ฉบับที่ 135 กระแสต่างแดน

ยอมกันไม่ได้จริงๆ ชายนอร์เวย์คนหนึ่งยื่นเรื่องร้องเรียนให้คณะกรรมการผู้บริโภคของสวีเดนทบทวนว่า สโลแกนส่งเสริมการท่องเที่ยว “สต็อคโฮล์ม – เมืองหลวงแห่งสแกนดิเนเวีย” เป็นโฆษณาที่หลอกลวงผู้บริโภคหรือไม่ เขาบอกว่าสโลแกนดังกล่าวจงใจทำให้นักท่องเที่ยวเข้าใจว่ากรุงสต็อคโฮล์มนั้นเป็นเมืองหลวงของคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย ที่ความจริงแล้วประกอบด้วย 3 ประเทศด้วยกันได้แก่ เดนมาร์ก นอร์เวย์ และสวีเดน เขาสอบถามไปยังเทศบาลเมืองสต็อคโฮล์มและได้คำตอบกลับมาว่า ที่ขนานนามเช่นนั้นเพราะ เมืองของเขาดังกล่าวมีสนามบินนานาชาติถึง 5 แห่ง แถมด้วยประชากรกว่า 3.5 ล้านคน และกว่าร้อยละ 40 ของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนสแกนดิเนเวียนั้นจะมาเที่ยวที่นี่   แต่เขายังข้องใจ เพราะสต็อคโฮล์มไม่ได้มีสนามบินที่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้สักหน่อย ไม่ได้ตั้งอยู่บริเวณศูนย์กลางของภูมิภาค แถมยังไม่ใช่ประเทศที่เป็นต้นกำเนิดของรางวัลโนเบลอย่างประเทศนอร์เวย์ของเขาซึ่งมีเมืองหลวงชื่อว่าออสโลอีกด้วย สรุปว่าเขาไม่เห็นว่า สต็อคโฮล์ม จะดีไปกว่าเมืองหลวงอื่นๆ ตรงไหน ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งออสโลเองก็ไม่ค่อยปลื้มกับคำขวัญของสต็อคโฮล์มเช่นกัน  เขาเปรยๆ ในการสัมภาษณ์ลงหนังสือพิมพ์ทำนองว่า “สต็อคโฮล์มเขาช่างกล้า” อยู่บ่อยๆ คำขวัญนี้มีใช้มา 7 ปีแล้ว แต่เพิ่งจะกลับมาเป็นข่าวอีกครั้งเมื่อองค์การท่องเที่ยวของสต็อคโฮล์มเป็นสปอนเซอร์งานสัมมนาส่งเสริมการลงทุนที่จัดที่ฝรั่งเศส สโลแกนดังกล่าวมีอยู่ทั่วทั้งงานทั้งบนป้ายและบัตรเข้าชมงาน ผู้เข้าร่วมสัมมนาจากเดนมาร์กและนอร์เวย์หลายคนรับไม่ได้ ขนาดถึงขั้นฉีกตั๋วทิ้งกันเลยก็มี     จ่ายก่อนจร เมืองใหญ่มักมาคู่กันกับปัญหารถติด หลายๆ ที่จึงต้องใช้วิธีเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมการเดินทางในชั่วโมงเร่งด่วนหรือในเขตที่มีการจราจรหนาแน่น เพื่อลดจำนวนรถลงบ้าง เช่น ที่ลอนดอน ซึ่งกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิกในเดือนกันยายนปีนี้ เขามีมาตรการสกัดกั้นรถเข้าเมืองมาเกือบ 10 ปีแล้ว ถ้าใครขับรถเข้าไปในเขต “เซ็นทรัล ลอนดอน” ในวันจันทร์ถึงศุกร์ ระหว่างเวลา 7 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น จะต้องเสียค่าธรรมเนียม 10 ปอนด์ในกรณีที่คุณไปจ่ายเงินภายในเที่ยงคืนของวันนั้น แต่ถ้าข้ามวันคุณจะต้องเสียเพิ่มเป็น 12 ปอนด์  ถ้าทำเมินลืมจ่ายก็จะมีค่าปรับ 60 ปอนด์ – 187 ปอนด์ (ประมาณ 3,000 – 9,400 บาท) เขาตามหนี้เราได้ เพราะมีกล้องวงจรปิดบันทึกภาพไว้ สำหรับคนที่ต้องเข้าเมืองในเวลาดังกล่าวเป็นประจำเขาจะใช้วิธีจ่ายล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับ แต่เขาจะไม่เก็บจากรถที่ปล่อยคาร์บอนน้อยกว่า 100 กรัม/กิโลเมตร หรือรถที่มีมากกว่า 9 ที่นั่ง วิธีนี้ทำให้รัฐมีรายได้ปีละเกือบ 150 ล้านปอนด์ ไว้เป็นทุนปรับปรุงระบบการจราจร กลับมาที่เวียดนามเพื่อนบ้านของเราบ้าง ขณะนี้เขากำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะห้ามรถยนต์ส่วนบุคคลจากเขตเมืองชั้นในของฮานอยและโฮจิมินห์ในวันธรรมดา ให้ได้อย่างน้อย 5 ชั่วโมง ก่อนหน้านี้เขาคิดจะแบนรถมอเตอร์ไซค์ แต่มีเสียงคัดค้านว่าควรจะห้ามรถยนต์ส่วนบุคคลมากกว่า  เพราะแม้ว่ารถยนต์จะเป็นเพียงร้อยละ 10 ของยานพาหนะบนท้องถนน แต่มันครอบครองพื้นที่บนถนนกว่าร้อยละ 55 และพื้นที่จอดถึงร้อยละ 65 ข่าวบอกว่า ในที่สุดแล้วเขาอาจจะเลือกใช้ระบบเดียวกับที่ลอนดอน ส่วนที่เมืองออสโล นอร์เวย์ นี่มาแปลก เพราะไม่ได้มีปัญหารถแน่นถนน แต่เป็นปัญหาคนแน่นรถแทน เขาจึงเสนอวิธีการแก้ปัญหาด้วยการขึ้นค่ารถสาธารณะในชั่วโมงเร่งด่วน โดยคิดอัตราค่าบริการตามช่วงเวลาที่เราเดินทาง เพื่อให้คนเปลี่ยนมาเดินทางนอกช่วงเวลาเร่งด่วนกันมากขึ้น แต่สภาผู้บริโภคของเขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับวิธีนี้ คนที่อุตส่าห์ช่วยลดปัญหาการจราจรด้วยการหันมาใช้บริการขนส่งมวลชน ควรจะต้องได้รางวัล ไม่ใช่การลงโทษ ... อืม นั่นสินะ     อ่านอย่างพอเพียง มนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย... ใครเคยนับบ้างว่าคุณอ่านอีเมล์ (หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์) วันละกี่ครั้ง งานวิจัยล่าสุดโดยมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียร่วมกับศูนย์วิจัยของกองทัพสหรัฐฯ เขาออกมายืนยันว่า คนที่อ่านอีเมล์ในที่ทำงานน้อยกว่าจะสามารถสร้างผลงานได้มากกว่า ทีมวิจัยเฝ้าสังเกตพฤติกรรมตามปกติของพนักงานออฟฟิศทั้งหมด 13 คน และขอให้คนเหล่านั้นหยุดอ่านอีเมล์เป็นเวลา 5 วัน เขาพบว่าในช่วงที่คนเหล่านี้พักจากการอ่านอีเมล์นั้น พวกเขาจะมีสมาธิอยู่กับงานเฉพาะหน้าได้นานกว่า แถมยังพบว่าพวกเขามีอัตราการคลิ๊กเปลี่ยนหน้าจอต่ำกว่าด้วย แล้วความเครียดล่ะ ...  เมื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจดูแล้วยังพบว่าระดับความเครียดเวลาที่ไม่เช็คอีเมล์นั้นแตกต่างจากตอนที่อ่านอีเมล์อย่างมาก กลอเรีย มาร์ค อาจารย์ด้านสารสนเทศศาสตร์ ผู้ศึกษาผลกระทบของใช้อีเมล์ในที่ทำงานมาเป็นเวลากว่า 8 ปี  เสนอให้บริษัททั้งหลายลองส่งอีเมล์ถึงพนักงานเพียงวันละหนึ่งหรือสองครั้งต่อวันเท่านั้น เพื่อที่พนักงานจะได้ไม่ต้องกังวลมาคอยเช็คเมล์ทุกๆ 10 นาที เพราะกลัวพลาด ที่สำคัญเธอเสนอให้ผู้คนทดลอง “พักร้อนจากอีเมล์” กันดูบ้าง เพราะว่าได้ผลดีไม่แพ้การลางานไปพักร้อนเลยทีเดียว สถิติน่าสนใจ : คนที่ใช้อีเมล์เป็นประจำจะเปลี่ยนหน้าจอ 37 ครั้งในหนึ่งชั่วโมง ในขณะที่คนอื่นๆ ที่เปิดอ่านอีเมล์น้อยครั้งกว่า จะเปลี่ยนหน้าจอเพียง 18 ครั้งต่อชั่วโมงเท่านั้น   ข้อเสียอีกประการของการเปิด “กล่องจดหมายเข้า” คือการต้องพบกับ “โฆษณาไม่พึงประสงค์” คุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ว่าอะไร แค่กด “delete” ทิ้งมันลงถังขยะไปเฉยๆ ผู้บริโภคที่ฮ่องกงเขาทำมากกว่านั้น จากการสอบถามชาวฮ่องกง 1,046 คน พบว่าเกือบร้อยละ 50 ตอบว่าตัวเองจะตอบโต้ด้วยการ “บอยคอต” แบรนด์สินค้าที่ส่งอีเมล์/SMS  เข้ามาโฆษณาไม่หยุดหย่อน ด้วยการเลิกซื้อไปเลย ที่นั่นเขาคงโฆษณากันหนักจริงๆ เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ ได้บอยคอตไปไม่ต่ำกว่า 4 แบรนด์แล้ว แต่บริษัทโฆษณามีหรือจะท้อ เขาบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวจัดให้ใหม่ ที่ผู้บริโภคเซ็งแบรนด์ไปนั้นเป็นเพราะว่ายังสื่อสารไม่ถูกกลุ่มเป้าหมายและไม่ถูกเวลามากกว่า ต่อไปจะต้องเก็บข้อมูลผู้บริโภคให้ละเอียดมากขึ้น เอาล่ะสิ  งานกลับมาเข้าที่ผู้บริโภคอีกแล้ว ทุกวันนี้เรายังถูกเก็บข้อมูลไม่มากพออีกหรือ   เอกสิทธิ์เฉพาะคนจน? ไปดูสถานการณ์น้ำมันที่อินโดนีเซียกันบ้าง คงยังจำกันได้ว่าเขามีประท้วงใหญ่กันไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ขณะนี้รัฐบาลอินโดนีเซีย ประกาศห้ามคนรวยหรือคนชั้นกลางซื้อน้ำมันชนิดที่รัฐช่วยพยุงราคา หมายความว่าใครก็ตามที่ขับรถที่มีขนาดเครื่องยนต์เกินกว่า 1.5 ลิตรขึ้นไป จะไม่สามารถซื้อน้ำมันเกรดต่ำได้ ข่าวบอกว่า แม้จะเป็น “น้ำมันเกรดต่ำ” ที่รัฐช่วยรับภาระไว้ครึ่งหนึ่ง แต่คนที่ใช้ส่วนใหญ่ก็เป็นคนมีเงิน เพราะคนจนนั้นไม่มีรถให้ต้องเติมน้ำมันอยู่แล้ว  ส่วนกลุ่มที่พอจะมีรายได้(แต่น้อย) ก็มีแต่มอเตอร์ไซค์ซึ่งใช้น้ำมันประเภทอื่น หลังจากประกาศใช้ กฎดังกล่าวจะมีผลภายใน 3 เดือนในจาการ์ตา และจะมีผลทั้งประเทศในอีก 4 เดือนหลังจากนั้น รถยนต์ของหลวงนั้นจะต้องปฏิบัติตามประกาศดังกล่าวภายใน 7 วันหลังการประกาศใช้ ส่วนรถสาธารณะนั้นไม่เข้าข่าย รถเล็กก็เติมต่อไปได้ตามปกติ องค์กรผู้บริโภคบอกว่านโยบายนี้จะทำให้ปั๊มน้ำมันหัวนอกได้เปรียบ เพราะถ้าจะต้องซื้อน้ำมันแพง ผู้บริโภค ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้ลำบากเรื่องเงิน จะหันไปเติมน้ำมันกับปั๊ม อย่างเชลล์ และโททาล เพราะเชื่อว่าน่าจะดีกว่าปั๊มท้องถิ่นอย่างเพอตามีนาของอินโดนีเซีย     ความผิดแนวตั้ง อย่างที่รู้กันดีว่าสิงคโปร์เมืองสะอาดเอี่ยมเขาเฮี้ยบมากในการจัดการกับพวกทิ้งขยะไม่เป็นที่ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาจัดการไม่ได้เสียทีแม้จะรณรงค์มากว่า 