มาถูกทางแล้วค่าไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์ลดลงเป็นประวัติการณ์ในอินเดีย… อีกแล้วผู้ประกอบการโซล่าฟาร์มในรัฐราชสถานของอินเดียบอกว่าปีนี้เขาผลิตขายได้ที่อัตราขายส่ง 2.62 รูปี/kwh (ต่ำกว่าราคา “ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์” ของปีก่อนที่ 4.34 รูปี) พูดง่ายๆ ตอนนี้ถูกกว่าอัตราของค่าไฟฟ้าจากถ่านหิน ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 3.20 รูปี/kwh เหตุที่ขายได้ถูกลงถึงร้อยละ 40 นั้นเป็นเพราะผู้ที่จะเข้ามาทำธุรกิจนี้สามารถกู้เงินได้ง่ายขึ้น แถมดอกเบี้ยก็ถูกลงเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากความจริงจังและชัดเจนของรัฐบาลในการสนับสนุนธุรกิจด้านนี้ ถามว่าจริงจังแค่ไหน? เอาเป็นว่านายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานพูดออกสื่อแทบทุกวัน และธุรกิจพลังงานทางเลือกก็ได้รับการยกเว้นภาษีด้วยนอกจากนี้ เพื่อลบภาพลักษณ์ของการเป็นประเทศที่สร้างมลพิษมากเป็นอันดับสามของโลก อินเดียยังร่วมลงนามในข้อตกลงว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ปารีสเมื่อสองปีก่อน และให้คำมั่นว่าจะผลิตพลังงานทางเลือกให้ได้ถึง 175 กิกะวัตต์ภายในปี 2022 และเมื่อถึงปี 2027 เขาจะทำได้ถึง 275 กิกะวัตต์แม้จะมีความท้าทายที่ต้องผลิตกระแสไฟฟ้าให้เพียงพอต่อผู้คนเป็นพันล้าน แต่การเติบโตของธุรกิจพลังงานทางเลือก (ลม น้ำ ขยะ แสงอาทิตย์) ทั้งจากผู้ประกอบการท้องถิ่นและนักลงทุนต่างชาติก็ทำให้อินเดียไม่จำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ไปอีกอย่างน้อย 10 ปีเหตุที่ของขึ้นการสำรวจความเห็นคุณแม่ชาวสิงคโปร์โดยหนังสือพิมพ์สเตรทไทมส์ พบว่าคุณแม่ส่วนใหญ่เชื่อว่าสาเหตุที่นมผงราคาแพงขึ้นเกือบเท่าตัวในรอบ 9 ปีที่ผ่านมา เป็นเพราะต้นทุนในการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้น แต่คณะกรรมการด้านการแข่งขันทางการค้าพบว่า ระหว่างปี 2010 และ 2014 งบการตลาดของผู้ผลิตนมผงสำหรับเด็กนั้นเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 42.4คุณแม่คนหนึ่งเล่าว่าเธอถูกตัวแทนขายนมผงเด็กมาถามซ้ำๆ เรื่องนมผงที่ใช้และถูกตื้อให้ทดลองยี่ห้อใหม่ สถานที่เกิดเหตุก็คือคลินิกเด็กในโรงพยาบาลนั่นเอง คุณแม่ที่มาคลอดบางรายพบว่าลูกตัวเองได้รับการป้อนนมยี่ห้อหนึ่งไปโดยที่เธอไม่ได้เลือกซึ่งหมายความว่าลูกของเธอจะไม่คุ้นชินกับนมแม่ด้วย รัฐบาลสิงคโปร์กำลังเตรียมแบนการอวดอ้างสรรพคุณใดๆ ก็ตามไม่ว่าจะด้วยคำหรือภาพบนฉลากนมผงสำหรับทารก และสื่อสารให้พ่อแม่เด็กเข้าใจว่าราคาของนมผงเหล่านี้ไม่ได้ยืนยันคุณภาพแต่อย่างใด ไม่ใช่แค่กิ้งก่าในที่สุดบริษัทดอยช์บาห์น ผู้รับผิดชอบโปรเจค Stutgart 21 หรือโครงการทางรถไฟมูลค่าหลายพันล้านยูโรทางตอนใต้ของเยอรมนี ยอมจ่ายค่าขนย้ายกิ้งก่าใกล้สูญพันธุ์ออกจากพื้นที่ก่อสร้างรางรถไฟช่วงระหว่างชตุทท์การ์ทและเมืองอุลม์ เป็นมูลค่า 15 ล้านยูโร (ประมาณ 575 ล้านบาท) ตัวเลขนี้มาจากไหน? ดอยช์บาห์นเขาคำนวณจากค่าจ้างทีมมาจับกิ้งก่าหลายพันตัว ค่าใช้จ่ายในการขนส่งเป็นระยะทาง 6 ไมล์ และการจัดหาที่อยู่ใหม่ในเมือง Unterturkheim และค่าดูแลความเป็นอยู่ให้เป็นไปตามมาตรฐาน เฉลี่ยแล้วตกหัวละ 2,000 – 4,000 ยูโร กลุ่มพิทักษ์สัตว์บอกว่าที่แพงขนาดนี้ก็เป็นเพราะการเตะถ่วงของบริษัทเอง ถ้ารีบจัดการตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2015 ที่รู้ปัญหาก็จะประหยัดเงินได้มากโขโครงการรถไฟสายทรานส์ยูโรเปียนนี้เริ่มก่อสร้างในปี 2010 และมีกำหนดเปิดใช้งานในปี 2021 งบประมาณขณะนี้อยู่ที่ 6,300 ล้านยูโร (204,000 ล้านบาท) ++ ไม่มีต่อเวลากรมสุขภาพของไต้หวันยืนยันว่า วิกเกอร์ โคโบ ผู้ผลิตพายสับปะรดยี่ห้อดัง มีความผิดฐานเปลี่ยนวันหมดอายุบนแพ็คเกจสินค้าจริงแม้การไปสุ่มตรวจในร้านโดยกรมฯ จะไม่พบหลักฐานการกระทำผิด แต่เขาก็ได้รวบรวมหลักฐานจากผู้แจ้งเบาะแสแล้วชงเรื่องต่อให้กับสำนักงานอัยการเมืองชิหลินทำการสืบสวนต่อไปเขาพบว่ามีขนมหลายชนิด เช่น พายสับปะรด พายไข่แดง ถูกเรียกคืนเพื่อเปลี่ยนวันหมดอายุเพื่อยืดเวลาออกไปอีก 10 วันจริง ความผิดนี้มีโทษปรับ 40,000 ถึง 4,000,000 เหรียญ วิกเกอร์ โคโบ เป็นที่รู้จักกันดีในไต้หวันและในหมู่นักท่องเที่ยวที่ต้องการซื้อขนมดังจากไต้หวันไปเป็นของฝาก แต่พฤติกรรมนี้ทำให้สมาคมผู้ประกอบการนำเที่ยวประกาศงดพาลูกทัวร์เข้าร้านชั่วคราวเพราะไม่ต้องการเสียชื่อไปด้วยโฆษกสมาคมฯ บอกว่าเข้าใจดีว่าช่วงนี้ธุรกิจไม่ดีเพราะไม่มีนักท่องเที่ยวจากจีน แต่การขยายวันหมดอายุนี่มันแก้ปัญหาอะไรได้หนอ
