ฉบับที่ 202 อุ่นใจกับแอปพลิเคชัน “Fast Track”

เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้รับรู้เรื่องราวของรุ่นน้องคนหนึ่งที่ต้องเสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยอายุเพียงสามสิบปี ซึ่งเป็นช่วงวัยทำงานในสายงานที่กำลังเจริญก้าวหน้าอย่างมาก และเป็นบุคคลที่มีแต่คนรัก รุ่นน้องได้เข้ารักษาตัวด้วยอาการรู้สึกเหนื่อยหอบผิดปกติ การเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้ใช้เวลาเพียง 9 วันเท่านั้น รุ่นน้องก็จากพวกเราไปอย่างสงบด้วยโรคมะเร็ง แม้ว่ารุ่นน้องจะตรวจสุขภาพเป็นประจำ แต่ไม่เคยพบความผิดปกติแต่อย่างใด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้เขียนอยากแบ่งปันให้ผู้อ่านได้ฟังเพื่อเป็นข้อคิดเตือนใจไว้ ว่าโรคภัยไข้เจ็บเป็นสิ่งใกล้ตัว ต้องคอยหมั่นดูแลสุขภาพตนเองตลอดเวลา และควรใส่ใจความผิดปกติของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ต้องถึงขนาดวิตกกังวลจนเกินไปฉบับนี้ผู้เขียนอยากแนะนำแอปพลิเคชันที่คอยให้ความรู้ความเข้าใจและช่วยเหลือกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินต่างๆ เมื่อเกิดสิ่งผิดปกติกับร่างกาย แอปพลิเคชันนี้มีชื่อว่า “Fast Track” เป็นแอปพลิเคชันที่ร่วมมือกันระหว่างกรมการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และกลุ่มวิจัยโรคหลอดเลือดสมองภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มหาวิทยาลัยขอนแก่นภายในแอปพลิเคชันจะแบ่งเป็น 7 หมวด ได้แก่ หมวดที่ 1 เป็นสัญลักษณ์เรียกรถพยาบาล เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินต้องการเรียกรถพยาบาลสามารถคลิกที่สัญลักษณ์นี้ได้ทันที โดยรถพยาบาลจะมาถึงภายใน 15 นาที หมวดที่ 2 เป็นเรื่องการให้ความรู้โรคหลอดเลือดสมอง  หมวดที่ 3 เป็นเรื่องการให้ความรู้โรคหัวใจ  หมวดที่ 4 เป็นเรื่องการให้ความรู้เกี่ยวกับอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โดยภายในหมวดที่ 2 - 4 จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มบทความ ซึ่งเป็นบทความความรู้ที่อธิบายถึงโรคหลอดเลือดสมอง  โรคหัวใจ และอุบัติเหตุและฉุกเฉินโดยผู้เชี่ยวชาญของแต่ละหมวด กลุ่มวิดีโอ ซึ่งเป็นวิดีโอที่เกี่ยวข้องในแต่ละหมวด และกลุ่มแบบประเมินความเสี่ยง โดยในแต่ละหมวดจะมีแบบทดสอบสำหรับประเมินความเสี่ยงเพื่อประมวลผลความเสี่ยงที่จะเกิดโรคเหล่านั้นหมวดที่ 5 เป็นรายชื่อโรงพยาบาลที่แอปพลิเคชันจะคำนวณหาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดในขณะนั้น หรือค้นหาโรงพยาบาลที่ต้องการ โดยมีระยะทาง เบอร์โทรศัพท์สำหรับติดต่อ และแผนที่เพื่อบอกทางไปโรงพยาบาล ต่อไปเป็นหมวดที่ 6 เป็นหมวดหนังสือ เพื่อให้ความรู้โรคต่างๆ และหมวดสุดท้ายคือ หมวดภาพความรู้ เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคผ่านภาพอินโฟกราฟฟิก เพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นนอกจากนี้แอปพลิเคชันยังสามารถกรอกข้อมูลของตนไว้ ตั้งแต่ชื่อนามสกุล เบอร์ติดต่อ ที่อยู่ น้ำหนัก ส่วนสูง อายุ เพศ เบอร์ติดต่อญาติ ประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว ข้อมูลโรงพยาบาลที่เคยรักษา เพื่อเป็นข้อมูลให้กับโรงพยาบาลเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินได้ด้วยอย่างน้อยการมีแอปพลิเคชัน “Fast Track” นี้ไว้บนสมาร์ทโฟนก็ช่วยให้รู้สึกอุ่นใจ ทำให้รู้สึกว่าอยู่ใกล้หมอ เพราะไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเราและคนใกล้ชิดบ้าง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 202 ผลิตภัณฑ์สุขภาพเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

คนทำงานคุ้มครองผู้บริโภค การเฝ้าระวังดูแลผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัยเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา แต่จากประสบการณ์การทำงาน กลับพบว่าในโลกที่การติดต่อสื่อสารถึงกันอย่างรวดเร็ว ผลิตภัณฑ์มหัศจรรย์พันลึกชนิดอึ้ง ทึ่ง เสียว มันกลับผุดขึ้นมามากมาย และที่ประหลาดใจคือ ยังมีผู้บริโภคหลายรายเสียเงินไปซื้อมาใช้ หรือบางรายถึงกับเสียสุขภาพไปก็มี ลองมาดูผลิตภัณฑ์เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไรว่าเคยมีคนใกล้ตัวเราเสียเงินไปซ้อมาใช้บ้างหรือเปล่า“น้ำจากกระบอกไม้ไผ่”  ผลิตโดย ใช้สว่านเจาะเข้าบริเวณปล้อง แล้วใช้หลอดต่อ ทิ้งไว้ 3 – 4 ชั่วโมงจะมีน้ำไหลออกมา แล้วนำไปบรรจุขวด อ้างว่าเป็นน้ำบริสุทธิ์ สามารถขับสารพิษออกจากร่างกาย สลายนิ่ว นอกจากนี้ยังลดเบาหวาน ความดัน ปวดหลัง เอว เกษตรกรหลายรายผลิตกันเป็นล่ำเป็นสัน  ราคาขายขวดละ 20 บาท“น้ำมันจิ้งเหลนตราลิงลมผสมสมุนไพร” ขวดละ 400 บาท โฆษณาว่าเพิ่มขนาดน้องชายใหญ่ยาว 4- 7 นิ้ว ชะลอการหลั่ง บำรุงเลือดให้ไหลเวียนไปยังน้องชายได้ดี มีกลิ่นหอมสมุนไพร ลองตามไปดูในอินเทอร์เน็ตมีทั้งการรีวิว อธิบายวิธีการใช้ และท่าทางจะขายดี จนทางผู้ขายถึงกับต้องออกมาเตือนว่า ขณะนี้มีคนทำของปลอมออกมาจำหน่าย ขอให้ระวังด้วยอย่าคิดว่ามีแต่น้ำมันนวดเท่านั้น ตอนนี้มี “สบู่ชายใหญ่” ออกมาบำรุงใจสุภาพบุรุษอีกชนิด โดยอวดอ้างสรรพคุณชนิดตึ่งโป๊ะว่า แค่ฟอก นวด 3 - 5 นาที ทำให้อวัยวะเพศชายใหญ่ขึ้น มีการแชร์ต่อไปทางอินเทอร์เน็ตต่อๆ กันมากมาย บางเว็บก็บอกโต้งๆ เลยว่า “ฟอกจู๋ เลยค่ะ” ราคาก้อนละ 80 บาทบางผลิตภัณฑ์ก็มีการใช้ชื่อภาษาอังกฤษ ไม่รู้ว่าจงใจเลี่ยงชื่อภาษาไทยหรือเพื่อยกระดับเพื่อให้ดูอินเตอร์ขึ้น เช่น “Hoii Waan” และ “Chu Chan” มองผ่านๆ อาจนึกว่าเป็นผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ แต่พอเห็นข้อความบนฉลากและตามไปดูในเว็บ ก็พบว่า ผลิตภัณฑ์ Hoii Waan หอยหวาน สวยกว่าเก่า สาวกว่าก่อน ฟิตหอมมั่นใจ ผลิตภัณฑ์ Chu Chan ชูชัน ก็คืนพลังความเป็นชาย มั่นใจทุกท่วงท่า เขียนชัดขนาดนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากบางครั้งก็มีชนิดที่ไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยน บอกกันโต้งๆ ไปเลย “ครีมหอยใสไล่ดำ” “เซรั่มหอยชมพูรูผิวฟิต” เป็นผลิตภัณฑ์ที่อิงกระแสเกาหลี ฉลากผสมผสานตัวอักษรเกาหลีเพื่อความน่าเชื่อถือ ส่วนสรรพคุณก็แทบไม่ต้องอธิบายอะไรเลย เข้าใจตรงกันนะครับที่ฮือฮาล่าสุดคือ “สบู่ล้างซวย LANG SUAY SOAO”  มีการโฆษณาว่า เป็นความเชื่อส่วนบุคคล อาบแล้วรวย ใช้แล้วผิวใสเนียน มีชีวิตชีวา ดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล สบู่ล้างซวยผสานพลังงานจากหิน 9 ชนิด เป็นสบู่มงคล ใช้แล้วชีวิตจะดีขึ้น เปลี่ยนร้ายกลายเป็นดี เอากันเข้าไปถึงศรัทธามหานิยมกันไปเลยที่นำมาเล่าในคอลัมน์นี้ไม่ได้ส่งเสริมหรือเชียร์ให้ไปซื้อนะครับ แต่อยากสะท้อนให้เห็นว่าแม้จะมีการเฝ้าระวังตรวจสอบผลิตภัณฑ์อันตรายหรือที่ไม่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็ยังผุดชนิดใหม่ๆ มาเรื่อยๆ  คงต้องอาศัยแรงผู้อ่านและเครือข่ายผู้บริโภคช่วยกันแนะนำคนรอบข้างให้ใช้วิจารณญานที่ดี และหากเจอแหล่งต้นตอ ช่วยแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตามไปตรวจสอบได้เลย แว่วว่าผลิตภัณฑ์หลายชนิดที่กล่าวมาข้างต้น กำลังถูก อย.ดำเนินการ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 202 ซื้อสินค้าทางออนไลน์ ซื้อง่าย แต่ห้ามจ่ายเร็ว

ข้อได้เปรียบของการซื้อสินค้าออนไลน์  1. อยากได้สินค้าสักชิ้น  ไม่รู้ว่าจะหาซื้อได้จากที่ไหน ลองค้นกูเกิลดู รู้เลยว่าที่ไหนมีขายบ้าง ทั้งที่ขายในประเทศและต่างประเทศ 2. มีสินค้าที่ต้องการอยู่ในใจ ลองค้นหาทางออนไลน์ สามารถเปรียบเทียบราคาได้ในเวลาไม่นาน ได้สินค้าที่ราคาคุ้มที่สุด 3. เมื่อเจอสินค้าที่ถูกใจในราคาที่พึงพอใจ ในเวลาดึกดื่นที่ร้านค้าปิดหมดแล้ว จะเดินทางไปซื้อก็ไกล รถติด พรุ่งนี้ก็ทำงานทั้งวัน กังวลว่าไปถึงร้านแล้วสินค้าจะหมด 4. ในการซื้อของทางออนไลน์ ผู้ซื้อมีเวลาพิจารณาไตร่ตรอง ไม่มีความกดดันต่าง ๆ สามารถหาข้อมูลและพิจารณาจากรีวิวหรือความคิดเห็นของผู้ซื้อคนอื่นสรุปคือ ซื้อง่าย จะเห็นว่าการซื้อสินค้าทางออนไลน์นั้นแสนจะสะดวกสบาย สามารถตอบสนองความต้องการค้นหาสินค้าได้ง่าย ประหยัดเวลาที่ต้องเดินทางหาสินค้า ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ได้สินค้าในราคาที่พึงพอใจ ซื้อสินค้าได้ตลอดเวลา ประหยัดเวลา มีความแน่นอนว่าสินค้าไม่หมดสต๊อก ไม่มีความกดดันในการตัดสินใจซื้อ เพราะดิจิทัลได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก ทำให้การซื้อขายสินค้าไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปแบบเดิม ๆ อีกต่อไป แค่เรามีอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตก็สามารถซื้อของได้จากทั่วทุกมุมโลก ส่งผลให้ตลาดการซื้อขายของออนไลน์เจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และนอกจากความสะดวกสบายแล้ว ปัจจัยด้านราคาก็เป็นตัวดึงดูดที่สำคัญ เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่เห็นว่าการซื้อของออนไลน์มักทำให้ได้สินค้าที่มีราคาคุ้มค่ามากขึ้น ดังนั้นการตกลงซื้อจึงมักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ในกระบวนการชำระค่าสินค้าหรือบริการออนไลน์ก็ยังง่ายดายไม่ซับซ้อน