ฉลาดซื้อฉบับที่ 205 ผลิตภัณฑ์ของฝาก-ของดี จาก 4 ภาค "น้ำพริกหนุ่ม น้ำปลาร้า แกงไตปลาแห้ง และโรตีสายไหม"

สารกันบูด ในน้ำพริกหนุ่ม และ แกงไตปลาแห้งฉลาดซื้อฉบับนี้ เราจะพาไปขึ้นเหนือล่องใต้ ออกอีสานและแวะเที่ยวภาคกลาง ด้วยเรื่องราวของ ของฝากสี่ภาค โดยฉลาดซื้อ โครงการเฝ้าระวังสินค้าและบริการ เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ และเครือข่ายผู้บริโภคทั้งสี่ภาค  เก็บตัวอย่างสินค้า 4 ชนิด ซึ่งจัดเป็นของฝากยอดนิยม มาทดสอบเพื่อเป็นการเฝ้าระวังด้านความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค ขอประเดิมด้วย ผลทดสอบของฝากยอดนิยมจากภาคเหนือ อย่าง “น้ำพริกหนุ่ม” ซึ่งนิยมรับประทานคู่กับแคบหมู เพราะมีรสชาติที่ไม่เผ็ดมากนัก(ลำแต้ๆ เจ้า) และ “แกงไตปลาแห้ง” จากภาคใต้ที่ออกรสชาติเค็มและเผ็ดร้อน เหมาะรับประทานเคียงกับผัก(หรอยจังฮู้) โดยปัจจุบันน้ำพริกทั้งสองชนิดนี้ มักถูกวางจำหน่ายไปยังศูนย์โอทอปหรือศูนย์ของฝากทั่วประเทศ ทำให้ผู้ผลิตหลายรายนิยมใช้วัตถุกันเสีย หรือสารกันบูดมาช่วยถนอมอาหาร เพื่อทำให้สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานขึ้น ซึ่งแม้กฎหมายไม่ได้ห้ามการใส่สารดังกล่าว แต่ก็กำหนดให้ใส่อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม คือ ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตามเกณฑ์มาตรฐานของโคเด็กซ์ (CODEX) ที่กำหนดไว้ในหมวดอาหารประเภทน้ำพริกแบบแห้งและน้ำพริกแบบเปียก เพราะการใช้วัตถุกันเสียที่มากเกินไป สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภคที่รับประทานเป็นประจำได้ เช่น ทำให้ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน หรือเกิดการสะสมในร่างกายและก่อให้เกิดเป็นพิษเรื้อรังในอนาคต เครือข่ายผู้บริโภคภาคเหนือ ได้สุ่มเก็บตัวอย่างน้ำพริกหนุ่มพร้อมบริโภค จากจังหวัดต่างๆ แถบภาคเหนือ และเครือข่ายผู้บริโภคภาคใต้ สุ่มเก็บตัวอย่างแกงไตปลาแห้งพร้อมบริโภค จากจังหวัดต่างๆ ในภาคใต้ เป็นจำนวนภาคละ 10 ยี่ห้อ (เก็บตัวอย่างระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 61) ซึ่งมีการวางจำหน่ายตามท้องตลาดหรือร้านของฝากทั่วไป เพื่อทดสอบหาปริมาณสารกันบูด (กรดเบนโซอิกและซอร์บิก) โดยผลการทดสอบจะเป็นอย่างไรนั้น ไปดูกันเลยสรุปผลการทดสอบ - น้ำพริกหนุ่ม จากตัวอย่างน้ำพริกหนุ่มที่นำมาทดสอบทั้งหมด จำนวน 10 ยี่ห้อ พบว่า ทุกตัวอย่างมีสารกันบูดหรือกรดเบนโซอิกตกค้าง โดยมีน้ำพริกหนุ่ม 4 ยี่ห้อ ที่มีปริมาณกรดเบนโซอิกสูงเกินกว่าที่มาตรฐานโคเด็กซ์กำหนด คือ ไม่เกิน 1,000 มก./อาหาร 1 กก. ได้แก่1. แม่ถนอม มีปริมาณกรดเบนโซอิกมากที่สุด คือ 3476.46 มก./กก. 2. ป้านวย มีปริมาณกรดเบนโซอิก 1195.06 มก./กก.3. ศุภลักษณ์(รสเผ็ดมาก) มีปริมาณกรดเบนโซอิก 1122.06 มก./กก. และ4. น้ำพริก มารศรี(สูตรดั้งเดิม) มีปริมาณกรดเบนโซอิก 1043.80 มก./กก. อีก 6 ตัวอย่าง ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน  ปลอดภัยในการบริโภค  โดยน้ำพริกหนุ่มยี่ห้อ เรือนไทยขนมไทย พบปริมาณกรดเบนโซอิกน้อยที่สุด คือ 217.73 มก./กก.สารกันบูด แกงไตปลาแห้งจากตัวอย่างแกงไตปลาแห้งที่นำมาทดสอบทั้งหมดจำนวน 10 ยี่ห้อ พบว่า- มี 3 ยี่ห้อ ที่ไม่พบสารกันบูดหรือกรดเบนโซอิกตกค้างเลย ได้แก่ 1. คุณแม่จู้ 2. วังรายา และ 3. วิน (Win) - มี 2 ยี่ห้อ พบกรดเบนโซอิก แต่ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน ได้แก่ แม่รุ่ง และ เจ๊น้อง - มี 5 ยี่ห้อ ที่พบสารกันบูด (กรดเบนโซอิก/ ซอร์บิก) ตกค้างเกินกว่าที่มาตรฐานโคเด็กซ์กำหนด คือพบได้สูงสุดไม่เกิน 1,000 มก./ อาหาร 1 กก. ได้แก่1. ป้าสุ มีปริมาณกรดเบนโซอิกและซอร์บิก คือ 1318.32 มก./กก. และ 978.88 มก./กก. ตามลำดับ 2. ชนิดา(CHANIDA) มีปริมาณกรดเบนโซอิก 2540.22 มก./กก.3. RICHMe by lalita มีปริมาณกรดเบนโซอิก 2429.64 มก./กก. 4. จันทร์เสวย มีปริมาณกรดเบนโซอิก 1572.86 มก./กก.5. แม่จิตร มีปริมาณกรดเบนโซอิก 1508.32 มก./กก.ยี่ห้อ ป้าสุ ซึ่งตรวจพบ ปริมาณกรดเบนโซอิก 1318.32 มก./กก. และกรดซอร์บิก 978.88 มก./กก. นั้น พบว่า มีผลรวมของสารกันบูด หรือกรดเบนโซอิกและซอร์บิกรวมกัน เท่ากับ 2.297.2 มก./กก. ซึ่งสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้  หากมีการใช้วัตถุเจือปนอาหารตั้งแต่สองชนิดขึ้นไป ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 381) “ข้อ 6 การใช้วัตถุเจือปนอาหาร ต้องใช้ตามชื่อวัตถุเจือปนอาหาร หมวดอาหาร หรือชนิดอาหาร หน้าที่ทางด้านเทคโนโลยีการผลิต และปริมาณสูงสุดที่อนุญาตที่กำหนดไว้ตามบัญชีหมายเลข 1 โดยมีคำอธิบายเพิ่มเติมตามบัญชีหมายเลข 2 แนบท้ายประกาศนี้ การใช้วัตถุเจือปนอาหารที่มีการกำหนดปริมาณสูงสุดที่อนุญาตเป็นตัวเลขในกลุ่มหน้าที่เดียวกันรวมกันตั้งแต่สองชนิดขึ้นไป จะต้องมีผลรวมของสัดส่วนของปริมาณการใช้วัตถุเจือปนอาหารต่อปริมาณสูงสุดที่อนุญาตของวัตถุเจือปนอาหารแต่ละชนิดไม่เกินหนึ่ง”ข้อสังเกตเรื่อง ฉลากอาหารตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 237) พ.ศ.2544 เรื่องการแสดงฉลากของอาหารพร้อมปรุง และอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคบริโภคทันที กำหนดให้อาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคบริโภคทันที หมายถึง อาหารที่ผลิตเรียบร้อยพร้อมบริโภค ที่บรรจุในภาชนะพร้อมจำหน่ายได้ทันที ซึ่งต้องมีการแสดงฉลากตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 194) พ.ศ.2543 เรื่องฉลาก ที่กำหนดให้ ต้องมีข้อความเป็นภาษาไทย และมีข้อความแสดงรายละเอียดต่อไปนี้ (ยกเว้นอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที ซึ่งผู้ปรุงเป็นผู้จำหน่ายแก่ผู้บริโภคโดยตรง)1. ชื่ออาหาร 2. เลขสารบบอาหาร 3. ชื่อและที่ตั้งของสถานที่ผลิต หรือแบ่งบรรจุ หรือจัดจำหน่าย แล้วแต่กรณี 4. น้ำหนักสุทธิ 5. ส่วนประกอบที่สำคัญ 6. ข้อความว่า “ใช้วัตถุกันเสีย” ถ้ามีการใช้ 7. ข้อความว่า “เจือสีธรรมชาติ” หรือ “เจือสีสังเคราะห์” ถ้ามีการใช้แล้วแต่กรณี 8. ข้อความว่า “ใช้...เป็นวัตถุปรุงแต่งรสอาหาร” 9. ข้อความว่า “ใช้...เป็นวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล” 10. ข้อความว่า “แต่งกลิ่นธรรมชาติ” “แต่งกลิ่นเลียนธรรมชาติ” “แต่งกลิ่นสังเคราะห์” “แต่งรสธรรมชาติ” หรือ “แต่งรสเลียนธรรมชาติ” ถ้ามีการใช้แล้วแต่กรณี 11.วันเดือนและปีที่หมดอายุ/ ผลิต 12. คำแนะนำในการเก็บรักษา (ถ้ามี)และจากตัวอย่างน้ำพริกหนุ่ม และแกงไตปลาแห้งที่นำมาทดสอบทั้งหมด พบว่า มีหลายตัวอย่างที่แสดงรายละเอียดบนฉลากไม่ครบถ้วน ซึ่งอาจขัดต่อกฎหมายดังกล่าวน้ำปลาร้าปรุงสำเร็จโลหะหนัก ตะกั่ว แคดเมียม ในน้ำปลาร้าปรุงสำเร็จปลาร้า เป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งที่แทบขาดไม่ได้ในครัวคนอีสานหรือร้านอาหารอีสาน โดยเฉพาะส้มตำปลาร้า เมนูสุดแซ่บขวัญใจคนทุกภาค แต่ปลาร้านั้นหากไม่ทำให้สุกก่อนบริโภค ก็อาจก่อปัญหาด้านสุขภาพได้มาก โดยเฉพาะเรื่องพยาธิใบไม้ที่แฝงในตัวปลาหรือจุลินทรีย์ก่อโรคที่อาจส่งผลให้เสาะท้องได้ จึงมีการรณรงค์ในวงกว้างให้ใช้ปลาร้าสุกหรือทำปลาร้าให้สุกก่อนบริโภค ซึ่งก็ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมา นั่นคือ น้ำปลาร้าปรุงสุกสำเร็จรูป ออกวางขายทั่วไป เรียกว่า ช่วยสร้างความสะดวกให้แก่ผู้บริโภคได้อร่อยนัวกันอย่างวางใจ ซึ่งแหล่งผลิตใหญ่ก็ไม่พ้นภาคอีสาน และถือเป็นหนึ่งในของฝากที่มีชื่อเสียง ฉลาดซื้อ โดยโครงการเฝ้าระวังสินค้าและบริการ เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ จึงร่วมมือกับเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เก็บตัวอย่างน้ำปลาร้าปรุงสำเร็จ จำนวน 12 ตัวอย่าง ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2561 เพื่อทดสอบหาปริมาณตะกั่วและแคดเมียม ซึ่งเป็นโลหะหนักที่ปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อมทั่วไปและมีโอกาสเข้าสู่ตัวปลาที่ใช้ในการทำน้ำปลาร้า ถือเป็นการเฝ้าระวังด้านอาหารเพื่อสร้างความมั่นใจในการบริโภค และเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อน้ำปลาร้าปรุงสำเร็จเป็นของฝากยามเยือนถิ่นอีสานน้ำปลาร้า หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหมักปลากับเกลือ เติมข้าวคั่วที่บดละเอียด รำข้าว หรือรำข้าวคั่วในอัตราส่วนที่เหมาะสม ก่อนหรือหลังการหมักปลากับเกลือ เพื่อให้ได้กลิ่นรสตามธรรมชาติของปลาร้านำมากรอง ให้ความร้อนก่อนบรรจุ หรือได้จากการนำปลาร้าดิบมาต้มกับนํ้า อาจเติมเกลือ สมุนไพร แล้วกรอง อาจเติมเครื่องปรุงรส เช่น น้ำตาล น้ำมะขาม น้ำกระเทียมดอง และให้ความร้อนก่อนบรรจุที่มา มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน มผช.1346/2557ผลทดสอบผลทดสอบตะกั่ว น้ำปลาร้าทุกตัวอย่างผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 98 พ.ศ. 2529 คือไม่เกิน 1 มิลลิกรัม/อาหาร 1 กิโลกรัมส่วนผลทดสอบแคดเมียม เนื่องจากไม่มีเกณฑ์มาตรฐานตามประกาศ ฉบับที่ 98 จึงใช้เกณฑ์เทียบเคียงจากของมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน น้ำปลาร้า ของสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม คือ แคดเมียม ต้องน้อยกว่า 2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบว่า ทุกตัวอย่างผ่านเกณฑ์มาตรฐาน มผช.มาตรฐานตะกั่วและแคดเมียมในอาหารประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 98 พ.