อ่านเพิ่มเติม >สรุปความเคลื่อนไหว เดือนพฤษภาคม 2560เตรียมบังคับแท็กซี่ติดตั้งปุ่มฉุกเฉินและกล้องวงจรปิดเราได้เห็นข่าวคราวในแง่ลบของบริการแท็กซี่อย่างต่อเนื่อง ทั้งเป็นมิจฉาชีพที่แฝงตัวมาในคราบคนขับแท็กซี่ หรือพนักงานขับรถที่พูดจาไม่ดี หรือแสดงกริยาที่ไม่เหมาะสมกับผู้โดยสาร แม้จะมีหน่วยงานให้ร้องเรียนอย่างกรมขนส่งทางบก แต่ก็ดูเหมือนปัญหาเหล่านี้จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกล่าสุดปัญหานี้น่าจะคลี่คลายลงได้บ้าง(หรือไม่) เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน ได้มีการหารือเรื่องความคืบหน้าการจัดระเบียบแท็กซี่ โดยเตรียมประกาศใช้กฎกระทรวงที่จะบังคับให้รถแท็กซี่ทุกคันต้องติดตั้งระบบจีพีเอส ติดตั้งกล้องซีซีทีวีภายในรถ และมีปุ่มกดฉุกเฉินสำหรับผู้โดยสาร เพื่อส่งข้อมูลเข้ามายังศูนย์ควบคุมที่จะมีการตั้งขึ้นเพื่อบริการผู้โดยสารแท็กซี่ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือน ส.ค.2560 นี้เป็นต้นไป โดยรถแท็กซี่ใหม่จะต้องติดตั้งอุปกรณ์ตามที่กำหนดไว้ทันทีก่อนนำมาให้บริการ ส่วนแท็กซี่ที่ใช้มาแล้ว 3-6 ปี จะขยายเวลาติดตั้ง 6 เดือนถึง 1 ปี ส่วนแท็กซี่เก่าที่กำลังจะถูกปลดระวางภายใน 1-2 ปี จะได้รับการยกเว้น“อาหารเสริม” – “กาแฟลดน้ำหนัก” แอบใส่ยาอันตรายเพียบใครที่ชอบกินกาแฟลดน้ำหนัก ระวังให้ดี เพราะมีผลทดสอบยืนยันแล้วว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีส่วนผสมของยาแผนปัจจุบันที่อาจส่งผลข้างเคียงต่อสุขภาพรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และหน่วยงานต่างๆ เฝ้าระวังการใช้ยาแผนปัจจุบันในอาหาร โดยเฉพาะในตัวอย่างกาแฟสำเร็จรูปชนิดผง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องดื่ม ซึ่งพบเห็นมีการจำหน่ายอยู่มากมายตามสื่อสังคมออนไลน์ รวมทั้งสิ้น 1,603 ตัวอย่าง โดยผลการตรวจสอบพบว่า ในกลุ่มตัวอย่าง กาแฟสำเร็จรูปชนิดผง จำนวน 462 ตัวอย่าง พบการปนเปื้อนของยากลุ่มที่รักษารักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ร้อยละ 26.2 นอกจากนี้ยังพบทั้งยาลดความอ้วน (ร้อยละ 13.7) และกลุ่มยานอนหลับ (ร้อยละ 0.5)ส่วนตัวอย่างผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จำนวน 1,034 ตัวอย่าง ก็พบกลุ่มยารักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศทั้งแบบยาชนิดเดียวและสองชนิดรวมกัน มากถึงร้อยละ 42.9 รวมทั้งกลุ่มยาลดความอ้วน ยาระบาย และยาลดความยากอาหาร นอกจากนี้ยังพบกลุ่มยาอันตรายอย่าง สเตียรอยด์ และ ไซบูทรามีน ผลิตภัณฑ์อาหาร ไม่ใช่ยารักษาโรค ไม่มีผลทางการบำบัด บรรเทา หรือรักษาอาการเจ็บป่วยจากโรคภัยไข้เจ็บใดๆ ทั้งสิ้น อาหารที่มีการผสมยาแผนปัจจุบันจึงถือเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์ ผิดกฎหมาย รวมทั้งยังอาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่รับประทาน รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต เช่น กลุ่มยารักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศอาจก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้หัวใจวาย เส้นโลหิตในสมองแตก ความดันโลหิตสูง ส่วน ไซบูทรามีน ที่เป็นสารอันตราย แต่ผู้ผลิตที่ไม่หวังดีชอบเอามาใส่ในผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก ทำมีผลต่อการเกิดโรคหัวใจวายและเส้นโลหิตในสมองแตก ใช้ “รีเทนเนอร์” เถื่อนเสี่ยงติดเชื้ออันตรายถึงชีวิตอย.ฝากเตือนถึงคนที่กำลังคิดจะใส่เครื่องมือที่ช่วยรักษาสภาพฟันหลังการจัดฟัน หรือ“รีเทนเนอร์” (Retainer) ต้องได้รับบริการจากทันตแพทย์เท่านั้น โดยทันตแพทย์จะทำการพิมพ์ฟันของผู้ป่วยและส่งข้อมูลของผู้ป่วยให้ผู้ผลิต ผลิตรีเทนเนอร์ออกมาเพื่อให้ตรงกับสภาพฟันของผู้ป่วย เพราะเรื่องในช่องปากเป็นเรื่องเฉพาะคน จึงต้องให้ทันตแพทย์เป็นผู้ตรวจและหล่อบล็อกออกมาเฉพาะคนหลังจากเกิดดราม่าบนโลกออนไลน์กรณีที่ “จ๊ะ อาร์สยาม” หรือ น.ส.