ฉบับที่ 171 หลักประกันสุขภาพ

เมื่อวันที่  2-3  มีนาคม 2558  สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ( สปสช.) ได้จัดกิจกรรม เรื่อง  การคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคด้านสุขภาพในระดับท้องถิ่น ขึ้น ณ โรงแรมประจักษ์ตรา  อำเภอเมือง  จังหวัดอุดรธานี  โดยร่วมกับ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์  อุดรธานี  สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จัดกิจกรรมเสวนาให้ความรู้ และแลกเปลี่ยนการทำงานในพื้นที่ภาคอีสาน  โดยกลุ่มเป้าหมายนำร่องที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ได้แก่ ตัวแทนองค์การบริหารส่วนตำบล ในจังหวัดภาคอีสานตอนบน จำนวน  24 แห่ง  จาก 9 จังหวัด  ได้แก่ จ.อุดรธานี สกลนคร หนองบัวลำภู หนองคาย  เลย  นครพนม  มหาสารคาม  กาฬสินธุ์ และ ร้อยเอ็ด  วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมดังกล่าวเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในด้านสิทธิผู้บริโภค เสริมพลังในการทำงานของภาคีเครือข่ายให้ตระหนักและเข้าใจในเรื่องสิทธิผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น  เพื่อจะได้ช่วยกันพัฒนากลไกคุ้มครองผู้บริโภคระดับท้องถิ่นขึ้นมา โดยนายแพทย์วีระวัฒน์  พันธุ์ครุฑ   รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้กล่าวในการเปิดงานว่า  “ การทำงานคุ้มครองผู้บริโภค  ก็เปรียบเสมือน การเล่นฟุตบอล ประกอบไปด้วย ผู้บริโภค ซึ่งต้องคิดไตร่ตรองการตัดสินใจ    หน่วยราชการ ผู้รับผิดชอบในการดูแลควบคุมผู้ประกอบการ    องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ใกล้ชิดกับประชาชนสามารถดูแลช่วยเหลือผู้บริโภคได้ง่ายที่สุด   โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในอนาคตอาจเป็นองค์กรที่ดูแลผู้บริโภคโดยตรง  และยังมีกลไกอื่นๆ ที่ทำงานคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน ทั้งสมาคม  มูลนิธิ “นอกจากกิจกรรมเสวนาภายในโรงแรมแล้ว ยังมีกิจกรรมเสริม คือการดูงานในสองพื้นที่ ที่มีการทำงานที่แตกต่างกัน พื้นที่แรก ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตำบลวังทอง  อำเภอนาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู (พื้นที่ต้นแบบ)  ความโดดเด่นของ อบต.แห่งนี้คือ การมีห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์( Lab ) สำหรับตรวจสารเคมีในผักที่ขายในท้องถิ่นเป็นของตนเอง  โดยความคิดริเริ่มของท่านนายก อบต.คุณคมกริช    สีอาจ ที่มีความคิดว่าจะทำอย่างไร ให้พื้นที่ส่วนนี้ลดการใช้สารเคมี     จึงเริ่มนำโครงการผักปลอดสารพิษเข้าสู่ระดับจังหวัด  เก็บข้อมูลและเริ่มหาแนวทางในการลดการใช้สารเคมีในพื้นที่ ต่อมาก็เริ่มก่อตั้งห้อง LAB วิทยาศาสตร์ ขึ้นเพื่อทำการตรวจสอบผักหาสารเคมีตกค้าง  โดยมีอาสาสมัครชุมชน เป็นผู้ดำเนินการภายใต้การอบรมของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อุดรธานี  ซึ่งหลังจากดำเนินงานหลายสิบปี พบว่าชาวบ้านให้ความสนใจและถ้าไม่มั่นใจว่าอาหารที่ซื้อมากินปลอดภัยหรือเปล่า  ชาวบ้านก็จะนำมาตรวจกับแล็บท้องถิ่น ถือเป็นการเฝ้าระวังในพื้นที่อีกด้วย การลงพื้นที่กลุ่มที่สอง คือการไปพื้นที่โรงพยาบาลศรีบุญเรือง อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู   รพ.ตัวอย่างที่ทำงานคุ้มครองสิทธิด้านสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ  อาทิ เจ้าหน้าที่มีจิตอาสาจิตสาธารณะในการดูแลชุมชนให้เข้มแข็ง  มีความร่วมมือของภาคีเครือข่ายการคุ้มครองสิทธิ ที่มีกระบวนการทำงานเป็นรูปธรรมชัดเจน  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 170 ฉลาดเลือกซื้อสินค้าบนโลกออนไลน์

“สินค้าคุณภาพดี ราคาถูก” ได้ยินคำนี้อาจทำให้ผู้บริโภคหลายต่อหลายคนตาเป็นมัน ! เพราะของดี ราคาย่อมเยาใคร ๆ ก็อยากได้เป็นธรรมดา...แต่ถ้าจะหาสินค้าแบบนี้บนโลกออนไลน์คงต้องวัดดวง ระมัดระวังและเตรียมข้อมูลให้ถี่ถ้วน เพราะอาจตกหลุมพรางของบรรดามิจฉาชีพที่จับจ้องหวังจะหลอกลวงผู้บริโภคด้วยวิธีต่างๆ ได้เช่นกัน ข้อมูลจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีคดีที่เกี่ยวกับการหลอกลวงให้ซื้อสินค้าออนไลน์ ปีละกว่า 160 คดี ซึ่งมีทั้งรูปแบบพูดคุยหลอกให้โอนเงินมาก่อนแล้วถึงจะได้รับสินค้า หรือแบบสั่งซื้อสินค้าแล้วแต่ไม่ได้รับของตามที่นัดหมายไว้ หรือได้รับสินค้าไม่ตรงตามที่ตกลงกันไว้ และแบบที่หลอกว่าเป็นของแท้แต่เอาเข้าจริงแล้วเป็นได้สินค้ามาตรวจสอบแล้วกลายเป็นก๊อปปี้ของแท้เกรดเอ รู้ตัวอีกทีเจ้าของร้านก็โกยเงินปิดมือถือ ปิดหน้าเว็บไซต์ ติดต่อหาคนรับผิดชอบไม่ได้แล้ว ซึ่งคดีเหล่านี้ในแต่ละปีมีมูลค่าความเสียหายเฉลี่ยปีละกว่า 60 ล้านบาท หากลองย้อนดูข้อมูลประเทศไทย จะพบว่าเราเริ่มมีการเปิดให้ใช้งานอินเทอร์เน็ต ในปี 2538 ซึ่งช่วงแรกๆ มีคนใช้งานอินเทอร์เน็ตแค่ 45,000 คน ส่วนบนโลกออนไลน์เริ่มมีการทำธุรกิจซื้อขายสินค้ามาประมาณ 10 ปี แต่เพิ่งจะได้รับความนิยมในช่วงหลังที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตรวดเร็วและรองรับได้ดี จนทำให้ปัจจุบันมียอดผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตกว่า 30 ล้านคนทั่วประเทศ เกือบครึ่งของประชากรทั้งประเทศเลยก็ว่าได้ เมื่อสังเกตพฤติกรรมการซื้อสินค้าของคนไทยในปัจจุบัน ที่ดูจะมีแนวโน้มนิยมซื้อสินค้าผ่านโลกออนไลน์กันมากขึ้นทุกปี จากรายงานผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2557 โดย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กว่า 16,000 คนทั่วประเทศ พบว่าส่วนใหญ่จะซื้อสินค้าผ่านโลกออนไลน์ เพราะสะดวก ประหยัดเวลา ไม่ต้องไปเดินตามตลาดนัดหรือห้างสรรพสินค้าก็มีของที่อยากได้มาส่งถึงหน้าประตูบ้าน หรือไปรับที่ร้านสาขาซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เงินซื้อสินค้าเฉลี่ย 4,000 บาทต่อครั้ง เงินจำนวนหลักพันน่าจะเป็นจำนวนไม่น้อยเลย โดยเฉพาะสำหรับเยาวชนในช่วงอายุ 15 -19 ปี ซึ่งเป็นวัยที่นิยมซื้อสินค้าออนไลน์มากเป็นอันดับหนึ่ง หากแบ่งเป็น 3 ช่วงวัย ได้แก่ วัยเรียน วัยทำงาน และวัยเกษียน จากผลสำรวจวัยเรียนที่กล่าวมาจะนิยมซื้อสินค้าราคาไม่เกิน 1,000 บาท และจ่ายด้วยเงินสดหรือบัตรเติมเงิน ส่วนคนวัยทำงาน