ฉบับที่ 185 สารฟอกขาวกับน้ำตาลมะพร้าว

ขอบคุณทุกท่านที่สนใจข้อมูลจากนิตยสารฉลาดซื้อ>>> อ่านแล้วอยากสนับสนุนให้เรามีเงินทุนต่อเนื่อง >>> ร่วมอ่าน online 300บาท/ ต่อปี  ข้อมูลการสมัครอยู่ด่านล่าง ขอบคุณค่ะ สำหรับขนมไทย อาหารไทย หลายตำรับนั้น น้ำตาลมะพร้าวที่นำมาปรุงประกอบจะให้รสสัมผัสที่นุ่มนวล หวานมันกว่าน้ำตาลทราย และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว จนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของอาหาร โดยในอดีตน้ำตาลมะพร้าวแท้ ต้องได้จากการเคี่ยวน้ำหวานที่ปาดจากดอกมะพร้าว(งวงหรือจั่นมะพร้าว) เคี่ยวไฟจนเกือบแห้งแล้วบรรจุในปี๊บ เรียกกันว่า น้ำตาลปี๊บ หรือใส่ในเบ้าหรือถ้วยหลุมตื้นที่เรียกว่า น้ำตาลปึก ซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวสวนมะพร้าว แต่ปัจจุบันการผลิตน้ำตาลมะพร้าวแท้อาจไม่คุ้มทุนและเจอปัญหาในการผลิตหลายอย่าง จึงเกิดการใช้น้ำตาลอย่างอื่น เช่น น้ำตาลทราย มาผสมให้มีรูปแบบอย่างน้ำตาลมะพร้าว ทำให้คุณค่าและรสชาติแท้ๆ ลดลงไป รวมถึงการปนเปื้อนของสารตกค้างอย่าง สารฟอกขาว สารกันบูด ยาฆ่าแมลง จนอาจก่อให้เกิดปัญหากับผู้บริโภคได้ ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงลองหยิบจับน้ำตาลมะพร้าวทั้งที่บอกว่า แท้ และชนิดเลียนแบบ ซึ่งวางขายในห้างค้าปลีกและร้านค้าในตลาดสด จำนวน 21 ตัวอย่าง ส่งห้องปฏิบัติการเพื่อทดสอบหาการตกค้างของสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ หรือสารฟอกขาว ซึ่งทางราชการอนุญาตให้ใช้ในการผลิตได้แต่ต้องไม่เกินกว่ามาตรฐานที่กำหนด(ดูท้ายตาราง)ไปดูกันเลยว่าน้ำตาลมะพร้าวของใครไม่มีสารฟอกขาวบ้าง     สารฟอกสีเหล่านี้  เป็นสารเคมีที่อนุญาตให้ใช้เป็นวัตถุเจือปนในอาหารได้ แต่ต้องใช้ในปริมาณที่กำหนดตามชนิดของอาหาร ถ้าใช้เกินปริมาณที่กำหนดจะเกิดอันตรายได้ ส่วนสารฟอกขาวที่เป็นอันตราย กระทรวงสาธารณสุขไม่อนุญาตให้ใช้เจือปนในอาหาร คือ สารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์(Sodium hydrosulfite) หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ผงซักมุ้งสารประกอบซัลไฟต์เป็นสารเคมีที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารหลายประเภทโดยใช้ เป็นสารกันเสียเพื่อป้องกันและยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ ใช้เป็นสารกันหืนเพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของไขมันในอาหารที่ จะทำให้เกิดการเหม็นหืนในผลิตภัณฑ์นั้น และที่สำคัญยังสามารถใช้เป็นสารฟอกขาวอีกด้วย  เนื่องจากมีคุณสมบัติยับยั้งปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงเป็นสีน้ำตาลซึ่งเกิดขึ้นในอาหารประเภท  โดยปกติถ้าได้รับในปริมาณไม่มากร่างกายคนจะมีเอนไซม์ที่สามารถเปลี่ยนสารซัลไฟต์เป็นสารซัลเฟต ซึ่งไม่มีพิษต่อร่างกายและถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ   อย่างไรก็ตามการได้รับสารกลุ่มนี้ในปริมาณมากก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้ อาการความเป็นพิษที่เกิดขึ้นจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการได้รับสารกลุ่มนี้คือ กลุ่มผู้ที่เป็นโรคหอบหืด อาการที่พบคือ หายใจขัด เจ็บหน้าอก ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง เวียนศีรษะ ความดันเลือดต่ำเป็นลมพิษ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่เป็นโรคหอบหืด อาจเกิดอาการช็อก หมดสติและเสียชีวิตได้ ระดับความรุนแรงของอาการขึ้นกับปริมาณการได้รับว่ามากน้อยแค่ไหนข้อสังเกต ผลิตภัณฑ์ของ Suttiphan (สุทธิภัณฑ์) ที่แบ่งจำหน่ายที่ ท็อปซุปเปอร์มาร์เก็ต ซีคอนบางแคนั้น ไม่พบซัลเฟอร์ไดออกไซด์ แต่ทั้งสองตัวอย่าง มีลักษณะบรรจุภัณฑ์ที่ต่างกัน ในฉลากของผลิตภัณฑ์ที่แบ่งจำหน่ายในห้างท็อปฯ จะให้รายละเอียดที่มากกว่า ซึ่งในผลิตภัณฑ์ตัวอย่างจากห้างกูร์เมต์ฯ นั้น ไม่มีรายละเอียดส่วนนี้ ประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่  281  พ.ศ. 2547 และประกาศ อย เรื่อง ข้อกำหนดการใช้วัตถุเจือปนอาหาร กำหนดให้ตรวจพบ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ได้ไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อ 1  กิโลกรัมข้อสังเกต ยังไม่มีการระบุไว้อย่างชัดเจนสำหรับน้ำตาลมะพร้าว จึงใช้ตามมาตรฐานที่กำหนดในน้ำตาลทรายละเอียด   ฉลาดซื้อแนะ1.ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากแสดงรายละเอียดของส่วนประกอบที่ชัดเจน เพื่อจะได้ทราบว่าเป็นน้ำตาลมะพร้าวแท้ หรือน้ำตาลมะพร้าวแบบผสม นอกจากนี้ควรมีการระบุ วัน เดือน ปีที่ผลิต ขนาดบรรจุ ราคาที่แน่นอน คำแนะนำในการเก็บรักษา การนำไปใช้ประโยชน์ และแหล่งผลิตพร้อมชื่อยี่ห้อสินค้าที่ชัดเจน 2.ไม่เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีสีขาวจนผิดธรรมชาติ น้ำตาลมะพร้าวแท้จะมีสีคล้ำเนื่องจากการเคี่ยวไฟเป็นเวลานาน ถ้าเป็นน้ำตาลปึกต้องไม่มีลักษณะแข็งกระด้างจนเกินไป 3.หากพบว่าน้ำตาลมะพร้าวที่ซื้อมา มีกลิ่นเหม็นหรือกลิ่นฉุน รสหวานแหลม เนื้อน้ำตาลแข็งมาก เก็บไว้ได้นานเป็นเดือนที่อุณหภูมิห้องโดยสียังคงขาวนวล ต้องระวัง เพราะอาจเป็นน้ำตาลมะพร้าวที่ผสมสารฟอกขาวในปริมาณมาก      -------------------------------------------------- >>>อ่านแล้วอยากสนับสนุนให้เรามีเงินทุนต่อเนื่อง >>> ร่วมอ่านonline 300 บาท/ ต่อปี >>> โอนเงินแล้วแจ้งมาที่ >> อีเมล์ chaladsue@gmail.com + แนบรูปโอน >> เปิดอ่าน full Version ทันทีจ้าาาาาา>>> ต้องการใบเสร็จ >> พิมพ์ชื่อ - ที่อยู่  ใน อีเมล์ด้วยนะครับ---------------------------------ชื่อ บช. "มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค"กสิกรไทย : 058-2-86735-6ไทยพาณิชย์ : 319-2-62123-1กรุงไทย : 141-1-28408-9ทหารไทย : 026-2-40760-4กรุงเทพ : 088-0-38742-8กรุงศรีอยุธยา : 463-1-10884-6--------------------------------->>> อ่านย้อนหลังได้กว่า 90 ฉบับ ผลทดสอบเพียบ! >>>นิตยสารนี้ไม่มีโฆษณา...เพื่อข้อมูลที่เป็นกลางและตัดสินใจได้ สำหรับผู้บริโภค

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 185 น้ำตาลในน้ำผักผลไม้

เครื่องดื่มประเภทน้ำผักผลไม้ สามารถสร้างทัศนคติเชิงบวกให้กับผู้บริโภคได้เสมอ เพราะมักโฆษณาว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งมันคงเป็นเช่นนั้นจริงๆ หากเครื่องดื่มเหล่านั้นไม่ผสมน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน หรือตามที่นักโภชนาการแนะนำคือ 24 กรัม/วัน หรือ 6 ช้อนชา/วัน เพราะน้ำตาลเป็นคาร์โบไฮเดรตประเภทหนึ่งที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ซึ่งหากเราบริโภคมากเกินไป สามารถเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคอ้วนหรือฟันผุ ทั้งนี้ไม่ว่าน้ำตาลนั้นจะมาจากการสกัดหรือเป็นน้ำตาลฟรักโทสที่อยู่ในผลไม้ก็ตาม เพราะร่างกายของเราสามารถเปลี่ยนน้ำตาลฟรักโทสให้กลายเป็นกลูโคส เพื่อใช้เป็นพลังงานได้เช่นกันฉลาดซื้อฉบับนี้จึงขอเสนอผลทดสอบ ปริมาณน้ำตาลในน้ำผักผลไม้จำนวน 27 ตัวอย่างจาก 8 ยี่ห้อยอดนิยม เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่ต้องการรักษาสุขภาพ และป้องกันการบริโภคน้ำตาลมากเกินความต้องการโดยไม่รู้ตัว ซึ่งยี่ห้อไหนจะมีน้ำตาลมากหรือน้อยกว่ากัน ไปดูกันเลย    ตารางผลทดสอบ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 164 เช็ค “ไขมัน” “น้ำตาล” ในโยเกิร์ต

  “โยเกิร์ต” ถือเป็นของโปรดของใครหลายๆ คน ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ อร่อยถูกปากถูกใจ แถมมีประโยชน์ กินแล้วดีต่อสุขภาพ ยิ่งเดี๋ยวนี้มีโยเกิร์ตยี่ห้อใหม่ๆ รสชาติหลากหลาย ไม่ว่าจะสูตรธรรมชาติ ไม่มีไขมัน ไม่มีน้ำตาล สูตรผสมผลไม้ เติมใยอาหาร เพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ เรียกว่ามีให้เลือกสารพัด เอาใจคนชอบกินโยเกิร์ตสุดๆ ฉลาดซื้อฉบับนี้เลยรับอาสาสุ่มเก็บตัวอย่างโยเกิร์ตที่วางขายอยู่ตามซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ เพื่อเปรียบเทียบดูว่าโยเกิร์ตแต่ละยี่ห้อมีปริมาณ ไขมัน น้ำตาล และพลังงาน เท่าไหร่กันบ้าง เพื่อให้คนที่ชอบกินโยเกิร์ตได้ใช้เป็นข้อมูลในการเลือกซื้อเลือกกินโยเกิร์ตให้ได้ประโยชน์สูงสุด   ประโยชน์ของโยเกิร์ต -โยเกิร์ตมีโปรตีนจากนม ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพ ร่างกายสามารถย่อยสลายดูดซึมไปใช้งานได้ง่าย มีกรดอะมิโนสูง -มีแคลเซียมสูง -มีกรดแลคติกช่วยยับยั้งจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค -มีจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ เช่น แลคโตบาซิลัส ที่เป็นประโยชน์ต่อสำไส้ ทำหน้าที่ต่อต้านจุลินทรีย์ชนิดที่ก่อโรคในลำไส้และกระเพาะอาหาร ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ปกติ นอกจากนี้ แลคโตบาซิลัส ยังสามารถช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานของร่างกายได้ด้วย -สามารถกินโยเกิร์ตทดแทนนมได้ สำหรับคนที่แพ้นม หรือดื่มนมไม่ได้   วิธีเลือกซื้อโยเกิร์ต -อ่านฉลากโภชนาการก่อนซื้อทุกครั้ง เพื่อดูว่าปริมาณสารอาหารต่างๆ ที่เราจะได้รับจากการกินโยเกิร์ตถ้วยนั้นมีอะไรบ้าง(เปิดฉลาดซื้อเล่มนี้ได้เลยเช่นกัน) -เลือกโยเกิร์ตที่มีน้ำตาลและไขมันต่ำ รสธรรมชาติ หรือ รสจืด จะได้ประโยชน์มากกว่าสูตรธรรมดาหรือสูตรที่ผสมผลไม้ ที่น้ำตาลและไขมันค่อนข้างสูง -เลือกซื้อโยเกิร์ตที่มีวันที่ผลิตใกล้เคียงกับวันที่ซื้อ(โยเกิร์ตที่ผลิตใหม่ๆ)  มีเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในปริมาณมาก เพราะเชื้อจุลินทรีย์ดีๆ จะสูญสลายไปตามกาลเวลา -การกินโยเกิร์ตไม่ได้ช่วยให้น้ำหนักลดลง แต่การกินโยเกิร์ตช่วยให้ระบบการทำงานของลำไส้ กระเพาะอาหาร และการย่อยอาหารทำงานได้อย่างสมดุลเป็นปกติเท่านั้น เพราะฉะนั้นใครที่กินโยเกิร์ตเพื่อลดความอ้วนจึงเป็นความคิดที่ผิด   เปรียบเทียบปริมาณ ไขมัน น้ำตาล และพลังงาน ในโยเกิร์ต  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 144 น้ำตาลสังเคราะห์

  เมื่อน้ำตาลได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นผู้ร้ายที่ถูกส่งมาทำลายหุ่นอันผอมเพรียวและไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เลยต้องมีการคิดค้นและพัฒนาสารอะไรสักอย่างขึ้นมาเพื่อเป็นวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาลที่เราคุ้นเคย สำหรับคนที่ อดหวาน ไม่ได้   ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงขอพาคุณมารู้จักกับ “ความหวาน” แบบพลังงานต่ำหรือไม่ให้พลังงาน ซึ่งมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล(Sweetener) ซึ่งเทรนด์ตลาดวัตถุให้ความหวานในเมืองไทย เมื่อปีที่ผ่านมามีมูลค่ารวมประมาณ 300-400 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อดูจากปัจจุบันที่มีสินค้ากลุ่มนี้วางจำหน่ายอยู่หลายยี่ห้อและวางบนชั้นวางของห้างค้าปลีกทั่วไป     วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล จากการสำรวจตลาดพบว่า มีผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายอยู่ 6 กลุ่ม ได้แก่ 1.น้ำตาลฟรุคโตส(fructose) 2.กลุ่มที่ใช้แอสปาร์แทม 3.กลุ่มที่ใช้ซูคราโลส 4.กลุ่มที่ใช้สเตวิโอไซด์(หญ้าหวาน) 5.กลุ่มที่ใช้อะเซซัลเฟม-เค ร่วมกับแอสปาร์แทม 6.กลุ่มที่ใช้ซูโครสเป็นหลักร่วมกับสารให้ความหวานอื่นๆ   1.น้ำตาลฟรุคโตส(Fructose) เป็นน้ำตาลที่พบได้ในผลไม้และน้ำผึ้งตามธรรมชาติ ให้พลังงานเท่ากับน้ำตาลทรายคือ 4 กิโลแคลอรี่ต่อกรัม แต่น้ำตาลฟรุคโตสมีความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายถึงเท่าตัว ดังนั้นจึงสามารถใช้ในปริมาณที่น้อยลงกว่าครึ่งเมื่อต้องการความหวานที่เท่ากัน    2.แอสปาร์แทม(Aspartame) แอสปาร์แทม เป็นผลึกสีขาว ไม่มีกลิ่น ให้ความหวานประมาณ 200 เท่าของน้ำตาลทราย แอสปาร์แทมให้พลังงานเท่ากับน้ำตาลทรายคือ 4 กิโลแคลอรี่ต่อกรัม แต่ใช้เพียงนิดก็หวานมากแล้ว ดังนั้นแอสปาร์แทมจึงให้แคลอรี่ที่น้อยกว่ามากเมื่อผสมลงในอาหาร ตัวอย่างเช่น น้ำอัดลมแคลอรี่ต่ำ ข้อเสียที่สำคัญของแอสปาร์แทมในเรื่องรสชาติคือ แอสปาร์แทมไวต่อความร้อน ดังนั้นเครื่องดื่มที่ผสมแอสปาร์แทมอาจมีรสชาติที่เปลี่ยนไปเมื่อสัมผัสกับความร้อน จึงไม่เหมาะจะนำไปใช้กับเครื่องดื่มหรืออาหารที่ต้องใช้ความร้อนในการปรุง คำเตือนอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่เหมาะกับผู้ป่วยเฟนิลคีโตนูเรีย   เพราะว่าใช้แอสปาร์แทมเพียงจำนวนน้อยก็หวานมากแล้ว ดังนั้นผู้ผลิตจึงต้องเติมสารเพิ่มปริมาณ คือ แลคโตส ที่มีความหวานเพียง 0.2 เท่าของน้ำตาลในเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่า แต่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่ อให้เป็นตัวหลักแค่ต้องการเพิ่มปริมาณบรรจุเท่านั้น แลคโตสนี้อาจมีปัญหาทำให้ท้องอืดได้สำหรับคนที่ไม่มีเอนไซม์ที่ใช้ย่อยแลคโตส   3.ซูคราโลส(Sucralose) ซูคราโลสนี้หวานกว่าน้ำตาลทรายถึง 600 เท่า ข้อดีของซูคราโลสคือ รสชาติ ที่ใกล้เคียงน้ำตาล ไม่มีรสขม และทนต่อความร้อน จึงมีการนำไปใช้ในอาหารหลากหลายชนิด เช่นเดียวกับแอสปาร์แทม เนื่องจากซูคราโลสมีความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายถึง 600 เท่า การนำมาใช้จึงอยู่ในปริมาณที่น้อยมากๆ ดังนั้นเพื่อให้มีน้ำหนักเพิ่มจึงผสมกับน้ำตาลกลุ่มน้ำตาลแอลกอฮอล์ ได้แก่ มอลทิทอลและเออริทริทอล ซึ่งสองตัวนี้มีความหวานน้อยกว่าน้ำตาลทรายและให้พลังงานไม่มาก แต่ถ้ารับประทานมากไปอาจกระทบกับระบบทางเดินอาหารทำให้ท้องเสียได้   4.สเตวิโอไซด์(หญ้าหวาน) หญ้าหวาน หรือ ต้นสตีเวีย(Stevia rebaudiana Bertoni) เป็นพืชพันธุ์ตามธรรมชาติ โดยสารที่สกัดออกมาคือ สเตวิโอไซด์ หวานมากกว่าน้ำตาลทราย 300 เท่า ไม่ให้พลังงาน มีความคงตัวที่อุณหภูมิสูง สเตวิโอไซด์ ยังไม่ได้รับการยอมรับจากองค์การอาหารและยาของอเมริกาให้ใช้เป็นสารให้ความหวานแต่อนุญาตให้ใช้ผงแห้งและสารสกัดจากใบในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร   5.ใช้อะเซซัลเฟม-เค ร่วมกับแอสปาร์แทม อะเซซัลเฟม-เค (Acesulfame-K) เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่หวานกว่าน้ำตาลทรายประมาณ 200 เท่า ข้อดีคือให้รสหวานที่รับรู้รสได้เร็วแต่บางครั้งก็จะมีรสขมเมื่อใช้ในปริมาณสูง ไม่ให้พลังงานและทนความร้อนได้ดี ผู้ผลิตนิยมใช้อะเซซัลเฟม-เคร่วมกับแอสปาร์แทม เพื่อลดจุดด้อยของกันและกัน และเลี่ยงการเกิดรสขมเมื่อใช้ในปริมาณสูง     6.ใช้น้ำตาลทราย(Sucrose) ร่วมกับสารให้ความหวานอื่นๆ กลุ่มนี้เป็นวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมแคลอรีมากกว่าใช้ในผู้ป่วยเบาหวาน เพราะส่วนประกอบหลักยังคงเป็นน้ำตาลทรายมากกว่า 90% แต่เพิ่มสารให้ความหวานเข้าไปเพื่อลดปริมาณการใช้ลงมา ดังนั้นรสชาติจะเหมือนน้ำตาลปกติและแต่ค่าพลังงานจะต่ำลงมาเพราะปริมาณการใช้ที่น้อยลง     ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- น้ำตาลเป็นอาหารคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่ง เป็นหน่วยย่อยที่เล็กที่สุดของคาร์โบไฮเดรต ชื่อของน้ำตาลมักจะใช้คำลงท้ายว่า “โอส” (“ose”) อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตเป็นอาหารที่เราทราบกันดีว่าได้แก่อาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล คาร์โบไฮเดรตมีรากศัพท์มาจากคำว่า “คาร์บอน”รวมกับ”ไฮเดรท” แปลว่าเป็นสารประกอบที่มีโครงสร้างที่มีน้ำจับอยู่กับทุกๆ อะตอมของคาร์บอน   ---------------------------------------------------------------------------------------------------- วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาลแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม วัตถุให้ความหวานที่ให้พลังงาน ได้แก่ ฟรุคโตส(น้ำตาลจากผลไม้) มอลทิทอล เออริทริทอลและไซลิทอล สารให้ความหวานกลุ่มนี้ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและผู้ป่วยโรคเบาหวาน วัตถุให้ความหวานที่ไม่ให้พลังงานหรือให้พลังงานต่ำ ได้แก่ ซูคราโลส หญ้าหวาน แอสปาร์แทม อะเซซัลเฟม-เค สารให้ความหวานกลุ่มนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและผู้ป่วยโรคเบาหวาน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------   ข้อมูล 1.เป็นเบาหวาน เลือกอะไรใส่กาแฟแทนน้ำตาล. รศ.วิมล ศรีสุข คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=100 2.สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ศูนย์วิทยาศาสตร์บริการ http://elib.fda.moph.go.th/library/default.asp?page2=subdetail&id_L1=27&id_L2=15566&id_L3=565

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 141 ลูกอม หมากฝรั่ง ซูการ์ฟรี??

รสหวานมีใครบ้างไม่ชอบ หวานทำให้อาหารมีรสสัมผัสที่ดี อร่อย และยังช่วยให้สดชื่นด้วย เพราะน้ำตาลที่สร้างรสหวานนั้นให้พลังงานสูง อาหารที่ใช้น้ำตาลเป็นส่วนผสมหลักก็คงหนีไม่พ้นพวกลูกอม ลูกกวาด รวมไปถึงหมากฝรั่ง ซึ่ง  90 กว่าเปอร์เซ็นต์ในส่วนผสมเป็นน้ำตาล แต่หวานจากน้ำตาลหลังๆ ชักมีปัญหา เพราะถูกประณามว่าทำให้อ้วน หรือถ้าเคี้ยวหนุบหนับในปากเขาก็ว่าทำให้ฟันผุ เพราะจุลินทรีย์ที่ทำร้ายฟันก็ชอบกินน้ำตาลเหมือนกัน ถ้าจะหนีภัยฟันผุและอ้วน ก็ต้องเลิกกินหวาน เลิกเคี้ยวลูกอม หรือหมากฝรั่งไปเลย แต่มนุษย์เราไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ คือแทนที่จะเลิกหวาน ก็ขอหวานเถอะ แต่ไม่เอาแคลอรีหรือพลังงาน จึงคิดค้นหารสหวานที่มาจากอย่างอื่นแทนน้ำตาล ซึ่งมีชื่อเรียกเป็นภาษาเฉพาะว่า วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล  วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล เวลาได้ยินโฆษณาว่า ไม่มีน้ำตาล หรือ ซูการ์ฟรี หรือ แคลอรีต่ำ หากเราไม่รู้จักวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาลมาก่อน เราก็อาจคิดได้ว่า เขาโกหก เพราะกินแล้ว มันก็หวานชะมัด หวานติดลิ้นด้วยซ้ำ จะมาบอกว่าไม่มีน้ำตาลได้ยังไง แต่ถ้าเราลองอ่านฉลากดู บนฉลากจะถูกกำหนดให้เขียนไว้ชัดเจนเลยว่า ผลิตภัณฑ์อาหารนี้ ใช้อะไรให้ความหวานแทนน้ำตาล  คราวนี้ล่ะ เราจะเห็นชื่อแปลกๆ มากันหลากหลาย ทั้ง แอสปาแตม อะซีซัลเฟม-เค ซูคราโลส ไซลิทอล ซอร์บิทอล มอลทิทอล ไอโซมอลต์ ฯลฯ ชื่อที่ยกมาข้างต้นเป็นชื่อของ วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล ที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน ทำไมต้องเรียกว่า “วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล” ทำไมไม่เรียก “น้ำตาลเทียม” ไปเลยล่ะ เข้าใจง่ายกว่ากันเยอะ ก็ต้องบอกว่า บางอย่างมันไม่ใช่น้ำตาลเทียมนะสิ วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล หลายตัวมีคุณสมบัติที่ให้ทั้งความหวานและให้พลังงานด้วย แอบมีคุณค่าทางโภชนาการนิดๆ  คือตัวมันยังเป็นน้ำตาลอยู่ เพียงแต่เป็นน้ำตาลที่มีคุณสมบัติไม่เหมือนน้ำตาลทรายที่เรารู้จัก (ถ้าเป็นน้ำตาลเทียมจะเป็นสารสังเคราะห์ที่จะมีความหวานกว่าน้ำตาลแท้เป็นสองสามร้อยเท่า ทำให้ใช้ในปริมาณที่น้อยมากๆ ค่าพลังงานเลยเกือบจะเท่ากับ 0) ดังนั้นถ้าจะลองจำแนก วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล โดยดูจากหลักเกณฑ์เรื่อง คุณค่าทางโภชนาการ ก็จะแบ่งได้เป็นสองกลุ่ม   วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาลกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการนำมาใช้ทดแทนรสหวานจากน้ำตาลในอาหารหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลม ขนม ลูกอม ลูกกวาด เบเกอรี่ อาหารหรือเครื่องดื่มไดเอ็ตทั้งหลาย หรือแม้แต่ในอุตสาหกรรมยา  การใช้สารหรือวัตถุให้ความหวานมีการใช้ทั้งในลักษณะเดี่ยว ๆ หรือใช้ร่วมกับสารให้ความหวานชนิดอื่นๆ ซึ่งการใช้สารให้ความหวานมากกว่า 1 ชนิดประกอบกันได้รับการยอมรับ เนื่องจากสารให้ความหวานแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกัน ไม่มีสารให้ความหวานใดดี หรือสมบูรณ์แบบที่สุด ฉลาดซื้อในครั้งนี้ ออกไปช้อปหมากฝรั่งและลูกอม เพื่อมานำเสนอเป็นตัวอย่างสำหรับผลิตภัณฑ์ที่น้ำตาลกำลังจะหายไป แต่กลายเป็นการนำวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล มาใช้แทนที่ และอย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาลไม่มีอะไรที่ดีที่สุด ดังนั้นบางตัวก็สร้างปัญหาสุขภาพได้เช่นกัน แม้จะเป็นความเสี่ยงในระดับต่ำ แต่ก็ควรจะได้รู้เป็นข้อมูลไว้เพื่อการพิจารณา    ผลิตภัณฑ์ หมากฝรั่ง ------------------------------------------------- วัตถุให้ความหวานที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ควรรู้จัก โพลิออล (polyols) หรือน้ำตาลแอลกอฮอล์ (sugar alcohols; polyhydric alcohol; polyalcohol) บางครั้งเรียกว่า “sugar replacers” หรือ “bulk sweeteners” ใช้เป็นสาร ปรุงแต่งในอาหารที่มีความสำคัญเช่นกันในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำตาล สารให้ ความหวานเหล่านี้จัดเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารเพิ่มมวลหรือปริมาตรของน้ำตาล มีความหวานต่ำกว่าน้ำตาลทราย(ซูโครส) เป็นสารให้ความหวานลดแคลอรี (reduced- calorie sweeteners) สามารถรวมกับสารอื่นได้ดี เช่น มีคุณสมบัติส่งเสริมกันกับสารให้ความหวานชนิดแคลอรีต่ำ ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีแคลอรีลดลงและมีรสชาติดีคล้ายกับ ผลิตภัณฑ์สูตรดั้งเดิม กลุ่มน้ำตาลแอลกอฮอล์ จะมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ เนื่องจากดูดซึมได้ช้า และตกค้างมาเป็นอาหารของแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ ความเสี่ยงในเรื่องสุขภาพจึงเป็นเรื่องของภาวะท้องเสีย -------------------------------------------------   วัตถุให้ความหวานที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ควรรู้จัก สารให้ความหวานที่จัดอยู่ในประเภทนี้กลุ่มหนึ่งจะไม่ให้พลังงานเลย เนื่องจากร่างกายไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ มีหน้าที่ให้รสหวานเท่านั้น อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่ให้พลังงานต่ำ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้ให้คำจำกัดความไว้ว่าคือสารให้รสหวานที่ให้พลังงานน้อยกว่า 2% ของจำนวนพลังงานที่ได้จากน้ำตาลทราย ในระดับที่ให้ความหวานเท่ากัน การที่ต้องกำหนดไว้เนื่องจากสารรสหวานบางชนิดเป็นสารที่ให้พลังงานตามธรรมชาติ เช่นจัดเป็นเปปไทด์ (หน่วยย่อยของโปรตีน) เพราะฉะนั้นจะให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรีต่อกรัมเหมือนโปรตีนอื่น แต่เนื่องจากสารนั้นหวานกว่าน้ำตาลทรายเป็นร้อยเท่า เวลานำมาใส่ในอาหารจึงใช้ปริมาณน้อยมาก จนปริมาณดังกล่าวให้พลังงานแก่ร่างกายเพียงน้อยนิด ต่อไปจะขอแนะนำให้รู้จักสารรสหวานที่นิยมใช้กันบางชนิด   แอสปาแตม ถึงแม้ว่าจะจัดเป็นสารพวกโปรตีน (เปปไทด์) แอสปาแตมถือเป็นสารรสหวานที่ไม่ให้พลังงานหรือพลังงานต่ำ ตามที่ได้กล่าวถึงข้างต้น ปัจจุบันผลิตในระดับอุตสาหกรรมด้วยการสังเคราะห์โดยเชื้อจุลินทรีย์ และนำมาใช้แทนน้ำตาลบริโภคในเครื่องดื่มต่างๆ ของหวานโดยเฉพาะเยลลี่ ไอศกรีม ลูกกวาดและอาหารแห้ง ข้อที่ควรระวังของการใช้แอสปาแตมในผลิตภัณฑ์อาหารคือ ผู้ที่เป็นโรค Phenylketonuria จะไม่สามารถบริโภคอาหารที่มีแอสปาแตมเป็นส่วนประกอบ จึงต้องระบุคำเตือนบนฉลาก ค่าปริมาณที่ได้รับต่อวันกำหนดไว้ที่ 0-40 (บางประเทศ 0-50) มก.ต่อกก.น้ำหนักตัว ต่อวัน อะซีซัลเฟม-เค เอะซีซัลเฟม-เค คงตัวอยู่ได้ในสภาพความเป็นกรด-ด่างของอาหารและในช่วงอุณหภูมิของกระบวนการผลิตอาหารทั่วๆ ไป มีที่ใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารประเภทต่างๆ ในทำนองเดียวกับแอสปาแตม ค่าปริมาณที่ได้รับต่อวันคือ 0-15 (บางประเทศ 0-9) มก.ต่อกก.น้ำหนักตัว ต่อวัน ใช้ได้ในผลิตภัณฑ์อาหารทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์นมและหมากฝรั่ง ดูดซึมและขับถ่ายออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีการย่อยสลาย ซูคราโลส ซูคราโลสเป็นสารที่ได้จากดัดแปลงน้ำตาลทราย (ซูโครส) ด้วยวิธีทางเคมี ทำให้มีความหวานสูงขึ้น โดยยังคงรสชาติของน้ำตาล และมีความคงตัวสูงจึงสามารถนำไปใช้ได้ในผลิตภัณฑ์อาหารที่หลากหลาย รวมถึงอาหารที่เป็นกรด และอาหารที่ต้องผ่านกระบวนให้ความร้อน เช่นผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ ถึงแม้จะมีโครงสร้างคล้ายน้ำตาลทราย แต่ซูคราโลสไม่ถูกย่อยสลายในร่างกาย ค่าปริมาณที่ได้รับต่อวันกำหนดไว้ที่ 0-15 มก.ต่อกก.น้ำหนักตัว ต่อวัน  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 130 เปรียบเทียบความหวานสารพัดของทา (น) กับขนมปัง