นงผณี มหาดไทย นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง รับบริการทำรีเทนเนอร์โดยตรงกับแฟนคลับ ที่อ้างว่ามีใบอนุญาตผลิตรีเทนเนอร์ จึงหลงเชื่อให้แฟนคลับคนดังกล่าวพิมพ์ฟันให้และช่วยโปรโมตร้านผลิตรีเทนเนอร์ ซึ่งจากการตรวจสอบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พบว่า ร้านดังกล่าวมีใบอนุญาตผลิตเครื่องมือแพทย์จริง แต่เป็นเพียงการผลิตฟันปลอม ไม่ครอบคลุมถึงรีเทนเนอร์นพ.วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ เลขาธิการ อย. กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การจะผลิตรีเทนเนอร์ให้คนไข้หรือคนจัดฟันใส่นั้น ผู้ผลิตจะต้องผลิตตามใบสั่งของทันตแพทย์เท่านั้น ส่วนที่มีการโฆษณารับทำรีเทนเนอร์ทางโซเชียลมีเดีย เข้าข่ายผิด พ.ร.บ. วิชาชีพทันตกรรม ซึ่งกฎหมายอนุญาตให้เฉพาะผู้มีใบประกอบวิชาชีพทันตกรรมเท่านั้นที่สามารถจะพิมพ์ฟันได้ และต้องทำภายในสถานพยาบาลหรือคลินิกทันตกรรมเท่านั้นสคบ.สั่ง “กระทะโคเรียคิง” หยุดโฆษณาเอาเปรียบผู้บริโภคสคบ.สั่ง “กระทะโคเรียคิง” หยุดโฆษณาที่ไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภค โดยการใช้ข้อมูลที่พิสูจน์ไม่ได้ ด้าน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดให้ผู้ที่ซื้อกระทะโคเรียคิงที่ต้องการขอคืนสินค้าและขอคืนเงินสามารถแสดงความจำนงเข้ามาเพื่อร่วมดำเนินการตามกฎหมายในการฟ้องคดีแบบกลุ่มกระแสดราม่ากระทะโคเรียคิง จุดเริ่มต้นมาจากที่มีคนไทยไปพบกระทะยี่ห้อดังกล่าววางจำหน่ายในประเทศสิงคโปร์ในราคาที่ตีเป็นเงินบาทแล้วแค่ 600 บาท แต่ในเมืองไทยกลับจำหน่ายอยู่ที่ราคาสูงถึง 2,000 กว่าบาท แถมในโฆษณายังมีการอ้างว่าเป็นราคาที่ลดลงมาจากราคา 30,000 กว่าบาท ซึ่งนอกจากความสงสัยของผู้บริโภคในเรื่องของราคาแล้ว ก็ยังมีการตั้งข้อสังเกตเพิ่มขึ้นในเรื่องของคุณสมบัติของกระทะ ทั้งเรื่องการเคลือบผิวกระทะ 8 ชั้น การใช้หินอ่อนเคลือบกระทะ ตามที่ระบุในโฆษณาสคบ.จึงได้มอบหมายให้นักวิชาการและสถาบันด้านการทดสอบ ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของกระทะโคเรียคิง ซึ่งจากการทดสอบพบว่า 1.เนื้อกระทะทำมาจากอะลูมิเนียมเสริมเหล็ก 2.เนื้อกระทะเคลือบด้วยพอลิเมอร์ และ 3.ตรวจสอบดูชั้นเคลือบของกระทะ พบว่าไม่ได้มี 8 ชั้น และไม่พบหินอ่อนในชั้นเคลือบกระทะเป็นที่มาให้ สคบ.มีคำสั่งให้กระทะโคเรียคิงชะลอการโฆษณา เนื่องจากมีการใช้ข้อความไม่เป็นธรรม ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 มาตรา 22 และ พรบ.ขายตรง 2545 ซึ่งขณะนี้ พบว่า โฆษณามีลักษณะจูงใจ เช่นการใช้คำว่า กระทะโคเรียคิงมีความลื่นไหลกว่า 300% หรือ 3 เท่า เคลือบ 8 ชั้น หรือ กำหนดเงื่อนไขราคาที่สูงแต่ขายจริงในราคาต่ำ ไม่มีข้อมูลอ้างอิงที่มาของราคา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่ามีผลต่อการจูงใจผู้บริโภค แต่ทว่าเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้านมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พร้อมทำหน้าที่เป็นตัวกลางช่วยผู้ที่ซื้อกระทะโคเรียคิงแล้วต้องการขอคืนสินค้าและขอคืนเงิน โดยการยื่นฟ้องต่อศาลเป็นคดีแบบกลุ่ม สามารถส่งหลักฐานการซื้อกระทะโคเรียคิง เช่น ใบเสร็จการซื้อ หลักฐานการโอนเงินสั่งซื้อ และสำเนาบัตรประชาชน ได้ที่สำนักงานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค หรือทางอีเมล์ complaint@comsumerthai.org
อ่านเพิ่มเติม >พบท่อสี “จัดฟันแฟชั่น” ปนเปื้อนแคดเมียมปริมาณสูง ฉลาดซื้อ ทันตแพทยสภาและแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ(คคส.) เก็บตัวอย่างยางจัดฟัน ท่อสี ลวดมัดฟันและแบรกเก็ตจัดฟัน เมื่อเดือน ก.พ. 60 จากร้านค้าออนไลน์ พบตัวอย่างท่อสี(ท่อยางที่ใช้ร้อยกับลวดรีเทนเนอร์) สีดำและสีชมพู ซึ่งเป็นสียอดนิยมในหมู่วัยรุ่นผู้ชื่นชอบการใส่รีเทนเนอร์แฟชั่น พบว่า มีปริมาณแคดเมียม สูงถึง 695 mg/kg ในท่อสี สีดำ และ 692 mg/kg ในท่อสี สีชมพู ซึ่งแคดเมียมปริมาณสูงที่พบในท่อสี เมื่ออยู่ในปากจะถูกละลายโดยน้ำลายและถูกกลืนเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดพิษจากโลหะหนัก ตับวาย ไตวาย และมะเร็ง การทดสอบครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อยืนยันว่า อุปกรณ์จัดฟันแฟชั่น ได้แก่ ลวด แบรกเก็ต ยางโอริง ยางซีเซน ท่อสี ที่จำหน่ายโดยร้านค้าออนไลน์ และร้านค้าที่ขายส่งอุปกรณ์จัดฟัน