จะซื้อสินค้าราคาเฉลี่ยที่ 1,000 – 4,000 บาท โดยจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิต ขณะที่คนวัยเกษียนจะซื้อสินค้าราคาเฉลี่ยที่ 1,000 – 4,000 บาท เช่นเดียวกัน แต่จะจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตและโอนเงินผ่านธนาคาร การจะตัดสินใจซื้อสินค้า บนโลกออนไลน์ ไม่เห็นหน้าคนขาย จ่ายเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ถ้าจะให้เปรียบก็เหมือนกับซื้อขายผ่านอากาศ ไม่เห็นสินค้าหน้าร้าน ไม่ได้จับต้องของที่อยากได้ ดังนั้นก่อนผู้บริโภคจะตัดสินใจก็ต้องมั่นในมากพอ เพราะอาจถูกมิจฉาชีพหลอกเหมือนกับผู้เสียหายหลาย ๆ ท่านที่ต้องควักเงินในกระเป๋าไปฟรี ๆ สิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกที่จะซื้อสินค้าผ่านโลกออนไลน์ ที่น่าจะปลอดภัยในระดับหนึ่ง มี 6 ข้อ ดังนี้ ตรวจสอบเว็บไซต์หรือแหล่งขายที่ใช้บริการก่อนที่จะไปชำระเงิน  เว็บไซต์ต้องจดทะเบียนการค้าอิเล็กทรอนิกส์ กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากับกระทรวงพานิชย์ ซึ่งจะมีข้อมูลของผู้จดทะเบียน ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ – สกุล , ที่อยู่ , สัญลักษณ์ทางการค้า เป็นต้น ทั้งนี้เครื่องหมายสัญลักษณ์ทางการค้าจะสามารถตรวจสอบแสดงตัวตนของผู้ขาย ช่วยให้ผู้บริโภคอุ่นใจและสามารถดำเนินคดีได้รวดเร็วหากมีการกระทำความผิด สังเกตผลตอบรับการซื้อจากผู้บริโภค และตรวจสอบจากการโต้ตอบของผู้ขายและโภคบริโภค ต้องมีความสม่ำเสมอ สุภาพ และรวดเร็ว พร้อมมีข้อมูลแจ้งสถานการณ์การส่งของ และหลักฐานที่เห็นชัดเจน หรือต้องมีรหัสเลขพัสดุชัดเจนกรณีส่งสินค้าผ่านไปรษณีย์ เว็บไซต์หรือสื่อออนไลน์ของผู้ขายต้องมีระยะเวลาในการเปิดใช้งาน อย่างน้อย 2 ปี สินค้าของผู้ขายต้องไม่ผิดกฎหมาย และสังเกตราคาต้องไม่ควรถูกกว่าราคาจริงมากจนน่าเหลือเชื่อ เพราะมิจฉาชีพจะใช้ความโลภของผู้ซื้อในการดึงดูดให้สนใจซื้อสินค้า เว็บไซต์ควรมีระบบความมั่นคงปลอดภัย หลังการซื้อขาย ผู้บริโภคต้องเก็บสลิปหรือหลักฐานโอนเงินให้ดีไว้ใช้ในยามที่ได้รับสินค้าไม่ตรงตามความต้องการที่ตกลงกันไว้ หรือไม่ได้รับสินค้า จะได้ใช้เป็นหลักฐานแจ้งเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีได้ และหากจะให้ดียิ่งขึ้นควรถ่ายสลิปไว้ด้วยเพราะอยู่ได้นาน ข้อความไม่ซีดจาง สรุปคือ ก่อนซื้อสินค้าออนไลน์ ระวังกันสักหน่อย รอบคอบกันสักนิด ก็น่าจะดีกว่ามาช้ำใจภายหลัง เพราะโดนหลอกลวง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 168 “ถุงพลาสติกชีวภาพ” บรรจุภัณฑ์เพื่อผู้บริโภค

ยุคนี้...ตามร้านสะดวกซื้อหรือห้างสรรพสินค้ามักมีสินค้าพืชผักและผลไม้ห่อหุ้มด้วยพลาสติกวางจัดจำหน่ายให้เห็นละลานตา มีทั้งแบบสุกกำลังพอดีแกะถุงพลาสติกก็สามารถกินได้ทันที และแบบที่สุกๆ ดิบๆ เพื่อให้ผู้บริโภคที่ยังไม่รีบกินได้เลือกซื้อเลือกหาไว้ไปบ่มกินที่บ้าน หรือเก็บไว้เป็นอาทิตย์ๆ ได้โดยที่ยังมีสีสันน่ารับประทาน อย่างไรก็ตาม การห่อหุ้มยืดอายุผลไม้ด้วยพลาสติกมีทั้งคุณประโยชน์ ที่ช่วยเก็บรักษาคงสภาพของพืชผักผลไม้ให้น่ารับประทาน แต่หากห่อหุ้มในสภาพที่ผลไม้ยังคงมีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชหรือยาฆ่าแมลง ก็อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค โดยศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยด้านอาหาร กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ข้อมูลว่าผัก ผลไม้ ส่วนใหญ่มีสารที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค อาทิ จุลินทรีย์ก่อโรคและยาฆ่าแมลง เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาฆ่าแมลงหากมีการใช้ในขั้นตอนการปลูกในปริมาณมากเกินไป หรือเก็บเกี่ยวพืชผลออกจำหน่ายก่อนสารเคมีสลายตัว ก็จะทำให้เกิดสารตกค้างจนเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค โดยอาการที่พบ มีตั้งแต่คลื่นไส้ , อาเจียน , ท้องเสีย , กล้ามเนื้อสั่น , ชักกระตุกจนหมดสติ บางรายอาจรุนแรงถึงขั้นหยุดหายใจไปเลยก็ได้ และหากสะสมในร่างกายต่อเนื่องจำนวนมากก็จะทำให้เป็นโรคมะเร็ง ด้วยความห่วงใยผู้บริโภคทุกท่าน ก่อนเลือกซื้อผักผลไม้จะดูที่สีสันอย่างเดียวคงไม่ได้ บรรจุภัณฑ์ที่ห่อหุ้มน่าจะสร้างความปลอดภัยต่อผู้บริโภคได้อีกทางหนึ่ง วันนี้จึงมีนวัตกรรมดีๆ จากนวัตกรไทยมาเล่าสู่กันฟัง โดยรองศาสตราจารย์ ดร.อนงค์นาฏ สมหวังธนโรจน์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วยคณะผู้วิจัย ที่ได้พัฒนาศักยภาพ “ถุงพลาสติกชีวภาพ” บรรจุภัณฑ์ที่น่าจะช่วยหลีกเลี่ยงอันตรายจากสารเคมี สามารถเก็บรักษาผักผลไม้ได้และคงสภาพยืดอายุผักผลไม้ไว้ได้นาน และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้ผลงานวิจัยเรื่อง “บรรจุภัณฑ์ถุงพลาสติกชีวภาพเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาพืชผลสดและผลไม้แห้ง” จนได้รับรางวัล ผลงานประดิษฐ์คิดค้น ประจำปี 2558 ระดับดี สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จากงานวิจัย“ถุงพลาสติกชีวภาพ” ระบุว่าได้ต่อยอดมาจากเม็ดพลาสติก ด้วยการเติมสารชีวภาพ ให้มีรูขนาดเล็กที่ทำให้ ออกซิเจน  คาร์บอนไดออกไซด์  ไอน้ำ สามารถผ่านได้ กระบวนการทำให้สามารถเก็บรักษาความสดใหม่ได้ดีกว่าเดิม 2-7 เท่า ในขณะที่เชื้อโรคไม่สามารถผ่านได้ เห็นข้อดีแบบนี้ผู้บริโภคก็น่าจะเบาใจได้เปาะหนึ่งว่าตั้งแต่กระบวนการห่อหุ้มผักผลไม้ลงในถุงพลาสติก ไปจนส่งถึงมือผู้บริโภค “จุลินทรีย์และเชื้อโรค” คงผ่านเข้าไปในถุงพลาสติกได้ยาก! นอกจากศักยภาพในการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ “ถุงพลาสติกชีวภาพ” นี้สามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์ ช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกร รวมถึงผู้ทำการค้าส่งออก และสร้างความปลอดภัยให้ผู้บริโภคแล้ว  บรรจุภัณฑ์นี้ยังย่อยสลายได้เร็วกว่าถุงพลาสติกทั่วไป โดยใช้ระยะเวลาย่อยสลายได้ภายในหนึ่งปีเท่านั้น นับว่าเป็นนวัตกรรมเชิงพาณิชย์เพื่อสิ่งแวดล้อม ที่สามารถช่วยลดปัญหาขยะพลาสติกอีกด้วย แต่ถ้าท่านผู้อ่านสนใจเลือกซื้อเลือกหาผักผลไม้ที่ห่อหุ้มถุงพลาสติกชีวภาพ อาจต้องรอหน่อยเพราะนวัตกรรมนี้ยังมีต้นทุนที่สูง เมื่อเทียบกับพลาสติกห่อหุ้มผลไม้ทั่วไป จำหน่ายราคาประมาณกิโลกรัมละ 50 บาท ขณะที่ถุงพลาสติกชีวภาพมีต้นทุนสูงกว่าถึง 3 เท่า โดยราคาจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 150 บาท เห็นตัวเลขถ้าเทียบเฉพาะราคาอาจมองว่าแพง!