10 ปีแล้ว ด้วยเนื้อที่อันจำกัด คนสิงคโปร์ส่วนใหญ่ต้องอาศัยอยู่ในแฟลตสูง และหนึ่งในปัญหาที่เจออยู่บ่อยๆ คือ “ขยะลอยฟ้า”  ทางการบอกว่าได้รับเรื่องร้องเรียนไม่ต่ำกว่า 100 เรื่องต่อเดือน องค์การสิ่งแวดล้อมแห่งชาติของสิงคโปร์จึงทดลองนำกล้องวงจรปิดไปติดตั้งไว้ 10 จุดที่ชั้นบนสุดของแฟลตการเคหะสิงคโปร์ ในบริเวณที่มีผู้คนร้องเรียนมาบ่อยๆ ได้ผลดีทีเดียวสำหรับการลงทุนกล้องตัวละ 25,000 เหรียญ (ประมาณ 620,000 บาท) ที่สามารถเก็บภาพต่อเนื่องได้อย่างน้อย 5 วัน  นับว่าคุ้มมาก จากที่เคยต้องให้คนไปซุ่มรอกันคราวละหลายชั่วโมง เขาจึงวางแผนว่าจะติดเพิ่มอีก 40 จุด ภายในเดือนสิงหาคมนี้ หนุ่มรายหนึ่งถูกเรียกไปศาลและถูกตัดสินให้จ่ายค่าปรับจำนวน 800 เหรียญสิงคโปร์ (เกือบๆ 20,000 บาท) โทษฐานที่ทิ้งขยะในที่สาธารณะ โดยมีหลักฐานจากกล้องวงจรปิด ความละเอียดสูง ที่บันทึกภาพของเขาขณะโยนก้นบุหรี่ออกมาจากห้องพักบนชั้น 3 ของแฟลต เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 135 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนเมษายน 2555 “RFID” อาจมีปัญหา เพิ่งเริ่มใช้ได้ไม่ทันไรก็ทำท่าจะมีปัญหาซะแล้ว สำหรับระบบตรวจจับความเร็วรถตู้โดยสาร หรือระบบ RFID เมื่อ นายรักษิต ฐิติพัฒนพงศ์ และนายสัญญา คล่องในวัย จากหน่วยวิจัยสารสนเทศ การสื่อสารและการคำนวณ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้นำเสนองานวิจัย “ข้อจำกัดของการใช้ RFID ในการตรวจจับความเร็วในยานพาหนะ” พบว่ายังมีข้อจำกัดเรื่องการรายงานผล เพราะใช้วิธีการจับความเร็วของรถที่วิ่งผ่านจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง ซึ่งทำให้การรายงานผลมีความล่าช้ากว่าจะประมวลผลมายังตัวผู้ขับรถ ซึ่งเท่ากับผู้โดยสารก็ยังพบกับความเสี่ยงอยู่เช่นเดิม สำหรับทางเลือกที่น่าจะนำมาใช้ควบคุมความเร็วของรถตู้โดยสารคือระบบ GPS ซึ่งเป็นระบบที่รายงานผลโดยตรงผ่านระบบดาวเทียมและสามารถแจ้งเตือนไปยังพนักงานขับรถได้ทันที ด้านมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเรียกร้องให้หยุดการจดทะเบียนรถตู้เพิ่มเติมและให้ตั้งกองทุนคุ้มครองสิทธิผู้ใช้รถสาธารณะ ----------------------------------------------------------------------------------------   ไม่รับขึ้นทะเบียนรถประกอบจากชิ้นส่วนมือสอง ถึงแม้หลายคนๆ จะบ่นเรื่องน้ำมันราคาแพง แต่เราก็ยังเห็นรถยนต์ป้ายแดงออกมาวิ่งบนถนนเต็มไปหมด แสดงว่าคนไทยเราก็ยังซื้อรถกันเป็นเรื่องปกติ ซึ่งอาจมีบางคนที่เลือกซื้อรถมือสองหรือรถนำเข้า แต่ต่อจากนี้ไปรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนที่ผ่านการใช้งานแล้วจะไม่ได้รับการขึ้นทะเบียน โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการและเตรียมร่างเป็นกฎกระทรวงงดรับจดทะเบียนรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนอุปกรณ์ของรถที่ใช้แล้ว 4 ประเภท ประกอบด้วย รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน, รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 12 คน, รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล และรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล มาตรการนี้จะเป็นประโยชน์ทั้งกับผู้บริโภคที่ไม่ต้องเสี่ยงกับรถยนต์ที่ไม่ได้คุณภาพและผิดกฎหมาย ส่วนภาครัฐก็สามารถควบคุมดูแลเรื่องจากจัดเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่ วย เพราะบรรดาชิ้นส่วนหรือโครงสร้างรถยนต์ใช้แล้วที่นำเข้ามาจากต่างประเทศแล้วมาประกอบเป็นรถยนต์ในประเทศจะหลีกเลี่ยงการเสียภาษี ที่สำคัญคือผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศจะได้รับการดูแลไม่ต้องถูกแย่งตลาดจากผู้ที่ทำผิดกฎหมาย ------------------------------------------------------------------------   โทรนานระวังสูญเสียการได้ยิน เดี๋ยวนี้ไม่ว่าใครก็ใช้โทรศัพท์มือถือกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวก็สามารถสื่อสารถึงกันได้อย่างง่ายดายทันใจ แต่ถึงจะมีข้อดีมากมายก็ใช่ว่าจะหนีพ้นเรื่องข้อเสีย มีการศึกษาพบว่า การคุยโทรศัพท์มือถือนานๆ อาจทำให้เซลล์ประสาทหูชั้นในเสื่อมสมรรถภาพ ซึ่งอาจส่งผลร้ายถึงขั้นมีผลทำให้สูญเสียการได้ยิน ซึ่ง รศ.นพ.ภาคภูมิ สุปิยพันธุ์ ประธานราชวิทยาลัยโสต สอ นาสิกแห่งประเทศไทย ได้ฝากเตือนถึงคนที่ชอบคุยโทรศัพท์มือถือให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้หูได้รับบาดเจ็บ ทั้งการใช้โทรศัพท์ในลักษณะกดแนบแน่นกับหูเป็นเวลานาน ซึ่งจะทำให้เกิดการอักเสบที่กระดูกใบหู การใช้สมอลล์ทอล์กหรือบลูทูธก็อาจทำให้เกิดอาการเจ็บได้เช่นเดียวกัน เพราะจะเป็นการกดระบบประสาทในบริเวณนั้น อาจทำให้เนื้อเยื่อมีการบาดเจ็บและเป็นแผลได้ หรือการเปิดเสียงโทรศัพท์ดังๆ ก็อาจเป็นอันตรายกับประสาทหูโดยตรง ยิ่งคนที่มีปัญหาประสาทหูเสื่อมอยู่แล้วยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากให้หูของเราได้รับบาดเจ็บหรือสูญเสียการได้ยินก็ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ที่กล่าวมา การคุยโทรศัพท์ในแต่ละครั้งก็ไม่ควรใช้เวลานานเกิน 30 นาที และควรผลัดเปลี่ยนการใช้งานทั้งหูข้างซ้ายและข้างขวา -----------------------------------------------------------------------------------------   แคลิฟอร์เนีย (ไม่) ว้าว ใครจะคิดว่าฟิตเนสชื่อดังอย่าง “แคลิฟอร์เนีย ว้าว” จะถูกฟ้องล้มละลาย เรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้รับแจ้งจากบริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด (มหาชน) ว่าทาง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในฐานะเจ้าหนี้ ได้ฟ้องล้มละลายบริษัท เนื่องจากบริษัทไม่สามารถชำระหนี้ตามสัญญาเงินกู้ยืมมูลหนี้ตามที่ระบุในคำฟ้อง 71.90 ล้านบาท ดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ที่ระบุในคำฟ้อง 3.97 ล้านบาท รวมมูลหนี้ตามที่ระบุไว้ในคำฟ้อง 75.87 ล้านบาท ซึ่งผลที่จะตามมาคือ บริษัทประสบปัญหาในการขอรับการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารในอนาคต และต้องเข้าสู่ระบบดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ ส่วนผู้ที่ใช้บริการฟิตเนสแคลิฟอร์เนีย ว้าว ณ ขณะนี้ยังสามารถใช้บริการได้ตามปกติตามสัญญาเดิมที่ได้ตกลงเอาไว้ แต่ก็คงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สำหรับลูกค้าที่มีปัญหาเรื่องการใช้บริการที่ไม่เป็นไปตามสัญญา สามารถฟ้องร้องขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค หรือที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) --------------------------   เมื่อ “ทรุด” ก็ต้องซ่อม กทม.เดินหน้าปรับปรุงถนนทั่วกรุง หลายคนคงตกใจกับข่าวถนนในกรุงเทพฯ ที่เกิดการทรุดตัวหลายจุดในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นเรื่องอันตรายเพราะอาจเป็นต้นเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมัวนิ่งนอนใจอยู่ไม่ได้ กรุงเทพมหานครซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้จึงได้เตรียมมาตรการแก้ไข ปฏิบัติการซ่อมบำรุงถนนที่มีปัญหาทั่วกรุงเทพฯ โดยหลังจากตรวจสอบพบพื้นที่จำนวน 155 จุด ในถนน 65 สาย ใน 36 เขต ที่มีความเสี่ยง ได้ดำเนินการแก้ไขไปแล้ว 4 จุด คือ 1.ถนนรามคำแหง 24 2.ถนนหัวหมาก 3.ปากซอยรามคำแหง 68 และ 4.ถนนพระรามที่ 4 บริเวณแยกมหานครขาออก ปัญหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องของผิวจราจรและคันทางชำรุด โดยการซ่อมแซมจะเป็นหน้าที่ของสำนักการโยธา ซึ่งคาดการณ์ว่าการซ่อมแซมจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน การซ่อมแซมจะแบ่งเป็น 3 ระดับ 1.หากไม่พบโพรงใต้ดินจะใช้วิธียาแนวผิวคอนกรีตที่แตกร้าว 2.ถ้าพบโพรงแต่ไม่ใหญ่มาก จะใช้ซีเมนต์อัดปิดโพรง และ 3.ถ้าพบโพรงใหญ่ จะทุบรื้อเพื่อหาสาเหตุว่ามีดินไหลหรือไม่ เพื่อวิเคราะห์หาแนวทางการซ่อมแซมที่เหมาะสม ซึ่งในส่วนนี้ทางกรุงเทพฯ จะหารือกับทางวิศวกรรมสถานแห่งชาติแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) เพื่อหาข้อสรุปของการทรุดตัวของถนนก่อนเร่งดำเนินการแก้ไขต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 135 ฉลาดเที่ยว ฉลาดเลือก ...วางแผนพร้อมลุย!!

เย้!! วันหยุดยาวปีนี้จะไปไหนดีนะ พับงานที่เคร่งเครียดและแสนอันน่าเบื่อ (ใครเห็นด้วยยกมือขึ้น!!) ลงลิ้นชักโต๊ะทำงานไปก่อนเลย แล้วหันมาเปิดตู้เสื้อผ้าและกระเป๋าตังค์กันสักหน่อยว่าทริปท่องเที่ยวทริปนี้จะเป็นฮ่องกง เกาหลี ยุโรป หรือจะไปทะเล ภูเขา น้ำตก กันดี  แต่ถ้าทริปของคุณเพิ่งเริ่มวางแผนแล้วล่ะก็คุณอาจต้องว้าวุ่นใจสักหน่อย เพราะที่พักและตั๋วรถไฟ รถทัวร์ เครื่องบินของคุณอาจจะไม่มีที่เหลือแล้วก็เป็นได้ หรือถ้ามีก็อาจได้ในราคาที่แพงเกินไป ฉลาดซื้อ ฉลาดช้อปอย่างเรา ก็ต้องมีการวางแผนทริปท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวๆ ไว้ล่วงหน้ากัน เพื่อไม่ให้รายจ่ายหนักเกินไปสำหรับคนฉลาดซื้ออย่างเราๆ  โดยสามารถจัดการหาที่พัก ตั๋วเดินทางได้ในราคาที่เหมาะสมและพึงพอใจอีกด้วย และศึกษาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวว่าเปิดปิดกี่โมง ต้องเสียค่าเข้าชมหรือไม่ ก็จะทำให้วางแผนค่าใช้จ่ายได้เช่นกัน  ดังนั้นก่อนเดินทางไปท่องเที่ยวในแต่ละทริปควรวางแผนเรื่องค่าใช้จ่าย ที่พัก การเดินทางและสถานที่ท่องเที่ยวให้ดีเสียก่อน เมื่อคิดออกว่าจะไปเที่ยวที่ไหน ไอทีอย่างเราเริ่มด้วยการเข้าอินเตอร์เน็ตค้นหาตั้งแต่สถานที่ที่จะไป ที่พัก อาหาร การเดินทาง ซึ่งจะมีข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการท่องเที่ยวไว้มากมาย การจองที่พักออนไลน์ ข้อดีสำหรับการจองผ่านระบบออนไลน์ก็คือราคามักจะถูกกว่าการ walk in ซึ่งถือว่าเป็นโปรโมชั่นที่น่าสนใจมากทีเดียว เช่น จะเดินทางไปพักที่จังหวัดเชียงใหม่ บริเวณถนนคนเดิน คุณสามารถเข้าเว็บไซต์หาที่พักราคาถูกเช่น www.agoda.co.th, www.hotelsthailand.com หรือลองใช้คำค้นหาใน google กันเลยว่า “จองพี่พัก”รับรองขึ้นมาให้เลือกเพียบ!!!  ผู้เขียนขอยกตัวอย่างโรงแรมในเชียงใหม่ถ้าจองผ่านระบบออนไลน์ราคาจะอยู่ที่ 330 บาท/ห้อง/คืน แต่ถ้าจองแบบธรรมดาก็จะได้ในราคา 450 บาท/ห้อง/คืน   ต่อไปมาดูเรื่องการเดินทาง ใครหลายคนคงไม่รู้ว่ารถทัวร์ก็สามารถจองออนไลน์ได้เช่น www.จองตั๋วรถทัวร์.com www.thairoute.com ประโยชน์ของการจองล่วงหน้าก็คือเลือกที่นั่งได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปซื้อตั๋วด้วยตนเอง ไม่ต้องไปลุ้นหน้าชานชาลา  ที่สำคัญลดค่าใช้จ่ายอย่างน้อยก็ตั้ง 100-200 บาทในการเดินทางไปจองตั๋วแล้ว ส่วนคนที่ต้องการโดยสารเครื่องบิน สายการบินของไทยบางสายการบินมีโปรโมชั่นในแต่ละช่วง ถ้ามีการวางแผนท่องเที่ยวไว้ล่วงหน้าแล้วล่ะก็คุณก็จะได้ตั๋วเครื่องบินในราคาที่ถูกหรืออาจเทียบเท่ากับราคารถทัวร์เลยทีเดียว ประหยัดเวลา เหลือเวลาไปท่องเที่ยวได้หลายที่เลย ซึ่งสายการบินและเว็บจองก็มีมากมายเช่น www.expedia.co.th , www.airasia.com จะเห็นได้ว่าการวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวล่วงหน้าเป็นผลดีกับเรื่องการหาที่พัก การหาตั๋วรถทัวร์ ตั๋วเครื่องบิน ในราคาที่ถูกกว่าและพึงพอใจมากกว่าการไม่วางแผนล่วงหน้าซะอีก เมื่อการวางแผนเที่ยวอย่างฉลาดเลือก ฉลาดซื้อพร้อมแล้ว ก็ตบเท้าลากกระเป๋า พร้อมลุย...ได้เลย ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- App: Iphone,Ipad น่าสนใจ : Thailand Travel ,iThai,Trip Journal, thaibus, Thai RailwayApp: Android น่าสนใจ : thai2trip , Thai Airport Flight Info, TripIt, Where in thai เว็บไซต์น่าสนใจ : www.thaipackagetour.com, www.wonderfulpackage.com,  www.guru-tour.com,  www.dealdidi.com ,www.pantip.com/cafe/blueplanet ข้อแนะนำ การเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างน้อย 45 วัน เพราะโปรโมชั่นบน Internet จะล่วงหน้าอย่างน้อย 45 วันถึงจะมีโปรโมชั่นดีๆ คะ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่่ 135 ฟัก ผักที่ใครๆ ก็รัก

ฟัก หรือบางคนก็เรียก ฟักเขียว ฟักแฟง เป็นพืชตระกูลแตงครับ(Family cucurbits) เครือญาติวงศ์สกุลนี้  ได้แก่ แตงกวา แตงร้าน แตงไท แตงโม แคนตาลูป มะระ บวบ พืชตระกูลนี้คุณสมบัติสำคัญคือ มีน้ำอยู่ในเนื้อตัวมากกว่า 90 % กินแล้วเย็น ดับอาการร้อนได้ดี ไม่ค่อยจะเคยเห็นใครปฏิเสธกินฟัก จะต้มจืดซี่โครงไก่(เมนูสุดประหยัดของอดีตนายกรัฐมตรีไทยท่านหนึ่ง) แกงเผ็ด ตุ๋นกับมะนาวดอง หรืออ่อมแบบอีสาน ก็อร่อยลิ้นกลืนคล่องคอทั้งนั้น แม้แต่เด็กๆ ก็ชอบเพราะ ฟักไม่ขม การเริ่มต้นให้เด็กรักชอบกินผัก ควรเริ่มด้วยฟักนี่แหละ หยิบฟักมาเขียนครั้งนี้ ก็เพราะเห็นถึงคุณสมบัติที่โดดเด่นอีกอย่างของฟัก คืออายุงานครับ ฟักสามารถเก็บไว้ได้นานมาก ซื้อมาผลหนึ่งใหญ่ๆ นี่เก็บไปได้เป็นเดือนเวลาจะทำกับข้าวก็ฝานเฉือนออกมา ที่เหลือก็เก็บๆ ไว้ทำกินวันหลังได้ ไม่ต้องใช้ตู้เย็นด้วยซ้ำ เพราะฟักนั้นมีเปลือกหนาจึงช่วยให้เก็บรักษาความสดไว้ได้นาน พอนึกถึงตอนน้ำท่วมที่เราอาจต้องแกร่วอยู่ในบ้านนานๆ มีฟักเขียวสักใบสองใบเป็นเสบียงสำรองไว้ สามารถช่วยให้หายเบื่อจากอาหารกระป๋องได้เป็นอย่างดี แค่ต้มน้ำร้อนๆ กับกุ้งแห้ง ก็จัดเป็นเมนูชั้นเลิศได้ทันที ณ เวลานั้น (อันนี้ลองมาแล้ว)   ฟักทำขนมได้ด้วย เป็นผักที่แปลกดี เคยกินน้ำเต้าหู้ไหม ชิ้นฟักที่เชื่อมจนเป็นเกล็ดน้ำตาลเข้ากันได้ดีกับน้ำเต้าหู้มากๆ แต่ระยะหลังหลายเจ้าไม่ค่อยเอามาใส่แล้ว คงต้องการประหยัดต้นทุน เหลือแค่เม็ดแมงลักกับลูกเดือย ต้องไปหากินฟักเชื่อมกับพวกขนมจันอับแทน ผลฟักเป็นยาเย็น กินดับพิษร้อนได้ดี ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยระบาย ในตำรายาอายุรเวทของประเทศอินเดียใช้เมล็ดฟักเขียวแก้ไอ แก้ไข้ กระหายน้ำ และขับพยาธิ น้ำมันจากเมล็ดใช้ขับพยาธิด้วย สำคัญรู้แล้วอย่าเอ็ดไป ผลมีฤทธิ์เพิ่มพลังเพศด้วยนะครับ ส่วนประเทศจีนใช้ฟักเขียวในการรักษาผู้ป่วยความดันเลือดสูงและรักษาอาการอักเสบ ปัจจุบันงานวิจัยใหม่ๆ เกี่ยวกับฟักเขียวยังระบุว่าสามารถต้านและป้องกันมะเร็ง ป้องกันโรคหลอดเลือด และลดขนาดเซลล์ไขมันด้วย สำหรับคนไทยคุณสมบัติเย็นของฟักทำให้เข้าไปอยู่ในพิธีการหลายอย่าง เช่น งานแต่งที่ในเรือนหอจะมีฟักวางไว้ นัยว่าให้มีความชื่นเย็นในการครองคู่ หรือบางทีเวลาทำขวัญเด็กเกิดใหม่ หรือขวัญเดือน หากเป็นเด็กชายก็มีฟักวางคู่กับสมุดดินสอมีนัยว่าให้โตขึ้นเป็นคนใจเย็นรู้คิดรู้ไตร่ตรองอย่างมีปัญญา จะมีก็แต่คนเล่นของ(ไสยศาสตร์) เท่านั้นที่ไม่ชอบฟัก ไม่กินฟัก เพราะถือว่าแสลงทำให้ของในตัวเสื่อม ผิดจากพวกเล่นของแล้ว ฟัก เป็นอะไรที่ใครๆ ก็รัก เว้นแต่เวลาจะพูดคุยกับฝรั่งอย่าไปพูด ฟัก ฟัก มันไม่ดี...เพราะไปพ้องเสียงเป็นคำหยาบของฝรั่งมังค่าเขา พาลจะโกรธเคืองกันไปได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 135 ยาโรคไต ใจห่วงผัว!

