ฉบับที่ 223 ความเคลื่อนไหวเดือนกันยายน 2562

องค์กรผู้บริโภค และ ETDA จับมือผู้ประกอบการ ทำ MOU ซื้อขายออนไลน์ปลอดภัย        19 กันยายน องค์กรผู้บริโภค และ ETDA จับมือผู้ประกอบการ ทำ MOU ซื้อขายออนไลน์ปลอดภัย หวังคุ้มครอง เยียวยาผู้บริโภคจากการถูกหลอก         คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน สมาคมสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์หรือ ETDA กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย บริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด บริษัท แอลเอ็นดับเบิ้ลยู จำกัด และบริษัท บิวตี้ นิสต้า จำกัด ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่อง “การคุ้มครองผู้บริโภคในการซื้อขายสินค้าและบริการในตลาดออนไลน์” ณ ห้อง 201 ชั้น 2 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยมี นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว         โดยนายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้แทนรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ที่มาของความร่วมมือในครั้งนี้เกิดจากองค์กรผู้ร่วมลงนามและพยานทุกฝ่ายเห็นความสำคัญของการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค และต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคในการซื้อขายออนไลน์ จึงร่วมกับ ETDA และผู้ประกอบการออนไลน์ จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การคุ้มครองผู้บริโภคในการซื้อขายสินค้าและบริการในตลาดออนไลน์” นี้ขึ้น เพื่อเป็นกรอบในการทำงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคร่วมกัน ทำให้การซื้อขายออนไลน์มีความปลอดภัย น่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น         ด้านนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ความร่วมมือในการทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ซื้อขายออนไลน์ในครั้งนี้ได้มีการประชุมร่วมกันระหว่างองค์กรผู้บริโภค หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการตลาดออนไลน์หลายครั้ง เพื่อให้เกิดระบบและมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในการซื้อขายออนไลน์ ซึ่งบันทึกความร่วมมือนี้จะคลอบคลุมสาระสำคัญทั้งหมด 7 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านการตรวจสอบร้านค้าที่ร่วมจำหน่ายสินค้าหรือบริการ 2. ด้านการแสดงข้อมูลของร้านค้าที่ร่วมจำหน่ายสินค้าหรือบริการ 3. ด้านการมีระบบให้ข้อมูลจำเป็นแก่ผู้บริโภค 4. ด้านระบบรักษาความปลอดภัยทางการเงิน โดยมีระบบ “คนกลาง” 5. ด้านนโยบายความเป็นส่วนตัว 6. ด้านการมีช่องทางร้องเรียน และระบบติดตามเรื่องร้องเรียน และ 7. ด้านการมีนโยบายความพึงพอใจ การคืนสินค้าและการเยียวยาแก่ผู้บริโภค          ขณะที่นางสุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวว่า ผลสำรวจของ ETDA พบว่า มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซ เพิ่มสูงขึ้น จาก 2.7 ล้านล้านบาทในปี 2560 เป็น 3.2 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน ส่วนบีทูซี (B2C) ของประเทศไทยก็สูงเป็นอันดับที่ 1 ของอาเซียน และเมื่อเทียบมูลค่าระหว่างปี 2559 กับปี 2560 พบว่า มีมูลค่าเพิ่มถึงกว่า 1 แสน 6 หมื่นล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อมั่นในเทคโนโลยี ระบบอีเพย์เมนท์ (e - Payment) ที่สะดวกมากขึ้น การขนส่งที่รวดเร็ว ทำให้คนหันมานิยมซื้อของออนไลน์สูงขึ้น ท่ามกลางการทำธุรกรรมทางออนไลน์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด กลับพบปัญหา การโกง ฉ้อฉล เอารัดเอาเปรียบผู้โภคอย่างต่อเนื่อง        จากสถิติศูนย์รับเรื่องร้องเรียนปัญหาออนไลน์ (1212 OCC) พบว่า ในปี 2560 มีการร้องเรียนจำนวน 9,987 ครั้ง และเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในปี 2561 ที่พบเรื่องร้องเรียนสูงถึง 17,558 ครั้ง เฉลี่ย 1,463 ครั้งต่อเดือน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการซื้อแล้วไม่ได้รับสินค้า สินค้าไม่ตรงตามสเปกที่ตกลง สินค้าผิดกฎหมาย ไม่มีมาตรฐาน ซึ่งการลงนามครั้งนี้จะเป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต  เผย “บุหรี่ไฟฟ้า” ลดสูบไม่เกิน 10%        การประชุมการขับเคลื่อนเชิงนโยบายการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าของประเทศไทย โดยศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ม.มหิดล เผยผู้ที่นำบุหรี่ไฟฟ้ามาเป็นทางเลือกเพื่อเป็นตัวช่วยเลิกบุหรี่นั้น จากข้อมูลพบว่าผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีอัตราการเลิกบุหรี่เพียงร้อยละ 5-9และหากคนที่สูบบุหรี่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นตัวช่วยเลิกบุหรี่เทียบกับคนที่ไม่ได้ใช้ โอกาสเลิกบุหรี่ยังลดลงไปกว่าเดิมถึง 27% (ผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าในตลาดมากกว่า 95% มีสารนิโคตินเป็นส่วนผสมอยู่ในสารน้ำ ซึ่งทำให้ติดสารนิโคตินได้)        ด้าน ภญ.ดร.อรลักษณ์ พัฒนาประทีป คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า จากการประมาณค่าความสูญเสียที่เกิดจากบุหรี่ไฟฟ้าในเชิงเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข พบว่า ผลกระทบจากค่าใช้จ่ายในการรักษาและค่าเสียโอกาสในการเกิดโรคต่อปีเท่ากับ  534,571,710 บาท ซึ่งเป็นความสูญเสียทางเศรษฐศาสตร์และสุขภาพของเยาวชนและประชาชนไทยที่ต้องแบกรับภาระจากบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์         ที่ประชุมจึงได้เสนอความเห็นเพื่อการคงไว้ซึ่งมาตรการห้ามนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า  ห้ามขาย หรือให้บริการ ตามคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ 9/2558 ซึ่งกำหนดโทษสำหรับผู้ประกอบธุรกิจทั่วไป ให้จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากผู้ที่กระทำผิดเป็นผู้ประกอบธุรกิจในฐานะผู้ผลิต ผู้สั่ง หรือผู้ที่นำเข้ามาเพื่อขาย ต้องรับโทษเพิ่มสูงขึ้นเป็นจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ1 ต.ค. นี้ กระทรวงสาธารณสุขให้ผู้ป่วยไปรับยาที่ร้านยาใกล้บ้านได้         ต้นเดือนตุลาคม 2562 นี้ กระทรวงสาธารณสุขจะเริ่มดำเนินนโยบายลดความแออัดของโรงพยาบาล โดยให้ผู้ป่วยสามารถนำใบสั่งยาจากแพทย์ไปรับยาที่ร้านยาใกล้บ้านได้ เพื่อลดเวลารอคิวรับยาในโรงพยาบาลและเพิ่มความสะดวกสบายแก่ประชาชนมากขึ้น หากเข้าเกณฑ์ 4 เงื่อนไข ดังนี้ (1) ใช้สิทธิ์บัตรทอง (2) ป่วยด้วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หอบหืด หรือโรคทางจิตเวช (3) แพทย์วิจัยฉัยแล้วว่าผู้ป่วยสามารถรับยาที่ร้านยาได้ และ (4) ผู้ป่วยยินดีไปรับยาที่ร้านยา เริ่มนำร่องในโรงพยาบาล 50 แห่ง และร้านยาที่ได้มาตรฐานกว่า 500 ร้านทั่วประเทศ        ดูรายชื่อร้านยาที่เข้าร่วมโครงการได้ที่        https://www.nhso.go.th/FrontEnd/page-contentdetail.aspx?CatID=MTI4OA%3D%3D ป.