  ขนมปังอาจจะไม่ใช่อาหารหลักของคนไทย แต่ขนมปังก็เป็นของโปรดของใครหลายๆ คน จะรับประทานเป็นขนมเป็นของว่าง หรือจะรับประทานเอาอิ่มเป็นมื้อหลัก แบบที่หลายๆ คนนิยมเป็นอาหารเช้า ไม่ว่าจะแบบไหนก็อร่อยได้เหมือนกัน แค่ขนมปังธรรมดาๆ ก็ว่าอร่อยแล้ว ยิ่งถ้าทาแยมหรือเนยด้วยก็ยิ่งช่วยเพิ่มรสชาติขึ้นไปอีก แต่ก็อย่าอร่อยจนลืมตัว หรือหลงคิดว่าขนมปังทาแยม ขนมปังทาเนยจะแค่เป็นอาหารเบาๆ แทนข้าวแล้วจะไม่อ้วน เพราะในความอร่อยของ แยม เนยถั่ว หรือผลิตภัณฑ์ทาขนมปังชนิดอื่นๆ ล้วนมีตัวแปรสำคัญของความอร่อยอยู่ที่ความหวานของน้ำตาล เรามารู้ทันความหวานจากน้ำตาลกับผลสำรวจปริมาณน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ทาขนมปังกันดีกว่า การทดสอบครั้งนี้ฉลาดซื้อสำรวจเปรียบเทียบปริมาณน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ที่นิยมนำมารับประทานคู่กับขนมปัง ไม่ว่าจะเป็น แยม เนยถั่ว มาร์การีน รวมทั้งที่เป็นสไตล์ไทยๆ อย่าง สังขยา และ น้ำพริกเผา   ฉลาดซื้อใช้วิธีง่ายๆ ด้วยการวิเคราะห์จากข้อมูลที่อยู่บนฉลากของแต่ละผลิตภัณฑ์ โดยดูตัวเลขปริมาณน้ำตาลที่แจ้งไว้ในข้อมูลส่วนประกอบ ซึ่งทุกตัวอย่างที่นำมาทดสอบครั้งนี้จะแจ้งปริมาณน้ำตาลเอาไว้เป็น % เราจึงต้องปรับตัวเลขให้มีหน่วยเป็นกรัม แล้วเปรียบเทียบที่ปริมาณต่อ 1 ช้อนโต๊ะ (16 กรัม) เพราะการนำมาคิดเป็นน้ำหนักต่อช้อนโต๊ะน่าจะทำให้ข้อมูลที่ได้ เป็นข้อมูลที่ใกล้เคียงกับปริมาณที่เรารับประทานจริงในแต่ละครั้งมากที่สุด สำหรับการสำรวจในครั้งนี้ -ปริมาณ 16 กรัม ต่อ 1 ช้อนโต๊ะเป็นข้อมูลที่นำมาจากข้อมูลในฉลากโภชนาการ หรือ “Thai RDI” ของผลิตภัณฑ์ สุรีย์ น้ำพริกเผาเสวย ซึ่งเป็น 1 ใน 2 ตัวอย่าง ที่มีการแจ้งข้อมูลโภชนาการ อีก 1 ตัวอย่างคือ สตรีมไลน์ รีดิวซ์ ชูการ์ มาร์มาเลดส้มสูตรลดปริมาณน้ำตาล   ตารางแสดงผลสำรวจปริมาณน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ทาขนมปังชนิดต่างๆ   ผลทดสอบ 1. แยม เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทาหรือทานคู่กับขนมปังที่มีปริมาณน้ำตาลมากที่สุด ตัวอย่างที่มีน้ำตาลมากที่สุดตามข้อมูลที่แจ้งไว้ในส่วนประกอบก็คือ เบสท์ ฟู้ดส์ มาร์มาเลดส้ม ที่มีน้ำตาลอยู่ประมาณ 8.9 กรัม ต่อปริมาณแยม 1 ช้อนโต๊ะ มากกว่า 1 ใน 3 ของปริมาณน้ำตาลที่คนไทยควรบริโภคใน 1 วัน คือไม่เกิน 24 กรัม ถ้าเทียบจากเกณฑ์ที่ฉลาดซื้อใช้ แต่จริงๆ แล้ว วิธีการรับประทานของแต่ละคนก็คงจะแตกต่างกันไป บางคนอาจจะชอบทาแยมมากๆ เวลาทาบนขนมปังก็อาจทามากกว่า 1 ช้อนโต๊ะ หรือรับประทานต่อครั้งก็อาจกินขนมปังมากกว่า 1 แผ่น ปริมาณน้ำตาลก็จะมากน้อยแตกต่างกันไปตามพฤติกรรมการบริโภค เพราะฉะนั้นก็ต้องคำนวณกันให้ดีว่าจะเลือกกินแบบไหนเพื่อให้ได้น้ำตาลในปริมาณที่พอดีกับความต้องการของร่างกาย ไม่มากเกินไป ส่วนตัวอย่างแยมยี่ห้ออื่นๆ ก็มีปริมาณน้ำตาลใกล้เคียงกัน เฉลี่ยอยู่ที่ 5 – 8 กรัม ต่อแยม 1 ช้อนโต๊ะ แยมที่เราสำรวจทั้งหมดเป็นแยมผิวส้ม หรือที่เรียกว่า มาร์มาเลด (marmalade) 2. เนยถั่ว เหมือนจะดูไม่น่าจะหวานมาก แต่ก็พบน้ำตาลในปริมาณที่สูงเช่นกัน ตัวอย่างที่พบมากที่สุดคือ นัทเกา โกโก้และเฮเซลนัทครีม พบปริมาณน้ำตาลประมาณ 8.16 กรัม ต่อปริมาณตัวอย่าง 1 ช้อนโต๊ะ หรือ 1 ใน 3 ของปริมาณน้ำตาลที่คนไทยควรรับประทานใน 1 วัน ข้อสังเกตที่น่าสนใจ เนยถั่วบางผลิตภัณฑ์น้ำตาลไม่มาก หรือไม่มีเลยบนฉลาก แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะเนยถั่วนิยมใช้สารให้ความหวานชนิดอื่นแทนน้ำตาล ซึ่งที่เราพบจากการสำรวจก็คือ  คอร์นไซรัป เป็นสารให้ความหวานที่ทำมาจากแป้งข้าวโพด ว่ากันว่าให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลทราย แถมร่างกายดูดซึมเอาไปใช้ได้ง่ายกว่าน้ำตาลทราย แต่ในบ้านเราไม่นิยมใช้เพราะราคาแพงกว่าน้ำตาลทรายที่ทำจากอ้อยค่อนข้างมากความนิยมต่อเนยถั่วในบ้านเรายังมีค่อนข้างน้อย จึงทำให้ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่เราสำรวจล้วนแล้วแต่เป็นผลิตภัณฑ์นำเข้า ซึ่งส่งผลให้แต่ละตัวอย่างมีราคาที่ค่อนข้างสูง 3. สังขยา เราสำรวจพบ 1 ยี่ห้อ  2 รสชาติ คือ เอ็มไพร์ สังขยา กลิ่นใบเตย กับ กลิ่นวานิลลา ซึ่งปริมาณน้ำตาลของทั้ง 2 รสมีเท่ากัน คือ 6.89 กรัม ต่อปริมาณตัวอย่าง 1 ช้อนโต๊ะ หรือ 1 ใน 4 ของปริมาณน้ำตาลที่ควรรับประทานใน 1 วัน   ไม่ว่าคุณจะทาขนมปังด้วยหน้าอะไร ก็อย่าลืมความจริงข้อหนึ่งว่า ขนมปัง ก็มีความหวานเช่นกัน  ยกตัวอย่าง จากข้อมูลโภชนาการของผลิตภัณฑ์ขนมปังยี่ห้อฟาร์มเฮ้าส์ ทั้งแบบธรรมดาและแบบโฮลวีต บอกไว้ว่ามีปริมาณน้ำตาลอยู่ที่ 3 กรัม ต่อขนมปัง 2 แผ่น (50กรัม) ลองนำไปเป็นข้อมูลไว้ใช้คำนวณกันดูเวลาจะทานขนมปังทาหน้าต่างๆ จะได้หวานกันแต่พอดี   สารกันบูด ยังพบในหลายผลิตภัณฑ์สิ่งที่ต้องระวังอีกอย่างหนึ่งในการรับประทานขนมปังทาหน้าต่างๆ ก็คือ สารกันบูด  เพราะถ้าลองดูจากผลสำรวจจะเห็นว่ามีหลายตัวอย่างที่มีการใช้สารกันบูด แถมก่อนหน้านี้ก็เพิ่งมีข่าวว่าศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์และสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สุ่มเก็บตัวอย่างขนมปังหลากหลายชนิดจำนวน 800 กว่าตัวอย่าง ผลที่ออกมาพบว่ามีมากกว่า 600 ตัวอย่างที่พบสารกันบูด เนย กับ มาร์การีน แตกต่างกันอย่างไร เพราะรูปร่างหน้าตาก็เหมือนกัน วิธีนำไปรับประทานก็ไม่ได้แตกต่างกัน ถ้าจะให้อธิบายให้ง่ายที่สุดก็คือ เนยคือผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการแตกตัวของไขมันในนม ขณะที่มาร์การีนก็คือ เนยเทียม ที่ใช้ไขมันจากพืชแทน เนื่องจากเนยจะมีไขมันอิ่มตัว ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดโคเลสเตอรอลสูง มาร์การีนหรือเนยเทียม จึงถูกผลิตขึ้นมาเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือก แต่ขณะเดียวกันตัวมาร์การีนเองก็มีความเสี่ยงของไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นสาเหตุของหลอดเลือดหัวใจอุดตัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเนยแท้หรือเนยเทียมก็ต้องเลือกอย่างระมัดระวัง นึกถึงสุขภาพของตัวเองมาเป็นอันดับแรก

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 126 “จะเท่ทั้งที ต้องป้องกัน UV ด้วยนะ”

  ผลทดสอบการป้องกันรังสี UV ในแว่นกันแดด เมื่อพูดถึง “แว่นกันแดด” สำหรับบางคนอาจให้ค่าว่าเป็นเพียงแค่เครื่องประดับชิ้นหนึ่ง หรืออาจใส่ไว้เพื่อบ่งบอกรสนิยม เชื่อว่าใส่แล้วจะดูเท่ความหล่อความน่ารักจะเพิ่มขึ้น บางคนก็อาจใช้แว่นกันแดดเพื่อปกปิดอำพรางความรู้สึกทางสายตา กลัวว่าคนอื่นมองตาแล้วจะรู้ความคิดที่อยู่ในใจ หรืออาจใส่เพื่อปลอมตัวแบบที่เคยเห็นบ่อยๆ ในละครทีวี ที่แย่กว่านั้นบางคนก็ใช้แว่นกันแดดแทนที่คาดผม ซึ่งก็ไม่ถือว่าผิดแต่ก็ดูเป็นการใช้งานที่ผิดหลักการไปสักหน่อย  เพราะความจริงแล้วแว่นกันแดดถือเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของเรามาก เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยปกป้องดวงตาของเราจากอันตรายของรังสีอัลตร้าไวโอเลต (UV) ซึ่งเป็นวายร้ายคอยทำลายดวงตาของเรา ทั้งส่งผลเสียต่อจอประสาทตา และเป็นสาเหตุของโรคต้อหิน ดังนั้นการสวมแว่นกันแดดในช่วงเวลาที่ตาของเราต้องปะทะกับแสงแดดจ้าจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างมาก   แว่นกันแดดที่ดีต้องป้องกันรังสี UV ไม่ใช่มีแค่ความเท่หน้าที่หลักของแว่นกันแดด คือการช่วยป้องกันอันตรายของรังสีอัลตร้าไวโอเลต (รังสี UV) โดยปกติแล้วแว่นกันแดดที่ดีต้องสามารถป้องกันรังสี ได้ไม่น้อยกว่า 95% (มาตรฐานความปลอดภัยของสินค้าในสหรัฐฯ The American National Standards Institute (ANSI)) นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันแสงที่เกิดจากการสะท้อนบนผิววัตถุที่มีความมันวาว เพราะแสงประเภทนี้ก็ทำอันตรายกับดวงตาของเราด้วยเช่นกัน อาจทำให้ตาพร่ามั่วชั่วขณะหนึ่ง  รังสี UV เป็นรังสีที่มองไม่เห็นและไม่สามารถรับรู้หรือรู้สึกได้ ซึ่งรังสี UV สามารถทำอันตรายกับดวงตาของเรา ทำให้จอประสาทตาเสื่อมและเป็นสาเหตุของโรคต้อกระจก ต้อหิน ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลทำให้ประสิทธิภาพในการมองเห็นของเราแย่ลง และอาจรุนแรงถึงขึ้นทำให้ตาบอดสนิทได้เลยทีเดียว   รังสี UV ถือเป็นภัยใกล้ตัวที่หลายคนอาจจะมองข้าม เพราะชีวิตประจำวันของเราต้องเสี่ยงกับรังสี UV ยิ่งโดยเฉพาะกับคนที่ต้องทำงานการกลางแดดจ้า คนที่ต้องขับรถ และคนที่ชอบเล่นกีฬากลางแจ้ง   นอกจากนี้แว่นกันแดดยังใช้สวมเพื่อปกปิดความผิดปกติของดวงตา ป้องกันดวงตาของเราจากฝุ่นละอองและลมด้วย เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ถ้าเราไม่มีหมวก หรือร่ม เมื่อต้องออกเผชิญแดดจ้า เราควรต้องใส่แว่นกันแดด เพื่อช่วยดูแลปกป้องรักษาดวงตาให้อยู่กับเราไปนานๆ  เรื่องควรรู้ -สภาพอากาศ ฟ้าที่มีเมฆหรือหมอกไม่สามารถป้องกันรังสี UV ได้ -ยิ่งอยู่กลางแดดนานก็ยิ่งได้รับรังสี UV มากตามไปด้วย  -ช่วงเวลาที่แสงแดดมีรังสี UV มากคือประมาณ 10.00 น. – 16.00 น. มีมากที่สุดคือช่วงเที่ยงวัน  -ประเทศที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร (อย่างเช่นประเทศไทยของเรา) มีโอกาสได้รับรังสี UV มากกว่าพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของโลก   -ยิ่งอยู่ที่สูงโอกาสที่เสี่ยงต่ออันตรายของแสง UV ก็ยิ่งมีมาก  -ความเข้มของสีเลนส์แว่นตากันแดดไม่ได้มีผลกับประสิทธิภาพในการการป้องกันรังสี UV  -แว่นตากันแดดที่ไม่ได้มาตรฐานไม่มีการเคลือบสารกรองหรือป้องกันรังสี UV นอกจากไม่ช่วยลดอันตรายของรังสี UV แล้ว กลับจะยิ่งทำอันตรายกับดวงตาของเรา เพราะเมื่ออยู่ในที่มืดหรือที่แสงสลัวรูม่านตาของเราจะขยายตัวมากขึ้น ยิ่งทำให้รังสี UV เข้าสู่นัยน์ตาเรามากขึ้นกว่าเดิม รวมถึงแว่นที่มีการหักเหของแสงที่ไม่เหมาะสม เมื่อใช้แล้วเกิดมุมมองภาพที่บิดเบี้ยวหรือผิดเพี้ยนไปจากปกติ ซึ่งทำให้ตาของเราทำงานหนัก อาจทำให้ปวดตาหรือเวียนหัว  -แว่นกันแดดชนิดโพลารอยด์ (polaroid) มีคุณสมบัติช่วยป้องกันแสงที่สะท้อนผ่านเลนส์ ไม่ทำให้สายตาพร่ามั่วและช่วยตัดแสงที่ทำมุม 45 องศาที่เข้ามากระทบ ช่วยตัดแสงไม่ให้เห็นภาพลวงตาที่เกิดจากการหักเหของแสงบนพื้นถนนและช่วยลดความเข้มของแสง ป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อตาและประสาทตาเกิดอาการอ่อนล้า  -แต่แว่นตากันแดดถึงดียังไง จะได้รับการรับรองว่ากันแสงหรือรังสี UV ได้มากสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถป้องกันอันตรายจากการมองที่ดวงอาทิตย์โดยตรง  -การใส่หมวกที่มีปีกช่วยบังทิศทางของแสงที่เข้าหาดวงตา ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดอันตรายของรังสี UV ต่อดวงตาของเราได้  -แว่นสายตาใสๆ ธรรมดา ก็สามารถป้องกันรังสี UV ได้ด้วยเช่นกัน หากมีการรับรองจากผู้ผลิตหรือผู้ขายว่าป้องกันได้   ฉลาดซื้อแนะนำวิธีเลือกซื้อแว่นกันแดดการจะทดสอบเรื่องของประสิทธิภาพการป้องกันรังสี UV ในแว่นตากันแดด อาจเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับผู้บริโภคอย่างเรา แต่ก็ใช่ว่าเราจะมองข้ามเรื่องคุณภาพของแว่นกันแดดจนสนใจแต่เรื่องรูปทรงความสวยงามเท่านั้น เพราะยังมีวิธีง่ายๆ ในการเลือกซื้อแว่นกันแดดให้ได้คุณภาพที่คุ้มค่า   1.ถ้าหากแว่นกันแดดมีการระบุข้อความว่า “400 UV Protection” ก็น่าจะพอเชื่อใจได้ระดับหนึ่งว่า แว่นกันแดดที่เราจะซื้อมีการป้องกันรังสี UV ที่ระดับสูง (ตัวเลข 400 มาจาก 400 นาโนเมตร ซึ่งเป็นระยะปลอดภัยของรัสี UV หรือเป็นระยะที่ป้องกันรังสี UV ได้ 100% ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้ใน ยุโรป อเมริกา และอีกหลายๆ ประเทศ)  2.ถ้ามีสัญลักษ์ CE ซึ่งเป็นตรารับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์จากยุโรป ก็ถือเป็นการการันตีคุณภาพได้เช่นกัน  3.ให้ลองมองแนวที่เป็นเส้นตรงผ่านเลนส์ข้างใดข้างหนึ่ง จากนั้นให้ขยับแว่นเลื่อนเข้าเลื่อนออกช้าๆ เลนส์ที่ดีต้องไม่ทำให้เส้นตรงที่มอง คดหรือเบี้ยวขณะขยับแว่น  4.รูปทรงของแว่นต้องเหมาะกับรูปหน้าของเรา ไม่คับเกินไปจนอึดอัดหรือเจ็บที่ขมับ และก็ต้องไม่หลวมมากจนเกินไปจนตกลงมาอยู่ที่ปลายจมูกทำให้ต้องเลื่อนสายตาลงมาเวลามอง  5.เวลาสวมแว่นกันแดดแล้วต้องให้แสงแดดลอดเข้ามาหาดวงตาน้อยที่สุด ทั้งจากด้านบนและด้านล่าง แต่ก็ไม่ถึงกับใกล้ขนาดใส่แล้วเลนส์มาชิดติดกับขนตา  6.แม้เรื่องราคาและยี่ห้อของแว่นจะไม่ใช่ตัวการันตีเรื่องคุณภาพในการป้องกันรังสี แต่การซื้อกับร้านที่มีที่อยู่แน่นอน ตัวแว่นกันแดดมีรายละเอียดข้อมูลที่อยู่ผู้ผลิต มีใบรับประกัน ก็น่าจะทำให้ผู้ใช้อย่างเรามั่นใจคุณภาพได้มากกว่า  7.ถ้าหากมีการรับประกันก็ต้องศึกษาให้ดี ยิ่งเป็นแบบที่ราคาแพงยิ่งต้องศึกษาและสอบถามจากร้านค้าหรือพนักงานขาย ดูว่ารับประกันกี่ปี อะไรบ้างที่อยู่ในข่ายรับประกันและไม่รับประกัน เช่น ถ้าซื้อมาใช้แล้วเกิดรอยขีดข่วนที่เลนส์สามารถเปลี่ยนหรือซ่อมให้ฟรีหรือเปล่า  8.อย่าลืมสอบถามกับพนักงานที่เราซื้อแว่นตากันแดดว่า แว่นที่เราซื้อต้องดูแลรักษายังไง มีขอควรระวังในการใช้อะไรบ้าง  9.แว่นกันแดดเองก็มีกำหนดอายุการใช้งานด้วยเช่นกัน (ซึ่งปกติจะอยู่ที่ 2 – 3 ปี) เพราะฉะนั้นเวลาซื้อก็ต้องอย่าลืมศึกษาข้อมูลวันที่ผลิตจากคู่มือหรือใบรับรอง หรือไม่ก็สอบถามจากพนักงานขาย -------------------------------------------------------------------------------- สีของเลนส์แว่นกันแดดที่ควรเลือกใช้คือ แดง เทา เขียว น้ำตาล เพราะสีที่เห็นจะเพี้ยนน้อย ซึ่งจะปลอดภัยเวลาต้องสังเกตสัญญาณไฟจราจรขณะขับรถ เลนส์ที่ออกโทนสีเทาและเขียว เป็นเลนส์ที่ให้การมองเห็นเป็นสีจริง ส่วนโทนสีน้ำตาล จะช่วยเพิ่มความคมชัดและการรับรู้ภาพแบบตื้นลึก ซึ่งเหมาะกับนักกีฬา นักบิน คนที่ต้องขับรถเป็นประจำ สำหรับคนที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ การใส่แว่นกันแดดก็ช่วยถนอมสายตาและเพิ่มความคมชัดในการมองได้ด้วยเช่นกัน แต่ต้องเลือกแว่นกันแดดเลนส์สีอ่อนๆ เพราะเมื่อใส่แล้วจะช่วยทำให้การมองเห็นดูนุ่มนวลขึ้น --------------------------------------------------------------------------------   อย่าลืมซื้อแว่นกันแดดป้องกัน UV ให้กับเด็กๆ ด้วยนะรังสี UV ไม่เป็นมิตรกับใครทั้งนั้นไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ แถมเด็กๆ ยังมีโอกาสเสี่ยงอันตรายจากรังสี UV มากกว่าผู้ใหญ่ เพราะดวงตาของเด็กๆ จะเปิดรับการมองเห็นได้มากกว่าผู้ใหญ่ เลนส์แก้วตาก็ยังมีความชัดเจนกว่า จึงเป็นเรื่องที่พ่อ – แม่ผู้ปกครองไม่ควรมองข้ามสุขภาพตาของเด็กๆ อย่าปล่อยให้ลูกของเราต้องเผชิญแสงจ้าโดยไม่ได้สวมแว่นกันแดด และที่สำคัญเวลาเลือกซื้อแว่นกันแดดให้กับเด็กๆ ก็ต้องดูที่ประสิทธิภาพการป้องกันรังสี UV เป็นอันดับแรก ไม่ใช่ดูแต่รูปลักษณ์ภายนอก เลือกซื้อแต่แบบที่น่ารักกุ๊กกิ๊กซึ่งอาจกันรังสี UV ไม่ได้   ผลทดสอบการป้องกันรังสี UV ในแว่นกันแดด Vans ราคา 700 บาท ค่าการผ่านของแสง                     17% ค่าการสะท้อนแสงภายนอก          3.7% ค่าการส่งผ่านรังสี UV                  0% ค่าการสะท้อนรัง UV                    3.7%     Ray Ban ราคา 6,000 บาท ค่าการผ่านของแสง                     14.5% ค่าการสะท้อนแสงภายนอก          4.3% ค่าการส่งผ่านรังสี UV                  0% ค่าการสะท้อนรัง UV                    4.6%     ไม่มียี่ห้อ (1) ราคา 60 บาท ค่าการผ่านของแสง                     22.5% ค่าการสะท้อนแสงภายนอก          3.4% ค่าการส่งผ่านรังสี UV                  0% ค่าการสะท้อนรัง UV                    3.6%     ไม่มียี่ห้อ (2) ราคา 39 บาท ค่าการผ่านของแสง                     6.0% ค่าการสะท้อนแสงภายนอก          3.6% ค่าการส่งผ่านรังสี UV                  0.2% ค่าการสะท้อนรัง UV                    3.8%     LE Club ราคา 590 บาท ค่าการผ่านของแสง                     11.8% ค่าการสะท้อนแสงภายนอก          4.3% ค่าการส่งผ่านรังสี UV                  0% ค่าการสะท้อนรัง UV                    4.6%     Action Eyewear (1) ราคา 299 บาท ค่าการผ่านของแสง                     13.1% ค่าการสะท้อนแสงภายนอก          4.7% ค่าการส่งผ่านรังสี UV                  0% ค่าการสะท้อนรัง UV                    5%     Estoffi ราคา 3,000 บาท ค่าการผ่านของแสง                     15.4% ค่าการสะท้อนแสงภายนอก          4.5% ค่าการส่งผ่านรังสี UV                  0% ค่าการสะท้อนรัง UV                    4.7%     Action Eyewear (2) ราคา 199 บาท ค่าการผ่านของแสง                     20.2% ค่าการสะท้อนแสงภายนอก          3.9% ค่าการส่งผ่านรังสี UV                  0% ค่าการสะท้อนรัง UV                    4.2%     Action Polarised ราคา 399 บาท ค่าการผ่านของแสง                     9.4% ค่าการสะท้อนแสงภายนอก          4.6% ค่าการส่งผ่านรังสี UV                  0% ค่าการสะท้อนรัง UV                    5.1%   ********************************************************************************* ผลการทดสอบ เมื่อราคาไม่ใช่ตัวการันตีประสิทธิภาพการป้องกันรังสี UV ฉลาดซื้อได้สุ่มซื้อตัวอย่างแว่นกันแดดจำนวน 9 ตัวอย่าง โดยเน้นที่ความหลากหลายของราคา เพื่อจะดูว่าราคามีผลกับประสิทธิภาพการป้องกันการส่งผ่านของรังสี UV หรือไม่ ซึ่งผลที่ออกมาถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะแว่นกันแดดทุกตัวอย่างที่เราส่งให้ทางกรมวิทยาศาสตร์บริการทดสอบนั้น มีค่าการส่งผ่านรังสี UV ที่ 0% คือไม่สามารถผ่านได้เลย เท่ากับว่าสามารถป้องกันรังสี UV ได้ 100% มีเพียง 1 ตัวอย่างเท่านั้นที่ยังมีการส่งผ่านของรังสี UV อยู่บ้างคือ ตัวอย่างที่ไม่มียี่ห้อซึ่งมีราคา 39 บาท ที่รูปร่างลักษณะออกจะเป็นแว่นกันแดดเฉพาะโอกาสไว้ใส่สนุกสนานดูเป็นแว่นแฟชั่นมากกว่า โดยรังสี UV สามารถส่งผ่านได้ 0.2% ซึ่งก็ถือว่าน้อยมาก   จากเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยของสินค้าในสหรัฐฯ The American National Standards Institute (ANSI) รังสี UVB ซึ่งเป็นรังสีระยะสั้น 280 – 315 นาโนเมตร ค่าการส่งผ่านไม่ควรเกิน 0.1% ส่วนรังสี UVA ที่ระยะรังสีอยู่ที่ 315 – 380 นาโนเมตร ค่าการส่งผ่านไม่ควรเกิน 0.5% ซึ่งระยะปลอดภัยสูงสุดของรังสี UV อยู่ที่ 400 นาโนเมตร ค่าการส่งผ่านจะเท่ากับ 0% แม้การทดสอบของเราไม่ได้มีการประเภทของรังสี แต่การทดสอบก็อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพึงพอใจเพราะเกือบทั้งหมดมีค่าการส่งผ่านของรังสี UV ที่ 0%   ผลทดสอบนี้สามารถบอกเราได้ว่าราคาไม่มีผลกับเรื่องประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UV จะถูกจะแพงก็ป้องกันรังสี UV ได้เหมือนกัน ส่วนเรื่องการทดสอบอื่นๆ ทั้งค่าการผ่านของแสง ค่าการสะท้อนของแสง และค่าการสะท้องรังสี UV ก็อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันทุกตัวอย่าง   แต่การทดสอบนี้เป็นเพียงแค่ส่วนของการผ่านของแสงและรังสี UV เท่านั้น ซึ่งแว่นกันแดดที่ดียังมีต้องคุณสมบัติอื่นๆ ประกอบอีกหลายอย่าง ทั้งความคงทนของเลนส์ กรอบแว่น ขาแว่น ส่วนข้อต่อต่างๆ วัสดุที่ผลิต รวมทั้งเรื่องการออกแบบ และบริการหลังการขาย ซึ่งเรื่องพวกนี้แหละที่มาเป็นเงื่อนไขเรื่องของราคา