จะยังเข้าข่ายสินค้าอันตรายหรือไม่ เพื่อประเมินว่า ความเสี่ยงในการตกค้างของสารโลหะหนักจะยังคงรุนแรง อย่างเช่นการทดสอบในครั้งก่อนตอนที่การจัดฟันเถื่อนเริ่มฮิตใหม่ ซึ่งขณะนั้นวัสดุและอุปกรณ์จัดฟันเถื่อนจะเป็น “ของเลียนแบบ” เครื่องมือจัดฟันที่ใช้ในทางการแพทย์ เป็นส่วนใหญ่ ครั้งนี้ฉลาดซื้อ ได้ซื้อสินค้าอุปกรณ์จัดฟันแฟชั่นจากร้านค้าทางออนไลน์ 38 ตัวอย่าง จากร้านค้าบนเฟซบุ๊คสองร้าน ร้านละ 19 ตัวอย่าง และจากตัวแทนร้านค้าอุปกรณ์ที่จำหน่ายให้กับทันตแพทย์ 9 ตัวอย่าง แล้วส่งวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเพื่อหาโลหะหนัก ตะกั่ว แคดเมียม ปรอท โครเมียม และสารหนู ผลการวิเคราะห์(จากจำนวนตัวอย่างทั้งสิ้น 47 ตัวอย่าง) พบสองตัวอย่างที่มีการปนเปื้อนของแคดเมียม ได้แก่ ท่อสี สีชมพูของร้านค้าจากเฟซบุ๊คที่เลือกเป็นตัวแทนร้านค้าออนไลน์ทั่วไป มียอดผู้กดถูกใจจำนวนมาก โดยพบปริมาณแคดเมียม 692 mg/kg และ ท่อสี สีดำของร้านค้าเดียวกัน พบปริมาณแคดเมียม 695 mg/kg ซึ่งสินค้าจากร้านค้าที่เป็นตัวแทนร้านจัดฟันแฟชั่นที่ขายสินค้าบนเฟซบุ๊คแห่งนี้ มีการจำหน่ายสินค้าในราคาถูกมาก สั่งซื้อง่าย ฉลาดซื้อเก็บตัวอย่างจากร้านค้าแห่งนี้ จำนวน 19 ตัวอย่าง พบการปนเปื้อนสองตัวอย่าง หรือคิดเป็นร้อยละ 10.5 ซึ่งการพบการปนเปื้อนครั้งนี้ ต้องถือว่า ผู้ชื่นชอบการจัดฟันแฟชั่นยังคงมีความเสี่ยงต่อการได้รับสารพิษจากโลหะหนักที่ปนเปื้อนอยู่ในวัสดุจัดฟันแฟชั่น ที่มีราคาถูกและหาซื้อได้ง่ายในร้านค้าบนโลกออนไลน์ จากจัดฟันเถื่อนหน้าร้านสู่จัดฟันแฟชั่นบนโซเชียล การทำทันตกรรมจัดฟัน โดยบุคคลที่มิใช่ทันตแพทย์ เป็นปัญหาที่ยังคงคุกคามสุขภาพในช่องปากของเด็กไทยมาอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่มีการรับทำจัดฟันแบบห้องแถว ตลอดจนร้านค้าตามแหล่งช้อปปิ้งต่างๆ ที่คึกคักโจ่งแจ้ง จนขนาดสำนักงานต่างประเทศเอาไปออกข่าวยกให้เป็นประเทศหนึ่งเดียวในโลกที่ “วัยรุ่น” ชื่นชอบการจัดฟัน โดยคนที่ไม่ได้เป็นหมอฟัน ยกย่อง(ประชด) ว่า ช่างไม่กลัวอันตรายใดๆ ห่วงอย่างเดียวคือ กลัวตกเทรนด์แฟชั่น ร้อนถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกมาเร่งปราบปรามกันไปครั้งหนึ่ง แต่แฟชั่นยิ้มอวดฟันเหล็กและยางสีสวยๆ นั้นมันไม่เคยหายไป จากการจัดฟันแฟชั่นที่เริ่มมีมาตั้งแต่ปี 2547 โดยการวางขายลวดดัดฟัน ที่มีลักษณะคล้ายกำไลข้อมือโดยมีปลาย 2 ข้างไว้ใช้ทาบกับพื้น และแหย่เข้าไปหักงอไว้ในซอกฟันเพื่อยึดไว้ ทำให้เวลายิ้มจะดูเหมือนคนจัดฟันมา ซึ่งรูปแบบนี้แทบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว ด้วยถูกมองว่า “เป็นงานหยาบ” และปัจจุบันอุปกรณ์จัดฟันแฟชั่นได้ถูกพัฒนาให้มีลักษณะใกล้เคียงกับการจัดฟันจริงมากขึ้น หรือบางทีก็ใช้วัสดุเดียวกันกับร้านค้าส่งที่ทางทันตแพทย์ใช้จริงหรือสั่งนำเข้าจากต่างประเทศ เรียกตามภาษาแม่ค้าว่า “แบบเดียวกับร้านหมอฟัน” หรือ “คุณภาพสินค้าเท่าเทียมกับคลินิกทันตแพทย์จัดฟัน (medical grade)” ซึ่งกลุ่มผู้นิยมฟันเหล็กสามารถซื้อหามาติดเองได้ โดยมีช่องทางที่เข้าถึงได้ง่าย เพราะการเปิดกว้างของโซเชียลมีเดีย โดยช่องทางที่นิยมกันมากคือ อินสตาแกรม เฟซบุ๊ค ไลน์ และหน้าเว็บไซต์ รูปแบบการจัดฟันปัจจุบันจะแบ่งเป็นสองแบบหลักๆ คือ จัดฟันแฟชั่นแบบติดแน่น เป็นการเลียนแบบการจัดฟันของทันตแพทย์ให้เหมือนมากขึ้น โดยจะมีการติดเครื่องมือ "แบรกเกต" เป็นโลหะรูปสี่เหลี่ยมที่มีร่องใส่ลวดจัดฟันและมีส่วนยื่นออกมาสำหรับคล้อง ยาง สามารถเลือกสีของยาง รูปร่างของยาง เช่น รูป ดอกไม้ ลายการ์ตูนยอดนิยม อย่าง มิกกี้เม้าส์ โดราเอมอน เป็นต้นจัดฟันแฟชั่นแบบถอดได้ เป็นการใช้เครื่องมือคงสภาพฟัน หรือ "รีเทนเนอร์" ที่เหมือนกับทันตแพทย์ใช้ มีลักษณะเป็นแผ่น พลาสติกปิดอยู่ที่เพดาน หรือข้างลิ้น มีลวดคอยบังคับฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ มีการดัดแปลง เพิ่มแบรกเกตให้ติดอยู่บนลวด ขั้นตอนการทำจะต้องมีการพิมพ์ฟันก่อน เพื่อทำให้ออกมาพอดีกับลักษณะฟัน โดยสามารถเลือกสี ลายของแผ่น พลาสติก และลวดได้ ในรูปแบบ รีเทนเนอร์นี้ ยังพัฒนาเป็น “รีไร้เหงือก” ด้วย คือ ทำออกมาแล้วใส่ได้สะดวก โดยไม่ต้องพิมพ์ฟันก่อน ภาษาแม่ค้าเรียกว่า เป็นโมเดลมาตรฐาน โดยบรรยายสรรพคุณว่า เหมาะสำหรับ ใส่ถ่ายรูป