เช่น โอนเงินผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารออนไลน์ หรือเพียงกรอกรหัสของบัตรเครดิต/บัตรเดบิตก็ทำให้เราสามารถทำธุรกรรมซื้อขายผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้แล้ว รวมทั้งเรายังสามารถทำธุรกรรมออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วยเหรียญมีสองด้าน ถึงจะง่ายอย่างไร ก็ยังต้องใช้หลักพึงระวังในการซื้อสินค้าทางออนไลน์ เพราะทำให้เสียเงิน เสียประโยชน์กันมานักต่อนักแล้วเช่นกัน  แล้วมีอะไรบ้างที่ต้องระวัง มาดูกัน1. การหลอกลวง โดยผู้ขายตั้งใจมาหลอก ไม่มีสินค้า แต่ล่อลวงให้ผู้ซื้อสินค้าจ่ายเงินค่าสินค้า แล้วไม่จัดส่งสินค้าตามสัญญา2. ได้รับสินค้าที่ไม่ตรงตามข้อสัญญา เช่น สินค้าที่ได้ไม่ตรงตามคำโฆษณาหรือตามที่ตกลงกัน สินค้าปลอม สินค้าชำรุด เกิดอันตรายจากสินค้า การจัดส่งล่าช้า ได้รับสินค้าไม่ทันเวลาที่จะใช้งาน3. การคืนสินค้ามีความยุ่งยาก เช่น ขั้นตอนยุ่งยาก เสียเวลาและค่าใช้จ่าย ได้รับเงินคืนล่าช้า ได้รับเงินคืนไม่เต็มจำนวนหรือไม่ได้รับเงินคืนเพราะทำไม่ถูกขั้นตอนที่ผู้ขายกำหนดไว้ล่วงหน้า หรือไม่ได้รับเงินคืนเพราะผู้ขายปฏิเสธด้วยเหตุผล ข้ออ้างต่าง ๆ4. ความปลอดภัยเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัว 5. อาจถูกผู้ขายฟ้องร้องเพราะไม่พึงพอใจสินค้าและโพสต์ข้อความตำหนิผู้ขายการซื้อของออนไลน์ หรือ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ในปัจจุบัน มีอยู่ 2 แบบ คือ1. ผู้ประกอบการ กับ ผู้บริโภค (Business-to-Consumer : B2C) เป็นรูปแบบที่มีการทำธุรกรรมมากที่สุดและเป็นที่รู้จักมากที่สุด โดยที่ผู้ประกอบการจะจัดช่องทางการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัทเอง เป็นช่องทางการจัดจำหน่ายเพิ่มเติม  เช่น สินค้าของร้านภัทรพัฒน์ที่วางจำหน่ายในร้านค้า 5 สาขาและตัวแทนจำหน่าย ก็มีช่องทางเว็บไซต์  http://www.patpat9.com เพื่อให้ผู้ซื้อสั่งซื้อทางออนไลน์  เป็นการขายโดยตรงระหว่างผู้ประกอบการกับผู้บริโภค2. ผู้บริโภค กับ ผู้บริโภค (Consumer-to-Consumer : C2C) เป็นช่องทางขายผ่านทาง marketplace  เป็นรูปแบบที่เปิดพื้นที่ให้ผู้ใช้งานสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับผู้บริโภคได้โดยอิสระ ซึ่งผู้ให้บริการจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการเก็บค่าใช้บริการบางส่วน ตัวอย่างเว็บไซต์ในต่างประเทศ เช่น eBay.com และในประเทศไทย เช่น kaidee.com / tarad.com นอกจากนี้ยังรวมถึงการขายสินค้าและบริการผ่านทางช่องทางเว็บบอร์ดอื่น ๆ เช่น pantip.com โดยผู้บริโภคและผู้บริโภคติดต่อกันเองเพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า มักเป็นสินค้าราคาถูกหรือเป็นสินค้าที่หาไม่ได้แล้วในท้องตลาดทั่วไปถ้าให้เปรียบเหมือนการซื้อขายในรูปแบบทั่วไป B2C ก็คือการซื้อขายปลีกระหว่างลูกค้ากับร้านค้าของผู้ประกอบการที่น่าเชื่อถือ มักไม่มีปัญหาเรื่องการหลอกลวงเพราะผู้ประกอบการมีตัวตนจริง มีสินค้าจริง มีข้อกำหนดเงื่อนไขและรายละเอียดการสั่งซื้อสินค้าที่ชัดเจน แต่ผู้บริโภคที่จะทำการซื้อขายออนไลน์ในรูปแบบนี้จะต้องระมัดระวังในการอ่านรายละเอียดการสั่งซื้อสินค้าเพราะจะเป็นข้อมูลที่ทางผู้ขายกำหนดเอาไว้ตายตัว เจรจาหรือต่อรองเปลี่ยนแปลงไม่ได้ นอกจากนี้จะต้องคำนึงถึงเงื่อนไขในการเปลี่ยนคืนสินค้ากรณีไม่พึงพอใจสินค้า สินค้าไม่เป็นไปตามรูปภาพ-คำบรรยาย สินค้าชำรุดบกพร่อง ส่วน C2C ก็คือการซื้อขายของตามตลาดนัด หาบเร่แผงลอย หรือตลาดเปิดท้ายขายของ หรือการประกาศขายของตาม classified ในหนังสือพิมพ์ นิตยสารที่ผู้ซื้อผู้ขายได้ติดต่อกันโดยตรง ต่อรองราคากันได้ แต่การเปลี่ยนคืนสินค้า บริการหลังการขายนั้นมีน้อยมาก ทำใจไว้ก่อนได้เลย  คู่มือเพื่อการช้อปปิ้งออนไลน์อย่างปลอดภัยท่องเอาไว้ทุกครั้ง “ซื้อของออนไลน์ ซื้อง่าย อย่าจ่ายเร็ว”!!!1. “อย่าจ่ายเร็ว”!!! จากเหตุเพราะผู้ขายตั้งใจมาหลอก ล่อลวงให้ผู้ซื้อสินค้าจ่ายเงินค่าสินค้าแล้วไม่จัดส่งสินค้าตามสัญญาส่วนมากผู้ขายที่ตั้งใจมาหลอก มักจะประกาศขายสินค้าที่ราคาถูกเกินกว่าราคาตลาดมากเกินไป หรือมักเป็นสินค้าประเภทพรีออเดอร์เพราะผู้ขายไม่มีสินค้าอยู่กับตัวเอง จะประกาศขายก่อนและรอให้มีลูกค้ามาสั่งซื้อสินค้า มักเป็นสินค้าราคาแพง ผู้ขายส่วนใหญ่มักให้ผู้ซื้อโอนเงินส่วนหนึ่งเพื่อเป็นค่ามัดจำไว้ก่อน เพื่อป้องกันการสั่งจองแล้วยกเลิก และผู้ขายบางรายอาจทำหน้าที่เป็นนายหน้าที่คอยประสานงานระหว่างร้านค้ากับผู้ซื้อ ผู้ขายอาจจะไม่ตั้งใจมาหลอก แต่หากมีปัญหาแล้วผู้ขายไม่สามารถหาซื้อสินค้าให้ได้ เมื่อเงินอยู่กับตัวเขาแล้ว คงยากที่จะได้เงินคืนการซื้อสินค้าจากผู้ขายแบบ C2C โดยเฉพาะช่องทางเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม(ไอจี) หรือโพสต์ขายของตามเว็บบอร์ด e-Classified เช่น ห้องต่างๆ ในเว็บไซต์พันทิป ต้องระวังให้มากๆ เพราะเราไม่รู้จักตัวตนของเขา หากมีปัญหาเขาก็ปิดเพจ บล็อกเมสเซนเจอร์ ไอจี ไลน์ เราก็ไม่สามารถติดตามตัวเขาได้เลย แม้บางครั้งผู้ขายจะให้ดูรูปบัตรประชาชน ก็อาจจะเป็นบัตรของใครก็ได้ หากโอนเงินไปแล้วมีปัญหา แม้เราจะมีเลขบัญชีที่สามารถสอบถามธนาคารได้ว่าเจ้าของบัญชีคือใคร แต่จะเอาเงินออกจากบัญชีนั้นทำได้ยากเย็นแสนเข็ญ ธนาคารไม่ยินยอมทำให้ จะไปแจ้งความกับตำรวจก็ลำบาก ดังนั้นตั้งสติก่อนที่เราจะตกลงใจสั่งซื้อและโอนเงิน วิธีที่รอบคอบคือ เราต้องตรวจสอบตัวตนร้านค้าก่อน โดยพิจารณาจากความน่าเชื่อถือ ชื่อ ที่อยู่ หรือช่องทางการติดต่อ ต้องชัดเจน ตรวจสอบประวัติร้านค้า สามารถดูได้จากรีวิวการขายของในเพจหรือเฟซบุ๊ก พิจารณารายละเอียดการซื้อขาย ข้อความที่ผู้ขายคุยกับผู้ซื้อ ร้านค้ามีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา หรือนำชื่อร้านค้า ชื่อผู้ขาย ชื่อบัญชีการโอนเงินชำระสินค้า มาค้นหาใน google.com หรือ pantip.com เพื่อตรวจสอบประวัติและข้อมูลของร้านค้า และที่สำคัญควรสืบค้นข้อมูลการจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการขายตรงกับทาง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) พยายามซื้อจากร้านค้าเปิดเผยตัวตน จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุกิจการค้า ที่ได้รับเครื่องหมาย DBD Registered/ DBD Verified (เครื่องหมาย DBD Registered  คือ เครื่องหมายรับรองการจดทะเบียนพาณิชย์ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าออกให้แก่พาณิชยกิจประเภทพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ได้จดทะเบียนพาณิชย์กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อยืนยันการมีตัวตนอยู่จริงของผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และนิติบุคคล สำหรับเครื่องหมาย DBD Verified คือ เครื่องหมายรับรองความน่าเชื่อถือในการประกอบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีคุณสมบัติ ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อรับรองความน่าเชื่อถือในการประกอบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และแสดงว่าเว็บไซต์นั้นมีคุณภาพผ่านเกณฑ์ประเมินตามมาตรฐานคุณภาพธุรกิจ e-Commerce ของกรมพัฒนาธุกิจการค้า)สรุป ตรวจสอบตัวตนของร้านค้า /  ผู้ขายจดทะเบียนกับสคบ. กรมพัฒนาธุรกิจการค้าและได้รับเครื่องหมาย DBD Registered/ DBD Verified / ราคาไม่ต่ำกว่าราคาทั่วไปอย่างผิดสังเกต2. “อย่าจ่ายเร็ว”!!! เพราะอาจได้รับสินค้าที่ไม่ตรงตามข้อสัญญา สินค้าที่ได้ไม่ตรงตามคำโฆษณาหรือตามที่ตกลงกัน สินค้าปลอม สินค้าชำรุด เกิดอันตรายจากสินค้า การจัดส่งล่าช้า ได้รับสินค้าไม่ทันเวลาที่จะใช้งานก่อนตกลงใจสั่งซื้อ อ่านข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ให้เข้าใจทุกครั้ง ได้แก่ ข้อมูลรายละเอียดของสินค้า ข้อมูลการจัดส่งสินค้า ระยะเวลาในการจัดส่งสินค้า ผู้จัดส่งสินค้า ซึ่งหากผู้ขายให้ข้อมูลที่ไม่ครบ ควรติดต่อสอบถามเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น อีเมล ไลน์ และควรเก็บหลักฐานการสนทนาทุกครั้ง และสำหรับสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพ จะต้องมีเครื่องหมาย อย. จำไว้ว่า ผู้ซื้อมีสิทธิในการยกเลิกการซื้อสินค้าที่เรียกว่า “สิทธิในการเลิกสัญญา” ทั้งในกรณีทั่วไปและในกรณีพิเศษ(withdrawal right หรือ right of withdrawal หรือสิทธิในการยกเลิกสัญญาได้ตามอำเภอใจ) ซึ่งการใช้สิทธินี้บางทีในต่างประเทศจะเรียกว่า “cooling-off period” เพราะการสั่งซื้อของออนไลน์เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการซื้อขายแบบดั้งเดิมที่มีหลักกฎหมายว่า “ผู้ซื้อต้องระวัง!!” โดยผู้ซื้อต้องระวังในการเลือกดูสินค้า พินิจพิเคราะห์ พิจารณาผู้ซื้อมีหน้าที่ที่ต้องระวังก่อนที่จะทำการตกลงซื้อสินค้า แต่การซื้อสินค้าออนไลน์ ผู้ซื้อไม่สามารถพินิจพิเคราะห์ ตรวจสอบสินค้าได้ในขณะซื้อ ผู้ซื้อจึงมีสิทธิดังกล่าว สำหรับระยะเวลาในการใช้สิทธิเลิกสัญญาอาจแตกต่างกันไป(ในสหภาพยุโรปกำหนดไว้ 14 วัน) ดังนั้นก่อนที่ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อ ต้องศึกษาข้อมูลระยะเวลาของการใช้สิทธิในการเลิกสัญญานี้ให้ละเอียด ดังนั้นก่อนซื้อสินค้า ตรวจสอบกันเสียก่อนว่าผู้ขายมีระบบการติดตามตรวจสอบสถานะการจัดส่งสินค้าแบบไหน อย่างไรและผู้ส่งจะให้ข้อมูลรายละเอียดของเลขที่พัสดุแก่เราได้หรือไม่และจะได้เมื่อใด ผู้บริโภคต้องสอบถามผู้ขายเพื่อให้ได้ข้อมูลรายละเอียด ระยะเวลาจัดส่งสินค้า ระยะเวลาในการขนส่ง และข้อกำหนดที่ชัดเจนว่าผู้ขายจะเป็นผู้รับผิดชอบหากสินค้าชำรุดหรือสูญหายในระหว่างการจัดส่งสินค้ามาถึงมือผู้บริโภค และเพื่อให้ทราบข้อมูลรายละเอียด สถานะการจัดส่งสินค้า ผู้ขายจะต้องมีข้อมูลรายละเอียดของการจัดส่งพัสดุให้ผู้บริโภคอย่างเราสามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเอง  นอกจากนี้ควรเลือกการชำระเงินปลายทางเมื่อได้รับสินค้าเพราะมั่นใจได้แน่ว่าได้รับสินค้าแน่ๆ อีกทั้งยังสามารถตรวจดูสินค้าว่าเป็นไปตามที่สั่งซื้อหรือไม่ด้วย เพราะหากไม่ใช่สินค้าตามลักษณะที่เราสั่งซื้อไป เราปฏิเสธไม่รับสินค้าและไม่จ่ายเงินได้สำหรับกรณีจัดส่งสินค้าล่าช้านั้น หากผู้ซื้อติดต่อไปผู้ขายส่วนมากมักจะขอโทษ จากประสบการณ์จริงของผู้เขียนที่ได้สั่งสินค้าจากเว็บไซต์ขายสินค้าที่มีมาตรฐานและได้รับเครื่องหมาย DBD Registered/ DBD Verified ผู้เขียนต้องติดต่อยืนยันและเรียกร้องให้ดำเนินการชดเชยเยียวยาความเสียหาย จึงจะได้รับการชดเชยเยียวยาเป็นคูปองส่วนลดในการสั่งซื้อสินค้าในคราวต่อไป แต่ถ้าผู้เขียนไม่ได้เรียกร้อง ทางผู้ขายก็มักจะเพิกเฉย แต่การซื้อสินค้าจากผู้ขายแบบ C2C ผู้ขายที่ไม่ได้รับเครื่องหมาย DBD Registered/ DBD Verified ผู้ขายอาจจะไม่สนใจที่จะให้เราใช้สิทธิยกเลิกการสั่งซื้อหรือชดเชยเยียวยาในการจัดส่งล่าช้า เราจึงควรเจรจาต่อรอง แจ้งความประสงค์กำหนดวันรับสินค้ากับผู้ขายไว้ก่อนและเก็บหลักฐานข้อตกลงไว้  หากผู้ขายไม่ยินยอม ทางที่ดีเราไม่ควรซื้อ แต่หากเราซื้อไปแล้วโดยไม่มีข้อตกลงนี้ เราควรยืนยันสิทธิของเราโดยเก็บหลักฐานการสั่งซื้อและรายละเอียดต่างๆ ร้องเรียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สคบ. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แต่การดำเนินการในขั้นตอนนี้อาจเสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งอาจจะมากกว่าค่าสินค้าก็ได้ ทางที่ดี “กันไว้ดีกว่าแก้” เลือกซื้อจากผู้ขายที่น่าเชื่อถือและมีข้อกำหนดในการใช้สิทธิยกเลิกการซื้อของเราอย่างชัดเจน และรับผิดชอบในการจัดส่งล่าช้าสรุป อ่านรายละเอียดต่าง ๆ ให้เข้าใจ / มีข้อสงสัยสอบถามเป็นลายลักษณ์อักษรและเก็บหลักฐานไว้ / ซื้อสินค้าที่ยอมให้ยกเลิกหรือคืนสินค้าได้ / มีการจัดส่งเลขพัสดุภัณฑ์หรือเครื่องมือที่สามารถติดตามสถานการณ์จัดส่งสินค้า / เก็บหลักฐานการสั่งซื้อ การสนทนาต่าง ๆ / เลือกซื้อสินค้าที่ให้ชำระเงินปลายทางเมื่อได้รับสินค้า3.  “อย่าจ่ายเร็ว”!!! เพราะการคืนสินค้ามีความยุ่งยากจนผู้ซื้ออาจจะถอดใจแล้วปลอบตัวเองว่า “ถือว่าฟาดเคราะห์ไป” การคืนสินค้าอาจมีขั้นตอนยุ่งยาก เสียเวลาและค่าใช้จ่าย ได้รับเงินคืนล่าช้าหรือได้รับไม่เต็มจำนวน ไม่ได้รับเงินคืนเพราะทำไม่ถูกขั้นตอนที่ผู้ขายกำหนดไว้ล่วงหน้าหรือผู้ขายปฏิเสธด้วยเหตุผล ข้ออ้างต่าง ๆการสั่งซื้อสินค้าแบบชำระเงินปลายทางเมื่อได้รับสินค้าเป็นทางเลือกที่ดีและปลอดภัย แต่ถ้าผู้ขายไม่มีบริการดังกล่าว ผู้ซื้อต้องได้ข้อมูลจากผู้ขายก่อนสั่งซื้อสินค้าว่าสามารถคืนสินค้าได้และผู้ขายจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าจัดส่งสินค้าคืน พร้อมรายละเอียดต่าง ๆ ในการคืนสินค้า เช่น กล่องบรรจุจะต้องอยู่ในสภาพดี (เวลาแกะกล่องจะได้เปิดหีบห่ออย่างระมัดระวัง ไม่ให้ฉีกขาด) ผู้เขียนมีประสบการณ์สั่งซื้อสินค้าจากผู้ขายที่ได้รับเครื่องหมาย DBD Registered/ DBD Verified และพบปัญหาจากการคืนสินค้าเนื่องจากข้อกำหนดที่ยุ่งยากซับซ้อนจน ส่งสินค้าคืนไปใช้เวลาเกือบ 1 เดือนจึงได้รับคำตอบว่าไม่สามารถรับคืนสินค้าได้เพราะบรรจุภัณฑ์อยู่ในสภาพที่ไม่เรียบร้อย ไม่ตรงตามข้อกำหนดสำหรับผู้ขายที่เป็นแบบ C2C ที่ไม่ได้จดทะเบียนกับสคบ.หรือกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและได้รับเครื่องหมาย DBD Registered/ DBD Verified (คล้าย ๆ กับพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอย) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ขายที่ผู้ซื้อต้องระมัดระวังมากๆ มีความเสี่ยงสูง มาตรฐานและวิธีการในการรับเปลี่ยน/คืนสินค้าก็จะแตกต่างกันไป ไม่มีผู้ใดควบคุม การคืนสินค้ากับกลุ่มผู้ขายประเภทนี้มีความยากลำบาก ไม่แน่นอน หากเราส่งสินค้าคืนเขาไปแล้วและไม่ได้รับเงินคืน สินค้าก็ไม่ได้-เงินก็ไม่ได้คืน ต้องติดต่อร้องเรียนตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยยื่นเอกสารหลักฐานต่างๆ ซึ่งทำให้ต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก อาจจะไม่คุ้มกับราคาค่าสินค้าก็ได้ ดังนั้นสอบถามให้แน่ชัด ใช้ความระวัดระวังไว้ให้มาก ๆอีกวิธีการที่อยากแนะนำคือ การชำระเงินผ่านบัตรเครดิต ระหว่างที่ยังไม่ได้ชำระเงินค่าใช้จ่ายตามยอดบัตรเครดิต ผู้ซื้อยังพอมีเวลาที่จะดำเนินการปฏิเสธการจ่ายเงินกับธนาคารเจ้าของบัตรเครดิตได้ โดยต้องทำตามขั้นตอนที่เจ้าของบัตรเครดิตกำหนด เช่น ทำหนังสือบอกกล่าวยกเลิกสัญญาซื้อขายไปยังผู้ขายและส่งเอกสารหลักฐานที่ติดต่อกับผู้ขายให้กับธนาคารเจ้าของบัตรเครดิตเพื่อพิจารณาปฏิเสธการจ่ายเงิน ซึ่งขั้นตอนการดำเนินการจะใช้ระยะเวลาประมาณ 15-30 วัน แม้จะไม่ได้เป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่อย่างน้อยก็ยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ผู้เขียนขอแนะนำสำหรับการคืนสินค้าและรับเงินคืนทางบัตรเครดิต หากเป็นการซื้อสินค้าสกุลเงินต่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินขณะถูกเรียกเก็บเงินและคืนเงินอาจจะไม่เท่ากัน หากเราได้รับเงินคืนเข้าบัญชีบัตรเครดิตในจำนวนเงินไทยบาทที่ไม่กัน เราสามารถดำเนินการขอคืนส่วนต่างโดยติดต่อกับธนาคารเจ้าของบัตรเครดิตสรุป เลือกบริการชำระเงินปลายทางเมื่อได้รับสินค้า / อ่านและตกลงรายละเอียด ขั้นตอนการคืนหรือเปลี่ยนสินค้าให้เข้าใจ / หากชำระราคาก่อนได้รับสินค้าควรเลือกชำระเงินด้วยบัตรเครดิต4.“อย่าจ่ายเร็ว”!!! เพราะอาจโดนล้วงข้อมูลสำคัญส่วนตัว หรือด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัว ก่อนส่งคำสั่งซื้อให้ตรวจดู URL เพราะปัจจุบันการซื้อขายออนไลน์ ส่วนใหญ่จะใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตหรือบัญชีธนาคารออนไลน์ จึงมีเว็บไซต์ที่หลอกลวงหรือทำเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อเลียนแบบจนเราแทบจะไม่ทันสังเกตเห็นความต่างกันเลยก็ว่าได้  หากพลาดไป เว็บไซต์ดังกล่าวอาจนำข้อมูลส่วนตัว รายละเอียดเกี่ยวกับบัญชีธนาคาร บัตรเครดิตไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย ดังนั้นขณะจะทำการสั่งซื้อต้องสังเกต URL หรือชื่อเว็บไซต์โดยละเอียด เพราะจะมีแตกต่างกันบางจุดชื่อ URL ของร้านค้าหรือหน้าเว็บไซต์ที่ใช้ตัดเงินผ่านบัตรเครดิต และให้ตรวจสอบว่าเว็บไซต์ที่เรากำลังใช้ทำธุรกรรมการสั่งซื้อของออนไลน์อยู่นั้น โดยเฉพาะหน้าที่แสดงวิธีการจ่ายเงินให้ตรวจสอบว่าเป็น HTTPS หรือไม่5.“อย่าจ่ายเร็ว”!!! ต้องเก็บหลักฐานการซื้อขาย เงื่อนไขที่ตกลงกัน และหลักฐานการชำระเงิน เพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์ของตนเองซึ่งหากมีปัญหาเกิดขึ้น หากพบปัญหาควรติดต่อไปยังผู้ขายก่อน เพื่อแจ้งให้ทราบและให้ผู้ขายแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นการซื้อผ่านเว็บไซต์(Website) ก็จะมีขั้นตอนและเงื่อนไขในการรับผิดชอบของเว็บไซต์(Website) กำหนดไว้แล้ว สามารถติดต่อไปยังคอลเซ็นเตอร์(Call Center) หรือหมายเลขโทรศัพท์ที่ปรากฏบนหน้าเว็บไซต์(Website) แต่ถ้าเป็นการซื้อผ่านโซเชียลมีเดีย(Social Media) เฟซบุ๊ก(Facebook) อินสตาแกรม(Instagram)  ไลน์ (Line) ต้องติดต่อไปยังผู้ขายซึ่งเป็นการช่วยเหลือตนเองในเบื้องต้นก่อน ถ้าปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไขจนพอใจก็ควรร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่รับเรื่องร้องเรียนโดยนำหลักฐานต่างๆ เช่น ใบสั่งซื้อสินค้า ข้อความสนทนาการซื้อสินค้าระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย ข้อมูลร้านค้า หลักฐานการชำระเงิน รูปถ่ายสินค้า และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มาประกอบคำขอร้องเรียน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็วมาก ยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ การแก้ปัญหาในขั้นตอนนี้จะมีระยะเวลาดำเนินการพอสมควร ผู้เขียนจึงขอแนะนำให้ผู้ซื้อเน้นการป้องกันมากกว่าการแก้ปัญหา ท่องให้จำขึ้นใจทุกครั้งที่ซื้อของออนไลน์ “ซื้อของออนไลน์ ซื้อง่าย อย่าจ่ายเร็ว”!!!----------------------------------หน่วยงานรับเรื่องร้องเรียน  1. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) รับเรื่องร้องเรียน ให้คำแนะนำปรึกษาด้านปัญหาสินค้าและบริการทั่วไปที่เกิดจากการซื้อสินค้าและบริการออนไลน์ การแก้ปัญหากับคู่กรณี และขอความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ มาแก้ปัญหา รวมทั้งให้การช่วยเหลือในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่อยู่ 4/2 ซอยวัฒนโยธิน แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400, เว็บไซต์ (Website) :  www.consumerthai.orgอีเมล (E-mail):  complaint@consumerthai.org, โทรศัพท์ 02-2483734-7, โทรสาร 02-24837332. ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนออนไลน์ 1212 (Online Complaint Center: OCC)  ให้คำแนะนำปรึกษาด้านปัญหาที่เกิดจากการซื้อสินค้าและบริการออนไลน์ เป็นศูนย์กลางประสานความร่วมมือในการรับ-ส่งการแจ้งเบาะแสหรือเรื่องร้องเรียนระหว่างหน่วยงานความร่วมมือ ตลอดจนให้คำแนะนำ คำปรึกษา และประสานไปยังผู้เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาโดยครอบคลุม 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ รวมถึงการกระทำความผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ปัญหาที่เกิดจากการซื้อขายทางออนไลน์ ภัยคุกคามไซเบอร์ ตลอดจนปัญหาทางออนไลน์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องสายด่วน 1212, เว็บไซต์ (Website)  :  http://www.1212occ.com,  โมบาย แอป (Mobile App) :  1212 OCCอีเมล (E-mail): 1212@mict.go.th, โทรสาร : 02-12757893. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มมครองผู้บริโภค (สคบ.) รับเรื่องราวร้องทุกข์จากผู้บริโภคที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายอันเนื่องจากการกระทำของผู้ประกอบธุรกิจ โดยเน้นการคุ้มครองมิให้ผู้ประกอบการโฆษณาเกินจริง ต้องติดฉลากสินค้าอันตรายและสัญญาที่ทำกับลูกค้า หากไม่เป็นธรรม สคบ. มีอำนาจเข้าไปดูแลที่อยู่ อาคารรัฐประศาสนภักดี ชั้น 5 ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10120สายด่วน 1166, เว็บไซต์ (Website) :  http://complain.ocpb.go.th/OCPB_Complainsอีเมล (E-mail):  consumer@ocpb.go.th4. กรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ กำกับดูแลและสอดส่องพฤติกรรมการใช้เครื่องชั่ง ตวง วัด ในการซื้อหรือขายสินค้าอุปโภคให้เกิดความเป็นธรรม การกำหนดราคาสินค้า และรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับราคา ปริมาณสินค้า และความไม่เป็นธรรมทางการค้าที่อยู่ 44/100 ถนนนนทบุรี 1 ตำบลบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรีสายด่วน 1569, เว็บไซต์ (Website) :  http://app-transport.dit.go.th/frontend/index.phpอีเมล (E-mail):  1569@dit.go.th, โทรศัพท์ 02-5076111, โทรสาร 02-54753615. สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รับเรื่องราวร้องทุกข์ปัญหาด้านอาหาร ยา ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และเครื่องสำอาง ไม่ได้มาตรฐาน ผิดมาตรฐาน ไม่ได้รับใบอนุญาต ตลอดจนการโฆษณาส่งเสริมการขายไม่ให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดในสาระสำคัญ ที่อยู่ ตู้ ปณ. 52 ปณจ. นนทบุรี 11000สายด่วน 1556, เว็บไซต์ (Website) :  www.fda.moph.go.th, โมบาย แอป (Mobile App) :  ORYORอีเมล (E-mail):  complain@fda.moph.go.th, โทรศัพท์ 02-5907354-5, โทรสาร 02-5918472

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 202 การฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน คางทูม ทำให้ลูกของเราเป็นออทิสติกจริงหรือ

ในต่างประเทศ มีการต่อต้านการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน คางทูม และวัคซีนอื่นๆ ในเด็ก โดยเฉพาะในสายการแพทย์ทางเลือก เพราะเชื่อว่า จำนวนเด็กออทิสติกที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดจากการฉีดวัคซีนดังกล่าว เนื่องจากในวัคซีนนั้นมีสารปรอท(thimerosal) ซึ่งเป็นตัวการที่ไปทำลายเซลล์สมอง จริงหรือไม่ เรามารู้เท่าทันกันเถอะทำไมต้องใส่สารปรอทในวัคซีน มีการใช้สารปรอทในวัคซีนมาตั้งแต่ ค.ศ. 1930 เพื่อช่วยรักษาความคงทนของวัคซีน  สารปรอทอาจทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดวัคซีนเกิดอาการแพ้ เป็นผื่นแดงและบวมเล็กน้อย  แม้จะไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า สารปรอทในวัคซีนก่อให้เกิดอันตราย แต่ในปี ค.ศ. 1999 หน่วยงานด้านการแพทย์แห่งชาติของอเมริกา สถาบันด้านเด็ก และโรงงานการผลิตวัคซีน ก็เห็นพ้องกันที่จะลดหรือไม่ใช้เพื่อความปลอดภัย สารปรอทนั้นพบได้ในธรรมชาติ ในดิน อากาศ และน้ำ สารปรอทที่มนุษย์สัมผัสเป็นประจำ ได้แก่ ปรอทเมทิล กับปรอทเอทิล  ปรอทเมทิลนั้นพบได้ในปลาบางชนิด ถ้าร่างกายกินปลาที่มีปรอท ร่างกายจะสะสมปรอทในปริมาณสูง จนเป็นพิษต่อร่างกาย ส่วนปรอทเอทิลนั้น ถูกขับออกจากร่างกายได้ง่าย จึงไม่ค่อยก่ออันตรายให้มนุษย์ สารปรอทในวัคซีนนั้นช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และเชื้อราในวัคซีน  เมื่อสารปรอทเข้าสู่ร่างกาย จะถูกเปลี่ยนเป็นปรอทเอทิลและขับออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว จึงไม่มีการสะสมจนมีระดับสูงที่เป็นอันตรายต่อร่างกายงานวิจัยจำนวนมากเกี่ยวกับวัคซีนกับการเกิดออทิสซึมในเด็ก จากความกังวลเรื่องสารปรอทในวัคซีนและจำนวนเด็กออทิสติกที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีงานวิจัยและการทบทวนงานวิจัยจำนวนมากเกี่ยวกับเรื่องนี้  เราอาจสรุปงานวิจัยและการทบทวนได้ ดังนี้1. ในวารสาร “วัคซีน” ฉบับ 32 วันที่ 17 มิ.ย. 2014 น. 3263-3629 ได้ตีพิมพ์รายงานการทบทวนเอกสารงานวิจัยใน MEDLINE, PubMed, EMBASE, Google Scholar จนถึงเดือนเมษายน ค.ศ. 2014  ได้ทำวิเคราะห์อภิมาณ การศึกษาแบบเหตุไปหาผล (Cohort study) 5 รายงาน ครอบคลุมเด็กจำนวน 1,256,407 ราย และการศึกษาแบบมีกลุ่มควบคุม 5 รายงาน  สรุปผลได้ว่า การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หัด หัดเยอรมัน คางทูมนั้น ไม่มีผลต่อการเกิดออทิสซึมในเด็ก  รวมทั้งสารปรอทและวัคซีนไม่สัมพันธ์กับการเกิดออทิสซึมและอาการที่เกี่ยวพันกับออทิสซึม2. การทบทวนเอกสารจำนวน 139 รายงานของนักวิจัย ห้องสมุดคอเครน เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน คางทูม ในเด็ก พบว่า วัคซีนช่วยป้องกันเด็กจากการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน พบการเกิดเลือดออกใต้ผิวหนัง อาการของหัด หัดเยอรมัน คางทูมน้อยมาก  ไม่พบหลักฐานว่าวัคซีนมีส่วนทำให้เกิดออทิสซึม3. วารสาร “Pedriatics” ฉบับเดือนกันยายน ค.ศ. 2004  พบว่า ไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างวัคซีนที่มีสารปรอท (thimerosal) กับการเกิดออทิสซึม4. ยังมีรายงานการวิจัยอีกมากที่สรุปยืนยันว่า วัคซีนดังกล่าวไม่มีผลต่อการเกิดออทิสซึมสรุป คุณพ่อคุณแม่คงสบายใจได้แล้วว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน คางทูม ให้กับลูกหลานนั้น ไม่ทำให้เกิดออทิสซึมอย่างแน่นอน  เด็กออทิสติกที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นเพราะสาเหตุอื่น 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 202 ใช้สิ่งของวางกันที่ไม่ให้ผู้อื่นจอดรถหน้าบ้านที่เป็นทางสาธารณะ ทำได้หรือไม่

ในฉบับนี้ ผมก็มีเรื่องน่าสนใจ เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ในที่ทางสาธารณะ ซึ่งบางครั้งอาจไปกระทบกับบ้านใกล้เรือนเคียง ที่เราจะพบเห็นกันบ่อยๆ จนเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันนั้น ส่วนใหญ่ก็คือเรื่องของที่จอดรถ  หลายคนมักใช้ที่หรือทางสาธารณะในการจอดรถหรือเป็นทางเข้าออก ซึ่งบางครั้งเราก็ต้องระมัดระวัง เพราะพื้นที่ดังกล่าวคือ “ทางสาธารณะ” ไม่ใช่พื้นที่ส่วนบุคคล ใครๆ ก็มีสิทธิมาใช้ได้ทั้งนั้น อย่างเช่นในคดีที่จะยกตัวอย่างนี้ เป็นเรื่องที่จำเลยเอากระถางต้นไม้มาวางหน้าบ้านตนเอง ในระยะแนวร่นอาคาร 1 เมตร แล้วจอดรถบนทางสาธารณะ ทำให้คนอื่นได้รับความเดือดร้อน เพราะไม่สามารถจอดรถในถนนส่วนที่เหลือได้ ศาลจึงมองว่าการกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิเกินส่วน ทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8293/2559คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8293/2559การใช้ถนนสาธารณะเป็นที่จอดรถ หากไม่มีข้อห้ามตามกฎหมายเป็นอย่างอื่น เจ้าของที่ดินที่มีอาคารติดกับถนนสาธารณะ ก็อาจใช้ทางสาธารณะเป็นที่จอดรถของตนได้ แต่จะต้องคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะเป็นหลักก่อน โดยต้องเว้นทางสำหรับรถยนต์ให้เข้าออกได้เป็นลำดับแรก แล้วเจ้าของอาคารทั้งสองฝั่งถนนรวมถึงบุคคลทั่วไปจึงจะมีสิทธิใช้ทางส่วนที่เหลือเป็นที่จอดรถบนหลักของความเสมอภาค โดยไม่จำต้องคำนึงว่าใครจะเป็นผู้มาใช้สิทธิจอดรถก่อนหลังกัน การที่จำเลยทั้งสี่ใช้พื้นที่ถนนสาธารณะ ซึ่งมีความกว้างเพียง 4 เมตร จอดรถของตนทั้งคันในลักษณะหวงกันการใช้ประโยชน์ของผู้อื่น ทั้ง ๆ ที่ควรจะใช้แนวร่นอาคาร 1 เมตร ที่อยู่ติดกับถนนสาธารณะดังกล่าวของตนประกอบการจอดรถด้วย แต่กลับใช้เป็นที่วางกระถางต้นไม้ ซึ่งมิใช่เหตุจำเป็นที่จะใช้แนวร่นอาคารเพื่อการนั้น