ฉบับที่ 188 อาหารวิตถาร

การเข้าดูข้อมูลเกี่ยวกับอาหารและโภชนาการในอินเทอร์เน็ตนั้น ทำให้ผู้เขียนได้พบว่า นับวันที่ผ่านไปมีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับผลของอาหารต่อสุขภาพของผู้บริโภคเยอะมาก บ้างก็เชื่อได้(นิดหน่อย) และบ้างก็ไม่น่าเชื่อเลยจนถึงเข้าขั้นเรียกว่า อาหารวิตถารที่มาของคำว่า อาหารวิตถาร นั้นผู้เขียนแปลเองจากคำว่า food fad หรือ food faddism ซึ่งมีปรากฏให้เห็นในอินเทอร์เน็ตทุกครั้งที่สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร และหลายท่านอาจเคยพบคำอีกคำคือ fad diet ซึ่งก็ไม่น่าจะต่างกันนักคำว่า Fad นั้นเป็นคำที่ใช้เมื่อมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่กลุ่มชนนิยมอย่างรวดเร็วและเลิกนิยมเร็วในลักษณะเดียวกับตุ๊กตาลูกเทพ (พจนานุกรมแปล อังกฤษ-ไทยของ อ. สอ เสถบุตร ให้ความหมายคำว่า fad คือ ความคิดวิตถาร, เซี้ยว, บ้า, วิตถาร, สิ่งที่นิยมกันจนคลั่ง) ดังนั้นในกรณีของคำว่า food fad นั้นจึงน่าจะหมายถึง อาหารที่มีคนนิยมกินกันเพื่อวัตถุประสงค์ใด ๆ ที่อาจดูเป็นเรื่องราวบ้างหรือไร้สาระโดยสิ้นเชิงในวันใดวันหนึ่ง จากนั้นความนิยมนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว มีผู้พยายามอธิบายถึงองค์ประกอบที่เป็นลักษณะเฉพาะของ fad diet ดังนี้1. เว่อร์เกินจริง เช่น การอวดอ้างสรรพคุณของอาหารเกินจริงในด้านการปรับปรุงสุขภาพ หรือการครอบงำทางความคิดเกี่ยวกับประเด็นใดประเด็นหนึ่งทางโภชนาการ ตัวอย่างเช่น เรื่องของธัญพืชทั้งเมล็ดที่มีการแนะนำว่า กินแล้วสุขภาพดี จึงมีผู้หวังเงิน(ในกระเป๋าคนอื่น) บางคนนำไปเว่อร์ว่า สินค้าที่เขาขายนั้นรักษาโรคได้สารพัดโรคธัญพืชที่เคยถูกเว่อร์มาแล้วคือ เมล็ดแฟลกซ์(Flaxseed) ซึ่งหมายถึงเมล็ดจากต้นลินิน (Linseed) พืชที่ลำต้นนั้นเป็นแหล่งที่มาของใยผ้าลินิน ในความเป็นจริงแล้วเมล็ดแฟลกซ์นี้มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดี แต่มันก็ไม่ได้ดีกว่าเมล็ดพืชอื่น ที่เรากินกันมานานแล้วในชีวิตประจำวัน แบบว่ารู้วิธีกินที่ไม่ก่อโทษ (ตัวอย่างเช่น พืชตระกลูถั่วถ้าปรุงไม่สุก เมื่อกินแล้วจะท้องอืดท้องเฟ้อ เพราะเมล็ดถั่วที่สุกไม่พอยังมีสารพิษอยู่หลายชนิดที่ทำให้เกิดปัญหาในการย่อยสารอาหารที่เรากินเข้าไป ดังนั้นนักวิชาการจึงมักแนะนำให้ปรุงถั่วต่าง ๆ ให้สุกเสมอก่อนกิน)ที่น่าสนใจคือ เมล็ดแฟลกซ์นั้นมีการขายกันค่อนข้างแพง(ในช่วงที่มีความนิยมสูง) และมีเว็บหนึ่งซึ่งขายเมล็ดพืชนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อควรระวังต่อผู้ซื้อเมล็ดพืชชนิดนี้ว่า “เนื่องจากองค์ประกอบของเมล็ดมีสารที่ลดการจับตัวของเกล็ดเลือด จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่กินยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin สำหรับผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัดหรือทำฟัน ควรหยุดกินอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์”2. ความเชื่อเอาเองส่วนตัว ประเด็นนี้มักมีการนำมาใช้อวดอ้างประโยชน์ทางการแพทย์แบบที่ยังไม่มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์สนันสนุน ผู้ที่มักใช้ความเชื่อส่วนตัวในการขายสินค้าอาหารเพื่อบำบัดโรคหรือบำรุงร่างกายนั้น มักเป็นผู้ที่มีความรู้ การศึกษาสูง เป็นที่รู้จักทางสังคม อยู่ในหน้าสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อออนไลน์ สื่อวิทยุและโทรทัศน์ทั้งที่เป็นดิจิตอลภาคพื้นดินและดาวเทียมลักษณะของอาหารวิตถารนั้นมักหนีไม่พ้นประเด็นต่อไปนี้คือ 1.) อาหารที่บอกว่าวิเศษสามารถบำบัดโรคได้ครอบจักรวาล เช่น โรคอ้วน อาการซึมเศร้า อาการเซ็กส์เสื่อม อาการเหี่ยวย่น ฯลฯ 2.) อาหารที่มีการกินกันทั้งที่ไม่ควรกินเนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ (เช่น นมวัวจากเต้าหรือ raw cow milk ที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอไรส์) และ 3.) อาหารที่ผลิตขึ้นพิเศษเพื่อสุขภาพที่คิด(เอาเอง) ว่า น่าจะดีอาหารวิตถารกลุ่มหนึ่งที่มีการหลอกหลอนอยู่ในสังคมตะวันตก โดยปัจจุบันนี้ฝรั่งได้บัญญัติศัพท์คำหนึ่งว่า superfoods ซึ่งมีคนไทยเขียนบทความในอินเทอร์เน็ตแล้วใช้คำ ๆ นี้ในความหมายที่ว่า superfoods คือ อาหารที่มีแคลอรีต่ำ ซึ่งอาจมีสารอาหารไม่ครบแต่มีสารอาหารบางอย่างมากมายจนช่วยบำรุงผิวกาย ต้านโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะต้านความแก่ ซึ่งได้แก่ ผัก น้ำผึ้ง สมุนไพร ผลไม้ ถั่ว และสาหร่ายทะเล (อาหารเหล่านี้เป็นอาหารธรรมดาที่ดีตามสิ่งที่มันมี แต่ต้องกินรวมกับอาหารอื่นในลักษณะอาหารห้าหมู่เพื่อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการครบ การกินเดี่ยวหรือมากเกินไปย่อมก่ออันตรายต่อสุขภาพได้)ในขณะที่เว็บภาษาอังกฤษเว็บหนึ่งกล่าวว่า superfoods เป็นอาหารที่น่าสงสัยเป็นอย่างมากเนื่องจากไปเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหรือความเชื่อส่วนตัว มีตัวอย่างที่น่าสนใจคือ นมวัวดิบ ซึ่งมีคนทั้งไทยและฝรั่งบางกลุ่มเชื่อว่า เป็นนมที่ประเสริฐสุด ทั้งที่การดื่มนมลักษณะนี้เป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อหลายชนิด ศูนย์ควบคุมโรค (Centers for Disease Control หรือ CDC) ของสหรัฐอเมริกากล่าว ในระหว่างปี 1998 ถึง 2011 นั้น ร้อยละ 79 ของโรคระบาดที่เกิดขึ้นเนื่องจากการดื่มนม (148 ครั้ง มีผู้ป่วย 2,384 คน ซึ่งต้องนอนที่โรงพยาบาล 284 คน และตาย 2 คน) เกี่ยวข้องกับการดื่มนมดิบเรื่องของนมวัวดิบนี้ เริ่มมีการเผยแพร่ความเชื่อในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 1929 โดยมีการลงบทความเรื่อง Milk Cure ในวารสาร Certified Milk Magazine ซึ่งอ้างว่า นมวัวดิบนั้นบำบัด มะเร็ง ลดความอ้วน โรคไต อาการเหนื่อยง่าย ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง ปัญหาของระบบปัสสาวะและต่อมลูกหมาก ทั้งที่ตราบจนถึงปัจจุบันยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าจริงแต่อย่างใดในสหรัฐอเมริกานั้น มีกระบวนการกินอาหารลักษณะหนึ่งเรียกว่า อาหารจีเอ็ม หรือ GM diet (ย่อมาจาก General Motor diet) ซึ่งเป็นแผนการลดน้ำหนักคนงานของบริษัทรถยนต์ ซึ่งหวังทำให้คนงานของโรงงานที่ทำงานนั่งโต๊ะมีหุ่นดี พร้อมประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น(ท่านผู้อ่านสามารถเข้าดูรายละเอียดได้ที่ www.gmdietworks.com)อาหารจีเอ็มนั้นเป็นโครงการปฏิบัติการ 7 วัน โดยในวันแรกกำหนดให้กินแต่ผลไม้ (ยกเว้นกล้วยหอม) และดื่มน้ำ 10-12 แก้ว จากนั้นในวันที่สองก็กินแต่ผัก โดยยอมให้กินมันฝรั่งอบในมื้อเช้าเพื่อกระตุ้นให้มีพลังงานในวันนั้น ส่วนวันที่สามให้กินผักและผลไม้ผสมกันพร้อมด้วยน้ำ 10-12 แก้ว (ห้ามกินกล้วยหอมเหมือนเดิม) สำหรับวันที่ 4 ผู้เข้าร่วมโครงการได้กินกล้วยหอมและนมไปพร้อมกับ wonder soup (ซึ่งประกอบด้วย หอมหัวใหญ่ 6 หัว พริกหยวก 2 หัว มะเขือเทศ 3 ผล กระหล่ำปลี 1 หัว ผักเซเลอรี 1 กำ ผสมน้ำ 22 ออนซ์ แล้วต้มให้สุก) หรือซุบผักอย่างอื่นก็ได้ พอถึงวันที่ 5 ผู้เข้าร่วมถูกกำหนดให้กินข้าวกล้อง ลิ่มน้ำนม (curd) หรือเต้าหู้ หรือเนยแข็ง และมะเขือเทศ ส่วนในวันที่ 6 นั้นกำหนดให้กินข้าวกล้องและผักหรือโปรตีนที่ใช้แทนเนื้อสัตว์ที่สามารถกินเข้ากันได้กับผัก ในวันนี้ห้ามกินมันฝรั่งแต่ยอมให้ผสมเนยแข็งหรือเต้าหู้ในชามผัก จนถึงวันที่ 7 ก็ยังคงกำหนดให้กินข้าวกล้อง 2 ถ้วย พร้อมกับผักและผลไม้ไม่จำกัด สามารถดื่มน้ำผลไม้ไปพร้อมกับน้ำดื่ม 8-10 แก้วท่านผู้อ่านบางท่านคงพอมองเห็นว่า อาหารจีเอ็มนั้นดูคล้ายกับอาหารที่เรียกว่า อาหารล้างพิษ ซึ่งผู้เสียเงินเข้าโครงการล้างพิษที่มีการโฆษณาทางเน็ตบางท่านได้เอ่ยกับผู้เขียนว่า เป็นการพาไปบังคับให้กินอาหารอดๆอยากๆ แบบมังสวิรัติโดยไม่เต็มใจนั่นเอง และถ้าพิจารณาสูตรการลดน้ำหนักแบบอาหารจีเอ็มนี้ให้ถ่องแท้จะพบว่า ไม่ได้มีความคำนึงถึงการกระจายตัวของสารอาหารแต่ละวันในแง่ของอาหารห้าหมู่เลย บางเว็บกล่าวว่า โดยหลักการแล้วโครงการนี้มุ่งให้ผู้เข้าร่วมใช้พลังงานมากกว่าที่กินเข้าไปเพื่อให้ลดน้ำหนักให้ได้ (อาจเนื่องจากได้สารอาหารไม่ครบในแต่ละวัน) ซึ่งผู้เขียนค่อนข้างกังวลในแง่ของสุขภาพโดยรวมของผู้เข้าร่วมโครงการเกี่ยวกับการขาดโปรตีนมากไปในบางวัน จนภูมิต้านทานต่ำและร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมส่วนสึกหรอได้ดีพอ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 187 ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายเกินจริง

หากเราตัดสินใจเช่าซื้อรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ แต่ไม่สามารถผ่อนชำระได้ตามที่ตกลงกันไว้ ทางออกที่สามารถทำได้ง่ายๆ คือ ให้บริษัทยึดรถคันดังกล่าวไปขายทอดตลาด และเราก็รอชำระหนี้ส่วนต่างที่เหลืออยู่ อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีนี้ผู้ร้องกลับถูกเรียกร้องให้ชำระหนี้เท่ากับราคาขายทอดตลาด ซึ่งเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรเราลองมาดูกัน   เมื่อปี 2549 คุณสุชัยเช่าซื้อรถยนต์มือหนึ่งยี่ห้อ Honda รุ่น Accord ในราคาเกือบ 2 ล้านบาท จากบริษัทแห่งหนึ่ง โดยตกลงแบ่งชำระเป็นงวดจำนวน 60 เดือน หลังผ่อนชำระไปได้ 17 งวดก็ประสบปัญหาทางการเงิน ทำให้ค้างชำระติดกันเป็นเวลาหลายเดือน จึงตัดสินใจโทรศัพท์แจ้งให้ธนาคารมารับรถคืนไป โดยคิดว่าคงมีการนำรถไปขายทอดตลาด และให้ชำระหนี้ส่วนต่างที่เหลืออยู่ แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหลังผ่านไป 8 ปีกลับมีหมายศาลมาที่บ้านว่า เขาเป็นหนี้รถยนต์คันดังกล่าวอยู่กว่า 7 แสนบาท ซึ่งเขารู้สึกว่าเป็นราคาที่เกินจริง เนื่องจากไม่มีการแจ้งก่อนหน้านี้ว่ารถคันดังกล่าวขายได้ราคาเท่าไร ทำให้คุณสุชัยส่งเรื่องมาที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิเพื่อขอความช่วยเหลือด้านกฎหมายแนวทางการแก้ไขปัญหาทนายความของศูนย์พิทักษ์สิทธิช่วยทำคดีนี้ให้คุณสุชัย เพราะเมื่อตรวจสอบย้อนหลังพบว่า ทางธนาคารหรือผู้ให้เช่าซื้อ ได้นำรถยนต์คันดังกล่าวขายทอดตลาดไปแล้ว ทั้งยังอ้างว่าได้ราคากว่า 7 แสนบาท แต่ทางบริษัทกลับมาเรียกร้องเอาเงินจำนวนดังกล่าวกับคุณสุชัยอีก อย่างไรก็ตามเมื่อฟ้องร้องคดีในศาลก็ได้รับข้อยุติว่า บริษัทไม่ได้นำสืบให้เห็นชัดแจ้งว่า ทางธนาคารได้รับรถยนต์คันดังกล่าวคืนจากผู้ร้องเมื่อใด และขณะนั้นรถยนต์มีสภาพทรุดโทรมหรือได้รับความเสียหายเท่าใด ดังนั้นราคาขายทอดตลาดรถยนต์คันเช่าซื้อที่บริษัทอ้างจึงมีน้ำหนักน้อย ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าราคาเช่าซื้อที่ขาดเป็นจำนวนตามที่ฟ้องนอกจากนี้เบี้ยปรับตกลงไว้ ถือเป็นการกำหนดความรับผิดล่วงหน้าในลักษณะทำนองเบี้ยปรับ จึงเห็นว่าราคาเช่าซื้อรถยนต์ตามฟ้องมีการคิดราคาบวกด้วยผลประโยชน์และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่ราคาทรัพย์ที่แท้จริง ดังนั้นเมื่อผู้ให้เช่าซื้อได้รับค่าเช่าซื้อบางส่วนกับราคาขายรถยนต์คันนี้แล้ว จึงกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้เพียง 50,000 บาท โดยคำนวณจากราคาที่ผู้ร้องได้ชำระไปแล้ว รวมราคาที่บริษัทอ้างว่าขายทอดตลาดได้ นำไปหักลบจากราคารถยนต์ในขณะที่ทำสัญญา พร้อมให้จ่ายดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินต้น จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จเรียบร้อย ทั้งนี้ตามหลักตามกฎหมายสัญญาเช่าซื้อ กำหนดเรื่องการคืนรถยนต์ไว้ว่า เมื่อผู้ให้เช่าซื้อได้รับรถยนต์คันดังกล่าวกลับคืนไปแล้ว ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกัน ผู้ร้องไม่ต้องชดใช้ค่างวดรถตามสัญญาแล้ว โดยเมื่อมีการนำรถขายทอดตลาด ผู้ให้เช่าซื้อต้องแจ้งล่วงหน้าให้ผู้เช่าซื้อทราบไม่น้อยกว่า 7 วัน เพื่อให้ผู้เช่าซื้อใช้สิทธิซื้อได้ตามจำนวนหนี้คงค้างตามสัญญา หากนำรถขายได้ราคาน้อยกว่าหนี้ที่ค้าง ผู้เช่าซื้อตกลงรับผิดชอบส่วนที่ขาดเฉพาะในกรณีที่เจ้าของได้ขายโดยวิธีประมูลหรือขายทอดตลาดที่เหมาะสม ซึ่งถือว่าเป็นข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อที่ไม่ได้กำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องรับภาระสูงเกินกว่าที่ควร นอกจากนี้สำหรับใครที่ต้องการคืนรถไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ ควรเก็บหลักฐานสำคัญไว้ด้วย ดังนี้ รูปถ่ายสภาพรถหลายๆ มุม ใบประเมินราคารถว่าในขณะนั้นหากขายทอดตลาดจะได้ราคาประมาณเท่าไร รวมทั้งเอกสารการส่งรถคืน เนื่องจากจะได้มีหลักฐานยืนยันหากเกิดกรณีฟ้องร้องขึ้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 154 3 ฤดูกาลกับ EDT แหล่งเที่ยว กิน ช้อป

อากาศหนาวในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ทำให้นักท่องเที่ยวจำเป็นต้องแสวงหาสถานที่ท่องเที่ยวกันใหญ่ จะเลือกภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคใต้หรือภาคกลาง นั้น อยู่ที่ความต้องการของนักท่องเที่ยวว่าอยากได้บรรยากาศแบบใด แต่พูดได้เลยว่าทุกคนต้องอยากสัมผัสอากาศหนาวแน่นอน ดังนั้นภาคเหนือจึงตกเป็นอันดับหนึ่งที่จะเลือกเดินทางไปท่องเที่ยวกัน สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในประเทศไทย มีสถานที่ที่น่าสนใจหลายที่ อาจจะเยอะเกินไปด้วยซ้ำ จนไม่สามารถเลือกได้ถูก  www.EDTguide.com  เป็นเว็บไซต์ที่หลายคนรู้จักกันมานาน โดยได้รวบรวมข้อมูลกินดื่มเที่ยวในประเทศไทย พร้อมแผนที่ให้ได้ค้นหาข้อมูลอย่างง่ายดาย นอกจากเว็บไซต์แล้ว ยังมีแอพพลิเคชั่นออกมา 3 แบบ คือ EDT in Winter , EDT in Summer และ EDT in Rainy ให้ผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนสามารถเข้าถึงข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว แหล่งอาหาร ได้อย่างรวดเร็ว แอพพลิเคชั่น EDT in Winter เป็นแอพพลิเคชั่นที่รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวในฤดูหนาวที่น่าสนใจ สถานที่กิน และที่พักบริเวณใกล้เคียง ส่วนแอพพลิเคชั่น EDT in Summer และ EDT in Rainy ก็มีลักษณะเหมือนกัน เพียงแต่แหล่งท่องเที่ยวจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลของประเทศไทย   ภายในแอพพลิเคชั่นจะมี 4 หมวดให้เลือก ดังนี้ Home จะแสดงภาพและชื่อสถานที่ท่องเที่ยวที่ติดอันดับในช่วงฤดูกาลนั้นๆ โดยสามารถคลิกเข้าไปดูรายละเอียดว่ามีความสำคัญอย่างไร พร้อมมีแผนที่แสดงให้ทราบถึงตำแหน่งแหล่งท่องเที่ยว และมีข้อมูลแนะนำถึงสถานที่กิน แนะนำเรื่องดื่ม แนะนำเรื่องเที่ยว และแนะนำเรื่องที่พัก เมื่อคลิกเข้าไปดูรายละเอียดแอพพลิเคชั่นนี้ได้รวบรวมภาพแหล่งท่องเที่ยวนั้นๆ ให้ได้ดูอีกด้วย หมวดที่สอง คือ EDT index จะมีข้อมูลเรื่องต่างๆ ไม่ว่าเรื่องกิน ดื่ม เที่ยวและที่พัก โดยทั่วไป ไม่เฉพาะเจาะจงเหมือนกันหน้า Home หมวดที่สาม คือ Favorites เป็นหมวดที่ผู้ใช้แอพพลิเคชั่นได้ตั้งค่าไว้ว่าสถานที่ใดเป็นสถานที่ที่ชื่นชอบ โดยจะต้องลงทะเบียนกับทาง EDT ในหมวดที่สี่ คือ Setting ซะก่อน  เพื่อ log in เข้าไปดูรายละเอียดต่างๆ ได้ หมวดสุดท้ายเป็นหมวด More App จะเป็นหน้าที่รวบรวมแอพลิเคชั่นต่างๆ ไว้ในหัวข้อที่ทางแอพพลิเคชั่นนี้สร้างไว้ ได้แก่ หัวข้อ Recommend New Release, Travel, Horoscope, Food ลองดูกันนะคะว่า ภาพในแอพพลิเคชั่นนี้น่าจะช่วยทำให้การตัดสินใจเลือกแหล่งท่องเที่ยวได้ง่ายขึ้นบ้าง คราวนี้ก็เตรียมตัวแพ็คกระเป๋าเดินทางไปพักผ่อนในช่วงสิ้นปีได้เลยค่ะ   //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 162 พฤติกรรมการกินที่ดี ช่วยคุณได้

รสนิยมในการกินอาหารของชาวอเมริกันโดยเฉลี่ยดูแล้วน่าสงสาร เพราะกินแต่อาหารมีพลังงานและไขมันสูง อีกทั้งรสชาติอาหารก็ซ้ำซากอย่างที่เห็นในภาพยนตร์จากฮอลลิวู้ด ขาดความประณีตและจินตนาการในการปรุงแต่ง ดังนั้นทุกครั้งที่เพื่อนชาวอเมริกัน(สมัยที่ผู้เขียนมีโอกาสไปเรียนในสหรัฐอเมริกา) ได้รับคำเชิญให้ร่วมงานกินอาหารของชาวเอเชียแล้ว ส่วนใหญ่ไม่ปฏิเสธและตั้งตารอ Annie Tucker Morgan และ Divine Caroline จาก www.care2.com ได้เขียนบทความเกี่ยวกับ  Healthy Diet Habits from Around the World ซึ่งเล่าถึงพฤติกรรมการกินอาหารที่ทั้งสองคนเชื่อว่า น่าจะช่วยให้สุขภาพของชาวอเมริกันที่ทำตามดีขึ้น ผู้เขียนจึงขอนำมาเล่าสู่กันฟัง เพราะปัจจุบันคนไทยหลายส่วนก็ใกล้จะเป็นชาวอเมริกันเข้าไปทุกขณะแล้ว พฤติกรรมแรกเป็นของคน “โปแลนด์” ซึ่งกินอาหารที่บ้านเป็นประจำ จึงกำหนดปริมาณอาหารไม่ให้มากเกินไปได้ ต่างจากเวลาไปกินอาหารนอกบ้าน ซึ่งอาหารแต่ละจานบางครั้งก็มากเกิน จนผู้บริโภคต้องยอมท้องแตกดีกว่าของเหลือ เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจ ชาว “แกมเบีย” ในอัฟริกาจึงเลือกกินถั่วหลากชนิด เป็นอาหารหลัก เพราะได้ทั้งโปรตีน แป้ง ไขมัน รวมถึงวิตามินและแร่ธาตุ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวทำให้ชาวแกมเบียเป็นกลุ่มชนที่มีอัตราการเป็นโรคอ้วนและมะเร็ง(ในภาพรวมทุกชนิด) ต่ำที่สุดในโลกชาติหนึ่ง   ถ้าถามหนุ่มอเมริกันว่า สาวชาติใดเซ็กซี่มากที่สุดในโลกในการเยื้องย่างร่างกาย คำตอบส่วนใหญ่มักยกให้ สาว “บราซิล” ซึ่งมีสไตล์การเต้นแซมบ้าที่เร้าใจ โดยไม่มีหน้าท้องมาขัดขวางการส่ายสะโพก แม้ว่าชาวบราซิเลียนกินอาหารที่มีแป้งค่อนข้างสูง แต่ก็เป็นแป้งในรูปเมล็ดธัญพืชและถั่วทั้งเมล็ด ซึ่งมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Obesity Research สนับสนุนว่า อาหารแป้งในอาหารบราซิเลียนนั้นลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนถึงร้อยละ 14 เพราะมีใยอาหารและไขมันต่ำ ทั้งช่วยชะลอการเพิ่มความเข้มข้นของน้ำตาลในเลือดและทำให้อิ่มทน สำหรับอาหารที่มีเครื่องเทศสูงของ “ไทยและมาเลเซีย” สามารถทำให้คนอเมริกันหลั่งน้ำตามานักต่อนักด้วยความซาบซึ้งว่า ได้กินของดีที่ทำให้แสบร้อนตั้งแต่รากผมถึงปลายเท้า เพราะเครื่องเทศในอาหาร เช่น ขมิ้นซึ่งมีสารเคอร์คิวมิน (curcumin) ช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงานจากอาหาร ส่งผลให้กินช้าลงเพราะต้องคอยซดน้ำเปล่าล้างความเผ็ดร้อนและอิ่มก่อนที่ร่างกายจะถึงจุดอิ่มจริง ซึ่งต่างจากอาหารของชาวอเมริกัน ซึ่งมักทำให้รู้สึกอิ่มหลังจากกินเกินเข้าไปแล้ว เนื่องจากอาหารไขมันสูงมักทำให้เรารู้สึกอร่อยจนหยุดไม่อยู่ ปรัชญาการไม่พลาดอาหารเช้าของชาว “เยอรมัน” นั้น ดูขัดความรู้สึกว่ามันน่าจะทำให้อ้วน แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนว่า อาหารเช้าช่วยให้น้ำหนักลดถ้าเริ่มอย่างถูกต้อง คือ มีไข่ ธัญพืชทั้งเมล็ดและผลไม้ เพื่อเปิดสวิทช์การใช้พลังงานในร่างกายและตอบสนองความต้องการของสมอง ซึ่งลดโอกาสการตะกายหาอาหารกิน (เกิน)ในช่วงสายเหมือนคนละเลยอาหารเช้า ที่มาแปลกแต่ดูเป็นประโยชน์มากคือ ความคิดของชาวดัชท์ใน “เนเธอร์แลนด์” เกี่ยวกับการขยับแข้งขยับขาก่อนกินอาหาร โดยชาวดัทช์มักถีบจักรยานเพื่อไปซื้ออาหารมากิน ต่างจากชาวอเมริกันที่นิยมระบบ Drive in เพื่อซื้ออาหารจานด่วนมานั่งคุดคู้กินในรถ ที่น่าสนใจคือ ในเนเธอร์แลนด์นั้นจำนวนจักรยานมีมากกว่าจำนวนพลเมืองเสียอีก และกว่าครึ่งของชาวดัทช์ใช้จักรยานในการเดินทางประจำวัน ซึ่งเผาผลาญพลังงานได้ราว 550 แคลอรีต่อชั่วโมง ผู้คนรอบทะเลเมดิเตอเรเนียน เช่น “กรีก” รวมทั้งชาวเอเชียมองเนื้อสัตว์เป็นเพียงส่วนเสริมของมื้ออาหารโดยให้ความสนใจกับพืชผักท้องถิ่น เช่น น้ำมันมะกอก มะเขือต่างๆ และมองหาโปรตีนที่มาจากถั่ว ซึ่งตรงกันข้ามกับความคิดแบบอเมริกันๆ ที่ให้เนื้อสัตว์และมันฝรั่งเป็นองค์ประกอบหลักของอาหารแต่ละมื้อ สำหรับเครื่องดื่มในมื้ออาหารนั้นชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่รู้จักศีลข้อ 5 เรื่องห้ามดื่มสุรา