กว่ามาก...แต่ถ้าวัดกันที่คุณค่าคุณประโยชน์แล้วก็คงต้องยกนิ้วให้กับถุงพลาสติกชีวภาพอย่างแน่นอน คงต้องฝากความหวังไว้ให้ภาครัฐยื่นมือเข้ามาสนับสนุนงานวิจัยดีๆ แบบนี้ให้เป็นรูปธรรม เพราะประเทศไทยมีผลผลิต ทางด้านเกษตรจำนวนมากที่พร้อมส่งถึงมือผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ถ้าผลผลิตเหล่านี้สามารถยืดอายุได้นานโดยสินค้ายังมีคุณภาพดี ก็จะเป็นที่ยอมรับในนานาประเทศและน่าจะทำให้อัตราการส่งออกของสินค้าเกษตรไทยดีขึ้น แต่สำหรับตอนนี้ วิธีหลีกเลี่ยงอันตรายจากสารเคมีและเชื้อโรคที่ง่ายสุด ก็คงต้องทำตามอย่างง่าย ๆ แบบที่โบราณสอนไว้ คือให้เลือกผักที่มีรูพรุน จากการเจาะของแมลง  เลือกกินผักผลไม้ตามฤดูกาล  ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยในการบริโภคไปก่อนก็แล้วกัน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 167 ตรุษจีน : กินดี อยู่ดี ชีวีมีสุข

น่าจับตาดูเทศกาลตรุษจีนในเดือนกุมภาพันธ์ที่ใกล้จะมาถึงนี้  ลูกหลานจากแดนมังกรไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลก โดยเฉพาะชาวไทยเชื้อสายจีน ต้องมีการเซ่นไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษ เอาฤกษ์เอาชัยเสริมสิริมงคลกัน ยกใหญ่ตั้งแต่ต้นปีและที่พลาดไม่ได้บรรยากาศแผงตลาดพืชผักผลไม้และเนื้อสัตว์ ในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้น่าจะคึกคักไม่แพ้ในปีที่ผ่านมา ! ด้วยเหตุที่พิธีกรรมเซ่นไหว้ทั้งเทพเจ้าและบรรพบุรุษ จะพิถีพิถันประกอบไปด้วยของคาวและหวานนานาชนิด อย่างน้อยๆ 10 อย่าง ซึ่งมีการไหว้ 3-4 ชุด พร้อมด้วยน้ำชา สุรา และกระดาษเงิน กระดาษทองต่างๆ แถมยังมีผลไม้มงคลอีกทั้ง กล้วย แอปเปิล สาลี่ ส้ม องุ่น และสับปะรด ซึ่งล้วนแต่ให้ความเป็นมงคลกับชีวิต และนำโชคลาภ ความสงบร่มเย็นและความเจริญรุ่งเรืองมาให้กับลูกๆ  หลานๆ (เชื่อกันว่ากล้วย หมายถึง กวักโชคกวักลาภเข้ามา  ส้ม หมายถึง ความสวัสดีมหามงคล สาลี่ หมายถึง โชคลาภมาถึง องุ่น คือความเพิ่มพูน และสับปะรด หมายถึง มีโชคลาภมาหา) ลองมาดูกันว่า อาหารคาวไหว้ตรุษจีน มีอะไรบ้าง... ที่ขาดไม่ได้คือ ไก่ต้ม เป็ดต้ม แบบเต็มตัว มีหัว ปีก ลำตัวและขาครบทุกส่วน ซึ่งจะให้ความอุดมสมบูรณ์  และเท่าที่สำรวจราคาในสองปีที่ผ่านมาทั้งจากกระทรวงพาณิชย์และตามหน้าหนังสือพิมพ์ ได้เผยตัวเลขสินค้าไก่และเป็ดในช่วงเทศกาลราคาจะอยู่ที่ราวๆ 300 – 400 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนเนื้อปลาขึ้นอยู่กับขนาดว่าคนซื้อชอบตัวใหญ่หรือตัวเล็ก แต่ราคาเฉลี่ยตัวละประมาณ 200 -300 บาทต่อกิโลกรัม และอาหารทะเลทั้งปลาหมึก กุ้ง ราคาจะสูงแน่นอนซึ่งปีที่ผ่านมาพุ่งไปถึง 650 -700 บาทต่อกิโลกรัม จึงควรเตรียมทรัพย์ไว้ให้พร้อม ไม่เพียงแค่มีอาหารคาวอย่างเดียว...วัฒนธรรมของคนจีนยังไหว้ด้วยขนมและผลไม้อีกด้วย โดยขนมหวานที่เห็นผู้หลักผู้ใหญ่ไหว้กันบ่อยๆ ก็เน้นขนมเทียนและขนมเข่ง ที่ให้ความหมายหวานชื่น ราบรื่น และอุดมสมบูรณ์ ซึ่งมีราคาย่อมเยาเหมือนปีที่ผ่านมา เฉลี่ยอยู่ที่ชิ้นละ 10 บาท บางบ้านก็จะมี ขนมไข่ ขนมถ้วยฟู และขนมสาลี่ ที่ให้ความหมายในเชิงความเจริญรุ่งเรือง เฟื่องฟู ร่ำรวย ราคาก็แล้วแต่จำนวนชิ้นในแต่ละแพ็คเกจที่บรรจุขนมไว้ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วจะมี 4 – 6 ชิ้นต่อแพ็ค ราคาราวๆ 30 – 40 บาท ส่วนผลไม้เซ่นไหว้ราคาในช่วงเทศกาลแต่ละปีจะสูงขึ้นใกล้เคียงกันทุกปี เช่น  ส้ม 80 บาทต่อกิโลกรัม แอปเปิล สาลี่ ทับทิม กองละ 100 บาท เป็นต้น หากจะประเมินภาพรวมของเศรษฐกิจในช่วงเทศกาลตรุษจีนแล้ว ก็ต้องยิ้มรับกับความ เฮง เฮง เฮง อย่างที่คนไทยเชื้อสายจีนชอบพูดเสมอ เพราะในช่วงเทศกาลนี้ในหลายๆ ปีที่ผ่านมาได้สร้างเม็ดเงินสะพัดให้กับประเทศไทยอยู่ที่ราว ๆ 4 – 5 พันล้านบาท ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกของปีได้เป็นอย่างดี แต่ช่วยเหลือเศรษฐกิจแล้ว ก็อย่างลืมดูแลสุขภาพกันด้วย เพราะอาหารที่ใช้ไหว้บรรพบุรุษส่วนใหญ่เป็นของมัน แบบผัดๆ ทอด ๆ เนื้อสัตว์เป็นตัวๆ และขนมหวานเป็นชิ้นใหญ่ กินก็ระวังโรคอ้วนถามหาด้วย เพราะมีทั้ง ไขมันสูงและน้ำตาลสูง เรื่องนี้ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์(องค์การมหาชน) ออกโรงมาเตือนเองว่า ให้ลดแป้งและน้ำตาล รับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ และอย่าลืมจิบชาเพื่อล้างไขมัน ลดการกินเป็ดไก่ รับประทานเห็ดแทนเนื้อสัตว์ และเพิ่มเมนูปลาแทนน่าจะดีกว่า เพราะถึงแม้ว่าเทศกาลตรุษจีนจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ควรใส่ใจสุขภาพ รักษาและดูแลร่างกายให้ห่างไกลจากโรคภัยอยู่เสมอ “สุขภาพดีไม่มีขาย ใครอยากได้คงต้องดูแลกันเอง” นอกจากนี้ในเทศกาลตรุษจีน จะไม่ได้เป็นเพียงวันเทศกาลวันหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นวันแห่งการเริ่มต้นสิ่งใหม่ให้ชีวิต ด้วยความ มั่ง มี ศรี สุข อย่างแท้จริง หากชาวไทยเชื้อสายจีนได้มีโอกาสทำบุญกับบรรพบุรุษ เหมือนกับหลักขงจื้อที่ว่า “ร้อยความดี..ความกตัญญูมาเป็นที่หนึ่ง” แล้วจะดียิ่งขึ้นกว่านี้เมื่อทุกคนในครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา นึกถึงแต่สิ่งดีๆ ทำแต่สิ่งดีๆ ที่เป็นมงคล แล้วความเป็นสิริมงคลก็จะเข้ามาในชีวิตตลอดทั้งปี

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 166 ฉลาดขี่ (จักรยาน)