ป.ส. เตือน ระวังตกเป็นเหยื่อขนส่งยาทางพัสดุไปรษณีย์         พันตำรวจตรี สุริยา สิงหกมล รองเลขาธิการ ป.ป.ส. เตือนประชาชน ระวังตกเป็นเหยื่อนักค้ายาเสพติด ฉวยโอกาสขนส่งยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายผ่านพัสดุไปรษณีย์ เป็นเหตุให้ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย         “ปัจจุบัน นักค้ายาเสพติดเลือกใช้บริการรับ-ส่งพัสดุภัณฑ์ในการขนส่งยาเสพติดมากขึ้น ซึ่งหากพบว่าบุคคลใดมีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าในฐานะผู้ให้บริการขนส่ง หรือผู้รับพัสดุไปรษณีย์ ล้วนมีความผิดตามกฎหมาย โดยผู้ส่งมีความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ และผู้รับพัสดุภัณฑ์มีความผิดฐานครอบครอง หรือครอบครองเพื่อจำหน่าย ขึ้นอยู่กับปริมาณของกลางยาเสพติด...ดังนั้นขอให้ประชาชนระมัดระวังตนเองและคนในครอบครัว กรณีผู้รับสินค้า เมื่อทราบจากพนักงานส่งพัสดุภัณฑ์ว่าจะมีการส่งพัสดุนั้น ขอให้สอบถามและตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนว่า ตนเองหรือคนในครอบครัวมีการสั่งสินค้า หรือจะได้รับพัสดุภัณฑ์โดยที่ไม่สั่งสินค้าหรือไม่ หากพบการแอบอ้างชื่อในการส่งสินค้า หรือเห็นความไม่ชอบมาพากล ขอให้แจ้งตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องโดยลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน หรืออาจเก็บหลักฐานไว้แสดงถึงเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และยืนยันตนว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง”         แจ้งเบาะแสได้ที่ สายด่วน ป.ป.ส. โทร. 1386 ตลอด 24 ชั่วโมง สถิติการฆ่าตัวตายปี 2562 ของไทย เฉลี่ย 14.4 คนต่อคนไทย 1 แสนคน         คนไทยฆ่าตัวตายเป็นอันดับ 32 ของโลก  เฉลี่ย 14.4 คนต่อคนไทย 1 แสนคน ข้อมูลจากผลสำรวจซึ่งแถลงในวันที่ 10 กันยายน ซึ่งองค์การอนามัยโลก ได้กำหนดให้เป็นวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก(World Suicide Prevention Day)         องค์การอนามัยโลก(WHO) ได้รายงานสถานการณ์การฆ่าตัวตายโลก โดยระบุว่ามีคนเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายทุกๆ 40 วินาที และการฆ่าตัวตายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของวัยรุ่น(อายุ 15-29 ปี) มากที่สุด รองลงมาจากอุบัติเหตุบนท้องถนน แม้ว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หลายประเทศทั่วโลกจะเพิ่มมาตรการ และนโยบายป้องกันการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังต้องการการสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆรายงานการจัดอันดับประเทศที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในโลก ประจำปี 2562 โดย World Population Review ที่สำรวจ และพิจารณาข้อมูลการฆ่าตัวตายขององค์การอนามัยโลกปี 2561 ทั้งหมด 183 ประเทศ พบว่า ประเทศไทย มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุด ติดอันดับ 32 ของโลก เฉลี่ย 14.4 คนต่อประชากร 1 แสนคน      โดยห้าอันดับแรกได้แก่ อันดับ 1 ลิทัวเนีย อันดับ 2 รัสเซีย อันดับ 3 กายอานา อันดับ 4 เกาหลีใต้ อันดับ 5 เบลารุส

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 168 ซื้อของออนไลน์ “สะดวก” หรือ “เสี่ยง”