เบียร์จึงขายดีมาก ต่างจากชาว “อัฟริกาใต้” ที่นิยมดื่มชาแดงรอยบอส (Rooibos) ซึ่งถูกสกัดจากใบและกิ่งของต้น แอสปาเลตัสลีเนียรีส (Aspalathus linearis) ซึ่งเป็นไม้พุ่มและขึ้นที่เดียวในโลกคือ อัฟริกาใต้ ชานี้มีความหอมและรสชาติดีพร้อมคาเท็คชิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ปราศจากคาเฟอีนและมีแทนนินต่ำ แต่ถ้าเป็นความยากลำบากในการหาชาดังกล่าว ไทยมีชาสมุนไพรเพื่อสุขภาพมากมายหลายชนิด ที่ผู้เขียนขอแนะนำให้ชาวอเมริกันคือ ชามะตูม เพราะทั้งหอมและมีรสละมุน การปรับให้อาหารกลางวันเป็นมื้อหลักแทนอาหารค่ำตามพฤติกรรมการกินของ “ชาวยุโรปและเม็กซิโก” น่าจะดีกว่าการที่ชาวอเมริกันชอบยกเลิกมื้อเช้า กินกลางวันให้น้อยหน่อย เพื่อสงวนกระเพาะอาหารสำหรับมื้อเย็นพร้อมการสังสรรค์ จากนั้นก็ไปนอนเพื่อให้อาหารถูกย่อยกลายเป็นพลังงานสำหรับสร้างไขมันสะสมที่พุง สารคดีในโทรทัศน์บางเรื่องให้ความรู้เกี่ยวกับการกินอาหารของชาวยุโรปว่า มีความพิถีพิถันในการปรุงและตั้งราคาให้แพงเข้าไว้ จึงต้องกินแต่เพียงน้อย สุขภาพของคนที่กินอาหารตามแบบยุโรปจึงค่อนข้างดีกว่าคนที่กินอาหารแบบอเมริกัน ปัญหาของคนที่ชอบกินของอร่อยและลดน้ำหนักไม่ได้คือ กินเร็ว แบบว่าชอบออกกำลังแขนด้วยการยกช้อนส้อมด้วยความถี่สูง มีผู้ช่างสังเกตพบว่า ชาวอเมริกันร้อยละ 28 ได้พบหน้าคนในครอบครัวที่โต๊ะอาหารมื้อเย็น ในขณะที่ชาว “ฝรั่งเศส” ร้อยละ 92 กินอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันเป็นประจำในตอนค่ำ ซึ่งการกินอาหารพร้อมกันนั้นทำให้ต้องกินช้า (มิเช่นนั้นอาหารอาจติดคอเวลาพูดคุยกัน) นักสรีรวิทยากล่าวว่า ระหว่างการเคี้ยวข้าวให้แหลกในปากนั้น จะมีการย่อยแป้งด้วยเอนไซม์อมัยเลสจากน้ำลาย ก่อให้เกิดน้ำตาลกลูโคส ซึ่งถูกดูดซึมเข้าเลือดส่งไปยังสมองทำให้รู้สึกอิ่ม ซึ่งต่างจากคนที่กลืนข้าวโดยไม่เคี้ยวจะอิ่มช้ากว่า จึงกินได้มากกว่าและอ้วนกว่า การเพิ่มปลาและอาหารทะเลอื่นในมื้ออาหารมากขึ้นตามแบบพฤติกรรมการบริโภคของชาว “ญี่ปุ่นและดัทช์” นั้น ทำให้ผู้บริโภคได้กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโอเมกาสาม ซึ่งเชื่อกันว่ากระตุ้นการทำงานของสมองเด็ก ลดความเสี่ยงต่อปัญหาของเส้นเลือดหัวใจ และลดการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเพิ่มการสะสมของไขมันหน้าท้อง ที่สำคัญอาหารทะเลส่วนใหญ่เว้นปลาหมึกมีไขมันต่ำผู้บริโภคจึงมักกินกันได้เต็มที่ ลักษณะพิเศษชาวญี่ปุ่นซึ่งชาวอเมริกันค่อนข้างชื่นชมแกมอิจฉาคือ ไม่ค่อยอ้วนเมื่อแก่ โดยเฉพาะเมื่อชะแง้แลดูชาวโอกินาวา ซึ่งมีพฤติกรรมการกินแบบที่เรียกว่า ฮารา ฮาชิ บุ (hara hachi bu) ซึ่งหมายความว่า ให้หยุดกินเมื่อเริ่มอิ่ม เพราะถ้ารอให้รู้สึกอิ่มจริง กระเพาะจะขยายตัวเองใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการเดินออกจากโต๊ะอาหาร หลังจากจ่ายค่าอาหารแล้วอย่างเร็วโดยไม่อ้อยอิ่งเติมของหวาน นำไปสู่การมีดัชนีมวลกายที่ดูดี ชาวโอกินาวานั้นมีค่าดัชนีมวลกายเฉลี่ย 21.5 ในขณะที่ชาวอเมริกันตัวเลขอยู่ที่ 28 ส่วนคนไทยก็ตัวใครตัวมันนะครับท่าน ที่เขียนให้อ่านนี้ก็เพียงหวังว่า ท่านผู้อ่านที่ฉลาดซื้อ จะสนใจหยิบยกเรื่องราวดี ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันบ้างไม่มากก็น้อย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 155 ข้าวนอกบ้าน(เพื่อสุขภาพ)

สำหรับบทความนี้ผู้เขียนขอเล่าเรื่องต่อจากฉบับที่แล้ว ซึ่งเป็นข้อมูลจาก www.nhs.uk โดยหัวข้อที่เลือกในฉบับนี้ชื่อว่า Healthy eating out หรือ กินข้าวนอกบ้านเพื่อสุขภาพ ซึ่งดูเหมาะกับสภาวะความเป็นอยู่ของคนเมืองใหญ่ที่หลายคนต้องอยู่คอนโดมิเนียม NHS ให้ความรู้แก่คนอังกฤษว่า ถ้าต้องไปกินอาหารนอกบ้านตามร้านจานด่วนหรือภัตตาคาร โอกาสเจออาหารที่ดีนั้นยังมีอยู่ ทั้งนี้เพราะอาหารที่จะมาวางบนโต๊ะนั้นเป็นการเลือกของคุณเอง ที่สำคัญคุณต้องสามารถมองออกว่า อาหารแต่ละจานที่วางบนโต๊ะนั้นเป็นประเภท กินแล้วอ้วนแน่ เบาหวานถามหา หรือความดันขึ้นสูงหรือไม่ อย่างไรก็ตามแม้อาหารที่ก่ออันตรายในลักษณะดังกล่าวมีอยู่ สำหรับคนไทยแล้วคุณมีสิทธิเลือกจะไม่กิน หรือกินแต่พอรู้รส ทั้งนี้เพราะความสุขของมนุษย์อย่างหนึ่งคือ การได้กินของที่ชอบ แต่ต้องกินแบบมีสติสัมปชัญญะ คือ รู้ว่าควรกินเท่าไรแล้วควรไปตัดบางส่วนของอาหารชิ้นอื่นออกท่าไร เช่น ถ้าใจมันอยากกินข้าวขาหมูและได้พยายามไม่กินส่วนที่เป็นหนังมัน ๆ แล้ว ท่านยังต้องมองที่จะตัดอาหารอื่นที่ให้พลังงานสูง เช่น แกงกะทิ ออกไปด้วย เพราะยังไง ๆ ข้าวขาหมูก็ต้องมีมันบ้างไม่มากก็น้อย   ความรู้หนึ่งที่ท่านผู้อ่านควรมีไว้ประดุจเป็นอาวุธต่อสู้โรคภัยจากการกินคือ รู้ว่าอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ได้แก่ ขาหมูพะโล้ หมูกรอบ กุนเชียง ไอศกรีมทำเอง (ซึ่งอุดมทั้งนมเนยไข่) รู้ว่าอาหารอะไรมีน้ำตาลสูงเช่น น้ำชานั้นโดยธรรมชาติมีรสขม ถ้าจะทำให้หวานสดชื่นจะต้องใส่น้ำตาลหลายช้อนโต๊ะ ส่วนน้ำมะตูมนั้นแม้ไม่หวานนัก แต่ก็มีความหอมธรรมชาติที่ไม่ต้องเติมน้ำตาลมากก็ทำให้เกิดความชื่นใจได้ ผู้เขียนนั้นได้รับการสอนมาไม่ให้กินทิ้งกินขว้าง จึงมักกินอาหารในลักษณะที่ล้างจานได้ง่าย ในขณะที่หนุ่มสาวปัจจุบัน สั่งอาหารกินตามที่ตาเห็นว่าน่ากิน แต่พอเข้าปากแล้วไม่ถูกใจ ก็เลิกกินอาหารจานนั้น ซึ่งดูแล้วขัดตาผู้เขียนยิ่งนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องกินอาหารจนหมดจานก็ได้ (แม้ว่ามันจะสุดอร่อย) เมื่อรู้สึกอิ่มแล้วก็หยุดกิน ฝรั่งใช้สำนวนว่า “You don't need to clear your plate. Instead, eat slowly and stop when you are full.” วิธีนี้ทำให้ความเสี่ยงในการกินอาหารเกินจำเป็นลดลง หลายท่านอาจเคยเตลิดเปิดเปิงไปกับอาหารที่มีน้ำตาลสูง ถ้าต้องไปงานเลี้ยงที่สอดแทรกการทะนุบำรุงวัฒนธรรมการกินอาหารไทย ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่า ทองหยิบ ฝอยทอง เม็ดขนุน ฯลฯ นั้นเมื่อกินแล้วมักหยุดยาก จึงต้องมีใจหนักแน่น หายใจเข้านึกรู้ว่าอ้วนแน่ หายใจออกนึกรู้ว่าโรคถามหา ที่สำคัญถ้าไปงานเลี้ยงแบบฝรั่ง ซึ่งขนมนมเนยเต็มที่นั้น ขอให้มองให้ออกว่า ประตูสู่นรกของสุขภาพเลวเปิดกว้างแล้ว บทความ Healthy eating out นั้นมีเรื่องที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ คำแนะนำให้เปลี่ยนใจไม่กินอาหารอย่างหนึ่งไปกินอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่าว่า food swap ซึ่งน่าจะมีความหมายใกล้กับคำว่า food exchange แต่ไม่เหมือนกันทีเดียวเพราะ food swap นั้นเป็นการมองที่ชนิดอาหารโดยรวม ในขณะที่ food exchange นั้นมองลงลึกถึงองค์ประกอบทางโภชนาการของอาหารที่เทียบเท่ากัน ตัวอย่างของ food swap คือ คำแนะนำเมื่อไปกินอาหารตามภัตตาคารเช่น ถ้าเบื่อเนื้อไก่ไม่มีหนังนั้นสามารถเปลี่ยนไปกินเนื้อสัตว์ไม่ติดมันอื่นเช่น แฮม หรือปลา (ซึ่งไม่ได้ทำให้สุกโดยการทอด) ถ้าไม่ต้องการกินขนมพาย เบคอนและไส้กรอก ก็หันไปกิน pulses ซึ่งหมายถึง เมล็ดถั่วต่าง ๆ ส่วนเครื่องปรุงเช่น ซอสที่มีครีมและเนยแข็งนั้นควรเปลี่ยนไปใช้ซอสที่ทำจากผักหรือผลไม้เช่น ซอสมะเขือเทศ เป็นต้น ผู้เขียนนั้นค่อนข้างเห็นด้วยกับการใช้ food swap มากกว่า food exchange เพราะถ้าจำเป็นต้องกินสลัดเพื่อให้ได้ผัก ตามภัตตาคารมักทำสลัดแบบฝรั่งซึ่งมีน้ำสลัดที่มีค่าพลังงานสูง ทั้งที่คนไทยควรกินสลัดผักไทยคือ ส้มตำ ซึ่งสามารถเปลี่ยนชนิดของผักเป็นอะไรก็ได้ อีกทั้งน้ำสลัดของส้มตำนั้นพลังงานต่ำมาก ส่วนในกรณีท่านที่พ้นวัยรุ่นมาหลายฝนแล้วแต่ยังต้องการดื่มนมก็น่าจะเป็นการดื่มนมถั่วเหลือง เพราะมีไขมันต่ำและมีสารไฟโตเคมิคอลซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม บทความกินอาหารนอกบ้านเพื่อสุขภาพได้มีการแนะนำเคล็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการเลือกสั่งอาหารในเมนูที่เขียนว่า เพื่อสุขภาพ (ซึ่งในร้านอาหารบ้านเรายังไม่มี) บริกรในประเทศพัฒนาแล้วมักอธิบายได้ว่า มันเป็นอาหารสุขภาพด้วยเหตุผลใด ความจริงอาหารไทยเช่น แกงป่าต่าง ๆ ส้มตำ ขนมถั่วแปบนั้นจัดเป็นอาหารสุขภาพได้เลย ในหลายประเทศที่เจริญแล้ว เมนูของร้านอาหารนั้นได้มีการกำกับจำนวนพลังงานที่ท่านจะได้รับโดยประมาณไว้ด้วย ซึ่งประเทศไทยน่ามีกฎหมายบังคับกับอาหารจานด่วนที่วัยรุ่นชอบกิน เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถกำหนดได้ว่า จะกินอะไรบ้างเพื่อไม่ให้พลังงานที่ได้รับต่อวันไม่เกินไปจากที่ควรเป็นคือ หญิง 2000 กิโลแคลอรี และชาย 2500 กิโลแคลอรี ประเด็นหนึ่งที่บทความดังกล่าวย้ำเน้นคือ เมื่อไปรับประทานอาหารตามร้านนั้น ผู้บริโภคมักไม่เคยได้เห็นว่า พ่อครัวหรือแม่ครัวได้ทำการปรุงอาหารในลักษณะใด  ผู้บริโภคจึงควรบริหารสิทธิโดยถามว่า อาหารแต่ละจานนั้นปรุงแบบใดเช่น กรณีของคนไทยกินก๋วยเตี๋ยว ควรถามผู้ปรุงหรือสำทับหลังสั่งอาหารว่า ไม่ต้องใส่ผงชูรส (เพิ่มจากที่มีอยู่ในน้ำซุปแล้ว) เป็นต้น เรื่องการถามวิธีการปรุงอาหารนี้ไม่สำคัญเลยถ้าท่านไปโจ้ส้มตำไก่ย่างข้างปัมพ์น้ำมัน เพราะเราเห็นได้แน่ ๆ ว่า แม่ค้าปรุงอาหารสะอาดหรือสกปรกเพียงใด เติมอะไรให้เรากินบ้าง น้ำมะนาวนั้นเป็นมะนาวเทียมหรือเปล่า (ถ้าสนใจสังเกต) สิ่งที่สำคัญในกรณีของส้มตำนั้น ควรมีคำถามติดปากว่า ปูเค็มหรือปลาร้า นั้นสุกหรือไม่ มิเช่นนั้นถ้าติดเชื้อที่ทำให้ท้องเสียแล้วก็ไม่ควรบ่นให้เสียเวลา เพราะเข้าตำราว่า กินอยู่กับปาก (อ)ยากอยู่กับท้อง ในยุคสมัยที่คนไทยยอมรับกันแล้วว่า วัฒนธรรมการกินของคนไทยในเมืองใหญ่นั้นไม่ต่างจากชาวตะวันตก เพราะชีวิตมันรันทดนัก ต้องเร่งรีบซื้อ รีบกิน รีบกลับไปทำงาน ดังนั้นอาหารที่กินง่ายเช่น แซนด์วิชจึงตอบสนองกับรูปแบบชีวิตได้ดี บทความดังกล่าวได้แนะว่า ถ้ายังมีโอกาสทำแซนด์วิชไปกินเองที่ทำงานก็ควรทำ เพราะประหยัดเงินและสามารถจัดให้อาหารจานด่วนนี้มีคุณค่าทางโภชนาการดูดีและสะอาดเท่าที่เราต้องการ เช่น การเลือกใช้ขนมปังที่ทำจากแป้งสาลีไม่ขัดสี การใส่ผักในแซนด์วิชให้มากพอที่ควรลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ผู้เขียนไม่กล้าใช้คำว่า โภชนาการครบ กับการกินอาหารประจำวัน เพราะจริง ๆ แล้วมีใครบ้างสามารถทำให้อาหารแต่ละจานมีคุณค่าโภชนาการครบได้จริง ที่เป็นไปได้ก็แค่ดูเหมือนครบ ซึ่งแค่ดูเหมือนก็คงพอแล้ว เช่น ขอให้มีผักผลไม้ประมาณกึ่งหนึ่งในมื้ออาหาร เป็นต้น ประเด็นหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากต่อผู้ที่ต้องซื้ออาหารกินคือ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยอาหาร ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดมักเน้นย้ำว่า ท่านต้อง “อ่านฉลาก” ที่ติดที่ภาชนะบรรจุอาหารให้เข้าใจทุกครั้งว่า ท่านได้สารเจือปนในอาหารสักเท่าไร โดยเฉพาะถ้าเป็นอาหารที่ได้จากผู้ผลิตซึ่งทำตามมาตรฐานที่ดีแล้ว จะบอกสิ่งสำคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับสุขภาพที่ผู้บริโภคควรรู้ต่าง ๆ เช่น ปริมาณเกลือ สำหรับผู้ที่มีอาการความดันโลหิตสูงหรือไตไม่ปรกติ เป็นต้น ดังนั้นท่านอาจต้องทำป้ายติดที่โต๊ะอาหารว่า วันนี้คุณอ่านฉลากอาหารแล้วหรือยัง   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 147 กินดิน

มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตบนดาวโลกที่กินอาหารด้วยแรงขับสองประการคือ สัญชาติญาณเพื่อการอยู่รอด ซึ่งกินอาหารเพราะต้องการสารอาหาร เพื่อคงไว้ซึ่งการทำงานของอวัยวะภายใน แต่แรงขับที่สองนั้นเป็นการกินเพราะความอยากคือ กินในสิ่งที่ต้องมีการไขว่คว้าหามา ไม่ว่าด้วยตนเองหรือใช้พลังเงิน ความจริงแล้วสัตว์ป่าเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะใหญ่เป็นช้างจนถึงเล็กเป็นนกก็มีการกินอาหารบางอย่างที่ดูไม่ได้เป็นอาหารปรกติ จนเหมือนเป็นการกินเพื่อความบันเทิง เช่น การกินดินโป่ง เพื่อให้ได้สารอาหารสำคัญที่สัตว์ป่าต้องการแต่มีน้อยในอาหารปรกติคือ เกลือ ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบสรีรวิทยาของร่างกายสัตว์หลายชนิด ดินโป่งของสัตว์ป่านั้น ในวิกิพีเดีย (ไทย) อธิบายว่า เป็นแหล่งดินที่มีรสเค็มและละเอียด ซึ่งเกิดจากแร่ธาตุบางชนิด เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แร่ธาตุในโป่งประกอบไปด้วย โซเดียม แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส และสังกะสี ซึ่งเป็นที่ต้องการของกระดูกและกล้ามเนื้อ แร่ธาตุเหล่านี้เป็นสิ่ง ซึ่งสัตว์ไม่สามารถหาทดแทนได้จากพืช ดังนั้นโป่งจึงเป็นแหล่งแร่ธาตุสำหรับสัตว์ป่าซึ่งกินพืชเป็นอาหาร ส่วนใหญ่พบโป่งได้มากในป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และ ป่าดงดิบ จากมากไปน้อยตามลำดับ จะเห็นว่าการกินดินของสัตว์ป่านั้นเป็นการกินตามสัญชาติญาณ เพื่อทำให้ระบบภายในร่างกายมีการทำงานได้ตามปรกติ ดังนั้นการนำสัตว์ป่ามาเลี้ยงในเมืองโดยขาดความรู้เรื่องโภชนาการของอาหารสัตว์ป่านั้น จึงเป็นการทำร้ายสัตว์เพื่อความบันเทิงของมนุษย์โดยแท้   ท่านผู้อ่านที่มีอายุมากหน่อยคงเคยได้รับข่าวสารว่า คนไทยนั้นก็มีการกินดินกันมานานแล้ว นัยว่าเพื่อสนองความเปรี้ยวปาก เช่น คนเชียงใหม่เรียกดินที่นำมากินกันนั้นว่า “อิด หรือ อิบ” โดยเลือกดินเหนียวที่อยู่ลึกจากผิวดินประมาณ 2 เมตร อาจได้จากการขุดบ่อน้ำ แล้วนำดินนั้นมาหั่นเป็นแผ่นบางๆขนาดฝ่ามือแล้วผึ่งให้แห้ง การกินนั้นอาจเป็นเพราะความชอบกลิ่นรสโดยส่วนตัว หรือในช่วงการแพ้ท้องซึ่งมักต้องการกินอะไรบางอย่างที่ต่างไปจากพฤติกรรมการกินปรกติ รายละเอียดเรื่องนี้สามารถไปดูได้ที่ http://www.gotoknow.org/posts/130370 ส่วนที่เป็นข่าวในระบบสื่อสารมวลชนของไทยนั้นก็มีในราวปี 2528 ที่มีการทำข่าวว่า เด็กในอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ ยากจนอดอยากจนต้องกินดินต่างข้าว ซึ่งสุดท้ายแล้วต้องมีการเฉลยกันว่า การกินดินของเด็กนั้นเป็นเรื่องปรกติของเด็กที่มีความอยากเฉพาะตัว ไม่ได้อดอยากไม่มีอะไรกินจนถึงกับต้องขุดดินกิน ที่สำคัญเรื่องของการกินดินนั้นสามารถค้นหาข้อมูลดูได้จากระบบอินเตอร์เน็ทซึ่งมีผู้ลงข้อมูลว่า การกินดินนั้นมีอยู่ทั่วโลก การกินดินเพราะแพ้ท้องนั้น มีปรากฏในวรรณคดีที่ผู้เขียนเรียนในสมัยเรียนชั้นมัธยมศึกษาคือ ในหนังสือเรื่องราชาธิราชมีเรื่องเล่า กล่าวถึงมเหสีของพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ซึ่งเป็นพม่าเจ้าเมืองอังวะทรงอยากเสวยดินเพราะแพ้ท้อง การที่อยากกินของแปลกนี้เนื่องมาจากพระราชโอรสที่เกิดในพระครรภ์นั้น ชาติก่อนคือ พ่อลาวแก่นท้าว เคยมีความแค้นเคืองกับพระเจ้าราชาธิราชเจ้ามอญแห่งเมืองหงสาวดี (ซึ่งเป็นทั้งพระราชบิดาและศัตรูของพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องซึ่งเป็นพระราชบิดาในชาติต่อมา) ดังนั้นก่อนตายพ่อลาวแก่นท้าว จึงอธิษฐานต่อพระธาตุมุเตาว่า เกิดมาชาติหน้าจะขอแก้แค้นให้สำเร็จ แล้วด้วยความแค้นจัดเลยเผลออธิษฐานเรื่องที่กำหนดให้พระราชมารดาอยากกินดินกลางเมืองหงสาวดีด้วย แต่คงอธิษฐานดังไปหน่อย พระเจ้าหงสาวดีทรงทราบเลยทรงอธิษฐานเกทับเลยว่า ขอให้พระองค์ชนะต่อศัตรูซึ่งเคยเป็นลูกตลอดไป ดังนั้นพอทางพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องส่งทูตไปขอดิน ทางพระเจ้าหงสาวดีเลยส่งดินที่ขุดจากส้วมกลางเมืองหงสาวดีไปให้เป็นของขวัญกินเล่น เด็กที่ออกมาเมื่อโตขึ้นเป็นมังรายกะยอชวารบทุกครั้งก็แพ้ทุกคราว นิยายเรื่องนี้สอนว่า เวลาอธิษฐานอะไร ต้องกล่าวในใจมิเช่นนั้นจะมีคนอธิษฐานแบบเกทับเราได้ มูลเหตุที่ผู้เขียนสนใจหาเกร็ดความรู้เรื่องการกินดินมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้อ่านนั้น เพราะวันหนึ่งได้ดูข่าวทั้งทางโทรทัศน์และหน้าเว็บไซต์กล่าวถึง ร้านอาหารญี่ปุ่น แหวกแนวนำ "ดิน" มาทำอาหาร โดยพ่อครัวของร้านอาหารชื่อ โทชิโอะ ทานาเบะ ซึ่งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เคยทำอาหารฝรั่งเศสอยู่ถึง 20 ปีแล้วคงไม่รุ่งพอ จึงทดลองนำดินมาทำเป็นอาหารบริการลูกค้าที่ชอบของแปลก โดยพ่อครัวนายนี้ยืนยันว่า อาหารที่ทำมาจากดินมีประโยชน์มากมาย (แต่ไม่ได้บอกว่าใครยืนยันว่าประโยชน์นั้นเป็นจริง) ต่อคำถามว่าดินนั้นเอามาจากไหน พ่อครัวนายนี้กล่าวว่า ดินที่ทำเป็นอาหารได้นั้นต้องเป็นดินที่สะอาด และไม่มีสารเคมีปนเปื้อน โดยเขาได้เดินทางไปหาดินมาทำอาหารในหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นตามภูเขา แต่ท้ายที่สุดก็พบว่า ดินที่ใช้ได้จริงๆ คือ ดินที่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวดินจากเมืองคานุมะในจังหวัดโทชิกิ ซึ่งเป็นดินในระดับลึกจึงจะสะอาดพอที่จะสามารถนำมาใช้ทำอาหารได้ โดยเขามีตัวแทนคอยจัดหาดินสะอาดให้ทางร้านทุกวัน วันละ 1 กิโลกรัม เขาจึงมั่นใจได้ว่าดินที่ได้มาสะอาดไม่เป็นอันตรายต่อการบริโภค เมื่อได้ดินมาแล้วพ่อครัวท่านนี้จะจัดแจงร่อนดินเอาเศษทราย เศษหินแยกออกมา จากนั้นจึงนำดินมาเป็นส่วนผสม ตั้งแต่ในน้ำซุป นำมาผสมในอาหาร และปิดท้ายด้วยการราดดินบนเชอร์เบท สำหรับอาหารจานเด็ดของเขาคือ มันฝรั่งบดปั้นเป็นก้อนกลม มีเห็ดทรัฟเฟิลอยู่ตรงกลาง แล้วราดด้วยดิน   จากการพิเคราะห์คำอธิบายของพ่อครัวท่านนั้นแล้ว ไม่พบว่าตัวแทนจัดหาดินของเขาเคยเอาดินไปทำการตรวจวิเคราะห์เลยว่าดินมีสารพิษหรือไม่แต่อย่างไร   ถ้าท่านผู้อ่านลองใช้ Google หาข้อมูลเกี่ยวกับสารพิษในดินแล้ว จะพบข้อมูลที่น่าตกใจว่ามันมีมากมายมหาศาล โดยบางครั้งสารพิษก็สามารถซึมเข้าไปสะสมอยู่ในพืชเช่น กรณีสารหนูจากดินสะสมในพืชผักผลไม้ หรือเนื้อสัตว์ ทั้งที่พืชและสัตว์นั้นต่างก็มีกระบวนการกำจัดสารพิษของตนเองแต่ก็ยังตกค้างก่อพิษร้ายให้มนุษย์ซึ่งเป็นโซ่ข้อสุดท้ายของห่วงโซ่อาหาร   ดังนั้นท่านผู้บริโภคผู้ใดที่ได้รับข่าวการนำดินมาปรุงอาหารของพ่อครัวชาวญี่ปุ่นนี้แล้ว พึงตั้งสติระลึกให้ได้ว่า คนญี่ปุ่นนั้นมีความละเมียดละไม พิถีพิถันในการสรรหาของกินหลายอย่างที่ชวนให้เกิดอาการสวิงสวายของลำไส้ เช่น การกินปลาปักเป้าดิบรวมทั้งสัตว์ทะเลไม่สุกอีกหลายเมนู   ท้ายที่สุดแล้ว ผู้บริโภคซึ่งมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนดีอยู่ คงตั้งอยู่บนความเป็นอยู่ที่พอเพียง เมื่อหิวก็กินอาหารเพียงเพื่อความอยู่รอดของชีวิต เพื่อประกอบกรรมดีต่อสังคม ไม่ใช่มีชีวิตที่ตั้งหลักแต่จะกินเพื่อความสำราญของชีวิตที่เกิดมาครั้งหนึ่ง โดยปราศจากคำสรรเสริญจากผู้อื่นเมื่อจากโลกนี้ไปเพราะประกอบแต่กรรมชั่วเช่น กินหิน กินปูน กินทราย กินเหล็กเส้น เป็นต้น

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 167 ตรุษจีน : กินดี อยู่ดี ชีวีมีสุข