สมัยนี้จะมองไปทางซ้ายหรือขวา ก็เห็นผู้คนหันมาใช้ “จักรยาน” ตามท้องถนนกันมากขึ้น มีทั้งที่ปั่นกินลมชมวิว และฮิตที่สุดก็คงจะเป็นเทรนด์ออกกำลังกาย อย่างไรก็ตามสำหรับมือใหม่ที่กำลังสนใจจะปั่นจักรยานก็คงต้องศึกษาวิธีการเลือกซื้อ - เลือกใช้จักรยาน ให้เหมาะสมกับกิจกรรม เพราะเท่าที่รู้มา กระทรวงสาธารณสุข ได้แบ่งประเภทและลักษณะการใช้งานจักรยานมาเป็น 5 ประเภท แบบแรกจักรยานทั่วไปหรือจักรยานแม่บ้าน จักรยานประเภทนี้ส่วนมากไม่มีเกียร์ มีตะแกรงหน้าไว้สำหรับใส่ของ และมีน้ำหนักต่อคันค่อนข้างมาก ต้องใช้แรงถีบมากหน่อย แต่ข้อดีคือ มีราคาถูก ควักกระเป๋าซื้อหาได้สบายตามร้านขายจักรยานทั่วไป และเมื่อชำรุดก็มีร้านรับซ่อมหาง่ายอีกด้วย แบบที่สองจักรยานพับได้ เดี๋ยวนี้มีผลิตในประเทศไทยแล้วแต่ที่นักปั่นนิยมใช้มักสั่งมาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะ จักรยานมือสองของญี่ปุ่น ลักษณะพับได้ กะทัดรัด ซึ่งหากจะใช้มือหนึ่งคงต้องยอมจ่ายแพงหน่อย แบบที่สามจักรยานออกกำลังกายและท่องเที่ยว จักรยานประเภทนี้เมื่อปั่นแล้วจะรู้สึกเบาแรง เพราะติดระบบเกียร์ที่ช่วยเบาแรงนักปั่น โดยแบ่งตามลักษณะเฉพาะ คือ (1) จักรยานเสือหมอบ คล้ายจักรยานแข่งแต่คุณภาพอุปกรณ์จะด้อยกว่า จึงเหมาะสำหรับปั่นบนทางเรียบเท่านั้น (2) จักรยานท่องเที่ยว นอกจากปั่นไปเที่ยวบนทางราบหรือทางขรุขระเล็กน้อยแล้วยังใช้ปั่นออกกำลังหรือปั่นไปทำงานได้ด้วย ลักษณะมีตะแกรงด้านท้ายไว้สำหรับวางสัมภาระ ซึ่งมีระบบเกียร์ให้เลือกตั้งแต่ 10 - 27 สปีด (3) จักรยานเสือภูเขา เป็นจักรยานที่ออกแบบไว้ปั่นขึ้นลงเขา สามารถใช้งานสมบุกสมบัน  มีโครงสร้างที่แข็งแรง ล้อยางใหญ่หรืออ้วน ดอกยางใหญ่และหนา ทำให้เกาะพื้นถนนได้ดีโดยเฉพาะเวลาปั่นขึ้นเนินชัน ๆ ทั้งยังสามารถใช้งานได้ในทุกพื้นผิวถนน แถมมีระบบเกียร์ให้เลือกตั้งแต่ 10 - 27 สปีด และมีแบบลูกผสมหรือจักรยานเมือง (ซิตี้ไบค์) สามารถปั่นบนถนนธรรมดาได้เร็ว มีลักษณะเหมือนเสือภูเขา แต่ยางล้อเล็กกว่า ดอกยางไม่ลึกเมื่อเทียบกับเสือภูเขา เวลาปั่นในเมืองจะเปลืองแรงน้อยกว่า แบบที่สี่จักรยานแข่ง หรือจักรยานแบบเสือหมอบ ส่วนใหญ่นักกีฬาใช้แข่งขัน มีน้ำหนักเบามาก มีเกียร์ตั้งแต่ 1 - 27 สปีด ตัวถังเล็ก เพรียวลม ยางรถจะผอมและทนแรงดันได้สูง มีการตัดอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็น เช่น ขาตั้ง บังโคลน ออกเพื่อให้เบาแรงได้ดี จักรยานชนิดนี้มีราคาแพงมาก มีตั้งแต่ราคาหลักหมื่น จนถึงหลายแสนบาท แบบที่ห้าจักรยานฟิกซ์เกียร์ จักรยานประเภทนี้มีสปีดเดียว เฟืองหลังเป็นแบบตายหรือฟิกซ์ คือปล่อยฟรี หรือปั่นขาทวนกลับไม่ได้ การขี่จึงต้องหมุนขาไปข้างหน้าตลอดเวลา เพราะหากไม่หมุนขาเฟืองก็จะไม่หมุน ซึ่งก็คือการเบรกนั่นเอง และถ้าต้องเบรกเร็ว ๆ แรง ๆ ก็ให้กระทืบขาย้อนกลับหลัง จักรยานจะหยุดทันที แบบนี้น่าจะเหมาะกับคนที่ขี่เก่งแล้ว   อุปกรณ์ความปลอดภัยที่สำคัญ เมื่อเลือกซื้อให้เหมาะกับวัตถุประสงค์แล้ว ก็ไม่ควรละเลยเรื่องอุปกรณ์ความปลอดภัย ซึ่งอุปกรณ์สำคัญที่ขาดไม่ได้ ก่อนก้าวเท้าปั่นจักรยานออกจากบ้าน ที่พอจะสรุปข้อมูลได้จากชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย และสมาคมจักรยานเพื่อสุขภาพไทย มีดังนี้ 1.หมวกกันน็อค ทุกครั้งควรใส่เพราะหากเกิดอุบัติเหตุและสมองได้รับการกระทบกระเทือน ก็ไม่รู้ว่ามากน้อยแค่ไหน เลวร้ายอาจพิการถึงขั้นเสียชีวิตไปเลยก็เป็นได้ 2.ไฟหน้าและไฟท้าย ถือเป็นสิ่งสำคัญพอ ๆ กับหมวกกันน็อค เพราะจะทำให้รถคันใหญ่หรือรถคันเล็กที่วิ่งบนถนนเดียวกัน สามารถเห็นเราได้ถนัด โดยเฉพาะยิ่งเวลากลางค่ำ กลางคืน ฝนตก หรือแม้แต่หมอกหนาจัด ก็จะเพิ่มความปลอดภัยได้เช่นกัน 3.กระจกส่องหลัง อุปกรณ์ที่เป็นตาหลังให้นักปั่นขณะที่จะต้องเลี้ยวก็ไม่ต้องหันไปมองรถคันหลังหรือรถที่กำลังแซง เพราะถ้าหันไปมองแล้วอาจเสียหลักและเกิดอุบัติเหตุนี่จึงเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มสมาธิให้นักปั่น เวลาจะเปลี่ยนเลนหรือแซงคันข้างหน้า 4.กระดิ่ง , แตรไฟฟ้า ในกรณีนี้จะช่วยส่งสัญญาณเตือนให้รถที่สัญจรได้เห็นจักรยานที่ปั่นอยู่ ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ยิ่งมีสัญญาณดังเท่าไรยิ่งดี 5. เสื้อ,กางเกง ,ปลอกแขนและผ้าปิดจมูก สำหรับนักปั่นสายกีฬา คงต้องมีไว้ติดกายใส่ก่อนปั่นทุกครั้ง อาทิ เสื้อนักปั่น ต้องเหมาะสมช่วยระบายเหงื่อได้เร็ว ไม่อึดอัด ยางยืดที่ชายเสื้อ จะช่วยให้ลมเข้าสู่ร่างกาย เหงื่อไม่หมักหมม จนรำคาญขัดจังหวะการปั่นจักรยาน กางเกงต้องมีฟองน้ำ , เจล กระชับแนบเนื้อเพื่อบรรเทาอาการปวดน่องหลังจากปั่นเป็นเวาลานาน ๆ สำหรับปลอกแขน มีไว้กันแดด ควรเลือกที่ระบายเหงื่อได้ดี และผ้าปิดจมูกนอกจากกันแดดแล้ว ยังจำเป็นในการปั่น ณ บริเวณเมืองใหญ่ ๆ เพราะจะช่วยป้องกันฝุ่นและควันได้ดี แต่กรณีปั่นเที่ยวหรือจ่ายตลาดทั่วไปก็ไม่จำเป็นต้องจัดเต็มทั้งชุดที่กล่าวมาก็ได้ เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองเงินเปล่า ๆ ดังนั้นปั่นใกล้ ๆ เลือกสวมใส่เสื้อที่เหมาะสม ถนัด ชุดทะมัดทะแมงคล่องตัว 6. ถุงมือ จำเป็นยิ่งสำหรับมือใหม่หัดปั่น ในสายกีฬาอย่าคิดว่าถุงมือไม่สำคัญ เพราะเมื่อปั่นไปเรื่อย ๆ มือจะมีเหงื่อเหนียวและลื่น ทำให้ปั่นไม่ถนัดจะพลาดเกิดอุบัติเหตุ 7. แว่นตา เป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่สามารถป้องกันฝุ่นควัน แมลง แถมยังถนอมสายตาอีกด้วย 8.กระเป๋า อุปกรณ์สุดท้ายที่ขาดไม่ได้ เพราะนอกจากใส่สิ่งของจำเป็น เช่น โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าตังค์ แล้วในนั้นควรจะมียาสามัญไว้ปฐมพยายบาลเบื้องต้น ป้องกันไว้กรณีมีอุบัติเหตุจะได้รักษาได้ทันท่วงที และที่สำคัญอย่าลืมบันทึกเบอร์สำคัญ ๆ เช่นโรงพยาบาล สถานีตำรวจ และเก็บเบอร์โทรญาติคนสนิทไว้ด้วย เผื่อเกิดอุบัติเหตุผู้ที่มาพบเห็นจะได้โทรแจ้งและช่วยเหลือได้ ด้วยเหตุที่บนท้องถนนมีรถสัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก เรา ๆ ท่านๆ คงไม่อยากให้อุบัติเหตุเกิดขึ้น โดยเฉพาะยิ่งรถจักรยาน พาหนะคันเล็ก ๆ ที่โบราณเรียกเนื้อหุ้มเหล็ก ดี ๆ นั่นเอง จึงยิ่งต้องเพิ่มความปลอดภัยและเคารพกติกามารยาทบนท้องถนน และเมื่อไรหนอประเทศไทยบ้านเราจะมีเลนบนถนน เว้นพื้นที่ไว้ให้ “นักปั่น” เหมือนกับประเทศศิวิไลซ์ทั้งหลายบ้างนะ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 165 Code นมสิ่งสำคัญในการปกป้องสุขภาพเด็กไทย