เมื่อสื่อออนไลน์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ทำให้ธุรกิจขายสินค้าบนโลกออนไลน์พลอยได้รับความนิยมมากขึ้นไปด้วย บรรดาผู้ประกอบธุรกิจทั้งที่เป็นผู้ผลิตสินค้าเองหรือตัวแทนจำหน่ายสินค้า ต่างล้วนให้ความสำคัญกับช่องทางนี้ จนเกิดเว็บไซต์ขายสินค้าต่างๆ มากมาย เพราะว่าการขายสินค้าบนเว็บออนไลน์นั้น ค่าบริหารจัดการต่ำ  และไม่ต้องมีหน้าร้าน ไม่ต้องมีค่าเช่าร้าน ยิ่งถ้าทำงานเอง  ค่าจ้างคนงานก็ยิ่งไม่ต้องมี การดำเนินการก็สะดวกทั้งฝ่ายผู้ขายและผู้บริโภค ผู้บริโภคเองไม่ต้องพาตัวเองไปสำรวจสินค้าอะไร ก็สามารถซื้อสินค้าได้โดยใช้ปลายนิ้วสัมผัสคอมพิวเตอร์  หรือมือถือ  ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางและยังโอนเงินทางอินเทอร์เน็ตได้อีกด้วย   สะดวกขนาดนี้ใครจะอดใจไหวแต่การซื้อของแบบนี้แม้จะ “สะดวก” แต่ก็ “เสี่ยง”  เพราะจากปัญหาร้องเรียน เว็บดังหลายๆ แห่งที่ผ่านมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค อย่าง  LAZADA  ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าหลากหลาย เช่น  โทรศัพท์มือถือ  คอมพิวเตอร์  สินค้าสุขภาพและความงาม  ฯลฯ ก็สามารถทำให้ผู้ซื้อสินค้าสองท่านต้องกุมขมับคุณณชพล สั่งซื้อ Power bank  32000 mAh  ด้วยโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 ราคา 820   บาท เพราะเห็นว่าราคาถูกดีเลยสั่งซื้อ กะว่าเอามาขายต่อเพื่อนๆ ด้วย โดยสั่งจำนวน 10 ชุด  ซึ่งต้องได้สินค้า 20 ชิ้น  แต่ปรากฏว่า สินค้าได้มาเพียงแค่ 10 ชิ้นเมื่อติดต่อกลับไปยังบริษัทฯ ทั้งทางโทรศัพท์และอีเมล์ เพื่อทวงสินค้าให้ครบ ก็พบว่า ติดต่อยากมาก   พอติดต่อได้บริษัทฯ ก็บอกผัดผ่อนว่าจะรีบส่งให้ครบ  แต่ก็เงียบหายไป  ไม่ว่าจะพยายามติดต่อก็กลับไปกี่ครั้งๆ ทุกครั้งจะอ้างแต่ว่าติดต่อบริษัทผู้ขายไม่ได้  ถึงต้องนี้ คุณณชพลต้องบอกว่า งงมาก แล้วเอามาขายตามที่ตั้งใจไว้แต่แรกได้อย่างไร อีกท่านหนึ่งคือ คุณอภิรักษ์ ซื้อ Alcatel One Touch Link 3G+Wi-Fi Hot Spot  โฆษณาว่ารองรับ 3G  ได้ พอรับสินค้ามากลับใช้ไม่ได้จริงตามที่โฆษณา  จึงต้องคืนสินค้ากลับไปเพื่อเปลี่ยนของ   แต่ติดต่อคืนสินค้าแล้วไม่ได้เงินคืนภายใน 14 วัน ตามที่โฆษณาไว้ในเว็บไซต์ เพราะอ้างว่าเมื่อรับคืนแล้วต้องใช้เวลาตรวจสอบนานมาก อ้าว! ทำไมไม่ง่ายเหมือนตอนซื้อล่ะกว่าที่ผู้ร้องจะติดต่อกับบริษัทฯ  ได้  ก็พบปัญหามากมายเช่นเดียวกับรายแรก เช่น  โทรศัพท์ติดต่อยาก  ต้องส่งข้อมูลทางอีเมล์ที่ไม่รู้ว่าจะตอบเมื่อไร  เฮ้อ!  ตอนสั่งซื้อง่ายมากจริง เพียงดูแคตตาล็อค  เลือกสินค้า  ชำระเงิน   แต่พอมีปัญหากลับติดต่อยากที่สุด  ผู้ร้องทั้งสองเลยต้องหาตัวช่วยเมื่อศูนย์พิทักษ์สิทธิได้รับเรื่องร้องเรียน   จึงทำการตรวจสอบไปที่เว็บไซต์เบื้องต้นพบว่าช่องทางการติดต่อเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภค เบอร์โทรศัพท์ที่ให้ไว้ ติดต่อยากจริงๆ     ทั้งการติดต่อทางอีเมล์ก็พบว่า ล่าช้ามาก  กว่าบริษัทฯ จะติดต่อกลับมา  อย่างไรก็ตามเมื่อได้พยายามพูดคุยกับทางเว็บไซต์ดัง โดยเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ ได้แจ้งข้อร้องเรียนเรื่องปัญหาไปยังบริษัทฯ เพื่อให้แก้ไขปัญหาให้กับผู้ร้องทั้งสองราย    รายแรกก็ได้รับสินค้าครบตามจำนวนที่สั่งซื้อรายที่สองมีเจ้าหน้าที่ของ LAZADA  ไปรับสินค้าคืน  แต่ต้องรอการตรวจสอบว่าสินค้าที่ได้รับมานั้นอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์หรือไม่ก่อนคืนเงินศูนย์พิทักษ์สิทธิจึงขอแจ้งเตือนยังผู้ที่จะซื้อสินค้าและบริการออนไลน์ ควรตรวจสอบที่มาที่ไปของผู้ขายก่อนว่ามีการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่  อย่างน้อยหากเกิดความผิดพลาดยังพอมีข้อมูลในการติดตามกับผู้ขายได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 154 ซื้อของบนโลกออนไลน์