ใส่เที่ยว ไม่อันตราย--------------------------------------------------------------------------------ทำความรู้จักอุปกรณ์จัดฟันแฟชั่น• ลวดจัดฟัน (Archwire)• แบรกเกต (Brackets)• ยางจัดฟัน แบบ O-Ring มีลักษณะที่สังเกตได้ง่ายๆ นั่นคือ มีห่วงกลมๆ อันเล็กๆ ที่มีลักษณะที่ค่อนข้างยืดหยุ่นได้ไม่มาก มีสารพัดสีให้เลือก ทำหน้าที่ยึดแบรกเกตกับลวด • ยางจัดฟัน แบบ C-Chainมีลักษณะเหมือนกับโซ่ แบบ ซีเชน นี้ จะได้รับความนิยมมาก หลายคนชอบ อยากใส่ เพราะมันดูสวยดียามเมื่อยิ้มออกมา• ท่อสี ไม่ได้มีผลกับการดึงฟัน แต่เป็นท่อยางที่ใช้ร้อยกับลวดรีเทนเนอร์พาดไปบนแนวฟัน เพื่ออวดสีสัน ดูสวยงามสำหรับกลุ่มผู้ชื่นชอบแฟชั่นนี้อันตรายจากการจัดฟันแฟชั่นการจัดฟันแฟชั่นเป็นเพียงการนำเครื่องมือจัดฟันติดบนหน้าฟันเท่านั้น ไม่มีผลในการรักษา แต่เป็นการนำของแปลกปลอมใส่เข้าไปในช่องปาก ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ ดังนี้ อันตรายจากขั้นตอนการทำ ซึ่งหากทำโดยผิดหลักวิชา อาจเกิดปัญหาจากการติดเชื้อ เพราะกระบวนการทำไม่สะอาดตามมาตรฐาน อันตรายจากวัสดุ วัสดุจัดฟันแฟชั่น บางชนิดยังพบการปนเปื้อนที่เป็นโลหะหนัก เช่น แคดเมียม หากสะสมในร่างกายมาก ๆ จะเป็นอันตรายต่อไต ทำให้เนื้อเยื่อต่าง ๆ ของเซลล์ตาย อาจทำให้เกิดมะเร็งได้ อันตรายต่อฟันและเนื้อเยื่อในช่องปาก ในขั้นตอนการทำ จะมีการใช้หัวกรอ กรอเอาเคลือบฟันที่ดีออกไป รวมทั้งใช้กรดกัดฟัน ซึ่งจะทำให้เคลื่อนฟันบางลง ทำให้ความแข็งแรงของฟันลดลง ทำให้เสียวฟันได้ง่าย การปรับแต่งลวดโดยผู้ที่ไม่มีความรู้จะทำให้เกิดแรงกดไปที่ตัวฟัน และฟันเคลื่อนไปจากเดิม ทำให้มีอาการปวดฟันมากอาจทำให้ฟันซี่นั้นกลายเป็นฟันตาย รากฟันละลาย อาจจะต้องถอนฟันซี่นั้นทิ้งไปนอกจากนี้การใส่เครื่องมือจัดฟันแฟชั่นมักทำให้เกิดการบาดกระพุ้งแก้ม หรือเนื้อเยื่อในช่องปากกลายเป็นแผล เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเนื้อเยื่อในช่องปาก อีกทั้งเครื่องมือที่ใส่ในปาก จะขัดขวางการแปรงฟันและทำความสะอาดฟัน อาจทำให้ฟันผุ เหงือกอักเสบ บวมแดง มีกลิ่นปาก ยิ่งถ้ากระทำด้วยตนเอง ไม่ได้รับการอบรมที่ถูกวิธีหรือคอยดูแลตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอโดยทันตแพทย์ ย่อมเกิดปัญหาสุขภาพฟันติดตามมา บางทีก็ผิดพลาดจนยากจะแก้ไขได้ทัน การจัดการกับปัญหาการจัดฟันแฟชั่นด้วยมาตรการทางกฎหมายอุปกรณ์จัดฟันแฟชั่น• คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคโดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) จากผลการตรวจวิเคราะห์ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่พบว่า ลวดดัดฟันแฟชั่น นั้น พบสารปนเปื้อนซึ่งเป็นโลหะหนัก และวัสดุที่ใช้เป็นวัสดุที่ไม่มีมาตรฐาน ลักษณะการนำมาคล้องที่ฟันด้วยลวดที่ไม่แข็งแรง มีโอกาสหลุดลงคอ ทำให้เป็นอันตรายแก่ชีวิต อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือผลเสียด้านสุขอนามัย สคบ. จึงอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 มาตรา 36 วรรคสอง ประกาศห้ามขายถาวรตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2552 ตามคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่10/2552 เรื่อง ห้ามขายสินค้าลวดดัดฟันแฟชั่น ซึ่งประกาศนี้มีผลเฉพาะ “ลวดดัดฟัน” เท่านั้น ปัจจุบัน สคบ.กำลังเร่งพิจารณาเพื่อออกกฎหมายให้ครอบคลุมไปถึงวัสดุอื่นๆ ด้วย • อุปกรณ์จัดฟัน ยังไม่จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ จึงไม่ได้รับการกำกับดูแล ตาม พ.ร.บ.เครื่องมือแพทย์ พ.ศ.2551 • อุปกรณ์จัดฟันแฟชั่นที่ขายทางอินเทอร์เน็ต จะเข้าข่าย ความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ปัจจุบันปรับมาเป็น ความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 กำกับดูแลโดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ปอท.)สถานที่และผู้ให้บริการจัดฟันแฟชั่น• ผู้ลักลอบดำเนินการจัดฟันแฟชั่นจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.วิชาชีพทันตกรรม พ.ศ. 2537 มาตรา 28 ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิได้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม ทำการประกอบวิชาชีพทันตกรรม หรือแสดงด้วยวิธีใดๆ ให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีสิทธิประกอบวิชาชีพดังกล่าว• สถานที่ที่มีการประกอบการทันตกรรมหรือคลินิกที่ประกอบกิจการสถานพยาบาลทันตกรรม โดยไม่ได้รับอนุญาต จะต้องโทษ ตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ทว่าเมื่อลองประเมินจากบทบัญญัติทางกฎหมายเพื่อที่จะควบคุมกำกับปัญหาการจัดฟันแฟชั่นเถื่อน อาจเรียกได้ว่า ยังอยู่ในสถานะที่ไม่พร้อมอย่างที่ควรจะเป็น ภาพที่ผู้ค้าบางรายยังสามารถขายสินค้าแฟชั่นนี้ได้อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายยังปรากฏให้เห็นผ่านช่องทางสื่อสารทางโลกโซเชียลอยู่ตลอดเวลา บวกกับค่านิยมของวัยรุ่น ที่ยอมจะสวยในแบบฉบับที่ไม่ตกเทรนด์แฟชั่น มากกว่าการห่วงเรื่องสุขภาพในช่องปาก หรืออันตรายที่แฝงอยู่ในการจัดฟันแฟชั่นนี้ เราคงจะต้องเผชิญกับปัญหานี้ไปอีกนาน ซึ่งไม่ต่างจากเรื่องที่เราเป็นห่วงคนไทยจำนวนหนึ่ง ที่อยากขาว อยากผอม ตามค่านิยมยุคสมัย แต่เลือกวิธีการที่ไม่เหมาะสมด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งการหวังเพียงให้กฎหมายช่วยจัดการอาจจะยังไม่พอ เพราะเป็นแค่การตัดช่องทางซื้อขาย อย่างไรก็ตามคงต้องร่วมกันกับการปรับค่านิยมให้แก่คนกลุ่มเสี่ยงด้วย
อ่านเพิ่มเติม >แฟนๆ ฉลาดซื้อคงยังจำกันได้ว่าเมื่อไม่นานนี้ เราเพิ่งนำเสนอผลทดสอบ “สารกันบูดในขนมเปี๊ยะ” ที่พบว่ามีตัวอย่างขนมเปี๊ยะเพียง 1 จาก 13 ตัวอย่างที่ไม่พบการปนเปื้อนของสารกันบูดชนิด กรดเบนโซอิก และ กรดซอร์บิก โดยพบปริมาณเฉลี่ยอยู่ที่ 20.47 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งก็ถือว่าเป็นปริมาณที่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับปริมาณที่กฎหมายอนุญาตให้ใช้คือสูงสุดไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม แต่การพบสารกันบูดในขนมเปี๊ยะ ทั้งที่บางยี่ห้อระบุว่า “ไม่ใช้วัตถุกันเสีย” นั้น ทำให้ฉลาดซื้อมีข้อสงสัยว่า สารกันบูดที่พบมาจากส่วนประกอบใดในขนมเปี๊ยะกันแน่ ฉบับนี้เราเลยเลือกทดสอบไส้ขนมสำเร็จรูป ชนิด “ถั่วกวน” ซึ่งถือเป็นวัตถุดิบหลักในผลิตภัณฑ์ขนมหลายชนิด ไม่ใช่แค่ขนมเปี๊ยะ แต่ยังมีทั้ง ขนมโมจิ ซาลาเปา ขนมเทียน ขนมถั่วกวน ขนมลูกชุบ ขนมเม็ดขนุน ฯลฯ ซึ่งไส้ถั่วกวนสำเร็จรูปพร้อมนำไปทำขนมได้ทันทีนี้ มีวางจำหน่ายอยู่ในร้านขายอุปกรณ์และวัตถุดิบสำหรับทำขนมและเบเกอรี่เจ้าใหญ่หลายแห่ง เราลองไปดูกันสิว่าในไส้ถั่วกวนสําเร็จรูปมีการปนเปื้อนของสารกันบูด กรดเบนโซอิก และ กรดซอร์บิก มากน้อยแค่ไหนถั่วกวนสำเร็จรูป ใส่สารกันบูดได้หรือไม่? ใส่ได้มากน้อยแค่ไหน?ถ้าเทียบตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง ข้อกำหนดการใช้วัตถุเจือปนอาหาร ไส้ถั่วกวนสำเร็จรูป น่าจะจัดอยู่ในกลุ่มอาหารประเภท พืชผัก สาหร่าย ถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดพืชต่างๆ ที่ผ่านกรรมวิธี เช่น อบแห้ง แคนนิ่ง แช่แข็ง ฯลฯ ตามการแบ่งกลุ่มย่อยของประเภทอาหารที่อนุญาตให้ใช้ กรดเบนโซอิก ซึ่งตามประกาศไม่มีกำหนดปริมาณที่ใช้เป็นตัวเลขชัดเจน ระบุเพียงว่า ให้ใช้ใน “ปริมาณที่เหมาะสม” ซึ่งเมื่อลองนำไปเทียบกับกลุ่มอาหารชนิดอื่นๆ ส่วนใหญ่กฎหมายจะอนุญาตให้ใช้กรดเบนโซอิกได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ส่วน กรดซอร์บิก ไม่มีการกำหนดปริมาณการใช้ในไส้ถั่วกวนสำเร็จรูปดังนั้นเกณฑ์สำหรับเทียบเคียงในการทดสอบ กรดเบนโซอิก และ กรดซอร์บิก ในไส้ถั่วกวนสำเร็จรูปครั้งนี้ ขอยึดที่เกณฑ์พบได้สูงสุดไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม
อ่านเพิ่มเติม >ฉบับนี้ผู้เขียนขอพาเดินทางไปยังสถานีที่ท่องเที่ยวต่างๆ ด้วยแอพพลิเคชั่นทีให้บริการอย่างครบวงจร ซึ่งได้รวบรวมร้านอาหาร โรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยวไว้ในแอพพลิเคชั่นเดียวกัน โดยสามารถค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวในบริเวณใกล้เคียงจากจุดที่ยืนอยู่ได้ รวมทั้งสามารถค้นหาสิ่งที่รวบรวมไว้ได้ทั้งประเทศ มารู้จักแอพพลิเคชั่นนี้กันดีกว่า แอพพลิเคชั่นนี้มีชื่อว่า ZogZag77 สิ่งแรกแอพพลิเคชั่นนี้จะให้เข้าสู่ระบบ โดยสามารถเลือกเข้าระบบโดยผ่านเฟสบุ๊คได้เลยหรือจะไม่เข้าสู่ระบบก็ได้ ภายในแอพพลิเคชั่นจะมีภาพแบ่งเป็นหมวดหมู่ ดังนี้ สถานที่ท่องเที่ยวใกล้คุณ ร้านอาหาร โรงแรมที่พัก โปรโมชั่นส่วนลด ของฝาก