ย่อมเป็นการกระทำที่เกินสิทธิของตนและคำนึงถึงประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว โดยไม่คำนึงถึงสิทธิในการใช้ทางสาธารณประโยชน์ของผู้อื่นที่มีอยู่ร่วมกัน เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนเกินควร ไม่สามารถใช้พื้นที่ถนนส่วนที่เหลือในการจอดรถของตนได้ จึงรับฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสี่ เป็นการใช้สิทธิ ซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นอันมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นการกระทำละเมิด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 และมาตรา 421 และถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิขอบังคับให้จำเลยทั้งสี่จอดรถในแนวร่นอาคารอันเป็นแดนกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสี่ได้คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 624/2544บริษัท ม. จัดสรรพื้นคอนกรีตบนที่ว่างด้านหน้าอาคารของโจทก์และจำเลย รวมตลอดถึงด้านหน้าที่ดินที่จัดสรรทุกแปลงเป็นทางสำหรับให้บุคคลที่ซื้อบ้านที่บริษัท ม. ได้จัดสรรขายใช้เข้าออกสู่ถนนพหลโยธินได้ การที่จำเลยให้พนักงานของจำเลยและลูกค้าที่มาติดต่อกับจำเลยใช้และนำกระถางต้นไม้วางบนพื้นที่ไปจนถึงทางเท้าริมถนนพหลโยธินเป็นเหตุให้โจทก์ไม่อาจใช้พื้นที่เข้าออกได้ แม้เป็นการชั่วคราวแต่ก็เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่ให้เกิดเสียหายแก่โจทก์อันเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 421 และยังเป็นการใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรตามมาตรา 1337 อีกด้วย โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไปได้ดังนั้นกล่าวโดยสรุปคือ “ทางสาธารณะ” เป็นพื้นที่ที่ให้ทุกคนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน และเป็นพื้นที่ซึ่งมีไว้เพื่อวัตถุประสงค์ในการทำประโยชน์สาธารณะ เมื่อเราจะใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวก็ต้องคิดให้รอบคอบว่าจะทำให้ผู้อื่นที่จะใช้พื้นที่นั้นเกิดความเดือดร้อนหรือไม่ อย่างในตัวอย่างข้างต้นนี้ เอากระถางต้นไม้มาวาง ทำให้คนอื่นจอดรถหน้าบ้านตนเองไม่ได้ เขาเดือดร้อนก็มาฟ้องศาลให้รื้อ หรือย้ายกระถางและให้จอดรถในพื้นที่แนวร่นอาคารซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลได้ 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 202 รากนครา : เบ้าหลอมจิตสำนึกแห่งชาติบ้านเมือง

จิตสำนึกของบุคคลที่มีต่อสังคมนั้น ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็โผล่ขึ้นมาจากกระบอกไม้ไผ่หรือจากสุญญากาศ หากแต่เกิดจากการหล่อหลอมขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่แตกต่างกันไปของแต่ละบุคคลในแต่ละสังคม และถ้าเงื่อนไขมีที่มาต่างกันแล้ว การก่อตัวของจิตสำนึกทางสังคมที่คนแต่ละคนมีอยู่ก็คงแตกต่างกันตามไปด้วย และไม่เพียงเท่านั้น เมื่อเงื่อนไขทางสังคมทำหน้าที่ไม่ต่างจากเบ้าหลอมที่ก่อรูปก่อร่างจิตสำนึกของบุคคลแล้ว หากเบ้าหลอมดังกล่าวเปลี่ยน จิตสำนึกของผู้คนก็เปลี่ยนแปลงไปได้เช่นกัน ตัวอย่างภาพแห่งการหลอมหล่อจิตสำนึกแบบนี้ ปรากฏอยู่ในละครโทรทัศน์ “รากนครา” กับภาพสะท้อนชีวิตและจิตสำนึกแห่งชาติบ้านเมืองของตัวละครอย่าง “แม้นเมือง” บุตรสาวที่ทั้งสวยและเฉลียวฉลาดของ “เจ้าหลวงแสนอินทะ” เจ้าผู้ครองนครเมืองเชียงเงิน ในท่ามกลางบรรยากาศที่ลัทธิการล่าเมืองขึ้นของชาติตะวันตกเป็นภัยคุกคามอาณาจักรบ้านพี่เมืองน้องทั้งหลายในดินแดนแถบล้านนาเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ชีวิตของแม้นเมืองก็มีเหตุต้องโคจรมาอยู่ในวังวนความสัมพันธ์กับตัวละครอีกสามคน ที่มีระบบคิดและจิตสำนึกแตกต่างกันไปคนละทิศคนละทาง เริ่มต้นจากตัวละครแรกคือพี่ชายของแม้นเมืองเอง หรือ “หน่อเมือง” ตัวอย่างของชายผู้สะท้อนให้เห็นจิตสำนึกที่ไม่เพียงแต่เป็นความรักในแผ่นดินบ้านเมือง หากแต่ยังเป็นความรักชาติแบบ “ชาตินิยมที่สุดขั้ว” จนสามารถนำไปสู่โศกนาฏกรรมได้ในตอนท้ายเรื่อง เพราะถูกหล่อหลอมความคิดมาจากทั้งเจ้าหลวงแสนอินทะผู้เป็นบิดา และมี role model เป็น “เจ้าอุปราชสิงห์คำ” ผู้มีศักดิ์เป็นอา หน่อเมืองจึงบ่มเพาะจิตสำนึกรักชาติแบบสุดโต่ง จนบางนัยก็ดูไม่ต่างจากเป็นพวก “คลั่งชาติคลั่งบ้านเมือง” ซึ่งยึดมั่นในความคิดที่ว่า “จงอย่าถามเลยว่า ชาติบ้านเมืองจะมอบอะไรให้กับเรา แต่จงถามตัวเองว่า เราจะทำอะไรให้แก่ชาติบ้านเมืองบ้าง” โดยไม่สนใจต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกรอบตัวแต่อย่างใด ตัวละครถัดมาก็คือ พระเอกของเรื่องหรือ “ศุขวงศ์” บุตรชายของ “เจ้าราชบุตรศุษิระ” แห่งนครเชียงพระคำ แม้ว่าศุขวงศ์จะมีสำนึกรักแผ่นดินบ้านเกิด แต่เขาก็คิดต่างออกไปจากหน่อเมืองว่า ท่ามกลางคลื่นพายุของลัทธิอาณานิคมที่ซัดกระหน่ำถาโถมอยู่นั้น ชาติบ้านเมืองมิอาจคงอยู่โดยไม่ปรับตัวไปตามความเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้เลย เนื่องจากเบ้าหลอมความคิดของศุขวงศ์มาจากการที่เขาได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตอยู่ที่สิงคโปร์หลายปี และเคยรับราชการในราชสำนักสยาม ศุขวงศ์จึงเห็นโลกที่กว้างออกไปกว่าแค่กำแพงนครเชียงพระคำบ้านเกิด และทางเดียวที่เขาเชื่อว่าจะทำให้ดินแดนล้านนาอยู่รอดจากการเป็นเมืองขึ้นได้ ก็ต้องปรับตัวและอาศัยการพึ่งบารมีของสยามเพื่อคานอำนาจของชาติจักรวรรดินิยม ส่วนตัวละครสุดท้ายก็คือน้องสาวของแม้นเมือง หรือ “มิ่งหล้า” ที่มีวิธีคิดแตกต่างไปจากบรรดาพี่ๆ โดยสิ้นเชิง เพราะเธอถูกอบรมสั่งสอนมาจาก “เจ้านางข่ายคำ” ผู้เป็นมารดา ที่ทั้งทะเยอทะยานและต้องการให้บุตรสาวเป็นอันดับหนึ่งเดียวของดินแดนล้านนา แม้จะมีสำนึกรักชาติและแผ่นดินแบบที่บิดาปลูกฝังมาให้ แต่มิ่งหล้าก็กลับมีโลกทัศน์ที่ต่างจากหน่อเมืองออกไปว่า “จงอย่าถามเพียงแค่ว่าเราจะทำอะไรให้กับชาติบ้านเมือง แต่จงถามด้วยว่าชาติบ้านเมืองพึงจะทำอะไรให้กับเราบ้าง”  ดังนั้น เมื่อมิ่งหล้าที่ต่อสู้เพื่อหัวใจอันมีจิตปฏิพัทธ์ต่อศุขวงศ์แต่กลับถูกบิดาส่งตัวไปถวายตัวเป็นนางสนมของ “กษัตริย์เมืองมัณฑ์” ด้านหนึ่งมิ่งหล้าก็จำใจทำเพื่อบ้านเมืองที่จะผูกสัมพันธ์ระหว่างเชียงเงินกับเมืองมัณฑ์ แต่อีกด้านหนึ่ง เธอก็ทะยานอยากที่จะขึ้นเป็นเจ้านางหลวงแข่งบารมีกับ “เจ้านางปัทมสุดา” ด้วยเหตุผลว่า ถ้าทำเพื่อชาติบ้านเมืองแล้ว เธอก็ควรจะได้อำนาจยศศักดิ์เป็นราคาตอบแทน โดยไม่สนใจว่านั่นจะทำให้เธอต้องทุกข์ทรมานจนเกือบปางตายในตอนจบก็ตาม ชะตากรรมของตัวละครทั้งสามที่ผูกโยงเอาไว้รอบตัวของแม้นเมืองนี้เอง เป็นประหนึ่งเงื่อนไขที่ทำให้แม้นเมืองได้ก่อรูปก่อร่างจิตสำนึกทางสังคมที่มีต่อชาติบ้านเมืองขึ้นมา เนื่องจากเติบโตมาในขอบขัณฑ์ของเชียงเงินที่บิดากล่อมเกลามาตั้งแต่วัยเยาว์ แม้นเมืองจึงมีสำนึกรักชาติบ้านเมืองอย่างเข้มข้น พลันที่เธอได้พบเจอรู้จักกับ “มิสเตอร์จอห์น แบร็กกิ้น” ที่เป็นคนอังกฤษผิวขาวหรือเป็นพวก “กุลาขาว” แม้นเมืองก็แสดงออกถึงอาการกระอักกระอ่วนที่ต้องมาสังเสวนากับคนต่างเผ่าต่างถิ่นอย่างเห็นได้ชัด แต่เพราะเธอเองก็แตกต่างจากพี่ชาย ด้วยเป็นหญิงที่รักการอ่านหนังสือเป็นอาจิณ แม้นเมืองจึงมิได้คลั่งชาติคลั่งแผ่นดินหรือเชื่อว่าเชียงเงินเป็นศูนย์กลางของโลกและจักรวาล และยิ่งเมื่อเธอได้แต่งงานมาใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงพระคำ โลกที่กว้างขึ้นกว่าแค่ตัวหนังสือ ก็ยิ่งทำให้แม้นเมืองค่อยๆ เห็นว่า โลกที่กว้างใหญ่นั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และเราเองก็มิอาจหลีกเลี่ยงต่อความเปลี่ยนแปลงไปได้เลย เพราะเบ้าหลอมที่ก่อตัวขึ้นมาผสมผสานกับประสบการณ์ที่สัมผัสกับความเปลี่ยนแปลงจริงๆ ของโลกรอบตัว เมื่อแม้นเมืองต้องมายืนอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งของจิตสำนึกต่อบ้านเมืองที่ต่างกันของคนสามคน เธอจึงเหมือนอยู่ในภาวะที่ “คราวนี้ทำใจลำบาก” เพราะถูกชักเย่อระหว่างขั้วประจุความคิดที่ลากกันอยู่ไปมาบนทางสามแพร่ง ดังคำพูดในฉากท้ายเรื่องกับน้องสาวก่อนที่แม้นเมืองจะตัดสินใจยอมรับความตายแทนศุขวงศ์สามีผู้เป็นที่รักว่า “ถ้ามองด้วยเหตุผลส่วนตัว ข้างหนึ่งก็คือพ่อ พี่ บ้านเมือง ภาระหน้าที่ ความเชื่อ และความหวังทั้งหมดที่เคยมีเคยหล่อหลอมตัวตนความคิดของเรา...และอีกฝั่งหนึ่งก็คือผู้ชายคนเดียวในชีวิตที่รักเขา...แต่เป็นเพราะโลกของพี่กว้างขึ้น มีความจริงใหม่ๆ ให้พี่ได้เรียนรู้ และมีความเปลี่ยนแปลงมากมายให้พี่ได้พบ พี่ก็มีทางออกที่จะขออุทิศชีวิตเพื่อชดใช้ให้ทุกเรื่องและทุกคน” หาก “รากนครา” เป็นเสมือนภาพจำลองของสำนึกแห่งชาติบ้านเมืองที่อยู่ในท่ามกลางแรงกระหน่ำจากความเปลี่ยนแปลงภายนอก และหากเราต้องมายืนเป็นตัวละครแม้นเมืองที่อยู่ท่ามกลางขั้วความคิดที่แตกต่างและความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว คำถามก็คือ ปัจเจกบุคคลอย่างเราๆ จะหลอม “ราก” ก่อตัวจิตสำนึกแห่งชาติและ “นครา” กันขึ้นมาเยี่ยงไร

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 202 “ย้ายค่ายใช้เบอร์เดิมไม่ได้ เพราะติดสัญญาส่วนลดค่าเครื่อง” บริษัทมือถือ อ้างอย่างนี้ก็ได้เหรอ ??

