ฉบับที่ 211 เป็นไปได้ไหม หนอนในปลากระป๋อง

     ปลากระป๋องเป็นอาหารสำเร็จรูป ดังนั้นเมื่อเปิดฝาจึงนำมาทานได้ทันที และยังใช้เป็นวัตถุดิบทำได้อีกหลายเมนู เช่น ยำปลากระป๋อง ต้มยำปลากระป๋อง คะน้าผัดปลากระป๋อง เป็นต้น  พูดแล้วหลายคนอาจน้ำลายสออยากรับประทานขึ้นมาทันที แต่ช้าก่อนลองอ่านเรื่องราวของผู้ร้องรายนี้ดูก่อน     เย็นวันหนึ่งในหน้าร้อนของเดือนเมษายน คุณภูผาอยากทานยำปลากระป๋อง และนึกขึ้นได้ว่าซื้อปลากระป๋องไว้ตั้งแต่เดือนมีนาคม จากห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ซึ่งยังเหลืออยู่หลายกระป๋อง จึงไปหยิบมาเพื่อเตรียมทำอาหาร โดยคุณภูผาได้เปิดฝากระป๋องแล้ววางพักไว้ก่อน แล้วจึงหันไปซอยพริก ซอยหอมแดง เด็ดใบโหระพาเตรียมไว้ จากนั้นจึงหันกลับมาจะเอาปลากระป๋องเทใส่จาน เตรียมคลุกเคล้ากับวัตถุดิบที่เตรียม   แล้วพลันสายตาอันว่องไว ก็สังเกตเห็นว่ามีสิ่งผิดปกติอยู่ในปลากระป๋อง มีลักษณะตัวเรียวยาวสีขาว คล้ายหนอนผุดขึ้นมาจากเนื้อปลากระป๋อง เมื่อเขย่ากระป๋องก็ผุดออกมาเป็นตัว จึงโทรศัพท์ไปตามหมายเลขที่อยู่ข้างกระป๋องทันที เพื่อแจ้งเรื่องที่พบ และหวังให้บริษัทผู้ผลิตตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แล้วยังได้รีบไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจใกล้บ้านไว้อีกด้วย  ซึ่งคุณตำรวจแนะนำให้คุณภูผาแจ้งร้องเรียนไปที่ สคบ. (สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค) ด้วยอีกทางหนึ่ง ประจวบเหมาะพอดี ในขณะลงบันทึกประจำวันมีนักข่าวอยู่ในสถานีตำรวจด้วย จึงทำข่าวเรื่องพบสิ่งปนเปื้อนในปลากระป๋องยี่ห้อดัง ทำให้คุณภูผากลายเป็นคนในข่าวไปทันที  ตอนสายๆ ของวันรุ่งขึ้น คุณภูผาเดินทางไปยังสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ตามคำแนะนำของคุณตำรวจ โดยนำปลากระป๋องที่พบสิ่งปนเปื้อนไปด้วย เจ้าหน้าที่ได้รับเรื่องร้องเรียนไว้ และแนะว่า ต้องไปให้ทาง อย. ตรวจสอบ ดังนั้นตอนบ่ายของวันเดียวกันจึงเดินทางไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เพื่อให้ตรวจสอบสิ่งปนเปื้อนและตรวจสอบกระบวนการผลิต แต่เจ้าหน้าที่ของ อย. ได้แจ้งว่าไม่ต้องร้องเรียนแล้ว เพราะทาง อย.ไปตรวจโรงงานผู้ผลิตแล้วเมื่อเช้า ตามข่าวและทาง อย.ไม่พบสิ่งผิดปกติอันใด  ส่วนตัวขาวๆ ที่พบนั้น น่าจะเป็นหนอนแมลงวัน และได้อธิบายวงจรชีวิตหนอนแมลงวันให้คุณภูผาฟัง ซึ่งรับฟังแล้วผู้ร้องยังไม่เข้าใจดีนักและค้างคาใจอยู่  จึงโทรศัพท์มาขอคำปรึกษาจากศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อขอคำแนะนำ เบื้องต้นทางศูนย์ฯ จึงได้ขอให้เจ้าหน้าที่ อย. รับเป็นเรื่องร้องเรียนไว้ก่อน และให้ผู้ร้องตักแบ่งตัวอย่างปลากระป๋องครึ่งหนึ่งไว้ให้กับ อย. เพื่อให้ตรวจสอบว่าสิ่งผิดปกติที่พบคืออะไรตอนนั้นคุณภูผาได้แอบสงสัยและตั้งคำถามในใจว่า ทำไม อย.