งผู้บริโภคสามารถสอบถามไปยังกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ว่าสถานบริการเสริมความงามดังกล่าว ได้รับอนุญาตให้โฆษณาข้อมูลหรือโปรโมชั่นต่างๆ หรือไม่ ผ่านทางเบอร์โทรศัพท์ 02-1397041 หรือที่เว็บไซต์ http://hss.moph.go.th/index2.phpทั้งนี้การโฆษณาดังกล่าว หมายถึง การกระทำไม่ว่าโดยวิธีใดๆ ให้ประชาชน เห็น ได้ยิน หรือทราบ ข้อความ เสียง หรือภาพ เพื่อประโยชนทางการค้า ซึ่งต้องขออนุมัติจากผู้อนุญาตก่อนจึงจะเผยแพร่ได้ทั้งนี้การโฆษณาดังกล่าว หมายถึง การกระทำไม่ว่าโดยวิธีใดๆ ให้ประชาชน เห็น ได้ยิน หรือทราบ ข้อความ เสียง หรือภาพ เพื่อประโยชนทางการค้า ซึ่งต้องขออนุมัติจากผู้อนุญาตก่อนจึงจะเผยแพร่ได้ (รวมทั้งการติดประกาศในลิฟต์ เสียงตามสาย สื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ) และหากพบว่าการโฆษณาดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ หรือเข้าข่ายเป็นเท็จ หรือโอ้อวดเกินจริง หรือน่าจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญ เกี่ยวกับการประกอบกิจการของสถานพยาบาล จะถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 4 พ.ศ.2559 ซึ่งมีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาทและให้ปรับอีกวันละไม่เกิน 1 หมื่นบาท จนกว่าจะระงับการโฆษณา หรือหากมีการโฆษณาโอ้อวดเกินจริง จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ปรับอีกวันละไม่เกิน 1 หมื่นบาทจนกว่าจะระงับการโฆษณา

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 203 ผิวเต่งตึงด้วยกรดไฮยาลูโรนิก (ตอนที่ 2)

มาต่อกันกับเรื่อง ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิก ซึ่งเป็นสารสำคัญสำหรับเซลล์ผิวหนัง ในการช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นทำให้ผิวไม่แห้งตึง โดยฉบับที่ผ่านมาเราได้พูดถึงกรดไฮยาลูโรนิกในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางกันไปแล้ว คราวนี้เราลองมาดูกรดไฮยาลูโรนิกในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกันบ้าง มารู้จักผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกันสักนิดผู้บริโภคส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและอาหารเสริมมีความหมายเดียวกัน แต่จริงๆ แล้วอาหารทั้ง 2 ประเภทนี้มีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อยตรงที่ “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร” คือผลิตภัณฑ์ที่ใช้รับประทานนอกเหนือจากการรับประทานอาหารตามปกติ และไม่สามารถใช้รับประทานแทนอาหารหลักได้ โดยมีสารอาหารหรือสารอื่นเป็นองค์ประกอบ และอยู่ในรูปแบบเม็ด แคปซูล ผง เกล็ด ของเหลวหรือลักษณะอื่น ซึ่งมีจุดมุ่งหมายให้บุคคลทั่วไปที่มีสุขภาพปกติรับประทาน ในขณะที่ “อาหารเสริม” จะหมายถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากอาหารจริงๆ เช่น ฟักทองบด ที่เป็นอาหารเสริมสำหรับเด็กเล็ก หรือ โจ๊กปั่น ที่เป็นอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาในการกินอาหาร ซึ่งมีจุดมุ่งหมายสำหรับใช้กินเป็นมื้อเสริมเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีวิตามินบางชนิดที่จัดเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอีกด้วย โดยผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อเองได้ตามท้องตลาดทั่วไป อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ต้องมีการควบคุมคุณภาพและได้รับการรับรองจาก อย. ซึ่งผู้บริโภคควรตรวจสอบก่อนซื้อมารับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิกแม้ปัจจุบันจะมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิกจำนวนมาก ซึ่งผู้บริโภคหลายคนรับประทานกันเป็นประจำอยู่แล้ว และเชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถช่วยชะลอความเหี่ยวย่นได้จริง แต่เราไม่ควรลืมว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก็ถือว่าเป็นอาหารประเภทหนึ่ง ซึ่งช่วยเสริมสารอาหารบางอย่างให้กับร่างกายตามที่กล่าวไว้ข้างต้น และไม่ควรถูกโฆษณาอวดอ้างในลักษณะสรรพคุณทางยาหรือเครื่องสำอาง เช่น เสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย บำรุงหัวใจ ลดการดูดซึมไขมัน ทำให้ผิวขาวเปล่งปลั่ง กระชับรูขุมขนหรือลดรอยเหี่ยวย่น เป็นต้น อย่างไรก็ตามเรามักพบว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหลายยี่ห้อตามท้องตลาด มักโฆษณาว่ามีฤทธิ์หรือให้สรรพคุณคล้ายกับยารักษาโรค จนทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่เกิดความสับสนหรือเข้าใจผิดได้เราจึงควรสำรวจผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก่อนตัดสินใจซื้อด้วยวิธีการง่ายๆ อย่างการอ่านฉลาก ซึ่งหากพบว่ามีเลขสารบบอาหาร 13 หลักก็แสดงให้ว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจัดเป็นอาหารและไม่มีสรรพคุณทางยาใดๆ แต่หากพบว่ามีเลขทะเบียนยา เช่น Reg. No. …/.. ก็หมายถึงผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจัดเป็นยารักษาโรค ซึ่งเราสามารถคาดหวังสรรพคุณหรือการออกฤทธิ์ต่อร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็นป้องกันโรค ส่งเสริมสุขภาพ บำบัด บรรเทา รักษาโรค หรือให้ออกฤทธิ์ในการเติมเต็มร่องลึกและทำให้ผิวหนังเต่งตึงขึ้น แต่ทั้งนี้ประสิทธิผลก็ขึ้นอยู่กับการดูดซึมของร่างกายแต่ละคนด้วยวิธีการง่ายๆ ในการตรวจสอบฉลากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนอกจากเราควรตรวจสอบเลขสารบบอาหาร 13 หลักแล้ว ยังมีรายละเอียดอื่นๆ ที่กฎหมายกำหนดให้ฉลากของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่จำหน่ายต่อผู้บริโภคต้องระบุ ดังนี้1. ชื่ออาหาร โดยมีคำว่า “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร” เป็นส่วนหนึ่งของชื่ออาหารหรือกำกับชื่ออาหาร 2. เลขสารบบอาหาร 3. ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า (แล้วแต่กรณี) 4. ปริมาณของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่บรรจุ 5. ชื่อและปริมาณของส่วนประกอบสำคัญของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และส่วนประกอบที่มีการกล่าวอ้างสรรพคุณ คุณประโยชน์ ในฉลากของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 6. ข้อความว่า “ใช้วัตถุกันเสีย” (ถ้ามี) 7. ข้อความว่า “เจือสีธรรมชาติ” หรือ “เจือสีสังเคราะห์” (ถ้ามี) 8. ข้อความว่า “แต่งกลิ่นธรรมชาติ” “แต่งกลิ่นเลียนธรรมชาติ” “แต่งกลิ่นสังเคราะห์” “แต่งรสธรรมชาติ” หรือ “แต่งรสเลียนธรรมชาติ” (ถ้ามี) 9. ข้อความชัดเจนว่า “การได้รับสารอาหารต่างๆ นั้น ควรได้จากการบริโภคอาหารหลักที่หลากชนิดครบทั้ง 5 หมู่ และเป็นสัดส่วนที่พอเหมาะ” 10. คำแนะนำในการใช้ 11. คำแนะนำในการเก็บรักษา (ถ้ามี) 12. วันเดือนและปีที่ผลิต/ หมดอายุการบริโภค ทั้งนี้การแสดงข้อความตามข้อ (12) ต้องมีข้อความที่ฉลากระบุตำแหน่งที่แสดงข้อความดังกล่าวด้วย 13. คำเตือนการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเรื่อง การกล่าวอ้างทางสุขภาพ (Health claim) และคำเตือนการบริโภคอาหาร 14. ข้อมูลเฉพาะอื่นๆ ถ้าเข้าข่ายตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ข้อมูลสำหรับผู้แพ้อาหาร วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ใช้ หรือฉลากโภชนาการ เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 เครื่องสำอาง “ปราศจากแอลกอฮอล์” จริงหรือ

คำว่า “ปราศจากแอลกอฮอล์” ถือเป็นหนึ่งในจุดขายของเครื่องสำอางส่วนใหญ่ เพราะแอลกอฮอล์เป็นตัวการหลักที่สามารถทำให้เราเกิดอาการแพ้เครื่องสำอางได้ อย่างไรก็ตามหากใครที่เคยลองพลิกดูส่วนประกอบสำคัญบนฉลากของเครื่องสำอางเหล่านั้น จะเห็นว่ายังคงมีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ดี ดังนั้นเราควรซื้อเครื่องสำอางดังกล่าวมาใช้หรือไม่ ลองมาหาคำตอบกันทำความรู้จักแอลกอฮอล์ในเครื่องสำอางแอลกอฮอล์ในเครื่องสำอาง มีส่วนช่วยในการทำละลายส่วนผสมต่างๆ ให้เข้ากัน และช่วยนำสารเข้าสู่ผิวของเรา ดังนั้นเครื่องสำอางทุกประเภทต้องมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตามแอลกอฮอล์ที่ใช้ในเครื่องสำอางมีหลายประเภท ซึ่งเราสามารถตรวจสอบก่อนใช้งาน เพื่อให้มีความปลอดภัยต่อผิวได้มารู้จักประเภทของแอลกอฮอล์แอลกอฮอล์สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ กลุ่มที่ดีต่อผิวและกลุ่มที่สร้างความระคายเคือง ซึ่งเครื่องสำอางที่โฆษณาว่าปราศจากแอลกอฮอล์ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ แต่หมายความว่าใช้แอลกอฮอล์ในกลุ่มที่ดีต่อผิวนั่นเอง โดยเราสามารถตรวจสอบก่อนซื้อได้ดังนี้1.แอลกอฮอล์กลุ่มที่ดีต่อผิว หรือกลุ่มที่เป็นตัวทำละลาย (Fatty Alcohol)แอลกอฮอล์กลุ่มนี้ใช้เพื่อทำละลายสารที่ไม่ละลายน้ำ ซึ่งไม่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผู้ใช้ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยให้เครื่องสำอางติดผิวได้ดีขึ้น และสามารถทำความสะอาดผิว ชะล้างสิ่งสกปรกและไขมันได้ โดยมักพบในเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เช่น ครีมหรือโลชั่น ได้แก่ Arachidyl alcohol, Cetyl alcohol, Batyl alcohol, Behenyl alcohol, Ceteareth-20, Hexyl laurate, Lanolin alcohol, Oleyl alcohol, Lauryl alcohol, Panthenol (aka pantothenic acid), Polyvinyl alcohol, Stearyl alcohol, Di-PPG-3 Myristyl Ether Adipate 2.แอลกอฮอล์กลุ่มที่สร้างความระคายเคือง หรือกลุ่มที่ใช้ฆ่าเชื้อ ใช้แทนสารกันเสียแอลกอฮอล์ประเภทนี้ใช้เป็นส่วนผสมของยาทาผิว มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย เป็นสารกันบูด นิยมผสมในเครื่องสำอางประเภทน้ำหรือของเหลว โดยส่วนใหญ่พบใน โทนเนอร์ เซรั่มใส่ผม น้ำหอม สเปรย์ และมักทำให้เกิดผิวระคายเคือง ผิวแห้งเพราะทำให้ผิวสูญเสียน้ำ ซึ่งสามารถนำไปสู่อาการแพ้เครื่องสำอางได้ โดยแอลกอฮอล์กลุ่มนี้ ได้แก่ Ethyl Alcohol, Isopropyl Alcohol, Chlorphenesin, SD Alcohol, Alcohol Denat, Benzyl Alcohol, Methanolแนะวิธีเลือกแอลกอฮอล์ให้เหมาะกับผิวเนื่องจากเราหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางได้ยาก วิธีการเลือกแอลกอฮอล์ให้เหมาะกับผิวจึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งนอกจากเราจะสามารถเลือกโดยการดูประเภทของแอลกอฮอล์ก่อนนำมาใช้งานแล้ว ยังมีวิธีอื่นๆ อีกเล็กน้อย ดังนี้- เลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพผิว เช่น หากเราเป็นคนผิวแห้ง ควรหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่ใช้แอลกอฮอล์กลุ่มฆ่าเชื้อเป็นส่วนผสม เพราะสามารถทำให้ผิวสูญเสียน้ำและยิ่งแห้งขึ้นไปอีก ซึ่งตรงข้ามกับคนผิวมัน ที่สามารถใช้แอลกอฮอล์กลุ่มดังกล่าวได้ เพราะช่วยให้ความมันบนใบหน้าลดลง- ทดสอบการแพ้เบื้องต้นก่อนใช้ทุกครั้ง โดยการทาเครื่องสำอางไว้ตรงบริเวณที่บอบบางอย่างใต้ท้องแขนหรือหลังใบหู ทิ้งไว้อย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อทดสอบว่าเกิดอาการแพ้ แดง คันหรือไม่ ซึ่งหากมีอาการดังกล่าวก็ไม่ควรซื้อเครื่องสำอางนั้นมาใช้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 187 มาขัดผิวแบบรักษ์โลกกันเถอะ