Code นม หรือ หลักเกณฑ์สากลว่าด้วยการตลาดอาหารทดแทนนมแม่ (International Code of Marketing of Breast  Milk Substiututes ) ณ ปัจจุบันหลักเกณฑ์นี้ยังไม่มีกฎหมายเป็นข้อบังคับ จึงทำให้เกิดปัญหาความเข้าใจผิดต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และส่งผลให้สถิติการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของประเทศไทยอยู่ภาวะที่ต่ำมากในเอเชีย นั่นหมายถึงสุขภาพของเด็กไทยที่จะต้องเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพในอนาคต นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล ที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข และอดีตเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา  กล่าวว่า  Code นม ที่ประเทศต่างๆ ได้มีมติรับรองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524  เป็นกฎเกณฑ์ปกป้องสุขภาพเด็ก เพื่อให้เด็กได้กินนมแม่  ซึ่งถือเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก และเพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อจำเป็นต้องใช้อาหารอื่นแทนนมแม่ แม่จะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนผ่านวิธีการตลาดที่เหมาะสม สำหรับประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศ เรื่อง “หลักเกณฑ์สากลว่าด้วยเรื่องการตลาดอาหารทดแทนนมแม่ตั้งแต่ พ.ศ. 2524  แต่ด้วยประเทศไทยไม่มีกฎหมายเพื่อบังคับใช้อย่างจริงจัง  ทำให้ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายอาหารทารกและเด็กเล็ก ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงนี้ มีหลักฐานจากหลายประเทศแสดงให้เห็นว่า การตรากฎหมายเพื่อควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็กนั้น มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมปัจจัยที่เอื้อต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่  อย่างเช่นการวิจัยในประเทศฟิลิปปินส์ พบว่า การออกกฎหมายควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็กในปี 1986 ส่งผลให้มีการแจกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ในโรงพยาบาลลดลง จากร้อยละ 57.5  ในปี ค.ศ. 1986 เหลือเพียงร้อยละ 2.8 ในปี ค.ศ. 1988  ประเทศไทยของเราน่าเป็นห่วงมากว่า ถึงแม้เราจะประกาศใช้หลักเกณฑ์ว่าด้วยการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องมานานถึง 30 ปีแล้ว แต่เราไม่สามารถป้องกันหรือบังคับใช้ได้ เพราะไม่มีการลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืน การมีหลักเกณฑ์จึงไม่สามารถควบคุมการส่งเสริมการตลาดที่ดำเนินการอยู่ได้ ในทัศนะของ ดร.บวรสรรค์ เจี่ยดำรง นักวิชาการนิเทศศาสตร์อิสระ ผู้ติดตามการส่งเสริมการตลาดของอุตสาหกรรมนมผงในประเทศไทย เห็นว่า มีกลยุทธ์ในหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ การโฆษณาในสื่อโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อโฆษณาอื่นๆ  มีการแจกตัวอย่างผลิตภัณฑ์เป็นของขวัญฟรีแก่แม่  การใช้ข้อความ รูป หรือสัญลักษณ์บนฉลากผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เข้าใจว่าสร้างพัฒนาการที่ดีให้กับเด็ก และมีสารอาหารที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ  การอบรมคุณแม่ตั้งครรภ์ผ่านสถานประกอบการ หรือผ่านกิจกรรมในโรงพยาบาล  การทำตลาดผ่านสื่อ Call Center  จดหมาย หรือ SMS  เพื่อติดต่อกับแม่และครอบครัวโดยตรง  การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ผ่านโรงพยาบาลและคลินิก ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งแจกของขวัญให้กับบุคลากรในโรงพยาบาล “เครื่องมือส่งเสริมการตลาดเหล่านี้ ได้สร้างมายาคตินมผงเท่ากับนมแม่ ชวนให้แม่เชื่อผิดๆ ว่านมผงมีสารอาหารเทียบเท่านมแม่ ภายใต้กรอบความเชื่อที่ผิดๆ เช่นนี้จะมีผลต่อการตัดสินใจเลือกทางเลือกในการเลี้ยงลูกด้วยนมผงร่วมกับนมแม่ ซึ่งเป็นกลยุทธ์อันแยบยลที่อุตสาหกรรมนมผงใช้ในการขัดขวางการผลิตน้ำนมของแม่  เมื่อแม่ไม่ได้ให้นมลูก กระบวนการผลิตน้ำนมก็ไม่ได้ถูกกระตุ้น  ทำให้น้ำนมแม่ก็แห้งไปจากอกแม่  แม่จึงเข้าใจว่าน้ำนมไม่พอ ในที่สุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนก็ไม่สำเร็จ” เมื่อทารกไม่ได้กินนมแม่หรือได้รับนมแม่ไม่เพียงพอในช่วง 6 เดือนแรก ทารกก็สูญเสียสิทธิที่จะได้รับสารอาหารที่ดีสุดในชีวิตไป ซึ่งทารกที่ไม่ได้กินนมแม่หรือกินไม่เพียงพอก็เสี่ยงที่จะเป็นโรคภูมิแพ้ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยพบเด็กวัยแรกเกิด-5 ปี ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้สูงถึง 6 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่แม่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อนมผงเลี้ยงลูกสูงถึงปีละกว่า 7 หมื่นบาท นี่ยังไม่รวมค่ารักษาพยาบาลโรคภูมิแพ้อีกปีละเกือบ 7 หมื่นบาท ขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุขมีต้นทุนค่ารักษาพยาบาลปีละกว่า 7,500 ล้านบาท ท่ามกลางความเสียหายต่อสุขภาพทารกและระบบสาธารณสุขของประเทศ การดำเนินธุรกิจที่ไร้จริยธรรมทำให้อุตสาหกรรมนมผงได้กำไรต่อปีกว่าพันล้านบาท ทางด้านเครือข่ายคุณแม่ออนไลน์ ซึ่งเกิดจากการรวมกลุ่มคุณแม่ ที่มีความตระหนักร่วมกันไม่ต้องการให้การตลาดนมผงมาสร้างมายาคติ หรือความเชื่อที่ผิดๆ ให้กับคุณแม่ทั้งหลาย โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีฐานะการเงินที่ไม่ดี เพราะนมมีคุณค่าที่สุดที่จะเลี้ยงลูกของตนเอง  จากคุณแม่ไม่กี่คนที่เชื่อมั่น และต้องการเห็นเด็กๆ คนอื่น มีความเท่าเทียมในการเติบโตอย่างมีสุขภาพ จึงเริ่มต้นแนะนำให้ความรู้กับคุณแม่มือใหม่ด้วยสื่อออนไลน์เพราะเข้าถึงคนได้ง่าย จากเว็บไซต์ และปัจจุบันยังอาสาทำงานให้ความรู้คุณแม่เท่าทันการตลาด ล่าสุดเข้าเพื่อความรวดเร็วและเข้าถึงผู้คนได้ง่ายและขยายผลได้ดี ปัจจุบันจึงเป็นเฟสบุ๊ค “นมแม่ แบบแฮปปี้” พญ.ศศินุช รุจนเวช  ตัวแทนเครือข่ายคุณแม่ออนไลน์ ยังเล่าให้ฟังว่า ตนเองไม่ใช่กุมารแพทย์ เหมือนกับคุณแม่ทั่วไป ที่กังวลกับการมีลูก ตอนที่มีลูกก็มีปัญหาน้ำนมไม่มี แต่ได้รับการดูแลจากโรงพยาบาลที่เข้ามาสนับสนุนนมแม่ จึงเริ่มสนใจเข้าใจเรื่องเหล่านี้ และเริ่มต้นจากแม่ๆ มาเริ่มพูดคุยแชร์เรื่องเหล่านี้ร่วมกัน  จึงเกิดความต้องการอยากให้คุณแม่ทุกคนให้นมแม่สำเร็จ เห็นลูกเราแข็งแรง แต่เด็กอื่นๆ ที่กินนมผง กินนมแม่น้อย มีความเจ็บป่วยมากกว่า มีสุขภาพไม่แข็งแรง จึงทำให้สนใจเรื่องการตลาด และข้อเท็จจริงก็คือคนส่วนใหญ่สามารถให้นมแม่ได้สำเร็จอยู่แล้ว แต่พอมีการตลาดเข้ามาก็ไปขัดขวางให้คุณแม่เข้าใจเรื่องนี้ผิดๆ  เราเป็นห่วงว่าอัตราการให้นมแม่ของประเทศไทยน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชีย อย่างคุณแม่ในทีมที่แข็งขันท่านหนึ่ง ที่มีสามีเป็นแพทย์ก็ได้ศึกษาหาข้อมูลตรงนี้มาเผยแพร่ พวกเราช่วยกันทำงานนี้ทั้งทางตรงและทางอ้อม