สรุปผลการตรวจโรงงานได้รวดเร็ว เนื่องจากเพิ่งเป็นข่าวเมื่อวานช่วงค่ำเอง หลังจากร้องเรียนกับหน่วยงานทั้งสองผ่านไป ผู้ร้องได้นำตัวอย่างปลากระป๋องที่เหลือมามอบให้ศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ เพื่อหาทางตรวจสอบว่าหนอนที่พบหรือสิ่งปนเปื้อนนั้นคืออะไรกันแน่แนวทางแก้ไขปัญหา   เบื้องต้นศูนย์พิทักษ์สิทธิ ได้แนะนำข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่า ร้านค้าผู้จำหน่ายปลากระป๋องอาจเข้าข่ายจำหน่ายอาหารปนเปื้อน ตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 25 (1) เรื่องอาหารไม่บริสุทธิ์นั้น มีบทลงโทษอยู่ในมาตรา 58 ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ    ขณะเดียวกันเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ศูนย์พิทักษ์ฯ ได้ปรึกษานักวิชาการเพื่อหาวิธีการตรวจสอบสิ่งปนเปื้อนในปลากระป๋อง นักวิชาการแนะนำว่าให้ผู้ร้องสอบถามไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ว่า ตรวจสอบอะไร และใช้วิธีไหนตรวจสอบ เพื่อการตรวจสอบจะได้ไปในทิศทางเดียวกันและไขข้อข้องใจของทุกฝ่าย ผู้ร้องได้ติดต่อ อย. เพื่อสอบถาม และแจ้งกลับมายังศูนย์พิทักษ์ฯ ว่า อย.แจ้งว่าไม่ทราบจะตรวจอะไรเหมือนกัน ศูนย์พิทักษ์ฯ จึงปรึกษานักวิชาการอีกครั้ง และส่งตรวจห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจพบว่าสิ่งปนเปื้อนที่พบเป็นหนอนแมลงวันหัวเขียว การฟักตัวของไข่ต้องอาศัยอากาศในการเจริญเติบโต หนอนจึงไม่สามารถอยู่ในปลากระป๋องที่ปิดสนิทโดยไม่มีอากาศได้ หนอนแมลงวันที่ผู้ร้องพบจึงไม่สามารถพบในกระบวนการผลิตได้ ซึ่งกระป๋องอาจมีรอยรั่วหลังจากที่ซื้อสินค้ามา   เมื่อทราบผลการตรวจสอบศูนย์พิทักษ์ฯ ได้แจ้งให้คุณภูผาทราบ  และแจ้งว่า สคบ. ได้นัดผู้ร้องให้เจรจากับบริษัทผู้ผลิตปลากระป๋อง ซึ่งอาจฟ้องร้องคุณภูผาที่ทำให้เกิดข่าวสร้างความเสียหาย อย่างไรก็ตามผลการเจรจาคือ คุณภูผากับบริษัทต่างฝ่ายต่างไม่ฟ้องคดีกันและทำบันทึกกันไว้ที่ สคบ.     เพื่อให้ครอบคลุม เนื่องจากสถานที่เก็บปลากระป๋องก่อนจำหน่ายอาจไม่มีการดูแลที่ดี ทางศูนย์พิทักษ์ฯ ได้ทำหนังสือขอทราบผลการดำเนินการกรณีร้องเรียนที่คุณภูผา ร้องไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดย อย. ได้แจ้งผลการดำเนินการว่า ได้สุ่มเก็บตัวอย่างจากห้างค้าปลีกที่ผู้ร้องได้ซื้อสินค้ามาตรวจสอบแล้ว ไม่พบสิ่งผิดปกติ อีกทั้งได้ตรวจสถานที่ผลิต  ซึ่งผลปรากฏว่า ผ่านเกณฑ์ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 211 เรื่อง สัก อย่าสักแต่ทำโดยไม่ประเมินความเสี่ยง