อ่านเพิ่มเติม >


ฉบับที่ 89 เมื่อน้ำส้มจะทำร้ายนางเอก

น้ำผลไม้ในความคิดของผู้บริโภคส่วนใหญ่ คือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เพราะต่างก็รู้ว่า ผลไม้นั้นมีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะน้ำส้มคั้นเป็นน้ำผลไม้ที่นิยมกันมาก ขนาดนางเอกหนังไทยต้องสั่งมาดื่มทุกครั้งที่มีฉากในร้านอาหาร จึงถูกเรียกอย่างน่ารักๆ ว่า “น้ำนางเอก” น้ำส้มหากคั้นสดแล้วดื่มเลยทันที ย่อมมีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่เพียงเวลาผ่านไปไม่นาน วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ในน้ำส้มจะเสื่อมคุณภาพอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเพื่อให้น้ำส้มคงคุณภาพได้นานขึ้นและสะดวกในการขนส่ง จึงได้มีการผลิตน้ำส้มพร้อมดื่ม (น้ำส้มบรรจุในภาชนะปิดสนิท) ออกมาจำหน่ายเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค ทุกวันนี้ตามชั้นวางเครื่องดื่มในร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า เราจะพบน้ำส้มพร้อมดื่มหลากหลายยี่ห้อ มีทั้งที่เป็นน้ำส้มแท้ (100%) น้ำส้มผสม ที่มีปริมาณน้ำส้มตั้งแต่ 25% ขึ้นไป และอีกหลายยี่ห้อมีน้ำส้มผสมเป็นหัวเชื้ออยู่ประมาณ 10 – 15% แล้วแต่งสี กลิ่น รส สังเคราะห์ให้คล้ายน้ำส้ม ซึ่งผลิตภัณฑ์ประเภทหลังนี้ อย.ไม่ให้เรียกว่า “น้ำส้ม” แต่ต้องเรียกว่า “น้ำรสส้ม” (จริงๆ ฉลาดซื้ออยากเรียกว่า “น้ำสีส้ม” มากกว่า เพราะสีส้มได้ใจมาก) แม้ว่าในระยะสองสามปีที่ผ่านมานี้ น้ำส้มพร้อมดื่มอาจจะถูกตีตลาดด้วย “ชาเขียว” ทำให้ซบเซากันไประยะหนึ่ง แต่เมื่อมาถึงวันนี้ที่ชาเขียว out ไปแล้ว น้ำส้มกำลังกลับมาผงาดอีกครั้ง ลองสังเกตปรากฏการณ์น้ำส้มฟีเวอร์ได้จากโฆษณาและชั้นวางสินค้าเครื่องดื่ม ลองดูสิ คุณจะเห็นขวดและกล่องสีส้มละลานตาไปหมด กับสินค้าสุดฮิต ฉลาดซื้อย่อมไม่พลาดที่จะหยิบมาทดสอบ เราเก็บตัวอย่างน้ำส้มและน้ำรสส้มพร้อมดื่ม จำนวน 22 ยี่ห้อ จากชั้นวางเครื่องดื่มในห้างสรรพสินค้า มาทดสอบหาปริมาณ “น้ำตาล” และ “วิตามิน ซี” ที่คนส่วนใหญ่มักเชื่อกันไปเองว่า ส้มเป็นผลไม้ที่มีวิตามิน ซี สูง เมื่อทำให้เป็นน้ำส้มแล้ววิตามิน ซี ย่อมสูงตามไปด้วย  ซึ่งเป็นความเชื่อที่เกือบถูก แต่ไม่ถูกต้อง เพราะคนส่วนใหญ่จะยังขาดความเข้าใจอีกมากเกี่ยวกับวิตามินตัวนี้ ผลทดสอบน้ำส้มและน้ำรสส้มพร้อมดื่ม จำนวน 22 ยี่ห้อ •    น้ำส้ม น้ำรสส้ม สามอันดับแรกที่มีปริมาณน้ำตาลสูง ได้แก่ น้ำรสส้ม ฟรุ้ตฟิตฟอร์ฟัน มีปริมาณน้ำตาลถึง 15 ช้อนชาต่อขวด ขนาด 330 มล.(19.3 กรัม/100 มล.) อันดับสอง มาลี จู๊ซมิกซ์ 13 ช้อนชาครึ่งต่อขวด ขนาด 350 มล.(16.4 กรัม/100 มล.) และน้ำส้ม 30% ทิบโก้ คูลฟิต 11 ช้อนชาครึ่งต่อขวด ขนาด 300 มล.(16.3 กรัม/100 มล.)•    น้ำส้ม 100% ที่ไม่เติมน้ำตาลจะมีปริมาณน้ำตาลอยู่ที่ประมาณ 5.5 ช้อนชา ต่อ 200 มล.(1 แก้ว) ส่วนน้ำส้มผสมจะมีปริมาณน้ำตาลโดยเฉลี่ยที่ 12.8  กรัมต่อ 100 มล.หรือประมาณ 6 ช้อนชา ต่อ 1 แก้ว (200 มล.)   •    เมื่อนำน้ำส้ม น้ำรสส้มมาทดสอบหาวิตามิน ซี พบว่า ส่วนใหญ่ไม่มีวิตามิน ซี เหลืออีกแล้ว หรือไม่ก็เหลือในปริมาณที่น้อยมาก บางผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า มีการเติมวิตามิน ซี ก็ไม่พบ ได้แก่ น้ำส้ม 25% ฟิวเจอร์ น้ำรสส้ม 20 % โออิชิ เซกิ •    จากการทดสอบ มีผลิตภัณฑ์อยู่สามยี่ห้อที่พบว่ามีวิตามิน ซี อยู่มากกว่า 20 มก./100 มล. ได้แก่ น้ำรสส้ม แบร์รี่ ซันเบลสท์ มีปริมาณวิตามิน ซี 24 มก. น้ำส้ม 40% ยูเอฟซี มีวิตามิน ซี 23 มก. น้ำรสส้ม อะมิโนโอเค มีวิตามิน ซี 20 มก. ปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มน้ำอัดลมมีน้ำตาลเป็นส่วนผสม 7 ช้อนชา ต่อ 1 กระป๋อง น้ำหวาน 1 แก้ว (200 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลเฉลี่ย 6 ช้อนชา นมถั่วเหลือง1 แก้ว (200 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลเฉลี่ย 5 ช้อนชาชาเขียว 1 แก้ว (200 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลเฉลี่ย 5 ช้อนชา ฉลาดซื้อแนะ•    ภาชนะบรรจุน้ำส้ม น้ำรสส้มพร้อมดื่มที่นำมาทดสอบมีขนาดตั้งแต่ 180 – 500 มล. โดยขนาดบรรจุที่ปริมาณ 180 – 350 มล. จะเป็นขนาดที่ดื่มได้หมดภายในครั้งเดียว ทำให้ปริมาณน้ำตาลที่ดื่มเข้าไปในแต่ละครั้งมีปริมาณที่ค่อนข้างสูง แต่ปริมาณน้ำตาลที่นักโภชนาการแนะนำต่อวัน คือระหว่าง 6 - 8 ช้อนชา ดังนั้นน้ำส้มพร้อมดื่ม จึงไม่น่าจะใช่เครื่องดื่มที่เป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพสำหรับนางเอกหรือผู้ที่รักสุขภาพ  •    บางครั้งคนเราก็ต้องการดื่มอะไรที่หวานเย็นชื่นใจบ้าง ดังนั้นหากคิดจะดื่มน้ำส้มหรือน้ำรสส้มจึงไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพียงแต่ควรจะเลือกขวดหรือกล่องขนาดเล็กหรือแบ่งดื่มเพื่อไม่ให้ร่างกายรับความหวานมากเกินไป เพราะคุณต้องไม่ลืมว่าวันหนึ่งคุณยังต้องกินอาหารที่มีน้ำตาลผสมอยู่อีกหลายชนิด รวมๆ กันแล้วต่อวันก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ •    น้ำรสส้มที่ผลิตโดยค่ายน้ำอัดลมยักษ์ สแปลช (ลิขสิทธิ์โคค่า โคล่า) และทรอปิคานา ทวิสเตอร์ (ลิขสิทธิ์เป๊ปซี่) ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความหวานไม่ต่างจากน้ำอัดลม โดยที่ สแปลช มีปริมาณน้ำตาล 6 ช้อนชาต่อขนาดกล่อง 180 มล.(14 กรัม/100 มล.) และ ทรอปิคานา มีปริมาณน้ำตาล ประมาณ 12 ช้อนชาต่อขนาดขวด 350 มล.(14.3 กรัม/100 มล.) พอๆ กับน้ำอัดลมหรือมากกว่า โดยน้ำอัดลมมีปริมาณน้ำตาลอยู่ที่ประมาณ 7 ช้อนชาต่อ 1 กระป๋อง •    ข้อแตกต่างระหว่างผลไม้สดกับน้ำผลไม้ คือเส้นใยอาหาร เมื่อผลไม้ถูกสกัดมาเป็นน้ำผลไม้ กากใยอาหารถูกแยกออกไป ทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลได้เร็ว แต่ไม่ช่วยเรื่องการขับถ่าย  ส่วนการกินผลไม้สดซึ่งมีใยอาหารสูง การดูดซึมน้ำตาลในกระแสเลือดจะช้ากว่าและเนื้อของผลไม้จะช่วยให้เราไม่รับประทานน้ำตาลมากจนเกินไป อีกทั้งยังช่วยในเรื่องการขับถ่ายอีกด้วย•    อย่าเข้าใจผิดว่า น้ำส้มหรือน้ำรสส้มพร้อมดื่มจะมีวิตามิน ซี สูง เสมอไป อย่างที่ฉลาดซื้อได้ทดสอบให้เห็นแล้วว่า ขนาดผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า เติมวิตามิน ซี ลงไปด้วยหรือผลิตด้วยเทคโนโลยีสุดทันสมัยก็ยังหาแทบไม่เจอ ทั้งนี้คุณต้องมีความเข้าใจในเรื่องจริงที่ว่า วิตามิน ซี นั้นถูกทำลายได้ง่ายมาก และกว่าที่เครื่องดื่มจะมาถึงผู้บริโภคก็ต้องผ่านการขนส่ง ผ่านการจัดเก็บในสถานที่ต่างๆ อาจโดนทั้งแสง ความร้อน ทำให้ปริมาณวิตามิน ซี (ที่เหลือมาบ้างจากกระบวนการผลิต) ลดลงไปเรื่อยๆ จนไม่เหลือค่าอะไรให้วัดได้อีก•    น้ำส้มที่ผสมวิตามิน ซี ไม่ควรมาพร้อมกับวัตถุกันเสีย(เบนโซอิก) เพราะมีข้อมูลที่ชวนให้สงสัยว่า เมื่อทั้งสองมาอยู่รวมกันอาจเกิดเป็นสารพิษที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ (หาอ่านได้จากเรื่อง วันนี้คุณดื่มน้ำอัดลมแล้วหรือยัง ในฉลาดซื้อฉบับที่ 80)  •    น้ำส้มเสื่อมคุณภาพได้ง่าย ดังนั้นควรเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน ได้รับการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา •    ไม่แนะนำสำหรับเด็กและสาวๆ ที่ต้องการมีหุ่นแบบนางเอก เนื่องจากเป็นเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูง เสี่ยงต่อโรคอ้วนและเบาหวาน ตลาดน้ำผลไม้มีมูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท เป็นน้ำผลไม้ 100% มูลค่า 2,500 ล้านบาท ส่วนน้ำผลไม้ต่ำกว่า 25% มีมูลค่าอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นน้ำผลไม้ 40% รสชาติที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ "น้ำส้ม" ที่มีสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของตลาดน้ำผลไม้ปริมาณวิตามินซีในผัก ผลไม้และน้ำผลไม้คั้นสด

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 76 ซีเรียล อาหารเช้ามื้อนี้น้ำตาลมากไปไหม

ผลิตภัณฑ์ซีเรียล (Cereal) เป็นอาหารสำเร็จรูปชนิดหนึ่งที่คนรุ่นใหม่กำลังให้ความสนใจกันมากขึ้น เนื่องจากความสะดวกในการรับประทานและการทำตลาดที่สื่อความหมายว่า เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเช้าที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ซีเรียลธัญพืชชนิดแผ่นกรอบ (Flakes) ที่มีเด็กเป็นกลุ่มเป้าหมาย แต่จะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ หรือ...ในเมื่ออาหารเช้ามื้อนี้มีน้ำตาลสูงมากองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคของประเทศอังกฤษ สำรวจและทดสอบผลิตภัณฑ์ซีเรียลจำนวน 275 ตัวอย่างจากร้านค้าปลีกและโรงงานทั่วประเทศพบว่า ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่มีน้ำตาลผสมในปริมาณค่อนข้างสูงคือร้อยละ 76 ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดมีน้ำตาลในระดับสูงมาก และยังพบอีกว่าร้อยละ 19 ของผลิตภัณฑ์ตัวอย่างยังมีเกลือค่อนข้างสูงอีกด้วย ซึ่งผลการศึกษานี้ พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในวารสาร Which เมื่อเดือนกรกฎาคม 2549 ที่ผ่านมานี้เองในประเทศอังกฤษอาหารเช้าซีเรียลค่อนข้างเป็นที่นิยมกันมากเห็นได้จากจำนวนผลิตภัณฑ์ตัวอย่างถึง 275 รายการ ที่ทาง Which นำมาทดสอบ การพบว่ามีส่วนผสมของเกลือค่อนข้างสูงในผลิตภัณฑ์ซีเรียลทำให้ผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรแห่งนี้แถลงว่า ขณะที่ทุกส่วนของสังคมกำลังพยายามลดเกลือในอาหารเช้าลงมา แต่เรายังพบว่ามีผลิตภัณฑ์ถึงร้อยละ 19 ที่มีเกลือสูง ซึ่งไม่น่าจะเรียกว่าเป็น อาหารที่ดีต่อสุขภาพตามที่ผู้ผลิตได้โฆษณามาตลอด

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 100 น้ำตาลในอาหารเสริมสำเร็จรูปของเด็กเล็ก

  “อาหารเสริม” เวลาที่พูดถึงคำๆ นี้มักจะชวนให้คิดถึง บรรดาผลิตภัณฑ์ที่อ้างสรรพคุณว่ากินแล้วดีต่อสุขภาพ ทำให้สวย ขาว หรือแข็งแรงเว่อร์ๆ อะไรประมาณนั้น ซึ่งในทางกฎหมายเขามีชื่อที่นิยามไว้เฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่กล่าวมานี้ว่า “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร” ไม่ใช่ “อาหารเสริม” เพราะอาหารเสริม โดยแท้จริงแล้วจะหมายถึง อาหารที่ให้เด็กรับประทานเสริมจากนมแม่หรือนมผสม ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถเตรียมขึ้นเอง หรือบางครั้งก็เลือกใช้ผลิตภัณฑ์แบบสำเร็จรูปที่ขายในท้องตลาดแทน จากงานวิจัยของกองทันตสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2551 พบว่า เด็กอายุมากกว่า 6 เดือนขึ้นไปเริ่มมีการบริโภคอาหารเสริมถึงร้อยละ 52.7 ปัญหาคือ เป็นอาหารเสริมปรุงสำเร็จ หรือกึ่งสำเร็จรูป ที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลักในปริมาณสูง ซึ่งมันมีผลต่อการ “ติดรสหวาน” ของเด็กในอนาคต ฉลาดซื้อได้ทดลองหยิบผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่วางขายทั่วไป และมียอดขายลำดับต้นๆ มาทดสอบหาปริมาณน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ว่าจะ “หวาน” กันสักแค่ไหน ผลปรากฏว่า หวานมากเมื่อคิดว่าเป็นอาหารที่ป้อนให้ลูกน้อยรับประทานเสริมในช่วงปีแรกของชีวิต เรียงลำดับ 3 อันดับหวานมาก ได้แก่ 1. เนสท์เล่ ซีรีแลค สูตรผสมน้ำผึ้ง ปริมาณน้ำตาล 19.9 กรัม/ผลิตภัณฑ์ 100 กรัม หรือประมาณ 5 ช้อนชา2. เนสท์เล่ ซีรีแลค สูตรผลไม้รวม ปริมาณน้ำตาล 18.8 กรัม/ผลิตภัณฑ์ 100 กรัม หรือประมาณ 4 ช้อนชาครึ่ง 3. เนสท์เล่ ซีรีแลค ข้าวโอ๊ต&ลูกพรุน ปริมาณน้ำตาล 18.2 กรัม/ผลิตภัณฑ์ 100 กรัม หรือประมาณ 4 ช้อนชา อย่าปล่อยให้เด็กติดหวาน การดูแลเรื่องอาหารการกินในวัยต้นของชีวิต โดยเฉพาะช่วงขวบปีแรกถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากพ่อแม่คิดจะสร้างความแข็งแรง ความมีสุขภาพดีให้แก่ลูกรักที่จะเติบโตต่อไปเป็น “เด็กฉลาด แข็งแรง” และ “ผู้ใหญ่สุขภาพดี” หลังคลอดอาหารที่ดีที่สุดคือ นมแม่ ซึ่งสามารถให้ได้ถึง 6 เดือน โดยไม่ต้องกินอย่างอื่น จากนั้นจึงค่อยๆ เสริมด้วยอาหารอื่นเพื่อให้เด็กได้รับสารอาหารที่เพียงพอสมวัย หรือหากไม่ได้กินนมแม่ตลอดมีการให้นมผงผสมผสานในการเลี้ยงดู ก็จำเป็นต้องให้อาหารอื่นเสริมไวขึ้น  อาหารเสริมที่คุ้นเคยกันดี ก็เช่น กล้วยน้ำว้าบด ข้าวบด ไข่แดงบด และอาจรวมไปถึงเนื้อสัตว์ผัก และปลา ซึ่งเตรียมเองได้ง่ายๆ ในครัวเรือน แต่ด้วยสภาพสังคมที่อาจจะไม่เอื้อต่อคุณพ่อคุณแม่หลายท่าน ส่งผลให้พ่อแม่ไม่มีเวลามากพอในการจัดเตรียมอาหารเสริมแบบปรุงเองเพื่อป้อนให้ลูกน้อยได้ ก็จำเป็นต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ปรุงสำเร็จรูปมาป้อนเข้าปากลูกแทน ซึ่งจุดนี้อาจถือว่าเป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “ติดรสหวาน” จากการศึกษา พบว่า เด็กไทยอายุมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป ร้อยละ 52.7 เริ่มบริโภคอาหารเสริมสำเร็จรูป นั่นเท่ากับว่า เด็ก 1 ใน 2 คน มีโอกาสได้ลิ้มรสชาติ “น้ำตาล” ตั้งแต่อายุเพียง 6 เดือนเท่านั้น เพราะอาหารเสริมปรุงสำเร็จส่วนใหญ่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบเพื่อเพิ่มรสชาติ ติดรสหวานไม่ดีอย่างไร เรื่องนี้พิสูจน์ได้ด้วยสถานการณ์สุขภาพเด็กไทยในปี พ.ศ.2545 ที่พบเด็กฟันผุมากถึงร้อยละ 72 จนหน่วยงานทั้งหลายต้องเร่งออกมาศึกษาและหาทางแก้ไขกันยกใหญ่ ซึ่งจุดหนึ่งของปัญหาคือ พบว่า เด็กไทยเริ่มกินนมสูตรต่อเนื่องที่มีน้ำตาลผสมในปริมาณสูง ทำให้น้ำตาลสะสมในช่องปากก่อให้เกิดฟันผุ แต่หลังจากที่หลายองค์กรทางด้านสุขภาพได้ช่วยกันรณรงค์ผลักดันให้กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศ สธ.ที่ 286 ห้ามไม่ให้เติมน้ำตาลในนมสูตรต่อเนื่องสำหรับเด็ก รวมทั้งเร่งให้การศึกษาพ่อแม่ให้ดูแลสุขภาพภายในช่องปากของลูก ทำให้พบว่า เด็กไทยมีแนวโน้มฟันผุน้อยลงมาหน่อย คือ ร้อยละ 62.8 ในปี พ.ศ. 2550 ติดรสหวานไม่เพียงทำให้ฟันผุ (ซึ่งอาจแก้ได้ด้วยการแปรงฟันที่ถูกวิธี) แต่ยังทำให้เด็กปฏิเสธอาหารรสชาติธรรมชาติ ตลอดจนอาหารอื่น โดยเรียกร้องแต่จะกินอาหารที่หวานด้วยน้ำตาลเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นขนมขบเคี้ยว ขนมถุง น้ำหวานหรือน้ำอัดลม ส่งผลให้เด็กมีภาวะน้ำหนักเกิน ขาดสารอาหาร และมีแนวโน้มเจ็บป่วยด้วยโรคที่ไม่ควรเกิดในเด็กเล็ก อย่าง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ดังนั้นหากไม่อยากให้ลูกติดรสหวาน ถ้าจำเป็นต้องเลือกอาหารเสริมสำเร็จรูป ก็ควรเลี่ยงที่มีส่วนผสมของน้ำตาล พยายามทำอาหารให้ลูกกินเองให้ได้มากที่สุด ใช้อาหารเสริมเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อไม่ให้ลูกของคุณกลายเป็นเด็กที่อ้วนแต่อ่อนแอ และหากพ่อแม่คนไหนยังมีความเชื่อว่าอาหารเสริมกึ่งสำเร็จรูปสำหรับเด็กเป็นอาหารที่ดี มีประโยชน์มากกว่าอาหารปกติ ขอให้ข้อคิดว่า อาจไม่เป็นเรื่องจริงก็ได้ เพราะความจริงคือ ไม่น่าจะมีอะไรวิเศษไปกว่าอาหารสดที่เราหาซื้อได้จากตลาดและนำมาปรุงเอง อาหารที่เตรียมเองไม่ต้องผ่านกระบวนการผลิต การบรรจุขวด ซึ่งผ่านขั้นตอนที่ทำลายคุณค่าอาหารและยังอาจมีสารกันบูดผสมด้วย ดังนั้นในยุคเศรษฐกิจฝืดๆ แบบนี้ อาหารเสริมสำเร็จรูปจากต่างประเทศ “ราคาแพงเกินไป” ทำเองดีกว่า ถูกกว่าและปลอดภัยกว่าแน่นอน ผลทดสอบปริมาณน้ำตาลในอาหารเสริมกึ่งสำเร็จรูปสำหรับเด็ก   ผลิตภัณฑ์ น้ำหนัก (กรัม) ราคาต่อหน่วย (บาท) วันผลิต – วันหมดอายุ น้ำตาล (กรัมต่อ 100 กรัม) เนสท์เล่ ซีรีแลค สูตรผสมน้ำผึ้ง 120 38.75 10-11-08 09-02-10 19.9 เนสท์เล่ ซีรีแลค สูตรผลไม้รวม 120 38.75 19-11-08 18-02-10 18.8 เนสท์เล่ ซีรีแลค ข้าวโอ๊ต&ลูกพรุน 150 120.75 16-05-08 15-08-09 18.2 เนสท์เล่ ซีรีแลค ข้าว แอปเปิลและแครนเบอรี่ 150 120.75 29-05-08 28-08-09 16.2 ไฮนซ์ แอปเปิ้ลผสมบลูเบอร์มูสลี่ 110 41.25 01-07-08 01-07-10 7.8 ไฮนซ์ คัสตาร์ด กลิ่นวานิลลา 110 41.25 04-06-08 04-06-10 6.7 ไฮนซ์ คัสตาร์ด รสไข่ 110 41.25 06-06-08 06-06-10 5.8   อายุ อาหารเสริม ครบ 4 เดือน ข้าวบดใส่น้ำแกงจืด สลับกับกล้วยน้ำว้าสุกครูด ข้าวบดกับไข่แดงต้มสุก ข้าวบดกับตับ หรือข้าวบดกับถั่วต้มเปื่อย ครบ 5 เดือน เริ่มอาหารปลา และควรเติมฟักทองหรือผักบดละเอียดในข้าวด้วย ครบ 6 เดือน ให้อาหารเสริมเป็นอาหารหลัก 1 มื้อ และให้กล้วย มะละกอสุก องุ่น มะม่วงสุก เป็นอาหารว่างอีก 1 มื้อ โดยตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ถ้วยให้ลูกหยิบรับประทานเองได้ และให้เริ่มดื่มน้ำส้มได้โดยผสมกับน้ำสุก 1 เท่าตัว ควรเริ่มทีละน้อยก่อน เช่น 1 ช้อนชา ครบ 7 เดือน เริ่มเนื้อสัตว์บดผสมในข้าว เริ่มให้ไข่ทั้งฟองได้ แต่ต้องต้มสุก ครบ 8-9 เดือน อาหารมื้อหลัก 2 มื้อ ถ้าลูกน้ำหนักตัวน้อย อาหารอาจเป็นของทอดที่มีน้ำมันด้วย ครบ10-12 เดือน อาหารมื้อหลัก 3 มื้อ และเปลี่ยนจากบด หรือสับละเอียดมาเป็นอาหารอ่อนนิ่มธรรมดาได้แล้ว   ปัจจุบันผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำหรับเด็กมีมูลค่าตลาดราว 427 ล้านบาท โดยมีผลิตภัณฑ์ภายใต้เนสท์เล่ เป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 97% หลักเกณฑ์ทั่วไปการให้อาหารเสริมแก่ทารก      1) เริ่มให้อาหารเสริมทีละอย่าง ไม่ควรให้พร้อมกันหลายอย่าง เพราะถ้าเด็กเกิดอาการแพ้ จะได้ทราบว่าเกิดจากอาหารอะไร     2) การเริ่มให้อาหารเสริมแต่ละชนิด ควรเว้นห่างกัน 1-2 สัปดาห์ เพื่อคอยสังเกตดูว่าเด็กมีอาการผิดปกติอะไรหรือไม่ เช่น มีผื่นตามผิวหนัง ร้องกวนมาก ไอ หอบ     3) เริ่มให้ทีละน้อยจากครึ่งช้อนชา แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น     4) เตรียมอาหารให้เหมาะกับอายุและพัฒนาการของเด็ก     5) ต้องระวังสนใจเรื่องความสะอาดให้มาก ผู้ปรุงต้องล้างมือให้สะอาดก่อนปรุง ภาชนะต้องต้มฆ่าเชื้อให้สะอาด แยกต่างหากจากของผู้อื่น อาหารต้องใหม่สด และต้มให้สุกอย่างทั่วถึง และเมื่อปรุงเสร็จแล้วต้องมีฝาปิดมิดชิดกันแมลงวันตอม     6) อาหารของทารกต้องรสไม่จัด ปรุงรสเพียงเจือจาง และไม่ใส่ผงชูรส     7) ให้เด็กรับประทานอาหารเป็นเวลา เป็นที่เป็นทาง ไม่เล่นไปด้วย ควรสร้างบรรยากาศให้เพลิดเพลินสนุกสนาน และหากเด็กปฏิเสธให้หยุดไปก่อน แล้วค่อยเริ่มใหม่ในอีก 3-4 วัน     8) ให้เด็กหัดช่วยตัวเอง หัดถือช้อนเอง หัดหยิบอาหารเข้าปากเอง โดยทั่วไป เด็ก 6-7 เดือนจะนั่งได้ และเริ่มอยากจะช่วยตัวเอง นำอาหารเข้าปากเอง     9) ไม่ควรให้น้ำหวาน กลูโคส น้ำอัดลม เพราะไม่มีประโยชน์ ทำให้ไม่อยากรับประทานอาหารอื่นที่มีประโยชน์(ข้อมูล ภญ. อ. ดร. สุญานี พงษ์ธนานิกร ภาควิชาอาหารเคมี คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)   วิเคราะห์โดย สถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดลผลการวิเคราะห์เฉพาะตัวอย่างที่ส่งตรวจเท่านั้น

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 181 อตีตา : ประวัติศาสตร์ชาตินิยมในประชาคมอาเซียน