ผู้บริโภคหญิงรายนี้บุกมาถึงแผนกของผม พร้อมกับยาน้ำขวดหนึ่ง เธอมาขอให้ตรวจสอบว่ามีสารอันตรายหรือไม่ พร้อมบอกว่าเป็นห่วงผัว! เรื่องราวตำนานความรักของเธอพรั่งพรูออกมาอย่างน่าสนใจ เธอบอกว่าสามีเธอป่วยเป็นโรคไต วันหนึ่งมีคนรู้จักแนะนำให้ซื้อยาน้ำสมุนไพรชนิดนี้มารับประทาน แนะนำเธอว่าสรรพคุณดีรักษาโรคไตได้  สามีใครใครก็รัก เธอคิดได้ดังนี้ จึงตัดสินใจซื้อมา 1 ขวดในราคา 600 บาท  แต่พอซื้อมาแล้ว เธออาศัยปฏิภาณไหวพริบของความเป็นผู้บริโภคดีเด่น อ่านฉลากก่อนจะให้สามีรับประทาน ปรากฏว่าพบพิรุธหลายอย่าง ยานี้ไม่มีเลขทะเบียนยา บอกแต่ส่วนประกอบเป็นชื่อสมุนไพร เช่น โต๋ต๋ง ตังเซียม จิ้งจ่าย หญ้าซันกาด หญ้าหนวดแมว ชุมเห็ดเทศ มะขามแขกและอื่นๆ ทีแรกเธอก็คิดว่าไม่น่าจะไม่มีอะไร แต่พออ่านต่อไปเรื่อยๆ กลับพบว่ามีการระบุสรรพคุณมากมาย เช่น แก้โรคไต ล้างฟอกไต ล้างโลหิต ลดน้ำตาลในเลือด ต่อมลูกหมากโต ปัสสาวะติดขัด กะปริบกะปรอย กรวยไตอักเสบ ไขมันในเลือดสูงละลายก้อนไขมัน ก้อนซีส ลดไตรกลีเซอร์ไรด์ ละลายนิ่วในถุงน้ำดี หินปูนเกาะกระดูก แก้ปวดเมื่อย ปวดหลัง ปวดเอว ลดกระยูริค เกาต์ รูมาตอยด์ เธอชักเอะใจ เพราะขนาดที่ให้รับประทานก็แปร่งๆ ชอบกล เช่น น้ำหนักร่างกาย 20 กิโลกรัมต่อยา 1 ช้อนส้อม ตามกำลัง ธาตุหนัก ธาตุเบา ให้ถ่ายท้องทุกวันๆ ละ 1-2 ครั้ง จะได้ผลดีที่สุด ยาสมุนไพรขวดนี้สามารถใช้ควบคู่กับการแพทย์ตะวันตกและการแพทย์อื่นได้ไม่ขัดแย้ง ไม่หักล้าง ไม่ตีกัน (เธอชักงงว่าทำไมวิธีรับประทานมันไม่เหมือนยาแผนโบราณที่เคยรับรู้มา) เธอพยายามมองหาชื่อ ที่อยู่ผู้ผลิต กลับไม่มีบนฉลาก มีแต่บอกว่า ปรุงตาม พ.ร.บ.การประกอบโรคศิลปะ พ.ศ.2542 โดยเภสัชกรแผนไทยและเวชกรแผนไทย (เธอยิ่งงงอีกเพราะรู้จักแต่เวชกรรมแผนไทย ไม่ใช่เวชกรแผนไทย)   บวกลบคูณหารแล้ว เธอมีสติคิดได้ว่า เสียทองเท่าหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใคร นี่เงิน 600 บาท ชั้นจะไม่ยอมให้สามีสุดที่รักเสี่ยงเด็ดขาด คิดดังนั้นแล้วเลยมาขอให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบดีกว่า พร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ยานี้คนขายมาจากพัทลุง ขับรถนำมาขายพร้อมกับยาโอท็อปทั้งหลาย แม้ผลการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบสารสเตียรอยด์ แต่ผมได้แนะนำไปว่าการไม่พบสารสเตียรอยด์มิได้หมายความว่ายานี้จะปลอดภัย เพราะเราไม่รู้ว่าเขาใส่อะไรไปอีกหรือเปล่า ที่อยู่ก็ไม่มีให้ตรวจสอบ  อันที่จริงยาพื้นบ้าน สมุนไพรไทยหลายตำรับมีคุณค่า แต่หากผู้ผลิต ผลิตและขายในแบบไม่ถูกต้อง ไม่มีการขึ้นทะเบียน สุดท้ายจะทำให้เสียชื่อกันไปหมด เพราะอาจมีผู้ผลิตที่บางรายใส่สารอันตรายปลอมปนลงไปได้ หากผลิตภัณฑ์ดีจริงขอเชิญชวนให้มาขออนุญาตให้ถูกต้อง จะได้คัดพวกไม่ถูกต้องออกจากวงการซะที

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 135 ผลร้ายของการชำระหนี้ที่ขาดอายุความไปแล้ว

โดยปกติเจ้าหนี้จะต้องฟ้องบังคับชำระหนี้ภายในอายุความที่กฎหมายบัญญัติไว้  ซึ่งอาจจะเป็น 6 เดือน ถึง 10 ปี เช่น  กรณีผู้พักอาศัยในโรงแรมจะเรียกร้องเอาค่าเสียหายเพราะความสูญหายหรือบุบสลายของทรัพย์สินที่ผู้พักอาศัยพามาไว้ในโรงแรมจากเจ้าสำนักโรงแรมตาม ป.พ.พ. มาตรา 678   หรือ 6 เดือนนับแต่วันที่สิ้นสัญญาฝากทรัพย์ในกรณีฟ้องเรียกให้ใช้เงินบำเหน็จค่าฝากทรัพย์หรือให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวแก่การฝากทรัพย์ ตามมาตรา 671 หรือ 1 ปีในกรณีของการฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดตามมาตรา 488 วรรคหนึ่ง หรือ 2 ปี ในกรณีผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตฟ้องเรียกคืนเงินที่ได้ออกทดรองจ่ายแทนผู้ถือบัตรไปตาม มาตรา 193/34(7) หรืออย่างยาวที่สุดก็ไม่เกิน 10 ปี ดังกรณีที่กฎหมายไม่ได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะตามมาตรา 193/30 สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความมิได้ทำให้สิทธิเรียกร้องหรือหนี้รายนั้นระงับสิ้นไปเพียงแต่ให้ลูกหนี้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้เท่านั้น  หากลูกหนี้ยอมชำระหนี้ให้ ถึงจะไม่รู้ว่าหนี้ขาดอายุความแล้ว ก็ถือเป็นการชำระหนี้โดยชอบตามมาตรา 193/28 วรรคหนึ่งมิใช่ลาภมิควรได้ ลูกหนีจึงไม่มีสิทธิเรียกคืนจากเจ้าหนี้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 408(2)   ถ้าลูกหนี้ไม่ยอมชำระหนี้ที่ขาดอายุความ เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องบังคับชำระหนี้นั้นได้ กฎหมายเพียงแต่ให้สิทธิลูกหนี้ที่จะยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้เท่านั้นตามมาตรา 193/10 หากลูกหนี้มิได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การแจ้งชัด คดีก็เท่ากับลูกหนี้มิได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้  ศาลจะยกเรื่องอายุความขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้เพราะมาตรา 193/29 บัญญัติห้ามไว้ ในกรณีที่หนี้ขาดอายุความไปแล้ว แต่ถ้าลูกหนี้ได้สละประโยชน์แห่งอายุความนั้นเสีย  จะโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายก็ตามเช่น  ปฏิบัติการชำระหนี้แก่เจ้าหนี้บางส่วน  ทั้งๆ ที่รู้ว่าหนี้ดังกล่าวขาดอายุความ  ลูกหนี้ก็ไม่อาจยกอายุความที่ขาดไปแล้วนั้นขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้ และต้องเริ่มนับอายุความเดิมกันใหม่  นับแต่วันที่ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นตามมาตรา 193/24 มาดูกรณีศึกษาตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7912/2553 จำเลยใช้บัตรเครดิตของธนาคาร ก. ซื้อสินค้าและบริการ  ธนาคาร ก. แจ้งให้จำเลยชำระหนี้ภายในวันที่ 9 พฤศจิกายน  2537 แต่จำเลยไม่ชำระ  ธนาคาร ก.จึงอาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้นับแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน  2537 เป็นต้นไป  เมื่อสัญญาใช้บัตรเครดิตมีอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 และครบกำหนดวันที่ 10 พฤศจิกายน 2539   หลังจากที่อายุความครบกำหนดแล้ว  จำเลยได้ผ่อนชำระหนี้จากการใช้บัตรเครดิตให้แก่ธนาคาร ก. หลายครั้งตั้งแต่ปี 2540 ติดต่อกันเรื่อยมา  โดยชำระครั้งสุดท้ายวันที่ 8 ตุลาคม  2544  เป็นการแสดงออกโดยปริยายว่า  จำเลยได้สละประโยชน์แห่งอายุความตามมาตรา 193/24 จำเลยย่อมไม่อาจยกอายุความขึ้นต่อสู้ธนาคาร ก.   และโจทก์ซึ่งรับโอนสิทธิเรียกร้องจากธนาคาร ก. ได้ และต้องเริ่มนับอายุความใหม่จากวันที่จำเลยชำระหนี้ครั้งสุดท้าย ซึ่งนับถึงวันฟ้องยังไม่ครบ 2 ปี จึงไม่ขาดอายุความ หมายเหตุผู้เขียน ลูกหนี้บัตรเครดิตทั้งหลายจำไว้ให้แม่นๆ  หนี้ขาดอายุความไปแล้ว อย่าเผลอผ่อนชำระใดๆ ทั้งสิ้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่่ 135 เรื่องเพี้ยน ๆ ของค่าไฟฟ้า