คุยกับคนใกล้ตัว แล้วก็เจอปัญหาที่โดนคนรอบข้างกดดันเพราะอิทธิพลของการโฆษณา หลายคนเจอว่าทำไมไม่ให้ลูกกินนมผง มีสารดีๆ อยู่ในนมผงเยอะนะ  เราจึงเห็นว่านี่คือผลของอิทธิพลการโฆษณา ทำให้คนรอบข้างไม่เข้าใจและส่งผลต่อแม่ที่อยากให้ลูกทานนมแม่ ประเทศไทยจึงควรขจัด “มายาคติ” เหล่านี้ จึงอยากฝากคุณแม่ทุกท่านให้ลูกได้กินนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน และอยากให้มีเครือข่ายกว้างขวางช่วยกันเผยแพร่ความรู้ ถ้าเครือข่ายเราเข้มแข็งการป้องกันเด็กทารกจะดีขึ้น และท้ายที่สุดหวังว่าจะมีการสนับสนุนให้มีกฎหมายที่ช่วยคุ้มครองสุขภาพเด็กไทยจากอิทธิพลของการตลาดนมผง   ข้อมูลจาก เวทีชี้แจงกับสื่อมวลชน ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2557 ในประเด็น “ความสำคัญของ Code นม เพื่อปกป้องสุขภาพเด็กไทย”  ที่ โรงแรมแรมเอเชีย  จัดโดยโครงการสื่อสารเพื่อสนับสนุนนมแม่ฯ  ได้รับการสนับสนุน โดย องค์การยูนิเซฟ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 164 ฉลาดใช้มือถือ! ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์

มองไปทางไหน ก็เห็นมีแต่คนพกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์คนละเครื่องสองเครื่อง นับเป็นเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกโดยเฉพาะมือถือ ที่ปัจจุบันมีความจำเป็นในการสื่อสารมากขึ้น จนมีคนเอาไปพูดเชิงหยอกล้อว่าแทบจะเป็นปัจจัยที่ห้าของมนุษย์เราเลยก็ว่าได้ เท่าที่ทราบคนไทยทั้งประเทศตอนนี้มีอยู่ 67.9 ล้านคน แต่มียอดการใช้งานโทรศัพท์มือถือรวมทั้งรุ่นเก่ามีฟังก์ชั่นแบบโทรเข้าโทรออกได้และรุ่นใหม่สมาร์ทโฟน ที่ทั้งดูหนัง ฟังเพลง เข้าอินเทอร์เน็ตไว้หาข้อมูล รวมแล้วกว่า 89 ล้านเครื่อง เติบโตจากเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาถึง 7 เท่าตัว และมีอัตราเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งกรมโรงงานได้คาดการณ์ไว้ว่าน่าจะเติบโตร้อยละ 10 ต่อปี หรือ ปีละ 9 ล้านกว่าเครื่อง เคยสงสัยไหมว่า โทรศัพท์มือถือเมื่อเราๆ ท่านๆ ไม่ใช้กันแล้ว เศษซาก แบตเตอรี่ กรอบมือถือ ไมโครชิพ  ฯลฯ จะไปอยู่ที่ไหน และเป็นอันตรายหรือไม่ เพราะขยะจากโทรศัพท์เป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่เมื่อหมดอายุการใช้งานไม่สามารถย่อยสลายได้เอง และถ้ากำจัดไม่ถูกวิธีก็จะเป็นขยะที่อันตรายมีสารเคมีรั่วไหล จนก่อให้เกิดมลพิษซึมลงสู่ดินและน้ำในบริเวณใกล้เคียง ด้วยเหตุที่สารเคมีประเภทโลหะหนักทั้ง ปรอท แคดเมียม ตะกั่ว สารหนู กำมะถัน นอกจากจะเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมแล้วยังเป็นอันตรายต่อร่างกายอีกด้วย เพราะจะทำลายระบบเลือด ระบบประสาทส่วนกลาง หากได้รับในปริมาณที่มากเกินไป ก็จะทำให้ระบบทางเดินหายใจเกิดความผิดปกติรุนแรง ปอดอักเสบ และอาจเกิดมะเร็งได้ แน่นอนว่าขยะอันตรายๆ แบบนี้หลายๆ ประเทศจะมีหน่วยงานที่แนะวิธีการใช้อย่างถูกวิธี และการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ผ่านกระบวนการรีไซเคิล บางประเทศในเอเชียอย่างญี่ปุ่นก็ได้ควบคุมดูแลอย่างจริงจัง ไม่ทำแบบ“สุกเอาเผากิน” ซึ่งมีตั้งแต่มาตรการออกกฎหมายรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ , ควบคุมสินค้าให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีการตั้งจุดรับสินค้าคืนเมื่อหมดอายุ ตลอดจนทำโปรโมชั่นของมือถือเก่าเทิร์นเครื่องใหม่ เป็นต้น ครบวงจรการดูแลตั้งแต่กฎหมายยันการตลาดเลยทีเดียว สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ก็มาร่วมกันลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ ได้ด้วยวิธีดังนี้ 1.วางแผนใช้โทรศัพท์มือถืออย่างคุ้มค่า เพราะแน่นอนว่าเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้นทุกปีๆ แต่เราในฐานะผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องใช้ทุกปี เอาเท่าที่จำเป็น ใช้งานให้ครบฟังก์ชั่นตามต้องการ 2. เลือกซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มือถือที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สมัยนี้รุ่นใหม่ๆ ที่ออกมามีบางรุ่นที่เน้นด้านสิ่งแวดล้อม และมีฉลากคาร์บอน ลองสังเกตฉลากหรือตรวจเช็คสรรพคุณที่โฆษณาเพื่อโลกก็ได้ 3. เรียนรู้วิธีการชาร์ตแบตเตอรี่มือถืออย่างถูกวิธี เพื่อลดปัญหาแบตเตอรี่เสื่อม เมื่อลดความต้องการใช้มือถือซึ่งเป็นต้นตอของขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้แล้ว ปลายทางของการรับมือกำจัดขยะเหล่านี้ก็ต้องมีกระบวนการที่ถูกวิธี ตามระเบียบว่าด้วยเศษซากผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ของสหภาพยุโรป (Waste Electrical and Electronic Equipment : WEEE) กฎที่ออกมาเพื่อบังคับผู้นำเข้าสินค้าให้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายและเก็บรวบรวม กู้คืน ตลอดจนกำจัดอุปกรณ์ที่ไม่ใช้แล้ว นับเป็นการรณรงค์ให้ผู้ผลิตเกิดกระบวนการนำเข้าอุปกรณ์และกำจัดอย่างถูกวิธี ซึ่งในปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นและในยุโรปมีการส่งเสริมการสร้างโรงงานขยะรีไซเคิลอิเล็กทรอนิกส์ ให้แพร่หลายเพื่อแนวทางสีเขียวเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและลดปัญหาสุขภาพที่จะส่งผลต่อผู้ใช้งานในระยะยาวแล้ว ถึงเวลาที่เราคนไทยจะมาร่วมกันลดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยการปรับพฤติกรรมใช้มือถือตัวการปัญหาสำคัญ พร้อมส่งเสริมให้เกิดกระบวนการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย อย่างเข้มงวด จริงจัง ตามแนว Zero Waste ที่ภาครัฐวางไว้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 163 ผลลัพธ์สุดท้าย “กินเจ” = กินอย่างมีคุณภาพ