น่าจับตาดูเทศกาลตรุษจีนในเดือนกุมภาพันธ์ที่ใกล้จะมาถึงนี้  ลูกหลานจากแดนมังกรไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลก โดยเฉพาะชาวไทยเชื้อสายจีน ต้องมีการเซ่นไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษ เอาฤกษ์เอาชัยเสริมสิริมงคลกัน ยกใหญ่ตั้งแต่ต้นปีและที่พลาดไม่ได้บรรยากาศแผงตลาดพืชผักผลไม้และเนื้อสัตว์ ในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้น่าจะคึกคักไม่แพ้ในปีที่ผ่านมา ! ด้วยเหตุที่พิธีกรรมเซ่นไหว้ทั้งเทพเจ้าและบรรพบุรุษ จะพิถีพิถันประกอบไปด้วยของคาวและหวานนานาชนิด อย่างน้อยๆ 10 อย่าง ซึ่งมีการไหว้ 3-4 ชุด พร้อมด้วยน้ำชา สุรา และกระดาษเงิน กระดาษทองต่างๆ แถมยังมีผลไม้มงคลอีกทั้ง กล้วย แอปเปิล สาลี่ ส้ม องุ่น และสับปะรด ซึ่งล้วนแต่ให้ความเป็นมงคลกับชีวิต และนำโชคลาภ ความสงบร่มเย็นและความเจริญรุ่งเรืองมาให้กับลูกๆ  หลานๆ (เชื่อกันว่ากล้วย หมายถึง กวักโชคกวักลาภเข้ามา  ส้ม หมายถึง ความสวัสดีมหามงคล สาลี่ หมายถึง โชคลาภมาถึง องุ่น คือความเพิ่มพูน และสับปะรด หมายถึง มีโชคลาภมาหา) ลองมาดูกันว่า อาหารคาวไหว้ตรุษจีน มีอะไรบ้าง... ที่ขาดไม่ได้คือ ไก่ต้ม เป็ดต้ม แบบเต็มตัว มีหัว ปีก ลำตัวและขาครบทุกส่วน ซึ่งจะให้ความอุดมสมบูรณ์  และเท่าที่สำรวจราคาในสองปีที่ผ่านมาทั้งจากกระทรวงพาณิชย์และตามหน้าหนังสือพิมพ์ ได้เผยตัวเลขสินค้าไก่และเป็ดในช่วงเทศกาลราคาจะอยู่ที่ราวๆ 300 – 400 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนเนื้อปลาขึ้นอยู่กับขนาดว่าคนซื้อชอบตัวใหญ่หรือตัวเล็ก แต่ราคาเฉลี่ยตัวละประมาณ 200 -300 บาทต่อกิโลกรัม และอาหารทะเลทั้งปลาหมึก กุ้ง ราคาจะสูงแน่นอนซึ่งปีที่ผ่านมาพุ่งไปถึง 650 -700 บาทต่อกิโลกรัม จึงควรเตรียมทรัพย์ไว้ให้พร้อม ไม่เพียงแค่มีอาหารคาวอย่างเดียว...วัฒนธรรมของคนจีนยังไหว้ด้วยขนมและผลไม้อีกด้วย โดยขนมหวานที่เห็นผู้หลักผู้ใหญ่ไหว้กันบ่อยๆ ก็เน้นขนมเทียนและขนมเข่ง ที่ให้ความหมายหวานชื่น ราบรื่น และอุดมสมบูรณ์ ซึ่งมีราคาย่อมเยาเหมือนปีที่ผ่านมา เฉลี่ยอยู่ที่ชิ้นละ 10 บาท บางบ้านก็จะมี ขนมไข่ ขนมถ้วยฟู และขนมสาลี่ ที่ให้ความหมายในเชิงความเจริญรุ่งเรือง เฟื่องฟู ร่ำรวย ราคาก็แล้วแต่จำนวนชิ้นในแต่ละแพ็คเกจที่บรรจุขนมไว้ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วจะมี 4 – 6 ชิ้นต่อแพ็ค ราคาราวๆ 30 – 40 บาท ส่วนผลไม้เซ่นไหว้ราคาในช่วงเทศกาลแต่ละปีจะสูงขึ้นใกล้เคียงกันทุกปี เช่น  ส้ม 80 บาทต่อกิโลกรัม แอปเปิล สาลี่ ทับทิม กองละ 100 บาท เป็นต้น หากจะประเมินภาพรวมของเศรษฐกิจในช่วงเทศกาลตรุษจีนแล้ว ก็ต้องยิ้มรับกับความ เฮง เฮง เฮง อย่างที่คนไทยเชื้อสายจีนชอบพูดเสมอ เพราะในช่วงเทศกาลนี้ในหลายๆ ปีที่ผ่านมาได้สร้างเม็ดเงินสะพัดให้กับประเทศไทยอยู่ที่ราว ๆ 4 – 5 พันล้านบาท ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกของปีได้เป็นอย่างดี แต่ช่วยเหลือเศรษฐกิจแล้ว ก็อย่างลืมดูแลสุขภาพกันด้วย เพราะอาหารที่ใช้ไหว้บรรพบุรุษส่วนใหญ่เป็นของมัน แบบผัดๆ ทอด ๆ เนื้อสัตว์เป็นตัวๆ และขนมหวานเป็นชิ้นใหญ่ กินก็ระวังโรคอ้วนถามหาด้วย เพราะมีทั้ง ไขมันสูงและน้ำตาลสูง เรื่องนี้ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์(องค์การมหาชน) ออกโรงมาเตือนเองว่า ให้ลดแป้งและน้ำตาล รับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ และอย่าลืมจิบชาเพื่อล้างไขมัน ลดการกินเป็ดไก่ รับประทานเห็ดแทนเนื้อสัตว์ และเพิ่มเมนูปลาแทนน่าจะดีกว่า เพราะถึงแม้ว่าเทศกาลตรุษจีนจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ควรใส่ใจสุขภาพ รักษาและดูแลร่างกายให้ห่างไกลจากโรคภัยอยู่เสมอ “สุขภาพดีไม่มีขาย ใครอยากได้คงต้องดูแลกันเอง” นอกจากนี้ในเทศกาลตรุษจีน จะไม่ได้เป็นเพียงวันเทศกาลวันหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นวันแห่งการเริ่มต้นสิ่งใหม่ให้ชีวิต ด้วยความ มั่ง มี ศรี สุข อย่างแท้จริง หากชาวไทยเชื้อสายจีนได้มีโอกาสทำบุญกับบรรพบุรุษ เหมือนกับหลักขงจื้อที่ว่า “ร้อยความดี..ความกตัญญูมาเป็นที่หนึ่ง” แล้วจะดียิ่งขึ้นกว่านี้เมื่อทุกคนในครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา นึกถึงแต่สิ่งดีๆ ทำแต่สิ่งดีๆ ที่เป็นมงคล แล้วความเป็นสิริมงคลก็จะเข้ามาในชีวิตตลอดทั้งปี

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 163 ผลลัพธ์สุดท้าย “กินเจ” = กินอย่างมีคุณภาพ

เดือนนี้ขอเกาะติดกระแส เทศกาล “กินเจ” ช่วงเวลาที่ธงสีเหลืองแต้มด้วยข้อความสีแดง เห็นคำว่า “เจ” ชัดเจน และไม่ว่าท่านผู้บริโภคจะเดินไปย่านไหนก็จะเจอแต่อาหารที่โรยด้วยผักสีสันน่ารับประทาน ปราศจากเนื้อสัตว์หลากหลายเมนูทยอยออกมาวางขาย ทุกปีเราจะเห็นคนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง กินเจ บรรยากาศตามท้องถนนจึงคึกคักไปด้วยผู้ประกอบการขายอาหารเจ ตั้งแต่ร้านริมทางจนถึงห้างสรรพสินค้า ต่างก็งัดเมนูมาให้ผู้บริโภคได้เลือก ยิ่งในปีนี้จะมีเทศกาลกินเจ 2 รอบ เป็นครั้งแรกในรอบ 132 ปี คนจีนเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า “หยุ่ง ง้วย” หรือมีเดือน 9 จำนวน 2 ครั้ง กล่าวคือ รอบแรกเริ่มวันที่ 24 กันยายน-2 ตุลาคม และอีกรอบตามศรัทธา วันที่ 24 ตุลาคม-1 พฤศจิกายน รวม 18 วัน อย่างไรก็ตามจากผลสำรวจเมีอปี 2556 พบว่า คนไทยทานเจในช่วงเทศกาลเจสูงขึ้นและมีการใช้จ่ายเพื่อซื้ออาหาร เพิ่มมากกว่า 10% โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ มีค่าใช้จ่ายราวๆ 3.2 พันล้านบาท   โดยหากคิดค่าใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่มต่อคนจะเฉลี่ยอยู่ที่ 200 บาทต่อคนต่อวัน ซึ่งคาดว่าในปี 2557 นี้ มูลค่าการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลเจจะมีถึงประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 6.2% เท่ากับค่าเฉลี่ยในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ยิ่งทราบข้อมูลผู้บริโภคหันมากินเจ ละเนื้อสัตว์มากขึ้นอย่างนี้แล้ว ก็อดดีใจไม่ได้ แต่นอกจากผักที่มีอยู่ในจานหลักของอาหารเจแล้ว สิ่งที่ผู้บริโภคต้องคำนึงที่สุด คือ สุขภาพ เพราะในจานยังอุดมไปด้วย แป้ง , ไขมัน และเกลือ  หากยิ่งกินไปมากๆ การกินเจที่เราคิดว่ากินผักดีไม่มีเนื้อสัตว์ ก็อาจส่งผลข้างเคียงให้กับร่างกายได้เช่นกัน เพราะเนื่องจาก แป้งและไขมัน ถ้ารับประทานไปเกินความพอดีของร่างกาย ก็จะทำให้โรคร้ายถามหา..!! อาทิ โรคอ้วน โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด เร็วๆ นี้ก็มีคนรู้จักสนิทสนมกันมานานของผมต้องป่วยด้วยโรคไขมันอุดตัน  ยังมีโรคเบาหวาน หรือโรคอัลไซเมอร์ ที่ไม่เห็นผลของโรคใน 5 ปี 10 ปี แต่พอเราสูงวัยมากขึ้นจะปรากฏให้เห็นเด่นชัด  ดังนั้นจึงอยากจะแนะนำวิธี “กินเจให้อิ่มใจ” ห่วงใยสุขภาพกับผู้บริโภคทุกท่าน รวมถึงสามารถนำไปใช้แม้ไม่ได้อยู่ในเทศกาลก็ตาม ว่า อาหารที่แม้จะไม่มีเนื้อสัตว์ปะปนอยู่เลย แต่ โปรตีน ที่นำมาใช้นั้นเป็นสารอาหารประเภททดแทน ที่หาได้จากพืช อาทิ ฟองเต้าหู้ นมถั่วเหลือง ถั่ว ธัญพืช เป็นต้น ก็ควรจะบริโภคให้เหมาะสมกับอายุและปริมาณที่สมควร  โดยจะขอแบ่ง โภชนาการอาหารอย่างเหมาะสม เป็น 3 วัย ดังนี้   วัยรุ่น : แม้แป้งหรือไขมัน จะไม่ค่อยมีผลต่อวัยนี้ เพราะเป็นช่วงอายุที่ใช้พลังงานสูง แต่เพื่อป้องกันการสะสมของไขมัน อันจะเป็นต้นเหตุของโรคอ้วน จึงควรกิจอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน หรือแป้งที่ไม่ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ธัญพืช เผือก แทนข้าวขาว และของทอด จะทันสมัยหน่อยก็ลองกินเต้าหู้กับซอสญี่ปุ่น เพราะนอกจากอร่อยแล้วยังดีต่อร่างกายด้วย วัยทำงาน : คนทำงานออฟฟิศส่วนใหญ่ เดินน้อย แต่ใช้กำลังสมองมาก และมักบ่นอุบว่าไม่มีเวลาดูแลสุขภาพ ของว่าง “เจ” เช่น งาขาว งาดำ ถั่วปากอ้า ซึ่งเป็นธัญพืชประเภทไขมันชนิดดี ทำหน้าที่เก็บขยะ หรือไปเก็บคราบไขมันที่เกาะอยู่ตามผนังเส้นเลือดไปที่ตับและขับออกทางน้ำดี หากเคี้ยวของว่างพวกนี้ในยามบ่ายจะทำให้อยู่ท้อง และทำให้สมองแล่น เพราะการเคี้ยวช่วยเสริมกระบวนการคิดได้ ส.ว. (สูงวัย) : อยากให้หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีกากใย รวมถึงผักสด เช่น กะหล่ำปลีสด ผักกาดหอม เพราะจะทำให้ท้องอืดและมีปัญหาเรื่องแก๊สในกระเพาะอาหาร อาหารที่แนะนำจึงเป็นประเภทน้ำ ทั้งน้ำงาดำ น้ำลูกเดือย และเพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหาร ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของโรคอัลไซเมอร์ จึงแนะให้ทานมื้อว่างเสริมเป็นอาหารนิ่มๆ เช่น ผัดเต้าหู้สามรส , จับฉ่ายเห็ดหอมเต้าหู้ , เต้าหู้ผัดเปรี้ยวหวานสับปะรด โดยเอนไซม์จากสับปะรดจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหารให้ดีขึ้น ทราบอย่างนี้แล้ว “กินเจ” หรือ “มื้อไหนๆ” ก็อยากให้ผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพ กินของดีมีคุณภาพ ให้สมกับคำฝรั่งว่าไว้ You are what you eat  เพิ่มคุณค่าให้ร่างกายด้วยคุณประโยชน์จากอาหารที่เลือกกิน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 109 ฉันต้องกิน...กินอะไรสักอย่างแล้ว

มนุษย์ในสังคมที่แตกต่างกัน ก็มักจะมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับ “การกิน” หรือ “การบริโภค” ที่ไม่เหมือนกันด้วย คิดง่ายๆ นะครับว่า ถ้าเป็นบรรดาคนจนที่ “ไม่มีอันจะกิน” คำถามที่พวกเขาจะถามกันทุกมื้อทุกวัน ก็น่าจะเป็นว่า “วันนี้เราจะมีกินไหมหนอ?” ตรงกันข้าม จะมีก็แต่มนุษย์ที่อยู่ในสังคมบริโภคแบบ “ล้นเกินจะกิน” นั่นแหละครับ ที่จะเริ่มถามคำถามไปอีกทางหนึ่งว่า “วันนี้เราจะกินอะไรกันดีหนอ?” ก็เนื่องด้วยว่า “ทางเลือก” หรือ “choices” ในการกินของคนกลุ่มนี้ ช่างมีมากมายจนไม่รู้ว่าจะเลือกกินอะไรกันดี และก็เพราะคนในสังคมบริโภคกลุ่มหลังนี้ เป็นผู้ที่มี “เสรีภาพ” หรือ “ทางเลือก” อันมากมายนี่เอง คนกลุ่มดังกล่าวก็เลยแปลงร่างกลายพันธุ์เป็นพวก “ช่างเลือก” ที่ฉันจะเลือกกินนั่น แต่จะไม่กินโน่น แม้จะมีของกินแบบนี้ ฉันก็จะกินแบบโน้น อะไรประมาณนี้ เพื่อตอบคำถามแบบนี้ ผมเห็นจะต้องขออนุญาตแฟนคลับของคุณพอลล่า เทย์เลอร์ กันสักนิด ที่ผมต้องอาจหาญยกตัวอย่างภาพโฆษณาชิ้นล่าสุดที่คุณพอลล่าเธอเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับมันฝรั่งสไลด์แผ่นยี่ห้อหนึ่งนะครับ เรื่องราวเริ่มต้น ณ ห้องเลี้ยงบอลรูมแห่งหนึ่ง ที่มีเปียโนหลังใหญ่และโคมแชนเดอเลียระย้าย้อยประดับติดอยู่ที่กลางโถงนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนลังเลอยู่กลางห้อง พักหนึ่ง คุณพอลล่าหน้าหวานในชุดสีขาว ก็เดินขบมันฝรั่งสไลด์แผ่นเข้ามาในห้อง ใบหน้าของเธอดูโศกสลดลงไปในทันที เมื่อชายหนุ่มเอ่ยขึ้นว่า “เราเลิกกันเถอะ คุณสวย อ่อนหวาน เรียบง่าย คุณเลยดีเกินไป” ถัดจากนั้น พอลล่าผมลอนสลวยในชุดสีดำเปรี้ยวเข้ม ก็ยิ้มเยื้องย่างแบบนางแมวป่าดูมีเลศนัยเดินเข้ามา พร้อมกับถือถุงมันสไลด์แผ่นอีกรสหนึ่ง แต่เธอก็ต้องชะงักและทำหน้าครุ่นคิดทันที เมื่อชายหนุ่มเอื้อนเอ่ยกับเธอว่า “คุณด้วย...