ซอกแซกพาเที่ยว วางแผนประกันภัยการเดินทาง ค้นหาตามภาค และเบอร์โทรฉุกเฉิน ทั้งนี้ขอพูดถึงแค่หมวด สถานที่ท่องเที่ยวใกล้คุณ ร้านอาหาร โรงแรมที่พัก ซอกแซกพาเที่ยว ค้นหาตามภาค และเบอร์โทรฉุกเฉิน นะคะ สถานที่ท่องเที่ยวใกล้คุณ ร้านอาหาร และโรงแรมที่พัก จะเป็นหมวดที่มีความเชื่อมต่อกันระหว่างข้อมูล เพราะเมื่อเข้าไปในหมวดนี้แอพพลิเคชั่นจะค้นหาร้านอาหาร โรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยวบริเวณใกล้เคียงให้ทราบ โดยจะบอกระยะทาง รายละเอียดพิกัด เบอร์โทรติดต่อ เวลาเปิดปิดทำการ และสามารถเชื่อมต่อกับแผนที่ของ google map ได้ด้วย แต่ผู้อ่านต้องมีการเปิดแชร์สถานที่บนสมาร์ทโฟนให้เรียบร้อยเสียก่อน แต่ถ้าผู้อ่านต้องการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร และโรงแรมที่พักในจังหวัดอื่นๆ แนะนำให้ไปที่หมวดค้นหาตามภาค ซึ่งแอพพลิเคชั่นจะแบ่งเป็นภาคภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก หลังจากนั้นผู้อ่านสามารถเลือกจังหวัดที่ต้องการค้นหาได้ มาถึงหมวดของซอกแซกพาเที่ยว โดยแบ่งเป็นหมวดย่อย ดังนี้ เส้นทางแนะนำ เที่ยวตามใจ ททท. และแซ่บแซ่บ เริ่มจากเส้นทางแนะนำนั้นเป็นการแนะนำ เส้นทางการเดินทางสถานที่ท่องเที่ยวจากจังหวัดหนึ่งไปยังอีกจังหวัดหนึ่งโดยมีแผนที่และรายละเอียดของสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านั้น ในส่วนของเที่ยวตามใจจะเป็นการแบ่งประเภทการท่องเที่ยวออกเป็นทะเล ภูเขา มรดกโลก ร้านอาหารอร่อย และสถานที่ท่องเที่ยวช่วงกลางคืน หมวด ททท. จะแบ่งสถานที่ท่องเที่ยวตามเดือนว่าในแต่ละเดือนนั้นจะมีประเพณีใดบ้าง สถานที่ใด และจังหวัดใด สุดท้ายแซ่บแซ่บ จะเน้นคนที่ชอบเดินทางค้นหาร้านอาหารที่อร่อยตามเส้นทางท่องเที่ยวในแต่ละจังหวัด ท้ายสุดเบอร์โทรฉุกเฉินของแอพพลิเคชั่นจะรวมทุกเบอร์โทรตั้งแต่หน่วยงานรัฐบาล เบอร์โรงพยาบาล เบอร์ธนาคาร เบอร์การขนส่งต่างๆ เบอร์น้ำไฟ เบอร์วิทยุเกี่ยวกับการจราจร เบอร์แหล่งสอบถามข้อมูลต่างๆ และเบอร์สายด่วน เหตุด่วน ฉุกเฉิน โดยสามารถเลือกจังหวัดที่ต้องการค้นหาเบอร์ต่างๆ ได้อีกด้วย ใครไม่ได้ค้นหาข้อมูลก่อนออกเดินทางลองดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นนี้มาก็น่าช่วยให้พร้อมที่จะออกเดินทางได้ทันที
อ่านเพิ่มเติม >ในสังคมดั้งเดิมนั้น มนุษย์ในอดีตรับรู้กันว่า “วัตถุ” มิใช่แค่เพียง “วัตถุ” แต่มนุษย์เราสร้างสรรค์วัตถุต่างๆ ขึ้นมา ก็เพื่อให้วัตถุนั้นถูกใช้เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน เช่น เวลาที่คนๆ หนึ่งมอบของขวัญ ดอกไม้ หรือวัตถุใดๆ ให้กับคนอีกคนหนึ่ง คนสองคนนั้นก็กำลังใช้วัตถุมาผูกโยงใยสายสัมพันธ์ระหว่างกันเอาไว้ และที่สำคัญ วัตถุที่เราบริโภคก็ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะโผล่ขึ้นมาจากสุญญากาศ หากทว่า กว่าที่วัตถุชิ้นหนึ่งจะถูกผลิตออกมาได้นั้น เบื้องหลังการถ่ายทำจะมีชีวิตของมนุษย์ที่ออกแรงกายแรงใจใส่คุณค่าและความหมายมากมายลงไปในวัตถุดังกล่าว ด้วยเหตุฉะนี้ ปุถุชนในยุคก่อนจึงยอมรับกันว่า ในวัตถุนั้นมีมนุษย์และความสัมพันธ์ เพราะฉะนั้น เมื่อคนเราเสพวัตถุใดๆ เราจึงควรมองเห็นคุณค่าที่แนบอยู่ในวัตถุนั้นเป็นพื้นฐานเสมอ แต่มาในปัจจุบัน เมื่อมนุษย์เราสร้างวัตถุอย่าง “เงิน” ขึ้นมาเป็นตัวแทนของการซื้อขายเพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุอื่น การบริโภควัตถุของคนเราก็เริ่มลดทอนมูลค่าเชิงสัญลักษณ์หรือความหมายแบบดั้งเดิมลงไป แต่ได้แทนที่ชีวิตมนุษย์และความสัมพันธ์เอาไว้ด้วยมูลค่าแลกเปลี่ยนของเม็ดเงินที่อยู่ในกระเป๋ามากกว่า การเปลี่ยนผ่านมาตัดสินคุณค่าของวัตถุด้วยมูลค่าแลกเปลี่ยนแบบนี้ สะท้อนให้เห็นผ่าน “การเดินทางของฉันและเธอคือการเรียนรู้” ของชีวิตตัวละครอย่าง “อนาวินทร์” และ “พุดชมพู” พระเอกนางเอกในละครโทรทัศน์แนวโรแมนติกคอมเมดี้เรื่อง “บัลลังก์ดอกไม้” พล็อตละครเปิดฉากเมื่ออนาวินทร์ชายหนุ่มนักเรียนนอกทายาทคนเดียวของ “ปู่เล็ก” มหาเศรษฐีประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เดินทางกลับมาเมืองไทย และเพื่อช่วยเหลือคุณปู่ที่กำลังป่วยดูแลบริหารธุรกิจของตระกูลสัตยารักษ์ แต่เพราะความเย่อหยิ่งของพระเอกหนุ่ม ประกอบกับการมีสถานะเป็นผู้รับมรดกโดยที่มิได้ร่วมลงทุนลงแรงสร้างบริษัทเคียงข้างกับปู่มาตั้งแต่ต้น