เดือนนี้ขอเกาะติดกระแส เทศกาล “กินเจ” ช่วงเวลาที่ธงสีเหลืองแต้มด้วยข้อความสีแดง เห็นคำว่า “เจ” ชัดเจน และไม่ว่าท่านผู้บริโภคจะเดินไปย่านไหนก็จะเจอแต่อาหารที่โรยด้วยผักสีสันน่ารับประทาน ปราศจากเนื้อสัตว์หลากหลายเมนูทยอยออกมาวางขาย ทุกปีเราจะเห็นคนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง กินเจ บรรยากาศตามท้องถนนจึงคึกคักไปด้วยผู้ประกอบการขายอาหารเจ ตั้งแต่ร้านริมทางจนถึงห้างสรรพสินค้า ต่างก็งัดเมนูมาให้ผู้บริโภคได้เลือก ยิ่งในปีนี้จะมีเทศกาลกินเจ 2 รอบ เป็นครั้งแรกในรอบ 132 ปี คนจีนเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า “หยุ่ง ง้วย” หรือมีเดือน 9 จำนวน 2 ครั้ง กล่าวคือ รอบแรกเริ่มวันที่ 24 กันยายน-2 ตุลาคม และอีกรอบตามศรัทธา วันที่ 24 ตุลาคม-1 พฤศจิกายน รวม 18 วัน อย่างไรก็ตามจากผลสำรวจเมีอปี 2556 พบว่า คนไทยทานเจในช่วงเทศกาลเจสูงขึ้นและมีการใช้จ่ายเพื่อซื้ออาหาร เพิ่มมากกว่า 10% โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ มีค่าใช้จ่ายราวๆ 3.2 พันล้านบาท   โดยหากคิดค่าใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่มต่อคนจะเฉลี่ยอยู่ที่ 200 บาทต่อคนต่อวัน ซึ่งคาดว่าในปี 2557 นี้ มูลค่าการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลเจจะมีถึงประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 6.2% เท่ากับค่าเฉลี่ยในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ยิ่งทราบข้อมูลผู้บริโภคหันมากินเจ ละเนื้อสัตว์มากขึ้นอย่างนี้แล้ว ก็อดดีใจไม่ได้ แต่นอกจากผักที่มีอยู่ในจานหลักของอาหารเจแล้ว สิ่งที่ผู้บริโภคต้องคำนึงที่สุด คือ สุขภาพ เพราะในจานยังอุดมไปด้วย แป้ง , ไขมัน และเกลือ  หากยิ่งกินไปมากๆ การกินเจที่เราคิดว่ากินผักดีไม่มีเนื้อสัตว์ ก็อาจส่งผลข้างเคียงให้กับร่างกายได้เช่นกัน เพราะเนื่องจาก แป้งและไขมัน ถ้ารับประทานไปเกินความพอดีของร่างกาย ก็จะทำให้โรคร้ายถามหา..!! อาทิ โรคอ้วน โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด เร็วๆ นี้ก็มีคนรู้จักสนิทสนมกันมานานของผมต้องป่วยด้วยโรคไขมันอุดตัน  ยังมีโรคเบาหวาน หรือโรคอัลไซเมอร์ ที่ไม่เห็นผลของโรคใน 5 ปี 10 ปี แต่พอเราสูงวัยมากขึ้นจะปรากฏให้เห็นเด่นชัด  ดังนั้นจึงอยากจะแนะนำวิธี “กินเจให้อิ่มใจ” ห่วงใยสุขภาพกับผู้บริโภคทุกท่าน รวมถึงสามารถนำไปใช้แม้ไม่ได้อยู่ในเทศกาลก็ตาม ว่า อาหารที่แม้จะไม่มีเนื้อสัตว์ปะปนอยู่เลย แต่ โปรตีน ที่นำมาใช้นั้นเป็นสารอาหารประเภททดแทน ที่หาได้จากพืช อาทิ ฟองเต้าหู้ นมถั่วเหลือง ถั่ว ธัญพืช เป็นต้น ก็ควรจะบริโภคให้เหมาะสมกับอายุและปริมาณที่สมควร  โดยจะขอแบ่ง โภชนาการอาหารอย่างเหมาะสม เป็น 3 วัย ดังนี้   วัยรุ่น : แม้แป้งหรือไขมัน จะไม่ค่อยมีผลต่อวัยนี้ เพราะเป็นช่วงอายุที่ใช้พลังงานสูง แต่เพื่อป้องกันการสะสมของไขมัน อันจะเป็นต้นเหตุของโรคอ้วน จึงควรกิจอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน หรือแป้งที่ไม่ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ธัญพืช เผือก แทนข้าวขาว และของทอด จะทันสมัยหน่อยก็ลองกินเต้าหู้กับซอสญี่ปุ่น เพราะนอกจากอร่อยแล้วยังดีต่อร่างกายด้วย วัยทำงาน : คนทำงานออฟฟิศส่วนใหญ่ เดินน้อย แต่ใช้กำลังสมองมาก และมักบ่นอุบว่าไม่มีเวลาดูแลสุขภาพ ของว่าง “เจ” เช่น งาขาว งาดำ ถั่วปากอ้า ซึ่งเป็นธัญพืชประเภทไขมันชนิดดี ทำหน้าที่เก็บขยะ หรือไปเก็บคราบไขมันที่เกาะอยู่ตามผนังเส้นเลือดไปที่ตับและขับออกทางน้ำดี หากเคี้ยวของว่างพวกนี้ในยามบ่ายจะทำให้อยู่ท้อง และทำให้สมองแล่น เพราะการเคี้ยวช่วยเสริมกระบวนการคิดได้ ส.ว. (สูงวัย) : อยากให้หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีกากใย รวมถึงผักสด เช่น กะหล่ำปลีสด ผักกาดหอม เพราะจะทำให้ท้องอืดและมีปัญหาเรื่องแก๊สในกระเพาะอาหาร อาหารที่แนะนำจึงเป็นประเภทน้ำ ทั้งน้ำงาดำ น้ำลูกเดือย และเพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหาร ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของโรคอัลไซเมอร์ จึงแนะให้ทานมื้อว่างเสริมเป็นอาหารนิ่มๆ เช่น ผัดเต้าหู้สามรส , จับฉ่ายเห็ดหอมเต้าหู้ , เต้าหู้ผัดเปรี้ยวหวานสับปะรด โดยเอนไซม์จากสับปะรดจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหารให้ดีขึ้น ทราบอย่างนี้แล้ว “กินเจ” หรือ “มื้อไหนๆ” ก็อยากให้ผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพ กินของดีมีคุณภาพ ให้สมกับคำฝรั่งว่าไว้ You are what you eat  เพิ่มคุณค่าให้ร่างกายด้วยคุณประโยชน์จากอาหารที่เลือกกิน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 162 เลือกบริโภค “ผัก” ปลอดสาร ต้องมั่นใจว่าปลอดภัยจริง

“กินผักดี  มีประโยชน์” แนวทางหนึ่งที่คนรักสุขภาพเชื่อกันว่าจะทำให้ห่างไกลจากโรควิถีชีวิต ซึ่งเป็นโรคที่รายงานจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของคนยุคนี้ถึงกว่า 66 % โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา เนื่องจากการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ การบริโภคอาหารนอกบ้าน ประเภทอาหารจานด่วน การมีพฤติกรรมกินอาหารมีไขมันแบบเดิมๆ ซ้ำๆ จึงทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา อาทิ เบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ฯลฯ ­­ “เตรียมผักไว้ทำกับข้าว” กินที่บ้านกับคนในบ้าน ดีทั้งสุขภาพ และมีความสุขกับคนในครอบครัว ลูกๆ หลานๆ  แต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่า “ผัก” ที่บริโภคกันอยู่ทุกวันนี้ปลอดสารพิษ กินดี และมีประโยชน์จริง เพราะผักปลอดสารพิษที่นำมาขายตามท้องตลาดและห้างสรรพสินค้า มีมากชนิดเสียจนบางครั้งก็ทำให้สับสนว่าจะเลือกซื้อร้านไหน หรือ ยี่ห้อไหนดี หรือว่าจำเป็นหรือไม่ที่หันมาบริโภคผักปลอดสารพิษที่มีราคาสูงกว่าผักทั่วไปถึง 3-4 เท่าตัว สำหรับผักปลอดสารพิษนั้น หลายๆ คนอาจเข้าใจว่ามีกรรมวิธีการปลูกขึ้นโดยธรรมชาติ และไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ ทั้งสิ้น อันที่จริงแล้วอ่านดูจากข้อมูลจากกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ซึ่งทำหน้าที่ดูแลและตรวจสอบมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร พบว่าเขาอนุญาตให้มีการใช้สารเคมีบางชนิดในผักปลอดสารพิษได้ เช่น ปุ๋ยเคมี ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง ฮอร์โมน แต่มีข้อแม้คือ สารเคมีดังกล่าวจะต้องมีสารตกค้างในระยะสั้นเท่านั้น และจะต้องหยุดใช้ก่อนการเก็บเกี่ยวที่ทางกรมส่งเสริมการเกษตรได้กำหนดไว้  ซึ่งนี่ถือเป็นมาตรการป้องกันระดับหนึ่งของหน่วยงานภาครัฐ จากตารางข้างต้น อธิบายได้ว่า ผักอินทรีย์ หรือผักออร์แกนิค คือผักที่ไม่ใช้สารเคมี ทั้งสิ้นในการปลูก ไม่ว่าจะเป็นสารเคมีกำจัดโรค กำจัดแมลง กำจัดศัตรูพืช