คุณเข้มเร้าใจ คุณเลยดีทั้งคู่ ผมเลือกไม่ได้...” กล่าวดังนั้น พระเอกหนุ่มก็เตรียมจะผละเดินหนีจากพอลล่าทั้งสอง และจะเดินออกจากฉากของห้องบอลรูมไป แต่ทันใดนั้น พอลล่าหวานในชุดสีขาวกับพอลล่าเปรี้ยวเข้มในชุดสีดำ ก็ผนึกประสานพลังรวมกันกลายเป็นพอลล่าสายพันธุ์ใหม่ในชุดสีขาว/ดำ พร้อมกับมีเสียงซาวน์เอฟเฟ็คประกอบแสดงการประสานพลัง และเสียงร้องประสานอารมณ์ดังกระหึ่มขึ้นมา พอลล่าพันธุ์ใหม่เดินย่างเยื้องออกมาจากลำแสงประสาน สะบัดปลายผมเข้ามาหาชายหนุ่ม โดยที่ตัดสลับกับภาพของมันฝรั่งสไลด์แผ่นสองสีสองรส ผนวกผสานกลายเป็นมันฝรั่งรสใหม่ไปด้วยเช่นกัน พอลล่าพันธุ์ใหม่ป้อนแผ่นมันฝรั่งรสใหม่ให้กับชายหนุ่มที่กำลังยืนป้อเธออยู่ซ้ายขวาหน้าหลัง พร้อมกับมีเสียงผู้ประกาศชายพูดขึ้นว่า “วันนี้ มันฝรั่งของเราเอาใจคนหลายใจ มันฝรั่งดับเบิ้ลทูอินวันสองรสในซองเดียวกัน...” และจบภาพด้วยถุงมันฝรั่งรสใหม่ใหญ่เบ้อเริ่มอยู่คับกลางจอโทรทัศน์ ผมเห็นโฆษณาชิ้นนี้ครั้งแรก ก็รู้สึกแปลกใจดีนะครับว่า เหตุไฉนผู้หญิงสองคนหรือคุณพอลล่าแบบสองรสชาตินี้ จึงยอมระเบิดตัวเองกลายเป็นพอลล่าพันธุ์ใหม่ เพื่อสนองความปรารถนาให้กับชายหนุ่มกันขนาดนี้? แต่ก็เหมือนกับที่ผมกล่าวไว้ตอนต้นนั่นแหละครับ ก็ในเมื่อคนยุคนี้สมัยนี้ เขากลายเป็นพวก “ช่างเลือก” ที่จะเสพโน่น กินนี่ และยากที่จะพออกพอใจกับอะไรง่ายๆ เพราะฉะนั้นก็คงจะไม่แปลกอะไรกระมังที่พอลล่าเบอร์หนึ่งกับเบอร์สอง จะไม่เพียงพอที่จะสนองความต้องการของชายหนุ่มนักบริโภคกันอีกต่อไปแล้ว ต้องมีพอลล่าหมายเลขสาม...สี่...และห้าออกไปอย่างไม่สิ้นไม่สุด แล้วแบบแผนความเป็น “คนช่างเลือก” ในการกินเช่นนี้ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? กล่าวกันว่า เมื่อสังคมดั้งเดิมเริ่มเปลี่ยนผ่านสู่สังคมระบบทุนนิยมเสรีในช่วงหลายๆ ศตวรรษที่ผ่านมานั้น ตรรกะของระบบทุนนิยมแบบนี้พยายามจะสร้างหลักประกันให้มนุษย์เชื่อว่า “แท้จริงแล้ว เราต่างก็มีเสรีภาพด้วยกันทั้งสิ้น” โดยการเปิดทางเลือกต่างๆ มากมายในการใช้ชีวิตของผู้คน และผลที่ตามมาก็คือ เมื่อมนุษย์มีทางเลือกเพิ่มขึ้น รสนิยมแบบ “ช่างเลือก” ก็กลายเป็นคุณค่าที่เกิดขึ้นใหม่และขยายตัวออกไปมากมายเปรียบประดุจเป็นเงา ตัวอย่างก็เช่น การที่สินค้าในท้องตลาดทุกวันนี้ ช่างมีเยอะมากหลากแบรนด์ และในแต่ละยี่ห้อแบรนด์ ก็ยังมีรุ่นและรสอีกยิบย่อยที่จำเพาะเจาะจงให้เลือกได้หลากหลายอีกต่างหาก สำหรับผมแล้วเชื่อว่า ไม่มีระบบการผลิตแบบใดที่จะสร้างสินค้าหรือผลผลิตออกมาชนิดล้นเกินความต้องการของมนุษย์ ได้ทัดเทียมกับระบบการผลิตของสังคมทุนนิยมอีกแล้ว ผลิตผลที่ล้นเกิน (หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกอย่างเก๋ไก๋ว่า “oversupply”) นี้ ก็สร้างขึ้นเพื่อรับประกันว่า คุณ ๆ ผู้บริโภคจะมีกินมีเลือกได้สุดแต่ใจปรารถนา แต่ในทางกลับกัน เมื่อมีการผลิตที่ล้นเกินความต้องการ ก็ย่อมแปลว่า ต้องมีผลผลิตส่วนเหลือเกินอีกเป็นจำนวนมากที่จะมีมูลค่าไม่ต่างไปจาก “ของเหลือ/สิ้นเปลือง” เนื่องมาแต่ว่า หากบรรดาผู้บริโภคช่างเลือกได้ตัดสินใจเลือกกินบางอย่างแล้ว ก็เท่ากับว่า ทางเลือกอื่นๆ ที่เหลือก็จะไม่ถูกเลือกและหมดคุณค่าไปโดยปริยาย เพราะฉะนั้น หากคุณพระเอกหนุ่มตัดสินใจเลือกคุณพอลล่าหมายเลขสาม ก็แปลว่า คุณพอลล่าเบอร์หนึ่งและเบอร์สอง ก็ต้องตกกระป๋องลงไป เพียงเพราะว่าพวกเธอทั้งสองคนนี้ “อ่อนหวาน เรียบง่าย ดีเกินไป” หรือมิเช่นนั้นก็ “คุณเข้มเร้าใจ” ก็เท่านั้น ระบบการผลิตแบบนี้ จึงทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากในด้านหนึ่ง แต่ในอีกทางหนึ่ง ทางเลือกต่างๆ ก็วิ่งคู่ขนานมากับผลผลิตอันสิ้นเปลืองเหลือใช้อีกเป็นจำนวนมากมายมหาศาลเช่นกัน คนไทยในยุคก่อนหน้าระบบทุนนิยม เคยมีคำกล่าวเป็นสำนวนภาษิตว่า “เลือกนักมักจะได้แร่” ถ้อยคำสำนวนแบบนี้โดยนัยก็คือการเตือนสติไม่ให้เราหลงใหลไปกับเสรีภาพในการเลือกโน่นเลือกนี้กันมากเกินเหตุ และให้หาอยู่หากินก็แต่เฉพาะที่เพียงพอแก่ความจำเป็นในชีวิตเท่านั้น โดยเหตุแห่งนี้ รสนิยมของคนโบราณ เขาจึงกินอยู่กันแบบ “กลาง ๆ” “ไม่มากไม่น้อย” และมีชีวิตในแบบ “พอเพียง” เป็นหลัก ไม่ใช่จะเป็นรสนิยมแบบ “ล้น ๆ เกิน ๆ” และ “ช่างเลือก” กับการสร้างสรรค์ตัวเลือกใหม่ๆ ออกไปตลอดเวลา และยิ่งไปกว่านั้น แม้ระบบการผลิตแบบทุนนิยมหรือตัวโฆษณาเอง อาจจะทำให้เรารับรู้ว่าผู้บริโภคคือผู้ที่มี “ทางเลือก” มากมายก่ายเกิน แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้ว “ทางเลือก” เหล่านี้ก็อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่เป็นของเราอย่างแท้จริง คิดง่ายๆ นะครับ โฆษณามันแผ่นอาจจะบอกเราว่า เรามีคุณพอลล่าเบอร์หนึ่งกับเบอร์สองอยู่ แต่ทางเลือกแบบนี้อาจไม่พอเพียง เพราะฉะนั้นโฆษณาจึงเสนอทางเลือกที่สามว่า ถ้าเช่นนั้น ก็บริโภคพอลล่าหมายเลขสามกันดูสิ ไม่ว่าจะเป็นคำตอบปรนัยแบบ (ก) (ข) หรือ (ค) ทั้งหมดก็ล้วนแต่บอกเราว่า ถึงที่สุดแล้วคุณก็ต้องเลือกกินสักข้อหนึ่งอยู่ดี โดยที่เราเองก็จะไม่เคยมีคำตอบแบบข้อ (ง) ที่ว่า “ไม่มีคำตอบข้อใดถูก” หรือ “ไม่เลือกที่กินสักข้อหนึ่งเลย” เพราะคำตอบแบบข้อ (ง) ดังกล่าว จะไม่ใช่เป้าหมายปลายฝันที่สังคมทุนนิยมเสรีต้องการจะสร้างให้เราเลือกเป็น วันนี้โฆษณาอาจจะ “เอาใจคนหลายใจ” แต่ก็อย่าลืมนะครับว่า จะหลากจิตหลายใจอย่างไร ในท้ายที่สุด ผู้บริโภคเองก็ยังต้องครวญเพลงบอกตัวเองต่อไปว่า “ฉันต้องกิน...กินอะไรสักอย่างแล้ว”

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 103 “กินข้าวหรือยัง” กับ “ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ”

มีอะไรในโฆษณา สมสุข หินวิมาน ในองค์กรการทำงานเพื่อผลิตชิ้นงานโฆษณา หรือที่เรียกเก๋ ๆ เป็นภาษาฝรั่งว่า “เอเยนซี่โฆษณา” นั้น ถือเป็นท่าบังคับเลยว่า ทุกๆ เอเยนซี่ต้องมีแผนกหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ที่เรียกว่า “แผนกครีเอทีฟ” บุคลากรด้านครีเอทีฟเหล่านี้มีหน้าที่หลักในการผลิต “ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ใหม่ๆ” ลงไปในชิ้นงานโฆษณา เพราะตรรกะของอุตสาหกรรมโฆษณานั้นเชื่อว่า เฉพาะความคิดใหม่ๆ หรือ “นิวไอเดีย” เท่านั้น ที่จะจับจิตสะกดใจผู้บริโภคให้หลงอยู่ในมนตราแห่งการขายสินค้าและบริการได้ สำหรับผมเอง ตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี ก็เคยลงเรียนวิชาการโฆษณามาบ้างเหมือนกัน และเท่าที่จำไม่ผิด คุณครูก็เคยสอนว่า ต้องเป็นความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เท่านั้น ที่ลูกค้าหรือเจ้าของสินค้าเขาจะสนใจ และทุ่มเงินในหน้าตักวาดฝันใหม่ๆ เหล่านั้นให้เอเยนซี่ได้ผลิตเป็นชิ้นงานโฆษณาขึ้นมาได้จริงๆ แต่ก็นับตั้งแต่เรียนจบมาแล้วเกือบสองทศวรรษได้ ผมก็มีความสงสัยมาโดยตลอดว่า จะเป็นไปได้หรือที่ระบบอุตสาหกรรมโฆษณาอันมีการผลิตงานแบบเป็นสายพาน จะสามารถปั๊มงานโฆษณาออกมาได้เป็นปริมาณมหาศาลในแต่ละปี และในบรรดางานเหล่านั้น ก็สามารถที่จะเป็นบรรจุภัณฑ์ที่รังสรรค์ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่ว่า “ใหม่ๆ” ออกมาได้อย่างไม่รู้จบ หรือหากเป็นไปได้จริงตามคำอ้างดังกล่าว ผมก็สงสัยตามมาว่า กับมุขในการสื่อสารสร้างสรรค์แบบ “ใหม่ๆ” ที่สามารถรีดเค้นออกมาได้อย่างต่อเนื่องนั้น มนุษย์ที่ทำงานอยู่ในเอเยนซี่ เขาจะผลิตความคิดริเริ่มใหม่ๆ เหล่านั้นออกมาจากเบ้าหลอมในพื้นที่แห่งหนตำบลใด เมื่อหลายทศวรรษก่อน เคยมีนักภาษาศาสตร์ชาวรัสเซียที่ล่วงลับไปแล้วในปัจจุบันคนหนึ่ง ที่มีนามกรว่า คุณปู่มิคาอิล บัคทิน ที่สนใจวิเคราะห์รูปแบบภาษาในการสื่อสารของมนุษย์ คุณปู่บัคทินได้ลงมือศึกษา “ความคิดสร้างสรรค์” อันถือเป็นด้านที่ “เคลื่อนไหว” ของภาษาในการสร้างสรรค์ประโยคและเนื้อหาใหม่ๆ ที่คนเราใช้สื่อความกันในปัจจุบัน ข้อสรุปที่ชวนกระแทกใจเป็นอย่างมากของคุณปู่บัคทินก็คือ “ไม่มีอะไรใหม่ๆ ใต้ดวงตะวันที่ฉายแสงอยู่ในทุกวันนี้” ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า สิ่งที่มนุษย์เราพูดๆ กันอยู่ในทุกวันนี้ ก็คือสิ่งที่เราเคยได้พูดกันมาแล้วเมื่อวานนี้ และจะเป็นสิ่งที่เราจะพูดต่อไปอีกในวันพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้น แม้แต่ภาษาและความคิดสร้างสรรค์ที่อยู่ในงานโฆษณานั้น หากมองตามนัยของคุณปู่บัคทินนี้ ก็อาจจะไม่มีอะไรใหม่ๆ ในกระบวนการผลิตชิ้นงานโฆษณาทางโทรทัศน์เอาเสียเลย ผมจะลองยกตัวอย่างโฆษณาชิ้นหนึ่งที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ภาษาโฆษณาที่เราเห็นในวันนี้ ล้วนมี “เงาทะมึน” ของภาษาหรือประโยคที่เราเคยสื่อสารพูดกันมาแล้วในอดีต ดังปรากฏอยู่ในกรณีของโฆษณาวัตถุเคมีที่ใช้ปรุงอาหารชนิดหนึ่ง ที่เรารู้จักกันดีในชื่อว่า “ผงชูรส” โฆษณาผงชูรสยี่ห้อนี้ ร้อยเรียงผูกเรื่องราวของชีวิตคนที่แตกต่างกันหลายกลุ่ม เริ่มตั้งแต่เด็กนักเรียนสองคนที่เปิดกล่องข้าวกลางวันมานั่งเปิบและแบ่งปันไข่ต้มกินกัน เด็กคนหนึ่งก็พูดกับเพื่อนว่า “กินข้าวมั้ย เดี๋ยวเราแบ่งให้” จากนั้น ภาพก็ตัดมาที่บรรยากาศของร้านส้มตำในตลาด ลูกค้าก็ตะโกนบอกแม่ค้าส้มตำว่า “ขายดีจังเลย อย่าลืมกินข้าวนะป้า” ภาพที่สามเป็นฉากคุณลุงส่งการ์ดให้คุณป้า พร้อมข้อความเขียนว่า “เย็นนี้ทานข้าวกันนะ” และมีกุหลาบในมือช่อโตที่พร้อมจะมอบให้ภรรยาสุดที่รัก ภาพที่สี่เป็นฉากค่ายมวยที่ดูเงียบเหงาอ้างว้าง เพราะนักมวยคนหนึ่งในค่ายเพิ่งชกแพ้มา โค้ชก็พูดกับนักมวยคนนั้นว่า “กินข้าวหน่อย จะได้มีแรง” ภาพถัดมาคือฉากของเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่สอบตก และกำลังร้องไห้เศร้าใจอยู่ในมุมเล็กๆ ของห้องนอน พ่อกับแม่ที่ยืนอยู่ก็ยื่นสำรับอาหารให้และปลอบประโลมใจว่า “กินข้าวหน่อยนะลูก...