“ประวัติศาสตร์” คืออะไร สำคัญอย่างไร และทำไมตั้งแต่เรายังเด็ก จึงถูกโรงเรียนบังคับให้ศึกษาเล่าเรียนวิชาประวัติศาสตร์กันด้วย     นิยามของประวัติศาสตร์นั้น ดูจะตั้งอยู่บนทางสองแพร่งของความหมาย โดยในทางแพร่งแรกได้แก่นิยามของกลุ่มนักคิดที่เชื่อว่า ประวัติศาสตร์คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในอดีต และเพราะอดีตนั้นมีอยู่จริงๆ หน้าที่ของนักประวัติศาสตร์จึงเป็นการขุดค้นให้เห็นว่า ข้อเท็จจริงและการใช้ชีวิตของผู้คนในอดีตเป็นเยี่ยงไร     ส่วนในทางอีกแพร่งหนึ่งนั้น กลับอธิบายว่า ประวัติศาสตร์เป็นบทสนทนาระหว่าง “คนในปัจจุบัน” กับ “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต” หรือกล่าวแบบชิคๆ กิ๊บเก๋ว่า ประวัติศาสตร์มีสถานะเป็นเพียงเรื่องเล่าที่ “based on a true story” เท่านั้น     และเพราะประวัติศาสตร์เป็นเรื่องเล่าที่มีเค้าจากเรื่องจริง ข้อเท็จจริงจากอดีตจึงอาจจะมีอยู่บ้างในระดับหนึ่ง (หรือในบางครั้งก็อาจไม่มีข้อเท็จจริงบ้างเลยด้วยซ้ำ!!!) และนักประวัติศาสตร์ก็คือผู้ที่สร้างเรื่องเล่าที่คนปัจจุบันกำลังสนทนา รับรู้ และตีความเพื่อบอกเล่าเก้าสิบถึงเหตุการณ์ในอดีตสู่บุคคลอื่น     ทัศนะต่อประวัติศาสตร์แบบทางแพร่งที่สองนี้เอง ที่ดูจะเหมาะกับการทำความเข้าใจบรรดาเรื่องแต่งที่ “based on a true story” อย่างละครพีเรียดและละครแนวอิงประวัติศาสตร์ อันหมายรวมถึงละครโทรทัศน์เรื่อง “อตีตา” ที่ฝ่ากระแสประชาคมอาเซียนด้วยการย้อนภาพสงครามไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในช่วงศึกคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง     ภายใต้นิยามที่ว่า ประวัติศาสตร์คือบทสนทนาที่คนปัจจุบันมีต่ออดีตของตนเอง ละคร “อตีตา” จึงวางพล็อตเรื่องให้เกิดการซ้อนทับในมิติของเวลาระหว่างอดีตกาลกับปัจจุบันกาล โดยให้ตัวละครในอดีตได้มาสัมผัสชีวิตที่ผันเปลี่ยนไปของผู้คนในปัจจุบัน และให้ตัวละครอนุชนยุคปัจจุบันได้ย้อนกลับไปสัมผัสบทเรียนชีวิตของบรรพชนรุ่นก่อน     หากลึกๆ แล้วมนุษย์เชื่อว่า จังหวะเวลาของอดีตกับปัจจุบันจะมีวงโคจรมาบรรจบกันได้ “เมืองใจ” หนึ่งในวีรชนบ้านบางระจันในยุคกรุงศรีอยุธยา ก็ได้ก้าวผ่านมิติของเวลา 200 กว่าปีมาสู่ห้วงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ และเพราะมีมิสชั่น (ที่ดูจะอิมพอสสิเบิ้ล) ในการตามหาปืนใหญ่เพื่อไปใช้รบกับ “ข้าศึก” ทำให้เมืองใจมีเหตุบังเอิญทะลุมิติเวลา จนมาพบกับ “ศิโรตม์” หนุ่มหัวสมัยใหม่ทายาทเจ้าของบริษัทออร์แกไนเซอร์ใหญ่ของเมืองไทย     แม้จะก้าวข้ามเวลามาสู่ยุคกาลสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป แต่สำหรับเมืองใจแล้ว ความทันสมัยสะดวกสบายนั้นไม่อาจยั่วยวนล่อใจให้เขาดื่มด่ำหลงใหลไปได้ เหมือนกับที่เมืองใจเคยกล่าวว่า “เมืองสวรรค์ อะไรก็ดี อยู่สบาย จะกินก็ไม่ต้องออกไปหว่านไถเอง เสกมาได้ทั้งนั้น ผู้คนก็หามีใครเป็นศัตรูกันไม่ หากใจข้า กลับหาความสุขมิได้เลย...”     เพราะความสะดวกสบายทันสมัยไม่อาจแทนที่จิตสำนึกรักชาติยิ่งชีพของชาวบ้านบางระจันได้เลย เมืองใจจึงยังคงเพียรปฏิบัติการตามล่าหาปืนใหญ่ เพื่อเอาไปกอบกู้บ้านเมืองและรบทานข้าศึกศัตรู     และเพราะประวัติศาสตร์เป็นบทสนทนาระหว่างกันของอดีตกับปัจจุบัน เมื่อเมืองใจก้าวข้ามประตูกาลเวลามาด้วยสำนึกรักชาติยิ่งชีพ อีกด้านหนึ่งละครก็ผูกเรื่องให้ศิโรตม์ต้องมีอันหลุดทะลุมิติเวลา กลับไปสู่ช่วงปลายกรุงศรีอยุธยายุคสมัยเดียวกับที่เมืองใจและวีรชนบ้านบางระจันกรำศึกสงครามอยู่     อาจด้วยเพราะต้องการโหนกระแสที่รัฐร่วมสมัยชวนคนไทยร้องเพลงว่า “บ้านเมืองจะเดินต่อไป จะมีหวังได้เพราะสามัคคี” สายตาที่ศิโรตม์สัมผัสภาพวีรกรรมของตัวละครต่างๆ ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นเมืองใจ หรือขุนพลผู้นำศึกบ้านบางระจันทั้งหลาย ไปจนถึง “จันกะพ้อ” และ “กาหลง” สองสาวพี่น้อง ที่ทุกคนต่างฮึกเหิมด้วยความรักชาติ ทำให้คนยุคปัจจุบันอย่างศิโรตม์สามารถหลอมหล่อสำนึกความรักชาติของตนเข้ากับวีรชนบ้านบางระจันได้ในที่สุด     แม้ว่าศิโรตม์ (รวมทั้งคนปัจจุบันทั่วไปที่เรียนวิชาประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยากันมาตั้งแต่เด็ก) จะรับรู้บทสรุปสุดท้ายของศึกบางระจันว่า จบลงด้วยโศกนาฏกรรมและการเสียสละชีวิตเพื่อรักษาอธิปไตยแห่งสยามประเทศ แต่ฉากจบแบบนี้ก็คือ การขีดเส้นใต้ย้ำเตือนให้คนยุคนี้ตระหนักในสำนึกชาตินิยมที่ละครนำเสนอสืบเนื่องให้เห็นตั้งแต่ยุคบรรพชน     แต่ที่น่าสนเท่ห์ใจยิ่งเห็นจะเป็นว่า เพราะประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่ “based on a true story” ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น คำถามก็คือ “a true story” ที่ประวัติศาสตร์แบบ “อตีตา” เขียนขึ้นมาหรือ “based on” นั้น เป็นมุมมองจากสายตาแบบใด     ในกรณีนี้ หากเป็นประวัติศาสตร์ที่ผ่านสายตาแบบ “ชาตินิยม” ที่ถ่ายทอดผ่านตัวละครเมืองใจ มาสู่คนร่วมสมัยแบบศิโรตม์ คำว่า “ชาติ” หรือ “ความรักชาติ” เยี่ยงนี้ จึงเป็นรูปธรรมที่ชี้ให้เห็นว่า ผู้สร้างประวัติศาสตร์ชาตินิยมก็น่าจะมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจการเมืองบางอย่างกำหนดอยู่เบื้องหลัง     และที่แน่ๆ การสร้างชาติหรือเขียนประวัติศาสตร์ชาตินิยมแบบที่สังคมไทยทำกันอยู่เนืองๆ ก็มักจะใช้การแบ่ง “เรา” และ “เขา” ออกจากกัน ไปจนถึงการสร้าง “เขา” ให้เป็นตัวละครศัตรูร่วมของ “เรา” ขึ้นมา เพื่อให้สำนึกของ “เรา” มีความเป็นปึกแผ่นมั่นคงหนึ่งเดียวไปโดยปริยาย     ภายใต้ประวัติศาสตร์ชาตินิยมเช่นนี้ บทสนทนากับอดีตของศิโรตม์กับคนทั่วไป จึงเลือกย้อนกลับไปยังช่วงสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีตะเข็บชายแดนติดกับเมืองไทย และกลายเป็นเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าแม้แต่กับยุคกระแสอาเซียนภิวัตน์ ที่ไปที่ไหนหรือทำอะไร ใครๆ ก็ต้องกล่าวขานกันถึงแต่การรวมตัวของชาติต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนให้เป็นหนึ่งเดียว แต่ทว่าประวัติศาสตร์ชาตินิยมแบบ “อตีตา” และตัวละครเมืองใจกับศิโรตม์ก็มิได้เลือนหายไปเลย     หลังศึกบางระจันจบลงด้วยชีวิตและเลือดเนื้อของหลากหลายตัวละคร คำถามที่ชวนสงสัยก็คือ แล้ววิสัยทัศน์อาเซียนแบบ “One Vision, One Identity, One Community” กับสำนึกลึกๆ ที่ยังคงแบ่ง “เรา” และ “เขา” ในประวัติศาสตร์ชาตินิยม จะหาจุดลงตัวมาบรรจบลงได้ ณ ตำแหน่งแห่งที่แบบใดกันหนอ         

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 180 ตามรักคืนใจ : ใต้ต้นไม้ที่ไม่มีร่มเงา กิ่งก้านมันไม่ได้สูงสักเท่าไร

ว่ากันว่า หากคนกลุ่มใดขึ้นมามีอำนาจเป็นชนชั้นนำ และมีพลังขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจสังคมแห่งยุคสมัยด้วยแล้ว พื้นที่ของละครโทรทัศน์จะกลายเป็นช่องทางสำคัญที่ทบทวนความเป็นอยู่และความเป็นไปของคนกลุ่มนี้ ก่อนที่จะฉายเป็นภาพผ่านหน้าจอทีวีช่วงไพรม์ไทม์     ด้วยคำอธิบายข้างต้นนี้ ก็ไม่ต่างจากภาพที่ส่องให้เราได้สำรวจตรวจสอบความเป็นจริงในชีวิตของกลุ่มทุนที่เป็นคนชั้นกลางกลุ่มหนึ่งผ่านละครโทรทัศน์เรื่อง “ตามรักคืนใจ” นั่นเอง     โดยโครงของเรื่องละคร ได้ฉายภาพชีวิตของ “นายวรรณ วรรณพาณิชย์” ประธานธนาคารอันดับต้นๆ ของประเทศ แม้นายวรรณจะประสบความสำเร็จในการสั่งสมทุนเศรษฐกิจจนมีฐานะมั่งคั่งเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป แต่กับชีวิตครอบครัวแล้ว นายวรรณ (หรืออาจจะอนุมานได้ถึงคนชั้นนำทางเศรษฐกิจคนอื่นๆ ในโลกจริง) กลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง     นอกจากนายวรรณแล้ว ละครยังได้จำลองภาพตัวละครอีกสองเจนเนอเรชั่นถัดมาคือ รุ่นลูกและรุ่นหลานของท่านประธานธนาคารใหญ่ด้วยเช่นกัน     ในขณะที่นายวรรณมีเป้าหมายและความมุ่งมั่นสร้างสมทุนเศรษฐกิจ เพราะคิดว่าความมั่นคงทางการเงินและธุรกิจเท่านั้นคือคำตอบของชีวิต แต่ทว่า ผลิตผลของความมุ่งมั่นดังกล่าวกลับกลายเป็นบุตรสาวอย่าง “รัศมี” ที่ไม่เพียงถูกเลี้ยงมาอยู่ในกรอบ แต่กลับเติบโตขึ้นด้วยจิตใจที่แห้งแล้งต่อคนรอบข้างและโลกรอบตัว     เมื่อยังสาว รัศมีได้พบรักกับ “ราม” และความรักของทั้งคู่ก็สุกงอมอย่างรวดเร็วท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของคนในตระกูลวรรณพาณิชย์ เพราะด้านหนึ่งนายวรรณก็เดียดฉันท์รามที่เป็นแค่หนุ่มชาวสวนธรรมดา ซึ่งฐานะไม่อาจเทียบเคียงความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจกับลูกสาวของนายธนาคารใหญ่อย่างเขาได้เลย     แม้ในช่วงแรกที่รัศมีตัดสินใจหนีออกจากบ้านไปอยู่กับราม เธอจะมีความสุขกับชีวิตคู่ และมีลูกสาวด้วยกันคือ “นารา” หรือ “หนูนา” แต่เพราะจริงๆ แล้ว เธอก็ไม่คุ้นเคยกับชีวิตลำบากแบบชาวสวน รัศมีจึงทิ้งรามและบ้านสวน โดยพรากหนูนาไปจากราม และบอกกับลูกสาวว่าบิดาของเธอได้ตายจากไปแล้ว     ภาพที่ถูกฉายออกมาในตอนต้นเรื่องดังกล่าว ก็คือการบอกผู้ชมเป็นนัยๆ ว่า เมื่อกลุ่มทุนเรืองอำนาจทางเศรษฐกิจขึ้นมา คนกลุ่มนี้ได้ละเลยและถีบตัวเองออกจากสถาบันที่เคยเป็นแรงเกาะเกี่ยวบางอย่างในชีวิตเอาไว้ด้วยเช่นกัน     หากสถาบันครอบครัวคือหน่วยเล็กที่สุด แต่มีความสำคัญที่สุดในสังคม คนกลุ่มดังกล่าวก็ได้ผลักให้สถาบันครอบครัวเปราะบางและอ่อนแอลง จนเข้าอยู่ในสภาวะความเสี่ยง เหมือนกับที่นายวรรณเองก็ได้สารภาพกับรัศมีในตอนท้ายเรื่องว่า “พ่อผิดเองที่เคยเห็นว่าการหาเงินทองมาให้ มันสำคัญกว่าการให้ความรักความเอาใจใส่ แล้วพอแกผิดพลาดไป พ่อก็ทำร้ายแก เพราะไม่อยากจะเห็นแกทำผิดพลาด แล้วต้องตกนรกทั้งเป็นอีก...”     เช่นเดียวกัน หากชุมชนชนบทคือรากที่ยึดเหนี่ยวสังคมไทยโดยรวมเอาไว้ วิถีชีวิตที่เติบโตมาในเมืองใหญ่ และยึดการสั่งสมความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจเป็นสรณะ คนกลุ่มเดียวกันนี้ก็ได้ทอดทิ้งชนบทและชุมชนหมู่บ้าน ไม่ต่างจากอารมณ์ความรู้สึกที่นายวรรณตั้งแง่กับลูกเขยชาวสวนอย่างราม หรือรัศมีที่ลึกๆ ก็รังเกียจสถานะความเป็นภรรยาชาวไร่ชาวสวนที่จารึกอยู่ในเสี้ยวประวัติศาสตร์ชีวิตของเธอ     ดังนั้น เมื่อมาถึงรุ่นของหลานสาวนายวรรณ หนูนาผู้ที่เติบโตมาโดยไร้รากยึดเกี่ยว จึงมีสภาพไม่ต่างจากชีวิตที่อยู่ “ใต้ต้นไม้ที่ไม่มีร่มเงา กิ่งก้านมันไม่ได้สูงสักเท่าไร” หนูนาจึงเกิดความโหยหาและปรารถนาที่จะ “ตามรักคืนใจ” และตามรากที่หายไปให้กลับคืนสู่ชีวิตที่แห้งแล้งของเธอ     หลังจากที่หนูนารู้ความจริงว่าบิดายังไม่ตาย เธอก็ต้องการทราบเหตุผลว่าทำไมพ่อจึงทอดทิ้งตนและแม่ไป หนูนาจึงเดินทางมาที่ไร่บัวขาวของ “สีหนาท” หรือ “นายสิงห์” พระเอกของเรื่อง และสมัครเป็นคนงานของเขา เพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับรามซึ่งทำงานอยู่ในไร่เดียวกัน     แต่ทว่า เมื่อเติบโตมาในสังคมไร้รากหรือเป็น “ใต้ร่มไม้ที่ไร้ร่มเงา” หนูนาจึงเผชิญบททดสอบต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการต้องพยายามปรับตัวเข้ากับบรรยากาศวิถีการผลิตแบบเกษตรซึ่งไม่คุ้นเคยมาก่อน การได้เรียนรู้ชีวิตของบรรดาคนงานและความขัดแย้งอันต่างไปในสังคมชนบทที่เธอไม่เคยพบมาในสังคมเมืองใหญ่ ตลอดจนการพยายามประสานรอยร้าวในครอบครัวระหว่างพ่อ แม่ และคุณตา     แก้วที่มีรอยร้าว หรือสังคมที่เคยไร้ร่มเงา ใช่ว่าจะเยียวยาไม่ได้ เมื่อผ่านบททดสอบมากมาย คนชั้นกลางอย่างหนูนาที่เติบโตมาในบรรยากาศการมุ่งมั่นสั่งสมทุนทางเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายชีวิต ก็สามารถ “ตามรักคืนใจ” และกอบกู้สายสัมพันธ์ที่เคยเปราะบางและขาดสะบั้นไปแล้วจากชีวิตและจิตใจของตัวละครต่างๆ ในท้องเรื่องได้เกือบทั้งหมด     ในขณะที่หนูนาได้ตกหลุมรักกับนายสิงห์ ได้บิดาที่พลัดพรากจากกันกลับคืนมา และได้รักษาบาดแผลความไม่เข้าใจระหว่างแม่กับคุณตา รัศมีเองก็ได้เรียนรู้ที่เห็นคุณค่าของครอบครัว และรู้จักที่จะไปคิดและยืนอยู่ในที่ที่คนอื่นเขาคิดและยืนอยู่กัน     และแม้แต่ตัวละครอย่างนายวรรณ ก็ได้ทบทวนบทเรียนความผิดพลาด และได้คำตอบในมุมมองใหม่ของชีวิตว่า “ความมั่นคงภายนอก” อย่างทรัพย์สินศฤงคารมากมาย อาจไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของชีวิต เมื่อเทียบกับ “ความมั่นคงทางใจ” ซึ่งหมายถึงความรักและความเอาใจใส่ระหว่างกันและกันของคนในครอบครัวหรือของเพื่อนมนุษย์มากกว่า     ภายใต้สังคมที่กำลังไร้รากไร้กิ่งไร้ก้านและไร้ร่มเงาแบบนี้ ถ้าเรายังพอเหลือตัวเลือกอยู่บ้างระหว่าง “ความมั่นคงภายนอก” กับ “ความมั่นคงทางใจ” ภาพที่ละครฉายให้เราเห็นผ่านคนสามเจนเนอเรชั่นของตระกูลวรรณพาณิชย์ก็คงถามพวกเราเช่นกันว่า วันนี้เราจะเลือกสร้างความมั่นคงแบบใด เพื่อที่อนุชนรุ่นหลังๆ จะได้ไม่ต้องคอยวิ่ง “ตามรัก” กลับมา “คืนใจ” ในวันหน้ากันอีก                            

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 171 แก้วตาหวานใจ : อุดมคติกับความเป็นจริงของครอบครัว

ในบรรดาเรื่องราวและเรื่องเล่าที่อยู่ในละครโทรทัศน์นั้น ดูเหมือนว่า เรื่องราวเกี่ยวกับ “สถาบันครอบครัว” เป็นเนื้อหาที่ละครมักจะหยิบยกมากล่าวถึงเป็นอันดับแรกๆ อาจเนื่องด้วยว่าครอบครัวเป็นประเด็นที่ใกล้ชิดกับชีวิตของคนเรามากที่สุด จนช่วงเวลาไพรม์ไทม์มิอาจมองข้ามเรื่องราวดังกล่าวไปได้เลย             แต่คำถามก็คือ ถ้าภาพอุดมคติของความเป็นครอบครัวจักต้องประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูก และสมาชิกครอบครัวที่รักผูกพันกันแน่นแฟ้น อุดมคติแบบนี้กับความเป็นจริงที่เราเห็นในละครจะถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพเดียวกันมากน้อยเพียงไร?             คำตอบต่อข้อคำถามนี้ก็คือ “อุดมคติ” เป็นภาพที่สังคมคาดฝันว่าอยากไปให้ถึง หรืออาจเป็นจินตกรรมความฝันในความคิดของใครหลายๆ คน แต่ภาพฝันของครอบครัวที่อบอุ่นครบครันพ่อแม่ลูกและหมู่มวลสมาชิกในบ้านนั้น ช่างเป็นภาพที่พบเห็นได้ยากหรือพบได้น้อยมากในละครโทรทัศน์ เหมือนกับภาพชีวิตครอบครัวของ “มดตะนอย” เด็กสาวตัวน้อยที่เติบโตมาโดยที่ไม่เคยได้พานพบหน้าบิดามารดาของตนเองเลย             เพราะคุณแม่วัยใสอย่าง “แม่กวาง” ผู้เป็นมารดา รู้สึกผิดที่ตั้งครรภ์ลูกน้อยตั้งแต่วัยเรียน ดังนั้นหลังจากที่ให้กำเนิดมดตะนอยมาแล้ว เธอจึงหลบลี้หนีหน้าไปอยู่ต่างประเทศ ในขณะที่ “พ่อหมึก” ผู้เป็นบิดาเอง ก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ตนมีลูกสาวกับเขาหนึ่งคน แม่กับพ่อจึงไม่เคยได้เลี้ยงหรือใกล้ชิดกับมดตะนอย และปล่อยให้เด็กสาวตัวน้อยเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของ “ลุงช้าง” พระเอกของเรื่อง             จนกระทั่งหลายปีผ่านไป พ่อหมึกได้ทราบข่าวจากเพื่อนว่า ตนเคยมีบุตรสาวหนึ่งคนตั้งแต่เมื่อครั้งยังเรียนมหาวิทยาลัย เขาเองก็ต้องการตามหาลูก จึงไหว้วานให้ “ไข่หวาน” ผู้เป็นน้องสาว เดินทางเข้ากรุงเทพเพื่อสืบค้นหาที่อยู่ของมดตะนอย             จะว่าเป็นพรหมลิขิต หรือการผูกเรื่องของนักเขียนบทให้เกิดเงื่อนปมขัดแย้งอย่างไรมิอาจทราบได้ แต่ในที่สุด สาวห้าวผู้รักรถยนต์เป็นชีวิตจิตใจอย่างไข่หวาน ก็มีอันได้มาพำนักพักอยู่ในบ้านของลุงช้างหนุ่มหวานขี้งอนและรักการทำครัวเป็นพ่อบ้านพ่อเรือน โดยมีมดตะนอยกลายเป็นกามเทพสื่อรักตัวน้อยระหว่างลุงช้างกับอาไข่หวานแบบไม่รู้ตัว             ภายใต้โครงเรื่องแบบที่กล่าวมานี้ ละครได้ผูกโยงฉายให้เห็นภาพของสถาบันครอบครัวเอาไว้อย่างซับซ้อน ทั้ง “สะท้อน” ภาพความจริงเอาไว้ด้านหนึ่ง ทั้ง “ตอกย้ำบรรทัดฐาน” เอาไว้อีกด้านหนึ่ง ในขณะเดียวกับที่ “ชี้นำ” หรือ “ตั้งคำถามใหม่ๆ” ให้ผู้ชมได้ทบทวนความเข้าใจเกี่ยวกับครอบครัวเอาไว้เช่นกัน             ในลำดับแรกที่ละคร “สะท้อน” ภาพความจริงของครอบครัวเอาไว้นั้น ถ้าเราคิดถึงภาพอุดมคติของความเป็นครอบครัวที่ต้องประกอบด้วยพ่อแม่ลูกที่รักใคร่อบอุ่นผูกพัน เพราะลูกมักถูกตีความว่าเป็น “แก้วตา” ในขณะที่คู่ชีวิตก็มีสถานะเป็น “หวานใจ” แต่ทว่า ภาพของละครกลับสะท้อนฉายไปที่ความเป็นจริงของสังคมในอีกทางหนึ่งว่า ชีวิตครอบครัวแท้จริงนั้นไม่ได้มีสูตรสำเร็จเหมือนกับภาพอุดมคติดังกล่าวเพียงด้านเดียว ภาพที่พ่อไปทางและแม่ไปทาง อาจเป็นชีวิตที่จริงแท้ยิ่งกว่าของครอบครัวได้เช่นกัน             แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่า เด็กที่เกิดมาภายใต้บรรยากาศครอบครัวแตกแยกจะกลายเป็นเด็กที่มีปัญหาเสมอไป ตราบเท่าที่ยังมีฟันเฟือนตัวอื่นที่หมุนให้สถาบันครอบครัวขับเคลื่อนต่อไปได้ ครอบครัวก็ยังคงดำเนินไปและผลิตเยาวชนรุ่นใหม่ที่น่ารักและเป็นเด็กดีแบบมดตะนอยได้ไม่ต่างกัน             ในแง่นี้ เราอาจตั้งข้อสังเกตได้ว่า ครอบครัวที่เป็นไปตามขนบจารีตไม่อาจตอบโจทย์ของคนยุคนี้ได้อย่างสมบูรณ์อีกต่อไปแล้ว แต่ครอบครัวจะเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับว่า คนแต่ละกลุ่มหรือใครแต่ละคนจะเป็นผู้คิดค้นนิยามและตีความความหมายให้กับครอบครัวของเขาแบบแตกต่างกันไป             ฉะนั้น เมื่อขาดซึ่งพ่อกับแม่ มดตะนอยก็ยังมีลุงช้างที่ทำหน้าที่แทนทั้งเป็นพ่อและแม่ที่เลี้ยงเด็กน้อยให้เติบโตมาเป็นคนดี หรือแม้แต่ช่วงที่มีไข่หวานมาพำนักอาศัยใต้ชายคาเดียวกัน ไข่หวานก็ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ “อาไข่หวาน” หากแต่ยังเล่นบทบาทเป็น “แม่ในจินตนาการ” ของมดตะนอยไปในเวลาเดียวกัน             ในขณะที่ด้านหนึ่งละครก็ “สะท้อน” สิ่งที่ “กำลังเป็นอยู่” ว่า ชีวิตจริงของครอบครัวร่วมสมัยไม่ได้อบอุ่นหรือเป็นไปตามอุดมคติ แต่ขึ้นอยู่กับว่าสมาชิกครอบครัวจะตีความและรังสรรค์สายสัมพันธ์ระหว่างกันของตนเองจริงๆ แต่อีกด้านหนึ่ง ในมุมฉากจบของละคร ก็เลือกที่จะรอมชอมด้วยการตอกย้ำกลับไปที่ภาพบรรทัดฐานที่ “ควรจะเป็น” ของครอบครัวว่า พ่อแม่ลูกที่อยู่พร้อมหน้าค่าตากัน ก็ยังเป็นอุดมคติที่ทุกๆ ครัวเรือนยังวาดฝันเอาไว้             เพราะฉะนั้น แม้จะพลัดพรากจากแม่กวางและพ่อหมึกไปตั้งแต่เด็ก แต่ด้วยความพยายามดิ้นรนต่อสู้เพื่อถักทอสายสัมพันธ์ของครอบครัวให้กลับคืนมา ในฉากจบของเรื่อง ละครก็ได้ยึดโยงให้มดตะนอยได้พบพ่อกับแม่ และหวนกลับมาร่วมสร้างครอบครัวที่เชื่อว่า “สมบูรณ์” กันอีกครั้ง พร้อมๆ กับที่ลุงช้างและอาไข่หวานก็ได้ลงเอยกับความรัก และเริ่มที่ก่อรูปก่อร่างสร้างครอบครัวในอุดมคติกันไปอีกทางหนึ่ง             แต่ที่น่าสนใจยิ่งก็คือ ไม่เพียงแต่สะท้อนหรือตอกย้ำเท่านั้น ละครอย่าง “แก้วตาหวานใจ” ยังได้เลือกใช้เส้นทางการ “ชี้นำ” หรือ “เสนอทางเลือกใหม่ๆ” ให้เราได้เห็นด้วยว่า แล้วภาพความจริงที่เราเคยยึดเคยเชื่อกับความสัมพันธ์ที่เวียนวนอยู่ในครอบครัวนั้น จำเป็นต้องเป็นเฉกเช่นนั้นอยู่ทุกครั้งจริงหรือไม่             ภาพตัวละครอย่างลุงช้างที่ชอบทำครัว เลี้ยงเด็ก หรืองุนงงสับสนทุกครั้งที่เกิดรถเสีย กับภาพที่ตัดสลับมาที่อาไข่หวาน ที่เป็นหญิงห้าว สนใจกับงานช่างงานซ่อมรถยนต์ ล้างจานแตกเสมอๆ ก็เป็นตัวอย่างของภาพที่ตั้งคำถามใหม่ๆ กับคนดูว่า ผู้ชายก็ไม่จำเป็นต้องชอบเรื่องที่ใช้กำลังร่างกายและผู้หญิงก็ไม่จำเป็นต้องรักสวยรักงามรักเรื่องที่ละเอียดอ่อนเสมอไป บทบาททางเพศของหญิงชายในสถาบันครอบครัวพร้อมที่จะสลับไปมาระหว่างกันได้ตลอดเวลา             ภายใต้การเล่นบทบาทของละครแบบ “เหรียญสามด้าน” ที่ทั้งฉายภาพสะท้อนสิ่งที่ “กำลังเป็น” ตอกย้ำภาพที่ “ควรจะเป็น” และตั้งคำถามใหม่ๆ กับภาพที่ “อาจจะเป็น” เช่นนี้ ในท้ายที่สุด เมื่อละครจบลง ก็คงทำให้เราได้ฉุกคิดว่า ในอุดมคติของความเป็นครอบครัวนั้น มดตะนอย ลุงช้าง อาไข่หวาน ตัวละครต่างๆ รวมถึงตัวเราเอง จะขับเคลื่อนนำพานาวาชีวิตครอบครัวของแต่ละคนกันไปเช่นไร                                                                                                