หากเราต้องการทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึก เชื่อว่าสาวๆ หลายคนเลือกใช้การขัดผิวเป็นตัวช่วย ซึ่งนอกจากจะช่วยทำความสะอาดแล้ว การขัดผิวยังสามารถทำให้ผิวเนียนหรือกระจ่างใสขึ้นได้ อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวมีมากมาย ซึ่งเราควรเลือกอย่างไร ลองมาดูกัน­ มารู้จักการขัดผิวกันก่อนการขัดผิวหรือสครับ (scrub) เป็นการขัดหรือถูผิวหนังชั้นนอกสุดหรือชั้นหนังกำพร้า ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อทำความสะอาด และช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพหรือขี้ไคลให้หลุดออกได้เร็วขึ้นการขัดผิวมีกี่แบบผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวสามารถแบ่งได้เป็น สูตรเคมีและสูตรธรรมชาติ ซึ่งทั้งสองแบบสามารถขัดผิวให้สะอาดได้เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันดังนี้สูตรเคมี สำหรับสูตรนี้จะเป็นการใช้เม็ดสครับที่เกิดจากกระบวนการทางเคมี โดยส่วนใหญ่จะเป็นเม็ดพลาสติกหรือพลาสติกเคลือบ เรียกว่า เม็ดบีดหรือไมโครบีด (Micro bead) ซึ่งจะมีหลายขนาดตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียดมาก และมีคุณสมบัติในการขัดหรือทำความสะอาดคราบน้ำมัน รวมทั้งสิ่งสกปรกบนผิวและฟันได้เป็นอย่างดี ทำให้ถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์อื่นๆ ด้วย เช่น สบู่ ครีมอาบน้ำหรือยาสีฟันอย่างไรก็ตามเม็ดบีดประเภทนี้ สามารถสร้างผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีขนาดเล็กมาก (ตั้งแต่ 10 ไมครอน หรือ 0.00039 นิ้ว – 1 มิลลิเมตร หรือ 0.039 นิ้ว) ทำให้หลังการชะล้างสามารถไหลไปตามท่อระบายน้ำสู่แม่น้ำลำคลอง โดยไม่ถูกกรองจากการบำบัดสิ่งปฏิกูลและไม่สามารถย่อยสลายทางชีวภาพได้ ซึ่งนำไปสู่มลภาวะทางน้ำและเกิดการปนเปื้อนในห่วงโซ่อาหาร ทำให้หลายประเทศ เช่น รัฐอิลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประกาศห้ามการผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอางที่มีไมโครบีดส์เป็นส่วนประกอบและการเสนอให้แบนผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทั้งประเทศภายในปี 2561 นอกจากนี้ทางบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่อย่างลอรีอัล หรือจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ก็ตื่นตัวและให้ความร่วมมือด้วยการเปลี่ยนไปใช้วัสดุอื่นอย่างเกลือทะเลแทนด้านผู้บริโภคอย่างเราก็สามารถร่วมมือได้ ด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนประกอบของไมโครบีดส์ หรือชื่ออื่นๆ ของมัน เช่น โพลีเอทิลีน (Polyethylene: PE) โพลีโพรพิลีน (Polypropylene: PP) โพลีเอทิลีนเทเรพทาเลต (Polyethylene terephthalate: PET) โพลีเมทิลเมทาไครเลต (Polymethyl methacrylate: PMMA) หรืออาจหันมาเลือกสครับที่ทำจากธรรมชาติแทน เพราะนอกจากจะสวยแบบได้อนุรักษ์โลกด้วยแล้ว ยังทำให้เกิดการระคายต่อผิวได้น้อยกว่าสูตรเคมีอีกด้วยสูตรธรรมชาติ สำหรับสูตรขัดผิวแบบธรรมชาติ จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวน้อย โดยเม็ดสครับมักจะมีรูปร่างที่ไม่แน่นอนและขนาดค่อนข้างหยาบ ซึ่งมักทำจากเมล็ดของพืช เช่น ข้าวโอ๊ต เมล็ดแอปริคอท หรือของไทยอย่างเกลือและมะขามเปียก แนะวิธีขัดผิวให้เกิดประโยชน์แม้การขัดผิวจะเป็นวิธีที่ดีในการเร่งขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวจะเกิดขึ้นช้าลง ซึ่งทำให้ผิวหนังมีชั้นขี้ไคลหนาขึ้น และอาจเป็นแหล่งสะสมของสิ่งสกปรกได้ แต่การขัดผิวที่ผิดวิธีก็เป็นการทำลายผิวหนังได้เช่นกัน โดยสามารถทำให้ผิวแห้งมากขึ้น และไปนำสู่อาการแพ้หรือระคายเคืองผิวหนังได้ง่าย ดังนั้นวิธีการขัดผิวที่เหมาะสม คือไม่ควรขัดผิวทุกวัน โดยควรขัดแค่อาทิตย์ละ 1 – 2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว เพื่อป้องกันการสูญเสียชั้นน้ำมัน และการระคายเคืองผิวหนังหลีกเลี่ยงการขัดผิวบริเวณที่เป็นสิวหรือเป็นแผล เพื่อป้องกันการอักเสบที่เพิ่มมากขึ้นเลือกอุปกรณ์ขัดที่มีความอ่อนนุ่ม และลูบไล้บนผิวหนังที่เปียกแล้วเบาๆหลังขัดผิวเสร็จเรียบร้อยควรทาครีมบำรุง เพื่อทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 156 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือน มกราคม 2557 “บ้านและที่อยู่อาศัย” กับปัญหายอดฮิตปี 56 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้สรุปเรื่องร้องเรียนของผู้บริโภคตลอดปี 2556 ที่ผ่านมา พบว่า ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยกลายเป็นปัญหากวนใจผู้บริโภคมากที่สุด แซงหน้าแชมป์เก่าอย่างปัญหาจากการใช้รถยนต์ เนื่องจากโครงการรถยนต์คันแรกที่เริ่มหมดลง ประกอบกับคนหันมาซื้อคอนโดมากขึ้น และเมื่อเกิดปัญหาเพียง 1 ยูนิต ผู้บริโภคที่อยู่ในโครงการเดียวกันก็มักจะตามกันมาร้องเรียนด้วย สำหรับเรื่องร้องเรียนในปี 2556 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 20 ธันวาคม มีผู้บริโภคร้องเรียนทั้งสิ้น 3,150 ราย โดยเรื่องร้องเรียนที่มากที่สุดคือเรื่อง อสังหาริมทรัพย์ 1,324 ราย แบ่งเป็น 3 ประเภทปัญหา คือ 1.อาคารชุด 629 ราย 1,390 เรื่อง เช่น ไม่เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาหรือโฆษณา ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จยกเลิกสัญญา  2.บ้านจัดสรร 392 ราย 1,019 เรื่อง เช่น ไม่ดำเนินการตามที่โฆษณา มีการชำรุดหลังก่อสร้าง กู้ได้ไม่เต็มจำนวนตามที่ประกาศ ขอยกเลิกสัญญา และ 3.เช่าพื้นที่ เช่าช่วง 303 ราย 608 เรื่อง   สคบ.ดำเนินการไกล่เกลี่ยตามที่ผู้ร้องต้องการและเรื่องยุติแล้ว 60% เหลืออีก 40% โดยหลังจากนี้ทาง สคบ. จะส่งเจ้าหน้าที่จะลงสุ่มตรวจโครงการที่อยู่อาศัยที่พบปัญหาร้องเรียกซ้ำซาก แล้วจะมีการแจ้งชื่อโครงการที่มีปัญหาให้กับประชาชนทั่วไปได้รับทราบ     ผิวขาวออร่า แต่หน้าพัง กระแสความนิยมอยากจะมีผิวขาวของวัยรุ่นไทย กำลังเป็นเรื่องน่าห่วง หลังจากที่มีวัยรุ่นจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของโฆษณาหลอกลวงชวนเชื่อ ผลิตภัณฑ์ผิวขาว ที่โอ้อวดว่าใช้แล้วผิวขาวสว่าง “ออร่า” แต่กลับต้องเจอผลข้างเคียง นอกจากผิวจะไม่ขาวแล้ว ยังต้องเสียโฉม หน้าพัง ผิวที่หวังว่าจะขาวก็ยิ่งคล้ำดำลงกว่าเดิม ล่าสุดมีกรณีที่วัยรุ่นอายุ 16-18 ปีที่ จ.เพชรบุรี ให้ครีมที่อ้างสรรพคุณช่วยให้ผิวขาวแล้วเกิดอาการแพ้ ผิวลายแตกงา เมื่อเก็บตัวอย่างครีมผิวขาวที่น่าจะเป็นปัญหาไปตรวจสอบยังศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 5 สมุทรสงคราม พบว่า ตัวอย่าง ครีมและโลชั่นทาผิวที่อ้างว่าช่วยให้ผิวขาว จำนวน 11 ตัวอย่างที่วางขายในจังหวัดเพชรบุรี ประกอบด้วยครีม 4 ประเภท ได้แก่ 1.ครีมผสมเองแบ่งขายใส่กระปุกที่ไม่มีฉลาก 2.ครีมที่ผสมเองแบ่งขายใส่กระปุกที่มีฉลากแต่ไม่ได้จดแจ้ง  3.ครีมที่มีฉลากภาษาจีน และ 4.ครีมที่มีฉลากภาษาจีนที่เป็นยาใช้ภายนอก มีการใช้สารสเตียรอยด์ชนิดโคลเบทาซอล โพรพิโอเนต (Clobetasol propionate) ในครีมทั้ง 11 ตัวอย่าง ในปริมาณตั้งแต่ 8.0-449.8  มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นส่วนผสมที่สูงมาก นอกจากนี้ยังตรวจพบสารคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ซึ่งจัดเป็นยาในทุกตัวอย่าง และบางตัวอย่างตรวจพบว่ามีการใส่วัตถุกันเสีย 2 ชนิดคือ เมทิลพาราเบน (Methylparaben) และโพรพิลพราราเบน (Propylparaben) ด้วย สำหรับ สารโคลเบทาซอล โพรพิโอเนตเป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องกำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง สารดังกล่าวเป็นยาสเตียรอยด์ ใช้ทาภายนอกที่มีความแรงสูงสุด ที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน โรคผื่นผิวหนังที่ดื้อยาสเตียรอยด์ชนิดรุนแรงปานกลาง หรือใช้ในบริเวณผิวหนังที่หนา เช่นที่ขาหรือส้นเท้า สารชนิดนี้เมื่อใช้ไปนานๆ จะทำให้ผิวหนังบางลง เกิดจ้ำเลือดง่าย หรือมีรอยแตกที่ผิวหนัง     ระวัง!!!ใช้สมุนไพรขัดหน้า การใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ขัดหน้า ขัดตัว หลายคนอาจจะคาดไม่ถึงว่า ตรวจพบการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ในระดับสูงจนน่าตกใจ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) หรือ สทน. โดยนักวิจัยของศูนย์ฉายรังสี ได้ทำการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นทางจุลชีววิทยาในวัตถุดิบสมุนไพรและส่วนผสม ชนิดอื่น ๆ ที่มักใช้ผลิตเป็นเครื่องสำอางสมุนไพรไทยจำนวน 10 ชนิด ได้แก่ ไพล ขมิ้นอ้อย ขมิ้นชัน ว่านนางคำ ทานาคา กวาวเครือ จันทน์หอม เปลือกมังคุด ดินสอพอง และจันทน์เทศแดง โดยพบว่าในวัตถุดิบทั้ง 10 ชนิด มีจำนวนแบคทีเรียทั้งหมดในระดับที่สูงมาก คือ 1,000-1,000,000 โคโลนีต่อกรัม ทั้ง ๆ ที่ค่ามาตรฐานของไทยที่กำหนดคือ ต้องมีไม่เกิน 1,000 โคโลนีต่อกรัม  และพบการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ Clostridium spp. ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคบาดทะยัก ในวัตถุดิบ 4 ชนิด คือ ไพล  ทานาคา กวาวเครือ และ ดินสอพอง นอกจากนี้ยังได้สุ่มตรวจเครื่องสำอางสมุนไพรไทยที่สามารถหาซื้อตามตลาดทั่วไป ได้แก่ ครีมโคลนสมุนไพรพอกตัว จำนวน 12 ตัวอย่าง พบว่ามีจำนวนเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหมดเกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ 5 ตัวอย่าง (ร้อยละ 41.67) แป้งสมุนไพรพอกหน้าและขัดตัวจำนวน 40 ตัวอย่าง พบว่ามีจำนวนเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหมดเกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ 27 ตัวอย่าง (ร้อยละ 67.5)  และพบการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ Clostridium spp. ถึง 22 ตัวอย่าง (ร้อยละ 55) ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด     ทุกข์ของผู้ป่วย การรักษาไม่ได้มาตรฐาน ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้เปิดเผยข้อมูลร้องเรียนด้านสุขภาพปี 2555 – 2556 พบว่ามีเรื่องร้องเรียนจากทุกสิทธิการรักษาคือ สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สิทธิประกันสังคม สิทธิสวัสดิการข้าราชการ และกลุ่มที่จ่ายเงินเอง ทั้งจากโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน และคลินิก รวมทั้งหมด 38 เรื่อง ปัญหาที่พบมากที่สุด คือเรื่องมาตรฐานการรักษา 18 เรื่อง เช่น ผิดพลาดในการรักษา การผ่าตัด ทำให้แผลติดเชื้อ แพทย์จ่ายยาผิด เข้ารักษาโรงพยาบาลตามสิทธิแต่แพทย์ตรวจไม่ละเอียดให้แต่ยาแก้ปวด จ่ายยาให้ยาไม่ตรงชื่อหน้าซอง ทำให้คนไข้เกิดอาการการแพ้ยา ซึ่งมีอยู่กรณีหนึ่งแพทย์ถึงขั้นลืมผ้าก๊อตไว้ในช่องคลอดหลังทำคลอดให้กับคนไข้ ตามมาด้วยปัญหามาตรฐานการบริการ 9 เรื่อง เช่น เจ้าหน้าที่ไม่บริการ พูดจาไม่สุภาพ ไม่เอาใจใส่ผู้ป่วย  นอกจากนี้ยังพบปัญหาเรื่องระบบส่งต่อผู้ป่วย ระบบการใช้สิทธิ และปัญหาอื่นๆ เช่น เรื่องค่ารักษาพยาบาลแพง กรณีการให้การช่วยเหลือที่ล่าช้า พบว่าเกิดจาก การขาดแคลนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการอ่านเวชระเบียน ร่วมทั้งหน่วยงานภาครัฐล่าช้ากรณีส่งต่อเรื่องร้องเรียน แล้วไม่ได้รับการตอบรับ ทำให้การดำเนินการช่วยเหลือผู้เสียหายบางรายทำได้ลำบาก ล่าช้า และผู้เสียหายยังติดปัญหาเรื่องการขอเวชระเบียน ที่สำคัญคือผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ได้รับความเสียหายยังไม่รู้ช่องทางการร้องเรียน     7 วิธีปิ้งย่างลดเสี่ยงมะเร็ง พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล นักวิชาการโครงการ “รวมพลัง ขยับกาย สร้างสังคมไทย ไร้พุง” เครือข่ายคนไทยไร้พุง ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แนะนำ 7 ข้อควรทำสำหรับคนที่ชอบกินอาหารปิ้งย่าง 1.เลือกสถานที่ปิ้งย่างที่มีอากาศถ่ายเทดี เพราะควันจากอาหารก็ส่งผลต่อร่างกายได้ 2. เน้นเนื้อสัตว์ประเภทปลา หรือไก่ไม่ติดหนัง ซึ่งมีปริมาณไขมันน้อยกว่า 3. เลี่ยงการรับประทานเนื้อแปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน ไส้กรอกอีสาน เพราะมีไขมันและโซเดียมสูง 4. อย่าใช้ไฟแรงเกิน หรือปิ้งจนเกรียม หมั่นทำความสะอาดคราบเขม่าและรอยไหม้ต่างๆ ที่ติดอยู่บริเวณตะแกรง 5. หมักเนื้อด้วยน้ำมะนาว สะระแหน่ มินต์ โรสแมรี จะช่วยลดการเกิดของสารก่อมะเร็งในกลุ่มเอมีนส์ 6. ตัดเนื้อส่วนที่มีมันออกก่อนนำไปปิ้งย่าง หรืออบให้สุกนิดหน่อยก่อนเพื่อลดเวลาปิ้ง และ 7. เน้นกินผักสดๆ ควบคู่ด้วยเสมอ และเลือกดื่มน้ำเปล่า แทนน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะยิ่งเพิ่มปริมาณแคลอรีที่เกินความต้องการของร่างกาย อนึ่ง การรับประทานอาหารปิ้งย่างประจำจะมีผลกระตุ้น เซลล์มะเร็ง คือ สารในกลุ่มไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic aromatic hydrocarbons หรือ PAH) ซึ่งพบในควันที่เกิดจากไขมันสัตว์ที่โดนความร้อนสูง โดยพบว่ามีความสามารถในการก่อมะเร็งได้ไม่แพ้ควันบุหรี่ และสารในกลุ่มเอมีนส์ (Heteocyclic amines) ที่พบมากในเนื้อแดงที่ถูกความร้อนสูง มีงานวิจัยหลายแหล่งระบุว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็ง //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 123 กระแสในประเทศ