อร่อยมั้ยลูก” และ “ปีหน้าค่อยว่ากันใหม่” สุดท้ายเป็นภาพฉากงานเลี้ยงแต่งงาน เจ้าบ่าวเจ้าสาวบนเวทีก็พูดกับแขกในงานเลี้ยงขึ้นว่า “ก็ขอขอบคุณท่านผู้มีเกียรติทุกท่านนะครับ เชิญรับประทานอาหารให้อร่อยนะครับ” แล้วกล้องก็กวาดให้เห็นภาพในงานเลี้ยง ที่แขกเหรื่อทุกคนกำลังรับประทานอาหารกันอย่างมีความสุขและความอิ่มเอมปิดท้ายโฆษณาด้วยเสียงของผู้บรรยายชายที่พากย์ขึ้นมาว่า “คำง่ายๆ ที่กินใจคนไทยเสมอมา...กินข้าวหรือยัง” สำหรับสังคมไทยในยุคนี้ ที่อาจจะมีคนพ่ายแพ้กันเยอะ หรือเป็นสังคมที่ความรู้สึกเอื้ออาทรต่อคนรอบข้างเริ่มหดหายจางเลือนลงไปนั้น ผมคิดว่า การได้เห็นโฆษณาชิ้นนี้ ก็คงแสดงถึงอารมณ์ร่วมของผู้คนที่อยากจะกลับมาสร้างความรู้สึกดีๆ ร่วมกันขึ้นมาอีกสักครั้ง และในเมื่อวัฒนธรรมข้าวเป็นวัฒนธรรมที่หล่อเลี้ยงชีวิตและสังคมไทยอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่อดีต คงจะเป็นเหตุปัจจัยที่ไม่ยากเกินไปนัก ที่โฆษณาจะหยิบยกเอารากวัฒนธรรมข้าวมาผลิดอกออกผลเป็นความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ที่จะสื่อสารความรู้สึกเอื้ออาทรและกำลังใจที่ให้กันและกันได้ แต่ก็อย่างที่ผมได้กล่าวไว้ในตอนต้นนะครับว่า ไม่มีอะไรที่จะใหม่ไปได้อีกแล้วใต้ดวงตะวันดวงนี้ แม้แต่ในโลกของการโฆษณา เพราะฉะนั้น เนื้อหาสารที่เรารับรู้จากโฆษณาชิ้นนี้จึงปรากฏให้เห็น “เงาทะมึน” ของเนื้อหาสารแบบเก่าๆ ที่คนในอดีตก็พูดกันต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหยิบยกเอาประโยคที่คนไทยชอบพูดทักทายว่า “กินข้าวหรือยัง” เอากลับมาเล่าความกันใหม่อีกครั้งในโฆษณาผงชูรสดังกล่าว ผมเองไม่ใคร่แน่ใจว่า วลีที่ว่า “กินข้าวหรือยัง” เป็นประโยคที่คนไทยเริ่มต้นพูดกันเป็นกลุ่มแรกจริงหรือเปล่า เพราะบางกระแสท่านก็ว่า น่าจะเป็นคำทักทายที่คนไทยเอามาจากคนจีนในยุคข้าวยากหมากแพง แต่กระนั้นก็ตาม ไม่สำคัญว่าใครจะเป็นผู้ริเริ่มการทักทายดังกล่าวก่อน เพราะทุกวันนี้ คำทักทายนี้ก็หยั่งรากฝังลึกมาเป็นคำพูดทักทายแบบคนไทยในปัจจุบันไปแล้ว และประโยคที่ว่า “กินข้าวหรือยัง” ดังกล่าว ก็ได้กลายมาเป็นคำทักทายที่โฆษณาเลือกเอามาใช้เพื่อจับใจผู้บริโภคที่ได้รับชมโฆษณาชิ้นนี้ สมกับคำบรรยายปิดท้ายที่กล่าวไว้ว่า วลีนี้เป็น “คำง่ายๆ ที่กินใจคนไทยเราเสมอมา” ด้วยเหตุดังกล่าว ไม่ว่าโฆษณาจะสร้างสรรค์ฉากเด็กนักเรียนแบ่งปันอาหารอย่างมีความสุข แม่ค้าส้มตำที่ชื่นใจกับคำทักทายจากลูกค้าของเธอ ลุงป้าที่สุขใจกับอาหารมื้อเย็นและกุหลาบช่อโต นักมวยที่มีกำลังใจกลับมาสู้ชีวิตใหม่ นักเรียนหญิงที่ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ในสนามสอบ หรือฉากความชื่นมื่นอิ่มเอมใจในวันมงคลสมรส ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เหล่านั้นต่างก็ล้วนมี “เงาทะมึน” ของคำง่ายๆ เก่าๆ แต่กินใจผู้บริโภคชาวไทยซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังนั่นเอง ยิ่งหากคิดในแง่ของหลักการสื่อสารทางการตลาดด้วยแล้ว การที่จะขายสินค้าใหม่ๆ อย่างวัตถุเคมีภัณฑ์ในการปรุงรสอาหารให้ประสบความสำเร็จได้นั้น คงเป็นไปไม่ได้เลยที่โฆษณาจะสร้างสรรค์ความคิดริเริ่มที่แปลกแหวกแนวหรือ “ใหม่ๆ” ได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ ในทางตรงกันข้าม กลยุทธ์ที่โฆษณาจำนวนมาก (รวมถึงโฆษณาผงชูรสชิ้นนี้) เลือกมาใช้ ก็คือ การต่อยอดแตกปลายความคิดริเริ่มสร้างสรรค์บนความคิด เนื้อหาสาร และคำทักทาย ที่เวียนว่ายอยู่ในวัฒนธรรมข้าวดั้งเดิมของคนไทย ด้วยเหตุฉะนี้ ความคิดสร้างสรรค์แบบที่ได้ติดตาทาบกิ่งเอาไว้บนรากวัฒนธรรมดั้งเดิมเท่านั้นนี่แหละ ที่มีโอกาสจะเอื้ออำนวยให้สารแฝงในโฆษณาได้ “กินใจคนไทย” ไปพร้อมๆ กับการ “กินข้าว” แกล้มผงชูรสไปในทุกๆ มื้อนั่นเอง มาถึงตอนนี้ ถ้าคุณปู่บัคทินจะกล่าวอะไรบางอย่างที่ถูกต้อง ก็คงจะเป็นการนำเสนอวาทะที่ว่า ไม่มีเนื้อหาสารใดจะใหม่ได้จริงๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะทุกอย่างที่โฆษณากำลังพูดกับคุณผู้ชมในวันนี้ ก็คือสิ่งที่คุณผู้บริโภคอย่างเราๆ เคยพูดกันผ่านๆ มาแล้ว และก็จะเป็นสิ่งที่เราจะพูดกันอีกต่อไปในอนาคตด้วยเช่นกัน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ทดสอบ 97 หม้อหุงข้าวรุ่นไหน หุงไว กินไฟน้อย

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ตัวอย่างหม้อหุงข้าวซื้อมาจากเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีราคาตั้งแต่ 459 บาท ถึง 1830 บาท แบ่งตามขนาดบรรจุได้แก่- หม้อหุงข้าวขนาด 1 ลิตร จำนวน 3 รุ่น ได้แก่ TOSHIBA รุ่น RC- T 10 AFS (WS), SHARP รุ่น KS- 11ET และ HITACHI รุ่น RZ -10B- หม้อหุงข้าวขนาด 1.5 ลิตร จำนวน 1 รุ่น ได้แก่ ยี่ห้อ PHILIPS รุ่น HD 4733- หม้อหุงข้าวขนาด 1.8 ลิตร จำนวน 7 รุ่น ได้แก่ OTTO รุ่น CR-180 T, MITSUMARU รุ่น AP- 618, KASHIWA รุ่น RC-180, TOMEX รุ่น TRC-KR 80, IMAFLEX รุ่น LP-919 A, SKG รุ่น SK- 18 F และ PANASONIC รุ่น SR- TEG 18 A   ในการทดสอบครั้งนี้เราจะพิจารณาการหุงข้าวเต็มหม้อและการอุ่น การทดสอบหุงข้าว ใช้หม้อหุงข้าวขนาดบรรจุ 1.5 และ 1.8 ลิตร หุงข้าว 10 ถ้วยตวง และหม้อหุงข้าวขนาดบรรจุ 1 ลิตร หุงข้าว 5 ถ้วยตวง จับเวลาตั้งแต่เริ่มหุงจนข้าวสุก (สวิตช์หม้อข้าวดีดตัว เปลี่ยนจากการหุง (cooking mode) เป็นการอุ่น (warm mode)) และปล่อยให้ข้าวระอุเป็นเวลา 10 นาที หลังจากนั้นตรวจสอบการใช้พลังงานไฟฟ้าในการหุงข้าวของหม้อหุงข้าวแต่ละรุ่น เวลาและพลังงานในการหุงข้าวหม้อหุงข้าวขนาด 1 ลิตรจากผลการทดสอบหม้อหุงข้าวขนาด 1 ลิตร พบว่า TOSHIBA รุ่น RC- T10AFS (WS) ใช้เวลาในการหุงน้อยที่สุดคือ 22 นาที และใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยที่สุดด้วยคือ 0.186 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งถ้าหากเราหุงข้าววันละ 1 ครั้ง พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในการหุงข้าวทั้งปี คือ 68 กิโลวัตต์ชั่วโมง ส่วน HITACHI รุ่น RZ- 10B และ SHARP รุ่น KS-11 ET ใช้เวลาในการหุง 24 นาทีเท่ากัน ใช้พลังงานไฟฟ้าประมาณ 0.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง (ดูรายละเอียดในตาราง)- หม้อหุงข้าวขนาด 1.5 ลิตร และ1.8 ลิตร- หม้อหุงข้าวขนาด 1.5 ลิตรของ PHILIPS รุ่น HD 4733 ขนาดบรรจุ 1.5 ลิตร จะใช้เวลาในการหุง นานที่สุด เมื่อเทียบกับหม้อหุงข้าวขนาด 1.8 ลิตร ที่นำมาทดสอบ คือใช้เวลา 35 นาที แต่ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยที่สุดคือ 0.265 กิโลวัตต์ชั่วโมง สำหรับหม้อหุงข้าวขนาด 1.8 ลิตร PANASONIC รุ่น SR-TEG 18A ใช้เวลาในการหุงน้อยที่สุดคือ 24 นาที และใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยที่สุดคือ 0.266 กิโลวัตต์ชั่วโมง (ดูรายละเอียดในตาราง)จากการทดสอบหุงข้าว ทั้ง 11 รุ่น พบว่าได้ข้าวสุกที่สุกอย่างทั่วถึง สามารถรับประทานได้ ความนุ่มของข้าวไม่ต่างกัน พลังงานในการอุ่นข้าวทดสอบโดยหุงข้าวเต็มหม้อ (หม้อขนาดบรรจุ 1 ลิตร ใช้ข้าว 5 ถ้วยตวง และหม้อขนาดบรรจุ 1.8 ลิตร ใช้ข้าว 10 ถ้วยตวง) และอุ่นข้าวที่หุงสุกแล้ว นาน 8 ชั่วโมง ผลการทดสอบเรียงตามการใช้พลังงานจากน้อยไปหามากดังนี้หม้อหุงข้าวขนาด 1 ลิตร- หม้อหุงข้าว HITACHI รุ่น RZ- 10B ใช้พลังงานในการหุงและอุ่น 0.359 กิโลวัตต์ชั่วโมง (พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ทั้งปี คือ 132 กิโลวัตต์ชั่วโมง)- หม้อหุงข้าวTOSHIBA รุ่น RC- T10AFS (WS) ใช้พลังงาน 0.362 กิโลวัตต์ชั่วโมง (พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ทั้งปี คือ 133 กิโลวัตต์ชั่วโมง)- หม้อหุงข้าว SHARP รุ่น KS-11 ET ใช้พลังงาน 0.435 กิโลวัตต์ชั่วโมง (พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ทั้งปี คือ 159 กิโลวัตต์ชั่วโมง) สำหรับหม้อหุงข้าวขนาด 1.5 ลิตร และ1.8 ลิตร- หม้อหุงข้าว PHILIPS รุ่น HD 4733 ขนาดบรรจุ 1.5 ลิตร ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยที่สุดคือ 0.403 กิโลวัตต์ชั่วโมง (พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ทั้งปี คือ 148 กิโลวัตต์ชั่วโมง) - หม้อหุงข้าว OTTO รุ่น CR- 180 T ใช้พลังงานไฟฟ้า 0.589 กิโลวัตต์ชั่วโมง (พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ทั้งปี คือ 215 กิโลวัตต์ชั่วโมง) - หม้อหุงข้าว IMAFLEX รุ่น LP-919 A และหม้อหุงข้าว SKG รุ่น SK-18F ใช้พลังงานไฟฟ้าเท่ากันคือ 0.612 กิโลวัตต์ชั่วโมง (พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ทั้งปี คือ 224 กิโลวัตต์ชั่วโมง)- หม้อหุงข้าว MITSUMARU รุ่น AP- 618 ใช้พลังงานไฟฟ้า 0.726 กิโลวัตต์ชั่วโมง (พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ทั้งปี คือ 265 กิโลวัตต์ชั่วโมง)- หม้อหุงข้าว TOMEX รุ่น TRC-KR 80 ใช้พลังงานไฟฟ้า 0.78 กิโลวัตต์ชั่วโมง (พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ทั้งปี คือ 285 กิโลวัตต์ชั่วโมง)- หม้อหุงข้าว PANASONIC รุ่น SR-TEG 18A ใช้พลังงานไฟฟ้า 0.792 กิโลวัตต์ชั่วโมง (พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ทั้งปี คือ 290 กิโลวัตต์ชั่วโมง)- หม้อหุงข้าว KASHIWAรุ่น RC- 180 ใช้พลังงานไฟฟ้า 0.805 กิโลวัตต์ชั่วโมง ใช้พลังงานไฟฟ้าสูงสุด ในการทดสอบครั้งนี้ (พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ทั้งปี คือ 294 กิโลวัตต์ชั่วโมงจากการทดสอบอุ่นข้าวเป็นเวลา 8 ชั่วโมงพบว่า หม้อหุงข้าวทั้ง 11 รุ่น ไม่เกิดการไหม้ติดที่ก้นหม้อ ข้าวที่ผ่านการอุ่นเมล็ดข้าวนุ่ม รับประทานได้ดีหมายเหตุ การคำนวณการใช้พลังงานทั้งปีคิดจาก จำนวนพลังงานที่ใช้ในการหุงและอุ่น 365 วันวัสดุและการเคลือบผิวเราสามารถแบ่งหม้อหุงข้าวด้านในได้เป็น 2 ประเภทตามวัสดุในการผลิต คือ หม้อที่ทำจากเหล็กกล้าไร้สนิม (Stainless Steel) และทำจากอลูมิเนียม วัสดุหม้อหุงข้าวตัวอย่างที่เรานำมาทดสอบเกือบทุกรุ่น