เพื่อต้อนรับเทศกาลปีใหม่ สำหรับคนที่ชอบซื้อสินค้าทางอินเตอร์เน็ตทั้งจากหน้าเว็บและผ่านทางเฟซบุ้ค เรามีเรื่องมาฝากเพื่อเป็นบทเรียนสำหรับการตัดสินใจซื้อของทุกท่านธรรมดาเวลาจะซื้อหาสินค้าอะไรสักชิ้น หลายท่านยังนิยมไปดูสินค้าที่ร้านเพื่อจะได้พิจารณาแบบเห็นหน้าตาก่อน ได้ลองใช้รวมทั้งต่อรองราคา แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป บางร้านค้าก็เปิดขายสินค้าทางอินเตอร์เน็ตด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางให้กับผู้บริโภค ที่จะได้เห็นสินค้าของตนได้สะดวกขึ้น รายละเอียดก็ดูจากภาพที่ลง รวมทั้งโทรสอบถามต่อรองราคากันก็ได้แน่นอนว่าการระบุคุณสมบัติและรายละเอียดตลอดจนราคาขาย ถือเป็นการโฆษณาหรือสัญญาแบบหนึ่งที่ทางผู้ประกอบการได้ให้กับผู้บริโภค ถ้าหากสั่งซื้อมาแล้วได้ไม่ตรงกับคุณสมบัติที่ระบุ ผู้ซื้อย่อมมีสิทธิเต็มในการคืนสินค้า แต่เรื่องมันก็ไม่ได้ง่ายและตรงไปตรงมาเสมอไปเรามีสองเรื่องมานำเสนอในกรณีซื้อสินค้าผ่านทางโลกออนไลน์ซื้อเตาขนมเครปทางเน็ต มันหนักจนรับไม่ไหวเรื่องนี้ร้องทุกข์ผ่านมาทางกระทู้ร้องทุกข์ เนื่องจากผู้ร้องกำลังศึกษาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา วันหนึ่งคุณปาริชาติผู้ร้อง เกิดสนใจเตาทำขนมเครปใช้แก๊สแบบ 2 หัว ที่โฆษณาอยู่บนหน้าเว็บของร้านขายเตาขนมเครปเข้า สมมติว่า ชื่อร้าน GAS ล่ะกัน โดยติดต่อเข้าไปที่ร้านโดยตรงเรียกว่า ลงทุนโทรศัพท์ข้ามประเทศเพื่อให้มั่นใจ ความที่อยู่อเมริกา ถ้าจะเอาเตานี้ไปใช้ได้คงต้องฝากเพื่อนหิ้วมาให้ ช่วงนั้นก็พอดีมีเพื่อนกำลังจะมาอเมริกา และเตาดังกล่าวก็ระบุคุณสมบัติบนหน้าเว็บชัดเจนว่า 12,000 กรัม ซึ่งก็คือ 12 กิโลกรัม น้ำหนักถือว่าผ่านหิ้วเข้าไปไม่ผิดกฎสายการบินที่ต้องไม่เกิน 23 กิโลกรัมต่อกระเป๋า 1 ใบ“ถามทางโทรศัพท์หลายครั้งว่า 12 กิโลแน่ๆ นะ เพราะไม่อยากพลาดจุดนี้ ทางร้านก็ยืนยันหนักแน่นว่า 12 กิโลแน่นอน” คุณปาริชาติจึงสั่งซื้อสินค้าดังกล่าวเป็นเงินจำนวน  13,150 บาท (สินค้า 12,900+250 ค่าขนส่ง) โดยต้องทำเรื่องโอนเงินสองต่อคือให้ญาติก่อนแล้วให้ญาติโอนให้ทางร้านอีกทีคุณปาริชาติขอให้ร้านไปส่งที่บ้านเพื่อนคนที่จะหิ้วมาอเมริกาให้ บ้านเพื่อนอยู่ราชบุรี การส่งของไม่มีปัญหา มามีปัญหาเมื่อเพื่อนสงสัยว่า มันคงไม่ใช่สิบสองกิโลกรัมแล้วล่ะ เพราะมันหนักมาก เมื่อลองชั่งน้ำหนักดู โอ้แม่เจ้า เตาเครปสองหัวนี้หนัก 36.3 กิโลกรัม หนักขนาดนี้หิ้วไปไม่ไหวแน่และไม่ผ่านด่านด้วย“ลองแจ้งไปทางร้านนะคะ คิดว่าเขาอาจจะส่งสินค้าผิด เขาบอกไม่ผิด อ้าว งั้นที่ผิดก็คือน้ำหนักที่ทางร้านเขาแจ้งไว้บนหน้าเว็บนะสิ” พอท้วงกับทางร้านว่าเราไม่เอามาใช้ไม่ได้นะ น้ำหนักมันเกินไปมาก ทางร้านจึงเสนอทางเลือกให้เอาแบบเตาเครปหัวเดียวแทนไหม แล้วจะคืนเงินส่วนต่างให้“กลัวจะซ้ำรอยเดิมค่ะ เลยย้ำว่าหัวเดียวมันหนักเท่าไหร่ เขาแจ้งว่ามันหนัก 7 กิโลกรัม พอถามว่า 7 จริงหรือเปล่า เขาก็บอกว่าข้อมูลมาจากคู่มือไม่ผิดแน่ เราเลยขอให้เขาชั่งน้ำหนักใหม่ ปรากฏว่า เตาหัวเดียวมันก็หนักถึง 28 กิโลกรัมค่ะ” เรียกว่าแจ้งน้ำหนักผิดทุกอย่าง ทุกรายการ คุณปาริชาติจึงขอคืนสินค้าและให้ทางร้านโอนเงินคืนให้ โดยยอมจ่ายค่าเสียเวลาให้ทางร้านจำนวน 1,000 บาท แต่ทางร้านไม่ยอมขอหักเงิน 20% (ประมาณ 2,630 บาท) และต้องเอาเตาหนักๆ นั้นมาส่งคืนเรื่องเองด้วย จึงจะคืนเงินให้“รู้สึกว่าทางร้านเขาเอาเปรียบมากเกินไป มันเป็นความผิดพลาดของทางร้าน แต่เขาไม่ยอมรับผิดชอบอะไรเลย เราต่างหากเป็นฝ่ายเสียหาย เสียทั้งเงิน ทั้งเวลา ค่าโทรศัพท์ระหว่างประเทศอีกเป็นร้อยครั้ง เราก็ไม่ได้จะเอาเงินคืนเต็มจำนวนด้วยซ้ำจะยอมให้หัก 1,000 บาทด้วยซ้ำ แต่ 20% ไม่ไหว ไหนจะต้องส่งของคืนร้านอีกจะทำได้ยังไง เพื่อนก็ไม่สะดวกทำให้เพราะของมันหนักมาก”การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้เป็นปัญหาที่เกิดจากความผิดพลาดของทางร้านเต็มๆ เพราะโฆษณาอันเป็นเท็จทำให้ผู้ซื้อเกิดความเข้าใจผิดในสินค้า การขอเงินคืนรวมทั้งเรียกร้องสิทธิเพิ่มในเรื่องของค่าเสียเวลา ค่าใช้จ่ายต่างๆ สามารถทำได้ แต่ผู้ร้องคงไม่อาจดำเนินการได้สะดวก จึงต้องใช้การเจรจาต่อรองการพูดคุยแน่นอนว่า ทางผู้ประกอบการคงอึดอัดและไม่อยากยอมลงให้กับผู้บริโภคง่าย โดยดำเนินการคืนเงินให้ผู้ร้องแต่หักไว้ 20% ในการเจรจาจำเป็นต้องพูดกับคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจ ซึ่งทางศูนย์พิทักษ์สิทธิได้คุยกับเจ้าของร้านโดยตรง  ทางร้านแจ้งว่า ตนเองก็เสียหายเพราะต้องรับค่าขนส่งพันกว่าบาท ทางศูนย์ฯ พยายามไกล่เกลี่ยขอให้ทางร้านเข้าใจผู้ร้องบ้าง เพราะก็ไม่ได้ทำผิดอะไรเช่นกัน และทางผู้ร้องไม่ได้เรียกค่าเสียหายเพิ่มเติม(ซึ่งทำได้) เพียงแต่ขอเงินคืนส่วนที่หักไป 20% ถ้าทางร้านสั่งซื้อสินค้าจากที่อื่นแล้วได้ของที่ไม่ต้องการก็คงไม่อยากรับเหมือนกัน เรื่องนี้ขอให้ทางร้านช่วยพิจารณาเพื่อหาข้อยุติให้กับปัญหานี้จะได้ไม่ยืดเยื้อต้องฟ้องร้องกัน และทางร้านเองก็มีชื่อเสียงน่าจะรักษาลูกค้าไว้สุดท้ายทางร้านก็คืนเงิน 20% ให้กับคุณปาริชาติ ซึ่งเธอดีใจมากและขอบคุณมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ที่ช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยให้ “ขอชื่นชมที่แม้เป็นองค์กรไม่แสวงกำไร แต่ทำงานเร็วมากค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้ และขออนุญาตบริจาคเงินสนับสนุนกิจกรรมมูลนิธิฯ นะคะ จะได้ช่วยคนอื่นต่อไป” //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 102 ช้อปช่วยโลก ซื้อของห้างไหนช่วยลดใช้ถุงพลาสติก

ฉลาดซื้อ ขอเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกระตุ้นให้ทุกคนหันมาสนใจปัญหาโลกร้อนกันอย่างจริงจัง เราจึงอยากชวนทุกคนมาช่วยกันลดขยะถุงพลาสติก ซึ่งเป็นขยะที่ย่อยสลายยาก สิ้นเปลืองพลังงานในการผลิต แถมยังสร้างมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อม เมื่อเรากำจัดมันไม่ได้ (เพราะถ้าเผาก็จะไปทำลายชั้นบรรยากาศ ถ้าฝังดินก็จะทำให้ดินเสื่อมสภาพ) เราก็ลองมาหาวิธีลด-ละ-เลิกการใช้ถุงพลาสติกกันดีกว่า   ในชีวิตประจำวันของเราคงเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงการใช้ถุงพลาสติก เพราะร้านค้าเกือบแทบจะทุกแห่งต่างก็ใช้ถุงพลาสติกใส่ของให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นในตลาดสด ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า