   ระยะนี้มีข่าวเรื่อง สัก มาเป็นกระแสให้ต้องเขียนเตือนใจกันอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นข่าวการติดเชื้อ HIV จากการสัก ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริง และข่าวสองสาวไปสักปากกับร้านของพริตตี้ชื่อดังแล้วติดเชื้อโรค จนต้องฟ้องเป็นคดีความกัน   ปัจจุบันนอกจากการสักเพื่อสร้างลวดลายบนผิวหนัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำกันมานานแล้ว ยังมีการสักที่นิยมอีกสามอย่างคือ สักคิ้ว สักขอบตาและสักปากสีชมพู โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดจุดด้อยและเพิ่มความสวยงาม โดดเด่นให้แก่ทั้งสามจุดบนใบหน้า ซึ่งเป็นความสวยที่ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยง ทั้งผลลัพธ์ที่ไม่เป็นอย่างหวัง เสี่ยงต่อการติดเชื้อ แพ้สารเคมีและอาจเสี่ยงต่อโรคมะเร็งจากโลหะหนักในสีหมึก   ปัญหาการติดเชื้อจากการสัก มีอัตราการเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนจะนิยมสักในจุดที่บอบบางอย่าง ริมฝีปาก โดยการติดเชื้อสาเหตุหลักคือ เครื่องมือที่ไม่สะอาด สถานที่ให้บริการไม่ปลอดเชื้อ นอกจากนี้ก็เกี่ยวกับผลงานของช่างสักที่อาจทำได้ไม่ตรงใจ ซึ่งหากผิดพลาดต้องแก้ไข จะค่อนข้างลำบาก เพราะเมื่อสักไปแล้ว การลบออกทำได้ยากกว่า และยังมีปัจจัยของแต่ละบุคคลด้วย บางคนอาจแพ้สารเคมีในขั้นรุนแรง หรือในเรื่องอนามัยของการดูแลรักษาแผล ถ้าทำได้ไม่ดีเกิดเป็นแผลเป็นที่น่าเกลียดได้     ยังมีความเสี่ยงอีกอย่างหนึ่งที่น่าเป็นห่วงในระยะยาวคือ อาจเสี่ยงจากสีหมึกที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งพบว่ามีส่วนผสมของโลหะหนักหลายชนิด ทั้งตะกั่ว นิกเกิล โครเมียม แมงกานีส สารโลหะหนักเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพหากเกิดการสะสมในร่างกายเป็นเวลานาน เนื่องจากการสักเป็นทางเลือกส่วนบุคคล สีหมึกสำหรับสักในหลายประเทศจึงไม่ได้กำหนดมาตรฐานไว้ ในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยายังไม่ได้กำหนดให้หมึกสำหรับสักลายเป็นเครื่องสำอางตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอางปี 2558 โดยเห็นว่า หมึกสีที่ใช้ในการสักไม่เป็นวัตถุที่ส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม    ความสวยที่ต้องแลกด้วยความเสี่ยงนี้ ไม่ว่าคุณจะมีแรงจูงใจใดก็ตาม ควรตระหนักถึงอาการข้างเคียงและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นก่อนตัดสินใจทำ  รู้หรือไม่ สถานประกอบการการสักเป็นกิจการที่ต้องควบคุม             ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พ.ศ. 2558 ข้อ 3 ให้กิจการดังต่อไปนี้เป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ...     9. กิจการที่เกี่ยวกับการบริการ ...             (18) การประกอบกิจการสักผิวหนังหรือเจาะส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย             ผู้ประกอบกิจการต้องขออนุญาตจากหน่วยงานท้องถิ่นให้ถูกต้องเพื่อความปลอดภัยของผู้รับบริการ หากประกอบกิจการที่เป็นอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าของกิจการระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 211 หาเส้นทางแบบไม่ออนไลน์กับ maps.me