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 153 กระแสต่างแดน

มาดริดอาจต้องคิดใหม่ ช่วงนี้ชาวเมืองมาดริดมีเรื่องให้ได้เซ็งกันอย่างต่อเนื่อง เพิ่งจะได้ทราบข่าวร้ายว่าไม่ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนในปี 2020 ไปได้ไม่นาน ล่าสุดพนักงานกวาดถนนและเก็บขยะในเมืองก็พากันประท้วงหยุดงานอีก ผู้ประท้วงไม่พอใจที่เทศบาลประกาศปลดพนักงานกว่า 1,135 คน (จากทั้งหมด 7,000 คน) และลดเงินเดือนพนักงานที่ยังได้ทำงานต่อลงไปเกือบร้อยละ 40  รวมถึงบริษัทที่รับเหมางานจากเทศบาลก็บอกเลิกจ้างคนงานไป 350 คนแล้วเช่นกัน ทั้งหมดเป็นผลจากการที่ส่วนหน่วยงานราชการต้องรัดเข็มขัดตัดงบประมาณ   หลายฝ่ายมองว่าเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นการบริหารจัดการที่แย่มากของนายกเทศมนตรี อนา โบเทลลา เธอเลือกที่จะไม่พูดถึงการแก้ปัญหาเรื่องการจ้างงานหรือการเพิ่มค่าแรง แต่กลับขู่ผู้ประท้วงว่าถ้าไม่กลับไปจับไม้กวาดมาทำงานต่อภายใน 48 ชั่วโมง เธอจะเลิกจ้างพวกเขาไปเลย เนื่องจากไม่มีการกวาดถนนหรือเก็บขยะมาตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน ภาพเมืองหลวงของสเปนที่มีประชากร 3.2 ล้านคนที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกจึงเป็นภาพเมืองที่มีขยะกองเกลื่อนเต็มถนนหนทาง คนมาดริดอาจเซ็งต่อได้อีกถ้าผู้ว่าฯ และทีมงานยังไม่เริ่มคิดใหม่ทำใหม่ ก่อนการประท้วง จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนมาดริดลดลงไปร้อยละ 7.7 ทั้งๆ ที่จำนวนคนที่เดินทางมาสเปนนั้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 คงจะถึงเวลาแล้วที่มาดริดจะต้องทำให้เหมือนกับในคลิปวิดีโอที่ส่งเข้าประกวดชิงตำแหน่งเจ้าภาพโอลิมปิกที่ย้ำว่า “Madrid makes sense” ไม่เช่นนั้นมาดริดอาจจะถูกปฏิเสธเป็นครั้งที่ 4   มีขึ้น แต่ไม่มีลง ข่าวบอกว่าคอกาแฟที่เดนมาร์ก (และอาจจะที่บ้านเราด้วย) ยังจ่ายเงินซื้อกาแฟในราคาเท่าเดิมทั้งๆ ที่ราคาเมล็ดกาแฟต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี ปัจจุบันราคาเมล็ดกาแฟอาราบิกาในตลาดโลกอยู่ที่กิโลกรัมละ 14 โครน (80 บาท) แต่ราคาที่คนเดนมาร์กรับรู้ยังคงเป็นราคากาแฟในช่วงที่อากาศในอเมริกาใต้ไม่เป็นใจกับการเพาะปลูก ซึ่งสูงถึง 34 โครน (195 บาท) ต่อกิโลกรัม ผู้เชี่ยวชาญบอกว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาในประเทศตะวันตกที่ผู้ประกอบการมักได้ประโยชน์จากการที่ผู้บริโภคไม่รู้ความเป็นไปในตลาด และมักให้เหตุผลเดิมๆ เรื่องค่าใช้จ่ายในการขนส่ง บรรจุหีบห่อ ภาษีและค่าจ้างพนักงานเวลาที่ตั้งราคาสินค้า แสดงว่าถ้าภาษีลด ราคาสินค้าก็จะลดลง? มันอาจไม่เป็นเช่นนั้นเพราะหลังจากที่รัฐบาลเดนมาร์กประกาศลดภาษีเบียร์และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ลงร้อยละ 15 ราคาขายปลีกของสินค้าเหล่านี้ก็ยังคงเท่าเดิม ในเดือนมีนาคมปี 2012 เทศบาลโคเปนเฮเกนประกาศลดค่าธรรมเนียมการประกอบการร้านอาหารกลางแจ้ง เพื่อช่วยผู้บริโภคให้สามารถซื้อเครื่องดื่มในราคาที่ถูกลง แต่ผลการสำรวจปรากฏว่าแทบไม่มีร้านไหนปรับราคาเครื่องดื่มลงเลย ในทางกลับกัน ผู้ประกอบการกลับใช้โอกาสที่รัฐเรียกเก็บภาษีมาเป็นเหตุผลในการขึ้นราคาสินค้า คงยังจำกรณีภาษีไขมันที่เรียกเก็บจากผลิตภัณฑ์อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวเป็นส่วนประกอบมากกว่าร้อยละ 2.3 กันได้ งานสำรวจโดยหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นและกระทรวงภาษีของเดนมาร์กพบว่ามีการตั้งราคาสินค้าเกินจากส่วนที่ต้องเสียภาษีไขมันเพิ่มไปมากทีเดียว เช่น ราคาซาวครีมน่าจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6.6 เมื่อรวมภาษีแล้ว แต่ซูเปอร์มาร์เก็ตตั้งราคาขายแพงขึ้นจากเดิมไปถึงร้อยละ 17.3 และที่ตลกที่สุดคือ ปัจจุบันภาษีดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ราคาสินค้าเหล่านั้นก็ยังไม่ถูกลง ค่อยๆ เรียน ไม่ได้มีแต่เมืองไทยที่ปรับลดเวลาเรียนลง หลักสูตรประถมศึกษาของเวียดนามหลังปี 2015 ก็จะทำให้เด็กๆ ได้มีเวลาเล่นมากขึ้น ระยะเวลาเรียนจะลดลงจาก 37 สัปดาห์เป็น 35 สัปดาห์ และวิชาเรียนจะมีเพียง 3 วิชาเท่านั้น จากปัจจุบันที่เรียนอยู่ 8 วิชา สถาบันวิจัยการศึกษาเวียดนามเสนอหลักสูตรใหม่สำหรับระดับประถมศึกษาเพราะเชื่อว่าเวียดนามควรมีระบบการศึกษาที่เน้นการบูรณาการและให้ความสนใจกับความแตกต่างของนักเรียนแต่ละคน มากกว่าการให้เพียงความรู้ทางวิชาการแบบเมื่อก่อน ปัจจุบันเด็กชั้นประถมปีที่ 1 ต้องเรียนทั้งหมด 8 วิชา ได้แก่ คณิตศาสตร์ ภาษาเวียดนาม ศีลธรรม ธรรมชาติและสังคม ดนตรี ศิลปะ งานฝีมือ และพลศึกษา รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการศึกษาอีก 2 กิจกรรม แต่หลังจากปี 2015 พวกเขาจะเรียนแค่ คณิตศาสตร์ ภาษาเวียดนาม และวิชา “ชีวิตรอบตัวเรา” ซึ่งคาดว่าจะเป็นวิชาที่บูรณาการความรู้ในเรื่องธรรมชาติและสังคม รวมกับกิจกรรมเสริมหลักสูตรอย่าง ศิลปะและกีฬา เป็นต้น เด็กๆจะได้เรียนภาษาต่างประเทศเมื่อพวกเขาขึ้นชั้นประถมปีที่ 3  ส่วนนักเรียนชั้นประถมปีที่ 4 – 5 นั้นจะมีวิชาเรียนไม่เกิน 6 วิชา แต่ปัญหาหลักของเวียดนามขณะนี้คือการไม่มีองค์กรที่ทำหน้าที่รวบรวม/จัดทำตำราเรียน หนังสือที่ใช้กันอยู่เป็นตำราที่เขียนโดยอาจารย์มหาวิทยาลัย หรือครูผู้สอน ซึ่งแม้จะมีความรู้ความชำนาญในสาขาต่างๆ แต่ก็ยังไม่เชี่ยวชาญการเขียนตำราเรียน เห็นมากับตา โฆษณามาสคาร่ามักจัดเกินเสมอเพราะรู้ว่าขนตาหนางอนงามในสามโลกเป็นสิ่งที่สาวๆ ปรารถนา และนั่นคือสิ่งที่เมย์เบลลีนใช้กับโฆษณามาสคาร่ารุ่น Volume Express the Rocket ในนิตยสารแฟชั่น ที่นางแบบมีขนตาหนาสุดๆ ด้วยมาสคาร่า ... และขนตาปลอม หลังจากที่มีการร้องเรียน หน่วยงานที่ดูแลเรื่องโฆษณาของออสเตรเลีย National Advertising Division ได้ออกข้อกำหนดว่าต่อไปนี้ห้ามใช้ขนตาปลอมในโฆษณามาสคาราเด็ดขาด หรือถ้าจะใช้ก็ต้องแจ้งในตัวโฆษณาให้ผู้บริโภคมองเห็นได้ชัดเจน โฆษณาดังกล่าวที่อ้างว่าผลิตภัณฑ์สามารถทำให้ขนตาหนาขึ้น 8 เท่านั้น มีตัวหนังสือเล็กๆ ระบุไว้ด้านล่างว่านางแบบใช้ขนตาปลอม แต่คำตัดสินฟันธงว่าการมีข้อความที่ขัดต่อหรือเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของสิ่งที่ต้องการสื่อในโฆษณานั้น ไม่สามารถแก้ไขความเข้าใจผิดของผู้บริโภคได้ เมย์เบลลีนกำลังอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการตรวจสอบโฆษณาแห่งชาติ National Advertising Review Board ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบการควบคุมกันเองโดยความสมัครใจของภาคธุรกิจ ผู้ใหญ่ของบริษัทลอรีอัลซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เมย์เบลลีน ยืนยันว่าเขียนตัวเล็กๆ ก็พอแล้ว สาวๆ เขารู้ดีว่าผลจากการใช้ผลิตภัณฑ์มันแตกต่างกันตามรูปลักษณ์และเทคนิคการแต่งหน้าของแต่ละคน พวกเธอไม่ได้คาดหวังว่าจะตัวเองจะมีขนตาเหมือนนางแบบหรอก ด้านเลขาธิการขององค์กร Truth in Advertising องค์กรไม่แสวงหากำไรที่รณรงค์คัดค้านการโฆษณาหลอกลวง ตั้งคำถามว่า “ถ้าคุณจะขายของผ่านโฆษณาที่เป็นภาพถ่าย อย่างน้อยๆ ภาพถ่ายนั้นก็ต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงมิใช่หรือ?” ใครเอาเนยแข็งของร้านไป? การขโมยของในห้างที่อังกฤษเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 จากเมื่อสองปีก่อน ร้อยละ 36 ของการขาดทุนของร้านค้าปลีกในอังกฤษก็เกิดจากการถูกมือดีมาขโมยของในร้านนั่นเอง ข่าวบอกว่าอาจเป็นเพราะความกดดันที่เกิดขึ้นกับภาวะการเงินครอบครัวในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ มีข้อสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ผู้กระทำผิดมักเป็นคนรายได้น้อย แต่เดี๋ยวนี้คนชั้นกลางจำนวนหนึ่งก็หันมาลักขโมยกับเขาด้วยเพราะยังอยากมีวิถีชีวิตแบบเดิมแม้รายได้จะลดลง ร้านค้าปลีกและซูเปอร์มาร์เก็ตพบว่าปัจจุบันสินค้าที่ถูกขโมยมากขึ้นคือ อาหารราคาแพง เช่น เนื้อสด แฮม เบคอน อกไก่ เนยแข็ง กาแฟ ไวน์ และว้อดกา ถ้ารวมมูลค่าความเสียหายแล้วก็ตกประมาณ 3,400 ล้านปอนด์ (1.7 แสนล้านบาท) นอกจากนี้ Euromonitor International ยังระบุว่าหนึ่งในสามของการลักขโมยสินค้าในร้าน เกิดจากพนักงานของทางร้านเอง ความจริงแล้วไม่ใช่เฉพาะในอังกฤษเท่านั้น ข้อมูลจาก Global Retail Theft Barometer ระบุว่าการขโมยสินค้าในห้าง ทั้งโดยคนทั่วไปและโดยขบวนการต่างๆ นั้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกแห่งในโลก พูดง่ายๆ คือมีคนลงมือขโมยกันมากขึ้น และแต่ละครั้งที่ขโมยก็จะขโมยในปริมาณมากขึ้นด้วย ทางออกของห้างร้านเหล่านี้ก็คงจะหนีไม่พ้นการลงทุนกับระบบรักษาความปลอดภัยให้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งนั่นหมายความว่าราคาสินค้าก็คงจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย กลุ้มกันไปทุกฝ่าย เพราะดูเหมือนว่าสาเหตุที่เนยแข็งหายไปนั้น เป็นเพราะรายได้ที่หายไปนั่นเอง   //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 144 กระแสต่างแดน

  บัตรของเรา เรทของเรา บริษัทบัตรเครดิตวีซ่างานเข้า เมื่อถูกคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าและการคุ้มครองผู้บริโภคแห่งออสเตรเลียฟ้องในข้อหาพยายามใช้อำนาจทางการตลาดผูกขาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ   ข่าวบอกว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั้น นักท่องเที่ยวที่ถอนเงินจากตู้กดเงินอัตโนมัติด้วยบัตรวีซ่าจะต้องใช้อัตราแลกเงินที่วีซ่าเป็นผู้กำหนดเท่านั้น   แม้คุณจะเลือกจ่ายค่าสินค้าบริการด้วยบัตรเครดิต บริษัทเขาก็กำหนดให้ร้านค้าต่างๆ ที่เปิดรับการจ่ายเงินด้วยบัตรวีซ่าใช้อัตราแลกเปลี่ยนของเขาอยู่ดีนั่นแหละ   คณะกรรมการฯ เป็นห่วงว่าจะเกิดการผูกขาดในธุรกิจบริการรับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และเจ้าอื่นจะพากันล้มหายตายจาก ไม่เหลือทางเลือกให้ผู้บริโภคในที่สุด  นั่นสินะ.. เวลาจะแลกเงินเรายังต้องเสาะหาว่าจะไปแลกเงินกับเจ้าไหนดีให้ได้อัตราสูงที่สุด แต่เวลาใช้บัตรเรากลับหมดทางเลือกไปซะอย่างนั้น     ภาษีที่เลี่ยงได้ คือกำไรของเรา? เว็บไซต์ www.ethicalconsumer.org ของอังกฤษกำลังชักชวนให้ผู้บริโภคบอยคอตอเมซอน ร้านหนังสือออนไลน์ที่เรารู้จักกันดี เพื่อกดดันให้บริษัทจ่ายภาษีให้สมน้ำสมเนื้อกับผลกำไรมหาศาลเสียที   อเมซอนไม่ใช่บริษัทเดียวที่เลี่ยงภาษี แต่ที่ถูกเพ่งเล็งหนักเพราะเว็บนี้เขาเชื่อว่าอเมซอนใช้การเลี่ยงภาษีเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของการทำธุรกิจ   รายงานในหนังสือพิมพ์ The Guardian ระบุว่า 1 ใน 4 ของลูกค้าของบริษัทอยู่ในอังกฤษ คิดเป็นยอดขายในประเทศนี้ถึง 7,500 ล้านปอนด์ (350,000 ล้านบาท) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา   แต่บริษัทไม่ได้เสียภาษีจากผลกำไรดังกล่าวให้กับรัฐบาลอังกฤษเลย เขาคาดว่าการสูญเสียครั้งนี้มีมูลค่าประมาณ 100 ล้านปอนด์ (4,600 ล้านบาท)   เมื่อพ.ศ. 2551 นิตยสาร Business Week ระบุว่าอเมซอนจ่ายภาษีให้รัฐบาลอเมริกันเพียงร้อยละ 4 ของผลกำไรเท่านั้น ... น้อยกว่าอีก 488 บริษัทที่อยู่ใน 500 อันดับบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ   ถัดมาอีก 3 ปี อเมซอนใช้เงิน 5 ล้านเหรียญ(ประมาณ 150 ล้านบาท) สนับสนุนการแก้ไขกฎหมายภาษีของรัฐแคลิฟอร์เนียให้เป็นประโยชน์ต่อบริษัทมากขึ้นด้วย       ใครอยากบอยคอตก็ให้ไปซื้อหนังสือจากเว็บของสำนักพิมพ์โดยตรง หรือไม่ก็อุดหนุนร้านหนังสือแถวบ้านดีกว่า(แต่ใครจะเข้าไปเปิดดูตัวอย่างหนังสือจากเว็บของอเมซอนฟรีๆ อันนี้ไม่ว่ากัน)     เมื่อสตาร์บัคส์ชักจะไม่หอมกรุ่น หลังจากสตาร์บัคส์อังกฤษถูกเปิดโปงในรัฐสภาว่ามีมาตรการเลี่ยงภาษีที่ “ไร้จริยธรรม” บริษัทจึงรีบแก้ไขสถานการณ์ด้วยการออกนโยบายลดเงินเดือนและสวัสดิการพนักงานเสียเลย โดยให้เหตุผลว่าต้องลดรายจ่ายเพื่อให้มีเงินเหลือมาจ่ายภาษีมากขึ้น   นโยบายนี้มีผลต่อพนักงานประมาณ 7,000 คน ของร้านกาแฟสตาร์บัคส์กว่า 750 สาขาในอังกฤษ ที่ต่อไปนี้จะไม่ได้ค่าจ้างในช่วงพักกลางวัน 30 นาที ค่าจ้างในวันแรกของการลาป่วย เงินโบนัสพิเศษ หรือแม้แต่คูปองกินฟรีในวันเกิด   พนักงานบอกว่าพวกเขามีทางเลือกอยู่ 2 ทางคือ หนึ่งเซ็นรับทราบข้อตกลง/เงื่อนไขการจ้างงานใหม่ แล้วทำงานต่อไปเงียบๆ อย่าหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาคุยเป็นอันขาด สองไม่เซ็นก็ได้ แต่ต้องลาออกไปโดยพลัน   สตาร์บัคส์แถลงว่า รายจ่ายของธุรกิจร้านกาแฟของบริษัทหมดไปกับค่าจ้างและสวัสดิการพนักงานมากที่สุด บริษัทจึงใช้เวลาในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาปรับโครงสร้างรายจ่ายให้สมดุลกับการพัฒนาธุรกิจ   บริษัทบอกว่าได้ทำความเข้าใจกับพนักงานแล้ว โดยบางคนได้รับคำอธิบายจากผู้จัดการว่าสตาร์บัคส์ขาดทุนค่อนข้างมากในยุโรป จึงต้องหาวิธีลดรายจ่ายลง   แต่รายงานข่าวในช่วงก่อนหน้านี้บอกว่า ด้วยวิธีการอันซับซ้อนซ่อนเงื่อน ทำให้สตาร์บัคส์เสียภาษีเพียง 8.6 ล้านปอนด์ (403 ล้านบาท) จากรายได้ทั้งหมด 3,100 ล้านปอนด์ (145,200 ล้านบาท) ในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา   ด้านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษก็ตั้งข้อสงสัยว่า มันเป็นไปได้อย่างไรที่บริษัทนี้จะขาดทุนอย่างต่อเนื่องมาตลอดเวลา 15 ปีที่เปิดกิจการในอังกฤษ ทั้งๆ ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่าร้อยละ 30   และที่สำคัญยังแถลงต่อผู้ถือหุ้นว่าบริษัททำกำไรได้ร้อยละ 15 ต่อปีด้วย   ตกลงมันยังไงกันแน่? แล้วทำไมภาระภาษีถึงมาตกอยู่กับพนักงานรายได้น้อยไปเสียได้?     บอกแล้วให้ซื้อรถใหม่ เรื่องร้องเรียนอันดับหนึ่งของ สมาคมผู้บริโภคแห่งสิงคโปร์สิงคโปร์ (คล้ายๆ สคบ.บ้านเรา) ปีนี้ได้แก่ “รถมือสอง” ที่เบียดแชมป์เก่าอย่าง “ผลิตภัณฑ์ความงาม” ตกถนนไปเลย   ข่าวบอกว่าเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับรถมือสองที่เคยครองอันดับ 9 ในปีที่แล้ว ขึ้นจากมาครองตำแหน่งแชมป์ในปีนี้ ด้วยสถิติเรื่องร้องเรียนถึง 2,255 กรณี (เพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 80)   สาเหตุเพราะปัจจุบันการจะซื้อรถใหม่ที่สิงคโปร์นั้นต้องมีค่าใช้จ่ายเรื่อง “ใบรับรองการเป็นเจ้าของรถ” ที่สูงถึง 92,100 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 2 ล้านกว่าบาท ... โอ้แม่เจ้า ... นี่ยังไม่ได้รวมราคารถเลยนะ) ที่สำคัญเขาบอกว่าใบรับรองฯ ที่ว่านี้ยังสามารถแพงได้อีก   ก็คงมีแต่เศรษฐีเท่านั้นที่จะซื้อรถใหม่ได้ ส่วนครอบครัวที่มีรายได้ปานกลางก็ต้องพึ่งรถมือสองซึ่งนอกจากจะเกเรอยู่บ่อยๆ แล้วยังจะฝ่าฝืนนโยบายลดมลพิษด้วยการพ่นควันดำกระจาย...ให้รัฐบาลปวดหัวอีกด้วย     เวียดนามร้องซีพีขายไข่ไก่แพง หลังจากชาวบ้านร้องเรียนกันเข้ามามากว่าราคาไข่ไก่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ต้นปี   กรมอุตสาหกรรมและการค้าแห่งนครโฮจิมินห์เรียกตัวแทนของซีพีเวียดนามเข้าชี้แจงนโยบายการตั้งราคาไข่ไก่ของบริษัทโดยด่วน   กรมฯ บอกว่า ไข่ที่นำเข้าตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้วก็ยังเพียงพอต่อความต้องการในประเทศ  ราคาอาหารไก่ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง แล้วเหตุใดซีพีท่านจึงขึ้นราคาเสียเล่า   ซีพีออกมายอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมาได้ปรับราคาไข่ไก่ขึ้นหลายครั้ง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงก่อนเทศกาลเต๊ดหรือตรุษจีนของเวียดนาม ที่ความต้องการสูงเป็นพิเศษ แต่สัญญาว่าต่อไปนี้จะตั้งราคาให้เป็นธรรมขึ้น   เกษตรกรขายไข่ให้ซีพีในราคาฟองละ 1550 ด็อง (2.2 บาท)  รวมค่าขนส่งค่าบรรจุหีบห่อแล้วก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,700 ด็อง (2.4 บาท) แต่ ณ วันที่ 15 มกราคม ซีพีเวียดนามขายที่ราคา 2,500 ด็อง (3.5 บาท)   ตามกฏหมายเวียดนาม การฝ่าฝืนกฎหมายการแข่งขันทางการค้ามีความผิด ต้องเสียค่าปรับร้อยละ 5 – 10 ของรายได้บริษัท   ปี 2011 ซีพีเวียดนามมีรายได้ 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (44,670 ล้านบาท) //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 143 กระแสต่างแดน

  ของขวัญต้อง “เป็นกลาง” ของขวัญที่เด็กๆ คาดหวังจะได้ในวันคริสต์มาสหรือปีใหม่ คงจะหนีไม่พ้นของเล่น ผู้ใหญ่อย่างเราก็มักจะซื้อหาของขวัญที่นอกจากจะไม่เป็นอันตรายแล้ว ยังต้องเลือกให้เหมาะกับเด็กหญิงหรือเด็กชายด้วย ว่าแต่มันต้องเป็นเช่นนั้นด้วยหรือ? ห้างค้าปลีกแห่งหนึ่งในสวีเดน (ในเครือบริษัททอยส์อาร์อัส) สร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการด้วยการนำเสนอภาพเด็กผู้หญิงถือปืนของเล่น และเด็กผู้ชายกอดตุ๊กตา ในแคตาล็อกของเล่นสำหรับเทศกาลคริสต์มาสที่ผ่านมา เพราะเชื่อว่าการตลาดต้องตอบสนองกระแสสังคม องค์กรเฝ้าระวังการโฆษณาและการทำการตลาดสินค้าสำหรับเด็กของสวีเดน ออกมาชื่นชมว่าเป็นก้าวที่สำคัญมาสำหรับสังคมสวีเดนซึ่งส่งเสริมบทบาทและความเท่าเทียมระหว่างหญิงและชายอยู่แล้ว ถนนหนทางในเมืองใหญ่อย่างสต็อคโฮล์ม หรือโกเตนเบิร์ก คุณจะเห็นบรรดาคุณพ่อเข็นรถเข็นพาลูกออกไปเดินเล่น มากพอๆ กับคุณแม่ เพราะที่นี่พ่อได้รับสิทธิหยุดงานมาเลี้ยงลูกได้ถึง 60 วัน องค์กรดังกล่าวเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าสื่อต่างๆ ไม่ควรตอกย้ำบทบาทหญิงชายแบบที่เป็นการเหมารวม ในโฆษณาหรือในแคตาล็อคสินค้า (เช่น มีแต่เด็กผู้หญิงเท่านั้นที่เล่นแต่งตัวตุ๊กตา หรือเด็กผู้ชายเท่านั้นที่จะเล่นรถหรือปืน เป็นต้น) สื่ออังกฤษและอเมริกันไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ หนังสือพิมพ์เดอะเทเลกราฟของอังกฤษมีบทความที่ตั้งข้อสังเกตว่าสังคมสวีเดนคงเพี้ยนไปแล้ว และเด็กผู้ชายอาจจะมีความเบี่ยงเบนทางเพศมากขึ้น ขณะเดียวกันคอลัมนิสต์ชาวอเมริกันก็ประชดประชันว่าวิทยาศาสตร์ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว สวีเดนสามารถใช้กระบวนการ “วิศวกรรมสังคม” ทำให้เด็กชายและเด็กหญิงเหมือนกันได้ ไม่แน่ ... สวีเดนอาจจะมาถูกทางแล้วก็ได้ สมัยนี้อะไรๆ ก็ต้องเป็นกลางไว้ก่อน ... จริงมั้ยพี่น้อง?      อาจไม่มี “วันสิ้นโรค” หลายคนโล่งอกที่เราผ่านพ้น “วันสิ้นโลก” ในปี 2012 มาได้ แต่คุณรู้หรือไม่ว่ายังมีสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นให้เราได้ลุ้นกันอีก ทุกวันนี้เราเชื่อมั่นว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีอยู่และกำลังจะมีต่อไปจะช่วยให้เราสามารถผลิตยาออกมารักษาอาการเจ็บป่วยได้ทุกชนิด แต่คุณรู้หรือไม่? งานวิจัยที่คิดค้นยาปราบเชื้อโรคตัวใหม่ๆ นั้น จัดว่าล้าหลังอยู่ไม่ต่ำกว่า 10 ปี และยาทุกตัวที่มีอยู่ขณะนี้ ยังไม่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้  ง่ายๆ ก็คือถ้าเราบังเอิญล้มป่วยด้วยแบคทีเรียตัวที่ว่าเข้า มันก็คงจะเป็น “วันสิ้นเรา” สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคใหม่ๆ ยังสามารถรักษาโรคติดเชื้อได้สำเร็จเพียงแค่ 2 ใน 3 ของคนไข้ที่เข้ารับการรักษาเท่านั้น  ส่วนคนไข้ที่เหลือนั้นมีอาการดื้อยา ทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตเพราะยาปฏิชีวนะที่มีอยู่ ไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคตัวดังกล่าวได้ ปัญหาเรื่องเชื้อโรคดื้อยานี้ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่มนุษย์ต้องเผชิญในปี 2013 (นอกเหนือจากปัญหาโลกร้อน ความเหลื่อมล้ำของรายได้ การขาดแคลนน้ำใช้ ภาวะสังคมสูงวัย ภัยจากการเชื่อมต่อในโลกออนไลน์ ฯลฯ) ตามรายงานของ World Economic Forum ประเทศที่ยากจนอาจมีส่วนทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคด้วยปัญหาด้านสุขอนามัย การขาดแคลนน้ำสะอาด ความเป็นอยู่ที่แออัด หรือความขัดแย้งทางการเมือง ในขณะที่ประเทศที่ร่ำรวยก็ยังไม่สามารถแก้ความเข้าใจผิดของประชาชนเกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อได้ การสำรวจในยุโรปพบว่าคนฝรั่งเศสมากกว่าครึ่งเข้าใจว่าต้องใช้ยาปฏิชีวนะ หรือที่บ้านเรานิยมเรียกว่า “ยาแก้อักเสบ” เพื่อรักษาไข้หวัด หรือในบางประเทศแพทย์จะนิยมสั่งยาให้แบบค็อคเทล (จัดไปหลายๆ ตัวทีเดียวเลย) เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องร้องจากความล่าช้าในการรักษา เพราะยังไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นการติดเชื้อจากไวรัสหรือแบคทีเรีย หรือชี้ชัดลงไปไม่ได้ว่าเป็นไวรัสหรือแบคทีเรียชนิดใด ความเสี่ยงนี้สามารถเกิดขึ้นคุณได้ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใด และมันอาจส่งผลต่อการขาดแคลนอาหาร  เนื่องจากการติดเชื้อที่ไม่สามารถรักษาได้ ในปศุสัตว์ หรือเกิดการกีดกันการนำเข้าอาหาร เพราะกลัวการติดเชื้อจากนอกประเทศ  นอกจากนี้รัฐบาลประเทศต่างๆ อาจจะเพิ่มมาตรการควบคุม/จำกัดการเดินทาง หรือการย้ายถิ่นที่อยู่ของประชากรด้วย ทางที่ดีเราต้องเลิกการใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อกันตั้งแต่วันนี้ เพื่อไปให้ถึง “วันสิ้นโรค” ให้จงได้     ค่าธรรมเนียมกำจัดซาก ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง เมื่อรถที่เราใช้ต้องเก่าผุพังเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา แล้วเราจะทำอย่างไรกับขยะรถเหล่านี้? หลายประเทศเริ่มใช้วิธีการเก็บค่าธรรมเนียมการกำจัดซากรถจากผู้ผลิตและผู้นำเข้ารถยนต์ อย่างกรณีของรัสเซียเขาก็เพิ่งจะประกาศกฏหมายใหม่ที่ระบุให้มีการเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวจากรถทุกคันที่ผลิตขึ้นหลังวันที่ 1 กันยายน ปี 2555 สนนราคาสำหรับรถเล็กอยู่ที่ 20,000 รูเบิล (ประมาณ 20,000 บาท) ต่อคันเป็นอย่างต่ำ ส่วนรถบรรทุก รถบัส อย่างต่ำอยู่ที่คันละ150,000 รูเบิล (ประมาณ 150,000 บาท) ทางการบอกว่าเงินที่เก็บมาก็เพื่อใช้ในการสร้างโรงงานรีไซเคิลรถยนต์ ผู้ผลิตเจ้าไหนมีแผน “รับกลับ” สำหรับรถที่ตนเองผลิต ก็ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมดังกล่าว ทั้งนี้กฎหมายกำหนดให้ผู้ผลิตมีโรงงานรีไซเคิลรถเก่าในทุกภูมิภาคของประเทศ และในเมืองที่มีประชากรมากกว่า 500,000 คน งานนี้น่าจะหมายถึงราคารถที่สูงขึ้น เพราะผู้ผลิตอาจเลือกวิธีผลักภาระต่อมาที่ผู้บริโภค แต่ตัวแทนอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์เขาบอกว่าไม่น่าเป็นอย่างนั้น  เพราะผู้ผลิตน่าจะเอาไปถัวกับภาษีนำเข้าอะไหล่ที่ลดลงหลังจากรัสเซียเข้าเป็นสมาชิก WTO หรือองค์กรการค้าโลก คนรัสเซียคงอิจฉาเราแย่เลย เพราะนอกจากจะไม่ต้องจ่ายค่ารีไซเคิลรถแล้วรัฐยังคืนภาษีให้อีกต่างหาก   หวานไม่หยุด หลายคนอาจจะตั้งใจแน่วแน่ว่าปีใหม่นี้จะต้องลดน้ำหนักให้ได้ แต่ส่วนใหญ่มักไม่ประสบความสำเร็จ ...อย่าได้ท้อใจเด็ดขาด ทุกอย่างแก้ไขได้ด้วยข้อมูล(เกี่ยวกับน้ำตาล) และทักษะการอ่าน(ฉลาก) นักวิจัยเขาแนะนำให้ระวังส่วนผสมในอาหารแปรรูปและเครื่องดื่ม ตัวที่ชื่อว่า Corn Syrup หรือน้ำเชื่อมข้าวโพดเพราะมันมีน้ำตาลฟรุคโตสสูงการทดลองครั้งนี้ ใช้เครื่องสแกน MRI (magnetic resonance imaging) ติดตามการไหลเวียนของเลือดในสมอง ในคนหนุ่มสาว 20 คน ที่มีน้ำหนักตัวปกติ หลังจากดื่มเครื่องดื่มที่มีกลูโคสหรือฟรุคโตสเข้าไป ภาพสแกนแสดงให้เห็นว่า กลูโคสจะปิดหรือยับยั้งกิจกรรมในบริเวณของสมองที่ควบคุมความอยากรับประทานอาหาร ในขณะที่ฟรุคโตสไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว  ความอยากอาหารจึงยังคงมีอยู่ ... และส่งผลให้เรากินอาหารมากเกินไป ภาพสแกนที่ว่านี้สอดคล้องกับความรู้สึกหิวของผู้ที่เข้ารับการทดสอบด้วย ทางออกของผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักคือ การทำอาหารทานเองและลดการบริโภคเครื่องดื่มหรืออาหารสำเร็จรูปที่มีฟรุคโตสลง (อย่าลืมพกแว่นขยายไปด้วยล่ะ เดี๋ยวจะหาว่า ฉลาดซื้อ ไม่เตือน) และอย่าลืมป่าวประกาศให้เพื่อนฝูงได้ทราบโดยทั่วกันว่าคุณจะลดน้ำหนักให้ได้กี่กิโลกรัม ภายในเวลาเท่าไร ที่สำคัญอย่าได้นำรูปนางแบบผอมไม่มีใส้ หรือนายแบบซิกซ์แพคมาติดตู้เย็น (หรือที่ไหนก็ตาม) เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการลดน้ำหนักเด็ดขาด งานวิจัยจากเนเธอร์แลนด์เขายืนยันแล้วว่า พวกที่เห็น “รูปสร้างแรงบันดาลใจ” เหล่านี้คืออุปสรรคตัวสำคัญที่ทำให้เราแอบกินจุบจิบ และล้มเลิกความตั้งใจจะลดน้ำหนักไปในที่สุด ในขณะที่พวกที่ไม่ได้เห็นรูปดังกล่าวสามารถลดน้ำหนักได้จริงๆ   วันนี้คุณมีความสุขแล้วหรือยัง? ศาสตราจารย์ชอยอินโชล จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซลพร้อมทีมงานได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของคนในวัยระหว่าง 20 ถึง 39 ปี จำนวน 1,000 คน (หญิง 491 คน ชาย 509 คน) ว่าพวกเขามีความสุขมากน้อยแค่ไหนปรากฏว่า 1 ใน 10 ของผู้ตอบแบบสำรวจบอกว่าพวกเขาไม่รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขเลยแม้เพียงสักครั้งในหนึ่งสัปดาห์ สาเหตุหลักเพราะรายได้ไม่พอใช้เรามาแจกแจงสาเหตุของความทุกข์กันดูบ้าง -- ร้อยละ 3.3 ตอบว่าเป็นทุกข์เพราะเรื่องเพื่อน  ร้อยละ 15.6 บอกว่ามีปัญหาชีวิตรัก และมีถึงร้อยละ 36.8 ตอบว่าทุกข์หนักเพราะปัญหาการเงินรุมเร้า กลุ่มที่มีรายได้มากกว่า 40 ล้านวอนต่อปี (ประมาณ 1,100,000 บาท) มีความสุขสัปดาห์ละ 3.5 ครั้ง ในขณะที่กลุ่มที่มีรายได้ ระหว่าง 20 – 40 ล้านวอน (560,000 - 1,100,000 บาท)  มีความสุขสัปดาห์ละ 3 ครั้ง และกลุ่มที่หาเงินได้ระหว่าง 10 – 20 ล้านวอน ( 280,000 – 560,000 บาท) มีความสุขเพียง 2.8 ครั้งต่อสัปดาห์การศึกษาก็พอช่วยได้บ้าง เขาพบว่าหนุ่มสาวกลุ่มที่จบมหาวิทยาลัยมีความสุข 3.2 ครั้งต่อสัปดาห์ ในขณะที่กลุ่มที่จบชั้นมัธยมปลายมีความสุข 2.4 ครั้งต่อสัปดาห์แล้วกันไปนะ ไม่มีความสุขเพราะเงินไม่พอใช้ก็พอเข้าใจได้ นึกว่าเขาจะไม่มีความสุขเพราะหน้าตาไม่เป๊ะเวอร์เหมือนดาราเสียอีก