  ประมวลเหตุการณ์เดือนเมษายน 2554 1 เมษายน 2554“สปาปลา” อาจพาให้เป็นโรคผิวหนัง เตือนผู้นิยมใช้สปาปลา ต้องสำรวจตัวเองให้ดีว่ามีอาการป่วยเป็นโรคที่เสี่ยงต่อการติดเชื้ออยู่หรือไม่ เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของตัวเอง ร่วมทั้งป้องกันไม่ให้ตัวเองกลายเป็นพาหะแพร่โรคไปสู่ผู้อื่นที่มาใช้บริการสปาร่วมกัน  สมาคมโรคผิวหนังแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่ามีโรคติดต่อที่อาจเกิดจากน้ำและปลาเป็นสาเหตุซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียและไวรัส เช่น โรครูขุมขนอักเสบโดยมีอาการคัน คล้ายเม็ดสิว มีแผลผุพอง มีผื่นลักษณะเป็นตุ่มน้ำใส และกลายเป็นหนอง หรืออาจเกิดอาการโรคไฟลามทุ่ง ที่มีอาการผิวหนังอักเสบ เป็นผื่นแดง และอาจมีอาการไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ  สำหรับกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงการใช้สปาปลาคือ 1.ผู้ที่มีแผลตามผิวหนัง 2.ผู้ที่ใช้ยาลดภูมิ กลุ่มสเตียรอยด์ เพราะส่งผลให้มีภูมิต้านทานที่ต่ำติดเชื้อได้ง่าย ซึ่งรวมถึงกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องด้วย เช่น ผู้ป่วยที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ และ 3.กลุ่มที่ป่วยเป็นเบาหวานและมีแผล ไม่ควรแช่เท้าเป็นเวลานาน เพราะเชื้อแบคทีเรียจะเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายกว่าปกติ    18 เมษายน 2554“ฟองน้ำล้างจาน” แหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรค!!! ถ้วย ชาม จาน ช้อน ที่เคยมั่นใจว่าล้างทำความสะอาดอย่างดี อาจกลายเป็นพาหะนำโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหาร เช่น โรคอาหารเป็นพิษ หรือโรคอุจจาระร่วง หลังจากมีการเปิดเผยงานวิจัยที่น่าสนใจโดยทีมนักวิจัยจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และคณะอุตสาหกรรมเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง ว่า “ฟองน้ำ” และ “แผ่นใยขัดล้างจาน” ที่ใช้กันอยู่แทบทุกบ้านคือแหล่งสะสมและขยายพันธุ์อย่างดีของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งส่วนใหญ่เกิดมาจากเชื้อแบคทีเรีย “ซัลโมเนลล่า” ที่มากับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ยิ่งเจอเข้ากับสภาพอากาศของบ้านเราที่เอื้ออย่างมากต่อการเจริญเติบโตและแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรีย โดยในปี 2552 กระทรวงสาธารณสุขแจ้งว่ามีผู้ป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษมากกว่า 1 แสนรายต่อปี  สำหรับวิธีการลดหรือทำลายเชื้อแบคทีเรียในแผ่นใยขัดล้างจานหรือฟองน้ำ ทำได้ง่ายๆ โดยการนำแผ่นใยขัดหรือฟองน้ำที่ผ่านการล้างภาชนะในแต่ละวัน ล้างน้ำเปล่าให้สะอาดแล้วนำไปตากแดดจัดทิ้งไว้อย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง หรือใช้น้ำส้มสายชูผสมกับน้ำเปล่า แล้วนำแผ่นใยขัดหรือฟองน้ำที่ผ่านการล้างภาชนะในแต่ละวันมาแช่ทิ้งไว้ค้างคืน แต่ต้องเปลี่ยนน้ำส้มสายชูใหม่ทุกวัน ภาวะที่มีความเป็นกรดสูงนั้นจะช่วยให้สามารถลดปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ได้ ที่สำคัญที่สุดคือต้องหมั่นดูแลรักษาห้องครัวให้สะอาดถูกสุขอนามัยอยู่เสมอ     19 เมษายน 2554ระวังโรคภูมิแพ้เพราะครีมทาผิว คนที่อยากผิวสวยอาจต้องเสี่ยงกับการเป็นภูมิแพ้ เมื่อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ ได้นำข้อมูลจากการประชุมเรื่องโรคภูมิแพ้ที่จัดขึ้นที่รัฐซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งประเด็นที่แพทย์รักษาโรคภูมิแพ้ให้ความสนใจและห่วงใยเป็นพิเศษ คือ อันตรายจากการใช้ครีมทาผิวที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์ หรือสารให้ความชุ่มชื้นต่างๆ ที่เดี๋ยวนี้มีการเติมสารปรุงแต่งต่างๆ ซึ่งส่วนผสมเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ และไม่มีความจำเป็น แถมยังอาจก่อให้เกิดโทษกับผู้ใช้ โดยเฉพาะกับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง  คนที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง หรือผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย ควรหาซื้อโลชั่นที่ให้ความชุ่มชื้นโดยไม่มีส่วนผสมใดๆ อยู่ และควรอ่านอ่านส่วนประกอบของโลชั่นก่อนการใช้งานเสมอ และไม่ควรให้ส่วนผสมในโลชั่น มีน้ำหอม มีสี หรือสารกันเสียที่ที่ชื่อ พาราเบน ไม่ควรมีสิ่งปรุงแต่งเกินความจำเป็น ถึงแม้ว่าสารนั้นจะเป็นสารที่สกัดจากธรรมชาติก็ตาม     อย่ามองข้ามความปลอดภัย เด็กไทยเสี่ยงตายเพราะรถยนต์สูงขึ้น เด็กไทยยังต้องเสี่ยงตายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เป็นเพราะอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยที่ติดตั้งมากับรถยนต์ไม่มีคุณภาพและไม่เหมาะกับเด็ก ทั้งเข็มขัดนิรภัยและถุงลมนิรภัย ทางแก้ไขพ่อ-แม่ ผู้ปกครองควรใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก ซึ่งมีความเหมาะสมกับเด็กเล็ก ในต่างประเทศมีกฎหมายชัดเจนในการบังคับให้ใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมเพื่อยึดเหนี่ยวเด็กไม่ให้เด็กบาดเจ็บ เมื่อเกิดรถชน รถเบรกรุนแรง แต่ในประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายควบคุมในส่วนนี้ มีเพียง พ.ร.บ.จราจรที่กำหนดให้ที่นั่งข้างคนขับต้องมีเข็มขัดนิรภัย ซึ่งในความเป็นจริงเข็มขัดนิรภัยไม่เหมาะสมกับเด็ก และไม่สามารถใช้ป้องกันอันตรายต่อตัวเด็กได้ โดยเฉพาะเด็กที่อายุต่ำกว่า 9 ขวบ หรือสูงไม่เกิน 140 ซม.แถมอาจให้ผลในทางตรงกันข้ามคือกลายเป็นเพิ่มอันตรายกับเด็ก เนื่องจากหากจะให้ปลอดภัยเข็มขัดนิรภัยจะต้องยึดเหนี่ยว 3 จุดสำคัญ คือ หัวไหล่ หน้าตัก และบริเวณเชิงกราน แต่หากเด็กขาดเข็มขัดนิรภัยที่ติดมากับรถเข็มขัดจะรัดที่บริเวณท้องน้อยและลำคอแทน หากรถเบรก หรือชน เข็มขัดจะรัดช่องท้องทำให้ตับ ม้ามแตก รัดลำคอและกระดูกสันหลังกระเทือน อาจเป็นอัมพาตได้  ส่วนถุงลมนิรภัยก็ไม่เหมาะสมกับเด็กเช่นกัน เนื่องจาก การใช้อุปกรณ์ดังกล่าวจะปลอดภัยเมื่อนั่งห่างจากถุงลมอย่างน้อย 25 ซม.แต่เด็กที่นั่งตักแม่จึงอยู่ห่างจากระยะระเบิดของถุงลมน้อยเกินไป ซึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกามีรายงานว่าเด็กอายุน้อยกว่า 12 ปี เสียชีวิตจากถุงลมในอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรงกว่า 200 ราย เกิดจากการบาดเจ็บของสมองเป็นหลัก ดังนั้น เด็กจึงควรมีการเสริมที่นั่งนิรภัยเป็นการเฉพาะ โดยทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี ต้องใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับทารก จัดวางที่เบาะหลังและหันหน้าไปทางด้านหลังรถเพื่อลดโอกาสความเสี่ยงต่อการ เกิดกระดูกต้นคอหักจากการสะบัดของศีรษะเมื่อเกิดการชนหรือเบรกรุนแรง เด็กอายุ 1-3 ปี ให้ใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กเล็ก หันหน้าไปทางด้านหน้ารถตามปกติ และใช้ที่เบาะหลังเท่านั้น เด็กอายุ 4-7 ปี ใช้ที่นั่งเสริม ไม่มีเข็มขัดนิรภัยในตัว ใช้เข็มขัดนิรภัยรถยนต์เป็นอุปกรณ์ยึดเหนี่ยว และอยู่บริเวณเบาะหลังเท่านั้น เด็กอายุ 8-12 ปี ควรใช้ที่นั่งเสริมจนกว่าจะสามารถใช้เข็มขัดนิรภัยได้พอดี     ถึงเวลาผู้ประกันตนแสดงพลัง ทวงสิทธิรักษาพยาบาลมาตรฐานเดียวรวมพลังผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมร่วมกันทำจดหมายถึงสำนักงานประกันสังคมเพื่อขอเงินคืน แก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมของระบบประกันสุขภาพ ซึ่งผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมเป็นเพียงคนกลุ่มเดียวที่ต้องจ่ายเงินสมทบเพื่อรับสิทธิในการรักษาพยาบาล ขณะที่ผู้ใช้บัตรทองหรือสิทธิข้าราชการไม่ต้องจ่ายเงินสบทบ นางสาวสุภัทรา นาคะผิว ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ ในฐานะกรรมการชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน ให้ข้อมูลว่า การจ่ายเงินสมทบเพื่อสุขภาพในระบบประกันสังคมนั้นขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในมาตรา  30 , 51 และ 80 (2) และกฎหมายหลักประกันสุขภาพเนื่องจากสิทธิสุขภาพเป็นสิทธิที่รับรองตามรัฐธรรมนูญและปัจจุบันกำหนดให้ใช้บริการโดยไม่ต้องร่วมจ่าย ดังนั้นผู้ประกันตนต้องได้รับบริการตามสิทธิเช่นเดียวกัน  นายนิมิตร์ เทียนอุดม เลขาธิการชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน กล่าวเชิญชวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมทุกคน แสดงพลังทวงคืนสิทธิ์ ด้วยการให้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมทำจดหมายทวงเงินสมทบค่ารักษาพยาบาลที่ต้องจ่ายทุกเดือนโดยหักประมาณร้อยละ 5 ของเงินเดือน ซึ่งผู้ประกันตนเป็นกลุ่มเดียวที่ต้องจ่ายขณะที่กลุ่มอาชีพอื่นๆรัฐบาลเป็นผู้ดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาล โดยส่งจดหมายไปถึงสำนักงานประกันสังคมในแต่ละพื้นที่เพื่อทวงเงินที่ต้องจ่ายไปตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2549 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งการที่ให้ทวงเงินตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน เพราะเป็นวันที่รัฐบาลประกาศยกเลิกไม่ต้องจ่าย 30 บาทสำหรับบัตรทองในการรักษาโรค โดยชมรม ฯ ได้จัดทำจดหมายสำเร็จรูปให้สมาชิกชมรมและผู้ประกันตน ซึ่งสามารถดาวน์โหลดจาก Facebook ชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน หรือ www.consumerthai.org  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 108 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนมกราคม 255310 ม.ค. 53แฟชั่นขนตาปลอม เสี่ยงตาบอดกระทรวงสาธารณสุข ฝากเตือนถึงสาวๆ ที่นิยมติดขนตาปลอม ให้ระวังเรื่องความสะอาดเป็นสำคัญ เพราะขนตาปลอมที่ดูแลไม่ดีอาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค ซึ่งจะมีผลทำให้ตาดำอักเสบ เสี่ยงต่อตาบอด ดังนั้นก่อนใส่ต้องล้างมือให้สะอาด ไม่ควรใช้ขนตาปลอมร่วมกับคนอื่น หรือใส่ต่อเนื่องกันนานๆ และหากมีอาการแพ้หรืออักเสบต้องรีบไปพบจักษุแพทย์ทันที ด้านนายแพทย์ ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ประจำโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า กล่าวว่า ขนตาปลอมและกาวติดขนตา ที่มีวางจำหน่ายอยู่ขณะนี้ มีราคาตั้งแต่ 10 บาท ถึง 300 บาท มีทั้งที่ผลิตได้ตามมาตรฐานถูกต้องตามหลักวิชาการ และไม่ได้มาตรฐาน ขนตาปลอมมีทั้งอ่อนนุ่มไปจนถึงแข็งมาก มีหลากหลายรูปแบบ เช่น เป็นแผงเส้นตรง เส้นสานกัน แบบเป็นช่อ ฯลฯ ซึ่งกาวที่ใช้ติดขนตาปลอม ต้องมีคุณภาพดี ผลิตถูกต้องตามหลักวิชาการ มีส่วนประกอบสำคัญที่เหมาะกับการใช้เฉพาะที่ และต้องระบุฉลากชัดเจนว่าใช้กับดวงตาเท่านั้น หากใช้กาวอื่นมาติด อาจเป็นอันตรายได้ -------------------------------------------------------------------------------------------------------- 15 ม.ค. 53อย. คุมเข้มข้าวนำเข้านพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า ภายหลังการประกาศลดอัตราภาษีสินค้าเกษตรตามข้อผูกพันภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) มีผลให้ผลิตผลทางการเกษตร 23 ชนิด ลดภาษีการนำเข้าลงเหลือร้อยละ 0 ตั้งแต่ 1 มกราคม 2553 เป็นต้นไป ซึ่งในเรื่องของข้าวนั้น หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้เตรียมมาตรการรองรับอย่างเต็มที่ โดยได้มีการกำหนดมาตรการกำกับดูแลและติดตามการนำเข้าข้าว 5 มาตรการคือ 1) กำหนดคุณสมบัติของผู้นำเข้าข้าวและพิจารณาชนิดข้าวที่จะนำเข้าเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบ 2) ต้องมีใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า 3) กำหนดด่านนำเข้า 4) กำหนดระยะเวลาการนำเข้า 5) กำหนดมาตรฐานคุณภาพข้าว มาตรการด้านสุขอนามัยที่เข้มงวดตามกติกาสากลและเงื่อนไขปลอด GMOs ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ถ้ามีการอนุญาตนำเข้าข้าวเพื่อจำหน่ายผู้บริโภคโดยตรง ต้องได้รับอนุญาตนำเข้าจาก อย.และต้องมีฉลากระบุรายละเอียด เช่น ชื่ออาหาร ชื่อที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้แบ่งบรรจุ ชื่อที่ตั้งของผู้นำเข้าและประเทศผู้ผลิต ปริมาณสุทธิ และส่วนประกอบที่สำคัญ เป็นต้น ----------------------------------------------------------------------------------------------------------- 17 ม.ค. 53เตือนคนชอบฟังเพลงเสียงดัง เสี่ยงหูตึงกระทรวงสาธารณสุขเตือนคนที่ชอบฟังเพลงจากหูฟังเสียงดังๆ ระวังเสี่ยงเกิดอาการหูตึง หูหนวก เนื่องด้วยปัจจุบันประเทศไทยมีวัยรุ่นจำนวนมากนิยมฟังเพลงจากเครื่องเล่นเพลงดิจิตอลพกพาต่างๆ ซึ่งปกติระดับเสียงที่ปลอดภัยต่อประสาทหูของคนเราคือไม่เกิน 80 เดซิเบล หากเกินกว่านี้จะส่งผลเสียต่อหู คือทำให้เกิดอาการหูอื้อ หูตึง หูหนวก แต่จากพฤติกรรมการฟังเพลงของวัยรุ่ยในปัจจุบันมีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายกับระบบประสาทหูอย่างมาก เนื่องจากส่วนใหญ่นิยมฟังเพลงประเภทที่มีจังหวะเร็ว เสียงเบสดังกระแทกหนักๆ และมีความดังเกิน 80 เดซิเบล เป็นเวลานานๆ ซึ่งสอดคล้องกับรายงานการสำรวจการได้ยินของวัยรุ่นยุโรปที่ปัจจุบันอยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายจากการใช้หูฟังมากกว่า 10 ล้านคน ด้วยพฤติกรรมที่ชอบฟังเพลงจากหูฟังเสียงดังๆ เช่นกัน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------- 28 ม.ค. 53เทรนด์ใหม่มิจฉาชีพ!? หลอกโอนเงินตู้ ATMนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เชิญหน่วยงานต่างๆ รวม 23 หน่วยงาน เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กรมสรรพากร สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ฯลฯ เพื่อหารือและวางแนวทางแก้ไขปัญหาประชาชนถูกหลอกลวงให้ทำธุรกรรมผ่านตู้เอทีเอ็ม ซึ่งปัจจุบันพบว่า ยังมีมิจฉาชีพหลอกลวงต่อเนื่อง มีการปรับเปลี่ยนและพัฒนารูปแบบให้มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น โดยข้อมูลของกรมสรรพากรพบว่า ตั้งเดือนมกราคม -ธันวาคม 2551 มีผู้เสียหายร้องเรียนว่าตกเป็นเหยื่อทั้งสิ้น 2,662 ราย ขณะที่ช่วงเดือนมกราคม - มิถุนายน 2552 มีถึง 5,088 ราย ในส่วนของดีเอสไอ ได้รับเรื่องร้องเรียนและรับเป็นคดีพิเศษ 37 ราย มูลค่าประมาณ 2.6 ล้านบาท ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลของคนร้ายที่มีการพัฒนามากขึ้น จากเดิมอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ติดต่อเพื่อคืนภาษี เปลี่ยนเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร หรือเจ้าหน้าที่บัตรเครดิต เพื่อยืนยันการใช้บริการ หรือการบริการคืนเงิน อีกทั้งยังออกอุบายให้มีการสั่งซื้อสินค้า และชักชวนร่วมลงทุน ดังนั้นเพื่อไม่ให้เราต้องตกเป็นเหยื่อของเหล่ามิจฉาชีพ เราจะควรศึกษาและติดตามข้อมูล กลโกงใหม่ๆ ของกลุ่มผู้ไม่หวังดี เพื่อให้เรารู้เท่าทันก่อนภัยมาถึงตัว--------------------------------------------------------------------------------------------------------------- จับหนุ่มรับฉีดยาผิวขาวใช้รถเก๋งเป็นคลินิก อย.เตือนอันตรายอย. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าจับกุมหนุ่มปริญญาตรีลักลอบฉีดสารผิวขาว โดยไม่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม อาศัยรถเก๋งของตัวเองเป็นคลินิกเถื่อนเคลื่อนที่ ไปรอรับลูกค้าที่ลานจอดรถในห้างสรรพสินค้า โดยค่าฉีดจะอยู่ที่เข็มละ 1,200 – 1,800 บาท ซึ่งจากการตรวจค้นในกระโปรงท้ายรถ พบของกลางทั้ง เข็มฉีดยา หลอดฉีดยา น้ำเกลือ ยากลูตาไธโอนในหลอดแก้วหลายสิบหลอด วิตามินซีแบบน้ำ วิตามินบีรวมแบบน้ำ รกแบบฉีด อาหารเสริมชนิดเม็ดบรรจุกล่องพลาสติก ประเภทแอลคาเนทีน กลูตาไธโอน และคอลลาซีพลัส รวม 50 กล่อง ซึ่งจากการสอบสวนผู้ต้องหามีความผิดหลายข้อหา ตั้งแต่ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต ขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนและรับอนุญาต และประกอบกิจการและดำเนินการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวเตือนว่า ขณะนี้มีการแอบฉีดยาผิวขาวหรือกลูตาไธโอนในสถานเสริมความงามหลายแห่ง เพราะมีความนิยมมากในกลุ่มวัยรุ่นที่อยากมีผิวขาว ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นยาจริงหรือไม่ อีกทั้งวิธีในการฉีดยังไม่มีการศึกษามาก่อนว่าควรได้รับในปริมาณเท่าใด ระยะเวลาในการฉีดควรห่างหรือบ่อยขนาดไหน ดังนั้นการฉีดในขณะนี้จึงเป็นเพียงการคาดเดาทั้งสิ้น ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายอย่างมากต่อผู้ที่รับบริการ โดย อย.จะสุ่มตรวจและจับกุม ซึ่งหากพบว่ามีที่ใดทำผิดกฎหมายมีสิทธิ์ได้รับโทษหนัก “ฉลาดซื้อ” เคยลงบทความเรื่อง “สารกลูตาไธโอน” ในคอลัมน์ “สวยอย่างฉลาด” นิตยสารฉลาดซื้อ ฉบับที่ 83 เดือนมกราคม 2551 ที่อธิบายว่าการ “ใช้กลูตาไธโอนเพื่อช่วยให้ผิวขาว อาจเกิดผลข้างเคียงจากการยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีให้ผิวหนัง การฉีดเข้าเส้นหรือเข้ากล้ามเนื้อเช่นเดียวกับการรักษาโรคต่างๆนั้น อาการข้างเคียงของผิวขาวจะเป็นเพียงอาการชั่วคราวเท่านั้น นอกจากนี้การที่ร่างกายได้ รับสารกลูตาไธโอนเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เม็ดสีเมลานิน ทั้งที่ผิวหนังและที่จอตาลดลง ทำให้จอตารับแสงได้น้อยลง เสี่ยงต่อการมองเห็นได้ในอนาคต” --------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ฟ้องกรมทางหลวงและคณะรัฐมนตรีเพิกถอนสัมปทานโทลล์เวย์3 กุมภาพันธ์ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายองค์กรผู้บริโภค สถาบันพัฒนานักกฎหมายสิทธิมนุษยชน นักศึกษา และประชาชนผู้เสียหายจากการขึ้นค่าผ่านทางโทลล์เวย์ ร้องต่อศาลปกครองกลาง ฟ้องอธิบดีกรมทางหลวง ปลัดกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และคณะรัฐมนตรี เพิกถอนสัญญาสัมปทาน เอื้อประโยชน์ให้บริษัทเอกชนใช้อำนาจรัฐได้ตามอำเภอใจโดยไม่ต้องขอความเห็น จากรัฐและสาธารณชนในการขึ้นค่าบริการสาธารณะ รวมทั้งขัดรัฐธรรมนูญที่ไม่ขอความเห็นจากองค์การอิสระคุ้มครองผู้บริโภค จากการที่บริษัทดอนเมืองโทลล์เวย์ขึ้นค่าผ่านทางจาก 55 บาทเป็น 85 บาท ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมานั้น จนก่อให้เกิดความเสียหายเดือดร้อนต่อสาธารณะชนทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและจิตใจที่เกิดจากความเครียดจากค่าใช้จ่ายการจราจร และปัญหาจราจร การฟ้องร้องครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อ ให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนการขึ้นค่าบริการ โดยให้กรมทางหลวงคิดค่าผ่านทางที่กำหนดบนพื้นฐานของต้นทุนการให้บริการจาก ผู้ใช้บริการสาธารณะ และให้เพิกถอนบันทึกข้อตกลง ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมถึงให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้บรรเทาทุกข์ชั่วคราว เพื่อให้จ่ายค่าบริการโทลล์เวย์ในอัตราเดิมจนกว่าคำพิพากษาจะถึงที่สุด ซึ่งในสัญญาสัมปทานนี้ กลุ่มผู้บริโภคและนักวิชาการด้านกฎหมาย พบว่ามีความฉ้อฉล เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค ไม่รักษาผลประโยชน์สาธารณะ ขัดต่อสิทธิและแนวนโยบายแห่งรัฐตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ขัดหลักกฎหมายมหาชน และทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐและประชาชนโดยรวม หลายข้อ เช่น การคืนผลตอบแทนกลับสู่รัฐ กำหนดอยู่ในราคาที่ต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ทรัพย์สินของรัฐตลอดระยะเวลาสัมปทาน 25 ปี คิดเพียงวันละประมาณ 22 บาท หรือ 8,000 บาทต่อปี ขณะที่บริษัทฯมีรายได้โดยเฉลี่ย 4.4 ล้านบาทต่อวัน บริษัทฯ เพิ่มรายได้ให้กับกิจการตนเอง โดยไม่คำนึงถึงปัญหาการจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิต ด้วยการขยายช่องเก็บอัตราค่าผ่านทางยกระดับโทลล์เวย์หลายช่อง ทำให้จำนวนช่องจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิตที่ใช้สำหรับการจราจรทางปกติลดลง เพราะต้องแบ่งทางจราจรดังกล่าวไปใช้สำหรับการขยายช่องเก็บอัตราค่าผ่านทางยกระดับข้างต้น และในระหว่างการดำเนินการก่อสร้างทางยกระดับบริษัทฯ มิได้ใช้ความระมัดระวังและไม่คำนึงถึงผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อทรัพย์สิน สาธารณะในระยะยาว ส่งผลให้เกิดความเสียหายบนถนนวิภาวดีรังสิตส่วนช่องจราจรด้านในติดกับเสา ตอม่อ และทำให้เกิดความเสียหายบนพื้นผิวจราจรเป็นลักษณะลูกคลื่นตลอดเส้นทาง ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่รถยนต์บนถนนวิภาวดีรังสิต อีกทั้ง ยังใช้งบประมาณของรัฐในการซ่อมแซมบำรุงพื้นผิวจราจรตลอดเส้นทางอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 108 แสงสว่างปลายอุโมงค์ของสาวผิวสี ดับลงแล้ว

ความไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น คนที่ผมเหยียดตรงก็อยากมีผมหยิกหยักศก จึงต้องไปใช้สารเคมีทำให้ผมหงิกหงอ ส่วนคนที่ผมหยิกหยักศกก็อยากมีผมเหยียดตรงจึงไปหาทางยืดเส้นผมตามร้านเสริมสวย โดยไม่รู้ว่าเมื่ออายุเกินห้าสิบปีแล้ว เมื่อฮอร์โมนเพศลดลงผมหยักศกอาจกลายเป็นเส้นตรงเอง แต่จำนวนเส้นอาจมีน้อยไปหน่อย ที่น่าประหลาดก็คือ คนที่ผิวคล้ำเช่น สตรีไทยแท้ๆ ที่มีผิวสีน้ำผึ้งเดือนห้าเก็บไว้ห้าปีมักอยากขาวเป็นหยวก เพราะเข้าใจว่าผู้ชายไทยชอบผู้หญิงขาว(โดยไม่เคยมีโพลไหนทำการสำรวจเลยว่าใช่หรือไม่) ในขณะที่แหม่มชาวตะวันตกที่ซีดก็อยากคล้ำ(ไม่ใช่ดำ) จึงจำต้องรนไปหาทางปิ้งตัวเองด้วยการตากแดดหรือใช้เครื่องฉายแสงอัลตร้าไวโอเล็ตกระตุ้นการสร้างเม็ดสีของเซลล์ผิวหนังให้มากขึ้น ในกรณีของสาวไทยผิวคล้ำนั้น การมีสินค้าอาหารประเภทที่อ้างว่ากินแล้วขาวขึ้นย่อมเป็นประกายแสงที่ปลายอุโมงค์ชีวิตว่า คุณเธอน่าจะขาวได้บ้าง เพื่อจะนำไปสู่การได้ขึ้นรถรางชีวิตคู่เที่ยวสุดท้ายเสียที ดังนั้นเสียเท่าไร เสี่ยงเท่าไร ก็เอา เลยเป็นโอกาสให้คนที่ฉลาดแต่ไร้คุณธรรมได้โอกาสนำเอาสารชีวเคมีต่าง ๆ ออกเร่ขาย และกลูตาไทโอนก็เป็นหนึ่งในสารชีวเคมีที่ทำให้หลายคนรวยไปเลย กลูตาไธโอนคือ อะไรกลูตาไธโอนเป็นสารชีวเคมีที่สร้างได้เองในร่างกายมนุษย์และสัตว์ทั่วไป ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด คือ กรดซิสตีอีน (Cysteine) กลัยซีน (Glycine) และกรดกลูตามิค (Glutamic acid) ซึ่งชนิดหลังนี้มีจำหน่ายตามท้องตลาดเพราะมันคือ ผงชูรสที่ไม่ใช่ อูมามิ ร่างกายมีกลูตาไธโอนไปทำไมกลูตาไธโอนมีหน้าที่หลักในการช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย โดยเฉพาะสารพิษที่ไม่ละลายน้ำแต่ละลายในไขมันดี เช่น สารพิษที่โรงงานอุตสาหกรรมปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม สารพิษบางชนิดในอาหารปิ้งย่างรมควัน และสารพิษจากเชื้อราบางชนิด เป็นต้น สารพิษเหล่านี้ถูกกำจัดออกจากร่างกายได้ด้วยระบบเอนไซม์ชื่อ กลูตาไธโอน-เอส-ทรานซ์เฟอเรส ซึ่งเป็นระบบเอนไซม์ทำลายสารพิษที่ถูกกระตุ้นให้ทำงานได้เก่งขึ้น ถ้าเจ้าของร่างกายกินอาหารที่ประกอบด้วยผักตระกูลกระหล่ำปลี เครื่องเทศต่างๆ รวมทั้ง หอม กระเทียม ดังนั้นท่านผู้อ่านที่นิยมรับประทานอาหารไทยเป็นประจำก็จะมีเอนไซม์นี้ในปริมาณสูง เพื่อช่วยทำลายสารพิษต่างๆ รวมทั้งจะมีการกระตุ้นการสร้างกลูตาไธโอนให้สูงด้วย ถ้ากินอาหารครบห้าหมู่ ผู้บริโภคสตรีส่วนมากทราบจากแผ่นพับโฆษณาขายสินค้าฟอกสีผิวแล้วว่า กลูตาไธโอนเป็นสารช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย โดยกลูตาไธโอนทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของเอนไซม์ชื่อ กลูตาไธโอนเปอรอกซิเดส ซึ่งคอยทำลายสารพวกเปอรอกไซด์ที่เกิดได้เป็นประจำในเซลล์ของร่างกายเรา เปอรอกไซด์นี้ถ้าไม่ถูกกำจัดก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นอนุมูลอิสระซึ่งก่ออันตรายให้แก่ร่างกายได้ ทั้งเรื่องการเกิดเซลล์มะเร็งและกระตุ้นความแก่ของผิวหนัง ในเว็บต่างๆ ที่มีการขายกลูตาไธโอนนั้นมักโฆษณาอ้วดอ้างว่า นอกจากทำให้ผิวขาวเป็นหยวกแล้ว สารกลูตาไธโอนยังบำบัดโรคมะเร็ง บำบัดเอดส์ รักษาผู้ซดพาราเซตามอลเกินขนาด บำบัดผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน บำบัดผู้ป่วยออทิสติค ตลอดจนผู้ป่วยอัลไซเมอร์ อย่างไรก็ตามการลักลอบจำหน่ายกลูตาไธโอนนั้นถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ยา ฐานโฆษณาเกินจริง มีโทษปรับถึง 100,000 บาท นอกจากนี้ ยังเป็นการขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับเกิดอะไรขึ้นกับกลูตาไธโอนเมื่อถูกกินเข้าไป ทันทีที่ถูกกลืนลงกระเพาะแล้วย้ายเข้าสู่ลำไส้เล็ก สารกลูตาไธโอนจะถูกย่อยได้เป็นกรดอะมิโนสามชนิดที่เป็นองค์ประกอบของสารนี้ จากนั้นร่างกายจึงนำกรดอะมิโนทั้งสามไปใช้ตามที่ร่างกายต้องการ ไม่มีการประกันว่าร่างกายจะนำไปสร้างเป็นกลูตาไธโอนใหม่หรือไม่ จึงทำนายไม่ได้ว่าการกินอาหารที่มีกลูตาไธโอนสูงเช่น แตงโมจะช่วยให้ขาวได้จริงหรือไม่ นอกจากนี้ประสิทธิภาพการสร้างกลูตาไธโอนในร่างกายนั้น ลดลงเรื่อยๆ ตามวัย ไม่ว่าจะกินอาหารที่มีกรดอะมิโนทั้งสามที่ใช้เป็นสารตั้งต้นสักเท่าใด พออายุเกินยี่สิบแล้วการสร้างก็ลดลง ผิวเราก็จะคล้ำขึ้นเรื่อยๆ ได้เป็นอนิจจังวัฏสังขารา การรับผลลดการสร้างเม็ดสีผิวเนื่องจากกลูตาไธโอน ต้องทำโดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเส้นเลือดโดยตรงในปริมาณที่มาก ซึ่งเมื่อเข้าอินเตอร์เน็ตจะพบตามที่มีการโฆษณาในเว็บคือ ประมาณ 600 มิลลิกรัมต่อครั้ง ซึ่งถือว่าเสี่ยงตายพอควร อีกทั้งมีราคาแพงเป็นหมื่นต่อเข็ม ถูกกว่านี้ไม่รับประกันว่าเป็นกลูตาไธโอนจริงหรือไม่ เนื่องจากกลูตาไธโอนมีราคาแพง ในเครื่องสำอางทั่วไปจึงมีการผสมลงไปบ้างเพียง 0.000001-0.000005% เท่านั้น เพื่อให้สามารถโฆษณาว่ามีสารนี้ จากนั้นผู้ใช้ก็มีหน้าที่สวดมนต์อธิษฐานหวังว่ามันจะเข้าสู่ร่างกายได้บ้างสักโมเลกุลหรือสองโมเลกุลทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เคยสำรวจพบว่า สถานบำบัดอาการทางจิตที่เกิดเนื่องจากผิวหนังหลายแห่งนำสารกลูตาไธโอนฉีดเข้าสู่ร่างกายเพื่อทำให้ผิวขาว ทั้งที่ อย. ยังไม่มีการอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนสารกลูตาไธโอนเพื่อใช้ในการรักษาโรคใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าในประเทศอิตาลีจะมีการขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาตถูกต้อง แต่ก็เป็นการนำสารดังกล่าวมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งกระเพาะอาหารเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับผิวหนังส่วนใดของร่างกายสักหน่อย สารกลูตาไธโอนที่ผ่านการรับรองจาก อย. นั้น อยู่ในรูปที่ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อใช้กินร่วมกับวิตามินเท่านั้น แต่ไม่มีการขึ้นทะเบียนตำรับยาไม่ว่าเป็นยาเดี่ยวหรือยาฉีดเข้าร่างกาย และไม่มีการนำเข้ามาในประเทศไทย ที่น่ากังวลคือ สินค้าที่มีจำหน่ายอยู่นั้นมาจากไหน อาจเป็นของปลอมได้ นอกจากนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ยังไม่เคยรับรองผลความปลอดภัยในการใช้สารกลูตาไธโอนฉีดเข้าเส้นเลือดดำและไม่เคยมีผลรับรองจากสถาบันที่เชื่อถือได้ในต่างประเทศ ดังนั้นจึงไม่มีการกำหนดปริมาณที่เหมาะสมในการฉีดเข้าร่างกาย และไม่ทราบว่ามีการสะสมเกิดพิษหรือเกิดผลข้างเคียงทำอันตรายให้ร่างกายในอนาคตหรือไม่  ทำไมถึงเชื่อว่ากินกลูตาไธโอนแล้วขาวขึ้นการทำให้ผิวขาวขึ้นนั้น ถือเป็นเพียงผลข้างเคียงของการใช้กลูตาไธโอนในการรักษาโรค ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ คือ แบบสูดพ่น ฉีดเข้ากล้าม และฉีดเข้าหลอดเลือดดำ เพื่อการรักษาภาวะแทรกซ้อนในการฟอกเลือดจากการขาดธาตุเหล็ก ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดในผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ที่มีเนื้อเยื่อพังผืดที่ปอด กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือใช้ร่วมกับยาบางชนิดเพื่อป้องกันอาการพิษต่อสมอง เป็นต้น ยังไม่เคยมีรายงานอาการข้างเคียงรุนแรงจากการใช้กลูตาไธโอนในการบำบัดโรค มีเพียงอาการผิวหนังลอกในผู้ใช้บางรายเท่านั้น อีกทั้งไม่เคยมีข้อมูลทางการแพทย์ว่าการฉีดสารกลูตาไธโอนจะแก้ผิวดำได้อย่างถาวร จึงควรฟันธงแบบไม่เกรงใจผู้ที่มีผิวคล้ำแล้วอยากกินกลูตาไธโอนให้ขาวว่า ทางที่ดีแล้วไปหาคนทรงเจ้าเข้าผีให้เชิญ ไมเคิล แจคสัน มาบอกดีกว่าว่าทำไมผิวถึงขาวได้ แม้ว่ายังไม่มีข้อมูลว่าใช้สารในปริมาณเท่าใดและนานเท่าใดจึงเป็นอันตราย (เนื่องจากคนที่เป็นอันตรายนั้นอาจอายเทวดาฟ้าดินจนไม่กล้าเปิดเผยว่าเคยใช้ จึงก้มหน้าก้มตาเก็บเป็นความลับตายไปกับตนเอง) ผู้บริโภคก็ไม่ควรฉีดเข้าเส้นเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ เนื่องจากสารนี้ไปหยุดการสร้างเม็ดสีผิวซึ่งช่วยกรองแสงอัลตร้าไวโอเลตที่เป็นธรรมชาติของคนผิวเอเชีย นอกจากนี้เม็ดสีในตาดำของผู้ใช้ก็อาจลดลงจึงเพิ่มความเสี่ยงอันตรายต่อจอประสาทตา คนไทยควรมีภูมิคุ้มกันรู้และเท่าทันการโฆษณาอวดอ้าง อีกทั้งอยากให้ยอมรับสภาพผิวสีน้ำผึ้ง แม้ว่าบางคนจะเป็นน้ำผึ้งเก่าเก็บมานานจนออกดำก็ตาม ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยที่มีแสงแดดจัดตลอดทั้งปี ผิวสีเข้มนั้นมีประโยชน์ช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนัง หนุ่มสาวผิวเข้มนั้นสวยหล่อในความรู้สึกของคนตะวันตก จึงมีการบรรยายถึงความหล่อของหนุ่มที่  dark tall and handsome ขอเพียงให้ผิวนั้น สะอาดเนียน ไร้กลิ่นเหงื่อไคล ถ้าจะมีกลิ่นบ้างก็ขอเป็นกลิ่นสะอาดตามธรรมชาติ ไม่ใช่หน้าขาวกระดำกระด่างเพราะสารเคมีในยา หรือเครื่องสำอางกัดลอกผิวหน้า สำหรับหน่วนงานที่ดูแลจรรยาบรรณของบุคลากรด้านสาธารณสุขนั้น ตามข่าวในเน็ตและหนังสือพิมพ์แจ้งว่า ได้ขอเวลาในการตรวจสอบข้อมูลก่อนว่า สารดังกล่าวมีการนำมาใช้ในไทยหรือไม่ และต่างประเทศใช้ในลักษณะใด หรือมีการตีพิมพ์ผลการใช้ในวารสารทางสาธารณสุขอย่างไร นอกจากนี้หน่วยงานดังกล่าวยังต้องสอบถามไปยังองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งคงไม่สามารถให้คำตอบในทันทีว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อความเป็นธรรมต่อบุคลากรสาธารณสุขที่อยากให้บริการใช้กลูตาไธโอนแก่ลูกค้าหรือผู้มีความผิดปรกติทางจิตเกี่ยวกับสีผิว เพราะปัจจุบันหน่วยงานนี้ยอมรับว่า มียาหลายชนิดที่บุคลากรด้านสาธารณสุขนำผลข้างเคียงมาใช้กับผู้ป่วย เช่น ยาแก้แพ้ ก็มีการสั่งนำมาใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการคันตามร่างกาย เพื่อให้นอนหลับไปและไม่คัน ท่านผู้อ่านมีความคิดอย่างไรกับความรอบคอบของหน่วยงานดังกล่าว สามารถเขียนอีเมล์ไปคุยกันได้นะครับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 183 ผิวแห้งหน้าร้อน