ฉบับนี้พามารู้จักกับแอปพลิเคชันสำหรับผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนแบบไม่ใช้อินเทอร์เน็ตตลอดเวลากัน และแอปพลิเคชันยังจะเหมาะสำหรับผู้ที่ชอบการเดินทางท่องเที่ยวหรือต้องเดินทางเพื่อไปทำงานในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย   แอปพลิเคชันนี้มีชื่อว่า maps.me เป็นแอปพลิเคชั่นบอกเส้นทางการเดินทาง เหมือน Google Maps เพียงแต่มีข้อแตกต่างกันก็คือ แอปพลิเคชัน maps.me  สามารถใช้งานได้ในขณะที่ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต  โดยในขั้นตอนแรกหลังจากดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมาแล้ว แอปพลิเคชั่นจะให้ดาวน์โหลดข้อมูลเส้นทางทั้งหมดลงในเครื่องสมาร์ทโฟน ซึ่งจะทำให้ต้องใช้พื้นที่ในสมาร์ทโฟนมากสักหน่อย สิ่งนี้ก็อาจเป็นข้อเสียสำหรับผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนที่มีพื้นที่ความจุในเครื่องน้อย  ภายในแอปพลิเคชันจะสามารถค้นหาเส้นทางได้อย่างอิสระ หรือจะเลือกตามหมวดที่มีอยู่ภายในแอปพลิเคชัน ได้แก่ ค้นหาร้านอาหาร ค้นหาโรงแรม ค้นหาไวไฟ ค้นหาการขนส่ง ค้นหาร้านค้า ค้นหาปั๊มน้ำมัน ค้นหาแหล่งท่องเที่ยว ค้นหาธนาคาร ค้นหาโรงพยาบาล ค้นหาสถานีตำรวจ ค้นหาไปรษณีย์ ค้นหาตู้เอทีเอ็ม ค้นหาร้านขายยา หรือแม้กระทั่งค้นหาห้องน้ำ เป็นต้น    ลักษณะการใช้งานแอปพลิเคชัน เมื่อค้นหาสถานที่ที่ต้องการได้แล้ว แอปพลิเคชันจะแจ้งระยะทางและระยะเวลาที่จะไปถึงจุดหมายปลายทาง และให้กดปุ่มเริ่มต้นเส้นทางจะปรากฏเส้นทางการเดินทางขึ้น ซึ่งสามารถเลือกเส้นทางการเดินทางโดยใช้รถยนต์ การเดินเท้า ได้ตามต้องการ ทั้งนี้ถ้าต้องการที่จะเก็บข้อมูลเส้นทางการเดินทางในแต่ละครั้ง สามารถกดปุ่มบันทึกข้อมูลได้ แอปพลิเคชันจะจัดเก็บข้อมูลไว้เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเรียกดูได้ และยังสามารถแชร์ข้อมูลไปยังเฟซบุ๊ค ไลน์ ทวิตเตอร์ เมล หรือแม้กระทั้งข้อความทางสมาร์ทโฟนอีกด้วย        นอกจากนี้เมื่อได้เจอโรงแรมที่ต้องการและทราบเส้นทางการเดินทางที่สะดวกแล้ว แอปพลิเคชันยังเพิ่มความสะดวกในการเข้าจองที่พักในโรงแรมนั้นได้ทันที โดยจะจองผ่านเว็บไซต์ booking.com หรือถ้าต้องการที่จะจองรถเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางก็สามารถกดเรียกรถแท็กซี่ที่แอปพลิเคชันได้มีบริการไว้ได้เลย  ลองดาวน์โหลดมาใช้กันดูนะคะ แอปพลิเคชันนี้น่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เพียงแค่มีแอปพลิเคชั่นนี้ก็สามารถเพิ่มความสะดวกให้กับการเดินทางได้แล้วค่ะ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 211 เกมเสน่หา : ทุกอย่างมันเป็นแค่เกม!!!