ศ.2529 เรื่อง มาตรฐานอาหารที่มีสารปนเปื้อน  กำหนดให้ตรวจพบตะกั่วไม่เกิน 1 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ส่วนแคดเมียมไม่มีการกำหนดมาตรฐานไว้ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 98 แต่อาจพิจารณาเทียบเคียงจาก มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน น้ำปลาร้า (มผช. 1346/2557) ของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ซึ่งกำหนดไว้ว่า สารปนเปื้อนแคดเมียม ต้องน้อยกว่า 2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม  ขณะที่ Codex (Codex Standard 193-1995) กำหนดไว้ไม่เกิน 2 มิลลิกรัม/กิโลกรัมในสัตว์น้ำ (Marine bivalve molluscs) และสหภาพยุโรป (EC) No 1881/2006 กำหนดค่ามาตรฐานแคดเมียมในเนื้อปลาไว้ไม่เกิน 0.05 มิลลิกรัม/กิโลกรัม(0.05 ppm.)  แต่ทั้งนี้ก็มีการแยกย่อยไปตามชนิดของปลาด้วย ตะกั่ว แคดเมียม อยู่ในน้ำปลาร้าได้อย่างไร โลหะหนักถูกใช้ในแวดวงอุตสาหกรรมหลายชนิด แต่ที่หลุดรอดออกสู่แหล่งดิน น้ำธรรมชาติ และถูกกำหนดไว้ในมาตรฐานอาหารส่วนใหญ่ คือ ปรอท ตะกั่ว แคดเมียม เนื่องจากมีพิษรุนแรง การปนเปื้อนเข้าสู่แหล่งน้ำ ก็มีความเสี่ยงที่โลหะหนักจะสะสมในตัวสัตว์น้ำอย่างปลา ที่ใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำปลาร้า และโลหะหนักไม่อาจทำลายได้ด้วยความร้อน จึงสามารถพบได้ในอาหารที่ผลิตออกจำหน่าย  โรตีสายไหม โรตีสายไหม ของฝากออเจ้า จากกรุงเก่าอยุธยาหากได้มีโอกาสเดินทางไปท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นอกจากการแวะไปไหว้พระทำบุญในวัดสำคัญ และเยี่ยมชมโบราณสถานที่งดงามในจังหวัดแล้ว คงไม่พลาดต้องซื้อของฝากชื่อดังอยุธยาอย่าง “โรตีสายไหม” หนึ่งในของดีภาคกลางติดไม้ติดมือกลับบ้านไปฝากคนรู้จักรู้ใจอย่างแน่นอน เพราะรสสัมผัสของแผ่นแป้งโรตีที่ละมุนนุ่มลิ้น กับกลิ่นหอมหวานของสายไหมสีสดใส เมื่อได้ชิมชิ้นแรก ก็คงห้ามใจ ไม่ให้หยิบชิ้นต่อไปคงไม่ได้“ขนมโรตีสายไหม” มีส่วนประกอบหลัก 2 ส่วน คือ ส่วนของแป้ง และส่วนของเส้นสายไหม แป้งโรตีประกอบไปด้วย แป้งสาลี น้ำ และเกลือ ส่วนของสายไหม มีส่วนผสมของน้ำตาล น้ำมันมะพร้าว และแป้งสาลี ซึ่งขนมที่มีส่วนประกอบของแป้ง อาจต้องใช้สารกันบูด กันรา เพื่อยืดอายุการเก็บรักษา ไม่ให้บูดเสียเร็วหรือขึ้นราได้ง่าย และอาจมีการใช้สีผสมอาหารสังเคราะห์ในแผ่นแป้ง และสายไหม เพื่อสร้างสีสันให้กับแผ่นแป้ง และเส้นสายไหม ให้สดใสดึงดูดใจคนกิน ฉลาดซื้อ ร่วมกับตัวแทนเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคกลาง จึงอยากเชิญชวนผู้บริโภค มาลองดูกันว่า เมื่อสุ่มเก็บตัวอย่าง โรตีสายไหม ในแบบฉบับที่ผู้บริโภคซื้อกันแล้ว เราพบอะไรบ้างที่น่าสนใจว่ากันว่าโรตีสายไหม ที่โด่งดังของอยุธยานั้น เป็นขนมของชาวไทยมุสลิม มีต้นกำเนิดมาจากการรังสรรค์ของนายบังเปีย แสงอรุณ และครอบครัว ที่ได้คิดค้นขึ้น เมื่อครั้งไปทำงานอยู่ที่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ก่อนจะเดินทางกลับมาประกอบอาชีพที่บ้านเกิดอยุธยาหากเอ่ยถึงตลาดขายโรตีเจ้าดัง คงต้องตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ไม่ได้พาไปหาหมอหายา แต่ว่าร้านโรตีเจ้าอร่อย เขามารวมตัวกันอยู่ที่นี่ แถวเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา แต่ถ้าใครไม่ได้ผ่านไปแถวนั้น ก็ไม่ต้องเสียใจ ยังมีเส้นทางโรตีสายไหม ที่จอดรถซื้อข้างทางได้ เช่น ถนนบางไทร - บางปะหัน, ถนนอยุธยา - บางปะอิน, ถนนเลี่ยงเมืองสุพรรณ รวมไปถึงถนนสายเอเชียผลทดสอบโรตีสายไหม โรตีสายไหมที่นำมาทดสอบ จำนวน 10 ตัวอย่าง ได้จากการสุ่มซื้อโดยเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคกลาง จากร้านโรตีสายไหม 10 แห่ง ใน จ.พระนครศรีอยุธยา ในส่วนของแผ่นแป้งโรตี ฉลาดซื้อเลือกทดสอบวัตถุกันเสีย จำนวน 3 ชนิด ที่อาจถูกใช้เพื่อยืดอายุการเก็บรักษา ได้แก่ กรดซอร์บิก กรดเบนโซอิก และกรดโพรพิโอนิก รวมทั้งทดสอบหาสีสังเคราะห์ในแผ่นแป้งด้วย สำหรับสายไหม เลือกทดสอบเฉพาะสีสังเคราะห์ ผลการทดสอบพบว่า• แผ่นแป้งโรตี  ตรวจพบกรดเบนโซอิก(Benzoic Acid) เกินมาตรฐาน (1,000 มก./กก.)   จำนวน 4 ตัวอย่าง ได้แก่  1) โรตีสายไหม ร้านศิลัคข บังอารีย์ แสงอารุณ เจ้าเก่า ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก  1910.45  มก./กก.2) ร้านแม่ชูศรี ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก  1894.05  มก./กก. 3) ร้านเรือนไทย ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก  1502.32  มก./กก.4) ร้านเอกชัย (B.AEK) ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก  1147.95  มก./กก.ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 381 พ.ศ. 2559 เรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร (ฉบับที่ 4) สำหรับอาหารประเภทธัญชาติและผลิตภัณฑ์ธัญชาติ กำหนดปริมาณกรดเบนโซอิก ไม่เกิน 1,000 มก./อาหาร 1 กก. อีก 6 ตัวอย่างตรวจพบ กรดเบนโซอิก แต่อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยไม่เกินมาตรฐาน(เรียงลำดับจากน้อยที่สุดไปมากที่สุด ได้แก่1) ร้านอาบีดีน+ประนอม แสงอรุณ  ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก  23.96 มก./กก. 2) ร้านวริศรา โรตีสายไหม  ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก  671.45 มก./กก. 3) ร้านโรตีสายไหมบังแป๊ะ  ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก  686.56 มก./กก. 4) ร้านโรตีสายไหม ไคโร น้องชายบังอิมรอน  ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก  708.64 มก./กก. 5) ร้านจ๊ะโอ๋  ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก  887.62 มก./กก. 6) ร้านประวีร์วัณณ์  ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก  985.84 มก./กก.ด้านสีสังเคราะห์ พบในแผ่นแป้งโรตีทุกตัวอย่างแต่ไม่เกินมาตรฐาน  อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า ร้านเอกชัย (B.AEK) ซึ่งตรวจพบสีสังเคราะห์ กลุ่มสีเหลือง คือ ตาร์ตราซีน ปริมาณ  49.82 มก./กก. และกลุ่มสีน้ำเงิน คือ บริลเลียนท์ บลู เอฟซีเอฟ ปริมาณ  5.94 มก./กก. เมื่อคำนวณแล้วพบว่า ผลรวมสัดส่วนของสีสังเคราะห์ทั้งสองชนิดที่ตรวจพบ เท่ากับ 1.036 ถือว่าเกินเกณฑ์มาตรฐานไปเล็กน้อย เพราะตามกฎหมายระบุว่า เมื่อนำมาคำนวณร่วมกันแล้ว ต้องไม่เกิน 1 (ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 381 ข้อ 6 ) สำหรับกรดซอร์บิกและกรดโพรพิโอนิกตรวจไม่พบในทุกตัวอย่าง  •สายไหม  ตรวจพบสีสังเคราะห์ทุกตัวอย่าง แต่ไม่เกินมาตรฐาน โดยสีสังเคราะห์ที่ตรวจพบในแผ่นแป้งและสายไหม อยู่ในกลุ่มสีแดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน ได้แก่ คาร์โมอีซีน หรือ เอโซรูบิน INS122, ตาร์ตราซีน INS102 และบริลเลียนท์ บลู เอฟซีเอฟ INS133มาตรฐานการใช้ปริมาณวัตถุกันเสียและสีสังเคราะห์ สารกันบูด สารกันรา และสีสังเคราะห์ จัดเป็นวัตถุเจือปนอาหาร (food additive) ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข  (ฉบับที่ 381) พ.ศ. 2559 เรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร (ฉบับที่ 4)  ที่มีข้อกำหนดปริมาณสูงสุดที่อนุญาตให้ใช้ได้ ตามหมวดอาหารแต่ละประเภทเอาไว้ ซึ่งแผ่นแป้งโรตีเทียบได้กับอาหารประเภทธัญชาติและผลิตภัณฑ์ธัญชาติ ส่วนสายไหมนั้นเทียบได้กับอาหารในหมวดลูกกวาด ลูกอม ช็อกโกแลตปริมาณกรดเบนโซอิกที่อนุญาตให้พบได้ในส่วนของ แผ่นแป้งโรตี แผ่นแป้งโรตี เทียบได้ในหมวดอาหารกลุ่มขนมหวานที่มีธัญชาติและสตาร์ชเป็นส่วนประกอบหลัก ตามข้อกำหนดในประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 381) พ.ศ. 2559 เรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร (ฉบับที่ 4) อนุญาตให้ใช้ปริมาณกรดเบนโซอิกสูงสุดได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักอาหาร 1 กิโลกรัม ส่วนสีสังเคราะห์ในกลุ่มสีแดง ได้แก่ คาร์โมอีซีน หรือ เอโซรูบิน (Carmoisine or Azorubine) INS 122 อนุญาตให้ใช้ได้สูงสุดในปริมาณไม่เกิน 50 มก./กก., ในกลุ่มสีเหลือง ได้แก่ ตาร์ตราซีน (Tartrazine) INS 102 อนุญาตให้ใช้ได้สูงสุดในปริมาณไม่เกิน 50 มก./กก. และในกลุ่มสีน้ำเงิน ได้แก่ บริลเลียนท์ บลู เอฟซีเอฟ (Brilliant Blue FCF) INS 133 อนุญาตให้ใช้ได้สูงสุดในปริมาณไม่เกิน 150 มก./กก.ปริมาณสีสังเคราะห์อาหารที่อนุญาตให้พบได้ในส่วนของ สายไหม สายไหม อาจเทียบได้ในหมวดอาหารกลุ่มลูกกวาด นูกัตและมาร์ซิแพน ตามข้อกำหนดในประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 381) พ.ศ. 2559 เรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร (ฉบับที่ 4) อนุญาตให้ใช้สีสังเคราะห์ ในกลุ่มสีเหลือง ตาร์ตราซีน (Tartrazine) INS 102 และในกลุ่มสีน้ำเงิน บริลเลียนท์ บลู เอฟซีเอฟ (Brilliant Blue FCF) INS 133 ได้ในปริมาณไม่เกิน 300 มก./กก. ทั้งนี้ หากมีการใช้วัตถุเจือปนอาหารตั้งแต่สองชนิดขึ้นไป ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 381) “ข้อ 6 การใช้วัตถุเจือปนอาหาร ต้องใช้ตามชื่อวัตถุเจือปนอาหาร หมวดอาหาร หรือชนิดอาหาร หน้าที่ทางด้านเทคโนโลยีการผลิต และปริมาณสูงสุดที่อนุญาตที่กำหนดไว้ตามบัญชีหมายเลข 1 โดยมีคำอธิบายเพิ่มเติมตามบัญชีหมายเลข 2 แนบท้ายประกาศนี้ การใช้วัตถุเจือปนอาหารที่มีการกำหนดปริมาณสูงสุดที่อนุญาตเป็นตัวเลขในกลุ่มหน้าที่เดียวกันรวมกันตั้งแต่สองชนิดขึ้นไป จะต้องมีผลรวมของสัดส่วนของปริมาณการใช้วัตถุเจือปนอาหารต่อปริมาณสูงสุดที่อนุญาตของวัตถุเจือปนอาหารแต่ละชนิดไม่เกินหนึ่ง”รู้จักสารกันบูด และ สารกันรา สารกันบูด และสารกันราที่ฉลาดซื้อเลือกสุ่มตรวจ ได้แก่ กรดซอร์บิก (Sorbic Acid) INS 200, กรดเบนโซอิก (Benzoic Acid) INS 210 และ กรดโพรพิโอนิก (Propionic Acid) INS 280 ซึ่งสารกันเสียแต่ละตัวเป็นวัตถุเจือปนอาหารที่มีลักษณะและวัตถุประสงค์การใช้ในอาหาร ดังนี้ กรดซอร์บิก (Sorbic Acid) INS 200* เป็นวัตถุเจือปนอาหาร (food additive) ที่อยู่ในกลุ่มซอร์เบต (sorbate) ที่ใช้เป็นสารกันเสีย (preservative) มีลักษณะเป็นผลึกสีขาว ใช้ป้องกันการเจริญเติบโตของยีสต์ รา และเเบคทีเรีย