ผู้บริโภคเป็นงง ระหว่างหม้อมิเตอร์กับการไฟฟ้า...ไม่รู้ใครเพี้ยนแน่ร้องมิเตอร์ไฟฟ้าเพี้ยน คิดค่าไฟสูงผิดปกติ แจ้งให้มาตรวจสอบ การไฟฟ้าบอกเพี้ยนจริงหม้อคิดค่าไฟฟ้าต่ำไป 3% ต้องเปลี่ยนมิเตอร์ใหม่ แต่ยอมคิดค่าไฟใหม่เปลี่ยนบิลและลดค่าไฟฟ้าให้ปัญหาเรื่องนี้เกิดขึ้นกับบ้านของคุณเพียรเงิน อยู่ในเขตดูแลรับผิดชอบของการไฟฟ้านครหลวงเขตสามเสน ซึ่งปกติจะใช้ไฟฟ้าอยู่ประมาณเดือนละ 500-600 กว่าหน่วย คิดเป็นเงินตกราวสองพันบาทต้นๆ“ที่บ้านก็มีคุณพ่อวัยแปดสิบ ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่หรอกค่ะ กับเด็กอีกหนึ่งคน เครื่องใช้ไฟฟ้าใหญ่ๆ ก็มีแอร์สองตัว ตู้เย็นสองตัว หม้อข้าว พัดลม ทีวี ก็ใช้ไฟตามปกติ ส่วนใหญ่ใช้ในช่วงเย็นๆ ค่าไฟก็อยู่ราวๆ เดือนละสองพันบาทต้นๆ ไม่เคยขึ้นไปถึงสามพัน”“พอมาในช่วงเดือนธันวาคม ปลายปี 53 ตกใจมากค่ะ ใบแจ้งค่าไฟปาเข้าไปตั้งแปดพันบาท บอกว่าบ้านเราใช้ไฟไปถึง 1,982 หน่วย ไม่อยากจะเชื่อค่ะ เพราะเคยใช้กันแค่ 500-600 หน่วยต่อเดือนเท่านั้น ก็เลยรีบไปแจ้งเรื่องไปที่การไฟฟ้านครหลวงเขตสามเสน”การไฟฟ้านครหลวงเขตสามเสน ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบและแจ้งผลกลับมาว่า ได้นำเครื่องวัดมาตรฐานมาติดตั้งเปรียบเทียบตั้งแต่ช่วงวันที่ 25 มกราคม 2554 ถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 พบว่า เครื่องวัดการใช้ไฟฟ้าที่บ้านคุณเพียรเงินแสดงหน่วยน้อยกว่าความเป็นจริง จึงต้องเปลี่ยนเครื่องวัดให้ใหม่ ส่วนค่าไฟฟ้าที่คลาดเคลื่อน การไฟฟ้านครหลวงจะคิดค่าไฟฟ้าเพิ่มเดือนละ 3.03% ของหน่วยการใช้ไฟฟ้าตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2553 จนถึงวันเปลี่ยนมิเตอร์ใหม่ เจอคำตอบของการไฟฟ้ากลับมาเช่นนี้ คุณเพียรเงินเลยเซ็งไปใหญ่ ร้องเรียนไปว่าค่าไฟฟ้าสูงผิดปกติ แต่มาตรวจสอบแล้วดันบอกว่าค่าไฟฟ้าต่ำเกินจริง เลยไม่รู้จะทำยังไง ปล่อยให้การไฟฟ้าส่งคนมาเปลี่ยนหม้อมิเตอร์ให้ใหม่ ส่วนค่าไฟก็ยังค้างจ่ายกันอยู่เพราะเคลียร์กันไม่ได้ เรื่องล่วงเลยมาจนถึงเดือนพฤษภาคมต่อเดือนมิถุนายน 2554 มีบิลค่าไฟฟ้าแจ้งมาโดยมีหน่วยการใช้อยู่ที่ 848 หน่วยเท่ากันทั้งสองเดือน ก็เลยสงสัยว่าทำไมหน่วยการใช้ไฟฟ้ายังสูงอยู่และเท่ากันทั้งสองเดือนแบบนี้ สอบถามพนักงานการไฟฟ้า ได้ข้อมูลเบื้องต้นว่า การไฟฟ้าใช้วิธีคิดค่าไฟฟ้าแบบประมาณการ เพราะมิเตอร์ที่ติดใหม่อยู่สูงเกินไปไม่สามารถปีนขึ้นไปดูตัวเลขได้คุณเพียรเงินไม่พอใจกับคำตอบที่ไม่กระจ่างชัดดังกล่าว เลยโทรศัพท์มาร้องเรียนกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แนวทางแก้ไขปัญหาเรื่องจริงเท็จเป็นอย่างไร เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจน มูลนิธิฯ จึงได้มีหนังสือสอบถามไปที่ผู้อำนวยการไฟฟ้านครหลวงเขตสามเสน              และพ่วงจดหมายเนื้อความเดียวกันส่งไปที่ผู้ว่าการไฟฟ้านครหลวง และเลขาธิการคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเมื่อกลางเดือนกันยายน 2554ปลายเดือนกันยายน 2554 การไฟฟ้านครหลวงเขตสามเสน มีหนังสือชี้แจงกลับมาว่า เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2553 ผู้ใช้ไฟฟ้าได้มาทำเรื่องขอตรวจสอบเครื่องวัดฯ ผิดปกติที่การไฟฟ้านครหลวงเขตสามเสน และแผนกตั้งเทียบเครื่องวัดฯ การไฟฟ้านครหลวงเขตวัดเลียบ ได้ตั้งเทียบเครื่องวัดฯ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2554 ผลจากการตรวจสอบเครื่องวัดฯ ตั้งเทียบ พบว่า เครื่องวัดฯ ชำรุด แสดงค่าคลาดเคลื่อน จึงได้มีการเปลี่ยนเครื่องวัดฯใหม่และแก้ไขใบแจ้งค่าไฟฟ้าให้ถูกต้อง จาก 1,982 หน่วย เป็น 792 หน่วย  โดยใช้หน่วยเฉลี่ยจากเครื่องวัดฯใหม่ ตั้งแต่เดือนเมษายน ถึงมิถุนายน 2554 และเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2554 การไฟฟ้านครหลวง ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบเลขอ่าน พบว่าสภาพเครื่องวัดฯใช้ไฟได้ปกติ จึงขอยืนยันว่า เลขอ่านและหน่วยการใช้ไฟฟ้าดังกล่าว(ของเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน 2554) ถูกต้องแล้วผลของการแก้ไขใบแจ้งค่าไฟฟ้าจาก 1,982 หน่วย เป็น 792 หน่วย  ทำให้เงินค่าไฟที่จะต้องจ่ายในเดือนธันวาคม 2553 จาก 8,080.30 บาท ลดลงเหลือ 3,109.98 บาท หรือลดลงไป 4,970.32 บาทปัญหาการถูกคิดค่าไฟฟ้าคลาดเคลื่อนจากการใช้จริง โดยที่การไฟฟ้าใช้วิธีประมาณการเอาจากเดือนอื่นๆ ที่มีการใช้ไฟฟ้ามาเรียกเก็บกับผู้ใช้ไฟฟ้า จะยังคงเป็นปัญหาต่อไป เพราะการแก้ไขปัญหาแบบนี้ไม่ใช่วิธีที่เที่ยงตรงและเป็นธรรมกับผู้บริโภค เนื่องจากการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าในสภาพอากาศหรือฤดูกาลที่แตกต่างกันก็ทำให้การใช้พลังงานไฟฟ้าแตกต่างไปด้วยแม้จะเป็นเครื่องไฟฟ้าชนิดเดียวตัวเดียวกันก็ตาม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ใช้ไฟฟ้าอย่างแท้จริง สมควรที่หน่วยงานอย่างคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน จะต้องนำไปพิจารณาสร้างระบบการเก็บค่าไฟฟ้าที่มีมาตรฐานที่ดีกว่านี้ต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่่ 135 เสียท่าเซลล์ขายบริการเสริมความงาม

บ่ายวันหนึ่งของเดือนธันวาคม 2554 คุณศรินภรณ์มาปรากฏตัวที่ห้างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ตั้งใจจะไปดูโปรโมชั่นไอโฟน 4 ซึ่งจัดแสดงที่ชั้น 3 ของห้างหรูแห่งนี้คุณศรินภรณ์พาตัวเองขึ้นบันไดเลื่อนสู่ชั้นสาม แต่บุญสะสมคงไม่พอที่จะได้ยลโฉมสัมผัสไอโฟน  4 เพราะพอบันไดเลื่อนพาขึ้นมาถึงชั้นสอง เธอไม่รู้ตัวเลยว่าได้เข้าสู่คิลลิ่งโซนพื้นที่สังหาร(ทางการขาย)ของเซลล์สถานบริการเสริมความงามกลุ่มหนึ่ง ที่มาตั้งบูธดักเหยื่อบริเวณริมทางเดินบันไดเลื่อนชั้นสองพอดี“คุณคะขอเวลา 1 นาทีค่ะ” หญิงสาวบุคลิกดี เดินเข้ามาทักตอนแรกเธอว่าจะไม่หยุด แต่คำต่อมาที่บอกว่า “คุณเป็นคนสวยมากเลยค่ะ แต่ถ้าได้ลดส่วนเกินตรงหน้าท้องออกไปอีกนิด เชื่อว่าคุณจะสวยมากกว่านี้แน่ค่ะ”เหมือนต้องมนต์ “แค่ 1 นาที คงไม่เสียหายอะไร” เธอคิดในใจด้วยความอยากรู้ คุณศรินภรณ์จึงยอมให้เซลล์สาวพาไปชั่งน้ำหนัก วัดค่าของไขมัน รวมทั้งวัดน้ำหนักกล้ามเนื้อส่วนเกินว่ามีมากน้อยแค่ไหน เมื่อวัดเสร็จแล้วจึงให้เธอมานั่งรอเพื่อฟังผลการตรวจ“รอผลประมาณ 5 นาทีค่ะ” เซลล์สาวบอก“ห้านาทีก็ห้านาที(วะ)” เธอคิดในใจไหนๆ ก็ตรวจแล้วนี่อยากรู้ผลเหมือนกันระหว่างนั่งรอ...