เกมเสน่หา : ทุกอย่างมันเป็นแค่เกม!!!                                                                                                                             แรกเริ่มที่ได้ยินชื่อละครโทรทัศน์ว่า “เกมเสน่หา” นั้น ผู้เขียนก็รู้สึกสนใจใคร่รู้ว่า ทุกวันนี้เรื่องของความรักและความ “เสน่หา” ได้ถูกเสกสรรปั้นแต่งให้กลายเป็น “เกม” ที่มนุษย์เราใช้วางหมากวางกลระหว่างกันและกันแล้วหรือ?     และยิ่งเมื่อได้ยินประโยคที่ “เหมือนชนก” นางเอกของเราเชือดเฉือนคารมกับ “ลัคนัย” พระเอกหนุ่มรูปหล่อในเรื่องว่า “ทุกอย่างมันเป็นแค่เกม” ด้วยแล้ว ก็ยิ่งชวนให้เกิดคำถามตามมาอีกว่า แล้วในทุกวันนี้สังคมได้เปลี่ยนนิยามของความเป็น “เกม” ให้แตกต่างไปจากที่เคยรับรู้กันมาเยี่ยงไร?      ย้อนไปในยุคอดีต เกมถือเป็นกิจกรรมทางสังคมที่มนุษย์สรรค์สร้างขึ้นมา เพื่อขีดวงให้เป็นพื้นที่ที่แยกตัวออกไปจากชีวิตประจำวันปกติ เช่น เกมเป็นกิจกรรมที่เล่นในช่วงเวลาว่างที่แยกไปจากชีวิตการทำงานประจำของเรา     และที่สำคัญ เมื่อคนเราเข้าสู่สนามแห่งเกม เราก็จะเริ่มเรียนรู้ว่า ในเกมนั้นมีกฎกติกาซึ่งผู้เล่นแต่ละคนต่างก็ต้องเคารพและพึงปฏิบัติตาม เพราะถือเป็นข้อตกลงร่วมที่กำหนดขึ้นเอาไว้ก่อนหน้าที่เราจะลงไปในสนามเสียด้วยซ้ำ แต่ทว่า ภายใต้กฎแห่งเกมนั้น ปัจเจกบุคคลที่เดินหมากอยู่ก็สามารถสร้างสรรค์ทำการอันใดได้ แต่ก็ต้องอยู่บนเงื่อนไขของกรอบกติกาที่สังคมได้ร่วมกันกำหนดตกลงเอาไว้     ครั้นเมื่อสังคมสมัยใหม่ได้ก่อร่างก่อตัวขึ้นมา ระบอบทุนนิยมกลับเปลี่ยนแปลงความหมายของเกมเสียใหม่ จากเดิมที่เกมเป็นพื้นที่ที่มนุษย์ใช้เพื่อทำความเข้าใจที่อยู่ร่วมกันโดยเคารพซึ่งกฎกติกา กลายมาเป็นสนามแห่งการแข่งขันช่วงชิงเพื่อกำชัยชนะระหว่างกัน ไม่ว่าจะในพื้นที่ส่วนรวมของสังคม เช่น การวางหมากเกมทางการเมือง หรือการเอาชนะเกมการแข่งขันทางธุรกิจ ลามไปจนถึงในพื้นที่ชีวิตส่วนตัวของปัจเจกบุคคล หรือแม้แต่ใน “เกมเสน่หา” เหมือนกับชื่อของละคร     กับนิยามความหมายใหม่ของเกมเช่นนี้ ก็ไม่ต่างจากกรณีความสัมพันธ์ของเหมือนชนกและลัคนัย ที่เคลื่อนไปท่ามกลางสงครามความขัดแย้งในชีวิตรัก ชีวิตคู่ และชีวิตครอบครัวของเหมือนชนกเอง      เปิดฉากแรกมา นักเรียนนอกรูปสวยรวยทรัพย์อย่างเหมือนชนก ลูกสาวของ “ธวัช” และ “วิสาขา” ได้ถูกวางคาแรกเตอร์ไว้ให้เป็นคุณหนูผู้เอาแต่ใจตัวเอง และพยายามขีดกฎกติกาเพื่อเล่นเกมให้โลกทั้งโลกต้องมาโคจรรอบตัวเธอ ไม่ว่าจะเป็นการเอาชนะเพื่อนนักเรียนด้วยกัน หรือการสร้างวีรกรรมมากมายตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนต่างแดน    ครั้นเมื่อเหมือนชนกเดินทางกลับมาเมืองไทย เธอก็ต้องเซอร์ไพรส์กับข้อเท็จจริงที่ว่า ธวัชและวิสาขาเพิ่งจะจดทะเบียนหย่าอย่างเป็นทางการ ความจริงข้อนี้จึงเป็นสิ่งที่คุณหนูขี้วีนมิอาจรับกับความพ่ายแพ้ดังกล่าวได้ และพยายามที่จะเดินเกมทุกอย่างให้พ่อกับแม่กลับมาเคียงคู่เป็นสามีกันอีกคำรบหนึ่ง    เนื่องจากเหมือนชนกเป็น “เธอผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ในเกมใดๆ” เธอจึงวางหมากเดินเกมต่างๆ ที่จะหน่วงรั้งให้ครอบครัวที่บุพการีแยกทางกัน กลับมาเป็นครอบครัวแบบ “พ่อแม่ลูก” ที่เหมือนชนกสามารถจับทุกคนให้มาเป็นเบี้ยบนกระดานที่เธอจะเดินไปมาแบบใดก็ได้     ตั้งแต่การเดินเกมจัดการความสัมพันธ์ระหว่างธวัชกับว่าที่แม่เลี้ยงคนใหม่อย่าง “พิมลแข” หรือการอาศัยยืมมือทั้งวิสาขาและ “มาลินี” ผู้เป็นยาย ให้เข้ามาขัดขวางการแต่งงานครั้งใหม่ของบิดา รวมไปถึงการพยายามเอาชนะแม้แต่กับ “เพ็ญพรรณี” บุตรสาวของ “ไพพรรณ” แม่บ้านที่รักเหมือนชนกไม่ต่างจากลูกสาวของตน เพียงเพื่อจะบอกกับทุกคนว่า คุณหนูของบ้านก็ต้องมีชัยเหนือกว่าใครต่อใครในบ้านทุกคน    เพราะเหมือนชนกนิยามความหมายของเกมว่า เป็นเวทีแข่งขันที่มีเฉพาะผู้ชนะเท่านั้นจึงจะบรรลุถึงจุดหมายปลายฝันได้ ดังนั้น ผู้คาดหวังชัยชนะจึงไม่สนใจว่า เกมที่ตนเล่นจะยุติธรรมหรือไม่ หรือในการเดินเกมแต่ละครั้งของเธอจะยืนอยู่บน “กฎกติกา” หรือ “ข้อตกลงร่วม” ที่ผู้เล่นทุกคนยอมรับโดยชอบธรรมหรือไม่อย่างไร หากเพราะเกมจะดำเนินไปได้ก็ด้วย “กฎกติกา” ที่เหมือนชนกเป็นผู้เขียนขึ้นเพียงคนเดียว    และที่สำคัญ เมื่อเกมที่เหมือนชนกเขียนกติกาขึ้นด้วยตัวของเธอเองดำเนินไปถึงขีดสุด ลัคนัยพระเอกหนุ่มของเรื่องจึงถูกดึงเข้ามาเห็นหมากอีกตัวหนึ่งบนกระดาน เมื่อเธอจำใจเลือกที่จะแต่งงานกับลัคนัย ซึ่งอีกด้านหนึ่งก็เป็นอดีตคนรักของพิมลแข เพียงเพราะหวังว่าการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นเกมที่เหมือนชนกบงการหลอกใช้ลัคนัยให้ช่วยริดรอนความสัมพันธ์ระหว่างธวัชและพิมลแขได้นั่นเอง     เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงจุดพลิกผันของเรื่อง ในขณะที่เหมือนชนกคิดอยู่ตลอดว่า “ทุกอย่างมันเป็นแค่เกม” ที่เธอจะจับวางใครต่อใครมาเป็นหมากเป็นเบี้ยให้เดินได้ แต่อันที่จริงแล้ว หากเหมือนชนกสามารถขีดกติกาของเธอในการเดินเกมแบบใดก็ได้ ลัคนัยเองก็ต้องการให้บทเรียนกับเธอว่า บนหมากกระดานเดียวกันนั้น แม้แต่หมากเบี้ยอย่างลัคนัยก็มีสิทธิ์ที่จะเขียนกฎของการเล่นเกมขึ้นมาได้ด้วยเช่นกัน    ดังนั้น เมื่อทราบว่าเหมือนชนกตั้งครรภ์ และเธอก็ยังยืนกรานว่านั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของเกมที่จะเอาชนะตัวละครทุกคน ลัคนัยก็ได้สร้างข้อตกลงกับเธอว่า ถ้าลูกที่คลอดออกมาเป็นเพียงเกมที่ไม่ได้เกิดจากความรักของผู้เป็นแม่แล้ว เขาก็ขอสิทธิ์ในการดูแลลูกที่เกิดมาและจะหลบหน้าหายไปจากชีวิตของเหมือนชนกตลอดไป    เพราะฉะนั้น วันเดียวกับที่เหมือนชนกคลอดลูกชาย ลัคนัยก็เลือกที่จะพรากลูกและเดินออกไปจากชีวิตของเหมือนชนก ซึ่งนั่นก็เท่ากับเป็นการบอกแก่เธอว่า ในชีวิตคู่และสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์นั้น ไม่ใช่เรื่องที่คนสองคนจะแข่งขันเป็นเกมการเมืองเพื่อเอาชนะกัน หรือถูกเบียดบังจนมืดมนไปด้วยทิฐิที่จะห้ำหั่นให้อีกฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้จนราบคาบ    แม้ผู้ชมเองจะเดาได้ไม่ยากว่า “หมากเกมนี้ฉันก็รู้ว่าจะต้องลงเอยอย่างไร” เพราะฉากจบเหมือนชนกก็ได้ทบทวนตนเอง และพยายามที่จะไขว่คว้าให้ชีวิตคู่ของเธอกลับคืนมา แต่อีกด้านหนึ่ง ตัวละครก็ยังเรียนรู้ด้วยว่า เกมที่เดินไปในชีวิตจริงไม่ควรถูกนิยามว่าเป็นการแข่งขันเพื่อเอาชนะ โดยไปล่วงละเมิดความปรารถนาของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นบิดา มารดา ชายคนรัก หรือคนอื่นๆ โดยไม่ยอมรับในข้อตกลงกฎกติการ่วมแต่อย่างใด     แม้ว่าทุกวันนี้ระบอบทุนนิยมจะนิยามความหมายใหม่ให้กับเกมว่า เป็นเวทีที่ปุถุชนจะต่อสู้เพื่อชิงชัยชนะเหนือผู้อื่น แต่ในท้ายที่สุด ข้อสรุปใน “เกมเสน่หา” ที่มนุษย์ต่างเดินหมากวางกลใส่กันนั้น ก็คงไม่ต่างจากประโยคที่คุณยายมาลินีของเหมือนชนกได้กล่าวไว้ว่า “…นี่แหละที่สอนให้ฉันรู้ว่า ทิฐิมันไม่เป็นผลดีกับใคร โดยเฉพาะกับคนที่รักกัน...”