โดยไม่มีผลต่อกลิ่นและรสชาติของอาหาร กรดเบนโซอิก (Benzoic Acid) INS 210* เป็นกรดอ่อนในอาหาร เป็นวัตถุเจือปนอาหารเพื่อใช้เป็นสารกันเสีย มีลักษณะเป็นผงผลึกหรือเกล็ดสีขาว มีคุณสมบัติสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ได้ กรดโพรพิโอนิก (Propionic Acid) INS 280* เป็นกรดอินทรีย์ที่พบในอาหารที่เกิดจากการหมัก เป็นวัตถุเจือปนอาหาร มีหน้าที่เป็นสารกันเสีย และใช้เป็นสารกันราในอาหาร(ขอขอบคุณข้อมูลจาก: www.foodnetworksolution.com)หมายเหตุ: *INS (International Numbering System) คือ ระบบเลขหมายสากลสำหรับวัตถุเจือปนอาหารสีสังเคราะห์ที่ใช้ในอาหารสีผสมอาหารสังเคราะห์ หมายถึง สีที่เป็นสารอินทรีย์ที่ได้จากการสังเคราะห์ ใช้เป็นวัตถุเจือปนอาหาร จัดอยู่ในกลุ่มสีผสมอาหาร สีสังเคราะห์มีราคาถูกกว่าสีธรรมชาติ อีกทั้งยังสะดวกต่อการเลือกใช้ ผู้ประกอบการจึงมักนิยมใช้สีสังเคราะห์ในอาหารมากกว่าสีธรรมชาติ ทั้งที่สีธรรมชาติมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคมากกว่า ซึ่งสีสังเคราะห์ สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มสีต่างๆ ได้แก่ กลุ่มสีแดง, กลุ่มสีเหลือง, กลุ่มสีเขียว และกลุ่มสีน้ำเงินกลุ่มสีแดง มี 3 สี ได้แก่ ปองโซ 4 อาร์ (Ponceau 4 R), คาร์โมอีซีน หรือ เอโซรูบิน (Carmoisine or Azorubine) และ เออริโทรซีน (Erythrosine)กลุ่มสีเหลือง มี 3 สี ได้แก่ ตาร์ตราซีน (Tartrazine), ซันเซ็ต เย็ลโลว์ เอฟซีเอฟ (Sunset Yellow FCF) และ ไรโบฟลาวิน (Riboflavin)กลุ่มสีเขียว มีสีเดียว ได้แก่ ฟาสต์ กรีน เอฟซีเอฟ (Fast Green FCF)และกลุ่มสีน้ำเงิน มี 2 สี ได้แก่ อินดิโกคาร์มีน หรือ อินดิโกติน (Indigocamine or Indigotine) และบริลเลียนท์ บลู เอฟซีเอฟ (Brilliant Blue FCF)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 205 มีสิทธิยกเลิกสัญญาหรือไม่

หากเราตกลงทำสัญญาใดๆ ไปแล้ว แต่ต้องการยกเลิกในภายหลังจะสามารถทำได้หรือไม่ ลองไปดูเหตุการณ์ของผู้ร้องรายนี้กันคุณสมพรได้รับการเชิญชวนให้ตรวจสุขภาพฟรี ซึ่งภายหลังการตรวจเลือด พนักงานก็แจ้งว่าเลือดในร่างกายไม่ปกติ เพราะมีการสะสมของไขมันและโลหะหนัก ทำให้เลือดขาดออกซิเจน โดยอาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะอื่นๆ ได้ในอนาคต นอกจากนี้เมื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดก็ยังพบอีกว่า ระบบทางเดินอาหารไม่ดีและตับเสื่อม ด้วยผลการตรวจเช่นนั้น ทำให้คุณสมพรวิตกกังวลอย่างมาก จึงยินดีเข้ารับการรักษาแบบคีเลชั่น (Chelation) เพื่อเอาสารพิษออกจากเลือดตามที่พนักงานแนะนำ ในราคาพิเศษเหลือ 149,000 บาท สามารถใช้บริการได้ 50 ครั้ง อย่างไรก็ตามในอีกอาทิตย์ถัดมา เมื่อคุณสมพรได้เข้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษาดังกล่าว แพทย์กลับแจ้งว่าการทำ 50 ครั้งมากเกินไป ควรทำแค่ 10 ครั้งก็เพียงพอแล้ว เพราะหากทำมากเกินไปสามารถส่งผลให้ไตวายได้ คุณสมพรจึงยังไม่เข้ารับการรักษาทันที เพราะเห็นว่าแพทย์และพนักงานให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกัน และไปหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำคีเลชั่นเพิ่มเติมจากในอินเทอร์เน็ต ซึ่งเธอพบว่าแพทย์สภาไม่รับรองการรักษาดังกล่าว จึงต้องการยกเลิกการรักษาและขอเงินคืนทั้งหมด แต่พนักงานกลับต่อรองให้ทำการรักษาตามที่แพทย์แนะนำต่อไป ทำให้คุณสมพรส่งเรื่องร้องเรียนมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอคำปรึกษา แนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์พิทักษ์สิทธิ์แนะนำผู้ร้องว่า หลักในการยกเลิกสัญญามี 3 วิธีดังนี้ 1. คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต้องการยกเลิกสัญญา 2. คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งต้องการยกเลิกสัญญา แล้วทำคำเสนอขอยกเลิกสัญญา เมื่อคู่สัญญาเห็นพ้องด้วย ทำคำสนองตอบกลับมา 3. การบอกเลิกสัญญาเพียงฝ่ายเดียว โดยอีกฝ่ายไม่ต้องเห็นพ้องด้วยโดยในกรณีที่การบอกเลิกสัญญาเพียงฝ่ายเดียวนั้น คู่สัญญาที่ต้องการยกเลิกสัญญา ต้องมีสิทธิในการบอกเลิก คือ ในข้อสัญญามีการระบุไว้ว่าถ้ามีการผิดสัญญา อีกฝ่ายสามารถยกเลิกสัญญาได้ หรือตามบัญญัติของกฎหมาย กรณีที่ไม่ได้มีข้อสัญญาระบุไว้ ดังนี้ 3.1 สิทธิบอกเลิกสัญญาเมื่อคู่สัญญาอีกฝ่ายไม่ชำระหนี้3.2 สิทธิบอกเลิกสัญญาเมื่อคู่สัญญาอีกฝ่ายไม่ชำระหนี้ตามเวลา ในกรณีที่เวลาเป็นสาระสำคัญ และ 3.3 สิทธิบอกเลิกสัญญาเพราะการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย โดยโทษลูกหนี้ได้อย่างไรก็ตามในกรณีนี้ ผู้ร้องอาจเจรจาต่อรองและรับการรักษาตามที่แพทย์แนะนำคือ 10 ครั้ง โดยจ่ายราคาตามจริงได้ ส่วนการรักษาแบบคีเลชั่นนั้น เป็นการขจัดโลหะหนักที่เป็นพิษออกจากร่างกาย ซึ่งเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับโลหะหนักเข้าสู่ร่างกายเป็นประจำ หรือผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียที่มีปัญหาธาตุเหล็กเกินในร่างกายแต่หากพบว่าสถานบริการหรือโรงพยาบาลใด ที่ระบุว่าการทำคีเลชั่นสามารถช่วยรักษาโรคหลอดเลือด โรคหัวใจหรือออทิสติคได้ จะถือว่าเป็นการอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง และไม่ได้อยู่ในการรับรองของแพทยสภา ซึ่งผู้บริโภคสามารถเข้าไปสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม หรือสามารถสอบถามข้อมูลต่อได้ที่สมาคมแพทย์คีเลชั่นไทย (http://www.cmat.or.th/)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 205 สั่งซอสปรุงรสออนไลน์ ไม่พบฉลาก

แม้การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์จะช่วยอำนวยความสะดวกหลายประการ แต่อุปสรรคหนึ่งที่ผู้บริโภคหลายคนต้องพบ มักหนีไม่พ้นเรื่องคุณภาพหรือมาตรฐานของสินค้านั้นๆ หากปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นกับเรา จะสามารถจัดการได้อย่างไรบ้าง ลองไปดูกันคุณสมชายเป็นคนชอบทำอาหาร และเห็นว่าพิธีกรรายการอาหารที่ตนเองชื่นชอบทำซอสปรุงรสขาย เขาจึงตัดสินใจสั่งซื้อมาทดลองประกอบอาหารดู เพราะเห็นการโฆษณาว่าซอสนี้ปรุงอาหารอะไรก็อร่อย อย่างไรก็ตามหลังจากได้รับสินค้าแล้วเรียบร้อย เขากลับพบว่าสินค้าดังกล่าวมีเพียงฉลากชื่อยี่ห้อที่ระบุว่าเป็น “ซอสตราไก่” เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีรายละเอียดอื่นๆ เช่น เลข อย. ส่วนประกอบหรือวันเดือนปีที่ผลิต/ หมดอายุ ทำให้คุณสมชายไม่มั่นใจว่า ซอสที่ได้รับมาเป็นสินค้าที่ได้มาตรฐานจริงหรือไม่ จึงส่งเรื่องร้องเรียนมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบแนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์พิทักษ์สิทธิ์แนะนำให้ผู้ร้องส่งรายละเอียดเกี่ยวกับโฆษณาขายซอสดังกล่าว พร้อมภาพถ่ายหรือสินค้าตัวจริงมาให้ ซึ่งภายหลังการตรวจสอบพบว่าไม่มีเลขการจดทะเบียน อย. ฉลากโภชนาการ หรือวันเดือนปีที่ผลิต/ หมดอายุตามที่ผู้ร้องร้องเรียนจริง จึงช่วยทำจดหมายไปยัง อย. เพื่อขอให้มีการตรวจสอบซอสดังกล่าวเนื่องจากตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 200) พ.ศ. 2543 เรื่องซอสในภาชนะบรรจุปิดสนิท กำหนดให้ซอสเป็นอาหารที่ถูกควบคุม และซอสในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิทเป็นอาหารที่ต้องมีฉลาก โดยต้องแสดงให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งหากพบว่าการผลิตซอสและจำหน่ายซอสที่ไม่มีฉลากและข้อความบนฉลากที่ถูกต้อง จะมีโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 205 ณภัทร ทยุติชยาธร ผู้เสียหายจากไลฟ์สด ซื้อง่าย จ่ายคล่อง

เมื่อต้นเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา กลุ่มผู้เสียหายจากการจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ของบริษัทเมจิกสกิน รวมตัวนับร้อยคน เข้าแจ้งความที่กองปราบปราม ระบุว่าบริษัทดังกล่าวมีพฤติกรรมหลอกลวงให้ร่วมลงทุนจำหน่ายสินค้า ที่มีการปลอมแปลงและสวมเลข อย. มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาทฉลาดซื้อ ได้เข้าพูดคุยกับคุณณภัทร ทยุติชยาธร  หนึ่งในผู้บริโภคที่ตกเป็นเหยื่อของกลไกของการหลอกลวงในรูปแบบธุรกิจขายตรงผ่านการไลฟ์สด  เพื่อตีแผ่ถึงเรื่องนี้“ได้ดูไลฟ์สดของบริษัทฯ นี้ แล้วเราก็สนใจเพราะเขาก็โฆษณาว่าสินค้าเขาดี ขายดี และเขาก็พูดถึงโครงการปั้นรากหญ้าให้เป็นเศรษฐี เขาจะช่วยเหลือคนที่เงินหลักร้อยให้เป็นหลักล้านได้ เราฟังแล้วก็รู้สึกว่าน่าสนใจ เป็นโรงเรียนสอนรวยค่ะ ของแม่หญิงคนหนึ่ง เขาเป็นทีมงานเดียวกันหมดเพราะตอนที่เข้าไปอยู่ เขาก็มีมาถามว่าใครจะไปเรียน แต่ว่าก็จะมีเก็บค่าคอร์สสอน แต่ว่าไม่ใช่เรียนแค่วันเดียวต้องเรียนประมาณ  2 – 3 วัน ซึ่งเราอยู่ต่างจังหวัดก็ไม่สะดวกเลยไม่ได้มา เขาก็มีมาถามเพราะตอนแรกเราสมัคร VIP แล้วเขาจะทำเหมือนสินค้าของเขาขายดีมาก จะให้สินค้าเราไม่ครบ ตอนไปทีแรกนั้นใช้เวลาเป็นเดือนเลยที่เสียเงินเข้าไปแล้วยังไม่ได้สินค้า”ช่วยเล่าเรื่องเงินที่ใช้จ่ายไปกับบริษัทฯค่าแรกเข้า 30,000 บาทสำหรับ VIP เขาบอกว่าจะได้ทองค่ะ แต่จุดเริ่มต้นคือ เป็นตัวแทนก่อน เราเข้าไปเป็นตัวแทนขาย แต่ตอนแรกเราไม่รู้ว่ามันจะเอาผลิตภัณฑ์ของเขามาทาอะไรได้ คิดแค่ว่าเป็น “เซรัมรักแร้” เราก็คิดแค่จะไปขายเซรัมรักแร้ คิดว่ามันน่าจะโอเค  เพราะว่าโรลออนเวลาใช้บางทีมันจะเป็นคราบ แต่นี่เป็นเซรัม เขาว่ามันซึมง่ายเราก็เลยเข้าไปขาย เราจ่ายแรกเข้า 30,000 บาทจะได้แหวนทองและผลิตภัณฑ์ และจะมีการโยนออเดอร์ให้ ถ้าขายไม่เป็นเขาก็มีการสอนให้ทุกอย่าง เขาโฆษณามาอย่างนี้เราก็คิดว่าไม่น่าจะยาก ซึ่งเรายังไม่เคยทำออนไลน์เลย นี่ครั้งแรกในชีวิตที่เข้ามาขายออนไลน์ ก็สมัครเข้าไป ผลปรากฏว่า พอโอนเงินเข้าไป เขาก็เรียกเราเข้ากลุ่ม พอเข้าไปแล้วเขาก็จะส่งแคปชั่นให้เราต้องโพสต์ทุกวันและมีรีวิวประกอบพร้อมแคปชั่นให้วันละ 