จะมีหม้อในที่ผลิตจากวัสดุประเภทเหล็กสแตนเลสสตีล ยกเว้นหม้อในของHITACHI รุ่น RZ- 10B สมบัติของหม้อในที่ผลิตจากเหล็กกล้าไร้สนิมคือ ผิวมันแวววาว ไม่เป็นสนิม สามารถเก็บความร้อนได้ดี เพราะเหล็กกล้าไร้สนิม เป็นตัวนำความร้อนที่ไม่ดี นอกจากนี้ มีน้ำหนักมาก เมื่อเปรียบเทียบกับอลูมิเนียม หม้อในที่ผลิตจากอลูมิเนียม จะมีน้ำหนักเบา และไม่เป็นสนิม ร้อนเร็ว เนื่องจากอลูมิเนียมเป็นตัวนำความร้อนที่ดี แต่เก็บความร้อนไม่ดีเหมือนเหล็กกล้าไร้สนิม เคลือบเทฟลอนเทฟลอนเป็นสารเคมีสังเคราะห์ชนิดหนึ่ง มีชื่อทางเคมีว่า Polytetrafluorethylene (PTFE) ซึ่งมีสมบัติที่ดีต่อการเคลือบผิว ป้องกันการเกาะติดแน่นของตะกรันและข้าวที่หุง ทนต่อความร้อน และสารเคมี บางครั้งอาจจะเติมส่วนผสมประเภทวัสดุเซรามิคลงไปผสม เพื่อความความแข็งแรง หรืออาจจะเติมวัสดุประเภทบรอนซ์ซึ่งเป็นโลหะผสม เพื่อเพิ่มสมบัติในการนำความร้อน ข้อควรระวังในการใช้งานไม่ควรให้ความร้อนหรือเสียบปลั๊กไฟทิ้งไว้ จนทำให้หม้อเปล่ามีอุณหภูมิสูง เพราะวัสดุเทฟลอนสามารถปล่อยไอระเหยที่เป็นพิษออกมาได้หากอุณหภูมิเกินกว่า 360 องศาเซลเซียส ซึ่งไอระเหยสารพิษที่ปล่อยมานี้ จะทำให้เกิด อาการที่เหมือนกับคนเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ได้ เราเรียกว่า Teflon fever จากการทดสอบ พบว่าไม่มีหม้อหุงข้าวรุ่นใดให้ความร้อนสูงเกินกว่า 360 องศาเซลเซียส จากการทดสอบด้วยครีมเทียม (ดูรูปภาพประกอบ 1 ก) พบว่าหม้อที่ไม่เคลือบเทฟลอน ครีมเทียมที่ไหม้ติดแน่นที่ก้นหม้อ ทำความสะอาดยาก (รูป 1 ข และ 1 ค) เทียบกับหม้อในที่เคลือบเทฟลอน ครีมเทียมที่ไหม้สามารถหลุดร่อนออกมาได้ง่าย (รูป 1 ง) อุณหภูมิสูงสุดและการกระจายตัวของความร้อนการกระจายตัวของความร้อนของหม้อในที่ดี ต้องสม่ำเสมอ ไม่ควรจะกระจุกตัวอยู่จุดเดียวเพราะ จะทำให้บริเวณนั้นมีอุณหภูมิสูงมาก อาจทำให้ข้าวบริเวณนั้นไหม้ติดก้นหม้อได้ ในขณะที่บริเวณอื่นจะมีอุณหภูมิต่ำกว่า จากการทดสอบโดยการใช้ครีมเทียม และให้ความร้อนหม้อหุงข้าวจนกระทั่งหม้อเปลี่ยนจากฟังค์ชันการหุงเป็นการอุ่น พบว่า - หม้อหุงข้าว OTTO, MITSUMARU, KASHIWA, TOMEX, IMAFLEX, SKG, PANASONIC, SHARP และ มีการกระจายตัวของความร้อนที่สม่ำเสมอ และร้อนเร็ว ที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับหม้อหุงข้าวอื่นๆ และเมื่อวัดอุณหภูมิที่ก้นหม้อจะได้ค่าอุณหภูมิสูงสุด ตั้งแต่ 170- 290 องศาเซลเซียส (ดูรูป 2 ก) - หม้อหุงข้าวที่มีการกระจายตัวของความร้อนที่ไม่สม่ำเสมอ คือ หม้อหุงข้าว PHILIPS รุ่น HD 4733 และหม้อหุงข้าว TOSHIBA (ดูรูป 2 ข) หม้อหุงข้าวที่มีการกระจายตัวของความร้อนได้ช้า คือ หม้อหุงข้าว HITACHI รุ่น RZ- 10B จากรูปจะเห็นว่าอุณหภูมิจะต่ำมากจนครีมเทียมไม่เปลี่ยนสี อุณหภูมิสูงสุดที่วัดได้ คือ 150 องศาเซลเซียส (ดูรูป 2 ค)คู่มือการใช้งาน- หม้อหุงข้าว HITACHI รุ่น RZ- 10B อธิบายชิ้นส่วนประกอบของหม้อหุงข้าว วิธีการใช้งาน วิธีการทำความสะอาดและบำรุงรักษาอุปกรณ์ ข้อควรระวังในการใช้งาน ข้อแนะนำเรื่องความปลอดภัย และข้อมูลจำเพาะทางเทคนิค ตัวหนังสืออ่านง่าย มีรูปภาพประกอบมาก มีที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ และเวปไซต์ของบริษัทที่ผลิตและจำหน่าย - หม้อหุงข้าวTOSHIBA รุ่น RC- T10AFS (WS) อธิบายชิ้นส่วนประกอบของหม้อหุงข้าว วิธีการใช้งาน วิธีการทำความสะอาดอุปกรณ์ ข้อควรระวังในการใช้งาน และข้อมูลจำเพาะทางเทคนิค ตัวหนังสืออ่านง่าย มีรูปภาพประกอบมาก อ่านง่าย สะบายตา มีที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ และเวปไซต์ของบริษัทที่ผลิตและจำหน่าย- หม้อหุงข้าว SHARP รุ่น KS-11 ET อธิบายชิ้นส่วนประกอบของหม้อหุงข้าว วิธีการใช้งาน วิธีการทำความสะอาดและบำรุงรักษาอุปกรณ์ ข้อควรระวังในการใช้งาน ข้อแนะนำเรื่องความปลอดภัย และข้อมูลจำเพาะทางเทคนิค ตัวหนังสืออ่านง่าย มีรูปภาพประกอบมาก มีที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ และเวปไซต์ของบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายหม้อหุงข้าวขนาด 1.5 ลิตร และ1.8 ลิตร- หม้อหุงข้าว PANASONIC รุ่น SR-TEG 18A อธิบายชิ้นส่วนประกอบของหม้อหุงข้าว วิธีการใช้งาน วิธีการทำความสะอาดและบำรุงรักษาอุปกรณ์ ข้อควรระวังในการใช้งาน ข้อแนะนำเรื่องความปลอดภัย และข้อมูลจำเพาะทางเทคนิค ตัวหนังสืออ่านง่าย มีรูปภาพประกอบมาก มีที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ และเวปไซต์ของบริษัทที่ผลิตและจำหน่าย และเครือข่ายศูนย์บริการ - หม้อหุงข้าว PHILIPS รุ่น HD 4733 ขนาดบรรจุ 1.5 ลิตร อธิบายชิ้นส่วนประกอบของหม้อหุงข้าว ข้อควรจำ วิธีปฏิบัติก่อนการใช้งานครั้งแรก การใช้งาน การรับประกันและการใช้งาน การแก้ปัญหา ให้ข้อมูลของสินค้าละเอียด แต่ตัวหนังสือมีขนาดเล็กมาก และภาพประกอบแยกไปไว้ด้านหลังของเล่มทำให้ไม่สะดวกในการอ่าน - หม้อหุงข้าว OTTO รุ่น CR- 180 T อธิบายชิ้นส่วนปะกอบของหม้อหุงข้าว การใช้งานแบบง่ายๆ ข้อควรระวังและแนะนำการต่อสายดิน มีข้อมูลจำเพาะทางเทคนิค - หม้อหุงข้าว MITSUMARU รุ่น AP- 618 อธิบายชิ้นส่วนประกอบของหม้อหุงข้าว การใช้งานเพื่อความปลอดภัย ข้อควรระวังในการใช้งาน วิธีทำความสะอาด และข้อมูลทางเทคนิค ตัวหนังสืออ่านง่ายพร้อมรูปภาพประกอบ - หม้อหุงข้าว KASHIWAรุ่น RC- 180 สินค้าบางตัวไม่มีคู่มือการใช้งาน และคู่มือการใช้งานที่พบเป็นภาษาอังกฤษ ไม่มีการแปลเป็นภาษาไทย - หม้อหุงข้าว TOMEX รุ่น TRC-KR 80 อธิบายชิ้นส่วนประกอบของหม้อหุงข้าว วิธีการใช้งาน วิธีการทำความสะอาดอุปกรณ์ ข้อควรระวังในการใช้งาน ไม่มีข้อมูลจำเพาะทางเทคนิค และที่อยู่ของบริษัทที่ผลิตและจำหน่าย แต่มีเบอร์โทรศัพท์ของศูนย์บริการ- หม้อหุงข้าว IMAFLEX รุ่น LP-919 A อธิบายชิ้นส่วนประกอบของหม้อข้าว วิธีการใช้งาน วิธีการทำความสะอาดอุปกรณ์ ข้อควรระวังในการใช้งาน ข้อมูลจำเพาะทางเทคนิค มีที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ และเวปไซต์ของบริษัทที่ผลิตและจำหน่าย- หม้อหุงข้าว SKG รุ่น SK-18F อธิบายชิ้นส่วนประกอบของหม้อหุงข้าว วิธีการใช้งาน วิธีการทำความสะอาดและบำรุงรักษาอุปกรณ์ ข้อแนะนำเรื่องความปลอดภัย และข้อมูลจำเพาะทางเทคนิค ตัวหนังสืออ่านง่าย มีรูปภาพแต่ไม่คมชัด มีที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ ของบริษัทที่ผลิต   ดาวโหลด File ตารางการทดสอบหม้อหุงข้าวไฟฟ้า ที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ของบริษัทที่จัดจำหน่ายหม้อหุงข้าวไฟฟ้าที่เรานำมาทดสอบ Sharp บริษัท ชาร์ปไทย จำกัด952 อาคารรามาแลนด์ ชั้น 12 ถนนพระราม 4 แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500 โทรศัพท์ 0-2638-3500 โทรสาร 0-2638-3900 ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ 0-2638-3888www.sharpthai.co.th Toshibaบริษัท โตชิบาไทยแลนด์ จำกัด201 ซ.เผือกจิตร ถ.วิภาวดีรังสิต จตุจักร กรุงเทพฯโทรศัพท์ 0-2512-0270-81โทรสาร 0-2513-0305ศูนย์บริการข้อมูล 0-2939-5611www.toshiba.co.th Panasonic บริษัท พานาโซนิค ซิว เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด 75 ถนนเสรีไทย แขวงคันนายาว เขตคันนายาว กรุงเทพฯ 10230โทรศัพท์ 0-2731-8888โทรสาร 0-2731-9976ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ 0-2729-9000www.panasonic.co.th Hitachiศูนย์บริการสำนักงานใหญ่ บริษัท ฮิตาชิเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด 994,996 ซอยทองหล่อ ถนนสุขุมวิท 55 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 โทรศัพท์ 0-2381-8381-98 โทรสาร 0-2381-9520www.hitachi-th.com Philipsบริษัท ฟิลิปส์อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัดเลขที่ 1768 ชั้น 26-28 อาคารไทยซัมมิททาวเวอร์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10320โทรศัพท์ 0-2614-3333 แฟกซ์ 0-2614-3444 ศูนย์ข้อมูลผู้บริโภคฟิลิปส์ โทรศัพท์ 0-26528652www.philips.co.th Sanyoบริษัท ซันโย (ประเทศไทย) จำกัดอาคารซันโย 795 ถ.พระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310โทรศัพท์ 0-2308-6999 แฟกซ์ 0-2318-6211ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ 0-2308-6900 Hanabishiบริษัท ฮานาบิชิ อิเลคทริค คอร์ปอเรชั่น จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 3/1-2, 3/72 หมู่ 5 ซอยสุขสวัสดิ์ 14 ถนนสุขสวัสดิ์ แขวงจอมทอง เขตจอมทอง กรุงเทพฯ 10150 โทรศัพท์ (อัตโนมัติ): 0-2468-2244, 0-2476-3888, 0-2877-0285โทรสาร: 0-2877-0288-89www.hanabishi.co.th Imarflexบริษัท อิมาร์เฟล็กซ์ อินดัสเตรียล จำกัด68/13 ม.9 ถนนธนบุรี-ปากท่อ แขวงบางมด เขตจอมทอง กรุงเทพฯ 10150 โทรศัพท์ 0-2450-0033โทรสาร 0-2452-1277www.imarflex.co.thE-mail : service@imarflex.co.th SKGบริษัท เอส เค จี อีเล็คทริค กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัดซ.เอกชัย 131 แขวงบางบอน เขตบางบอน กรุงเทพฯ 10150โทรศัพท์ 0-2892-2888, 0-2892-5082-87, 0-2894-8623-32www.skgelectric.com Tomexบริษัท คลาสสิค คลาส จำกัด38/80 ม.7 ใกล้แยกบางพลู ถนนบางกรวย-ไทรน้อย ต.บางรักใหญ่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี 11110โทรศัพท์ 0-2926-7550 www.tomex.co.th Mitsumaruบริษัท ที เอ ที (ประเทศไทย) จำกัด 36/11 ม.2 ซ.บางบอน 5 ถ.เอกชัย แขวงบางบอน เขตบางบอน กรุงเทพฯ 10150โทรศัพท์ 0-2892-5950 โทรสาร 0-2892-5959www.mitsumaru.com Ottoบริษัท ออตโต้ คิงส์กลาส จำกัด88 ม.7 ถ.บรมราชชนนี แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ 10170โทรศัพท์ 0-2888-3555โทรสาร 0-2800-4500-4  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า150 Point