สภาพอาการบ้านเราในช่วงนี้ นอกจากจะร้อนจัดแล้ว บางเวลาก็ฝนตกหนัก ทำให้สาวๆ ต้องดูแลสุขภาพผิวเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เพราะผิวหนังของเราสามารถสูญเสียความชุ่มชื้นในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เราเหี่ยวก่อนวัย หรือผิวหนังอักเสบจากอาการผิวแตกได้ แล้วอย่างนี้เราจะมีวิธีดูแลผิวอย่างไรดีปัจจัยที่สามารถส่งผลให้ผิวแห้งมีอะไรบ้างตามธรรมชาติผิวหนังของคนเราจะมีความชุ่มชื้นอยู่แล้ว แต่จะมีปัจจัยต่างๆ ที่มาทำลายความชุ่มชื้นเหล่านั้น ซึ่งมีดังนี้- อายุ อาการผิวแห้งนี้พบได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบได้บ่อยในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ เพราะวัยเด็กผิวหนังยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ทำให้มีความบอบบางกว่าผู้ใหญ่ ส่วนในผู้สูงอายุผิวหนังจะเริ่มเสื่อมถอย ทำให้ผิวยิ่งบางและแห้งมากขึ้น ซึ่งพบว่าในผู้สูงอายุบางราย ผิวหนังจะมีลักษณะเป็นสะเก็ดแห้ง หรืออาจมีร่องแตก คล้ายเกล็ดปลาและสามารถเป็นได้ทั้งตัว - กรรมพันธุ์ สามารถทำให้เกิดปัญหาผิวแห้งได้ เช่น ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง โรคสะเก็ดเงิน - เมื่อฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง เช่น ระยะตั้งครรภ์ หรือภาวะหมดประจำเดือน- สภาพอากาศ แม้ว่าในฤดูหนาวจะพบอาการผิวแห้งมากกว่าในฤดูอื่นๆ แต่ในสภาพอากาศที่ร้อนจัด แสงแดดสามารถทำให้น้ำระเหยออกจากผิวได้มากขึ้นเช่นกัน- การใช้ยารักษาโรคหรือยาสมุนไพรบางชนิด เช่น สารจากขมิ้น ว่านหางจระเข้ หรือการกินยาขับปัสสาวะ ยารักษาโรคความดันสูง สามารถก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อผิว และทำให้ผิวแห้งมากขึ้น - การทำความสะอาดผิวบ่อยๆ ทำให้มีโอกาสชำระล้างไขมันที่จำเป็นต่อผิว เช่น เซราไมด์ ที่มีหน้าที่ป้องกันน้ำระเหยออกจากผิว ซึ่งจะทำให้ผิวอ่อนแอ และสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่ายขึ้น - สารทำความสะอาดผิวที่ไม่อ่อนโยน เช่น สบู่ สบู่ยา (สบู่ที่มีวิธีส่วนผสมของตัวยา) หรือแอลกอฮอล์จะทำลายชั้นไขมันที่จำเป็น ทำให้ผิวยิ่งอ่อนแอ- การสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ สารนิโคตินในบุหรี่และแอลกอฮอล์สามารถทำให้ผิวหนังเสื่อมสภาพ เหี่ยวแห้ง หย่อนยาน เกิดริ้วรอยได้เร็วขึ้น และในบางคนอาจทำให้เป็นสิวได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผิวแห้งแล้วจะเกิดอะไรขึ้นผิวแห้ง(dry skin) คือสภาพผิวที่มีปัญหา ซึ่งเกิดขึ้นจากการสูญเสียน้ำออกจากผิว โดยสามารถเกิดขึ้นได้ ทั้งกับผิวหน้าและผิวกาย เมื่อผิวแห้งจะทำให้ผิวหนังไม่เต่งตึง และบางคนจะเห็นเป็นรอยแตกคล้ายผิวงู ในบริเวณขา หน้าท้อง หรือทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า นอกจากนี้ยังสามารถทำให้เกิดไฝหรือขี้แมลงวันบนผิวหนังเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้หากเราผิวแห้งมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้มีอาการคันร่วมด้วย ซึ่งหากเราเผลอไปเกาจนเป็นนิสัย สามารถส่งผลให้ผิวหนังอักเสบ เช่น มีอาการบวมแดง ผิวหนังยกตัวนูนขึ้น เป็นผื่นหรือเป็นตุ่มแนะวิธีการดูแลผิวแห้งหากสาวๆ ต้องการดูแลให้ผิวหนังกลับมาชุ่มชื้นเหมือนเดิม อย่างแรกเลยคือต้องอาศัยความอดทน ในการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ และสามารถทำตามวิธีดังนี้- ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวขาดน้ำ นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพราะหากเราได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ สามารถส่งผลให้ผิวขาดวิตามิน และผิวแห้งมากขึ้นได้- เลือกประเภทของการบำรุงผิวให้เหมาะกับตนเอง ในหน้าร้อนเราก็สามารถบำรุงผิวได้ โดยเลือกให้ครีมบำรุงไม่เหนอะหนะ ซึ่งสามารถแบ่งความเข้มข้น เรียงจากมากไปน้อยได้ดังนี้ โลชั่น ครีม น้ำมัน (เช่น เบบี้ออย) และขี้ผึ้ง ซึ่งเราอาจะเก็บน้ำมันและขี้ผึ้ง ไว้ใช้ในหน้าหนาว หรือกรณีที่ผิวแห้งมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้ควรเลือกครีมบำรุงผิวที่ปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือสารกันเสีย เพราะอาจทำให้เราแพ้ได้- ควรหยุดใช้สบู่หรือครีมอาบน้ำที่ทำให้ผิวแห้งยิ่งกว่าเดิม เช่น สบู่ยา- ทาครีมหลังการอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ เพราะจะลดปัญหาการเหนอะหนะ และทำให้บำรุงผิวได้ดียิ่งขึ้น- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นเป็นประจำ หรืออยู่ในที่สภาพอาการร้อนหรือหนาวจัดสม่ำเสมออย่างไรก็ตามหากเราพบว่าผิวยังแห้งแตกมากเหมือนเดิม ก็ไม่ควรเกาหรือปล่อยให้หายเอง แต่ควรไปพบแพทย์ เพราะอาจจะต้องใช้ยาทาผิวหนังลดการอักเสบ เพื่อรักษาอาการดังกล่าวโดยเฉพาะ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 176 อยากผิวขาวใสทำอย่างไรดีนะ