5 – 10 ครั้งแล้วแต่เขาจะส่งมา เราก็โพสต์ๆ ตามเขา แต่สินค้าก็ยังไม่มีก็โพสต์ไปเรื่อยๆ ยังไม่ได้ขาย เขามาบอกตอนหลังจากที่จ่ายเงินไปแล้วว่าสินค้าเป็นพรีออเดอร์ ก็คือต้องรอสินค้าก่อน เราก็ตามตลอดตั้งแต่เข้าไปอาทิตย์แรกว่าจะได้สินค้าเมื่อไร ถามกับดีลเลอร์เพราะว่าตัว CEO ที่ขายให้พอเราเข้ากลุ่มไป ก็ติดต่อเขาไม่ได้แล้ว เขาให้ติดต่อผ่านดีลเลอร์ในกลุ่มแทน ซึ่งพอถามว่าจะได้สินค้าเมื่อไรดีลเลอร์ก็จะบอกแค่ว่าไม่ทราบ ต้องรอทาง CEO แจ้งมา ตอบผัดเราแบบนี้ตลอดจนผ่านไปเป็นเดือน เราก็คิดว่าถ้าสินค้ามาช้ามากขนาดนี้แล้วคนที่เขาไม่มีเงินจะทำอย่างไรเพราะเงินมันจม เราโพสต์ขายของทุกวันแต่ไม่มีของขาย พอหลังจากนั้นเดือนกว่าๆ ของก็เริ่มมา ที่เราจ่ายไป 30,000 บาทแรกนั้นต้องได้ 1,000 ชิ้นแต่สรุปของมาแค่ 100 กว่าชิ้น เลยถามไปว่าทำไมของมาแค่นี้ เขาบอกว่าสินค้าขายดีมาก สินค้ามาไม่พอเพราะต้องกระจายของทั่วประเทศให้แบ่งๆ กันไปก่อน เขาอ้างมาแบบนี้เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ปล่อยไปตามเรื่อง แต่เขาก็บอกว่าถ้าคุณอยากได้สินค้าเพิ่มขึ้น คุณต้องจองเพิ่ม เขาแนะนำมาแบบนี้และสินค้ามาลอตหน้าคุณจะได้สินค้าเพิ่ม แต่ถ้าจองเพิ่มก็ต้องโอนเงินเพิ่ม เราก็จองเพิ่มเป็น 5,000 ชิ้น ซึ่งต้องโอนเงินไป 135,000 บาท ซึ่งเรามีเราก็โอนได้ แต่ลองคิดดูว่า คนที่เขาไม่มีเงินก็แย่เลย ประสบการณ์เมื่อได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มขายเจอกับอะไรบ้าง พอเข้าไปอยู่ก็กะท่อนกะแท่น แต่ก็ต้องทนอยู่เพราะเราลงเงินไปแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่ง มีรีวิวที่เกี่ยวกับโรคสะเก็ดเงิน เขามีรีวิวเยอะมากที่ส่งมาให้ บางวันก็เป็นแผลผ่าตัด เป็นโรคเชื้อราที่หนังศีรษะ แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก เขาจะมีรีวิวให้เราโพสต์ทุกวัน จนวันหนึ่งมีรีวิวตัวนี้มาที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน พอเห็นก็คิดถึงลูกเพราะลูกเราเป็น “เขาบอกใช้แล้วหาย” ถ้าอย่างนั้นเราเอามาทาให้ลูกดีกว่า อยากให้ลูกหาย เพราะคุณหมอเคยบอกว่าโรคนี้รักษาไม่หาย แค่บรรเทาอาการแต่ไม่มีทางหายขาด เราก็เลยลองกับลูกตัวเอง ซึ่งลูกเองไม่ได้อยากใช้เลย เราไปบังคับเขาให้ทาด้วยซ้ำ จากตอนแรกที่เป็นไม่เยอะ พอทาไปประมาณ 2 – 3 วันก็เริ่มแดงและคัน เห่อขึ้นมาเต็มเลย แล้วก็เป็นแผลเฟะเต็มไปหมดเลย จึงหยุดใช้และกลับไปหาหมอเหมือนเดิม ตอนนี้ก็ยุบไปเยอะ เริ่มดีขึ้นแล้ว ทาให้ลูกไปเกือบเดือน ใช้ไปประมาณ 2 กล่องตอนเห็นอาการของลูกทำไมไม่หยุดทาคิดว่ามันผลักเชื้อออกมาก่อน เพราะเราก็ไปถามแม่ทีม เขาบอกว่าเริ่มแรกมันจะผลักอาการออกมาก่อนเราก็บอกลูกให้อดทนก่อน ก็ยังโชคดีที่ลูกมีแค่อาการทางผิวหนัง ไม่ได้เป็นอาการแทรกซ้อนอื่นได้ถามหมอไหมว่าเซรั่มตัวนี้มีส่วนผสมอะไร ลูกถึงอาการแย่ลงทีแรกเรายังไม่ได้หาหมอ พอแผลเฟะก็หยุดใช้แล้วค่อยไปหาหมอ ตอนนั้นก็ยังไม่รู้จะหาใครมาช่วยเหลือเรา ก็ได้แต่เงียบๆ  จนได้มาเห็น เพจดอกจิก ซึ่งมีลูกทีมมาบอกว่า เพจดอกจิกกำลังตามเรื่องบริษัทนี้อยู่ เรื่องสินค้าผิดกฎหมาย ลองให้เราติดต่อไปดู เราก็ลองติดต่อไป ว่าเราเป็นผู้เสียหาย และเล่ารายละเอียดให้เขาฟัง ทางเพจก็ขอให้ถ่ายรูปส่งไป เขาก็เอาลงในเพจ พอลงเพจทางบริษัทที่เราสมัครเป็นทีมขายรู้ เขาก็ส่งอินบ็อกซ์มาข่มขู่เรา “เขาพูดเหมือนเขาเป็นคนดีและบอกว่าคนแถวบ้านมึง เขาเกลียดมึงทั้งนั้น เขาจะมารุมกระทืบมึง” ส่งข้อความมาแบบนี้เลย เราก็งง แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรไป เพราะเขาบล็อคเราไปเลย เราก็เลยส่งไปให้เพจดอกจิกดู ว่าทางบริษัทอินบ็อกซ์มาแบบนี้ ทางเพจก็เอาไปลงอีกที ต่อมาทางบริษัทไลฟ์สดด่าเราเลย วันนั้นเข้าจ้างเน็ตไอดอลมา 1 คนให้มาสัมภาษณ์เขา เขาบอกว่า เขาไปสืบมาแล้วว่าเรามีลูก 3 คนเคยเป็นตัวแทนขาย เคยเป็นแม่ทีม ขายสินค้าได้เป็นแสนๆ ซอง เรานั่งฟังก็งงว่าเรานี่นะขายได้เป็นแสนๆ ซอง คือเขาพยายามสร้างเรื่องให้เหมือนกับสินค้าของเขาดีจริงๆ ไม่อย่างนั้นเราขายไม่ได้เป็นแสนซองหรอก หลังจากนั้นเขาก็ขู่มาในไลฟ์สดว่าจะมาหาแน่ และถ้าฉันไปเธอไม่รอดแน่ ฉันจะเอาเธอตาย เราก็เอาไปให้เพจดอกจิกต่อ ทางเพจก็ลงอีก เขาก็เหมือนโกรธแค้นเราอยู่ทุกวันนี้ หาว่าเราทำเขาเสียชื่อเสียงแต่เราไม่ได้ทำอะไรเลย ก็สินค้าคุณไม่มีคุณภาพ เพราะตอนนี้ อย. ก็สั่งระงับไม่ให้ขายแต่คุณก็ยังขาย ยังจะหลอกลวงคนอยู่แบบนี้ ถ้าเราไม่ออกมาจะเป็นอย่างไร เพจดอกจิกเองก็สนับสนุนบอกว่าเราต้องออกมา และให้เราไปแจ้ง สคบ. ก่อนไป เราก็คิดว่าเราจะไปทำอะไรเขาได้เพราะเราก็แค่คนตัวเล็กๆ แต่เพจบอกต้องไปร้องเรียนก็เลยไป กับเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่มเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อนในกลุ่มเยอะนะคะ เฉพาะในทีมเดียวกันก็ 200 - 300 คน คนที่อยู่ระดับต่ำกว่า VIP นั้นตายแน่ถ้าเจออย่างนี้ คือทุกคนก็มีปัญหา และออกมาโวยวายกัน พอโวยวายเขาก็ดีดออกจากกลุ่มเลย พอถูกดีดออกแล้วก็จะติดต่อใครไม่ได้เลย ถามอะไรเขาก็ไม่ตอบ ไม่สนใจ ไม่คืนเงินด้วย ทักไปถามเขาก็บอกว่าไม่คืนมันเป็นกฎ ซึ่งตอนโฆษณาเขาจะบอกว่าออกใบเสร็จรับเงินให้ แต่จริงๆ ไม่มีเลยตั้งแต่เข้าไปไม่เคยมีใบเสร็จรับเงินจากเขาเลย เราโอนเงินไปเปล่าๆก่อนที่เขาจะดีดเราออกจากกลุ่ม  บริษัทเขาฉลาดมาก เพราะเขานั้นตั้งใจจะดีดเราออกอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ว่าเขาจะดีดเราออกเมื่อไร เขาบอกให้เราเพิ่มยอด ถ้าเพิ่มยอดรอบนี้ของมาแน่นอน เขาอ้างมาแบบนี้เราก็เสียดายของเก่า ก็เพิ่มไปอีก 135,000 บาท รวมเป็น 270,000 บาท หลังจากนั้นอีก 5 วัน เขาโทรมาแจ้งว่าของจะมาส่ง และก็มาจริง มาล็อตเดียวเต็มบ้านเลย ของมาส่งประมาณ 10 โมงเช้า พอบ่ายโมง เขาดีดเราออกจากห้องเลย ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ จนมีลูกทีมมาถามว่าทำไมเขาดีดแม่ออกจากห้อง และพวกหนูก็กำลังจะถูกดีดเหมือนกัน กลุ่มเราโดนหมดเลย เกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็บอกลูกทีมไปว่ายังไม่รู้ว่าเรื่องอะไรเหมือนกันเดี๋ยวจะลองโทรไปถามดีลเลอร์ แต่พอโทรไป เขาบอกไม่รู้ CEO สั่งมา เลยถามกลับไปว่าแล้วสินค้าเพิ่งจะส่งมาให้พี่ พี่จะทำอย่างไรสินค้ากองเต็มบ้านเลยแล้วอยู่ดีๆ มาดีดพี่ออก เขาบอกว่าไม่รู้ให้ไปคุยกับ CEO เอาเอง แต่เราได้ยินเสียง CEO พูดอยู่ข้างๆ เราเลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นขอเบอร์ CEO ได้ไหม เพราะเราไม่มีเบอร์ถ้าทักไปในอินบ็อกซ์เขาก็ไม่ตอบแน่นอน เพราะเคยมีเหตุการณ์ที่คนที่ตำแหน่งต่ำกว่าดีลเลอร์ทักไปหาเขา เขาด่ากลับเลยแล้วก็ไม่ตอบ และสั่งพวกดีลเลอร์ให้บอกในทีมว่าถ้าใคร ที่ตำแหน่งต่ำกว่าดีลเลอร์ห้ามทักเขาเข้ามา ทั้งอินบ็อกซ์และไลน์ส่วนตัว คนที่จะคุยกับเขาได้ ต้องเป็นระดับดีลเลอร์ขึ้นไปเท่านั้น เราก็เลยขอเบอร์ CEO เพราะในเมื่อเราเพิ่งโอนเงินให้ไป 5 วันที่แล้วพอรับของแล้วมาดีดเราออกแล้วเราจะขายของอย่างไรของกองเต็มบ้าน สรุป CEO เขาก็มารับสายกว่าจะมาคุยก็โวยวายอยู่ข้างๆ พอมารับก็พูดว่า “ก็เรื่องของแกสิ จะไปขายอย่างไรก็เรื่องของแก ฉันไม่สนใจ” เราจึงบอกให้เอาของคืนไปในเมื่อไม่ให้ขายก็เอาคืนไปอยู่ๆ เอาของส่งมาแล้วทำอย่างนี้ เขาตอบกลับมาว่าฉันไม่รู้และไม่รับของคืน แล้วแกจะขายอย่างไรก็เรื่องของแก แล้วกฎของเขาคือ ห้ามขายพวกร้านขายส่ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ห้ามเราขายส่ง เราจึงบอกไปว่าถ้าคุณทำอย่างนี้ ฉันก็ต้องผิดกฎนะ จะเอาไปเทขายให้ตามร้านยี่ปั๊ว เขาบอกว่าถ้าแกไปขายฉันจะแจ้งความจับแก เลยถามกลับว่าจะแจ้งความข้อหาอะไร เขาตอบว่าข้อหาขายของปลอม เลยเถียงว่าของก็มาจากบริษัทคุณแล้วมันจะปลอมตรงไหน เขาบอกว่าเขาไม่รู้แต่ฉันจะแจ้งความว่าแกขายของปลอม พอตอบมาแบบนี้เราก็งงและไม่รู้จะทำอย่างไร ไหนจะของที่มาส่งเต็มบ้านอีก ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ลูกทีมมาบอกเรื่องเพจดอกจิกก็เลยได้ขอความช่วยเหลือไป เพราะเราเป็นผู้เสียหาย 2 ระลอก ระลอกแรกคือเอาสินค้าไปให้ลูกใช้ แล้วมีอาการเห่อ ระลอกที่ 2 คือหลอกให้เราสั่งของมาสต๊อกเพียบแล้วเทเราทิ้งเลย แล้วมีคนโดนเทเยอะมาก มีน้องอีกคนที่น่าสงสารมากเพิ่งเข้าไปได้ไม่กี่วัน แล้วก็ถูกเทออกมา เพราะว่าดูไลฟ์สดแล้วชอบเหมือนกัน เลยสมัครเข้าไป คนที่เข้ามาคือดูจากไลฟ์สดทั้งนั้น ใช่ค่ะ แทบทุกคนมาจากการดูไลฟ์สด เพราะเขาพูดจาน่าเชื่อถือ มีเน็ตไอดอลเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ใช้แต่เน็ตไอดอลดังๆ ทั้งนั้น แล้วแต่ละคนก็จะบอกว่าใช้ตัวนั้นดี ตัวนี้ดี คนส่วนใหญ่ก็จะเชื่อพวกดารา พวกเน็ตไอดอลทั้งนั้นเพราะเขามีชื่อเสียง และอีกอย่างเวลาไลฟ์สดเขาจะโชว์เงิน เขาจะบอกว่าเป็นโครงการปั้นรากหญ้าให้เป็นเศรษฐี จะเอาเงินมากองโชว์ให้เห็นว่าขายแล้วจะได้แบบนี้ ใครๆ ก็อยากมีเงินทั้งนั้นถ้าขายแล้วดีอย่างนี้ ใครก็อยากขาย นี่จึงเป็นจุดเด่นที่ดึงผู้คนเข้ามาสมัครเดิมเข้าใจว่าไปดูโฆษณาออนไลน์ แล้วก็ดูเฟซบุ๊คไลฟ์นี้ แต่ไม่รู้ว่าต้องเข้าไปเป็นตัวแทนการขายก่อน ตอนแรกที่เขาไลฟ์ เขาบอกแค่ว่า เซรัมทารักแร้ สามารถทาได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า และเขาจะพูดคำนี้ตลอดว่าเซรัมนี้เหมือนยาสามัญประจำบ้านต่อไปทั้งประเทศไทย และต่อไปทั่วโลกจะต้องมีเซรัมตัวนี้อยู่ในบ้านของทุกคนเพราะมันเปรียบเหมือนยาสามัญประจำบ้าน ต้องมีติดบ้านไว้ ใช้ทาได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า พอเราเข้าไปเป็นตัวแทนจะเห็นรีวิวเยอะมาก รักษาแผลเบาหวานก็ได้ แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกก็ได้ แผลผ่าตัดก็ได้ สิวฝ้าสารพัด แม้กระทั่งสะเก็ดเงินนี้ก็ได้ งูสวัดก็ได้อยากให้เกิดมาตรการอะไรบ้าง ที่จะช่วยเหลือในกรณีนี้ อยากให้รัฐช่วยควบคุมการรีวิวโฆษณาต่างๆ เหล่านี้ว่ามันเกินจริงจนเกินไป บอกว่าเป็นเซรัมรักแร้ แต่พอไปขายบอกว่ารักษาได้ร้อยแปดพันเก้า แทบจะทุกโรคเลยที่เกี่ยวกับผิวหนัง แล้วผู้บริโภคบางคนเขาไม่รู้ว่ามันจริงหรือไม่จริง เห็นมีรีวิวมามีแต่ดารา เน็ตไอดอลดังๆ ยืนยันคนก็จะเชื่อ อย่างเราใช้ไปแล้วเกิดผลเสียหายตอนแรกไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปพึ่งใคร ก็ได้แต่บอกทางบริษัท แต่บริษัทก็ไม่สนใจ ได้แต่บอกว่าไม่เคยเจอเคสแบบนี้เหมือนกันขณะนี้ได้ดำเนินการทางคดีอะไรไปบ้างไหมตอนนี้ในกรณีที่เราเป็นผู้เสียหายเรื่องสินค้าอยู่แล้ว ก็ไปแจ้งความที่กองปราบฯ และทางเพจดอกจิกบอกว่าจะไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อ เพราะได้ไปร้องทุกข์ไว้ที่กองปราบฯ มาแล้ว ไป สคบ. แล้ว และจะไปสำนักนายกรัฐมนตรีต่อด้วย  เพราะเพจดอกจิก บอกว่าเดี๋ยวเรื่องมันจะเงียบต้องคอยวิ่งเรื่อง เพราะจำนวนเงินไม่ใช่น้อยๆ มีผู้เสียหายเยอะมาก หลักพันคน อย่างเราเสียหายแล้วมีลูกทีมอีกตั้งหลายคนก็เสียหายกันหมดเป็นลูกโซ่เลย เพราะเขาไม่ได้เน้นขายปลีก เราสมัครเข้าไปเขาไม่เคยให้ซื้อไปลองใช้แบบปลีกเลย เน้นให้เรารับตัวแทนเพราะว่ามันจะได้จำนวนเยอะ ตัวแทนรายย่อยธรรมดานั้นซื้อ 1 กล่องก็ 390 บาทแล้ว แต่ถ้าขายปลีกเป็นซองมันแค่ 59 บาท คนที่เข้ามาเป็นตัวแทนรายย่อย เดี๋ยวเขาก็ต้องให้เพิ่ม เขาจะพยายามพูดให้เราจองเพิ่ม ตุนสินค้าเพิ่ม จะเป็นแนวนั้นหมด กลายเป็นว่าแต่ละคนโดนกันเยอะ บางคนหลายแสน บางคนเกือบล้านมีบทเรียนอะไรที่อยากฝากเตือนถึงคนอื่นๆ ตอนนี้คนเน้นเล่นเฟซบุ๊คกันเยอะ ต้องระวังภัยพวกนี้ อย่างที่สองอาจจะเป็นทีวีหรือสื่อทั้งหลายน่าจะมีเรื่องพวกนี้ให้ผู้บริโภคได้รับรู้บ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นเลย อยากให้ทำเป็นข้อควรระวังเรื่องสินค้า อะไรที่มันโฆษณาเกินจริงให้มีสอบถามได้ที่ไหนอย่าเพิ่งไปหลงเชื่อหน่วยงานของรัฐเอง ก็น่าจะมีข้อมูลเตือนเรื่องพวกนี้เยอะๆ ให้เราเช็คและสอบถามข้อมูลได้ง่ายและสะดวกจะช่วยได้เยอะมากเพราะทุกวันนี้มันไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย แล้วเราก็ต้องเอาตัวเองไปลองผิดลองถูกเป็นหนูทดลองยา ลูกชายจากที่ตอนแรกเรียนมหาวิทยาลัยที่หัวหิน พอแผลเฟะเขาก็ไม่กล้าไปเรียน ต้องหยุดเรียน และตอนนี้ก็ต้องเปลี่ยนเป็นเรียนแค่วันอาทิตย์ เราก็รู้สึกผิดนะที่ทำให้ลูกเป็นแบบนี้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 205 กระแสต่างแดน

ไม่ต้องกลัวตกขบวนการขนส่งระบบรางในเมืองใหญ่ของจีนขยายตัวมากในช่วงสองปีที่ผ่านมา ภาคเอกชนต่างทุ่มทุนสร้าง รีบเร่งขยายกำลังการผลิตรถไฟออกมาสนองความต้องการดังกล่าว แต่ขณะนี้รัฐบาลจีนกำลังขอให้รัฐบาลท้องถิ่นช่วยกำกับดูแลให้ผู้ลงทุนแตะเบรกกันสักนิด ถ้าปล่อยให้เป็นไปแบบนี้ต่อไป อาจมีรถไฟเกินความต้องการและบริษัทเหล่านี้จะเสี่ยงต่อภาวะหนี้ท่วมข่าวระบุว่าเมืองที่มีอัตราการใช้รถเฉลี่ยต่ำกว่าร้อยละ 80 ในช่วงสองปีที่ผ่านมาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ผลิตรถไฟเพิ่มแล้ว และรัฐบาลก็กำลังเตรียมปรับเกณฑ์การอนุญาตให้สร้างรถไฟไต้ดิน ที่เคยใช้มาตั้งแต่ปี 2003 เช่นกันที่ผ่านมามี 43 เมืองที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว ซึ่งระบุว่าเมืองที่จะมีรถไฟไต้ดินได้นั้นจะต้องมีรายได้ต่อปีมากกว่า 10,000 ล้านหยวน มี GDP ไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านหยวน และมีประชากรไม่ต่ำกว่า 3 ล้านคน นอกจากนี้รัฐบาลจีนยังมีแผนจะชะลอการเสนอโครงการใหม่ๆ ในอนาคตด้วย“ลดหน่อยนะหมอ”                ช่วงที่ผ่านมาค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของสิงคโปร์เพิ่มขึ้นจนน่าวิตก ทั้งๆ ที่ประชากรเขาก็จัดว่ามีสุขภาพดี หลายฝ่ายมองว่าการซื้อประกันสุขภาพ ที่ให้การคุ้มครองเต็มรูปแบบน่าจะมีส่วนทำให้เกิดการเคลม “ที่น่าสงสัย”                โดยมากแล้วผู้ซื้อประกันแบบครอบจักรวาลมักจะไม่ตั้งคำถามถึงความจำเป็นของการตรวจหรือทดสอบใดๆ ที่แพทย์สั่ง บางครั้งอาจร้องขอจากแพทย์เองด้วยซ้ำ เนื่องจากเบิกได้เต็ม(โดยลืมไปว่าอาจมีผลข้างเคียงหรืออันตรายได้)               ในการประชุมสภาเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาสมาชิกรัฐสภาสิงคโปร์ได้อภิปรายเรื่องการยกเลิกการขายประกันในลักษณะดังกล่าว มีการยกตัวอย่างคนไข้รายหนึ่งที่รับบริการส่องกล้องโพรงจมูกไป 12 ครั้งในรอบหนึ่งปี                ผู้ที่มีบทบาทในการหยุดหรือส่งเสริมความบ้าคลั่งนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากแพทย์เจ้าของไข้แพทยสภาของสิงคโปร์จึงส่งหนังสือเวียนถึงแพทย์ 13,500 คน เพื่อย้ำให้ปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงจริยธรรมว่าด้วยการตรวจรักษา และคิดค่าบริการอย่างเป็นธรรมและเหมาะสม และขอให้ทำเพื่อ “ประโยชน์” ไม่ใช่ “ความต้องการ” ของผู้ป่วยเริ่มกินจุบจิบ                การกินของว่างระหว่างมื้อไม่เคยมีอยู่ในวัฒนธรรมการกินของคนฝรั่งเศสมาก่อน มีเพียงเด็กวัยเรียนเท่านั้นที่จะดื่มนมกับกินขนมเวลาสี่โมงเย็น เพราะยังเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลามื้อเย็นกับพ่อแม่                แต่สิ่งนี้กำลังจะเปลี่ยนไป               การสำรวจความเห็นของผู้บริโภคจำนวน 1,200 คน พบว่าร้อยละ 86 เห็นว่าการกินจุบจิบเป็นเรื่องที่ทำได้ ไม่ผิดอะไร แม้ว่าแต่เดิมจะนิยมเก็บท้องไว้สำหรับการกินแบบมีคุณภาพในอาหารมื้อหลักก็ตาม               ร้อยละ 38 บอกว่าพวกเขากิน “ของว่าง” อย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง และเหตุผลสามอันดับต้นของการกินระหว่างมื้อคือเพื่อความสำราญ ประทังความหิว และเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย               และยังพบว่า “สแน็ค” มื้อสุดท้ายของวันมักจะเป็นช็อกโกแลตด้วย ...เข้าทาง “มอนโดเลซ” ผู้อยู่เบื้องหลังการสำรวจครั้งนี้พอดี ยังเชื่อได้ไหม               Equifax บริษัทข้อมูลเครดิต ถูกคณะกรรมการกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าของออสเตรเลียฟ้องข้อหาหลอกลวงผู้บริโภค                เขามีหลักฐานว่าในช่วงระหว่างมิถุนายน 2013 ถึง มีนาคม 2017 บริษัทนี้ให้ข้อมูลกับผู้ใช้บริการว่า ถ้าเลือกแพ็คเก็จแบบจ่ายเงิน ผู้ใช้จะได้ข้อมูลที่ครบถ้วนกว่าแบบที่เข้าดูฟรี(จริงๆ แล้ว ข้อมูลเดียวกัน)              แถมยังบอกด้วยว่า ถ้าจ่ายเงินซื้อรายงานความน่าเชื่อถือ ลูกค้าจะสามารถเข้าไปแก้ไขประวัติความน่าเชื่อถือของตนเองได้ด้วย(ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ ตามมาตรฐานจริยธรรมของผู้ให้บริการข้อมูลเครดิต)               บริษัทนี้มีสาขาใหญ่อยู่ที่เมืองแอตแลนตาในสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ผู้บริหารระดับสูงก็ถูกรัฐบาลอเมริกันฟ้องแพ่งและอาญา ข้อหาเปิดเผยข้อมูลวงใน สืบเนื่องกับเหตุการณ์ที่บริษัท “ถูกแฮก” ข้อมูลเมื่อปีที่แล้วรอจนจอเสื่อม                 มันช่างน่าอับอายยิ่งนัก เมื่อประเทศจอมประสิทธิภาพอย่างเยอรมนีไม่สามารถเปิดใช้งานสนามบินแห่งใหม่ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 2006 ได้                ตามกำหนดการแล้วสนามบินเบอร์ลินจะเปิดบริการในปี 2011 แต่โครงสร้างหลังคาที่มีน้ำหนักเกินจากที่ได้รับอนุญาต ปัญหาระบบป้องกันไฟไหม้ ผู้รับเหมาล้มละลาย การคอรัปชั่น ฯลฯ ทำให้ยังไม่สามารถเปิดได้ และงบประมาณก็งอกจาก 1,700 ล้านยูโร เป็น 6,000 ล้านยูโรแล้ว                  ที่สำคัญ สนามบินที่ยังไม่เปิดนี้มีค่าใช้จ่ายตลอดเวลา                 โรงแรมใกล้สนามบินต้องมีแม่บ้านดูแล รถไฟสายสนามบินต้องวิ่งรถเปล่าเข้ามาสัปดาห์ละสองครั้ง จอมอนิเตอร์จำนวน 750 จอที่ใช้แจ้งเที่ยวบินก็ต้องเปิดไว้ตลอด 24 ชั่วโมง                 ข่าวฮือฮาล่าสุดคือการจัดซื้อจอมอนิเตอร์ใหม่หลังจากใช้มาหกปี หลายสำนักสงสัยว่าจะรีบเปลี่ยนทำไม เดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนอีกรอบ กว่าสนามบินจะเปิดได้ เขาอาจใช้เทคโนโลยีฮอโลแกรมกันแล้ว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 205 ครีมทาสิวยุบทันใจ

ขึ้นชื่อว่าเป็น “สิว” แล้ว ไม่ว่าจะตุ่มเล็ก ตุ่มใหญ่ มากหรือน้อยแค่ไหนก็สร้างความกังวลใจได้เสมอ หลายคนจึงต้องสรรหาสารพัดวิธีเพื่อกำจัดปัญหาดังกล่าว และหนึ่งในวิธียอดฮิตก็หนีไม่พ้นการซื้อครีมทาสิวมารักษาด้วยตนเอง ซึ่งเรามักพบว่าครีมที่ช่วยทำให้สิวยุบทันใจมีวางขายกันเกลื่อนกลาด แต่ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นจะมีความปลอดภัยต่อผิวหน้าของเรามากแค่ไหน ลองไปดูกัน มารู้จักสิวกันสักนิดไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงเมื่อเราเข้าสู่วัยรุ่น การแพ้สารเคมีในเครื่องสำอาง กรรมพันธุ์ การติดเชื้อแบคทีเรีย (Propionibacterium acnes) หรือการผลิตไขมันที่มากเกินไปของต่อมไขมัน รวมทั้งความผิดปกติหรือการอักเสบของรูขุมขน ล้วนเป็นปัจจัยที่สามารถทำให้เกิดสิวได้ทั้งสิ้นรักษาสิวด้วยครีมทาสิว ดีอย่างไรแน่นอนว่าสิวสามารถยุบไปเองได้ตามธรรมชาติ แต่ต้องใช้เวลานาน ทำให้ครีมรักษาสิวได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย โดยเราสามารถเลือกซื้อเองได้ตามร้านขายยาหรือท้องตลาดทั่วไป ซึ่งนอกจากจะทำให้สิวยุบเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ยังมีราคาไม่แพงมากอีกด้วยอย่างไรก็ตามการเลือกซื้อครีมทาสิวที่มักโฆษณาว่า “เห็นผลเร็วทันใจ” “สิวหายภายใน 24 ชั่วโมง” ถือเป็นทางเลือกที่เราต้องระมัดระวังให้มาก เพราะผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอาจมีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ ที่สามารถส่งผลเสียระยะยาวให้ผิวหน้าเราพังได้อย่างไม่รู้ตัวสเตียรอยด์ในครีมทาสิว ทำหน้าพังได้อย่างไรแม้สเตียรอยด์ (steroid) จะเป็นตัวยาสำคัญที่ใช้ในการรักษาโรค และพบมากในยาแต้มสิวหรือยาฉีดสิว เพราะช่วยต้านการอักเสบหรือลดอาการปวดต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะการใช้สารดังกล่าวติดต่อกัน สามารถทำให้ผิวหนังบาง แดง อักเสบ แพ้ง่ายหรือบางรายอาจเป็นสิวผดเห่อขึ้นทั่วหน้า รวมทั้งหลังหยุดใช้ยาผิวจะดูเหี่ยวเร็วหรือเส้นเลือดใต้ผิวหนังแตก ซึ่งรักษายากและใช้เวลานานกว่าผิวจะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมสังเกตครีมทาสิวที่ไม่ปลอดภัยเพราะสเตียรอยด์สามารถทำร้ายผิวได้อย่างร้ายแรงตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ส่งผลให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง โดยห้ามไม่ให้มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ในเครื่องสำอางอย่างไรก็ตามครีมทาสิวหลายยี่ห้อกลับลักลอบใส่สารดังกล่าวลงไป พร้อมโฆษณาว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยรักษาสิวได้อย่างรวดเร็ว และผู้บริโภคหลายคนอาจเผลอใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เพราะคิดว่าเป็นเพียงเครื่องสำอางชนิดหนึ่งเท่านั้น ทั้งนี้เราสามารถมีวิธีสังเกตครีมทาสิวที่ไม่ปลอดภัยได้ง่ายๆ ดังนี้- แยกความแตกต่างระหว่างเครื่องสำอางและยาวิธีการง่ายๆ เพื่อตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์ที่เรากำลังจะใช้ สามารถรักษาสิวได้จริงหรือไม่นั้น คือผลิตภัณฑ์ดังกล่าวต้องเป็น “ยา” ที่มีผลในการบำบัด บรรเทา รักษาหรือป้องกันโรค ซึ่งดูได้จากเลขทะเบียนยา เช่น ยาที่ผลิตในประเทศ และมีตัวยาออกฤทธิ์เพียงตัวเดียวต้องระบุ (Reg.No.) 1A…/… หรือ ๒A …/… พร้อมมีฉลากภาษาไทย และเอกสารกำกับยาติดอยู่ในขวดหรือในกล่องยาที่ระบุรายละเอียดสำคัญ ดังนี้ 1. ชื่อยา 2. ปริมาณหรือขนาดบรรจุของยา 3. เลขที่หรืออักษรแสดงครั้งที่ผลิต เช่น Lot No… 4. ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตหรือนำเข้า 5.วันเดือนปีที่ผลิตหรือวันหมดอายุ เช่น Mfd. / Exp. Date 6. ตัวอักษรสีแดงคำว่า ยาอันตราย/ ยาควบคุมพิเศษ/ ยาใช้เฉพาะที่ หรือยาใช้ภายนอก (แล้วแต่กรณี) 7. วิธีใช้และคำเตือนโดยหากพบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่มีรายละเอียดดังกล่าว แต่มีเลขที่จดแจ้งจำนวน 10 หรือ 13 หลัก โดยไม่มีกรอบเครื่องหมาย อย. ก็แสดงเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ที่มีจุดประสงค์เพื่อความสะอาดหรือความสวยงามเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถใช้รักษาสิวหรือโรคใดๆ ได้ นอกจากนี้เรายังสามารถนำเลขทะเบียนยาที่พบ ไปตรวจสอบความถูกต้องได้ที่เว็บไซต์ของ อย.(http://porta.fda.moph.go.th/FDA_SEARCH_ALL/MAIN/SEARCH_CENTER_MAIN.aspx) เพราะบางยี่ห้ออาจมีการใช้เลขทะเบียนตำรับยาปลอม รวมทั้งในการใช้ยารักษาสิวดังกล่าว ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของเภสัชกรและไม่ควรใช้นานเกินกว่า 2 สัปดาห์ 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 205 แอปพลิเคชันสำหรับผู้สอบใบขับขี่

แม้ว่าการเดินทางโดยใช้รถโดยสารสาธารณะ ซึ่งมีทั้งรถเมล์ รถแท็กซี่ รถไฟฟ้า จะช่วยให้มีความสะดวกสบายในการเดินทางระดับหนึ่ง แต่การมีรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์เป็นของตนเองนั้นก็ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากการใช้รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ส่วนตัวช่วยทำให้การเดินทางมีความสะดวกสบายมากกว่าการใช้รถโดยสารสาธารณะ จึงทำให้มีผู้ที่ต้องการสอบใบขับขี่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เมื่อมีการซื้อรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ใหม่ ผู้สอบใบขับขี่มือใหม่จึงต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการสอบใบขับขี่เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสร้างความมั่นใจในการสอบใบขับขี่ โดยเฉพาะแอปพลิเคชันที่จะคอยให้ข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับการสอบใบขับขี่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ได้อย่างรวดเร็ว อย่างแอปพลิเคชั่น “สอบใบขับขี่”  ในหน้าแรกของแอปพลิเคชั่น “สอบใบขับขี่” จะมีหมวดต่างๆ ดังนี้ หมวดการขับขี่รถยนต์ หมวดการขับขี่รถจักรยานยนต์ หมวดแนวข้อสอบพร้อมเฉลย หมวดคลิปสอบปฏิบัติ หมวดตะลุยข้อสอบ หมวดรอบรู้เรื่องขับขี่ หมวดข่าวสารรถยนต์ และหมวดผู้ฝึกขับขี่ หมวดการขับขี่รถยนต์และหมวดการขับขี่รถจักรยานยนต์ ภายในสองหมวดนี้จะมีข้อมูลแบ่งเป็น 8 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 การฝึกพื้นฐานการขับขี่ ซึ่งกล่าวถึงบรรยากาศการสอบใบขับขี่ทั่วไป ขั้นที่ 2 เรื่องคุณสมบัติและเอกสารของผู้ขอรับใบขับขี่ ขั้นตอนการดำเนินการ ขั้นที่ 3 เลือกสถานที่สอบ ซึ่งสามารถค้นหาสถานที่สอบตามจังหวัดว่าอยู่ที่ใด พร้อมมีเบอร์ติดต่อ ขั้นที่ 4 ระเบียบการสอบ โดยแบ่งเป็นการสอบสมรรถภาพ การสอบข้อเขียน การสอบภาคปฏิบัติและคลิปสอบปฏิบัติ ซึ่งจะแจ้งข้อมูลว่าต้องสอบในลักษณะใด ขั้นที่ 5 ทบทวนข้อสอบที่ใช้ในการสอบใบขับขี่  ขั้นที่ 6 เรื่องเทคนิคการสอบภาคปฏิบัติ ซึ่งเป็นตัวอย่างขณะที่สอบว่าควรทำอย่างไรบ้าง ขั้นที่ 7 เป็นการเรียนรู้ความผิดพลาดที่ผู้ที่เคยสอบใบขับขี่เคยผิดพลาด และขั้นที่ 8 การจองคิวออนไลน์เฉพาะในกรุงเทพฯ ซึ่งจะลิ้งไปยังเว็บไซต์กรมการขนส่งทางบกหมวดแนวข้อสอบพร้อมเฉลย เป็นหมวดที่รวบรวมแนวข้อสอบที่มีคำเฉลยโดยแบ่งเป็น 5 เรื่อง คือ กฎหมายว่าด้วยรถยนต์และรถจักรยานยนต์ กฎหมายจราจรทางบก เครื่องหมายจราจร มารยาทและจิตสำนึก และหมวดการบำรุงรักษารถ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับหมวดตะลุยข้อสอบ แต่ในหมวดตะลุยข้อสอบจะให้ฝึกตอบคำถามสำหรับผู้ที่จะสอบใบขับขี่ด้วยตนเองส่วนหมวดรอบรู้เรื่องขับขี่ จะรวบรวมคำถามที่พบบ่อย อย่างเช่น การขับรถเกียร์ออโต้ ชนิดของใบขับขี่ การต่ออายุใบขับขี่ อัตราภาษีรถตาม พ.ร.บ. กฎหมายเมาแล้วขับ มาตรการบันทึกคะแนน วิธีการเปลี่ยนใบขับขี่แบบใหม่ เป็นต้นสำหรับหมวดคลิปสอบปฏิบัติ จะแบ่งเป็นคลิปสอบรถยนต์และรถจักรยานยนต์ หมวดข่าวสารรถยนต์ ซึ่งรวบรวมข่าวสารที่เกี่ยวข้อง และหมวดผู้ฝึกขับขี่จะเป็นเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับผู้ฝึกขับขี่มือใหม่ผู้ที่สนใจจะสอบใบขับขี่ลองดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “สอบใบขับขี่” มาลองศึกษาข้อมูลและลองฝึกตอบคำถามเพื่อเตรียมตัวในการสอบใบขับขี่ ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้สอบใบขับขี่ครั้งแรก รวมถึงผู้ที่ต้องการต่อใบขับขี่ เพื่อเป็นการรื้อฟื้นข้อมูลเมื่อต้องไปต่อใบขับขี่อีกครั้ง 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 205 อยากจะขายของออนไลน์ อย่าเผลอไผลไปเสียรู้

ยุคนี้ การขายสินค้าออนไลน์ทำรายได้ให้กับคนรุ่นใหม่มากมาย นักขายของออนไลน์หน้าใหม่ผุดขึ้นดังดอกเห็ด แต่สุดท้ายหลายรายก็เสียรู้ถูกหลอก เสียทั้งเงินและยังเสียรู้ทำผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว คนรุนใหม่หลายคนมาปรึกษาผมทั้งทางตรงและโทรเข้ามาสอบถาม เนื่องจากหาทางออกเกี่ยวกับการขายของออนไลน์ไม่ได้รายแรกเธอสนใจจะขายสินค้าออนไลน์ จึงเปิดตามเน็ตเห็นโฆษณาว่ารับจ้างผลิตสบู่ พร้อมขออนุญาตจาก อย. และทำฉลากให้เสร็จ สามารถนำไปจำหน่ายได้ทันที ภายหลังจากติดต่อกันแล้ว เธอก็ส่งข้อมูลส่วนตัวทั้งบัตรประชาชน บ้านเลขที่ พร้อมทั้งเลือกสบู่ที่เธอต้องการจะจำหน่ายจากแคตตาล๊อคที่เขาส่งมาให้ดู (ทั้งหมดนี้ ติดต่อทางอินเทอร์เน็ต) หลังจากนั้นเธอก็ได้สบู่ที่มีชื่อเธอเป็นผู้ผลิตส่งกลับมาให้เธอจำหน่ายได้ตามต้องการ เธอจำหน่ายได้สักระยะหนึ่ง เห็นว่าธุรกิจจะไปไม่รอด จึงติดต่อทางผู้ผลิตขอยกเลิก แต่ปรากฏว่าไม่มีการตอบรับใดๆ เธอกลัวว่าจะมีผลทางกฎหมาย หากมีสบู่ที่มีชื่อเธอเป็นเจ้าของขายต่อไปเรื่อยๆรายที่สอง เธอเห็นขนมชนิดหนึ่งที่คนกำลังนิยมรับประทาน แต่ขนมนี้ขายทางออนไลน์ มีเลข อย.เรียบร้อย เธอจึงสนใจจะนำมาขายบ้าง จึงติดต่อผู้ผลิตเพื่อจ้างให้ผลิตส่งให้เธอ โดยขอให้ระบุชื่อเธอเป็นผู้ผลิต หลังจากติดต่อกันเรียบร้อยแล้ว เธอก็มีขนมที่มีชื่อเธอเป็นผู้ผลิตส่งมาให้เธอเพื่อจำหน่ายทางออนไลน์ เมื่อจำหน่ายไปสักระยะหนึ่ง ลูกค้าออนไลน์ของเธอแจ้งกลับมาว่าขนมขึ้นราง่าย บางห่อมีราอยู่ข้างในตั้งแต่เมื่อได้รับของ ลูกค้าขอเงินคืนและยังขู่ว่าหากไม่ยอมจะไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่ให้ดำเนินคดีด้วยผู้ขายสินค้าออนไลน์ทั้งสองรายข้างต้น ต่างเป็นเหยื่อผู้ผลิตและเหยื่อของความไม่รู้ของตนเองทั้งคู่ ผู้ผลิตเครื่องสำอางหรือผู้ผลิตขนมที่รับจ้างผลิตให้ผู้ขายทั้งสองราย อาศัยประโยชน์ที่ตนเองได้รับอนุญาตแล้วมาเป็นช่องทางในการหาประโยชน์ให้ตนเอง ผู้ผลิตสบู่รายแรกได้รับเลขที่จดแจ้งแล้ว จึงอาศัยที่สามารถจดแจ้งทางออนไลน์กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้อย่างง่าย จดแจ้งตราใหม่เพิ่มเติม และเมื่อได้แล้วก็พิมพ์ฉลากโดยใช้ชื่อผู้ว่าจ้างเป็นผู้ผลิต และส่งมาให้เธอจำหน่าย ส่วนผู้ผลิตขนมก็ทำเช่นเดียวกันคือขอ อย.ตราใหม่ของขนมชนิดเดิม โดยใช้ตราตามที่ผู้ว่าจ้างต้องการ และแสดงชื่อและสถานที่ของผู้ว่าจ้างเป็นผู้ผลิตแทนสถานที่ผลิตจริงของตนเองในแง่กฎหมายนั้น การแสดงฉลากต้องตรงกับความเป็นจริง ผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิดนี้ แม้จะผลิตจากผู้ผลิตที่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายแล้ว แต่การแสดงชื่อสถานที่ผลิตไม่ตรงกับสถานที่จริง ถือว่ามีความผิด เป็นผลิตภัณฑ์ปลอม และเมื่อพบว่าคุณภาพผลิตภัณฑ์ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ผู้ที่มีชื่อเป็นผู้ผลิตบนฉลากจึงต้องมาเกี่ยวข้องรับผิดชอบในฐานะผู้ผลิต ซึ่งหากจะพิสูจน์ความผิดว่าตนไม่ใช่ผู้ผลิตตัวจริง ก็ต้องวุ่นวายพิสูจน์หลักฐานต่างๆ อีก เสียทั้งเวลา เจ็บทั้งใจการทำมาหากินไม่ใช่สิ่งผิด หากผู้ที่จะทำธุรกิจมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ตลอดจนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งวิธีการขออนุญาต การแสดงฉลาก การโฆษณา ฯลฯ ไม่เช่นนั้นเราอาจจะกระทำผิดกฎหมายหรือถูกหลอกให้ต้องร่วมรับผิดชอบในสิ่งที่ผิดกฎหมายด้วยเช่นกัน ผู้อ่านท่านใดที่สนใจจะขายสินค้าออนไลน์ ประเภท อาหาร เครื่องสำอาง ฯลฯ ขอให้ติดต่อสอบถามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดได้ทุกจังหวัดเลยนะครับ จะได้ไม่พลาดเหมือนสองรายที่ผมเล่ามาครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 205 ฉลากเขียว สัญลักษณ์เพื่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม

การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของประชากรโลก ทำให้การบริโภคทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตามไปด้วย ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นประเด็นกระแสที่ถูกพูดถึงไม่จบสิ้น เป็นปัญหาสำคัญระดับโลกที่ทำให้ผู้คนหลายๆ ประเทศตื่นตัวและตระหนักในการแก้ปัญหาร่วมกันผ่านการริเริ่มกิจกรรมต่างๆ เพื่อลดโลกร้อน เช่น การใช้ถุงพลาสติกให้น้อยลงหรือใช้ถุงผ้าทดแทน การยกเลิกพลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่ม การไม่ใช้หลอดพลาสติก เหล่านี้เป็นยุทธวิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของผู้คนให้รักษ์โลกมากขึ้น เช่นเดียวกันกับโครงการฉลากเขียว ที่หลายๆ คน อาจจะเคยบังเอิญสังเกตเห็น ฉลากสีเขียววงกลมที่มีรูปนก ต้นไม้และหน้าเด็กยิ้ม ชวนให้สงสัยว่าฉลากสีเขียวนี้คืออะไร และเป็นประโยชน์กับเราอย่างไรฉลากเขียวคืออะไร ? ฉลากเขียว (Green label) หรือฉลากเพื่อสิ่งแวดล้อม (eco-label) เป็นฉลากสิ่งแวดล้อมประเภทที่ 1 (ตาม ISO) ที่มอบให้แก่ผลิตภัณฑ์ เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้แสดงบนฉลากผลิตภัณฑ์เพื่อสื่อสารให้ผู้บริโภคทราบว่า สินค้าชิ้นนั้นเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นสินค้าที่มีองค์ประกอบ กระบวนการผลิต การใช้ ตลอดจนการกำจัดทำลายที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในประเภทเดียวกัน โดยมีองค์กรกลางเป็นผู้ให้การรับรองวิวัฒนาการของฉลากเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ eco-label  เริ่มต้นจากประเทศในแถบยุโรปโดยมีประเทศเยอรมนีเป็นหัวหอกและนับประเทศแรกที่เอาจริงเอาจังในการพัฒนาโครงการฉลากสิ่งแวดล้อม เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 ใช้ฉลากที่เรียกว่า นางฟ้าสีฟ้า (Blue Angel) ในการรณรงค์ปกป้องสิ่งแวดล้อมด้วยจุดมุ่งหมาย 3 ประการคือ ชี้แนะให้ผู้บริโภคซื้อเฉพาะแต่สินค้าที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ส่งเสริมให้ผู้ผลิตพัฒนาสินค้าที่รักษาสิ่งแวดล้อม และรณรงค์ให้ฉลากนางฟ้าสีฟ้าเป็นสัญลักษณ์ในการส่งเสริมการจำหน่าย ฉลากนางฟ้าสีฟ้า ได้เริ่มจากการใช้คำว่า เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ Umweltfreundlich (Environment Friendly) มาแก้ไขเป็น ฉลากสิ่งแวดล้อม หรือ Umweltzeichen (Environment Label) ในปี พ.ศ. 2531 เพื่อหลีกเลี่ยงคำโฆษณาต่างๆ ที่มักใช้ประโยคว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในกลุ่มสหภาพยุโรปเอง ก็มีฉลาก EU-Eco Label หรือที่เรียกว่า EU – Flower ของสหภาพยุโรป เป็นตราสัญลักษณ์ฉลากสิ่งแวดล้อมของทุกประเทศในสหภาพยุโรปที่แสดงให้เห็นว่า สินค้าเหล่านั้นมีการผลิตและได้รับการรับรองแล้วว่ามีวงจรชีวิต (Life Cycle) ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม และพยายามลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบในการผลิต กระบวนการผลิตเป็นสินค้า และผลกระทบของคุณภาพสินค้าต่อผู้บริโภค เช่น การรักษาคุณภาพน้ำ อากาศ ดิน และเสียง รวมทั้งเรื่องการประหยัดพลังงาน โดยพิจารณาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการผลิต ทั้งในเรื่องวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การบรรจุหีบห่อ การใช้งาน จนถึงขั้นตอนสุดท้ายซึ่งเป็นการกาจัดกากเหลือใช้หรือการนากลับมาใช้ใหม่ EU Eco-label มีสัญลักษณ์เป็นรูปดอกไม้และมีรูปตัวอีคล้ายสัญลักษณ์ของเงินยูโรแทนเกสรดอกไม้ เริ่มใช้เป็นครั้งแรกในปี 2536สำหรับประเทศไทย โครงการฉลากเขียวริเริ่มขึ้นโดยองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน Thailand Business Council for Sustainable Development (TBCSD) เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2536 โดยได้รับความร่วมมือจากกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการโครงการฉลากเขียวเกิดขึ้นเพื่อเป็นหน่วยงานอิสระที่ใช้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่อผู้บริโภค มีความเป็นกลาง โปร่งใส เชื่อถือได้ โดยมีการส่งเสริมให้เกิดความตระหนักและป้องกันมลพิษที่อาจเกิดขึ้นตลอดวัฎจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ เนื่องจากสินค้าสีเขียวที่มีจำหน่ายในท้องตลาดเกิดจากการประชาสัมพันธ์ของผู้ผลิตและผู้จัดนำหน่ายโดยอิสระเท่านั้นฉลากเขียว เป็นฉลากสิ่งแวดล้อมประเภทที่ 1 ตามมาตรฐาน ISO14024 เริ่มดำเนินการให้การรับรองผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่ปี 2537 โดยฉลากเขียวได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกที่ได้รับรองระบบงานGenesis (เจเนซิส) ของเครือข่ายฉลากสิ่งแวดล้อมโลก Global Ecolabelling Network (GEN) มีสมาชิกมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ซึ่งมีวัตถุประสงค์ร่วมกันในการพัฒนาเกณฑ์ของผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สามารถใช้ร่วมกันได้ในระดับสากล Common Core Criteria (CCC) และในการสร้างความร่วมมือระหว่างกลุ่มสมาชิก อาจลงนามบันทึกความเข้าใจ Memorandum of Understanding (MOU) ร่วมกันเพื่อดำเนินงานร่วมกันระดับองค์กร ในการยอมรับมาตรฐานห้องปฏิบัติการ และผลการทดสอบของผลิตภัณฑ์เดียวกันปัจจุบันฉลากเขียวได้ดำเนินงานด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกันกับหน่วยงานด้านฉลากสิ่งแวดล้อมของประเทศต่างๆ เพื่อการรับสมัครขอการรับรองฉลากสิ่งแวดล้อม และ การตรวจประเมินสถานประกอบการ (On-Site Assessment) แทนกันของประเทศที่มีความร่วมมือ ในการรับรองฉลากสิ่งแวดล้อมประเภทที่ 1 ได้แก่ ไต้หวัน เกาหลี นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย จีน ฟิลิปปินส์ ฮ่องกง มาเลเซีย และเยอรมนีนอกจากนี้ ฉลากเขียวยังได้มีการพัฒนาเกณฑ์ข้อกำหนดสำหรับใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงในการรับรองผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สามารถใช้ร่วมกันได้ในระดับสากล Common Core Criteria (CCC) เพื่อให้มีสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลิตภัณฑ์บางชนิดที่ถูกนำเข้าหรือส่งออกในตลาดระหว่างประเทศ เช่น เครื่องพิมพ์ (Printers) เครื่องถ่ายเอกสาร (Copiers) และผลิตภัณฑ์เครื่องฉายดิจิตอล (Digital Projectors)แนวคิดและวัตถุประสงค์ของโครงการฉลากเขียว ฉลากเขียวเป็นฉลากที่ออกให้กับผลิตภัณฑ์ ซึ่งได้ผ่านการประเมินและตรวจสอบว่าได้มาตรฐานทางด้านสิ่งแวดล้อมตามข้อกำหนด โดยความสมัครใจของผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่ายหรือผู้ให้บริการที่ต้องการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีทางด้านสิ่งแวดล้อมให้กับผู้บริโภค โดยการกระตุ้นให้มีการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย กระตุ้นให้กลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิต หันมาใช้เทคโนโลยีสะอาด รวมถึงกระตุ้นให้รัฐบาลและเอกชน ร่วมมือกันฟื้นฟูรักษาสิ่งแวดล้อม และลดปัญหามลภาวะด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคในสังคม ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของโครงการฉลากเขียว มาจากแนวคิดและความต้องการให้ประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยยึดหลักการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศควบคู่ไปกับการป้องกันรักษาสิ่งแวดล้อม ดังนี้ 1. ลดมลภาวะสิ่งแวดล้อมโดยรวมภายในประเทศ 2. ให้ข้อมูลที่เป็นกลางต่อผู้บริโภคเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ทำหน้าที่อย่างเดียวกัน 3. ผลักดันให้ผู้ผลิตใช้เทคโนโลยีหรือวิธีการผลิตที่สะอาด ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยผู้บริโภคได้อะไรจากการซื้อสินค้าหรือบริการที่มีฉลากเขียว ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองฉลากเขียวนั้นมีข้อกำหนดและการพิจารณาแตกต่างกันไปตามประเภทของผลิตภัณฑ์หรือบริการ ทั้งในแง่การผลิต การใช้ การทิ้งทำลาย และความเสียหายของสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ เรียกว่าครบทั้งวงจรวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ชนิดนั้นๆ ซึ่งจะคำนึงถึงการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้มีการผลิต การขนส่ง การใช้และการกำจัดทิ้งหลังการใช้อย่างมีประสิทธิภาพตามหลัก 3R คือ ลดการใช้ (Reduce) ใช้ซ้ำ (Reuse) และนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle)  การที่ผู้บริโภคเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากเขียว เป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยกันลดปัญหาโลกร้อน รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ได้รับฉลากเขียวยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองว่ามีคุณภาพสูงกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป มีความปลอดภัยจากสารเคมีที่เป็นอันตราย เนื่องจากมีการตรวจสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ซึ่งนอกจากจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ผู้บริโภคยังได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มีมาตรฐานความปลอดภัยอีกด้วย ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองฉลากเขียว ผลิตภัณฑ์ที่สามารถขอการรับรองฉลากเขียวได้นั้น แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ สินค้า และบริการ (บางประเภท) ยกเว้น ยา เครื่องดื่ม และอาหาร เนื่องจากการติดฉลากเขียวบนผลิตภัณฑ์ยา เครื่องดื่มและอาหาร มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ ความปลอดภัยในการบริโภค เพราะอาจสร้างความสับสนให้กับผู้บริโภคได้ ปัจจุบันฉลากเขียวของประเทศไทย มีข้อกำหนดสำหรับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่พร้อมให้ผู้ผลิตยื่นขอรับการรับรองเครื่องหมายฉลากเขียวแล้ว จำนวน 124 ผลิตภัณฑ์ มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับสิทธิ์ให้ใช้เครื่องหมายฉลากเขียว รวมทั้งสิ้น 674 รุ่น ใน 30 กลุ่มผลิตภัณฑ์ และ 72 บริษัท/ผู้ผลิต (ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ได้รับฉลากเขียว) (ข้อมูลเผยแพร่ รายละเอียดผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองฉลากเขียว ประจำเดือน ม.ค.2561; http://www.tei.or.th/greenlabel/download/2018-01-Name-GL-th.pdf) โดยผู้บริโภคสามารถดูรายชื่อผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองฉลากเขียว และรายชื่อห้องปฏิบัติการทดสอบที่ยอมรับผลโดยฉลากเขียว (ISO/IEC 17025) ได้ที่เว็บไซต์ www.tei.or.th/greenlabel นอกจากฉลากเขียวแล้ว ภาครัฐยังมีการส่งเสริมระบบการติดฉลากสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เช่น ฉลากคาร์บอน ฉลากประหยัดพลังงาน ฉลากรับรองไม่ทำลายป่าไม้ ฉลากลดการใช้น้ำ และเกียรติบัตรใบไม้สีเขียวสำหรับธุรกิจโรงแรม เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า สินค้านั้นๆ มีคุณประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าสินค้าหรือบริการประเภทเดียวกันที่ไม่มีฉลากรับรอง ทั้งนี้ การอ่านฉลากสินค้าจะช่วยให้เราทราบข้อมูลที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ก่อนการตัดสินใจเลือกซื้อหาหรือใช้บริการอย่างปลอดภัย ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ได้กำหนดให้มีการแสดงหรือระบุข้อความบนฉลากตามข้อกฎหมาย โดยฉลากสินค้าต้องใช้ข้อความที่ตรงตามความเป็นจริง ไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้า โดยหากผู้บริโภคพบเจอสินค้าที่มีข้อความบนฉลากที่เป็นเท็จ หรือก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้า สามารถร้องเรียนได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ให้ดำเนินการกับผู้ประกอบการที่กระทำผิดตามกฎหมายได้ ในฐานะพลเมืองโลกที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม (Active Citizen) อย่างเราๆ การเลือกสรรหรือลดการบริโภคด้วยการเริ่มเป็นผู้บริโภคสีเขียว (Green Consumers) ที่รู้จักประมาณการบริโภคและตระหนักว่า การบริโภคทุกอย่างล้วนส่งผลกระทบต่อตนเองและสังคม การเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากเขียว ก็นับเป็นกิจกรรมที่มุ่งสู่การบริโภคที่พอเพียงบนวิถีแห่งการรักษ์โลกที่แท้จริงเช่นกันแหล่งข้อมูลอ้างอิง- www.tei.or.th/greenlabel- ศูนย์วิจัยนโยบายด้านเศรษฐกิจสีเขียว (https://progreencenter.org)- สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)สัญลักษณ์สีเขียวมีรูปหน้าเด็กยิ้ม ต้นไม้และนกที่อยู่ร่วมกันในโลกที่เห็นนี้เป็นสัญลักษณ์ของ “ฉลากเขียว” ของประเทศไทย -----------------------------------------------------------------------------ฉลากสิ่งแวดล้อม (ECO LABELLING)“ฉลากสิ่งแวดล้อม” เป็นกลไกการสื่อสารและบ่งบอกความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ให้แก่ผู้บริโภครับทราบ โดยฉลากสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐาน ISO  สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ     ฉลากสิ่งแวดล้อมประเภทที่ 1 ( ISO14024)เป็นฉลากที่บ่งบอกความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะมอบให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนด โดยองค์กรอิสระที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย (Third party) โดยจะพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อมแบบใช้วิธีพิจารณาแบบตลอดวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Consideration) ในประเทศไทยมีการออกฉลากประเภทที่ 1 ซึ่งรู้จักกันดีในนาม “ฉลากเขียว” ฉลากสิ่งแวดล้อมประเภทที่ 2 ( ISO14021)เป็นฉลากที่ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย หรือ ผู้ส่งออก จะเป็นผู้บ่งบอกความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือแสดงค่าทางสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ตนเอง (Self-declared Environmental Claims)  ซึ่งอาจจะแสดงในรูปของข้อความ หรือสัญลักษณ์ รูปภาพ เช่น การใช้พลังงานอย่างประหยัด การนำกลับมาใช้ใหม่ เป็นต้น โดยฉลากนี้ จะไม่มีองค์กรกลางในการดูแล แต่ทางผู้ผลิต จะต้องสามารถหาหลักฐานมาแสดงเมื่อมีคนสอบถาม ดังนั้น ฉลากประเภทนี้ผู้ผลิตสามารถทำการศึกษาหรือประเมินผลได้ด้วยตนเองฉลากสิ่งแวดล้อมประเภทที่ 3 ( ISO14025)เป็นฉลากที่บ่งบอกถึงผลกระทบของผลิตภัณฑ์ต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการแสดงข้อมูลสิ่งแวดล้อมโดยรวม (Environmental information) โดยการใช้เครื่องมือการประเมินผลกระทบตลอดวัฏจักรชีวิตของสิ่งแวดล้อม (Life Cycle Assessment) เข้ามาประเมิน ตามมาตรฐาน ISO 14040 โดยฉลากนี้ จะมีหน่วยงานอิสระหรือองค์กรกลางในการทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนที่จะประกาศลงกับผลิตภัณฑ์นั้นๆ ต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 205 รู้เท่าทันสุขภาพของโลก

การเห็นภาพรวมของสุขภาพของคนในโลก หรือของโลกจะทำให้เราเห็นภาวะสุขภาพของเพื่อนร่วมโลก เห็นแนวโน้มของภาวะสุขภาพโดยรวม และช่วยในการจัดลำดับความสำคัญของปัญหาสุขภาพของแต่ละประเทศ  เรามารู้เท่าทันสุขภาพของโลกที่สวยงามใบนี้เถอะ องค์การอนามัยโลกได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับภาวะของโรค การสูญเสียภาวะสุขภาพจากสาเหตุความเจ็บป่วยและการตายทั่วโลกและภูมิภาคต่างๆ ครอบคลุมโรคต่างๆ กว่า 130 โรคและการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นในโลก  และได้จัดทำรายงาน ข้อเท็จจริง 10 เรื่องเกี่ยวกับภาวะสุขภาพทั่วโลก (พฤษภาคม ค.ศ. 2017)  ดังนี้1. อายุคาดเฉลี่ยของคนในโลกเพิ่มขึ้น 5 ปี ระหว่างปีค.ศ. 2000-2015  อายุขัยเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดเป็น 71.4 ปีในปีค.ศ. 2015 (73.8 สำหรับผู้หญิง และ 69.1 สำหรับผู้ชาย)2. อายุคาดเฉลี่ยที่มีสุขภาพดีแรกเกิด (healthy life expectancy) ในปีค.ศ. 2015 คือ 61.3 ปี  นั่นหมายความว่า จำนวนปีที่เราจะมีภาวะสุขภาพที่ไม่ดีจากความเจ็บป่วยและทุพพลภาพเฉลี่ยคือ 8.3 ปี3. ปีพ.ศ. 2015 ในแต่ละวัน เด็กจำนวนมากกว่า 16,000 ราย ที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบ เสียชีวิต โดยเฉพาะเด็กในครอบครัวที่ยากจน ชนบทที่ขาดแคลน และขาดการศึกษา4. ในจำนวนเด็กที่เสียชีวิตในข้อ 3 นั้น ร้อยละ 45 เกิดขึ้นในช่วง 4 สัปดาห์หลังคลอด เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้กำหนดให้มีการลดการเสียชีวิตของเด็กแรกเกิดให้เหลือไม่เกิดร้อยละ 125. ประมาณการว่า ทั่วโลก มีเด็กตายแรกคลอด 2.6 ล้านคน ในปีค.ศ. 2015 ซึ่งส่วนใหญ่นั้น จะไม่มีการแจ้ง ทำให้ไม่มีข้อมูลที่แท้จริงว่ามีจำนวนเด็กที่ตายจากแรกคลอดเท่าไหร่ และไม่มีการชันสูตรหรือหาสาเหตุการตายที่แท้จริง6. ในปีค.ศ. 2015 การเสียชีวิต 1.3 ล้านรายเนื่องจากตับอักเสบ  ประมาณการว่า มีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง 257 ล้านราย และไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง 71 ล้านราย การวินิจฉัยโรคและการรักษายังเป็นส่วนน้อยของผู้ติดเชื้อ7. โรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นสาเหตุการตายร้อยละ 37 ในประเทศที่ยากจน ในปีค.ศ. 2015 เพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 23 ในปีค.ศ. 2000  โรคไม่ติดต่อเรื้อรังสำคัญ 4 โรคได้แก่ โรคหัวใจหลอดเลือด มะเร็ง เบาหวาน และโรคปอดเรื้อรัง  8. โรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมองคร่าชีวิตผู้คนกว่า 15 ล้านคนในปีค.ศ. 2015  สาเหตุนี้เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนทั่วโลก ร้อยละ 31  การเลิกบุหรี่ ลดเกลือในอาหาร กินผัก ผลไม้ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การลด เลิกแอลกอฮอล์ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้เป็นอย่างดี9. เบาหวานเป็นสาเหตุนำ 1 ใน 10 อันดับของการตายและพิการของผู้คนทั่วโลก10. อุบัติเหตุเป็นสาเหตุการตายเกือบ 5 ล้านรายในปีค.ศ. 2015  ในประเทศที่ยากจนหรือเศรษฐกิจไม่ดีจะมีอัตราการตายจากการจราจรสูงกว่าประเทศที่มีเศรษฐกิจดีเมื่อดูภาวะสุขภาพของโลกแล้ว ภาวะสุขภาพของคนไทยก็ดีกว่าในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ดูแลสุขภาพของประชาชน 47 ล้านคน ไม่ว่ายากดีมีจน  แต่ก็มีการตายจากอุบัติเหตุการจราจรที่สูงติดอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งมั่นใจว่า สามารถแก้ไขได้ถ้าร่วมใจกันจริงๆ

อ่านเพิ่มเติม >