อนาวินทร์จึงไม่เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์และความสัมพันธ์ใดๆ และใช้อำนาจของรองประธานบริษัทขับไล่คนเก่าคนแก่ที่ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับปู่เล็กมาตั้งแต่ยุคก่อตั้งกิจการที่เริ่มต้นจากศูนย์ เพราะไม่เห็นคุณค่าในคนและสายสัมพันธ์ที่มีมาแต่ดั้งเดิม ปู่เล็กจึงจัดการไล่อนาวินทร์ออกจากบริษัทแทน และในขณะเดียวกัน เพื่อดัดนิสัยเย่อหยิ่งจองหองของเขา ปู่เล็กจึงได้เขียนพินัยกรรมขึ้นมาใหม่ ให้อนาวินทร์ไปทำงานปลูกดอกไม้ในไร่อุ่นรักของพุดชมพูเป็นเวลาหนึ่งปี ก่อนจะมีสิทธิ์ได้รับมรดกและสืบทอดตำแหน่งประธานบริษัทของตระกูล ดังนั้น เมื่อปู่เล็กเสียชีวิตลง อนาวินทร์จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องเดินทางมาที่ไร่อุ่นรักของพุดชมพู เพื่อเรียนรู้ถึงเบื้องหลังการปลูกดอกไม้ ที่ลึกๆ แล้วเขาเองก็ดูถูกว่า ดอกไม้ก็เป็นเพียงแค่ดอกไม้ หรือเป็นเพียงวัตถุอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่มีคุณค่าสารัตถะสำคัญแต่อย่างใด และเพราะ “คาบช้อนเงินช้อนทองมาแต่กำเนิด” อนาวินทร์ผู้รู้จักแต่การใช้เงินซื้อวัตถุ...วัตถุ...และวัตถุ ก็เอาแต่คิดว่าปู่เล็กไม่รักตน เขาจึงดั้นด้นเดินทางไปหาพุดชมพู เพื่อเสนอเงินก้อนโตให้เธอยินยอมล้มเลิกเงื่อนไขที่ปู่เล็กเขียนไว้ในพินัยกรรมเสียเอง แต่ด้วยความรู้สึกหมั่นไส้อนาวินทร์ที่หยิ่งยโสและเชื่อมั่นในอำนาจเงินประหนึ่งพระเจ้าที่เสกสรรทุกอย่างได้ พุดชมพูผู้เข้าใจใน “mission” ของปู่เล็กซึ่งต้องทำให้ “possible” ให้จงได้ จึงเลือกลงมือดัดพฤตินิสัยของชายหนุ่มและให้เขาต้องมาเรียนรู้ว่า ชีวิตบ้านสวนและการปลูกดอกไม้ในไร่อุ่นรักนั้นเป็นเยี่ยงไร เพราะเห็นว่าอนาวินทร์ยังเป็น “ไม้อ่อนซึ่งยังดัดได้ไม่ยากนัก” พุดชมพูจึงเลือกใช้ทั้ง “ไม้แข็ง” และ “ไม้นวม” มาจัดการ โดยเริ่มต้นจาก “ไม้แข็ง” ด้วยการจับอนาวินทร์มัดไว้กับเสาเรือนเพาะชำแล้วเอาน้ำฉีดจนเปียกมะล่อกมะแล่ก ไปจนถึงการเข้าไปบัญชาการรบเป็นประมุขชั่วคราวของตระกูลสัตยารักษ์ และบริหารจัดการการไหลเวียนของเงินในธุรกิจตระกูลแทนเขา จาก “ไม้แข็ง” ก็มาสู่ “ไม้นวม” พุดชมพูก็จับตัวละครพระเอกทายาทมหาเศรษฐีหมื่นล้านมาแปลงโฉมเป็นหนุ่มบ้านไร่ เพื่อให้เรียนรู้ที่จะปลูกดอกไม้ เรียนรู้การใช้ชีวิตแบบคนงานในไร่ และเรียนรู้ที่จะผูกสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีฐานะทุนทางเศรษฐกิจทัดเทียมกับตน ในขณะที่ฉากแรกๆ ของการเป็นคุณหนูบ้านไร่นั้น อนาวินทร์ผู้ยังดื้อแพ่งจะเลือกเอาชนะพุดชมพูด้วยการหว่านเงินในกระเป๋าของเขากว้านซื้อดอกเบญจมาศจากไร่อื่นมาปลูกในแปลงดอกไม้ของตน เพื่อจะพิสูจน์ให้พุดชมพูเห็นถึงพลังศักดานุภาพของเทพเจ้าเงินตราที่สามารถเนรมิตวัตถุอย่างดอกไม้ในแปลงปลูกได้ แต่เพราะศิลปะแห่งการปลูกดอกไม้นั้น ไม่ใช่จะอาศัย “กลศาสตร์” ที่จะโยกวัตถุหรือดอกไม้จากแปลงหนึ่งมาเพาะปลูกในอีกแปลงหนึ่งได้โดยง่าย เนื่องจากดิน น้ำ ศัตรูพืช และเงื่อนไขของการเติบโตในแต่ละบริบทพื้นที่ก็อาจไม่เหมือนกัน อหังการของอนาวินทร์ที่มีต่อเม็ดเงินในกระเป๋าจึงได้ผลลัพธ์ที่กลายเป็นความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ในด้านหนึ่ง เรื่องราวของ “บัลลังก์ดอกไม้” ก็อาจดำเนินไปบนสูตรสำเร็จของเรื่องเล่า ที่ต้องมีตัวละครคนใกล้ชิดพระเอกหนุ่มอย่าง “การันต์” หรือ “ชวกร” ที่ถูกเปิดโปงว่าเป็นตัวร้ายแบบไม่เปิดเผยตนจนกว่าจบเรื่อง หรือสูตรสำเร็จที่ว่า ชะตากรรมของตัวละครพระนางต้องมีผู้ช่วยเคียงข้างอย่าง “ทรงรบ” และ “ช่อม่วง” คอยผลักดันให้ภารกิจต่างๆ ลุล่วงได้ในที่สุด แต่ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อมาถึงฉากจบที่ตัวละครได้เปิดใจกันจนกลายเป็นความรักท่ามกลางทุ่งดอกไม้ พระเอกหนุ่มก็ได้เรียนรู้ด้วยว่า เราอาจจะใช้เงินซื้อดอกไม้มาครอบครองได้ก็จริง แต่กว่าที่ดอกไม้ดอกหนึ่งจะเติบโตและผลิบานออกมาได้นั้น เบื้องหลังต้องผ่านมนุษย์หลายชีวิตที่ใส่แรงกายแรงใจประคบประหงมดูแล แบบที่อนาวินทร์ได้เข้าใจและสารภาพกับพุดชมพูว่า มรดกที่มีค่าที่สุดที่ปู่เล็กทิ้งไว้ให้ ไม่ใช่บริษัทหรือเงินทองแต่อย่างใด หากแต่ความสุขที่แท้จริงนั้น อยู่ที่การได้เห็นคุณค่าในความเป็นมนุษย์และความสัมพันธ์ระหว่างคนเรากับคนอื่นนั่นเอง
อ่านเพิ่มเติม >