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 118 กระแสต่างแดน

คราวนี้ต้องเลิกให้ได้ ไม่ได้มีแต่เราเท่านั้นที่ใช้ยาแก้อักเสบกันเป็นว่าเล่น ข่าวจากหนังสือพิมพ์ไชน่าเดลี่ บอกว่าคนจีนก็ติดยาแก้อักเสบเข้าขั้นเหมือนกัน  ซื้อมากินกันเองยังไม่เท่าไร แต่ข่าวบอกว่าขนาดไปพบแพทย์แล้วก็ยังไม่วายได้ยาแก้อักเสบกลับมากินไปพลางๆ ยามที่ยังไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้  สถิติระบุว่าโรงพยาบาลในประเทศจีนมีการจ่ายยาแก้อักเสบเกินปริมาณที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ถึงสองเท่า  เขาซุบซิบกันอย่างหนาหูในชุมชนออนไลน์ของจีนว่าเหตุที่มีการจ่ายยาแก้อักเสบกันมากมายนั้นเป็นเพราะโรงพยาบาลได้ประโยชน์จากการสั่งยาประเภทนี้นั่นเอง จีนเป็นผู้ผลิตยาแก้อักเสบรายใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยอัตราการผลิต 147,000 ตันต่อปี มีทั้งหมด 181 ยี่ห้อ และส่วนใหญ่(ร้อยละ 83) ของปริมาณที่ผลิตได้นั้นเป็นการบริโภคภายในประเทศ  อย่างที่ทราบกัน การใช้ยาแก้อักเสบมากเกินไปทำให้การรักษาอาการเจ็บป่วยนั้นทำได้ยากขึ้น ปีที่แล้วจีนก็ต้องเจอกับปัญหาเชื้อชั่วฆ่าไม่ตาย ที่เรียกกันว่าซุปเปอร์แบคทีเรีย NDM-1 ที่สามารถต้านทานยาแก้อักเสบได้เกือบทุกชนิด ร้ายแรงกว่านั้น ขณะนี้มีทารกที่เกิดมาพร้อมอาการดื้อยาแล้วด้วย รัฐบาลจีนคงต้องรีบลงมือทำอะไรสักอย่างแล้ว เพื่อหยุดพฤติกรรมการใช้และการจ่ายยาแก้อักเสบอย่างพร่ำเพรื่อ ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายจนไม่สามารถหายาที่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะจัดการกับเชื้อแบคทีเรียที่อัพเกรดตัวเองได้     หรือผู้บริโภคจะไม่แคร์สื่อ? หลายคนคงเคยได้ยินข่าวเรื่องการฆ่าตัวตายของพนักงานบริษัทฟ็อกซ์คอน ด้วยการกระโดดหน้าต่างโรงงานถึงวันนี้ มีผู้ที่ฆ่าตัวตายได้สำเร็จไปแล้ว 17 รายโรงงานที่ว่านี้ก็เป็นโรงงานที่ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เราๆ ท่านๆ รู้จักกันดี อย่างไอพอด และไอโฟนกันนั่นเอง และประธานบริษัทนี้ก็คือชายที่ร่ำรวยที่สุดในไต้หวัน นามว่าเทอรี่ กั๊ว นั่นเอง หลังจากข่าวเรื่องการฆ่าตัวตายแพร่ออกไป บริษัทก็ประกาศขึ้นเงินเดือนเกือบร้อยละ 70 ให้กับพนักงานในสายการผลิต เพิ่มจากเดือนละ 1,200 หยวน เป็น 2,000 หยวน ฟ็อกซ์คอนมีนิคมอุตสาหกรรมอยู่ที่เมืองเฉินเจิ้น ประเทศจีน ในฟ็อกซ์คอนซิตี้หรือไอพอดซิตี้นี้มีโรงงานทั้งหมด15 โรง มีประชากร 300,000 ถึง 450,000 คน เขาบอกว่าเหมือนเมืองขนาดย่อมๆเที่มีทุกอย่างพร้อมสรรพ รวมถึงสถานีโทรทัศน์ของตัวเองด้วย เรียกว่าไม่จำเป็นต้องออกนอกกำแพงเมืองไปไหนกันเลย  ข่าวการฆ่าตัวตายทำให้กลุ่ม SACOM (Students and Scholars against Corporate Misbehavior) ซึ่งมีสมาชิกเป็นนักศึกษาและนักวิชาการจากมหาวิทยาลัย 20 แห่งในจีน ที่คอยจับตาดูพฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากลของธุรกิจ ทำการติดตามสำรวจสภาพการทำงานในโรงงานของฟ็อกซ์คอนเป็นเวลา 4 เดือน  SACOM บอกว่าที่นี่มีการควบคุมระเบียบวินัยแบบเคร่งครัดเต็มอัตรา พนักงานต้องยืนตัวตรงตลอดการทำงาน และต้องทำชิ้นงานให้เสร็จตามจำนวนที่กำหนด ถ้าทำไม่เสร็จหรือใช้เวลากับกิจกรรมอื่น เช่น เข้าห้องน้ำ หรืออาบน้ำนานเกินไป ก็จะถูกทำโทษทั้งด้วยการทุบตีและการทำให้อับอาย   นอกจากนี้ยังห้ามคุย ห้ามหัวเราะ ห้ามบิดขี้เกียจในเวลางาน (ห้ามหลับคงไม่ต้องพูดถึง)  ฟ็อกซ์คอนออกมาโต้ตอบรายงานดังกล่าวว่า ไม่จริงนะ บริษัทออกจะมุ่งมั่นที่จะให้พนักงานจำนวน 937,000 คนได้อยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี และได้รับค่าตอบแทนและการชดเชยที่ไม่แพ้บริษัทอื่นๆ ทางแอปเปิ้ลเองก็ยืนยันว่าตนเองเลือกใช้ฐานการผลิตที่มีมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมในระดับสูงสุดเสมอมา ที่สำคัญคือทั้งๆ ที่มีข่าวนี้ออกไป ยอดขายเขาก็ไม่ได้รับการกระทบกระเทือนแต่อย่างใด แอปเปิ้ลก็ยังทำยอดขายได้ 16,000 ล้านปอนด์ต่อไตรมาส  หรือเพราะผู้บริโภคยอมรับได้ เพราะนั่นหมายถึงการควบคุมต้นทุน การผลิตให้มีราคาต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาจจะมีคนต้องทุกข์ทรมานบ้างก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ อย่างน้อยก็ได้ของถูก แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ รายงานจากสำนักวิจัย iSupply ระบุว่าไอโฟนเครื่องหนึ่งนั้นมีต้นทุนในการประกอบ 6.54 เหรียญ ค่าชิ้นส่วนต่างๆ อีก 187.51 เหรียญ รวมแล้วต้นทุนอยู่ที่ 194 เหรียญ หรือ 5,842 บาท ว่าแต่คุณซื้อไอโฟนมาในราคาเท่าไร?     อยู่บ้านอย่างไรให้เป็นอัจฉริยะ เกาะเชจู นอกจากจะเป็นสถานที่ยอดฮิตในการไปเที่ยวตากอากาศของพระเอก นางเอกหนังเกาหลีแล้ว เขายังเป็นเกาะที่มีหมู่บ้านอัจฉริยะอีกด้วย ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเชจู เขากำลังทดลองใช้ระบบเครือข่ายส่งไฟฟ้าอัจฉริยะ หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Smart Grid เป็นแห่งแรกในเกาหลี ที่ว่าฉลาดนั้นก็เพราะมันสามารถช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก และช่วยให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลการใช้ไฟฟ้าทุกๆ 15 นาที และยังจะได้รับการเตือนให้ลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงพีคด้วย   นอกจากแผงโซล่าเซลล์ที่จะติดตั้งเพื่อให้แต่ละบ้านสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เองแล้ว อุปกรณ์ที่สำคัญในระบบที่ว่านั้นได้แก่ Smart Tag หรือ Smart Plug ตามจุดปลั๊กไฟ ที่จะช่วยป้องกันการบริโภคไฟฟ้าจากอุปกรณ์ต่างๆที่เสียบปลั๊กทิ้งไว้ แม้จะไม่ได้อยู่ในโหมด Stand-by   เขาบอกว่าถ้าทุกครัวเรือนในประเทศใช้ระบบดังกล่าว ก็จะสามารถประหยัดเงินได้ปีละ 1,500 ล้านเหรียญ แต่ที่เห็นผลทันทีคือผู้บริโภคสามารถประหยัดค่าไฟได้ ด้วยการขายพลังงานไฟฟ้า (จากแสงอาทิตย์) ที่เหลือใช้ให้กับผู้ประกอบการ โดยนำไปหักลบจากค่าไฟฟ้าที่ตนเองจะต้องเสีย   มีตัวอย่างจากครอบครัวหนึ่งซึ่งมีสมาชิก 3 คน เคยจ่ายค่าไฟเดือนละ 50,000 วอน (ประมาณ 1,300 บาท) หลังจากติดระบบแล้ว ค่าไฟเหลือเพียง 1,000 วอน(ประมาณ 26 บาท) เท่านั้น   เมืองผู้ดีก็มีไม้เถื่อน อังกฤษเป็นประเทศที่นำเข้าไม้ผิดกฎหมายมากเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากจีน สหรัฐ และญี่ปุ่น ความจริงแล้วผู้บริโภคที่นั่นสามารถช่วยหยุดการค้าไม้เถื่อนได้ ด้วยการเลือกซื้อไม้หรือเฟอร์นิเจอร์ที่มีฉลาก FSC (Forestry Stewardship Council) แต่จากการสำรวจขององค์กร WWF พบว่ามีคนอังกฤษมีการรับรู้เรื่องนี้ค่อนข้างน้อย มีเพียงร้อยละ 28 ของผู้บริโภค ที่ตอบแบบสำรวจที่รู้จักเครื่องหมายดังกล่าว เมื่อเทียบกับการรับรู้ในเรื่องอื่นๆ อย่างเรื่องของการค้ากาแฟอย่างเป็นธรรม(หรือแฟร์เทรด) แล้วถือว่าน้อยมาก   ร้อยละ 50 ของผู้บริโภคไม่รู้ว่าผลิตภัณฑ์ไม้ที่ขายในอังกฤษนั้นอาจจะมาจากแหล่งที่ผิดกฎหมาย หรือพูดให้ชัดคือมาจากการตัดไม้ทำลายป่าในประเทศกำลังพัฒนานั่นเอง พวกเขาเชื่อว่าถ้าเข้ามาขายในอังกฤษก็น่าจะผ่านการกลั่นกรองมาแล้ว  แต่ละปีผู้บริโภคอังกฤษใช้จ่ายเงินกว่า 700 ล้านปอนด์ไปกับผลิตภัณฑ์ไม้ที่ผิดกฎหมายเหล่านี้   เมืองไม่ประหยัดน้ำ ลิมา เมืองหลวงของประเทศเปรู เขาขาดแคลนน้ำใช้จนต้องตั้งเป็นวาระแห่งชาติ ประธานาธิบดีอลัน การ์เซีย ออกมาประกาศว่าจะให้ทุกคนได้มีน้ำใช้อย่างทั่วถึงภายในสิ้นปี ค.ศ. 2011 เหตุที่น้ำน้อยก็เพราะเมืองนี้เป็นเมืองทะเลทรายที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากเมืองไคโร ประเทศอียิปต์  แล้วที่วิกฤติซ้ำคือการใช้น้ำอย่างไม่ประหยัด ข่าวบอกว่าเมืองนี้เขาไม่มีการติดตั้งมิเตอร์น้ำด้วย  ข้อมูลของศูนย์วิจัยภูมิศาสตร์ประยุกต์ระบุว่าประชากรในเมืองลิมา มีการบริโภคน้ำต่อหัววันละ 250 ลิตร ในขณะที่เมืองหลวงในทวีปยุโรปกลับมีอัตราการใช้น้ำเพียงวันละไม่เกิน 140 ลิตรต่อวัน  หรือแม้แต่กรุงไคโรซึ่งเป็นเมืองทะเลทรายเหมือนกัน มีการใช้น้ำวันละ 100 ลิตรต่อหัวเท่านั้น  นอกจากนี้อัตราการสูญเสียน้ำไปโดยเปล่าประโยชน์ ( เช่น น้ำรั่ว) นั้นสูงถึงร้อยละ 42 ซึ่งนับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับที่อื่นๆ เช่น ญี่ปุ่นสูญเสียน้ำใช้เพียงร้อยละ 3.5  เยอรมนีร้อยละ 5  และเม็กซิโก ร้อยละ 17

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 181 คุณจะใช้สิทธิการตายได้อย่างไร

ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้ามากขึ้นในปัจจุบันก็เปรียบเหมือนกับเหรียญที่มี 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือ ความสามารถในการช่วยเหลือชีวิตของมนุษย์ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ แล้วกลับมาสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ไว้บนโลกนี้ต่อไปได้อีกจนกว่าวาระสุดท้ายของชีวิตจะเวียนมาถึง ส่วนอีกด้านหนึ่งของเหรียญ “ความก้าวหน้าทางการแพทย์” กลับกลายเป็นสิ่งที่ “เกินความจำเป็น” เพราะไม่ว่าจะประโคมใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่เพียงใด แต่ความตายก็มาเยือนในเวลาอันใกล้ ดังนั้นแล้ว หากเมื่อฝ่ายหนึ่งอยากจะจากไปอย่างสงบ แต่ฟากผู้รักษาชีวิตและญาติอาจยังทำใจไม่ได้ สิ่งที่น่าจะเป็นทางออกอาจจะอยู่ที่ หนังสือแสดงเจตนาหรือสิทธิในการเลือกที่จะตายของผู้ป่วย บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาปฏิเสธการรักษาเพื่อยืดการตายนางนิรชา อัศวธีรากุล ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมสิทธิและสร้างสังคมสุขภาวะ สำนักงานสุขภาพแห่งชาติ ระบุว่า จากภาวะก้ำกึ่งระหว่างความเป็นความตาย ประกอบกับการที่สังคมไทยกำลังย่างเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ แต่ยังไม่มีระบบในการดูแลคนเหล่านี้ในวาระสุดท้ายได้อย่างเป็นระบบเช่นนี้ นำมาสู่การยกร่าง มาตรา 12 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ที่ให้สิทธิทุกคนบนผืนแผ่นดินไทยได้ตัดสินใจเอาเองว่าจะยินดีให้แพทย์ประโคมเทคโนโลยีเพื่อยื้อชีวิต หรือขอใช้สิทธิเลือก “ตายอย่างสงบ”  สาระสำคัญของมาตรา 12 ระบุว่า บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจาการเจ็บป่วย และเพื่อเป็นการขยายวิธีปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวจึงได้มีการออกกฎกระทรวง กำหนดกฎเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการ สาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย พ.ศ. 2553 ซึ่งประกาศลงราชกิจจานุเบกษา ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2553   นิยามของคำว่า “วาระสุดท้าย” ที่สามารถขอใช้สิทธิปฏิเสธการรักษา คือ ภาวะของผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาอันเกิดจากการบาดเจ็บหรือโรคที่ไม่อาจรักษาให้หายได้และผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้รับผิดชอบการรักษาได้วินิจฉัยจากการ พยากรณ์โรคตามมาตรฐานทางการแพทย์ว่าภาวะนั้นนำไปสู่การตายอย่างหลีกเลี่ยง ไม่ได้ในระยะเวลาอันใกล้จะถึง และให้หมายความรวมถึงภาวะที่มีการสูญเสียหน้าที่อย่างถาวรของเปลือกสมองใหญ่ ที่ทำให้ขาดความสามารถในการรับรู้และติดต่อสื่อสารอย่างถาวรโดยปราศจาก พฤติกรรมการตอบสนองใดใดที่แสดงถึงการรับรู้ได้จะมีเพียงปฏิกิริยาสนองตอบอัตโนมัติเท่านั้น แพทย์จะมีความผิดหรือไม่ หากทำตามเจตนาของผู้ป่วย “วาระสุดท้ายของชีวิตนั้นสามารถพิสูจน์ได้ เพราะสภาพร่างกายของผู้ป่วยจะเป็นตัวบ่งบอก เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปกังวลอย่างอื่น หรือคิดไปในทางที่ไม่ดี เรื่องนี้สามารถพิสูจน์ได้อยู่แล้ว และตามกฎหมายระบุว่าบุคลากรทางด้านสาธารณสุข คือแพทย์ พยาบาล คนที่เกี่ยวข้องหากปฏิบัติตามหนังสือแสดดงเจตนานี้แล้วไม่ถือว่าเป็นความผิด ให้พ้นจากความรับผิดทั้งปวง”  นางนิรชา อัศวธีรากุล กล่าวยืนยัน อย่างไรก็ตาม เมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึงจริงๆ แพทย์ต้องดูว่าผู้ป่วยนั้นมีสติสัมปชัญญะหรือไม่ หากผู้ป่วยมีสติสัมปชัญญะดีพอที่จะสื่อสารได้ตามปกติ แพทย์เจ้าของไข้ต้องอธิบายให้ผู้ป่วยที่ทำหนังสือแสดงเจตนาฯ ได้ทราบถึงภาวะและความเป็นไปของโรคในขณะนั้นเพื่อยืนยันความประสงค์ที่จะปฏิเสธการรักษาหรือไม่ แต่ถ้าผู้ป่วยที่ทำหนังสือแสดงเจตนาฯ ไม่มีสติสัมปชัญญะดีพอที่จะสื่อสารได้ตามปกติ ก็ต้องแจ้งกับบุคคลที่ 3 อาทิ ญาติของผู้ป่วยเพื่อแจ้งให้ทราบถึงภาวะของโรค และแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการตามเจตนารมณ์ของผู้ป่วยก่อนจะปฏิบัติตามคำสั่งในหนังสือ “บางคนที่เชื่อเรื่องปาฏิหาริย์สักวันหนึ่งญาติของตัวเองอาจจะฟื้นขึ้นมาหลังจาก นอนโดยไม่รับรู้อะไรมาสักระยะ ตรงนี้เป็นหน้าที่ของญาติที่ต้องคุยกับบุคลากรทางการแพทย์ให้เข้าใจตรงกัน บางคนพอคุยไปคุยมาก็ยอมทำตามความประสงค์ บางคนก็ฝืนคำสั่งก็มี แต่เมื่อยื้อไปสักพักแล้วเห็นว่าไม่สามารถยื้อได้อีกก็เลยกลับมาใช้แนวทาง ที่ผู้ป่วยแสดงเจตจำนงเอาไว้ ดังนั้นการตามความประสงค์ของผู้ที่ทำหนังสือแสดงเจตจำนงเอาไว้ ประกอบกับความเห็นทางการแพทย์ยืนยันว่าเป็นวาระสุดท้ายแล้วก็ปล่อยให้ ตายอย่างสงบเพื่อที่อย่างน้อยผู้ป่วยจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดกับการใช้สารพัด เครื่องช่วยชีวิต” ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมสิทธิ ระบุว่า “อย่างที่บอกว่าเนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์มีความก้าวหน้า ไปมาก และแพทย์หลายๆ คนยังมีความกังวลว่ากฎหมายดังกล่าวสามารถใช้ได้จริงๆ หรือไม่ จึงมีการฟ้องร้องกฎกระทรวง ว่าเนื้อหาหรือคู่มือในการปฏิบัติตามมาตรา 12 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื้อหาสาระที่ไม่ถูกต้อง ขาดการมีส่วนร่วมมของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น จึงได้มีการต่อสู้ด้วยหลักการ เหตุผลกันนานกว่า 5 ปี ท้ายที่สุดศาลปกครองสูงสุดตัดสินเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2558 ว่ากฎกระทรวงที่ออกตามความในมาตรา 12 นั้นชอบด้วยกฎหมาย สามารถใช้ได้จริง” การใช้สิทธิมาตรา 12 ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย  เรื่องการใช้สิทธิการตายนั้น ที่จริงแล้วมีมานานก่อนที่จะมีมาตรา 12 ออกมา โดยทุกคนสามารถแจ้งผู้ที่เกี่ยวข้องได้ในกรณีที่มีความประสงค์ตายอย่างธรรมชาติไม่ต้องมาสวน มาสอดเครื่องไม้เครื่องมือที่รังแต่จะทำให้เกิดความเจ็บปวด ซึ่งถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สมัยก่อนเป็นเรื่องง่ายมาก ผู้ป่วยสามารถแจ้งญาติ แจ้งบุคคลากรทางการแพทย์เพื่อขอกลับไปเสียชีวิตที่บ้านท่ามกลางลูกหลานได้ และที่จริงแล้วกฎหมายดังกล่าวไม่ได้ให้สิทธิในการเร่งการตาย เพราะเมื่อญาติๆ และแพทย์ตกลงทำตามความประสงค์ของผู้ป่วยแล้ว แพทย์ก็ยังให้การรักษาแบบประคับประคองเพื่อไม่ให้ผู้ป่วยต้องเจ็บปวดจากภาวะการดำเนินโรค เช่น ให้ยาแก้ปวด เป็นต้น ที่สำคัญยืนยันว่า การใช้สิทธิตามมาตรา 12 ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย ! อาการของวาระสุดท้ายนั้นจะสามารถมองเห็นและพิสูจน์ได้ มีข้อบ่งชี้ปัจจุบันมีคนดังหลายๆ คนได้เขียนหนังสือแสดงความจำนงขอใช้สิทธิการตายเอาไว้เช่นเดียวกัน อาทิ นพ.อำพล จินดาวัฒนะ อดีตเลขาธิการสำงานสุขภาพแห่งชาติ คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ นักเขียนชื่อดัง เป็นต้น ท้ายที่สุด การใช้สิทธิขอตายตามมาตรา 12 เป็นเครื่องมือที่ทำให้เกิดความเข้าใจกันได้ระหว่างแพทย์และญาติเพื่อการวางแผนดูแลชีวิตผู้ป่วยล่วงหน้า แพทย์รู้ว่าไม่ไหว ญาติเข้าใจยื้อไปก็เป็นการทรมานผู้ป่วย จะได้ใช้วาระสุดท้ายนี้ในการอยู่ด้วยกันอย่างคุ้มค่าที่สุด คนตายได้จากไปโดยไม่ต้องทรมานคนที่สามารถทำหนังสือแสดงเจตนารมณ์ขอใช้สิทธิการตายนั้นต้องมีสติสัมปชัญญะ อายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป แต่ถ้าเป็นเด็กต้องให้ผู้ใหญ่เป็นคนตัดสินใจ โดยสามารถทำได้ 2 ลักษณะ คือ 1. เขียนเป็นลักษณ์อักษร และ 2. การใช้สิทธิด้วยวาจา แต่ในกรณีแสดงความจำนงด้วยวาจานั้นอาจจะยากไปหน่อย เพราะไม่มีหลักฐานยืนยัน สำหรับ การเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรนั้นตามกฎหมายบอกว่าต้องมีความชัดเจนเพียงพอที่ จะดำเนินการตามความประสงค์ของผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาได้ โดยมีข้อมูลเป็นแนวทางในการทำหนังสือ ดังนี้ 1. รายการที่แสดงข้อมูลของผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาฯ โดยระบุชื่อ นามสกุล อายุ หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนและที่อยู่ หรือหมายเลขโทรศัพท์ที่ติดต่อได้  2. วัน เดือน ปี ที่ทำหนังสือแสดงเจตนา 3. ชื่อ นามสกุล หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนของพยาน และความเกี่ยวข้องกับผู้ทำหนังสือแสดงเจตนา  4. ระบุประเภทของบริการสาธารณสุขที่ไม่ต้องการจะรับบริการ  5. ในกรณีที่ผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาให้ผู้อื่นเขียน หรือพิมพ์หนังสือแสดงเจตนาฯ ให้ระบุชื่อ นามสกุล และหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เขียน หรือผู้พิมพ์เอาไว้ด้วย ที่สำคัญในหนังสือแสดงเจตนาฯ ต้องลงลายมือชื่อ หรือพิมพ์นิ้วมือของผู้นำทำหนังสือแสดงเจตนา พยาน และผู้เขียน หรือผู้พิมพ์เอาไว้ด้วย ทั้งนี้ผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาอาจระบุชื่อบุคคลเพื่อทำหน้าที่อธิบายความประสงค์ที่ แท้จริงของผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาที่ระบุไว้ไม่ชัดเจน ซึ่งบุคคลที่ถูกระบุชื่อดังกล่าวจะต้องลงลายมือชื่อ หรือลายพิมพ์นิ้วมือ และหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนไว้ในหนังสือแสดงเจตนาด้วย นอกจากนี้ ในหนังสือแสดงเจตนาฯ สามารถระบุ รายละเอียดอื่นๆ ได้ เช่น ต้องการเสียชีวิต ณ สถานที่ใด ความประสงค์ที่จะรับการเยียวยาทางจิตใจ และการปฏิบัติตามประเพณี และความเชื่อทางศาสนา และให้บริการสาธารณสุขให้ความร่วมมือตามสมควร เมื่อผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาเข้ารับการรักษาตัวรักษาตัว ในสถานบริการสาธารณสุขก็ให้นำหนังสือแสดงเจตนายื่นต่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขของสถานบริการสาธารณสุขโดยไม่ชักช้า อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ทำหนังสือแสดงเจตนาฯ อาจยกเลิก หรือเปลี่ยนแปลงหนังสือแสดงเจตนาฉบับใหม่ได้ตลอด ซึ่งในกรณีที่มีการแสดงหนังสือเจตนาหลายฉบับให้ยึดถือเอาฉบับที่ทำครั้งหลังสุดเป็นฉบับที่มีผลบังคับใช้     นานาทัศนะเรื่องการใช้สิทธิการตาย จากวงเสวนาเรื่อง ปลายทางชีวิตจะลิขิตการรักษาอย่างไร เมื่อวันที่  10 กุมภาพันธ์ 2559 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  รศ. ดร. นนทวัชร์ นวตระกูลพิสุทธิ์ ศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ กล่าวถึงสิทธิในการทำหนังสือแสดงเจตนารมณ์ไม่ขอรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไป เพื่อการยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต ตามมาตรา 12 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ว่า หนังสือแสดงเจตนาฯ มีรากฐานมากจากกฎหมาย 3 ฉบับ คือ 1. มาตรา 12 ในพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ วรรค 3 กำหนดว่าบุคคลมีสิทธิในการแสดงความประสงค์ไม่ขอรับบริการสาธารณสุข และวรรค 1 กำหนดให้ต้องแสดงเป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีเงื่อนไขว่าเป็นไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต  2.กฎกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2553 กำหนด ลักษณะ วิธีการ และรายละเอียดการแสดงเจตนาไม่ขอรับบริการสาธารณสุข โดยมีนิยามในตอนท้ายว่าผู้ป่วยยังต้องได้รับการดูแลแบบประคับประคอง และ 3. ประกาศ สำนักงานสุขภาพแห่งชาติ เรื่องแนวทางปฏิบัติตามหนังสือแสดงเจตนารมณ์ฯ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ปฏิบัติตาม เช่น เมื่อแพทย์หรือพยาบาลได้รับหนังสือแสดงเจตนาฯ ของผู้ป่วยแล้วควรเก็บไว้ในเวชระเบียนเพื่อให้มีการส่งต่อความเข้าใจกับ แพทย์ที่มีการรับช่วงการรักษาต่อได้ทราบความประสงค์ของผู้ป่วย เป็นต้น ทั้งนี้เมื่อปฏิบัติตามหนังสือดังกล่าวแล้วไม่ถือว่าเป็นความผิด      ก่อนหน้านี้มีแพทย์ฟ้องร้องต่อศาลปกครองให้เพิกถอนกฎกระทรวงเพราะไม่มีการ รับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียอย่างทั่วถึง และสาระในกฎกระทรวงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ซึ่งพอสรุปได้ 2 ประเด็น คือ 1. หลักการให้แพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมปล่อยให้ผู้ป่วยต้องเสียชีวิตโดยไม่ทำการรักษาพยาบาลเลยถือเป็นการุณยฆาต 2. เป็นสร้างหลักเกณฑ์ขึ้นใหม่ให้ผู้ป่วยมีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์เหนือผู้ประกอบ วิชาชีพด้านสาธารณสุข ซึ่งศาลปกครองพิจารณาแล้วพบว่าก่อนออกกฎกระทรวงดังกล่าว สช.ได้จัดให้มีการรับฟังความเห็นมาแล้วในหลายเวที และเสนอกฎหมายตามขั้นตอน และเมื่อพิจารณาในสาระของกฎหมายพบมีกำหนดให้แพทย์ดูแลแบบประคับประคองอยู่ จึงไม่ถือเป็นการปล่อยให้ผู้ป่วยเสียชีวิต และไม่ใช่การุณยฆาต ส่วนการสร้างหลักเกณฑ์ให้ผู้ป่วยมีสิทธิเหนือแพทย์นั้น ตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้คนทุกคนมีสิทธิในสุขภาพร่างกายของตัวเอง จึงมีสิทธิปฏิเสธการรับการรักษา ดังนั้นจึงมีคำพิพากษาให้เดินหน้ากฎหมายดังกล่าวได้ และเป็นหน้าที่ของภาคประชาชนที่จะกระตุ้นให้สถานพยาบาลปฏิบัติตามหนังสือ แสดงเจตนา      “อย่างไรก็ตาม ไม่ได้บังคับให้ทุกคนต้องทำ แต่เป็นทางเลือกให้เลือกทำเพื่อความสบายใจของผู้ป่วย ญาติ และแพทย์ เมื่อทำหนังสือ ก็แสดงว่ามีความประสงค์ เมื่อมีการใช้สิทธิย่อมเกิดหน้าที่ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องเช่นแพทย์ เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพทำตามหนังสือเจตนาแล้วไม่ต้องรับผิด เป็นการสร้างความสบายใจให้กับผู้ปฏิบัติตาม” อ.นนทวัชร์ กล่าว     ศ.นพ.วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์ กรรมการกฤษฎีกาและที่ปรึกษากฎหมายอาวุโส ศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญกำหนดให้คนเรามีสิทธิในชีวิตและร่างกายและร่างกายของตัวเอง ซึ่งใครจะทำอะไรโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมไม่ได้ ดังนั้นผู้ป่วยจึงสิทธิปฏิเสธการรักษาที่ทำให้เกิดความทรมานได้ เช่น ไม่ขอใส่ท่อช่วยหายใจ ไม่เจาะคอ หรือขอใช้สิทธิในการอยู่กับบุคคลอันเป็นที่รักที่บ้านของตัวเองก็ได้ เป็นต้น แต่ที่ต้องมีการกำหนดไว้ในมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติก็เพื่อเป็นหลักของกฎหมายทางด้านการแพทย์ เนื่องจากที่ผ่านมาการกระทำสิ่งเหล่านี้ต้องไปอิงกับกฎหมายอาญา กฎหมายแพ่ง อีกทั้งยังมีการตีความที่แตกต่างกัน ยืนยันว่าหนังสือดังกล่าวไม่ใช่พินัยกรรมแต่อย่างใดหลายคนระบุว่าหนังสือดัง กล่าวเป็นพินัยกรรม หากพูดเช่นนั้นจะทำให้มีปัญหาได้ เพราะพินัยกรรมจะมีผลต่อเมื่อผู้ทำพินัยกรรมเสียชีวิตไปแล้ว      ขณะนี้ในส่วนของโรงเรียนแพทย์เองตอนนี้ก็เริ่มมีการเรียนการสอนการดูแลผู้ ป่วยแบบประคับประคองผู้ป่วยระยะสุดท้ายเพื่อลดการทรมานแล้ว แต่ในส่วนของประชาชนทั่วไปยังไม่ค่อยรู้จักกฎหมายดังกล่าวมากนัก หรือหากทราบแล้วก็ยังไม่ค่อยยอมรับกัน ครอบครัวไม่ยอมรับ โดยเฉพาะคนที่มีฐานะดีมักยื้อชีวิต สุดท้ายแล้วเสียค่าใช้จ่ายเยอะ โดยไม่สามารถยื้อชีวิตได้ ดังนั้นจะต้องมีการรณรงค์ให้ประชาชนทราบและเข้าใจเจตนารมณ์ของของกฎหมาย หากเป็นไปได้คนทุกคนก็ควรที่จะทำหนังสือแสดงเจตนาเอาไว้ที่สำคัญคือต้องหารือกับคนในครอบครัวเพื่อให้เกิดการยอมรับร่วมกัน ส่วนตัวผมก็เขียนเอาไว้เช่นกันในหนังสือ “ก่อนวันถัดไป” และกำลังจะทำขึ้นมาใหม่ โดยก่อนทำจะต้องมีการปรึกษากับครอบครัว ลูก และภรรยา เพื่อให้เป็นที่ยอมรับร่วมกันก่อนด้วย      รศ. พญ.นงลักษณ์ คณิตทรัพย์ คณะแพทยศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ได้กล่าวถึงการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายของชีวิตให้จากไปโดยไม่ทรมาน ว่า เมื่อผู้ป่วยเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของชีวิตจะมีลักษณะอาการที่แสดงออกมา เช่น เบื่ออาหาร รับประทานไม่ได้ หรือรับประทานได้น้อย ทำให้ญาติหรือผู้ดูแลค่อนข้างเป็นกังวลว่าผู้ป่วยจะได้รับความทรมาน หรือกังวลว่าร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เมื่อผู้ป่วยมีภาวะดังกล่าวร่างกายจะหลั่งสารคีโตนออกมา ซึ่งสารตัวนี้จะมีฤทธิ์คล้ายกับยาแก้ปวดทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบาย ผ่อนคลาย เช่นเดียวกับผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายจะมีภาวะของเสียในร่างกายคั่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นสิ่งไม่ดี แต่การที่ของเสียในร่างกายคั่งจะทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บปวด หรือกรณีที่ผู้ป่วยไม่ยอมดื่มน้ำทำให้ร่างกายขาดน้ำนั้นในแง่ดีแล้วร่างกาย จะหลั่งสารเอ็นโดฟินออกทำให้รู้สึกสบาย แต่ตรงนี้ญาติสามารถใช้ผ้าชุบน้ำ หรือให้จิบน้ำนิดหน่อยแต่ไม่ต้องคะยั้นคะยอ และหากมีเสมหะ ส่วนใหญ่จะให้ยาละลาย ถ้าจำเป็นต้องดูดก็ใช้เพียงลูกยางแดงเท่านั้น ถ้าดูดเสมหะมากออาจจะเลือดออกและทรมานได้     ดังนั้น ถ้าผู้ป่วยทำหนังสือแสดงเจตนารมณ์ไม่ขอรับการรักษาที่เป็นไปเพื่อยืดการตาย ในวาระสุดท้ายของชีวิตเอาไว้ ญาติก็ไม่ต้องกังวล เพราะแพทย์ยังให้การดูแลแบบประคับประคองอยู่แล้ว ส่วนอาการอ่อนเพลียที่พบนั้น ถือเป็นอาการปกติของผู้ป่วยที่อยู่ในวาระสุด ท้าย ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเป็นพิเศษ แค่ให้พักผ่อนอย่างเหมาะสม และช่วยดูแลเรื่องสภาพจิตใจ พูดคุย หรือเปิดเพลงที่ผู้ป่วยชอบ ไม่ต้องปลุกมาทานอาหารหรือดื่มน้ำ ร่างกายจะเสื่อมสภาพลง ประสาทสัมผัสจะลดลง เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งการไหลเวียนของเลือดต่างๆ จะลดลง อาจจะทำให้ผิวหนังมีจำๆ บ้าง บางคนมีอาการเพ้อ ส่งเสียงอืออา ซึ่งเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงทางสมอง แต่ไม่ใช่ความเจ็บปวด หรือมองเห็นบาปบุญคุณโทษ หรือคนที่จากไปแล้ว ตรงนี้ไม่ต้องกังวล แค่ให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนเยอะๆ และค่อยๆ จากไปอย่างสงบ     “การตายอย่างสงบแบ่งเป็น 3 ส่วน 1. ด้านร่างกาย ต้องไม่ได้รับการเจ็บปวด ทรมาน เช่น ถ้าเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายซึ่งผู้ป่วยย่อมมีอาการเจ็บปวด สามารถให้มอร์ฟีนได้ทุกช่วงที่มีอาการ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะไปกดการหายใจ 2. ด้านจิตใจ ต้องดูแลให้ผู้ป่วยรู้สึกสงบ มีความสุข เช่น ให้พยาบาลพูดคุย โน้มน้าวถึงความสุขในอดีต ปล่อยวางเรื่องที่ยังค้างคา และ 3. ด้าน สิ่งแวดล้อมที่คนไข้ต้องการคือสงบ มีคนที่รักและไว้ใจอยู่ใกล้ๆ หรือถ้าผู้ป่วยอยากกลับไปเสียชีวิตที่บ้านก็ให้กลับไปได้ แล้วจัดทีมแพทย์ไปเยี่ยมบ้านแทน” พญ.นงลักษณ์ กล่าว และว่า สำหรับกรณีที่ผู้ป่วยบางรายที่จะลุกขึ้นมาได้เหมือนอาการจะดีขึ้นแต่ก็เสีย ชีวิตในที่สุดนั้น เชื่อว่าเกิดจากพลังครั้งสุดท้ายของผู้ป่วยที่ต้องการจะสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย       พญ.ฉันทนา หมอกเจริญพงศ์ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า กฎหมายดังกล่าวออกมาแล้วทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีความสบายใจที่จะปฏิบัติตามความต้องการของผู้ป่วย และเมื่อทราบล่วงหน้าจะทำให้เกิดการวางแผนร่วมกันระหว่างผู้ป่วย ญาติ และแพทย์ในการดูแลวาระสุดท้ายของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบที่สุด รวมถึงการดูแลญาติไม่ให้เกิดความรู้สึกผิดหรือผลกระทบภายหลังจากดำเนินการ ตามหนังสือเจตนารมณ์ฯ ทั้งนี้ที่ผ่านเคยมีผู้ป่วยมะเร็งขอกลับไปเสียชีวิตที่บ้านตามประเพณีไทยทรงดำ แพทย์จะมีหน้าที่ออกหนังสือรับรองว่าเป็นการเสียชีวิตที่เป็นไปตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องมีการผ่าศพพิสูจน์สาเหตุอีก อย่างไรก็ตามจากการรวบรวมข้อมูลของสถาบันมะเร็งแห่งชาติพบว่ามีผู้ป่วยวาระ สุดท้ายของชีวิตทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ขอรับบริการสาธารณสุขฯ ไม่ถึง 1% ในขณะที่ข้อมูลในประเทศสหรัฐอเมริกามีการใช้สิทธิประมาณ 30 % ก็ยังถือว่าน้อยอยู่     ด้าน นางพรวรินทร์ นุตาวงศ์ พยาบาลวิชาชีพ จากวชิระพยาบาล กล่าวว่า การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายความยากอยู่ที่การสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารับญาติ ผู้ป่วย หรือกับแพทย์ โดยมีพยาบาลเป็นตัวประสาน โดยเฉพาะญาติที่ค่อนข้างมีการศึกษานั้นจะสื่อสารได้ยาก แม้จะมีหนังสือแสดงเจตนาฯ ดังนั้นพยาบาลจึงต้องมีเทคนิคในการสื่อสารที่ดี ส่วนการช่วยผู้ป่วยเพื่อให้มีความสุขในวาระสุดท้ายของชีวิต นอกจากดูแลประคับประคอง ให้ยาระงับปวดแล้ว การสื่อสาร การพูดถึงสิ่งที่ผู้ป่วยภูมิใจ มีความสุข การปฏิบัติตามคำขอของผู้ป่วย เช่นพาคนที่ผู้ป่วยอยากเจอให้มาเจอกัน รวมถึงการกอด ซึ่งจะต้องกอดนิ่งๆ แน่นๆ นานๆ ถ่ายทอดความรู้สึกจากใจถึงใจ แต่ไม่ควรตบบ่าเพราะเหมือนกับเป็นการแสดงออกว่าให้ผู้ป่วยทำใจ     นางวรรณา จารุสมบูรณ์ เครือข่ายพุทธิกาเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคม กล่าวว่า การดูแลจิตในวันสุดท้ายเพื่อให้ไปสู่ภพภูมิที่ดี หากผู้ป่วยในการฝึกปฏิบัติที่ดีก็อาจจะทราบดีว่าต้องทำอย่างไร แต่ถ้าผู้ป่วยไม่เคยฝึกปฏิบัติ ก็เป็นหน้าที่ของญาติที่ต้องช่วยเหลือ โดยเริ่มต้นจากการตั้งสติให้ดี เพราะผู้ป่วยบางรายมีอาการเจ็บปวดกระสับกระส่าย อาการเหล่านี้จะกระตุ้นให้ญาติตกใจ และเร่งให้การรักษาโดยลืมถึงเจตนารมณ์ของผู้ป่วยที่ไม่ขอรับการรักษาในวาระสุดท้ายของชีวิต บางคนเมื่อให้การรักษา ใส่ท่อช่วยหายใจแล้วกลับนึกถึงความต้องการของผู้ป่วยขึ้นมาก็เป็นเรื่องยากแล้ว ในการถอดเครื่องช่วยหายใจออกเช่นกัน  ดังนั้นในชั่วโมงสุดท้ายขอให้ตั้งหลักนิ่งๆ เมื่อรู้ว่าไม่สามารถรักษาโรคให้กลับมาเป็นปกติได้แล้ว  จะทำอย่างไรให้ไปสงบมากกว่า      สำหรับขั้นตอนดูแลชั่วโมงสุดท้ายของผู้ป่วยมีวิธีดังนี้คือ 1. ทำ ให้ทุกข์ทางกายผ่อนคลายลง ถ้าผู้ป่วยเจ็บปวดก็ให้มอร์ฟีนโดยไม่ต้องกังวลว่าจะเสพติด จากนั้นให้สังเกตอาการปวดลดลง และเริ่มนิ่งให้จัดท่านอนให้สบาย ดูอุณหภูมิให้เหมาะสมเพราะบางคนจะรู้สึกหนาว บางคนรู้สึกร้อนเหงื่อออกแสดงว่าธาตุไฟแตก ต้องใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้ และดูภาวะอื่นๆ ด้วย ทั้งนี้ธรรมชาติเตรียมขั้นตอนการตายของคนเราให้มีความสงบที่สุขอยู่แล้ว เช่น เมื่อกินไม่ได้ร่างกายก็จะหลั่งสารคีโตนออกมา แต่ที่ทรมานเพราะมีกระบวนการแทรกแซงจากกระบวนการทางการแพทย์ทั้งหลาย       2. การดูแลด้านจิตใจ ดูว่าผู้ป่วยพร้อมหรือไม่ หากไม่พร้อมจะช่วยอย่างไร เช่น ห่วงใคร ห่วงอะไร และช่วยดูแลสิ่งเหล่านี้ อย่าไปบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงเพราะเป็นเพียงการปลอบใจ แต่ต้องช่วยบรรเทาเขา บางคนอยากทำบางอย่างก่อนตายก็ช่วยให้บรรลุความตั้งใจ เช่น อยากสั่งเสีย อยากพบใครสักคน อยากถวายสังฆทาน เป็นต้น นอกจากให้ทำสิ่งที่ปรารถนาแล้วต้องดูว่ามีเรื่องค้างคาใจหรือไม่ เช่น เคยทำเรื่องไม่ดี เคยทะเลาะกับใคร ถ้าคนนั้นยังอยู่ก็พามาพบเพื่อจะได้ขอโทษ อโหสิกรรมกันได้ ที่สำคัญผู้ป่วยต้องให้อภัยตัวเองด้วย หรือให้ผู้ป่วยเขียนจดหมายส่งถึงคนที่ยังรู้สึกติดค้างใจ เป็นต้น      สุดท้ายคือเรื่องของจิตก่อนเสียชีวิตควรมีที่พึ่งที่ระลึกถึง หากผู้ป่วยเป็นคนอยู่ในศีล ในธรรม ก็ให้นึกถึงเรื่องบุญกุศล แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีโอกาสปฏิบัติธรรม ก็ขอให้ระลึกถึงความดีที่เคยทำมา ไม่ว่าจะเป็น การประกอบอาชีพสุจริต การทำความดี เป็นพ่อแม่ที่ดี ไม่เคยให้ร้ายใคร ช่วยเหลือเกื้อกูล หรือระลึกถึงสิ่งที่ภูมิใจ เช่น ส่งลูกเรียนจบปริญญาทุกคน เป็นต้น หรือหากผู้ดูแลไม่ทราบว่าผู้ป่วยได้ทำความดีมาแค่ไหน ก็สามารถพูดกลางๆ ได้ เช่น ให้ผู้ป่วยนึกถึงสิ่งดีๆ ที่เคยทำมา อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผู้ป่วยใกล้เสียชีวิตการรับรู้อ่อนลง สมองช้าลง ดังนั้นขอให้พูดคุยกับผู้ป่วยใกล้ๆ หู เช่น กล่าวอโหสิกรรม บอกรักให้พูดใกล้ๆ หู และพูดสั้นๆ ช้าๆ ชัดๆ อย่าพูดเร็ว เพราะจิตตามไม่ทัน     “หลายคนที่ทำแล้วได้ผลคือการนำจินตนาการ นำให้นึกถึงวันที่ดีๆ สถานที่ที่เคยไปแล้วเขาประทับใจ เป็นที่ยึดเหนี่ยว เป็นจิตวิญญาณของเขา โดยสรุปคือการดูแลให้สุขสบายในช่วงสุดท้าย แต่เรื่องไหนที่จัดการไม่ได้ก็ต้องปล่อยไป ถ้าใครที่ร้องไห้ฟูมฟายควรให้ออกไปข้างนอก เพราะอาจจะทำให้คนไข้ตายโดยไม่สงบ ดังนั้นหมู่ญาติต้องคุยกัน ว่าร่างกายคนไข้ส่งสัญญาณแล้ว จะต้องรวมพลังส่งให้ไปสบายที่สุด บอกรัก กอด หอมแก้ม ห้ามทะเลาะกัน อย่าพูดเรื่องไม่ดี อย่าทำให้บรรยากาศเศร้าหมอง ถึงเวลาแล้วมันจะสงบและงดงามมาก ถ้าเราปล่อยให้กระบวนการตายนั้นเป็นไปอย่างธรรมชาติ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักสังคมฯ ที่เข้าใจเรื่องวาระสุดท้าย ควรเตรียมญาติ และมีทางเลือกให้เขาจะได้ไม่เกิดรบกวนการยื้อชีวิต ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องใหม่ และจำเป็นที่ภาคประชาชนมีความรู้เรื่องนี้ จะฝากความหวังไว้ที่โรงพยาบาลอย่างเดียวไม่ได้”

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 100 100 สิ่งที่ไม่ต้องทำ (ก็ได้) ก่อนตาย