หรือซูเปอร์มาร์เก็ต วงจรชีวิตการใช้งานของถุงพลาสติกนั้นสั้นมากๆ คือเมื่อของที่ใส่ถุงพลาสติกมาถูกนำไปใช้ ถุงพลาสติกก็จะถูกทิ้งให้กลายเป็นขยะ มีบ้างที่เก็บไว้สำหรับใส่ของอื่นๆ (ซึ่งส่วนมากก็มักจะเป็นขยะ) ซึ่งเมื่อเก็บรวมกันไว้มากๆ เป็นเวลานานๆ แล้วไม่ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์อะไร สุดท้ายถุงพลาสติกทั้งหลายก็ต้องแปรสภาพกลายเป็นขยะอยู่ดี   ฉลาดซื้อ อยากชวนทุกคนมาลดการใช้ถุงพลาสติก เราเลยลองสุ่มสำรวจซูเปอร์มาร์เก็ตและห้างค้าปลีกต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ ว่าแต่ละที่มีวิธีการจัดสรรถุงพลาสติกใส่ของให้กับลูกค้าอย่างไรบ้าง โดยเราได้กำหนดรายการสินค้าจำนวน 20 รายการ โดยเลือกสินค้าที่คนส่วนใหญ่ต้องซื้อใช้อย่างน้อยๆ ก็น่าจะเดือนละครั้ง อย่าง ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน น้ำยาถูพื้น กระดาษชำระ กาแฟ นม น้ำตาล เสริมด้วยพวกของสด อย่าง ผัก และลูกชิ้น เพื่อเพิ่มความหลากหลายของประเภทและลักษณะแพ็คเก็จบรรจุภัณฑ์ของสินค้า ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขหนึ่งในการจัดสินค้าใส่รวมลงในถุงพลาสติก ฉลาดซื้อ อยากรู้ว่าซูเปอร์มาร์เก็ตไหนให้ถุงพลาสติกกับเราน้อยที่สุด ตารางแสดงผลสุ่มสำรวจการใช้ถุงพลาสติกของห้างค้าปลีกและซุปเปอร์มาร์เก็ต(รายชื่อสินค้า 1. ผงซักฟอก โอโมพลัส ดีโอเฟรช 1,100 กรัม 2.น้ำยาทำความสะอาดพื้น มาจิคลีน 900 มิลลิลิตร 3.น้ำยาล้างห้องน้ำ วิกซอล 900 มิลลิลิตร 4.น้ำยาซักผ้าขาว ไฮเตอร์ 600 ซีซ๊ 5.น้ำยาล้างจาน ซันไลต์ 600 ซีซี x 3 6.เนสกาแฟ เรดคัพ (ถุงเติม) 200 กรัม 7.ครีมเทียม .คอฟฟี่เมต 450 กรัม 8.น้ำตาล มิตรผล 1 กิโลกรัม 9.นม UHT โฟร์โมสต์ 225 มิลลิลิตร x 6 10.น้ำสละ เฮลส์ บลู บอย 710 ซีซี 11.กระดาษเช็ดหน้า เลดี้สก็อตต์ กล่อง 150 ชิ้น 12.กระดาษชำระ สก็อตต์เอ็กซ์ตร้า แพ็ค 6 ม้วน x 2 13 ผ้าอนามัน ลอริเอะซูเปอร์อัลตร้าสลิม 20 ชิ้น 14.บะหมี่คัพ มาม่า 60 กรัม x 3 15.มันฝรั่งทอดกรอบ เลย์ 125 กรัม 16.แฮม ซีพี แพ็ค 150 กรัม 17.ไข่เค็ม 18.อาหารสด 19.ผักสด)  *หมายเหตุ: เป็นการทดสอบสุ่มซื้อในช่วงวันที่ 16 – 22 กรกฎาคม 2552 ห้างเขาก็ใส่ใจเรื่องลดใช้ถุงพลาสติก“โลกร้อน” เป็นปัญหาของทุกคนบนโลกใบนี้ เราจึงต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ ซึ่งบรรดาผู้ประกอบการห้างค้าปลีกและซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งหลายก็ไม่ได้ใจร้าย ปล่อยให้ผู้บริโภคอย่างเราต้องหาวิธีลดใช้ถุงพลาสติกกันอยู่ฝ่ายเดียว เพราะแต่ละที่ก็คิดว่าวิธีการดีๆ เพื่อลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติกในสถานประกอบการของตัวเอง วิธีที่ฮิตที่สุด คงหนีไม่พ้น “ถุงผ้าฟีเวอร์” ซึ่งก็มีอยู่หลายห้างที่ขานรับวิธีนี้ ซึ่งการแจกหรือจำหน่ายถุงผ้าของห้างค้าปลีกหรือซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ เป็นวิธีการที่ช่วยกระตุ้นและสร้างความรู้สึกของการช่วยกันลดใช้ถุงพลาสติกให้กับผู้ที่มาซื้อสินค้าได้ชัดเจนที่สุด เช่น บิ๊กซี ที่มีแคมเปญให้ ซื้อถุงผ้าที่ห้างทำขึ้น จะได้รับค่าโทรศัพท์ฟรี 10 บาท หรือ คาร์ฟูร์ ที่มีการจำหน่ายถุงผ้าซึ่งผลิตจากสารที่ได้จากการรีไซเคิลขวดพลาสติก เพื่อให้ลูกค้านำมาใช้แทนถุงพลาสติก เป็นต้น บางห้างไม่ได้ทำออกมาแค่เพียงถุงผ้า แต่ยังผลิตถุงกระดาษออกมาใช้ด้วย เช่น เซ็นทรัล