เซลล์สาวนักขายเกือบทั้งกลุ่มก็เริ่มกระบวนการมะรุมมะตุ้มตั้งคำถามกับเธอ“พี่ต้องการจะลดส่วนไหนเป็นพิเศษคะ” “เออ...ไม่ค่ะ ไม่อยากทำวันนี้เสียเงินมามากแล้วค่ะ”“คุณพี่ควรจะเปิดใจให้เราสักครั้งนะคะ นอกจากนี้เรายังมีบริการหลังการขายด้วย”“ขอบคุณค่ะ...แต่ไม่อยากทำหรอกค่ะ”“เถอะน่าทำเถอะค่ะ เราเชื่อว่า บริการของเราจะทำให้พี่ดูดีขึ้นอีกมาก เดี๋ยวจะลดราคาให้เป็นกรณีพิเศษ” ไม่พูดเปล่าเซลล์สาวยกตารางเปรียบเทียบราคาใช้บริการมาให้ดู“นี้เป็นคอร์สในราคา 1 แสนบาทค่ะทั้งปี แต่ถ้ามีบัตรเครดิตจะมีส่วนลดพิเศษให้  ขอดูบัตรเครดิตหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะช่วยตรวจสอบให้ เพราะบัตรเครดิตของแต่ละที่จะมีส่วนลดแตกต่างกัน” เซลล์สาวอธิบายเหตุผลคุณศรินภรณ์จึงเปิดกระเป๋าและหยิบบัตรเครดิตให้ดูเซลล์สาวรับบัตรไปดู เห็นแบรนด์ธนาคารปั๊บก็ทำตาโต“โห...บัตรของคุณพี่ลดได้ถึง 50% เชียวนะคะ จากแสนหนึ่งก็เหลือแค่ห้าหมื่นบาท ผ่อน 10 เดือน”“ไม่หรอกค่ะ ยังไม่อยากเสียตังค์” คุณศรินภรณ์ปฏิเสธ พร้อมกับขอบัตรเครดิตคืนเซลล์สาวแกล้งทำเฉย ไม่ยอมคืนบัตรเครดิตพร้อมสูดลมหายใจเข้าปอด ถ้าคุณศรินภรณ์ฟังเสียงในใจของเซลล์สาวได้คงจะได้ยินเสียงนี้“หนืดนักนะ...เอาวะ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น วันนี้ต้องจัดการนังนี่ให้ได้ เพื่อค่าคอมฯ สู้โว้ย...!”“คุณพี่ลองพิจารณาดูนะคะ หนูจะเพิ่มคอร์สที่สนใจเพิ่มเติมให้อีก พี่เลือกดูได้ค่ะ” เซลล์สาวออดอ้อน“ไม่ดีกว่าค่ะ พี่ไม่อยากเสียตังค์จริงๆ นะคะ ช่วงนี้ก็มีภาระเรื่องค่าใช้จ่ายมากพออยู่แล้ว” คุณศรินภรณ์ ใจอยากจะไปดูไอโฟน 4 ที่เพียงขึ้นบันไดเลื่อนไปอีกชั้นเดียวก็จะถึงแล้ว จึงแปลงร่างเป็นกระต่ายขาเดียวปฏิเสธไป“โถคุณพี่คะ บริการของเรามีประโยชน์กับพี่มากนะคะ เวลาพี่เครียดก็มาทำได้ ทำแล้วสบายใจ ถ้าห้าหมื่นไม่ไหวหนูลดให้เหลือสี่หมื่นห้า นะคะพี่”“ไม่หรอกค่ะ” ยืนกระต่ายขาเดียวเหมือนเดิม“อ๊ะ...สี่หมื่นห้าไม่ได้ หนูลดให้เลยค่ะจากแสนเหลือสี่หมื่นถ้วน ราคานี้สำหรับพี่คนเดียวเลยนะคะ อย่าไปบอกใคร”คุณศรินภรณ์ ก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือ จาก 1 นาทีที่เซลล์ขอตรงทางขึ้นบันไดเลื่อน และอีก 5 นาทีที่เข้ามานั่งรอข้อมูลค่าไขมัน และกล้ามเนื้อส่วนเกิน แต่ตอนนี้เธอนั่งอยู่กับเซลล์หน้าสวยกลุ่มนี้ร่วมชั่วโมงแล้ว ไม่เห็นวี่แววว่าการพูดคุยจะจบเสียที เซลล์ทุกคนดูจะมีความสุขกับการใช้ปากใช้ลิ้นเชิญชวนลูกค้าไม่มีเหนื่อย ส่วนไอโฟน 4 คงไม่ได้ดูแล้ว เพราะต้องรีบไปประชุมอีก“ฉันจะจบเรื่องนี้ยังไงดี” คุณศรินภรณ์คิดในใจ“เออน้องคะ เดี๋ยวต้องรีบไปประชุมแล้ว ขอบัตรเครดิตคืนด้วยค่ะ” คุณศรินภรณ์ขอปิดการคุยเอาดื้อๆ“เดี๋ยวก่อนสิคะ คุณพี่แป๊บหนึ่งค่ะ หนูไม่อยากให้พี่เสียโอกาสราคาลดขนาดนี้ หาไม่ได้อีกแล้วนะคะ”“เซ็นต์สัญญาก่อนแล้วค่อยไปยกเลิกทีหลังก็ได้ ไม่งั้นไม่ได้ไปซะที” คุณศรินภรณ์คิดในใจ“งั้นก็รีบเอาเอกสารมา เดี๋ยวจะเซ็นต์ชื่อให้ค่ะ” เธอบอกกับเซลล์เมื่อได้ลายเซ็นต์สัญญาใช้บริการของเหยื่อรายล่าสุดแล้ว เซลล์สาวรีบนำบัตรเครดิตของลูกค้าไปรูดเงินทันที ก่อนที่จะคืนให้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม“พอเราเซ็นต์เสร็จ เขาก็เอาบัตรเครดิตเราไปรูด หลังจากนั้นเขาไม่คุยกับเราอีกเลยค่ะ แทบจะดันก้นให้เราออกจากร้านทันที” คุณศรินภรณ์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคฟัง“พอเราได้บัตรเครดิตคืนก็รีบไปประชุม ขณะที่เดินออกมาก็กดโทรศัพท์ไปที่ธนาคารเลยค่ะเพื่อขอให้ระงับการหักเงินในบัตรเครดิต ธนาคารก็บอกว่าให้เราติดต่อยกเลิกสัญญากับสถานความงามก่อน ถ้าทางนั้นยินยอมธนาคารจึงจะยกเลิกให้ได้”“เราก็ต้องโทรกลับไปที่บริษัทสถานเสริมความงาม ทางนั้นบอกว่าพรุ่งนี้ให้เข้ามาทำ พอโทรกลับไปที่ธนาคารอีกครั้ง ธนาคารบอกว่ามีการหักบัญชีไปเรียบร้อยแล้ว จะทำยังไงดีคะ” คุณศรินภรณ์ขอความช่วยเหลือ แนวทางแก้ไขปัญหาสัญญาที่คุณศรินภรณ์ไปทำกับสถานเสริมความงามแห่งหนึ่งนั้น เป็นสัญญาผูกพันระยะเวลา 10 เดือน โดยจะถูกหักเงินจากรายการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเดือนละ 4,000 บาท หากจ่ายครบตามสัญญาจะรวมเป็นเงินมากถึง 40,000 บาทการแก้ไขปัญหาการถูกหักเงินจากบัตรเครดิตเพื่อไปจ่ายค่าซื้อสินค้าหรือบริการต่างๆ ที่เราไม่ได้ต้องการนั้น เราต้องเริ่มปลดล็อคตัวเองด้วยการบอกเลิกสัญญาซื้อใช้สินค้าหรือบริการนั้นเสียก่อน ด้วยการทำหนังสือไปบอกเลิกสัญญา ย้ำว่าต้องเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้นจึงจะมีผล ทั้งนี้ เนื้อหาในการบอกเลิกสัญญาจะต้องมีเหตุผลที่เกิดจากความบกพร่องของเจ้าของสินค้าหรือบริการนั้น เช่น ไม่จัดให้มีการบริการที่สำคัญให้ตามสัญญา หรือซื้อบริการไปอย่างหนึ่ง แต่ไม่จัดให้มีบริการนั้น แม้จะให้มีบริการอื่นมาทดแทน ก็สามารถใช้เป็นเหตุในการบอกเลิกสัญญาได้เมื่อทำหนังสือบอกเลิกสัญญาแล้วให้ถ่ายสำเนาเก็บไว้สองชุด ชุดหนึ่งเก็บไว้เป็นหลักฐานกับตัวเอง อีกชุดให้ส่งไปที่ธนาคารเจ้าของบัตรเครดิต และจดหมายตัวจริงก็ส่งไปที่ผู้ประกอบการสินค้าหรือบริการที่ได้ไปซื้อสินค้าหรือบริการมา การส่งจดหมายเพื่อบอกเลิกสัญญาการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการ ดีที่สุดอย่าให้เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ทำสัญญาซื้อสินค้าหรือรับบริการ และควรส่งเป็นไปรษณีย์ตอบรับเพื่อจะได้มีหลักฐานยืนยันการรับจดหมายของเราตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเรื่องให้ธุรกิจบัตรเครดิตเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ.2542 ได้ให้ความคุ้มครองผู้บริโภคที่เข้าไปทำสัญญาการซื้อใช้สินค้าหรือบริการผ่านทางบัตรเครดิต โดยกำหนดให้สัญญาของบัตรเครดิต จะต้องไม่ตัดสิทธิผู้บริโภคที่จะขอยกเลิกการซื้อสินค้าหรือรับบริการภายในระยะเวลา 45 วัน นับแต่วันที่สั่งซื้อสินค้าหรือรับบริการ หรือภายในระยะเวลา 30 วันนับแต่วันถึงกำหนดการส่งมอบสินค้าหรือบริการ โดยผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตจะระงับการเรียกเก็บเงินจากผู้บริโภค หรือในกรณีที่เรียกเก็บเงินไปแล้ว ถ้าเป็นการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการภายในประเทศ จะคืนเงินให้กับผู้บริโภคภายในระยะเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ผู้บริโภคแจ้ง ถ้าเป็นการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศ จะคืนเงินให้กับผู้บริโภคภายใน 