กระแสผิวขาวยังคงแรงดีไม่มีตก สาวๆ ส่วนใหญ่ต่างพากันหาสารพัดวิธีเนรมิตผิวสวย แหล่งข้อมูลหลักก็หนีไม่พ้นรีวิวจากในอินเทอร์เน็ต บ้างทำตามแล้วก็สมหวังแต่บางคนอาจเสียสวย ต้องรีบหาวิธีทำให้ผิวกลับมาเป็นอย่างเดิม อย่างวิธีฮิตล่าสุดการ “ลอกผิว” เพื่อให้ผิวขาวใส จะได้ผลลัพธ์สมใจหรือเสียใจอย่างไรเรามีข้อมูลมาฝากค่ะ ทำความรู้จักกับผิวหนังกันก่อนแม้ผิวหนังของเรามีความแตกต่างกัน แต่มีหน้าที่หลักในการทำงานเหมือนกันคือ ช่วยปกป้องอวัยวะภายในร่างกาย ไม่ให้ได้รับความเสียหายจากการกระแทก แสงแดด หรือเชื้อโรคต่างๆ ช่วยรับรู้การสัมผัสและควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่ แล้วเราจะลอกผิวหนังออกไปเพื่ออะไรผิวหนังชั้นนอกสุดของเราจะมีกระบวนการผลัดเซลล์ผิวเก่า และสร้างเซลล์ใหม่ออกมาอย่างสม่ำเสมอเรียกว่า ขี้ไคล ซึ่งการขัดผิวหรือลอกผิวก็จะช่วยกำจัดเซลล์ที่ตายแล้วเหล่านี้ออกไป ทำให้ดูเหมือนว่าสีผิวของเราขาวขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตามเนื่องจากผิวของเรามีสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติอยู่แล้ว หากมีการขัดถูหรือลอกผิวบ่อยครั้ง ก็ทำให้ผิวของเราเกิดภาวะขาดแคลนน้ำ ส่งผลให้ผิวหนังแห้งแตก ลอกเป็นขุยได้ หรือสารเคมีเหล่านั้นก็อาจเร่งให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น มีผลระยะยาวให้ผิวหยาบกร้าน มีรอยด่างดำและเหี่ยวย่นได้ ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ว่า ในทางการแพทย์มีวิธีการลอกผิวด้วยสารเคมีที่มีความปลอดภัยมานานแล้ว โดยใช้ลอกเพื่อรักษาผู้ที่มีปัญหาผิวหน้า เช่น หลุมสิว ฝ้า ภาวะสีผิวไม่สม่ำเสมอ แต่ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ เพราะการนำกรดต่างๆ มาใช้เพื่อลอกผิวเอง เพื่อทำให้ผิวชั้นนอกลอกออกมาเป็นแผ่น เป็นกรดที่ไม่มีความปลอดภัยสามารถทำให้ผิวไหม้ได้ เช่น การใช้น้ำกรดผสมสารปรอทลอกผิว ซึ่งผู้ใช้จะไม่รู้สึกเจ็บปวดเพราะมีการใส่ยาชาลงไปด้วย หรือการใส่สีต่างๆ เพื่ออวดอ้างสรรพคุณว่าเหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย โดยหากใช้น้ำยาพวกนี้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ผิวหนังชั้นนอกก็จะตายไปด้วย ทำให้เมื่อเจอกับแสงแดดผิวก็จะกลับมาดำคล้ำยิ่งกว่าเดิม และมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังมากกว่าคนปกติ หรือกรณีที่รุนแรงกว่านี้ผิวหนังก็อาจส่งผลให้ผิวเกิดแผลไหม้และติดเชื้อได้ อย่างไรก็ตามคำโฆษณาส่วนใหญ่ มักบอกว่าการลอกผิวปลอดภัย เพราะใช้กรด  AHA หรือกรดผลไม้มาลอกผิวนั้น พบว่าแม้กรดดังกล่าวจะมีฤทธิ์กระตุ้นการผลัดผิวชั้นนอกออกไป ช่วยผิวกระจ่างใส ริ้วรอยและจุดด่างดำจางลงได้ แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรส่วนผสมอื่นๆ ในครีมลอกผิวเหล่านั้นจะได้มาตรฐาน หรืออยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม ไม่เข้มข้นสูงเกินไป เพราะการใช้กรด  AHA ลอกผิวเป็นเวลานานสามารถทำให้ผิวบางลง ทำให้ได้รับอันตรายจากแสงแดดได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้สำหรับการลอกผิวจุดเล็กๆ เช่น การนำหอมแดงมาแต้มสิว เพื่อทำให้รอยจุดด่างดำจากสิวหายไป  ก็พบว่ายังไม่มีความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อของกระเทียม หอมแดง หรือหอมหัวใหญ่ แม้ช่วยลดจุดด่างดำ เนื่องจากกรดจะลอกเนื้อเยื่อที่ตายออก แต่ก็สามารถส่งผลให้ผิวหนังระคายเคืองได้ จึงต้องระมัดระวังปริมาณการใช้ และตรวจสอบสภาพผิวของตนเองก่อน หากใช้ไปนานๆ อาจทำให้ผิวหน้าบาง เมื่อถูกแดดจะทำให้หน้าแดงและอักเสบ หรือเกิดฝ้าได้ง่ายควรดูแลผิวอย่างไร ให้ขาวปลอดภัยสบายใจไปนานๆการดูแลให้ผิวสวยใสควรปฏิบัติควบคู่กันไปทั้งภายในและภายนอก โดยเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว ไม่ว่าจะเป็นการดื่มน้ำสะอาดและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หรือการรับประทานผักผลไม้ที่มีวิตามินต่างๆ ซึ่งมีประโยชน์ต่อผิวและสุขภาพ ควรดูแลตัวเองจากปัจจัยภายนอกด้วย เช่น หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เร่งให้ผิวเสียด้วยการดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือไม่ยอมทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน นอกจากนี้ควรมีการขัดผิวอาทิตย์ละครั้งเพื่อกำจัดเซลล์ที่ตายแล้ว ด้วยวิธีที่ปลอดภัยอย่างสมุนไพรประจำบ้านเรา เช่น มะขามเปียก เนื่องจากมีกรด AHA ที่จะช่วยลอกผิวหนังชั้นบนที่ตายออก ทำให้รอยแผลเป็นจางลงได้ แต่ไม่ควรใช้บ่อยๆ เพราะอาจทำให้ผิวบางและไวต่อแสงแดด หรือใช้ขมิ้นชันขัดตัว เพราะมีคุณสมบัติยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน จึงสามารถทำให้สีผิวกระจ่างใสขึ้นได้ แม้วิธีต่างๆ เหล่านี้อาจจะไม่เห็นผลทันใจเหมือนวิธีลัดอย่างการลอกผิวด้วยสารเคมี แต่ก็ปลอดภัยและสวยในชาตินี้ไปได้นานๆ เพราะคงไม่มีใครอยากได้ผลแทรกซ้อนจากการลอกผิวด้วยสารเคมี อย่างผิวสวยเปลี่ยนสี เกิดรอยดำรอยไหม้ หรือติดเชื้อแบคทีเรียหรอก จริงไหมคะ*อ้างอิงข้อมูลจาก สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล / สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 151 นิยามสวยอันตราย ผิวขาว นมใหญ่

หลังได้รับแท็กในเฟสบุ๊คของบรรดาเน็ตไอดอล และพริตตี้ทั้งหลายเข้าบ่อยๆ  ก็ถึงกับมึนและคิดว่าเราคงเกิดเร็วไปจนไม่ค่อยเข้าใจกับนิยามความสวยของสาวสมัยนี้นัก(ของเรามันสวยอย่างฉลาด) สั้นๆ เลยค่ะ “ผิวขาว นมใหญ่”  แล้วยิ่งมีช่องทางสื่อสารในโซเชียลมีเดียที่ควบคุมแสนยากเย็นเข้าด้วย สาววัยใสสมัยนี้จึงได้กลายเป็นเหยื่อของพวก “ไม่มีสำนึกดี” ไปได้ง่ายๆ Key Word สำคัญในการโฆษณาล่อลวง ที่จับได้คือ ขาวใส เห็นผลไว ไม่เกิน 7 วัน พิสูจน์ได้ โดยสร้างความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ด้วยวิธีบอกเล่าผ่านการรีวิวสินค้าหรือถ่ายรูปคู่กับสินค้า โดยบรรดาพริตตี้สาวขาวใสทั้งโนเนมและชื่อดัง บางแบรนด์ที่ขายดีมากก็ลงทุนโฆษณาในรายการโทรทัศน์ที่วัยรุ่นนิยมตอกย้ำไปด้วย      ส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะมาในรูปแบบของครีมทาหน้า โทนเนอร์ หรือสบู่ฟอกผิว ครีมทาหน้าจะฮิตสุด เพราะขั้นตอนการผลิตไม่ยาก ทำเองแบบบ้านๆ ก็ได้(กวนครีมเอง) หรือไปว่าจ้างโรงงานผลิตให้ ว่ากันว่า มีโรงงานที่รับผลิตสินค้าประเภทครีมหน้าขาวอยู่หลายโรงงาน มีสูตรครีมหน้าขาวให้เลือกหลายสูตรด้วย ว่ามาเลยว่า ผู้ว่าจ้างผลิตต้องการแบบไหน มีตั้งแต่ราคา(ครีม) กิโลกรัมละไม่กี่ร้อยบาท เรื่อยไปจนกิโลกรัมละเหยียบหมื่น จากนั้นก็นำมาติดแบรนด์ตัวเองเข้าไป จะไปจดแจ้ง อย. หรือไม่ ก็แล้วแต่ว่า จะมีประโยชน์ต่อการขายไหม ทำการตลาดแบบถึงเนื้อถึงตัวหน่อย สินค้าก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ยิ่งผลิตภัณฑ์ให้ผลเร็วจริงตามโฆษณา เจ้าของแบรนด์ก็รวยไม่รู้เรื่อง   แต่ความจริง โลกนี้มันโหดร้าย ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ขาวใสได้แบบทันที ทันใจและปลอดภัยนั้น ไม่มีอยู่จริง ขาวไวน่ะมีแต่ไม่ปลอดภัย เพราะเขาใช้สารที่เป็นอันตรายและส่งผลให้หน้าเราจากพังทั้งสิ้น   ความจริงเรื่องไวท์เทนนิ่งครีม ไวท์เทนนิ่งครีมหรือครีมหน้าขาวเป็นเครื่องสำอางที่จะใส่สารสำคัญบางตัวที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีให้กับผิวหนัง หรือบางตัวช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวหนัง ผลคือเมื่อทาครีมไประยะหนึ่งผิวจะค่อยๆ ขาวขึ้นได้ โดยสารสำคัญที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีหลายตัว เช่น โคจิกแอซิด อาร์บูติน วิตามินซี กรด AHA และสารสกัดจากสมุนไพร เช่น มะหาด(ฮิตอยู่พักใหญ่) สารพวกนี้ถ้าใส่ในเครื่องสำอางอย่างเหมาะสม(มีกรรมวิธีการผลิตที่ดี) จะทำให้ผิวค่อยๆ ขาวขึ้นได้จริง โดยมีผลข้างเคียงต่ำ แต่ถ้านำสารพวกนี้มาผสมแบบตามใจฉัน มันก็เหมือนกินอาหารที่ทำไม่สะอาด มั่วๆ ไป ผลคือคุณท้องเสีย ถ้าเป็นเครื่องสำอางที่ใช้กับผิวหน้า ผลก็คือ หน้าพัง    หรือบางทีก็ไม่ได้ใส่สารไวท์เทนนิ่งอะไรจริงๆ แค่หลอกคนซื้อว่าผสมลงไปก็เท่านั้น แต่แท้จริงแล้วใส่สารอันตรายผิดกฎหมายแทน อย่างสารปรอท รัฐสุ่มตรวจตัวอย่างครีมหน้าขาวทีไร เจอทุกที (คงเพราะมันถูกและหาซื้อไม่ยากล่ะมั่ง) อันนี้อันตรายระดับหน้าพังถาวรแท้   โดสเร่งขาว ตอนนี้ในกระแสขาวใสต้องนี่เลย กรด AHA (ช่วงนี้มาแรง) ภายใต้ชื่อการขายว่า “โดสเร่งขาว” ระบุเป็นหัวเชื้อกรด AHA ขายขวดละ 40 30 20 ต่ำกว่า10 บาทก็มี  วิธีการใช้คือให้หยดลงในครีมทาผิว ทาหน้าที่ใช้ประจำ หรือใช้หัวเชื้อนี้ทาที่ผิวโดยตรง โห! ช่างกล้าขายและคนที่ซื้อก็ช่างกล้าใช้ นี่มันคือการละเลงน้ำกรดลงบนผิวตัวเองแท้ๆ “หากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผสมโดยเติมกรด AHA ร้อยละ 70 จริงถือว่ามีความเข้มข้นอย่างมาก ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง ปวดแสบร้อนเหมือนผิวไหม้ และการใช้เป็นเวลานาน จะทำให้ชั้นผิวบางลง เมื่อผิวบางลงทำให้เกิดอาการอักเสบง่าย เกิดซ้ำๆ บ่อยๆ ระยะยาว โอกาสที่จะเป็นมะเร็งผิวหนังก็สูง ที่สำคัญหากนำมาใช้บริเวณที่ผิวบอบบาง เช่น รอบดวงตา หากกระเด็นถูกก็อาจทำให้ตาบอดได้” นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ รักษาการ ผอ.สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข  ได้แถลงข่าวเตือนภัยไปเมื่อเร็วๆ นี้ การใช้กรดลอกหน้า ลอกผิวมีการทำมานานแล้วในคลินิกความงามแต่จะควบคุมการใช้โดยแพทย์ผิวหนัง ต่อมาเริ่มมีงานวิจัยมากขึ้นพบว่า กรด AHA ไม่เหมาะสำหรับใช้กับผิวหน้าคนเอเชียหรือคนผิวดำคล้ำ เพราะอาจทำให้ผิวเกิดรอยด่างดำ ไม่สม่ำเสมอ(ผิวกระดำกระด่าง) แล้วตามธรรมชาติยิ่งผิวได้รับการกระตุ้นให้ผลัดผิวบ่อยๆ เข้า ร่างกายก็จะทำตรงข้ามคือชะงักหรือชะลอการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ที่มาของโดสเร่งขาว ด้วยกรด AHA นี้ เล่ากันว่า เป็นการตั้งชื่อเพื่อเลียนแบบผลิตภัณฑ์หน้าใสที่ใส่สารสำคัญหรือสารออกฤทธิ์ ตัวหนึ่งที่ราคาค่อนข้างแพง) คือ อาร์บูติน ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการหน้าขาวใส ในเครื่องสำอางแบรนด์ดังราคาแพง หรือที่เรียกว่า เคาน์เตอร์แบรนด์ ถ้าโฆษณาว่าหน้าเด้ง หน้าใส ตัวนี้มาเป็นอันดับหนึ่ง โดยหลักการอาร์บูติน จะไประงับการสร้างเม็ดสีในผิวหนัง เรียกว่า โจมตีที่เป้าหมายโดยตรง เมื่อเม็ดสีไม่ทำงาน ผลก็คือผิวค่อยๆ ขาวขึ้น (คนละแบบกับกรด  AHA ที่ไปเร่งการลอกเซลล์ผิวหนัง) อาร์บูติน ตามโครงสร้างทางเคมีจัดเป็นอนุพันธ์ของสารพวกไฮโดรควิโนน แต่ไม่มีผลข้างเคียงมากเท่ากับไฮโดรควิโนน จึงไม่อยู่ในกลุ่มสารเคมีควบคุม แต่อาร์บูติน ก็มีหลายชนิด ทั้ง เบต้า อาร์บูติน(Beta Arbutin) อัลฟ่า(Alpha Arbutin) และ ดิออกซี่ อาร์บูติน(Deoxy Arbutin) ซึ่งมีข้อเด่น ข้อด้อยต่างกันไป (ไว้จะมาขยายความในคราวถัดๆ ไป)แต่อาร์บูติน แม้มีข้อดีมาก แต่หากนำมาผลิตเป็นเครื่องสำอางแบบไม่สนใจอะไร จากผลดีก็สามารถกลายเป็นผลร้ายได้เช่นกัน ดังนั้นสาวๆ ทั้งหลาย(รวมถึงหนุ่มๆ ด้วย) โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์หน้าขาวสักหน่อย ไม่ใช่ว่าเขาโฆษณาอะไรว่าดี ก็เที่ยวเอาหน้าตัวเองไปทดลอง กะว่าจะสวย หล่อ เหมือนคนที่อ้างว่า ใช้แล้วได้ผล คุณเชื่อเขาเหรอ? ว่าเขาใช้จริง ไว้คราวหน้า มาต่อด้วยเรื่องนมโตกัน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 147 การลอกผิวหน้าด้วยสารเคมี ให้กระจ่างใส เนียน ไร้ริ้วรอย และ จุดด่างดำ