ฟู้ดส์ ฮอลล์ และ ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ที่อยู่ในเครือ เซ็นทรัล รีเทล บางที่ก็ใช้วิธีให้ส่วนลดสำหรับคนที่หิ้วถุงผ้ามาซื้อสินค้า หรือจัดแคมเปญกระตุ้นจิตสำนึกเรื่องภาวะโลกร้อน เช่น Think Green ของเดอะ มอลล์ กรุ๊ปส์ (โฮม เฟรช มาร์ช และ กรูเมต์ มาร์เก็ต) ที่เป็นโครงเพื่อสิ่งแวดล้อม อย่างการจัดกิจกรรมให้ลูกค้าที่บอกไม่รับถุงพลาสติก 1 ใบ เท่ากับได้ร่วมปลูกต้นไม้ 1 ต้น หรืออย่าง ตั้งฮั้วเส็ง ที่เคยร่วมกับเขตหลักสี่ ส่งวิทยากรมาสาธิตประดิษฐ์และตกแต่งถุงผ้าในโครงการรณรงค์ใช้กระเป๋าผ้าลดภาวะโลกร้อน แถมแต่ละห้างที่เราสำรวจในครั้งนี้ก็เข้าร่วมในโครงการ “45 วัน รวมพลัง ลดถุงพลาสติก ลดโลกร้อน” ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถ้าการลดการใช้ถุงพลาสติกเป็นเรื่องยาก ก็มีอีกหนึ่งทางเลือก คือ ถุงพลาสติกที่ย่อยสลายได้ หรือ oxo-biodegradable plastic bag ซึ่งถุงพลาสติกชนิดนี้สามารถย่อยสลายได้ด้วยความร้อนจากแสงอาทิตย์ และออกซิเจนในอากาศ ภายในระยะเวลา 1 - 2 ปี (แตกต่างจากถุงพลาสติกทั่วไปที่มีอายุยาวนานหลายร้อยปี) สาเหตุที่ถุงพลาสติกย่อยสลายได้ยังไม่ค่อยแพร่หลาย คงเป็นเพราะต้นทุนที่สูงกว่าถุงพลาสติกทั่วไปประมาณ 5 – 10% ห้างค้าปลีกและซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใช้ถุงพลาสติกชนิดนี้ ก็อย่างเช่น วิลล่า มาร์เก็ต, โฮม เฟรช มาร์ช กับ กรูเมต์ มาร์เก็ต ในเครือ เดอะ มอลล์ กรุ๊ปส์ และ เซ็นทรัล ฟู้ดส์ ฮอลล์ กับ ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ในเครือ เซ็นทรัล รีเทล   ไม่ใช้ถุงพลาสติก เราทุกคนทำได้-ถุงผ้ารักษาโลก –ถุงผ้าไม่ได้มีไว้สะพายตามแฟชั่นเท่านั้น แต่ประโยชน์ของมันคือการนำมาใช้แทนถุงพลาสติก ไม่ว่าจะซื้ออะไรก็เอามาใส่ไว้ในถุงผ้า แบบนี้ลดใช้ถุงพลาสติกได้แน่นอน-ถือเอาเลยก็ได้ ถ้าซื้อไม่กี่ชิ้น – ซื้อชิ้น 2 ชิ้น จะใส่ถุงทำไมให้เป็นขยะทำลายโลก ถือกลับมาเลยดีกว่า ไม่น่าจะลำบาก-ขับรถมาอย่าพาถุงไป –ใครที่ขับรถยนต์ไปซื้อของ ก็บอกกับห้างได้เลยว่าไม่เอาถุง แค่ใส่ของที่ซื้อมาลงในรถเข็นแล้วค่อยหยิบมาใส่ไว้ในรถได้เลย-รวมกันได้ในถุงใบเดียว – ถุงพลาสติกมีความยืดหยุ่นและทนทาน สามารถรองรับน้ำหนักได้ดี ถ้ามีของมากสามารถใส่ถุงเดียวกันได้ ก็บอกให้พนักงานเขาใส่รวมกันได้เลย-บอกอย่างมั่นใจ ว่าไม่เอาถุง – พยายามฝึกให้เป็นนิสัย ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้ถุงพลาสติก ซื้อของคราวหน้า บอกไปเลยว่า “ไม่เอาถุง”-ลดการซื้อ = ลดใช้ถุง – ซื้อเท่าที่ใช้ ใช้เท่าที่จำเป็น ทั้งช่วยโลกแล้วยังช่วยประหยัดอีกต่างหาก แถมจ้า! ตารางเปรียบเทียบราคาสินค้าจากการทดสอบการใช้ถุงพลาสติกของห้างค้าปลีกและซูเปอร์มาร์เก็ต*หมายเหตุ: เป็นราคาในช่วงระหว่างวันที่ 16 – 22 กรกฎาคม 2552 ประเทศไทยมีปริมาณขยะต่อวันเท่ากับ 40,000 ตันเฉพาะในกทม.มีปริมาณขยะต่อวันเท่ากับ 8,500 ตันขยะถุงพลาสติกเฉพาะในกทม.ต่อวันเท่ากับ 1,800 ตันเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บขนขยะต่อวันเป็นเงิน 1.78 ล้านบาท แต่ถ้าหากเราสามารช่วยกันลดการใช้ถุงพลาสติกลงได้ จะประหยัดค่าใช้จ่ายในการเก็บขนขยะได้ถึง 650 ล้านบาทต่อปี และยังช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นสาเหตุของภาวะเรือนกระจกได้ถึง 1 ล้านตันต่อปี(ข้อมูลจาก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point