ฉลาดซื้อฉบับที่ 100 มองหาเรื่องอะไรที่เข้ากับสมาชิก มองไปมองมา 100 สิ่งที่ควรทำคนก็ทำไปแล้ว ฉลาดซื้อมองไม่ธรรมดาอยู่แล้วค่ะ เลยมองมุมกลับมาดู 100 เรื่องที่ไม่ต้องก่อนตายกันดูบ้าง 1. เชื่อหนังสือ 100 สิ่งที่ต้องทำก่อนตาย ผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย หรือการใช้ชีวิตที่กระตุ้นต่อมตื่นเต้นให้ทำงานอยู่เสมอๆ เริ่มหวั่นไหวต่อข้อความในหนังสือใหม่ๆ ที่ออกมาเร่งเร้าความอยากเที่ยวอยากรู้อยากเห็น ให้เราต้องดั้นด้นไปแสวงหาให้ครบถ้วน ...แต่ ถ้าบางอย่างที่ไม่คุ้มค่าน่าเที่ยวน่าทดลองล่ะ ท่านจะรู้ได้อย่างไร เช่น - (ฝันเฟื่องว่าจะ) พิชิตเขาเอเวอร์เรสให้ได้ไม่ต้องก็ได้ นอกจากเสียเงินมหาศาลอย่างไร้สาระแล้ว ถ้ามีชีวิตรอดกลับมา อาจจะมีเซลล์สมองน้อยลงไปอีกนะ นักวิจัยชาวอิตาลีพบว่า นักปีนเขามืออาชีพที่ไปเหยียบยอดเขาเอเวอร์เรสและเคทูมาแล้ว มีเซลล์สมองที่หดหายไปและมีปัญหากับความจำและความว่องไวของสมองเนื่องจากต้องไปอยู่ในพื้นที่ระดับสูงที่มีอากาศเบาบางไปเวลานาน แม้แต่นักกีฬาที่ไปแข่งบริเวณที่มี high altitude ก็มีโอกาสเสี่ยงต่ออาการทางสมองที่อาจถึงตายได้ - ดูวิวที่ตึกเปโตรนาสไม่ต้องไปเที่ยวตึกเปสโตรนาสที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ก็ได้ เพราะที่ตึกแฝดที่สูงอันดับสี่ของโลก(สูง 452 เมตร) นั้น เปิดให้ขึ้นไปแค่ชั้น 49 ตรงบริเวณสะพานเชื่อมที่เป็นกระจกทั้งสองด้านเท่านั้น เหตุที่ไม่ควรเสียเวลาไปที่นั่นเพราะคนที่จะไปดูวิวตึกที่สูงเป็นอันดับสี่ของโลก ก็ย่อมอยากไปอยู่บนยอดตึกแล้วมองลงมา แต่ไม่ใช่ไปดูแค่ชั้น 49 ซึ่งไม่ได้มีวิวอะไรที่น่าตื่นเต้น แถมต้องรอคิวอีกต่างหาก สาเหตุที่เจ้าของตึกไม่ยอมให้ขึ้นไปยอดตึก เป็นเพราะเรื่องความปลอดภัย เพราะตรงนั้นเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทน้ำมันเปโตรนาส 2. กินหอยเอสคาโก้ของฝรั่งเศสเวลาเข้าหน้าฝนทีไร เราจะเห็นญาติของหอยทากเอสคาโก้ของฝรั่งเศสออกมาเดินนวยนาดตามทางเดินสุมพุ่มไม้เต็มไปหมด ลูกเด็กเล็กแดงที่เป็นหอยทากจิ๋วก็ช่วยกันสร้างความลำบากใจให้แก่มนุษย์เป็นอย่างยิ่ง หลายคนเถียงว่า นี่มันสุดยอดอาหารฝรั่งเศสนะ ก็จริงอยู่ว่า อาหารฝรั่งเศสเป็นอาหารที่มีรสชาติเอร็ดอร่อยถูกปากคนทั้งโลก แต่ก็มีอย่างอื่นให้เลือกอีกมากมายที่ไม่ใช่หอยทาก เพราะรสชาติเอสคาโก้ก็ไม่ได้พิเศษกว่าอาหารจานอื่นๆ ที่ปรุงโดยพ่อครัวฝรั่งเศสเลย จานเอสคาโก้ราคาแพงแสนแพง แต่ทำใจยากมากที่จะรู้สึกว่ามันสุดยอดจริงๆ ก็หน้าตามันเหมือนๆ กับหอยทากที่เดินไปเดินมาอยู่ตามสวนที่เมืองไทยคิดยังไงก็รู้สึกอร่อยยากไปหน่อย 3.เที่ยวป่าอะเมซอนถ้ายังมีที่อยากไปเที่ยวอีกเยอะล่ะก็นะ ยังไม่ต้องไปท่องป่าอะเมซอนก็ได้ เพราะแม้การไปป่าเขตร้อนที่อะเมซอน ฟังดูดีมากๆ แต่พอไปจริงๆ ก็เหมือนกับป่าเขตร้อนชื้นแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่เรายังไปได้อย่างถูกๆ เช่นที่อินโดนีเซียหรือบอร์เนียว ป่าอะเมซอนแม้จะมีนกแก้ว (Amazon parrot) แต่ที่โรงแรมในป่าลึกนี่ก็ใช้วิธีคลิปปีกหรือผูกนกเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวดู เหมือนกับเวลาเราไปสวนสนุกหรือสวนสัตว์ในเมืองไทยเช่นกัน ส่วนกิจกรรมการตกปลาปิรันย่า ก็ยากมากที่เราจะได้แม้แต่ตัวเดียว แถมเวลาไปตามหมู่บ้าน เราก็จะพบว่าชาวบ้านก็อยู่เหมือนชาวบ้านเมืองไทย คือแต่งตัวปกติ มีความสะดวกครบครัน แล้วยังทำสวนยางแบบเดียวกับเมืองไทยอีกต่างหาก อันที่จริง อเมริกาใต้ คือต้นตำหรับของการทำสวนยางนั่นเอง 4.กินเป็ดปักกิ่งในปักกิ่งการกินเป็ดปักกิ่งนั้น ขอย้ำว่ากินในเมืองไทยอร่อยที่สุดแล้ว เพราะที่อื่นไม่มีใครทำรสชาติซอสเป็นได้ถูกปากคนไทยเท่ากับร้านอาหารจีนในเมืองไทย ส่วนที่ปักกิ่งนั้น ทำให้นักรับประทานชาวไทยอาจต้องผิดหวังไปตามกันเพราะน้ำซอสเค็มมาก หนังเป็นก็แล่ไม่บางเท่าเมืองไทย แถมมีเนื้อติดมาเยอะแยะอีก อุดหนุนคนไทยดีกว่า 5.กินตับห่าน fois grasอาหารจานเด็ดจานนี้ เขาเอาตับห่านไปทอดพอสุกแล้วปรุงด้วยซอส เวลามาเสิร์ฟ ผู้กินก็จะได้ลิ้มรสชาติตับห่านทั้งชิ้นที่นุ่มลิ้น ละลายในปาก เรื่องความอร่อยน่ะไม่ต้องพูดถึง มีอยู่เรื่องเดียวที่คนกินควรทราบไว้ ก็คือว่า ในระหว่างที่ห่านถูกเลี้ยงให้สร้างตับที่หวานอร่อย นุ่มลิ้นนั้น มันต้องถูกจับกรอกอาหารตลอดเวลา แล้วไม่ได้รับอนุญาตให้ขยับเขยื้อนจนกว่าจะถูกพาไปขึ้นเขียง เอาตับมาให้พวกเรากิน 6.ขึ้นไปบนยอดหอไอเฟิล เมืองปารีส เป็นเมืองสวรรค์ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เพราะนอกจากชื่อเสียงในด้านความโรแมนติกแล้ว ยังเป็นเมืองที่มีความสวยงาม น่าเดินน่าเที่ยวไปหมด ไม่ว่าจะเดินเล่นริมแม่น้ำแซน ไปโปสถ์นอร์ทเทอร์ดัม ไปพิพิธภัณท์ลูฟ สำหรับหอไอเฟิลนั้นจะสวยที่สุด เมื่อเราเงยหน้ามองจากพื้นถนน เพราะหอนี้เป็นสัญลักษณ์ของเมืองปารีสที่ชวนหลงใหล แต่…อย่าพลั้งเผลอไปต่อแถวขึ้นไปดูให้เสียเวลาไปเที่ยวที่อื่นเลย เพราะขึ้นไปแล้วก็ไม่ได้มีอะไรให้ดูเท่าไรนัก7.สะสมแสตมป์สมัยเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ในยุคก่อนเมื่อคำว่าคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ เป็นความคิดที่ไกลพอๆ กับการเดินทางไปดวงจันทร์ เด็กๆ ทุกครอบครัวจะถูกสอนให้มีงานอดิเรกเช่น สะสมแสตมป์เพื่อใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ แต่สมัยนี้อาจไม่จำเป็นแล้ว 8.เที่ยวแหลมกู๊ดโฮปใครที่ได้เดินทางไปอัฟริกาใต้ ย่อมได้รับมนต์เสน่ห์แห่งความงามที่ชวนหลงใหลของธรรมชาติที่นั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมชาติที่งดงาม ภูเขา ดอกไม้ สัตว์ป่า ทะเล แต่จุดท่องเที่ยวที่ฟังแล้วยิ่งใหญ่อย่างแหลมกู๊ดโฮป ที่มีชื่อเสียงมากในอดีต เพราะเป็นจุดการเดินทางที่อันตรายมากหากจะล่องเรือจากยุโรปไปเอเชีย แต่ครั้นพอได้ไปเที่ยวชมจุดนั้นจริงๆ สิ่งที่พบก็คือแนวหินระเกะระกะที่ยื่นไปในทะเลแค่นั้น ซึ่งไม่มีความงามหรือความยิ่งใหญ่อย่างที่คาดหวังแต่อย่างใด ไปเที่ยวจุดอื่นในประเทศนี้คงจะน่าสนใจกว่า 9.ใช้สบู่ผสมยาฆ่าเชื้อโรค อย่าดีกว่า ยังไงสบู่ทั่วไปก็ใช้ทำความสะอาดได้เหมือนกัน ลดปริมาณแบคทีเรียไปได้มากอยู่แล้ว การใช้สบู่ฆ่าเชื้อนั้น มันอาจจะไปฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์โดยธรรมชาติออกไปด้วย การกำจัดไปหมด อาจยิ่งทำให้ส่งผลไม่ดีมากกว่า งานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้สรุปว่า แม้สบู่ผสมยาฆ่าเชื้อจะกำจัดเชื้อแบคทีเรียได้จริง แต่ก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคดีไปกว่าสบู่ธรรมดาแต่อย่างใด สบู่ธรรมดาก็สามารถกำจัดเชื้อโรคและเชื้อไวรัสต่างๆ รวมถึงไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ได้เช่นกัน 10.ใช้น้ำยาบ้วนปาก เช่นเดียวกับสบู่ผสมยาฆ่าเชื้อโรค น้ำยาบ้วนปากจะทำให้แบคทีเรียตัวดีโดนฆ่าไปด้วยนะอย่าลืม การให้เวลาแปรงฟันอย่างพอเพียง (นาน 2 นาที) อย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละสองครั้ง และใช้ไหมขัดฟันขจัดเศษอาหาร บวกกับการป้วนปากหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง และหมั่นไปหาทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันทุก 6 เดือน ถือว่าเพียงพอที่จะขจัดของเสียในปากที่จะทำให้เกิดกลิ่นปากได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาป้วนปากอีก11.ดื่มน้ำแร่ถ้าจะดื่มน้ำแร่เพื่อเติมแร่ธาตุที่ร่างกายขาดไป คุณจะต้องดื่มน้ำแร่เป็นปริมาณมากๆ ต่อวัน ซึ่งอาจไม่จำเป็น เพราะแร่ธาตุที่มีในน้ำแร่นั้นมีอยู่ในอาหารที่เรารับประทานอยู่ทุกวัน ถ้ามีแร่ธาตุเกินจำเป็นในร่างกายมันจะถูกขับออกมาเป็นปัสสาวะ แทนที่จะไปซื้อน้ำแร่ที่มีราคาแพงและมีแร่ธาตุไม่เท่าไหร่ (น้ำแร่สำหรับบริโภคไม่สามารถจำกัดแร่ธาตุที่ผสมอยู่ในน้ำได้ เพราะแหล่งน้ำแต่ละแหล่งให้แร่ธาตุที่ต่างกันไปตามสภาพทางธรณีวิทยา) ควรไปซื้อผักและผลไม้สดมารับประทานดีกว่า 12.ใช้แชมพูผสมครีมนวดผม ถ้าคาดว่าสระแล้วนวดพร้อมกันไปเลยจะดี ก็ต้องบอกว่าอาจจะไม่ได้ผลทั้งคู่ การสระผมคือการทำความสะอาดผมซึ่งแชมพูอย่างเดียวจะทำได้มีประสิทธิภาพมากกว่า การที่เอาครีมนวดผมมาผสมในแชมพูนั้น ทำให้เสียประโยชน์ทั้งสองส่วน เพราะครีมผมนวดช่วยให้ผมมันขึ้นลื่นขึ้นด้วยส่วนผสมของไขมัน 13.แชมพูผสมวิตามิน อย่าหลงไปกับคำโฆษณา อยากได้วิตามินก็ต้องกินอาหารที่มีวิตามิน เพราะวิตามินในแชมพูไม่สามารถซึมซาบเข้าไปในเส้นผมได้ แต่จะถูกชะล้างออกไปโดยไม่เกิดประโยชน์อันใดทั้งสิ้น 14.ใช้ครีมทาหน้าขาว ไม่มีครีมที่ทำให้เราหน้าขาวกว่าผิวที่แท้จริงของเราได้ ถ้าอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้คนหน้าขาวกว่าผิวจริงได้ สิ่งนั้นก็ต้องมีส่วนผสมของสารอันตรายที่สามารถฟอกผิวเหมือนการฟอกกระดาษหรือผ้า ให้ขาว ก็ลองนึกภาพดู คุณอาจจะคิดใหม่ก็ได้ อยากให้หน้าขาวขึ้น ก็แค่ทาครีมกันแดด และคอยหลบแดดหน่อยก็จะขาวขึ้นได้อยู่แล้ว 15.น้ำที่ผสมวิตามินซี บางทีนะอาจจะได้สารกันเสียแถมมาด้วย วิตามินซี ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคก็จริง แต่หากมารวมกับสารกันเสีย อาจกลายเป็นสารก่อมะเร็งได้ อีกอย่างวิตามินซี สลายตัวได้ง่ายมากๆ ไม่แน่ว่าน้ำผสมวิตามินซีนั้น อาจไม่เหลือคุณค่าวิตามินซีอยู่แล้วก็ได้ 16.ดื่มน้ำลูกพรุนก่อนนอนอย่าไปเชื่อโฆษณา กินองุ่นคุ้มกว่าเยอะ น้ำลูกพรุนที่โฆษณาว่าเพิ่มวิตามิน ทำให้ไม่ท้องผูกนั้นมีราคาแพงเกินไปเพราะต้นทุนมีทั้งค่าโฆษณาและค่าขวดและหีบห่อ การกินองุ่นสด หรือกินลูกพรุนแห้ง ก็ได้ผลเท่าๆ กันแต่ประหยัดเงินได้มากกว่า 17.กินรังนก ในการวิเคราะห์จากห้องทดลอง รังนกที่เป็นส่วนของน้ำลายนกนั้น มีคุณค่าอาหารเพียงน้อยนิด หากเทียบกับราคาแล้วแทบจะเรียกได้ว่าไม่คุ้มค่า เพราะราคานั้นส่วนมากตกไปอยู่กับงบโฆษณาเป็นส่วนใหญ่ 18. กินอาหารแช่แข็ง อย่าลืมว่าอาหารแช่แข็งนั้น มันดูน่าอร่อยแต่ในภาพโฆษณาเท่านั้น ของจริงน่ะรสชาติเทียบไม่ติดกับอาหารที่ทำสุกใหม่ที่ขายอยู่ทั่วไป แถมยังถูกกว่าที่โฆษณาเสียอีก ไม่ต้องเห่อตามโฆษณาก็ได้ ก็รู้อยู่แล้วว่าเขาชวนเชื่อ 19. เข้าฟิตเนสราคาแพง จ่ายเงินแล้วค่อยได้เหงื่อนั้น ไม่มีความจำเป็นเลย การออกกำลังกายเพื่อความแข็งแรงหรือการลดน้ำหนักล้วนทำได้ตามที่สวนสาธารณะอยู่แล้ว ถ้าจะออกกำลังกายจริง ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ก็ได้ 20. กินบุฟเฟ่ต์ ก่อนไปลองกินบุฟเฟ่ต์ คิดดูใหม่ว่า คุ้มหรือไม่คุ้ม อย่างแรกคุณต้องจ่ายเงินมากกว่าอาหารมื้อธรรมดาๆ กว่า 2-10 เท่าของราคาอาหารมื้อปรกติ ยิ่งบุฟเฟ่ต์ราคาแพงก็ยิ่งไม่คุ้ม เพราะไม่ว่าอาหารมีมากแค่ไหน เราก็กินไม่ได้มากกว่าที่เคยกินโดยปรกติแค่หนึ่งหรือสองเท่า และเป็นโอกาสที่ทำให้เรารับประทานสิ่งที่เป็นอันตรายได้มากกว่าปรกติเช่นกัน ไม่ว่าไขมัน แป้งและน้ำตาล แล้วลองคิดถึงของเหลือทิ้งอีกล่ะ อาหารบุฟเฟ่ต์เป็นแหล่งที่มีของเหลือทิ้งทำลายสิ่งแวดล้อมได้มากที่สุด 21.ฝันลูกเป็นเด็กอัจฉริยะเด็กสมัยนี้น่าสงสาร เกิดมาพ่อแม่ก็มีความคาดหวังให้เก่งอะไรสักอย่าง ก็เลยมีการผลักดัน จับไปเรียนโน่นฝึกนี่ เอาไปประกวดนั่นนี่ หวังว่าลูกตัวเองจะเป็น “เด็กอัจฉริยะ” จนเด็กไม่มีเวลาเล่นซนตามวัย มีความเครียดกันตั้งแต่ยังเล็กๆ การเล่นและอารมณ์ที่แจ่มใสจะทำให้เด็กเกิดพัฒนาได้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นควรจะเน้นที่ความต้องการของเด็กมากกว่าความต้องการของพ่อแม่ 22.ใช้โหมดสแตนบายในเครื่องใช้ไฟฟ้าคนสมัยนี้ลืมไปว่าเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เอง เรามีเครื่องใช้ไฟฟ้าสักเครื่องสองเครื่องในบ้านก็รุมกันใช้ ไม่ว่ามันจะใหญ่เทอะทะแค่ไหน ฟังก์ชั่นอะไรก็แทบจะไม่มี เดี๋ยวนี้เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งดีทั้งถูก ประสิทธิภาพเต็มเพียบ แต่ที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพคือผู้คน ที่ไม่ยอมแม้กระทั่งเดินไปเปิดหรือปิดเครื่องไฟฟ้า ล้วนแต่ใช้ รีโมตเปิดปิดแทน ซึ่งทำให้สิ้นเปลืองพลังงานไฟ เพราะเครื่องต้องเปิดระบบสแตนบายไว้ ครั้งต่อไปลองเดินไปเปิดปิดเสียหน่อย อาจทำให้ประหยัดสตางค์ไปได้หลายเหมือนกันนะ 23. ดูหนังต้นโปรแกรม (ก่อนใครๆ)แย่งกันไปดูตอนนั้นทำไม ชีวิตไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้ ค่อยดูอีกอาทิตย์ถัดมา ก็ไม่ทำให้เสียหายอะไรกับคอหนังหรอก 24. สะสมหนังสือธรรมะหลายคนชอบงานสะสมหนังสือธรรมะ มีกันเต็มตู้เต็มบ้าน แต่ไม่ค่อยมีเวลาไปปฏิบัติธรรม หรือแม้แต่ใช้ธรรมะในชีวิตประจำวัน ซื้อมาก็อ่านซะ แล้วไปปฏิบัติจริงดีกว่าสะสมไว้เฉยๆ ในตู้นะ25. ทุ่มทำบุญในหลักพุทธศาสนานั้น การได้บุญที่ต้องใช้เงินมีอย่างเดียวคือการให้ทาน นอกนั้นเป็นเรื่องที่เกิดจากการปฏิบัติเช่น การให้ธรรมะ การฝึกสมาธิวิปัสสนา การแบ่งบันให้คนรอบข้างที่มีความทุกข์ อาจจะดีกว่าการทุ่มทำบุญกับวัตถุเช่นสร้างโบสถ์สร้างวิหารก็ได้ 26. แต่งชุดหนังหรือใส่เสื้อสองชั้นเมืองไทยร้อนจะตาย ใส่เสื้อสองสามชั้น แถมมีผ้าพันคออีก ร้อนแบบไทยๆ คงไม่ต้องการ 27. ไปเมืองปายพร้อมกันวันปีใหม่ปายกลายเป็นจุดศูนย์รวมของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและฝรั่งในช่วงปีใหม่ แต่มันจะสวยได้อย่างไรถ้าทุกคนแห่กันไปพร้อมๆ กัน และธรรมชาติที่สวยงามก็จะต้องถูกย่ำยีไปในช่วงไม่กี่วัน ที่คนไปกินไปเที่ยว ไปทิ้งขยะพร้อมๆ กันที่นั่น 28. ให้ลูกเรียนพิเศษเพื่อสอบเข้า ป.1 ต้องเตือนคุณแม่ทั้งหลายว่า ป.1 ไม่ใช่ ป.ตรี ยังไม่ต้องกดดันเด็ก ให้เด็กมีพัฒนาการ มีความสุขตามวัยเด็กอย่างที่เขาควรจะเป็น เด็กหลายคนเรียนไม่เก่งแต่พอโตเมื่อถึงเวลาที่พร้อม เขาก็จะกลายเป็นเด็กเรียนเก่งได้ และในชั้นประถมควรให้เรียนในโรงเรียนที่เน้นพัฒนาการวัยเด็กมากกว่าเน้นตำราเรียน 29. ต้องมี Hi 5 ,face book, you tubeไม่ต้องมีก็ได้ ติดต่อกับผู้คนในโลกแห่งความจริงให้ได้ ชีวิตก็เป็นสุขได้เช่นกัน 30. รอชายในฝันเพื่อแต่งงานและมีลูก เดี๋ยวนี้ครอบครัวสมบูรณ์แบบมักจะอยู่ในฝันเท่านั้น เพราะความจำเป็นทางเศรษฐกิจทำให้พ่อแม่ต้องวิ่งหาเงินมาเลี้ยงลูก ส่วนลูกเมื่อโตขึ้นก็มีแต่เงินแต่ขาดรัก ดังนั้นการมีครอบครัวอาจไม่ใช่เป้าหมายอีกต่อไป แถมมีข้อวิจัยได้ชี้ชัดว่า ผู้หญิงที่ต้องทำงานปากกัดตีนถีบ (ไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งไหน) และเลี้ยงลูกในเวลาเดียวกันจะมีสิทธิจะมีอาการซึมเศร้าและมีแนวโน้มฆ่าตัวตายมากกว่าหญิงโสดที่ไม่มีภาระ 31. อายถ้าต้องไปหาจิตแพทย์ การป่วยทางอารมณ์ เครียด ซึมเศร้า ไม่ได้หมายความว่าคนเราเสียสติ แต่อาจจะเกิดจากสังคมที่มีแรงกดดันสูง หรือการขาดฮอร์โมนในสมอง ที่เดี๋ยวนี้มียาดีๆ กินแล้วก็หาย หากรู้สึกว่าต้องการความช่วยเหลือก็รีบไปหาแพทย์ได้ ไม่เสียหน้าอะไร 32. ต้องนอนมากๆ พวกที่นอนมากๆ มักเชื่อว่าตัวเองสุขภาพดีกว่าพวกนอนไม่หลับหรือนอนไม่พอ แต่เพราะนอนมากเกินไปอาจกลายเป็นปัญหาได้ นอนมากจะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพอย่างแรกคือ จะรู้สึกว่านอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ และเป็นปัญหาในเรื่องการควบคุมเครื่องจักรหรือการขับรถที่ต้องการความว่องไวคล่องแคล่ว ดังนั้นอย่ายืดเยื้อบนที่นอน เมื่อถึงเวลาตื่นก็ต้องพร้อมจะลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง 33. ซื้อครีมกันแดดยี่ห้อแพงของแพงไม่ได้แปลว่าดีกว่าของถูกเสมอไป ครีมกันแดดโดยพื้นฐานมีองค์ประกอบที่ไม่ต่างกัน แต่ของแพงนั้นนอกจากที่เราจะต้องจ่ายเงินมากกว่าแล้ว เรามักจะคิดว่าของดีใช้เล็กน้อยก็พอ แต่หมอผิวหนังยืนยันว่า ถ้าทาครีมกันแดดให้หนาๆ ถึงของถูกก็มีประสิทธิภาพมากกว่าทาของแพงเพียงบางๆ 34. ทำผมแบบดาราที่เราชื่นชอบ ถ้าเห็นดาราที่เราชอบสุดๆ กับทรงผมแหล่มมาก อย่ารีบตัดรูปดาราคนนี้แล้ววิ่งเข้าร้านทำผมให้ตัดผมของเราแบบดารา ต้องคิดเสมอว่าทรงผมต้องเข้ากับรูปหน้า ตา หู จมูกของท่านด้วย มันจึงเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งที่ท่านจะตัดผมทรงเดียวกับดารา ถ้าท่านไม่ได้มีรูปทรงใบหน้าที่คล้ายคลึงกัน หาทรงผมที่เข้ากับหน้าท่าน อาจจะทำให้ท่านดูเด่นกว่า เป็นดาราในหมู่เพื่อนก็ได้ 35. ซื้อรถยนต์แพงๆ วิ่งเร็วๆ มาวิ่งในกรุงเทพฯ ดูราคาน้ำมันที่วิ่งขึ้นเอาขึ้นเอา ท่านจะเอารถแพงๆ ที่เอามาจอดกลางถนนเพราะรถติดให้ซดน้ำมันเล่นไปทำไม อีกประการถนนในกรุงเทพฯ ก็ไม่เหมาะกับวิ่งเร็วๆ อยู่แล้วนะจ๊ะ 36. กินแครอทเพื่อจะได้เบต้าแคโรทีนเยอะๆ แม้มีความเชื่อว่าเบต้าแคโรทีนในแครอทช่วยทำให้สายตาดีขึ้น แต่ถ้ารับประทานมากไปก็อาจจะก่อให้เกิดอาการวิตามินเอเป็นพิษได้ รวมทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทเบต้าแคโรทีนด้วย กินมากไปแทนที่จะช่วยป้องกันมะเร็งกลับกลายเป็นสารก่อมะเร็งเสียเอง 37. ไปเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงเทศกาล ในวันสงกรานต์ วันปีใหม่ วันตรุษจีน มีคนจำนวนมากหยุดงาน หยุดกิจการ หรือลาพัก (ลูกจ้างร้านอาหาร หรือโรงแรม) พวกที่ออกไปกิน-เที่ยวในช่วงนี้จึงต้องแย่งกันกิน แย่งกันนอนตามสถานที่ท่องเที่ยว ที่มักจะสร้างความเครียดและความหงุดหงิดที่เกิดจากการแย่งกันกินแย่งกันนอน มิหนำซ้ำ เวลาไปสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมบางแห่ง ท่านจะไม่เห็นอะไรเลยนอกจากฝูงชน ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าท่องเที่ยวได้อย่างไร 38. เห่อสินค้าที่ใส่น้ำหอม เดี๋ยวนี้สินค้าตั้งแต่ครีมทาผิวไปจนถึงผงซักฟอก น้ำยาล้างห้องน้ำ ครีมโกนหนวด ล้วนแต่ใส่ส่วนประกอบที่เป็นน้ำหอมที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติ ส่วนประกอบหลายๆ อย่างมีความเป็นพิษต่อร่างกาย น้ำหอมบางทีก็ทำให้เราหลงลืมความเป็นพิษของผลิตภัณฑ์อันตรายบางอย่างที่เราใช้อยู่ เช่น ยาฆ่ายุง น้ำยาล้างห้องน้ำ เป็นต้น 39. จาริกแสวงบุญ พระอริยะสงฆ์จำนวนมากสามารถบรรลุธรรมได้ทั้งที่ไม่เคยไปจาริกแสวงบุญที่อินเดีย หากปัจจัยทางเศรษฐกิจไม่พอเพียง ก็ไม่จำเป็นต้องไปแสวงบุญที่อินเดีย แต่ให้ฝึกปฏิบัติทางธรรม ซึ่งสามารถบรรลุได้โดยไม่ต้องใช้เงินแม้แต่น้อย 40. กระโดดบันจี้จั๊ม หรือทำอะไรที่เสี่ยงตายเพื่อความเท่ หากยืนอยู่ข้างหน้าเครื่องกระโดดบันจี้จั๊ม อย่ายอมทำเพียงเพราะเพื่อนๆ ยุ หรือท้าหากเราไม่พร้อม เครื่องเล่นสมัยใหม่ของตะวันตกที่ทำกันออกมาเพียงเพราะเขาเชื่อว่า การท้าทายกับความกลัวถึงที่สุด และจะมีเครื่องแบบนี้ออกมาเรื่อยๆ เชื่อเถอะว่ามันไม่พิสูจน์ความเก่งหรือกล้าของใครเลย 41. ใช้บัตรเครดิตหลายใบที่มีกันอยู่หลายๆ ใบน่ะ ลองคิดใหม่ซิว่าถ้าไม่มีเลย ชีวิตจะเป็นอย่างไร – ไม่ต้องเอาเงินอนาคตมาใช้ก่อน ไม่ต้องโดนกิเลสยั่วให้ซึ้อของทั้งๆ ที่ไม่มีเงิน ไม่ต้องโดนหลอกว่ายิ่งใช้มากยิ่งดีได้โน่นได้นี่ แต่ลืมไปว่าถ้าผิดนัดจ่ายเงินก็ดอกเบี้ยอาน หลายคนมีชีวิตที่บัดซบต้องหมดตัว โดนฟัอง โดนยึดบ้านยึดรถ หมดเนื้อหมดตัว ก็เพียงเพราะมีบัตรเครดิตใบเล็กๆ นี่แหละ 42. ทำศัลยกรรม ไม่ว่าเพื่อนจะพูดอะไร หมอจะบอกอย่างไร ต้องจำไว้หนึ่งอย่างว่าการทำศัลยกรรมตกแต่งหรือเสริมความงามทั้งหลาย ล้วนมีความเสี่ยง แปลว่าทำออกมาแล้วกลายเป็นคนขี้เหร่ไปกว่าเดิมหรือจากสาวการเป็นแก่ไปเลยก็ได้ หรือทำแล้วไม่ดี ต้องแก้แล้วแก้อีก อย่างที่เป็นคดีความตามหน้าหนังสือพิมพ์ คนที่คิดจะทำศัลยกรรมมักคิดแง่เดียวว่าจะต้องดี ที่หนักกว่านั้นก็คือว่า คุณรู้หรือไม่ว่าหมอศัลยกรรมความงามหลายคนไม่ได้เรียนจบมาทางศัลยกรรมความงาม แต่ฝึกเอาเองเนื่องจากงานนี้รายได้ดี มีคนพร้อมทุ่มหมดตัว ขอให้สวยเท่านั้น 43. รับประทาน(ยา) วิตามิน อี หรือ ซี เพื่อป้องกันมะเร็งอย่าดีกว่า เสียสตางค์ฟรี เพราะในการทดสอบที่สหรัฐอเมริกาที่ทำกับหมอ 15,000 คนที่รับประทานวิตามิน อี และ ซี มาสิบปี ปรากฏว่าไม่มีผลที่แสดงว่าวิตามินเหล่านี้ช่วยลดอัตราการเป็นมะเร็ง ในทางกลับกัน การรับประทานวิตามินมากเกินไปอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคได้ 44. ซื้อเครื่องสำอางที่เขียนว่าผ่านการทดสอบจากห้องทดลองแล้ว ไม่มีอะไรขายง่ายเท่าผลิตภัณฑ์ความงาม ดูตามซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านขายยาสมัยนี้ เครื่องสำอางได้แทรกเข้ามาขายง่ายๆ เหมือนขายนมกระป๋อง หรือยาธาตุน้ำแดง ขอเพียงแต่มีคนเชียร์แขก มีคำโฆษณาฝันหวานและคำรับประกันที่หาคนพิสูจน์ไม่ได้ว่าจริง เช่นเครื่องสำอางนี้ผ่านการทดสอบวิจัยจากห้องแลปทดลองที่ประเทศ ...อะไรก็ได้ที่ฟังแล้วดูดี ก็จะขายได้ทันที แต่ท้ายที่สุดสิ่งที่อ้างมามักจะเป็นแค่มุขใหม่ของการตลาดเท่านั้นเอง 45. กินอาหารเสริมก็เราจ่ายเงินซื้ออาหารรับประทานวันละ 3 มื้ออยู่แล้ว เราไม่มีความจำเป็นจะต้องจ่ายเงินซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (อาหารเสริม) ที่ไม่ได้มีอะไรมากกว่าอาหารที่เรารับประทานปรกติ อาหารเสริมนอกจากแพงแล้ว ยังไม่มีประโยชน์ สู้จ่ายเงินซื้อผัก ผลไม้ดีๆ มารับประทานพร้อมๆ มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอดีกว่า 46. มีนาฬิกาแพงๆนาฬิกาแพงๆ นั้น เป็นค่านิยมที่คนขายพยายามทำให้คนทั้งโลกเชื่อว่าเขาจะเป็นคนพิเศษทันทีด้วยนาฬิการุ่นนี้ แต่การเป็นคนพิเศษไม่ควรตัดสินด้วยนาฬิกา (อย่างที่คนเชื่อกัน) อย่าลืมว่าไอ้ราคา 199 กับ 19,999 ก็ดูเวลาได้เหมือนกัน 47. ซื้อหนังสือยอดนิยมทุกเล่มหนังสือยอดนิยมทุกเล่มแปลว่าแต่ละเล่มมีคนจำนวนมากซื้ออ่าน แต่อย่าลืมว่าคนแต่ละกลุ่มจะเลือกซื้อหนังสือที่เหมาะกับตัวเอง หรืออ่านแล้วสนุก แปลว่าเราไม่ต้องมีหนังสือยอดนิยมทุกเล่มหรอก หาหนังสือที่ตัวเองชอบ แม้ไม่ได้เป็นหนังสือยอดนิยมก็ตาม 48. ซื้ออาหารฟาสต์ฟู้ดเอาของแถมต้องยอมรับว่านักการตลาดต่างประเทศมีมุขล่อผู้บริโภคอย่างชาญฉลาด มีหลายครั้งที่เขาปั่นยอดขายอาหารฟาสต์ฟู้ด โดยเอาของกระจุกกระจิกมาแถม โดยที่ในแต่ละชุดจะมีแบบออกใหม่ทุกอาทิตย์ ทำให้คนสะสมต้องกลับมากินทุกอาทิตย์ แล้วของเหล่านั้นท้ายที่สุดก็มาเก็บไว้ก็รกบ้าน กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าเป็นเหยื่อนักการตลาดอีกแล้วอาจจะติดรสชาติอาหารฟาสต์ฟู้ดที่ไม่มีคุณค่าอาหารไปเรียบร้อยแล้ว 49. กินแบรนด์หรือซอยเปปไทด์ก่อนสอบ ไม่ต้องกินของเหล่านี้ก็ได้ หากขยันและมีการเตรียมตัวที่ดีก็สอบได้แน่นอน ของพวกนี้ทำมาเพื่อการขายน่ะ ราคามันแพงและไม่มีการันตีว่าจะสอบได้จริงหรอก 50. ไม่ต้องผอมเหมือนนางแบบ ถ้าอาชีพคุณไม่ใช่นางแบบ มันก็ไม่มีเหตุผลที่คุณจะต้องอดอาหาร ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ นางแบบมีลูกยากเพราะร่างกายจะขาดสารอาหารตั้งแต่อายุน้อยๆ แล้วหากคุณมีโอกาสไปพูดคุยกับนางแบบบางคนเขาจะสารภาพว่าเขาทรมานแค่ไหนที่ต้องอดอาหารอร่อยๆ เพียงเพราะว่าเขาต้องรักษาอาชีพนี้ไว้ด้วยรูปร่างที่ผอมเพียว 51. กินขนมเค้กวันเกิดมีอย่างอื่นที่ประหยัดและถูกกว่า มีข้อคิดอีกอย่างเรื่องวันเกิดว่าแทนที่เราจะไปฉลองการเกิดตัวเอง เราควรพาคุณพ่อคุณแม่ไปเลี้ยงขอบคุณที่ให้ชีวิตและเลี้ยงดูเราแทน 52. เจิมรถ ถ้าคนขับรถขับด้วยความประมาท หรือขับไปคุยโทรศัพท์ไป หรือขับรถเร็วเกินพิกัด การเจิมรถก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ 53. ซื้อหวยเคยรู้จักใครที่ซื้อหวยเป็นประจำแล้วรวยได้บ้าง ส่วนมากจะถูกเล็กๆ น้อยๆ แต่กลับกลายเป็นคนติดการซื้อหวยจนใกล้กับการติดพนัน แต่แม้กระทั่งคนที่ถูกหวยที่หนึ่ง มักจะกลายเป็นคนไม่มีเงินเหลือหรือก็เป็นคนไม่มีความสุข อย่างคนที่คนถูกหวยที่อเมริกาได้เงินหลายสิบล้านดอลล่าร์ ท้ายสุดกลายเป็นคนไม่มีเพื่อน (เพราะทุกคนเข้ามาขอเงิน) และไม่มีความสุข (เพราะไปไหนคนก็ขอเงิน) 54. เป็นหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล ความสามารถของพวกนายทุนหนึ้คือการทำให้การเป็นหนี้กลายเป็นสิ่งที่ดูดีในสังคมสมัยใหม่ เพราะมาในรูปแบบ บัตรเงินสดที่ดูทันสมัย เก๋ไก๋ หรือบัตรเครดิต บัตรสมาชิก ล้วนแล้วแต่ชักชวนให้คนมาเป็นหนี้ ทำให้เอาเงินออกมาใช้ให้ง่ายที่สุด กว่าจะรู้ตัว เราก็กลายเป็นหนี้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด 55. เล่นหุ้นการเล่นหุ้นเคยเป็นความมั่นคงในชีวิตสำหรับหลายคนที่คิดว่าจะเอาเงินไปทำงานให้ แต่วันดีคืนดี ตลาดหุ้นก็ล้มโครม คนที่เคยร่ำรวยจากการได้เงินง่ายๆ กลับกลายเป็นคนหมดตัว สูญเสียทรัพย์สิน ถ้าไม่รู้จริง อย่าเสี่ยงดีกว่า 56. อ่านหนังสือ gossip ดาราที่ชอบลงรูปฝีมือปาปาราชซี่ก็เพราะคนอ่านแบบเราๆ ที่สนับสนุนหนังสือพวกนี้นะซิ ถึงทำให้มีการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของพวกดาราที่โดนรังควานโดยช่างภาพที่ต้องการหาเงินจาก ช็อตเด็ด ซึ่งบางครั้งทำให้ครอบครัวแตกแยก หรืออาชีพล่มสลาย มีหนังสือที่สร้างสรรมากกว่านั้นมากมายที่น่าอ่าน 57. ไหว้นักการเมืองขี้โกง พินอบพิเทาข้าราชการขี้ฉ้ออย่าทำให้นักการเมืองขี้โกง หรือข้าราชการขี้ฉ้อ ที่เชื่อมั่นว่า ไม่ว่าจะโกงแค่ไหน โดนเปิดโปงอย่างไรถ้าตำแหน่งใหญ่ซะอย่าง คนไทยก็ยังกราบยังไหว้เพราะมีมารยาทดี ถ้าเป็นต่างประเทศ พวกนี้อยู่ในตำแหน่งไม่ได้แล้ว 58. ต้องมีโทรศัพท์ 3Gคำถามแรก คุณต้องใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อทำอะไรบ้าง มีโทรศัพท์ที่มีทุกอย่างอยู่แล้ว แล้วทำไมต้อง 3G59. กินมันฝรั่งทอด (potato chip)มันฝรั่ง potato chip นั้น ทำมาจากมันฝรั่งจีเอ็มโอทั้งนั้น มันยังไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าพืชดัดแปลงนี้กินแล้วปลอดภัย มีแต่รายงานการแพ้และผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกับแมลงที่มีประโยชน์ต่อธรรมชาติ แม้แต่ผีเสื้อก็ตายได้เพราะไปตอมพืชพวกนี้ และอาจจะมีผลกระทบต่อจุลินทรีย์ในดินของแปลงที่ปลูกพืชดัดแปลงพันธุกรรมด้วย 60. ใส่เสื้อผ้ายี่ห้อ หิ้วกระเป๋าแบรนด์เนม โดยเฉพาะรุ่น limited editionอะไรกันนี่ คนไทยชอบเอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้าง เจ้าของสินค้ายี่ห้อที่ร่ำรวยมหาศาลจากการจ้างคนออกหัวคิดแพงๆ แล้วมาทำสินค้าให้แพงเว่อร์ๆ มากๆ มาขายทั่วโ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point