โดยทั่วไป เซลล์ผิวหนังจะมีการผลัดเซลล์ผิวเป็นวงจรทุก 28 วันโดยธรรมชาติ เห็นได้จากขี้ไคลที่เราขัดออกเวลาอาบน้ำ แต่เมื่อคนเราอายุมากขึ้น วงจรการผลัดเซลล์ผิวจะใช้เวลานานขึ้นเนื่องจากอัตราการเจริญเติบโตลดลงในทุกระบบของร่างกาย ทำให้เซลล์เก่าบนผิวหนังสะสม ไม่หลุดลอกออกตามที่ควรเป็น ผิวหน้าหรือผิวกายจึงไม่สดใส เกิดริ้วรอย แลดูหยาบกร้าน และหมองคล้ำได้เนื่องจากการอุดตันตามรูขุมขน เกิดเป็นสิวเสี้ยน และรอยด่างดำ นอกจากนี้ ฝ้า หรือ กระ บนผิวหนัง รวมทั้งรอยแผลจากสิว ทำให้ผิวหน้าไม่กระจ่างใส อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง และวงการแพทย์อันเกี่ยวเนื่องกับความสวยความงาม จึงมีการคิดค้นสินค้าและบริการทางการแพทย์เพื่อทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส โดยการลอกเซลล์ผิวหน้าที่มีปัญหาออก วิธีการลอกเซลล์ผิวหน้าในปัจจุบัน มี 2 วิธี คือ วิธีการทางกายภาพ (Physical Peel) โดยใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น การกรอผิวหน้าด้วยแสงเลเซอร์ ฯลฯ วิธีนี้จะสามารถเจาะลึกลงสู่ผิวหนังชั้นล่างหรือชั้นหนังแท้ ซึ่งต้องทำหัตถการโดยแพทย์ผู้ชำนาญในคลินิกเท่านั้น วิธีการทางเคมี (Chemical Peel) โดยใช้สารเคมีเป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์ผิวเกิดร้อน อักเสบ พอง และหลุดลอกออก วิธีนี้ ประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับชนิดของสารเคมี ความแรงและความเข้มข้นของสารเคมีที่ใช้ เทคนิคการใช้สารเคมี (Chemical peel) ในการลอกเซลล์ผิวหน้า เพื่อทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย และจุดด่างดำนั้น มีมาช้านานนับแต่ยุคอียิปต์โบราณ คนในยุคนั้นใช้น้ำนมในการอาบน้ำขัดผิวกาย โดยหารู้ไม่ว่าเซลล์ผิวจะถูกขัดลอกออกให้เนียนนุ่ม โดยมีกรดแลคติคในน้ำนม ซึ่งเป็นกรดอ่อนในการช่วยขจัดเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวที่อาบน้ำนมเนียนนุ่ม และการใช้ผลองุ่นขัดและทาถูที่ผิวหนังก็เช่นกัน ผลองุ่นมีกรดผลไม้คือ กรดทาร์ทาริค เช่นเดียวกับกรดอ่อนที่พบในมะขาม ด้วยกลไกที่มีฤทธิ์กรดอ่อน กรดจะระคายเคืองผิวหนัง ทำให้ผิวหนังร้อน พุพองเล็กน้อย และทำให้เซลล์ผิวชั้นบนๆหลุดลอกออก เผยให้เห็นผิวใหม่ที่สดใสและเนียนนุ่ม ริ้วรอยเล็กๆ น้อยๆ รวมทั้งจุดด่างดำ และสิวเสี้ยนที่ตำแหน่งผิวหนังตื้นๆจะหลุดลอกออกไปด้วย   สารเคมีที่ใช้ลอกเซลล์ผิวหน้า -  จากธรรมชาติ ได้แก่ กรดผลไม้ชนิดต่างๆ (AHA, alpha-hydroxy acid) เช่น กรดไกลโคลิค จากน้ำอ้อย กรดแลคติคจากนมเปรี้ยว กรดซิทริคจากส้มและมะนาว กรดผลไม้เหล่านี้มีพบเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางทั่วไป ไม่ได้เป็นสารห้ามใช้ตามประกาศ พรบ.เครื่องสำอาง - จากการสังเคราะห์ สารเคมีสังเคราะห์ที่นิยมใช้มากในคลินิกปัจจุบัน ได้แก่ ทีซีเอ (TCA, trichloroacetic acid) กลไกการทำงาน กรดอ่อนเหล่านี้ จะมีผลทำให้แรงยึดเหนี่ยวระหว่างเซลล์ผิวลดลง ทำให้หลุดลอกออกง่าย นอกจากนี้การที่เซลล์ผิวหลุดลอกออกเร็วก่อนเวลา จะเป็นการกระตุ้นการเร่งสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นแทนที่เซลล์เก่าที่หลุดลอกออก พร้อมทั้งกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหน้าเนียน เรียบ กระจ่างใส ผิวหน้าที่มีสิว หัวสิวจะนุ่มลง และหลุดออกง่าย ฝ้า และกระที่อยู่ตื้นๆ หรือไม่ลึกเกินไปจะสามารถหลุดลอกออกได้ ทั้งนี้ประสิทธิผลการรักษา จะขึ้นอยู่กับความแรงและความเข้มข้นของสารเคมีที่ใช้ ข้อควรระวังและอาการข้างเคียง 1. วิธีการใช้สารเคมีเพื่อลอกผิวหน้าให้ขาวใส จะให้ผลเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะเป็นการลอกเซลล์ผิวดำคล้ำ ออกชั่วคราวเท่านั้น สีผิวที่ดำสามารถกลับมาใหม่ได้อีกเมื่อผิวหน้าถูกกระตุ้นด้วยรังสีดวงอาทิตย์ นอกจากนี้ผิวหน้าที่บางลงเนื่องจากเซลล์ผิวชั้นบนถูกลอกออกไป จะทำให้ผิวหน้าอ่อนไหวง่ายเมื่อสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่มีมลภาวะ อาจติดเชื้อแทรกซ้อนหลังการทำหัตถการ 2. ไม่ควรซื้อมาทำเองที่บ้าน ควรอยู่ภายใต้การดูแลรักษาโดยแพทย์ผิวหนังผู้ชำนาญการเท่านั้น เพราะอาจทำให้ผิวหน้าไหม้ พุพอง และเป็นอันตรายได้ 3. ไม่ควรทำซ้ำบ่อยๆ เพราะจะทำให้ผิวหน้าบางลง     เอกสารอ้างอิง http://www.medicinenet.com/chemical_peel/article.htm

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 131 ผิวแห้ง ผิวคัน สาเหตุและวิธีแก้ปัญหา

  ผิวหนังแห้งและคัน เป็นปัญหาที่พบทั่วไปโดยเฉพาะคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้องปรับอากาศทั้งกลางวันและกลางคืน จากความชื้นในอากาศที่ต่ำ จะทำให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้นสู่บรรยากาศโดยรอบได้ง่าย ปัญหาผิวแห้งนี้เกิดขึ้นได้กับทุกวัยโดยไม่จำเป็นต้องมีอาการโรคผิวหนังชนิดอื่นแทรก อาการผิวแห้งมีลักษณะอย่างไร? คนส่วนใหญ่คงคุ้นเคยกับลักษณะผิวหนังแห้ง ตึง มีขุยขาวๆ ร่วมด้วย ริ้วรอยละเอียดบนผิวหนังจะปรากฏชัดมากขึ้น ผิวหนังจะแลดูหยาบกร้าน ในกรณีที่แห้งมาก จะเห็นผิวแตกคล้ายหนังงูหรือเกล็ดปลา ส่วนใหญ่พบมากบริเวณแขนและขา อาจพบได้ตามลำตัวด้วย ปัญหาที่เกิดร่วมกับผิวแห้ง ผิวแห้งก่อให้เกิดอาการคันร่วมด้วย ซึ่งรบกวนการนอนหลับและกิจวัตรอื่นๆ ประจำวัน การเกาแรงๆ ซ้ำๆ ทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวหนาตัว ด้านและหยาบ ผิวหนังที่หนาและแห้งจะแตกได้ง่ายทำให้แสบและเจ็บ ตามมาด้วยอาการอักเสบ บางคนเป็นนานๆ อาจทำให้ผิวหนังติดเชื้อมีตุ่มน้ำเหลืองตามผิวหนัง หากรุนแรงควรพบแพทย์ผิวหนัง สาเหตุของผิวแห้ง ผิวหนังที่มีสุขภาพดีจะประกอบด้วยชั้นหนังกำพร้าหลายๆ ชั้นห่อหุ้มปกปิดชั้นหนังแท้ หนังกำพร้าชั้นนอกสุดประกอบด้วยเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วหลายชั้นเรียงตัวกัน ผสมผสานกับน้ำมันธรรมชาติที่หลั่งจากต่อมไขมัน ทั้งน้ำมันธรรมชาติและเซลล์หนังกำพร้าทำหน้าที่ปกป้องผิวหนังไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้นสู่บรรยากาศ และปกป้องสารเคมีและเชื้อโรคอื่นไม่ให้เข้าสู่ผิวหนังชั้นในได้ ทั้งเซลล์หนังกำพร้าและน้ำมันธรรมชาติบนผิวหนังร่วมกันทำหน้าที่กักเก็บปริมาณน้ำไว้ส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวหนังคนเราชุ่มชื้น และเนียนนุ่ม ผิวแห้งเป็นผลสืบเนื่องมาจากปริมาณน้ำที่กักเก็บในชั้นหนังกำพร้ามีน้อยเกินไป อาจสืบเนื่องมาจากการสูญเสียน้ำมันธรรมชาติของผิวหนังจากการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เข้มข้นหรือแรงเกินไป ประสิทธิภาพการชะล้างมากเกินความจำเป็น ทำให้ชะล้างเอาน้ำมันธรรมชาติออกไปหมดหรือเกือบหมด ทำให้ปริมาณน้ำที่ถูกกักเก็บอยู่ในชั้นหนังกำพร้าระเหยออกจากผิวหนังได้ง่าย มีผลทำให้ผิวหนังแห้งและหดตัวหรือผิวแตกจนเกิดอาการคันตามมานั่นเอง การแก้ปัญหาผิวแห้ง การแก้ปัญหาผิวแห้งโดยการเติมน้ำหรือความชุ่มชื้นให้ผิวหนังอย่างเดียวอาจไม่ช่วยแก้ปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผิวหนังได้รับน้ำอุ่นมากๆ จากการอาบน้ำอุ่นทุกวัน จะทำให้ผิวหนังยิ่งแห้งมากขึ้น เพราะน้ำอุ่นจะสามารถชะล้างน้ำมันธรรมชาติผิวออกไปมากขึ้นร่วมกับน้ำสบู่ ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำชนิดอ่อนโยน หรือควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารหล่อลื่นและสารมอยส์เจอร์ นอกจากนี้ควรชโลมผิวหนังภายหลังจากอาบน้ำและเช็ดตัวให้แห้งสนิทด้วยโลชั่นบำรุงผิวกายและผิวหน้าบางๆ ทุกครั้ง เพื่อให้สารหล่อลื่นในโลชั่น ช่วยเคลือบผิวหนังชดเชยการสูญเสียของน้ำมันธรรมชาติของผิวหนังระหว่างการชำระล้างร่างกาย ผู้ที่มีผิวแห้งมาก ควรชโลมผิวหนังด้วยโลชั่นอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งทั้งตอนเช้าและก่อนนอน   ระวังไม่ควรไปหาซื้อครีมทาผิวหนังแก้คันหรือแก้อักเสบ เนื่องจากอาการจากผิวแห้งไม่ได้เกิดจากการอักเสบ แต่คันเนื่องจากผิวหนังขาดความชุ่มชื้น จึงควรใช้โลชั่นที่เข้มข้นทาผิวหนังเป็นประจำ อาการผิวแห้งและคันจะค่อยๆ ทุเลาและหายไปในที่สุด