60 วันนับแต่วันที่ผู้บริโภคแจ้งเช่นกันหลังจากที่คุณศรินภรณ์ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไป ทางสถานบริการเสริมความงามก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ทางสำนักงานใหญ่ได้ประสานไปยังร้านสาขาเพื่อให้ทำการยกเลิกสัญญา และประสานไปยังธนาคารให้ทราบถึงการยกเลิกสัญญา และให้ระงับการเรียกเก็บเงินกับผู้บริโภคทั้งหมด“ใช้เวลาในการดำเนินการทั้งหมด 17 วัน ดิฉันไม่ต้องเสียค่าอะไรเลย เนื่องจากยังไม่ได้ใช้บริการ และทางร้านก็ยังไม่ได้เปิดบริการ”“ขอขอบคุณมูลนิธิฯ ที่ให้คำแนะนำที่มีประโยชน์และคอยสอบถามเรื่องราวต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ขอให้ผู้ร่วมงานในศูนย์ฯ(ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค)ทุกคนมีความสุข สุขภาพแข็งแรง มีความอดทนและเข้มแข็ง เสียสละอย่างมาก เพื่อเป็นเกราะกำบังให้ผู้บริโภคที่ประสบกับความอยุติธรรมในสังคมนี้ที่นับวันจะมีแต่เล่ห์เหลี่ยม หลอกลวงผู้บริโภคเพื่อเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ขอขอบคุณฝ่ายตรวจสอบของ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย และฝ่ายบัญชีของสำนักงานใหญ่ของ Slimming Plus Institution ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จและพบกับสิ่งดีๆ ในชีวิต”เอ้า...สา....ธุ   พร้อมกันดาวโหลดจดหมายตัวอย่างยกเลิกสัญญา <<< คลิก

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่่ 135 ลูกค้าโนเกียโวย ศูนย์ซ่อมไม่เก็บข้อมูลในเครื่องให้

คุณเบญญภา สาวใหญ่เมืองลำพูนเดินทางเข้าเมืองเชียงใหม่ไปที่ศูนย์โนเกียแคร์ ซื้อโทรศัพท์มือถือโนเกีย C3 ในราคา 3,900 บาท เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2554ใช้ได้ประมาณ 4 อาทิตย์ อาการออกอ่าว โทรหาเพื่อนหาลูกค้า โทรติดแต่คนที่รับสาย เอาแต่พูดว่า “มีหยัง...บ่ได้ยิน” “อู้หยังบ่ฮู้เรื่องเลย”  “ฮู้...โทรมายะหยัง โทรแล้วบ่ยอมอู้” “ว่างก๊ะ ถึงโทรมาเล่นกัน”คุณเบญญภา พยายามตะโกนใส่โทรศัพท์เท่าไร คู่สายฝั่งตรงข้ามก็ยังไม่ได้ยิน สุดท้ายเหมือนคนที่ถูกสังคมหยามเหยียดโทรหาใครก็ถูกวางสายหมด เสียค่าโทรฟรีๆ ไปหลายบาท จึงตัดสินใจนำโทรศัพท์มือถือออกใหม่ไปซ่อมที่ศูนย์โนเกียร์แคร์ เชียงใหม่ ตามสัญญารับประกัน“ดิฉันได้แจ้งอาการเสียของมือถือที่โทรออกแต่คู่สายไม่ได้ยินให้กับพนักงานศูนย์ฯ ทราบ ก่อนส่งซ่อมพนักงานได้สอบถามว่า ในเครื่องมีข้อมูลสำคัญหรือไม่ ดิฉันได้ระบุชัดเจนว่า เป็นข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ลูกค้าประมาณ 400 เลขหมาย เพราะดิฉันเพิ่งเปลี่ยนเครื่องยังไม่ได้เก็บข้อมูลสำรองไว้ พนักงานจึงระบุในใบส่งซ่อมว่าไม่อนุญาตให้ข้อมูลหาย พนักงานแจ้งว่า โทรศัพท์มือถือมีอาการไมโครโฟนเสียจะใช้เวลาซ่อมประมาณ 1 วัน และส่งสำเนาใบส่งซ่อมให้ดิฉันเก็บไว้แสดงในวันที่มารับสินค้าคืน”หลังจากส่งมือถือไปซ่อมที่ศูนย์ฯ ได้ 3 วัน กะว่าศูนย์ฯ น่าจะมือถือเสร็จแล้ว คุณเบญญภา จึงเดินทางไปรับเครื่องคืนที่ศูนย์โนเกีย ถนนมหิดล จ.เชียงใหม่ ได้พบกับพนักงานคนเดิมที่เป็นคนรับเครื่องไปส่งซ่อม“เอ้อ เครื่องยังไม่ได้ซ่อมเลยค่ะ รออะไหล่อยู่ คาดว่าน่าจะซักสามวันอะไหล่ถึงจะมา” พนักงานให้คำตอบที่น่าผิดหวัง “อ้าว แล้วทำไมไม่โทรศัพท์ไปบอกล่ะ เบอร์ที่ติดต่อก็ให้ไว้แล้ว น่าจะโทรไปบอกกันนะคะ จะได้ไม่เสียเวลาเสียค่ารถมา” คุณเบญญภากล่าวด้วยความฉุนเฉียว“คือที่ไม่ได้โทรไปแจ้งให้ทราบ เนื่องจากว่ายังไม่มีอะไหล่เนื่องจากโรงงานน้ำท่วมค่ะ” พนักงานศูนย์ฯ พยายามชี้แจง คุณเบญญภาฟังแล้วก็รู้สึกงงๆ ที่น้ำท่วมเป็นทางออกของทุกเรื่อง แต่ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรมาก พอได้รับคำยืนยันว่าอีกสามวันน่าจะได้อะไหล่มาแล้วจะโทรไปแจ้งบอกแน่ถ้าซ่อมเสร็จแล้ว คุณเบญญภาจึงเดินทางกลับหลังจากนั้นอีกสามวัน หรือเป็นวันที่เจ็ดหลังจากส่งเครื่องซ่อม พนักงานของศูนย์ฯ คนเดิมได้โทรแจ้งคุณเบญญภาว่าซ่อมไมโครโฟนของเครื่องมือถือเสร็จเรียบร้อยแล้วให้มารับเครื่องได้ แต่ข่าวร้ายที่ได้รับคือ ข้อมูลในเครื่องทั้งหมดหายไป“เหมือนกับว่าที่ดิฉันกำชับเรื่องนี้ไปเป็นเรื่องตลก และให้ดิฉันจำยอมไปรับของที่ไม่เหมือนเดิมคืนมาเป็นเรื่องที่รับไม่ได้”“ดิฉันผิดหวังในการบริการมาก และพยายามเจรจากับทางพนักงานฝ่ายซ่อมของศูนย์ฯ ว่า ข้อมูลนั้นสำคัญมากพยายามกู้คืนมาให้ได้ และควรที่จะคืนเครื่องให้ดิฉันในสภาพที่สมบูรณ์” คุณเบญญภาเรียกร้อง แนวทางแก้ไขปัญหาคุณเบญญภา ได้ประเมินค่าความเสียหายของตนเองที่ต้องสูญเสียเบอร์โทรศัพท์ของลูกค้าและค่าใช้จ่ายในการติดต่อไปมาหลังการซ่อมมือถือเป็นเงิน 8,000 บาท และได้ส่งเรื่องร้องเรียนไปที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เชียงใหม่ ส่งมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และที่ศูนย์โนเกียร์แคร์ จ.เชียงใหม่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนในวันที่ 4 มกราคม 2555 อีกสองวันต่อมาเราจึงโทรติดต่อไปที่ศูนย์โนเกียร์แคร์เชียงใหม่ ได้รับคำชี้แจงจากผู้จัดการศูนย์ฯ ว่า ได้ชี้แจงกับลูกค้าแล้วว่า การพยายามกู้ข้อมูลคืนอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวเครื่องได้ คุณเบญญภา จึงเสนอกับศูนย์ฯ ว่า หากกู้ข้อมูลไม่ได้ก็ให้ศูนย์ฯ เปลี่ยนตัวเครื่องให้ใหม่ เป็นเครื่องรุ่นเดิม และต้องการภายในวันนั้น ซึ่งศูนย์ฯ ไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ ต้องรอประมาณ 12 วัน อยากให้มูลนิธิฯช่วยเป็นคนกลางเจรจากับผู้ร้องเรียนด้วยหลังได้รับคำชี้แจงเราจึงโทรกลับไปหาคุณเบญญภาในวันเดียวกัน เพื่อขอคำยืนยันว่าต้องการให้ศูนย์ฯ เปลี่ยนเครื่องให้ใหม่ใช่หรือไม่ คุณเบญญภาแจ้งยืนยันว่าเป็นไปตามที่ศูนย์ฯ ได้ชี้แจงมา คือให้เปลี่ยนเครื่องใหม่แต่รุ่นเดิม และต้องเป็นสีดำ สีอื่นไม่เอา เมื่อได้รับคำยืนยันเราจึงติดต่อกลับไปที่ศูนย์ฯ อีกครั้งในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ซึ่งทางศูนย์ฯ ยินดีรับชดใช้ให้ตามคำขอของผู้ร้อง แต่ขอเวลาในการตั้งเรื่องเบิกงบจัดซื้อเครื่องใหม่ให้กับผู้ร้องประมาณสองอาทิตย์“เมื่อวานนี้ ได้รับ C3 เครื่องใหม่มาแล้วเป็นสีดำ ตอนแรกโทรศัพท์ใหม่นี้โทรออกไม่ได้ และโทรเข้าไม่ได้ เนื่องจากไม่มีสัญญาณ แต่ทางโนเกียได้แก้ไขให้อยู่ค่ะ โดยปรับปรุงซอฟแวร์ให้ ตอนนี้เรียบร้อยแล้วค่ะ ใช้ได้ตามปกติเป็นเครื่องใหม่จริง ชดเชยให้ที่ซ่อมเครื่องเก่าสีชมพูที่ได้รับความเสียหาย ขอบพระคุณที่ทางมูลนิธิฯ เป็นผู้ประสานงานให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีภายในเวลา 20 วัน”เป็นเมล์จากคุณเบญญภาที่เราได้รับด้วยความชื่นใจ และขอขอบคุณบริษัทโนเกียร์แคร์ สาขาเชียงใหม่ ที่ดูแลลูกค้าเป็นอย่างดี