มหกรรมช้อปช่วยห้าง เอ๊ย !! ไม่ใช่ ช้อปช่วยชาติ ประจำปี 2560 นี้ หลายคนตัดสินใจควักกระเป๋า เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ เพราะค่ายมือถือทุกค่าย จัดโปรโมชั่นลดราคา ค่าเครื่อง Smart Phone หลายรุ่น และโปรโมชั่นที่ HOT HIT ก็คือ ซื้อโทรศัพท์พร้อมสมัครใช้งานแพ็กเกจรายเดือน จะสามารถซื้อโทรศัพท์ได้ในราคาถูกกว่าซื้อเครื่องเปล่า ๆ  โดยมีเงื่อนไขให้ลูกค้าจะต้องใช้บริการรายเดือนประมาณ 6 – 24 เดือน แล้วแต่โปรโมชั่น  ดูแล้วโปรโมชั่นแบบนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะโทรศัพท์ซื้อมาแล้วยังไงก็ต้องใช้บริการ ไม่ใช่ซื้อมาตั้งเฉยๆ ใช่ไหมครับ หลายคนคงคิดอย่างนี้ แต่ปัญหาดันมาเกิดตรงที่ บางคนซื้อโทรศัพท์มาแล้วใช้งานไม่ได้ เพราะคุณภาพสัญญาณไม่ดี ต่อเน็ตก็ไม่ได้ ติดๆ หลุดๆ เสียงก็ขาดๆ หายๆ เพราะตอนซื้อมัวแต่สนใจเรื่องส่วนลดค่าเครื่อง ลืมตรวจสอบว่าบ้านเราอยู่ในพื้นที่ให้บริการรึเปล่า พอแจ้ง Call Center ก็ได้คำตอบว่า คนเยอะ หนาแน่น ก็ต้องแบ่ง ๆ กันใช้ ส่วนการเข้ามาติดตั้งอุปกรณ์ ปรับปรุงคุณภาพสัญญาณเมื่อไรนั้น ก็ให้คำตอบที่ชัดเจนไม่ได้เพราะเป็นเรื่องนโยบายลงทุนของบริษัท จบ  เจอปัญหาแบบนี้ แล้วจะเอาโทรศัพท์ตั้งไว้เฉยๆ จ่ายค่าบริการรายเดือนไปเรื่อยๆ ก็ใช่ที่ “โทรศัพท์ดี แต่สัญญาณห่วย ก็ย้ายค่ายสิครับ จะรออะไร” ลูกค้าหลายคน จึงติดต่อขอย้ายเลขหมายไปใช้ค่ายอื่น เผื่อสัญญาณจะดีกว่า แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาก็คือ “ให้ย้ายค่าย ใช้เบอร์เดิมไม่ได้ เพราะติดเงื่อนไขส่วนลดค่าเครื่องที่ต้องใช้บริการให้ครบตามสัญญา ถ้าไม่ปฏิบัติตามสัญญาจะต้องเสียค่าปรับอีกต่างหาก” ข้ออ้างแบบนี้ ฟังขึ้นหรือไม่   ตามประกาศ กทช. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 ข้อ 32 กำหนดว่า ผู้ใช้บริการมีสิทธิเลิกสัญญาในเวลาใดก็ได้ด้วยการบอกกล่าวเป็นหนังสือให้แก่ผู้ให้บริการทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าห้าวันทำการ และ ข้อ 15 ได้ห้ามผู้ให้บริการกำหนดเงื่อนไขอันก่อให้เกิดภาระ ห้ามเรียกเก็บค่าปรับ หรือค่าเสียหาย จากการที่ผู้ใช้บริการยกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนด ปัญหาในทำนองนี้ ก็เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ยุคที่บริษัทอินเทอร์เน็ตแข่งกันทำตลาด แจก Modem Router แลกกับการผูกสัญญาให้ต้องใช้บริการ 1 -2 ปี ฟังดูคุ้น ๆ ไหมครับ ที่ผ่านมา กสทช. ก็ได้เคยพิจารณาเรื่องร้องเรียนในลักษณะนี้ว่า ผู้ใช้บริการมีสิทธิยกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนด และบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตไม่สามารถคิดค่าปรับในกรณีนี้ได้ สิ่งที่แตกต่างกัน ก็คือ เดิมบริษัทผู้ให้บริการจะเอาเงื่อนไขการรับโทรศัพท์ เครื่องอุปกรณ์ ต่างๆ เขียนรวมกันไว้ในสัญญาใช้บริการฉบับเดียว แต่เมื่อ กสทช. มีแนววินิจฉัยเรื่องร้องเรียนชัดเจนแล้วว่า ตามกฎหมาย สัญญาใช้บริการโทรคมนาคม(ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ต หรือ โทรศัพท์พื้นฐาน มือถือ ก็ตาม) ห้ามมีข้อกำหนดเรื่องค่าปรับ ค่าเสียหาย ถ้าผู้บริโภคยกเลิกสัญญาก่อนกำหนด ในกรณีที่มีการแจกเครื่องฟรี หรือ ขายให้ในราคาถูก หลังจากนั้น บริษัทก็เลยไม่เขียนเรื่องค่าปรับ หรือเงื่อนไขว่าต้องใช้บริการนานเท่าไร ไว้ในสัญญาใช้บริการโทรคมนาคม แต่แยกเงื่อนไขเรื่องเครื่องฟรี เรื่องส่วนลดราคาพิเศษออกมาเป็นสัญญาอีกฉบับหนึ่ง   การแก้เกมหนีการกำกับ ดูแลของ กสทช. โดยแยกสัญญาออกไปแบบนี้ ว่ากันตามตัวบทกฎหมาย สัญญา หรือ ข้อตกลงเรื่องส่วนลดค่าเครื่อง ค่าอุปกรณ์นี้ ก็ไม่ใช่สัญญาบริการโทรคมนาคม จึงไม่อยู่ในอำนาจกำกับดูแล ควบคุมของ กสทช. ถือว่า เป็นเรื่องทางแพ่งที่คู่สัญญาจะไปตกลงเงื่อนไขกันเองตามความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย  แล้วบริษัทมือถือจะเอาเรื่องอยู่ไม่ครบสัญญาและไม่จ่ายค่าปรับ นี้เป็นเหตุปฏิเสธไม่ให้ผู้บริโภคย้ายค่ายไปใช้บริการค่ายอื่น เพราะถือว่ายังมีหนี้ค้างชำระ ได้หรือไม่  ตามข้อ 17 ของประกาศ กทช. เรื่อง หลักเกณฑ์บริการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ และข้อ 4.9  ของเงื่อนไขแนวทางปฏิบัติการโอนย้ายผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ให้บริการตามประกาศ กทช. เรื่อง หลักเกณฑ์บริการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เหตุหนึ่งที่ผู้ให้บริการจะปฏิเสธมิให้ย้ายค่าย ก็คือ ลูกค้ามีค่าบริการค้างชำระ ดังนั้น สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อมาก็คือ การไม่จ่ายค่าปรับกรณีอยู่ไม่ครบสัญญานั้น ถือว่าเป็นการค้างชำระค่าบริการหรือไม่ ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัวผมแล้ว ก็เห็นว่า ค่าปรับกรณีนี้ เป็นคนละเรื่องกับหนี้ค่าบริการโทรคมนาคม จึงไม่เข้าเงื่อนไขที่จะปฏิเสธการโอนย้ายเครือข่าย บริษัทต้องยอมให้ลูกค้าย้ายเครือข่ายไปใช้บริการค่ายอื่น แต่ก็ยังมีสิทธิฟ้องร้องเรียกให้ผู้ใช้บริการมาชำระค่าปรับตามสัญญาทางแพ่ง ส่วนฟ้องแล้ว ศาลจะพิจารณาว่าข้อกำหนดเรื่องค่าปรับนี้ เข้าข่ายข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ หรือจะให้จ่ายค่าปรับจำนวนเท่าไร ก็เป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากันในศาล แต่ไม่ใช่กรณีที่บริษัทจะถือเอาเป็นเหตุว่า “อยู่ไม่ครบสัญญาและไม่ยอมจ่ายค่าปรับ จึงไม่ให้ย้ายค่าย”  แต่ถ้าจะว่ากันแบบ “แฟร์ แฟร์” ส่วนลดค่าเครื่องที่บริษัทเขาให้มาเพื่อชวนเรามาใช้บริการ ถ้าเราอยู่ไม่ครบตามสัญญา ก็สมควรจะต้องคืนบริษัทเขาไปตามส่วนจึงจะเป็นธรรมกับทุกฝ่าย 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 202 คิดหน้าคิดหลังกับ “โคคิวเท็น”

ผู้เขียนมีอาการปวดกล้ามเนื้อที่น่องค่อนข้างบ่อยในระยะ 5-6 ปีมานี้ พยายามหาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือถึงสาเหตุก็หาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ เพราะมักอธิบายแบบกว้างๆ ตรงกับอาการบ้างไม่ตรงบ้าง จึงเข้าใจเอาเองในขั้นต้นว่า เป็นไปตามอายุที่เพิ่มขึ้นหรือเป็นผลข้างเคียงของการใช้ยาปรับความดันโลหิต ชนิดที่มีผลต่อการทำงานของแคลเซียมที่กล้ามเนื้อ ทั้งนี้เพราะอาการนี้เกิดหลังเริ่มกินยา ผู้เขียนจึงลองเพิ่มการกินอาหารที่มีแร่ธาตุมากขึ้นโดยเฉพาะ แคลเซียมและแมกนีเซียม นอกจากกินอาหารที่มีแร่ธาตุมากขึ้นแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดหนึ่งที่มีผู้แนะนำและหยิบยื่นให้ลองกินฟรี โดยใช้พื้นความรู้ว่า ตะคริวนั้นอาจเกิดเนื่องจากการออกกำลังกายประจำวันของผู้เขียน สินค้านั้นคือ โคคิวเท็น ซึ่งเป็นสารชีวเคมีที่ผู้เขียนไม่ค่อยศรัทธาว่ากินแล้วได้ผล เพราะข้อมูลจากงานวิจัยที่เคยอ่านและจากตำราที่เคยเรียนชวนให้มีความสงสัยว่า โคคิวเท็นที่กินเข้าไปนั้นสามารถเข้าไปสู่เซลล์ต่างๆ ของร่างกายเพื่อทำงานได้จริงหรือไม่อะไรคือ โคคิวเท็นโคคิวเท็นนั้นเป็นสารชีวเคมีที่เราสร้างขึ้นมาใช้เอง(จากองค์ประกอบต่างๆ ในอาหาร จึงไม่น่าเรียกว่า วิตามิน) โดยหน้าที่หลักของโคคิวเท็นคือ เป็นองค์ประกอบสำคัญในการเคลื่อนย้ายอิเล็คตรอนในระบบการสร้างสารให้พลังงานสูงในเซลล์เรียกว่า เอทีพี (ATP ย่อมาจาก adenosine triphosphate) ซึ่งเมื่อใดที่เซลล์ของร่างกายต้องการสร้างสารชีวเคมีใดๆ พลังงานที่ใช้สร้างจะมาจากการสลายสารเอทีพีมีผู้ตั้งคำถามว่า เราต้องการโคคิวเท็นสักเท่าไร ร่างกายจึงจะปรกติสุข คำตอบนั้นควรเป็นในลักษณะว่า ความต้องการสารชีวเคมีใดๆ ของร่างกายแต่ละบุคคลนั้นไม่เหมือนกัน ปัจจัยหนึ่งคือ สภาวะแวดล้อมของแต่ละคน ซึ่งมีการดำเนินชีวิตต่างกันไป เช่น มนุษย์เงินเดือนนั่งทำงานในห้องปรับอากาศ ย่อมต้องการสารเอทีพีเพื่อให้พลังงานต่างไปจากนักกีฬาอาชีพที่ต้องออกแรงให้ได้เหงื่อทุกวัน ดังนั้นปริมาณโคคิวเท็นที่กล้ามเนื้อของคนที่มีกิจกรรมในแต่ละวันที่ต่างกันก็น่าจะต่างกันไปด้วยแต่คำถามซึ่งเป็นประเด็นสำคัญเกี่ยวกับโคคิวเท็นคือ สารชีวเคมีนี้มีสัมฤทธิผลต่อร่างกายในการสร้างเอทีพีแก่ร่างกายมนุษย์หรือไม่เมื่อกินเข้าไป ผู้เขียนพบข้อมูลจากเว็บในอินเทอร์เน็ตของหน่วยงานที่คิดว่าเชื่อถือได้แน่คือ NIH หรือ National Institute of Health ของสหรัฐอเมริกาซึ่งกล่าวว่า โคคิวเท็นนั้นดูจะมีประโยชน์ในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ แม้ว่ายังไม่มีผลสรุปที่ชัดเจนนักในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม NIH ไม่ได้กล่าวถึงประโยชน์ของโคคิวเท็นในคนที่มีสุขภาพปรกติแต่อย่างใดนอกจากเรื่องของประโยชน์ของโคคิวเท็นแล้ว NIH ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของสารชีวเคมีนี้ว่า ผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพในคนที่เป็นชิ้นเป็นอันมักกล่าวว่า โคคิวเท็นนั้นมีผลข้างเคียงที่ผู้(จำต้อง) บริโภคต้องทนบางประการ โดยมีรายงานว่า ผู้บริโภคบางคนนอนไม่หลับ ระดับเอ็นซัมบางชนิดในตับสูงขึ้น มีผื่นแดงที่ผิวหนัง คลื่นไส้ ปวดตอนบนของหน้าท้องเวียนหัว แพ้แสง ปวดหัว มีอาการกรดไหลย้อน และอ่อนเพลีย อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ NIH เตือนว่า สตรีมีครรภ์ไม่ควรกินโคคิวเท็นตลอดไปจนถึงช่วงกำลังให้นมลูก และที่สำคัญห้ามลืมคือ ใครก็ตามที่ต้องกินยาชื่อ วอร์ฟาริน ซึ่งใช้บำบัดอาการเลือดข้นนั้น ถ้ากินโคคิวเท็นเข้าไปยานี้จะมีฤทธิ์ลดลงจนไม่เกิดผลเหตุที่โคคิวเท็นเป็นประเด็นที่น่าสนใจในปัจจุบันเพราะ ราคาแพง อีกทั้งมีข้อมูลว่า กินเข้าไปแล้วดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเพื่อนำไปใช้งานค่อนข้างยาก ดังที่นายแพทย์ Julian Whitaker กล่าวไว้ในบทความชื่อ Choosing the right CoQ10 Supplement ว่า การกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดนี้จำเป็นต้องกินในรูปแบบที่พอดูดซึมได้บ้างคือ Ubiquinol (อ่าน ยู-บิ-ควิ-นอล) ไม่ใช่ ubiquinone (อ่าน ยู-บิ-ควิ-โนน) ซึ่งถูกดูดซึมยากมาก บทความนี้หาอ่านได้ที่ www.drwhitaker.com/choosing-the-right-coq10-supplement โคคิวเท็นนั้นในความเป็นจริงมีพี่น้องหลายตัว เพราะเป็นสารชีวเคมีหนึ่งในตระกูลที่เรียกว่า โคเอ็นซัมคิว(Coenzyme Q) คำว่า เท็นหรือสิบ นั้นเป็นการระบุ จำนวนของหน่วย isoprenyl ซึ่งเป็นหน่วยไฮโดรคาร์บอนที่ประกอบกันเป็นหางของโมเลกุลของสารชีวเคมีชนิดนี้ด้วยจำนวนที่มีมากถึง 10 หน่วยของ isoprenyl ของโคคิวเท็นนั้น ได้ส่งผลทำให้สารชีวเคมีนี้มีความสามารถในการละลายน้ำค่อนข้างน้อย จึงทำให้โคคิวเท็นกระจายตัวในลำไส้เล็ก ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นน้ำเพื่อการถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายยากมาก จำเป็นต้องทำให้โคคิวเท็นอยู่รูปที่ผ่านเข้าสู่เซลล์ของลำไส้เล็กด้วยกรรมวิธีขั้นสูง ดังนั้นราคาของโคคิวเท็นจึงต่างกันไปตามยี่ห้อที่ใช้เทคนิคเฉพาะตัวที่ต่างคิดค้นเอง ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตได้ให้ความรู้โดยรวมว่า การดูดซึมของโคคิวเท็นนั้นอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2-3 เท่านั้น  เมื่อศึกษาในหนูทดลอง รายละเอียดเกี่ยวกับการศึกษาในมนุษย์ (ซึ่งก็ดูไม่ต่างไปจากการศึกษาในหนู) นั้นสามารถหาอ่านได้จากบทความชื่อ Coenzyme Q10: Absorption, tissue uptake, metabolism and pharmacokinetics. ตีพิมพ์ในวารสาร Free Radical Research หน้าที่ 445–453 ของชุดที่ 40(5) ฉบับประจำเดือนพฤษภาคม ปี 2006 สำหรับพฤติกรรมของโคคิวเท็นนอกเหนือจากการทำงานในไมโตคอนเดรียแล้ว โคคิวเท็นเป็นสารต้านการออกซิเดชั่นที่ช่วยทำให้การทำงานของเซลล์เป็นไปอย่างที่ควรเป็น มีรายงานว่าโคคิวเท็นนั้นช่วยทำให้สารต้านออกซิเดชั่นอื่นเช่น วิตามินอีที่ถูกใช้งานแล้วในการกำจัดอนุมูลอิสระในเซลล์กลับฟื้นคืนมาทำงานได้เหมือนเดิม ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับโคคิวเท็นคือ การใช้ในคนทั้งที่เป็นโรคเกิดจากความบกพร่องทางพันธุกรรมทำให้มีโคคิวเท็นในระดับต่ำ และในคนที่มีความต้องการสูงแต่ได้ไม่พอจากกินจากอาหาร เพราะแม้ว่าโคคิวเท็นมีในปลา เนื้อสัตว์และธัญพืช แต่ก็มีอยู่ในระดับที่จัดว่าต่ำ จึงทำให้หลังกินอาหารดังกล่าวแล้วอาจไม่สามารถเติมในส่วนที่พร่องไปของร่างกายNIH กล่าวว่า การเสริมโคคิวเท็นนั้นน่าจะมีประโยชน์บ้างในคนไข้ที่เกี่ยวกับโรคหัวใจและเส้นเลือด อาการเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อที่เกิดจากผลของยาบางชนิด ความผิดปรกติในระบบสืบพันธุ์ และอีกหลายอาการ อย่างไรก็ดีงานวิจัยในเรื่องดังกล่าวนี้ยังไม่ชัดเจนพอ จนยากที่จะสรุปผลที่แท้จริงปัจจุบันมีรายงานเกี่ยวกับโคคิวเท็นที่สรุปว่า โคคิวเท็นมีประโยชน์ต่อคนไข้อาการหัวใจผิดปรกติ โดยคนไข้มักดีขึ้น(แต่คงไม่เท่าเมื่อมีสภาพปรกติก่อนป่วย) โดยรายงานนี้เป็นการศึกษาแบบ meta-analysis หรือการวิเคราะห์อภิมาน ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับผลของการศึกษาอื่นที่อยู่ในกรอบงานเดียวกันว่ามีผลไปในทางเดียวกันหรือไม่ โดยงานวิจัยในช่วงปี 2007-2009 ให้ผลออกมาว่า สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเกี่ยวกับหัวใจเมื่อได้รับโคคิวเท็นพร้อมกับสารอาหารอื่นๆ แล้วดูว่าจะมีอาการดีกว่าผู้ที่ถูกผ่าตัดเช่นเดียวกันแต่ไม่ได้รับสารนี้ ส่วนการกินโคคิวเท็นในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงนั้น ดูแล้วผลไม่มีอะไรดีขึ้นกว่าเดิมนักหากแต่มีประเด็นที่น่าสนใจอีกอย่างคือ มีผู้พยายามใช้โคคิวเท็นแก้ปัญหาเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ ซึ่งพบว่า ในผู้ชายนั้นคุณภาพของอสุจิดูดีขึ้น(เข้าใจว่าเป็นการเทียบกันในกลุ่มผู้ที่บ่มิไก๊ด้วยกัน) แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปว่า การเปลี่ยนแปลงที่ว่าดีขึ้นนั้นช่วยในการแก้ปัญหามีบุตรยากหรือไม่ ดังนั้นในปัจจุบัน (2017) NIH ได้มีการให้ทุนเพื่อศึกษาผลของโคคิวเท็นต่อการบำบัดอาการกล้ามเนื้ออ่อนล้าของผู้ได้รับยาสตาติน ภาวะเจริญพันธุ์ของสตรีสูงอายุ และผลในการบำบัดมะเร็งเต้านม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 202 กระแสต่างประเทศ

เร็วทันใจคุณภาพของบริการโทรคมนาคมในฟิลิปปินส์นั้นถือว่าแย่มาก คนของเขาเป็นกลุ่มผู้ใช้โซเชียลมีเดียมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ความเร็วอินเทอร์เน็ตที่นี่กลับต่ำที่สุดในโซนเอเชียแปซิฟิก(ประมาณ 5.5 Mbps) ว่ากันว่าสาเหตุที่ช้า ค่าบริการแพง และการบริการไม่ได้คุณภาพนั้นก็เพราะมีผู้ประกอบการเพียง 2 รายได้แก่ PLDT และ Globe Telecom ซึ่งมีเสาสัญญาณรวมกัน 15,000 แห่ง คนฟิลิปปินส์จึงมีเฮ เมื่อได้ข่าวว่า China Telecom จากประเทศจีนจะเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ ข่าวบอกว่าประธานาธิบดีดูเตอร์เต้ ออกปากเชิญบริษัทนี้ด้วยตัวเองเมื่อตอนที่ไปเยือนประเทศจีนในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และเขายังออกคำสั่งให้หน่วยงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาต  ดำเนินการ ให้เสร็จสิ้นภายใน 7 วันเอาเป็นว่า China Telecom จะเริ่มให้บริการได้เลยในไตรมาสแรกของปี 2018 ... เร็วดีไหมล่ะ อย่างนี้ก็ได้เหรออินเดียประกาศห้ามใช้ยาเส้นหรือยาสูบแบบเคี้ยวมาตั้งแต่ปี 2013 เพราะถือเป็นความผิดตามกฎหมายความปลอดภัยและมาตรฐานอาหารที่ระบุว่า อาหารจะต้องไม่มีส่วนผสมที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย(เช่น ยาสูบ และนิโคติน)แต่ละปีอินเดียมีผู้ชาย 85,000 คน ผู้หญิง 34,000 คนเสียชีวิตจากมะเร็งช่องปากและคอหอย ร้อยละ 90 ของกรณีเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับการใช้ยาสูบแต่ดูเหมือนจะไม่มีใครใส่ใจ เพราะยาเส้นที่ว่านี้ยังคงหาซื้อได้ง่ายในขนาดพอคำตามแผงข้างถนนในราคาซองละ 2 ถึง 5 บาท แถมยังมีให้เลือกหลายสูตร หลายรสชาติ ทั้งๆ ที่มีการห้ามผลิตและห้ามขาย ธุรกิจนี้กลับทำรายได้มหาศาล ค่าย Manikchand ที่ผู้ก่อตั้งเพิ่งจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งช่องปาก มีรายได้ปีละประมาณ 80,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และนี่ไม่ใช่ผู้เล่นรายเดียวเสียด้วย รวมกันเราแย่ศาลสูงสุดของนิวซีแลนด์ยืนยันไม่อนุญาตให้สองยักษ์ใหญ่วงการสื่อควบรวมกิจการกัน เพราะสัดส่วนการถือครองสื่อขนาดนั้นจะมีผลต่อคุณภาพความเป็นประชาธิปไตยของประเทศNZME(เจ้าของหนังสือพิมพ์ New Zealand Herald สถานีวิทยุและหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นสองฉบับ) อ้างว่าต้องการควบรวมกิจการกับ Fairfax Media(เจ้าของ Stuff เว็บไซต์ที่มีคนอ่านมากที่สุด และหนังสือพิมพ์รายวันอีกสามฉบับ) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับ facebook และ Google News รวมถึงบรรดา “ข่าวหลอกให้คลิก” ที่มีอยู่ทั่วไปในหน้าเว็บรวมๆ แล้วสองค่ายนี้เป็นเจ้าของสื่อประมาณร้อยละ 90 ศาลท่านยืนยันว่าอนุญาตไม่ได้จริงๆ เพราะมันจะทำให้การถ่วงดุลระหว่างสื่อใหญ่สองเจ้าหายไป NZME และ Fairfax มีผู้อ่านรวมกัน 3.7 ล้านคน ในขณะที่นิวซีแลนด์มีประชากร 4.7 ล้านคน  มาเฟียไส้กรอกบริษัทผู้ผลิตไส้กรอก 4 รายในเยอรมนีรวมตัวกันฟ้องต่อศาลขอไม่จ่ายค่าปรับที่สำนักงานกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าเรียกเก็บ 22.6 ล้านยูโร (ประมาณ 870 ล้านบาท)สำนักงานฯ ได้ข่าวว่ามีการฮั้วราคาผลิตภัณฑ์ไส้กรอกในระหว่างผู้ผลิตเพื่อที่จะขายให้กับบรรดาร้านค้าปลีกในราคาที่สูงเกินจริง และพบว่า “กลุ่มแอตแลนติก” (เรียกตามชื่อโรงแรมที่นัดคุยกัน) ร่วมกันโก่งราคาผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์มาตั้งแต่ช่วงปี 80  ปี 2014 สำนักงานฯ สั่งปรับบริษัท 22 แห่ง และบุคคล 33 คน รวมเป็นเงิน 338 ล้านยูโร  (ประมาณ 13,000  ล้านบาท) ในจำนวนนี้มีเพียง 11 บริษัทที่ยอมจ่ายค่าปรับแต่โดยดี อีกเจ็ดบริษัทรอดไปได้โดยอาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย(บริษัทแม่ไม่ต้องรับผิดชอบค่าปรับของ บริษัทลูก หากบริษัทลูกเลิกกิจการไปแล้ว) รัฐจึงขาดรายได้ไป 240 ล้านยูโร อีกสี่บริษัทยังยื้ออยู่จนถึงวันนี้ หากศาลตัดสินว่าผิดจริงกลุ่มนี้จะโดนค่าปรับหนักกว่าเดิม   ไม่รับคนนอกปีนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 34  สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลที่  ต้องการให้มีผู้มาเยือนไม่ต่ำกว่าปีละ 40 ล้านคนภายใน 2020 ที่ญี่ปุ่นจะเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก  เมื่อมีคนมาเยอะขึ้น ธุรกิจการให้เช่าห้อง/บ้านผ่านแอปพลิเคชันจึงเข้ามาตอบโจทย์ การให้เช่าแบบนี้เป็นสิ่งที่ทำได้หากแจ้งต่อหน่วยงานรัฐ มันสร้างรายได้ให้กับคนท้องถิ่นมากกว่าการให้เช่าแบบเดิมๆ เกือบห้าเท่า ดูแล้วน่าจะพอใจกันทุกฝ่ายแต่ผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมหลายแห่งในย่านฮิต เช่น บริเวณรอบอ่าวโตเกียว ได้เรียกร้องให้ทางอาคารออกกฎห้ามผู้อยู่อาศัยปล่อยเช่าห้องให้กับนักท่องเที่ยว ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและความเป็นระเบียบ หน่วยงานท้องถิ่นระบุว่ามีคอนโดฯ จำนวนมากมาแจ้งขอเปลี่ยนกฎ จนต้องตั้งโต๊ะรับเรื่องนี้โดยเฉพาะ  นิติบุคคลอาคารก็ต้องเข้าไปดูเว็บไซต์จองที่พักเป็นระยะเพื่อให้แน่ใจว่า ห้องที่อยู่ภายใต้การดูแลของตัวเองไม่ถูกนำไปเสนอขาย 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 202 ความร่วมมือกับความปลอดภัยรถรับส่งนักเรียน

วันที่ 6 – 7 ธันวาคมที่ผ่านมา มีงานใหญ่ที่รัฐบาลโดยศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจัดขึ้นทุกสองปี นั่นคือ งานสัมมนาระดับชาติ เรื่อง ความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 13 ที่ครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวความคิด “ลงทุนเพื่อความปลอดภัยทางถนนที่ยั่งยืน” ภายในงานมีหัวข้อเสวนาที่น่าสนใจหลายอย่าง แต่ที่อยากจะมาบอกกล่าวกันในวันนี้ คือ ห้องย่อยที่ 3 ยานพาหนะปลอดภัย ในหัวข้อหลัก “ทิศทางและบทเรียนการจัดการปัญหารถรับส่งนักเรียนในระดับพื้นที่” การเสวนาในวันนั้นเป็นการนำเสนอรูปแบบและวิธีการจัดการปัญหารถรับส่งนักเรียนจากหลายภาคส่วน เพื่อหาข้อสรุปที่นำไปสู่การสนับสนุนให้เกิดความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม ทั้งเรื่องการจัดการความปลอดภัยและมาตรฐานรถที่จะนำมารับส่งนักเรียน เพราะที่ผ่านมาทุกคนต่างรับรู้และเห็นถึงปัญหารถรับส่งนักเรียนกันอย่างดีแล้วว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยหน่วยงานใดเพียงหน่วยงานเดียว เหตุเพราะปัญหารถรับส่งนักเรียนนั้นมีความซับซ้อนมากกว่าแค่เรื่องสภาพรถ ที่ส่วนใหญ่เป็นรถที่ไม่ปลอดภัย และไม่เหมาะในการนำมาวิ่งให้บริการรถรับส่งนักเรียน ซึ่งพอจะสรุปได้เป็นสี่ประเด็นหลัก ดังนี้ ประการที่หนึ่ง ระบบขนส่งสาธารณะที่ล้มเหลว ซึ่งรองรับได้แค่กรุงเทพมหานครและตัวเมืองชั้นในของจังหวัดใหญ่เท่านั้น ทำให้การเดินทางไปโรงเรียนของเด็กมีความยากลำบากเพิ่มขึ้น ประการที่สอง นโยบายการศึกษาที่ยุบโรงเรียนเล็กไปรวมกันหรือการให้โรงเรียนระดับท้องถิ่นเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนดังส่งผลเกิดค่านิยมในการเรียนโรงเรียนใหญ่ที่จะทำให้เด็กมีการศึกษาที่ดีขึ้น ทำให้เด็กต้องเดินทางไกลขึ้นจากเดิมเพื่อไปเรียนให้ได้ ประการที่สาม ทัศนคติของครูอาจารย์ที่ยังไม่เห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นที่จะต้องมีระบบจัดการรถรับส่งนักเรียนและคิดว่าเป็นภาระที่เพิ่มเติมนอกเหนือจากงานที่มีอยู่ และประการที่สี่ ความไม่ใส่ใจในความเสี่ยงที่ไม่ปลอดภัยของเด็กนักเรียน การไม่มีทางเลือกที่เพียงพอในการนำพาเด็กไปสู่โรงเรียนด้วยความปลอดภัย และความไม่พร้อมทางฐานะการเงินที่จะจัดหารถที่ปลอดภัยสำหรับบุตรหลานเพื่อไปโรงเรียนได้ ขณะที่เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคกำลังพยายามช่วยเหลือและจัดการรถรับส่งนักเรียนให้ปลอดภัย ด้วยการทำข้อมูลในระดับพื้นที่และสร้างระบบการจัดการ โดยการขับเคลื่อนให้โรงเรียนหรือสถานศึกษาเป็นจุดจัดการ ด้วยการมีส่วนร่วมของครู นักเรียน ผู้ปกครอง คนขับรถรับส่งนักเรียน องค์กรผู้บริโภค และหน่วยงานท้องถิ่นในการร่วมกันสนับสนุนและจัดการระบบรถรับส่งนักเรียนที่ปลอดภัยขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการในระยะแรกไปแล้วในพื้นที่ 32 จังหวัด จังหวัดละ 1 โรงเรียน แต่หน่วยงานหลักด้านนโยบายอย่างกรมการขนส่งทางบกและกระทรวงศึกษาธิการ กลับยังไม่มีบทบาทที่ชัดเจนในการแสดงออกว่าจะร่วมมือกันจัดการปัญหารถรับส่งนักเรียนที่มีอยู่อย่างไร ที่ผ่านมามีเพียงกรมการขนส่งทางบกที่ได้ออกมาตรการกำกับดูแลรถรับส่งนักเรียน โดยกำหนดให้ประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 ที่นั่ง(รย.2) หรือรถที่มีป้ายทะเบียนพื้นสีขาวตัวหนังสือสีฟ้า นำมาจดทะเบียนเป็นรถรับส่งนักเรียนได้ แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่า ยังมีรถรับส่งนักเรียนที่วิ่งรับส่งทั่วประเทศอีกจำนวนมากที่ไม่ใช่รถตามที่กฎหมายอนุญาตให้นำมาจดทะเบียนเป็นรถรับส่งนักเรียน ยังไม่รวมถึงมาตรการบังคับข้ออื่นๆ ที่ผู้ประกอบการรถรับส่งนักเรียนไม่สนใจทำตาม ส่งผลให้กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้ได้ ซ้ำยังเป็นการสร้างความยากลำบากให้กับเจ้าหน้าที่ ที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะหากเจ้าหน้าที่เข้มงวดกวดขันบังคับตามกฎหมาย รถรับส่งนักเรียนที่ผิดกฎหมายหลายคันจะต้องหยุดวิ่ง ผลคือเด็กจำนวนมากจะไม่สามารถเดินทางไปโรงเรียนได้ มันก็จะคล้ายๆ จับเด็กเป็นตัวประกัน เจ้าหน้าที่ก็ไม่กล้าทำอะไร… ส่วนกระทรวงศึกษาและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีหน้าที่ดูแลโรงเรียนและเด็กนักเรียนทั่วประเทศ ยังคงนิ่งสงบและไม่มีบทบาทที่ชัดเจนในการออกมาตรการดูแลในส่วนนี้ ทั้งที่บางโรงเรียนในสังกัดต้องการคำสั่งในการจัดการรถรับส่งนักเรียน เพราะเห็นว่าการจะทำภารกิจใดๆ ที่นอกเหนือจากงานที่มีอยู่ต้องมีคำสั่ง หากไม่มีคำสั่งก็จะไม่ทำ เพราะไม่มีการบังคับจะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ แต่จากบทสรุปของ ห้องย่อยยานพาหนะประเด็นรถรับส่งนักเรียน ในเวทีงานสัมมนาระดับชาตินั้น แม้จะยังไม่ได้คำตอบที่ชัดว่า การจัดการที่ถูกต้องเหมาะสมจะต้องทำกันแบบไหน แต่อย่างน้อยประเด็นการให้โรงเรียนเป็นจุดจัดการที่ทุกฝ่ายร่วมสนับสนุนเพื่อให้เกิดระบบรถรับส่งนักเรียนที่ปลอดภัยก็เป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่ายที่เห็นชอบร่วมกัน รวมถึงประเด็นสำคัญที่ถือว่าเป็นก้าวแรกของการมีส่วนร่วมที่ดีและเป็นสัญญาประชาคมจาก คุณโรจนะ กฤตเจริญ ที่ปรึกษาเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในการรับข้อเสนอแนวทางการมีส่วนร่วมไปเสนอผู้บริหาร เพื่อเป็นเจ้าภาพตั้งคณะทำงานจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ นักวิชาการและเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรฐานการจัดการรถรับส่งนักเรียนให้มีความปลอดภัย ถึงแม้ว่าจะเหมือนเห็นแสงสว่างเล็กๆ ที่ปลายอุโมงค์ แต่เราต้องมีความหวัง และพร้อมที่จะติดตามผลการจัดตั้งคณะทำงานนี้ และร่วมกันผลักดันมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อให้รถรับส่งนักเรียนมีมาตรฐานความปลอดภัย ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อลูกหลานของเราทุกคน… 

อ่านเพิ่มเติม >