ไม่ใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ ไม่ใช้เมล็ดดัดแปลงพันธุกรรม และให้ความสำคัญในการรักษาสิ่งแวดล้อม. ส่วนผักอนามัย จะปลูกแบบใช้สารเคมีในปริมาณที่กรมฯ กำหนด มีการใส่ใจเรื่องความสะอาดทุกขั้นตอน ก่อนและหลังการเก็บและบรรจุลงหีบห่อ สำหรับ  ผักปลอดสารพิษ ต้องไม่มีการใช้สารเคมีแต่ก็มีบางชนิดที่สามารถใช้ได้ ผักไฮโดรโปนิกส์ ซึ่งเป็นการปลูกโดยน้ำนั้น ยาฆ่าแมลงและยาปราบ ศัตรูพืชจะเข้าสู่ผักได้ แต่ทราบว่ากรมฯ เขาก็ได้กำหนดปริมาณที่เหมาะสมไว้แล้วเช่นกัน ฟังดูอย่างนี้ก็จะรู้สึกว่าผักอินทรีย์ หรือผักออร์แกนิค น่าจะสะอาดที่สุดและปลอดภัย กว่าผักประเภทอื่น แต่ก็มีราคาสูงมาก ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้บริโภคแล้วว่าจะเลือกซื้อแบบไหน ที่น่าคิดคือ เรามั่นใจได้อย่างไรว่า ข้อความที่พิมพ์ไว้บนถุงผักที่วางขายตามร้าน ได้ผ่านการปลูกแบบปลอดสารพิษจริงๆ ไม่ใช่แค่พิมพ์ข้อความไว้เท่านั้น ก็คงต้องฝากหน่วยงานไปเข้มงวดกวดขันกันหน่อย หรือหากไม่อยากเสียเงินเยอะๆ ก็ซื้อผักธรรมดาตามท้องตลาดก็ได้ แต่ลองเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค เช่น อย่าเลือกซื้อแต่ผักที่สวย ไม่มีหนอนหรือแมลงกัดกิน เพราะนั่นแสดงว่าอาจมีการใช้สารเคมีในการปลูก แต่ก็ไม่แน่นอนเสมอไปเพราะได้ข่าวว่าหลังๆ นี้เริ่มมีวิธีการหลอกลวงขั้นเทพ คือสามารถทำให้ผักที่ขายมีร่องรอยเหมือนหนอนกินได้แล้ว เท็จจริงอย่างไรก็ลองสืบหาข้อเท็จจริงกันต่อไป กินผักตามฤดูกาล กินผักหน้าตาแปลกๆ บ้าง ไม่ซ้ำซากอยู่แต่กับผักเดิมๆ ก็ช่วยได้มาก ข้อสำคัญไม่ว่าจะเลือกซื้อผักปลอดสารพิษ หรือไม่ปลอดสารพิษมาแล้วก็ต้องล้างให้สะอาดด้วยอย่างน้อยก็ช่วยลดสารปนเปื้อนลงได้ระดับหนึ่ง(เว้นพวกดูดซึม อันนี้สุดจะเยียวยา) ก่อนนำมารับประทานหรือปรุงอาหาร จะได้มั่นใจขึ้นเป็นสองเท่า

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 161 “Startup” บริษัทไอทีต้องมีคุณธรรม

น่ายินดีกับข่าวคราวความเคลื่อนไหวของคนในแวดวงการไอทีและเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ตอนนี้รายงานจากผลสำรวจผู้ก่อตั้งกิจการโลกหรือ World Startup Report ล่าสุดพบว่า 50 อันดับแรกของประเทศที่มีบริษัทไอทีเกิดขึ้นใหม่เมืองไทยบ้านเราก็ติดอันดับกับเขาด้วยเหมือนกันอยู่ในอันดับที่ 36 เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านแล้วความเก่งไม่แพ้กันเลยยกตัวอย่างสิงคโปร์และมาเลเซียซึ่งตอนนี้อยู่ในอันดับที่ 30 และ 32 ตามลำดับ “บริษัทไอทีหน้าใหม่” ซึ่งศัพท์เฉพาะของคนในวงการไอทีเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “Startup” นั้นนับว่ามีบทบาทต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศพอสมควรทีเดียวเพราะปัจจุบันบริษัทไอทีสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ไทยกว่า 1.5 หมื่นล้านบาทและจากที่ได้ติดตามความเคลื่อนไหวของ Startup ในงาน “Start it Up, Power it Up  ครั้งที่ 6” ซึ่งจัดขึ้นโดยทีมงานผู้ดูแลเว็บไซต์ thumbsup.in.thเมื่อเร็วๆนี้ก็พบว่าบริษัทไอทีอันดับ 1 ของไทยคือAsiaSoftมีมูลค่าตลาดสูงถึง 5,810 ล้านบาทรองลงมาคือAgodaมูลค่าตลาด 2,440 ล้านบาทและอันดับ 3 คือOokbeeมูลค่าตลาด 2,250 ล้านบาท เมื่อมองไปถึงพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันนี้เราจะพบว่าผู้คนนิยมซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์มากขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะไม่ต้องออกจากบ้านสินค้าราคาไม่แพงแถมมาส่งถึงหน้าบ้านอีกด้วยสะดวกสบายและจ่ายเงินน้อยอย่างนี้จึงทำให้มีผู้บริโภคกว่า 23 ล้านคนเลือกที่จะซื้อสินค้าผ่านช่องทางดังกล่าวอย่างไรก็ตามธุรกิจไอทีเป็นการซื้อขายผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนแตกต่างจากการค้าขายทั่วไปโดยสิ้นเชิงไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการสั่งซื้อสินค้าไปจนถึงการชำระเงินจึงทำให้หลายๆครั้งที่สินค้าที่ได้มาไม่ตรงตามความต้องการหรือคุณภาพด้อยกว่าที่ผู้บริโภคคิดไว้   เพื่อป้องกันการถูกละเมิดสิทธิผู้บริโภคและเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าผ่านช่องทางดังกล่าวไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการซื้อขายสินค้าในรูปแบบต่างๆมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจึงได้ให้แนวทางวิธีป้องกันไว้ดังนี้ 1.      เมื่อผู้บริโภคสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ต้องเก็บหลักฐานการสั่งซื้อไว้เช่นหลักฐานการโอนเงินค่าสินค้าหรือเอกสารสั่งซื้อหากกรณีมีปัญหาสินค้าที่สั่งมาไม่ได้คุณภาพตามที่โฆษณาจะได้เอาผิดกับผู้ประกอบการได้ 2.      กรณีสั่งซื้อสินค้าไม่ได้รับสินค้าตามระบุไว้ในโฆษณาในเว็บไซต์ให้ทำหนังสือส่งไปยังเจ้าของเว็บไซต์พร้อมแนบสำเนาหลักฐานการโอนเงินและการสั่งซื้อสินค้าระบุให้ผู้ประกอบการจัดส่งสินค้าใหม่ให้ผู้บริโภคภายใน 7 วันนับจากที่ได้รับจดหมายหรือเอกสาร 3.  หากพ้นวันที่กำหนดการจัดส่งสินค้าและไม่ได้รับสินค้าเข้าข่ายหลอกลวงให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าให้ผู้บริโภคเข้าแจ้งความที่สำนักงานตำรวจใกล้บ้าน นอกจากนี้ผู้บริโภคยังสามารถร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหากพบว่ามีการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคได้ผ่านช่องทางต่างๆได้ไม่ว่าจะเป็นกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคโทรศัพท์ 02-5137113,02-5133681 , มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค 02-2483737 หรือสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสายด่วน 1166 เมื่อทางด้านผู้บริโภคมีวิธีป้องกันการละเมิดสิทธิแบบนี้แล้วด้านผู้ประกอบการที่คิดจะทำธุรกิจนี้ให้ประสบความสำเร็จมีลูกค้าจำนวนมากๆอยู่ในแวดวงไอทีได้นานๆนอกจากการทำให้ลูกค้าพึงพอใจด้วยสินค้าที่มีคุณภาพโดนใจและส่งสินค้าได้ทันใจแล้วก็ควรต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าด้วยการทำธุรกิจอย่างมีคุณธรรมไม่ละเมิดสิทธิผู้บริโภคและยึดหลักความถูกต้อง – ซื่อสัตย์ – เชื่อถือได้ไม่หลอกลวงก็จะส่งผลให้สามารถทำธุรกิจอยู่ได้อย่างยั่งยืน. //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point