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่่ 135 รถถูกน้ำท่วม ประกันปัดจ่ายอ้างซ่อมรถอู่นอกเครือ

คุณกชนุช มีบ้านอยู่ ต.บางบัวทอง อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ครั้งน้องน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 54 ทั้งครอบครัวสำลักน้ำไปเต็มๆ ไม่เว้นแม้แต่รถเก๋งคันงาม ตราวอลโว่ พยายามพาขึ้นที่สูงก็ไม่รอด โดนเข้าไปถึงเบาะทีแรกคิดว่าจะเบาใจได้เพราะรถคันนี้ทำประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ไว้กับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างทิพยประกันภัย เมื่อน้ำลดในปลายเดือนพฤศจิกายน 2554 จึงนำรถเข้าศูนย์วอลโว่ รามอินทรา เพื่อตรวจสภาพความเสียหาย โดยมีพนักงานฝ่ายเคลมประกันของทิพยประกันภัยมาร่วมตรวจสภาพและถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐาน พร้อมออกใบเคลมประกันให้เบื้องต้น มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง พร้อมทำความสะอาดเบาะและพรมที่ถูกน้ำเน่าแช่ขังอยู่นาน เสียค่าใช้จ่ายรวม 12,500 บาทเศษ ส่วนความเสียหายอื่นๆ ที่เหลือ ศูนย์วอลโว่ฯ จะจัดทำใบเสนอราคาส่งให้ทิพยประกันภัยพิจารณาต่อไป“วันรุ่งขึ้น ได้ติดต่อสอบถามไปที่ทิพยประกันภัยเพื่อขอทราบผลการพิจารณา คุยกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายคุมราคา ใช้เวลาคุยอยู่นานค่ะ ถึงทราบว่าการทำประกันรถของดิฉันเป็นประกันซ่อมอู่ไม่ใช่ซ่อมห้าง คือนำรถเข้าซ่อมกับศูนย์บริการของวอลโว่ไม่ได้”“ดิฉันต้องการให้บริษัทประกันภัยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด จึงได้สอบถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายคุมราคาว่า มีอู่ในเครือของบริษัทฯ อยู่ที่ไหนบ้าง เจ้าหน้าที่ฝ่ายคุมราคาได้เอ่ยชื่อศูนย์บริการมา 4 แห่ง ดิฉันยังได้ย้ำว่า ขอเป็นอู่ในเครือ ก็ยังได้รับการเสนอชื่อศูนย์เดิม 4  แห่งนั้น ทำให้ดิฉันเข้าใจว่าเป็นศูนย์ที่เป็นอู่ในเครือ ของบริษัทฯ จึงตัดสินใจนำรถเข้าไปตรวจเช็คและซ่อมที่ศูนย์สุขุมวิท 66/1 ของบริษัท ทีทีไอ โกลเบิล ออโตโมทีฟ จำกัด”สี่สัปดาห์ต่อมา คุณกชนุชได้ติดต่อไปที่ศูนย์สุขุมวิท 66/1 เพื่อขอรับรถที่ซ่อม จึงได้ทราบข่าวร้ายว่าศูนย์ดังกล่าวไม่ได้เป็น “อู่ในเครือ” ของบริษัททิพยประกันภัยฯ ตามที่เข้าใจ “ที่ทราบก็เพราะศูนย์สุขุมวิท 66/1 บอกกับดิฉันว่า จะต้องจ่ายส่วนต่างค่าซ่อม 40% ค่ะ” คุณกชนุชบอกสถานการณ์ตอนนั้น คุณกชนุชก็ยังไม่รู้จะทำยังไงก็ต้องสำรองจ่ายไปอีกครั้งเป็นเงิน 55,400 บาทเศษ แต่ก็เข้าใจว่าบริษัทประกันภัยควรต้องรับผิดชอบค่าซ่อมทั้งหมดเพราะคนของประกันภัยเป็นคนบอกเองว่าเป็นอู่ในเครือ แล้วรถก็ยังซ่อมไม่เสร็จสมบูรณ์ เพราะศูนย์แจ้งว่าต้องรออะไหล่บางชิ้นก่อน จนหลังปีใหม่ คุณกชนุชได้นำรถกลับไปซ่อมที่ศูนย์สุขุมวิท 66/1 อีกครั้ง เพราะศูนย์ฯแจ้งมาว่าอะไหล่ส่งมาถึงแล้ว“หลังจากเอารถเข้าศูนย์ฯ ดิฉันได้ติดตามอย่างต่อเนื่อง ปรากฏว่าจนถึงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ศูนย์ฯ ไม่ได้ดำเนินการอะไรให้เลย อ้างว่าบริษัทประกันภัยยังไม่อนุมัติการซ่อม เมื่อสอบถามไปที่บริษัทประกันภัยคุยกับเจ้าหน้าที่คนเดิมก็บอกว่า ส่งแฟกซ์ใบอนุมัติไปที่ศูนย์ฯ แล้ว แต่พอสอบถามที่ศูนย์ฯ ศูนย์ฯ ก็บอกว่ายังไม่ได้รับ”“เมื่อแจ้งไปที่บริษัทประกันภัยว่าศูนย์ฯ ยังไม่ได้รับ เจ้าหน้าที่คนเดิมของบริษัทประกันภัยก็บอกว่าจะจัดการให้” คุณกชนุชเล่าไปกัดฟันไปด้วยความโกรธและฉุน เพราะจับได้ว่าเจ้าหน้าที่บริษัทประกันตุกติกสามวันหลังจากนั้น คุณกชนุชคาดว่ารถน่าจะซ่อมเสร็จแล้วจึงได้ติดต่อไปที่ศูนย์ซ่อมอีกครั้ง ปรากฏว่าศูนย์ฯ ยังไม่ได้รับเอกสารการอนุมัติซ่อมเลย คุณกชนุชจึงติดต่อไปที่บริษัทประกันภัย เจ้าหน้าที่คนเดิมบอกว่า “ได้คุยกันแล้ว ไม่ต้องรอแฟกซ์เอกสารให้ เพราะงานยุ่ง”คุณกชนุช เธอก็อดทนมาก โทรศัพท์กลับไปที่ศูนย์ฯ อีกครั้ง ได้คำตอบจากศูนย์ฯ ว่า ถ้าไม่มีเอกสารยืนยันจากบริษัทประกันภัยก็ไม่สามารถซ่อมได้ เพราะเกรงจะมีปัญหาการเบิกจ่ายในภายหลังคุณกชนุชเธออดทนถึงที่สุดก็สุดทน จึงประกาศวาจาต่อหน้าบานกระจกว่า “เรื่องนี้มันต้องถึงมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคแน่!”“ดิฉันคิดว่า เจ้าหน้าที่ของบริษัทประกันภัย มีพฤติกรรมไม่ตรงไปตรงมา ปัดความรับผิดชอบ ด้วยการให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน ไม่ชัดเจน ทำให้ดิฉันเข้าใจผิดในสาระสำคัญ สร้างความเสียหายแก่ดิฉันที่ต้องจ่ายเงินค่าซ่อม รวมถึงพฤติกรรมบ่ายเบี่ยง ทำให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินการ จนถึงขณะนี้รถยังไม่ได้ซ่อม ไม่สามารถใช้รถได้ จึงขอร้องเรียนต่อมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ช่วยดำเนินการให้บริษัททิพยประกันภัยรับผิดชอบความเสียหายครั้งนี้ด้วยค่ะ” แนวทางแก้ไขปัญหามูลนิธิฯ ได้ติดต่อไปที่บริษัททิพยประกันภัย แจ้งข้อเรียกร้องของคุณกชนุช ที่ยินดีจะชำระค่าส่วนต่างของค่าซ่อม 40% แต่ขอให้บริษัทชดเชยค่าเสียหายที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากรถเป็นเงิน 30,000 บาท ทิพยประกันภัยให้คำตอบกลับมาว่า เรื่องค่าซ่อมน่าจะจัดการได้ แต่อาจติดปัญหาเรื่องค่าชดเชยเยียวยา ขอให้มูลนิธิฯ ช่วยเจรจากับผู้ร้องอีกครั้งหลังทราบข้อมูล คุณกชนุช จึงแจ้งข้อเสนอใหม่ คือ ไม่ติดใจเรื่องค่าชดเชยแต่ขอให้บริษัทรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อม 100% และขอให้คืนเงินค่าซ่อมที่ได้สำรองจ่ายไปก่อนแล้วจำนวน 67,900 กว่าบาทด้วยทิพยประกันภัยขอเวลาสามวันจะให้คำตอบ วันที่สามตามกำหนด มูลนิธิฯ ได้โทรสอบถามทันที ได้รับคำตอบว่า บริษัทฯ ได้อนุมัติตามที่ผู้ร้องต้องการในที่สุดวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์ปี 2555 คู่กรณีทั้งสองฝ่ายจึงได้มาทำบันทึกข้อตกลงยุติเรื่องที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดยบริษัททิพยประกันภัย ยินดีรับผิดชอบคืนค่าซ่อมรถ 67,900 กว่าบาทที่คุณกชนุชสำรองจ่ายไป และรับผิดชอบค่าซ่อมรถตามใบเสนอราคาของศูนย์ฯ ทั้งหมดอีก 98,293 บาทคุณกชนุช ขอบคุณในความรับผิดชอบของบริษัททิพยประกันภัย และขอบคุณความช่วยเหลือของมูลนิธิฯ และรับปากว่า จะช่วยมูลนิธิฯ ด้วยการสมัครเป็นสมาชิกอุปถัมภ์นิตยสารฉลาดซื้อให้กับโรงเรียนจำนวน 19 โรงเรียน เพื่อเป็นมงคลชีวิตและครอบครัวของตนเองต่อไปสาธุ...สาธุ

อ่านเพิ่มเติม >