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 122 การดูแลผิวมันและผิวผสม

  ขั้นแรกสุดในการทำให้ผิวตัวเราเองสวยคือการต้องเรียนรู้ว่าผิวเราเองเป็นผิวแบบไหน ความรู้เกี่ยวกับผิวตัวเราเองจะช่วยให้เราเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและวิธีการดูแลผิวพรรณเฉพาะแบบของเราเองได้ดีที่สุด  สิ่งสำคัญที่เป็นกิจวัตรประจำวันของผู้หญิงทั่วโลกคือการดูแลความสวยงามของตนเองและบำรุงรักษาผิวหนังนั่นเอง ผู้หญิงทุกคนพยายามที่จะค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง ดังนั้นการรู้ว่าผิวตัวเราเองจัดเป็นผิวแบบไหนจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญในสองฉบับก่อนเรานำเสนอ ผิวธรรมดา ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่ายไปแล้ว คราวนี้ปิดท้ายด้วยผิวมันและผิวผสมค่ะ  ผิวมัน (OILY SKIN)คนที่มีผิวมัน มักจะเป็นสิวได้ง่าย สามารถล้างหน้าด้วยน้ำสบู่หรือสบู่เหลวได้โดยไม่ค่อยรู้สึกระคายเคือง แสดงว่าผิวของคุณเป็นผิวมันค่อนข้างชัดเจน หลังล้างหน้า จะรู้สึกได้ถึงความสดชื่น แต่พอตกบ่ายจะพบว่าผิวหน้ามันเยิ้มอีกแล้ว ผิวหน้าจะแลดูหยาบเพราะมีรูขุมขนใหญ่และมีผิวหนากว่าผิวแบบอื่นๆ  การดูแลผิวมันผิวมันมักจะมีสิวเสี้ยนหัวดำแทรกอยู่ตามรูขุมขนได้มาก น้ำมันหรือซีบุ้มธรรมชาติเหล่านี้จะค่อยน้อยลงด้วยปัจจัยหลายประการ เช่น ความเครียด ปัจจัยทางพันธุกรรม ฮอร์โมนในร่างกายที่แปรเปลี่ยนไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น ผู้ที่มีสิวเสี้ยนมาก อาจล้างหน้าด้วยน้ำสบู่หรือสบู่เหลวที่มีส่วนผสมของสารต้านเชื้อแบคทีเรียหลายๆ ครั้งต่อวัน และเช็คตามด้วยโลชั่นชนิดแอสตรินเจนท์เพื่อลดความมัน และช่วยปิดรูขุมขนให้เล็กลง นอกจากการล้างหน้าด้วยสารทำความสะอาดแล้ว แนะนำให้พอกหน้าด้วยดินหรือโคลนพอกหน้า ซึ่งคุณสมบัติของโคลนจะช่วยดูดซับสิ่งสกปรกและน้ำมันออกจากผิวหน้าส่วนที่ลึกลงไปได้ดีเยี่ยม ควรทำทุก 2 อาทิตย์ จะเป็นตัวช่วยให้ผิวหน้าสะอาดห่างไกลจากสิวเสี้ยนและสิวหัวดำ คนที่มีผิวมัน มักประสพกับปัญหาผิวแห้งเร็วได้ เนื่องจากความพยายามที่จะล้างหน้าบ่อยๆ หรือบ่อยเกินไปในแต่ละวัน และหลายคนคิดว่าผิวมันแล้วไม่จำเป็นต้องใช้ครีมบำรุงผิวอีกต่อไป อันนี้คงไม่จริงและความเข้าใจผิดนี้เองทำให้คนผิวมัน กลายเป็นคนผิวแห้งและแก่ได้ง่าย ดังนั้นภายหลังจากล้างหน้า ควรบำรุงด้วยครีมบำรุงผิวที่มีสารให้ความชุ่มชื้นแต่มีน้ำมันน้อยหรือเบาบาง ทาเคลือบผิวเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง ควรนวดคลึงเนื้อครีมเบาๆ ให้ดูดซึม และใช้กระดาษทิชชูเช็ดส่วนเกินของครีมบำรุงออกไปเพื่อไม่ให้ผิวหน้ามันเยิ้ม  ผู้ที่มีผิวมัน ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง แต่รับประทานผลไม้และผักสดมากๆ  สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำสำหรับคนผิวมันสิ่งที่ควรทำ:1. ให้มั่นใจว่ามือสะอาดหรือล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสผิวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่เป็นสิว 2. ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำมันหรือผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ล้างออกด้วยน้ำในการทำความสะอาดผิวหน้า ไม่แนะนำให้ใช้ครีมเช็ดเครื่องสำอาง เพราะมีน้ำมันมากเกินไป3. ควรพอกหน้าด้วยโคลนเป็นประจำเพื่อดูดซับน้ำมันส่วนเกินออกไป ช่วยให้หน้าสะอาดและนุ่มนวล 4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พยายามหลีกเลี่ยงหรือลดความเครียดในชีวิตประจำวัน สิ่งที่ไม่ควรทำ:1. ไม่ควรบีบสิว ทำให้เกิดริ้วรอยและแผลเป็น2.  ไม่ควรเข้านอนโดยมีเครื่องสำอางอยู่บนผิวหน้า ผิวผสม (COMBINATION SKIN)คนที่มีผิวผสม จะมีน้ำมันเยิ้มบริเวณที-โซน และผิวแห้งบริเวณแก้ม มักเกิดจากตอนเป็นวัยรุ่นเป็นคนผิวมัน เมื่ออายุถึง 20 ปี ปริมาณน้ำมันที่ผลิตจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังจะค่อยๆ ลดลงตามการเปลี่ยนแปลงของปริมาณฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้บางส่วนของผิวหน้ามีน้ำมันเยิ้ม แต่บางบริเวณเป็นผิวแห้ง วัยที่เปลี่ยนแปลงไปจึงควรตรวจเช็คสภาพผิว เพราะผิวผสมจะแปรเปลี่ยนตามวัย ฮอร์โมน และสภาวะสิ่งแวดล้อม  การดูแลผิวผสมใช้วิธีดูแลแบบคนที่มีผิวแห้งและผิวมันผสมกัน ควรดูแลให้บริเวณทีโซนแห้งไม่มันเยิ้ม ไม่ให้รูขุมขนอุดตัน และดูแลให้ผิวบริเวณแก้มชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ  ในแต่ละวัน ควรล้างหน้าด้วยครีมโฟม เพื่อขจัดความมันบริเวณทีโซน และในตอนเย็นควรใช้ครีมหรือโลชั่นเช็ดหน้า ทำความสะอาดเพื่อบำรุงให้ผิวหน้าไม่แห้งกร้าน เป็นการปรับสมดุลของผิวผสม แม้ว่าจะดูแลผิวทั้งสองแบบในขณะเดียวกันลำบาก แต่ควรจะทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ผิวหน้าดูอ่อนวัยเสมอ ภายหลังจากล้างหน้า ควรเช็ดหน้าบริเวณทีโซนด้วยโลชั่นแอสตรินเจนท์ที่อาจมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เล็กน้อยเพื่อเช็ดเอาความมันออกไป แต่ควรใช้โทนเนอร์ที่อ่อนละมุนสำหรับแก้ม ลำคอและส่วนอื่นที่มีผิวแห้ง และควรบำรุงผิวทั่วทั้งหน้าด้วยครีมมอยส์เจอร์ที่อุดมด้วยสารอาหารและวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ   วิธีการหาชนิดของผิวตัวเราเองผิวหนังแบ่งออกได้เป็น 5 แบบ คือ ผิวแห้ง ผิวธรรมดา ผิวมัน ผิวผสม และผิวแพ้ง่าย วิธีการง่ายๆ ในการจะรู้ว่าผิวเราเองเป็นแบบไหน โดยนำกระดาษทิชชูที่สะอาดเช็ดและซับผิวหน้าตัวเองในตอนเช้าทันทีที่เพิ่งตื่นนอนและสังเกตดู คนที่มีผิวธรรมดา จะไม่มีน้ำมันถูกดูดซับอยู่บนกระดาษทิชชู และผิวหน้าจะไม่ตึงหรือมีสะเก็ดคล้ายผิวลอกหรือเป็นขุย และเมื่อซับหน้าเสร็จ จะรู้สึกผิวหน้านุ่มลื่น สบายผิวรวมทั้งมีความยืดหยุ่นของผิวหนังดี ไม่รู้สึกระคายเคืองหรือตึงเกินไป คนที่มีผิวมัน จะสังเกตเห็นน้ำมันถูกดูดซับบนกระดาษทิชชูอย่างชัดเจนเป็นดวงๆ ส่วนใหญ่น้ำมันจะมาจากบริเวณจมูก หน้าผากและโหนกแก้ม คนที่มีผิวผสม น้ำมันมักจะพบบริเวณหน้าผากและจมูก จะไม่พบบริเวณแก้ม คนที่มีผิวแห้ง จะไม่พบน้ำมันถูกดูดซับบนกระดาษทิชชูเช่นเดียวกับผิวธรรมดา และเมื่อซับหน้าด้วยกระดาษทิชชู หากพบว่าผิวหน้าตึงมากหรือแห้งไม่สบายผิว เป็นตัวชี้วัดว่าเราเป็นคนผิวแห้งอย่างชัดเจน คนที่มีผิวแพ้ง่าย บอบบาง ผิวหน้าจะตึงและระคายเคืองง่ายมากแม้บนกระดาษทิชชูที่นุ่มนวล มีปัญหาแพ้ง่าย แดง ระคายเคืองง่ายต่อผลิตภัณฑ์ทั่วๆไปในท้องตลาด หาที่ถูกใจและไม่แพ้ยากมาก  อ่านวิธีการดูแลผิวธรรมดา (ฉลาดซื้อ ฉบับ 120) การดูแลผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย (ฉลาดซื้อ ฉบับ 121)  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 121 วิธีดูแลผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย

ขั้นแรกสุดในการทำให้ผิวตัวเราเองสวยคือการต้องเรียนรู้ว่าผิวเราเองเป็นผิวแบบไหน ความรู้เกี่ยวกับผิวตัวเราเองจะช่วยให้เราเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและวิธีการดูแลผิวพรรณเฉพาะแบบของเราเองได้ดีที่สุด ฉบับก่อนเราลงรายละเอียดการดูแลผิวธรรมดาไป คราวนี้มาต่อกันด้วยผิวแห้งและผิวแพ้ง่ายนะคะ ------------------------------------------------------------------------------ ลักษณะของผิวแห้งและผิวแพ้ง่ายคนที่มีผิวแห้ง เมื่อใช้กระดาษเช็ดหน้า(ทิชชู) เช็ดทำความสะอาดหน้าในตอนเช้าทันทีที่เพิ่งตื่นนอนจะไม่พบว่ามีน้ำมันถูกดูดซับบนกระดาษทิชชู และมักจะพบว่าผิวหน้าตึงมากหรือแห้งไม่สบายผิว เป็นตัวชี้วัดว่าเราเป็นคนผิวแห้งอย่างชัดเจน คนที่มีผิวแพ้ง่ายผิวบอบบาง ผิวหน้าจะตึงและระคายเคืองง่ายมากแม้บนกระดาษทิชชูที่นุ่มนวล มีปัญหาแพ้ง่าย แดง ระคายเคืองง่ายต่อผลิตภัณฑ์ทั่วๆ ไปในท้องตลาด หาที่ถูกใจและไม่แพ้ยากมาก ------------------------------------------------------------------------------ ผิวแห้ง (DRY SKIN)คนที่มีผิวแห้ง ผิวมักจะบางแลดูคล้ายกระดาษ เนื่องจากมีรูขุมขนเล็กละเอียด ผิวหน้าแลดูไม่สดใส แห้งมีขุยไม่มากก็น้อย ผิวมักจะระคายเคืองง่าย และเกิดริ้วรอยแห่งวัยเร็วกว่าอายุจริง ผิวชนิดนี้เหมาะกับการเลือกใช้ไนท์ครีมที่เข้มข้น ควรจะอุดมด้วยสารชุ่มชื้นผิวและมีสารไขมันหรืออีมูเลี่ยน (Emollients)  การทำความสะอาดผิวหน้า ควรใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดครีมโฟมหรือครีมเช็ดหน้า ไม่ควรใช้สบู่ก้อนหรือสบู่เหลวเป็นอันขาด จะทำให้ผิวยิ่งแห้งมากขึ้น ควรทาครีมโฟมล้างหน้าหรือครีมทำความสะอาดผิวหน้าทิ้งไว้สักครู่ใหญ่ก่อนที่จะล้างหรือเช็ดออก และควรบำรุงด้วยครีมบำรุงผิวทันทีเพื่อปกป้องไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น   ในฤดูหนาว คนที่มีผิวแห้งจะยิ่งแห้งมากขึ้น ผิวจะลอกเป็นขุยและแตกเนื่องจากสูญเสียความชุ่มชื้นไปในอากาศมาก ผิวชนิดนี้นอกจากจะแห้งแล้วยังขาดน้ำมันหล่อลื่นจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังอีกด้วยอาจเนื่องจากธรรมชาติของคนผิวแห้งจะมีต่อมไขมันใต้ผิวหนังน้อยหรือสร้างน้ำมันซีบุ้มออกมาน้อย ผิวจะอ่อนไหวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศและเกิดริ้วรอยง่ายมาก ไม่ควรใช้โทนเนอร์ (Toner) เช็ดหน้าหลังล้างหน้า  การดูแลผิวหน้าในระหว่างวัน และควรเลือกใช้มอยสเจอร์ครีมที่มีส่วนผสมของสารกันแดดด้วย เพื่อป้องกันรังสียูวี การทาครีมบำรุงผิวสำหรับคนผิวแห้ง ควรทาทิ้งไว้สักครู่ใหญ่ เพื่อให้สารอาหารและเนื้อครีมซึมซับลงสู่ผิวหนังชั้นล่างให้มากที่สุดก่อนที่จะแต่งหน้าขั้นต่อไป  ควรให้ความเอาใจใส่เป็นพิเศษในตอนกลางคืนสำหรับคนผิวแห้ง การเช็ดเครื่องสำอางออกจากผิวหน้า ให้เริ่มต้นที่รอบดวงตาด้วยครีมเช็ดเมคอัพสำหรับรอบดวงตาโดยเฉพาะ และล้างด้วยน้ำเปล่าให้ผิวชุ่มชื้นและสดชื่น และบำรุงตามด้วยไนท์ครีมที่เข้มข้น อาจจะเหนียวเหนอะหนะบ้างก็จะดี แสดงว่าครีมมีความเข้มข้นด้วยน้ำมันอีมูเลี่ยน ซึ่งจะทำหน้าทีปกป้องผิวในตอนกลางคืนได้ดี หากไนท์ครีมทาแล้ว รู้สึกเบาบาง จะไม่เหมาะกับคนผิวแห้งเลย เพราะประสิทธิภาพการปกป้องผิวจะน้อยเกินไป  อีกประการที่ควรรู้ คือคนที่มีผิวแห้ง การอาบน้ำร้อนหรือแช่น้ำร้อนบ่อยๆไม่เป็นผลดีนัก จะทำให้ผิวแห้งมากขึ้น หากต้องการแช่น้ำอุ่น แนะนำให้ผสมน้ำมันหอมธรรมชาติลงไปในอ่างอาบน้ำด้วย เพื่อให้น้ำมันหอมไปเคลือบผิวให้นุ่มนวล ป้องกันผิวแห้งได้ดี  สิ่งที่ควรทำ1. ควรเติมครีมบำรุงผิวระหว่างวันด้วยนอกเหนือจากการบำรุงตอนเช้าและก่อนนอน จะช่วยได้มาก 2. ควรทาครีมกันแดด และควรใช้ไนท์ครีมที่เข้มข้นและเหนอะหนะหน่อยก็จะดีกว่าชนิดเบาบาง 3. ควรกินผลไม้มากๆ โยเกิร์ตและผักสด และดื่มน้ำมากๆในแต่ละวัน4. ควรให้ความสนใจกับผิวหนังรอบดวงตาที่แห้งมากกว่าส่วนอื่น สิ่งที่ไม่ควรทำ1. ไม่ควรตากแดดมากเกินไป2. ไม่ควรเช็ดถูผิวหน้าแรงๆ ไม่ควรใช้กระดาษหรือผ้าเช็ดหน้าที่หยาบระคายเคืองผิวหน้า เพราะผิวที่แห้งมักจะเปราะบางและระคายเคืองง่ายมาก  ผิวแพ้ง่าย (SENSITIVE SKIN)ผิวแพ้ง่ายพบในคนจำนวนมาก ผิวจะเปราะบางกว่าผิวชนิดอื่นที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด ระคายเคืองง่าย ภายหลังการล้างหน้า ผิวชนิดนี้มักจะคันหรือระคายเคืองไม่มากก็น้อย บางครั้งจะพบรอยแดงๆ ได้บ่อย คนที่มีผิวแพ้ง่ายจะเลือกซื้อเครื่องสำอางทั่วไปในทองตลาดได้ยาก ควรทดสอบก่อนการตัดสินใจซื้อทุกครั้ง  การดูแลผิวที่แพ้ง่ายไม่ควรใช้สบู่ก้อนหรือสบู่เหลวล้างหน้า ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าเหมาะสำหรับผิวที่แพ้ง่าย  และบำรุงด้วยครีมบำรุงผิวที่ผ่านการทดสอบว่าเหมาะสำหรับผิวของคนกลุ่มนี้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำหอมเพื่อจะได้ไม่ระคายเคืองผิวหน้า  สิ่งที่ควรทำ1. ควรทดสอบอาการแพ้โดยใช้ผิวด้านในของท้องแขนทุกครั้งก่อนการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ หากมีอาการร้อนและแสบแดงและคันทันทีภายในระยะเวลาไม่กี่นาที ให้ล้างออกโดยทันที 2. ทุก 6 เดือน ควรโล้ะทิ้งเครื่องสำอางที่ใช้ไม่หมดที่อาจเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย เช่น ดินสอเขียนคิ้ว เขียนขอบตา และมาสคาร่า เป็นต้น  3. ไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่เห็นการแยกชั้นชัดเจนของน้ำมันและน้ำในสินค้าประเภทครีมหรือโลชั่น  สิ่งที่ไม่ควรทำไม่ควรเริ่มต้นใช้ครีมบำรุงผิวบนใบหน้า นอกจากมั่นใจว่าเป็นยี่ห้อที่เคยใช้และไม่มีอาการแพ้มาก่อน ไม่ควรไปตากแดดโดยปราศจากครีมกันแดด  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point