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 211 รู้จักกฎหมายดำเนินคดีแบบกลุ่ม (Class Action) ตอนที่ 1

การดำเนินคดีแบบกลุ่ม หรือ Class Action คืออะไร        การดำเนินคดีแบบกลุ่ม หรือ Class Action เป็นหนึ่งในวิธีพิจารณาความ เพื่อเยียวยาความเสียหายให้แก่กลุ่มผู้เสียหายที่มีจำนวนหลายคน  ให้ทั่วถึง รวดเร็ว เป็นธรรม  สร้างภาระและค่าใช้จ่ายแก่ภาครัฐน้อยที่สุด  โดยมีรูปแบบการดำเนินคดีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ในการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน เนื่องจากเป็นวิธีการที่สามารถคุ้มครองผู้เสียหายจำนวนมากได้ในการทำคดีเพียงครั้งเดียว และสามารถอำนวยความยุติธรรมให้แก่ผู้เสียหายที่ไม่มีความสามารถฟ้องคดีเพื่อตนเองได้ หรือผู้เสียหายที่ได้รับความเสียหายจำนวนเพียงเล็กน้อย หลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อนในการฟ้องคดี และป้องกันความขัดแย้งกันของคำพิพากษา ตลอดจนเป็นมาตรการในการลดปริมาณคดีที่จะขึ้นสู่ศาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยประเทศไทย ได้ออกพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2558 ว่าด้วยการดำเนินคดีแบบกลุ่ม มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2558 เป็นต้นมา[1]คดีอะไรบ้างที่ฟ้องคดีแบบกลุ่มได้   การดำเนินคดีแบบกลุ่มจะใช้ในกรณีที่มีผู้ถูกโต้แย้งสิทธิเป็นจำนวนมาก เช่น ในคดีคุ้มครองผู้บริโภคที่มีผู้เสียหายจำนวนมากจากการใช้สินค้าและบริการ ซึ่งเกิดจากผู้ประกอบการรายเดียวกัน หรือในคดีละเมิดที่มี ผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำเป็นบุคคลจำนวนมาก   ซึ่งบ่อยครั้งความเสียหาย อาจเกิดจากอุบัติเหตุต่างๆ ไม่ว่าจะทางบก ทางน้ำหรือทางอากาศ ซึ่งแต่ละครั้ง ที่มีเหตุละเมิดดังกล่าวจะมีผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำนั้นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ที่พบปัญหามากขึ้นในปัจจุบัน เพราะการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมในแต่ละครั้งนั้น จะมีผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำดังกล่าวเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกันนอกจากนี้ ยังรวมถึง คดีอื่นๆ เช่น คดีแรงงาน คดีเกี่ยวกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์   การแข่งขันทางการค้า  เป็นต้น[i] ศาลที่มีอำนาจรับฟ้องและพิจารณาพิพากษาคดีแบบกลุ่มได้   ศาลที่มีอำนาจรับฟ้องและพิจารณาพิพากษาคดีแบบกลุ่มได้  คือ ศาลยุติธรรมทุกศาล(ยกเว้น ศาลแขวง) ทั้งศาลแพ่ง  ศาลจังหวัด  ศาลภาษีอากร  ศาลแรงงาน  ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการ ค้าระหว่างประเทศ  เป็นต้น(แต่ไม่รวมไปถึงศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญ) หลักการสำคัญของการฟ้องคดีแบบกลุ่ม·ผู้ที่ได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากข้อเท็จจริงและหลักกฎหมายเดียวกันจะอยู่ในฐานะเป็นสมาชิกกลุ่ม และเฉพาะสมาชิกกลุ่มที่เป็นโจทก์  เท่านั้นที่จะมีฐานะเป็นคู่ความในคดี·โจทก์และทนายความโจทก์ในการดำเนินคดีแบบกลุ่มจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะทำหน้าที่เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ให้กับสมาชิกกลุ่มได้อย่างเพียงพอและเป็นธรรม โดยศาลจะต้องคัดเลือกผู้ที่จะเป็นโจทก์และทนายความฝ่ายโจทก์อย่างละเอียดรอบคอบ·การเริ่มดำเนินคดีแบบกลุ่มจะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อน  เมื่อเข้าหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามกฎหมายและตามข้อกำหนดที่จะออกตามมาที่จะสามารถดำเนินคดีแบบกลุ่มได้ทุกประการแล้ว  การดำเนินคดีนั้นๆ ในศาลจะไม่เป็นการดำเนินคดีแบบกลุ่มโดยอัตโนมัติ  แต่โจทก์จะต้องยื่นคำร้องขออนุญาตดำเนินคดีแบบกลุ่มต่อศาลเสียก่อน  และเมื่อศาลอนุญาตแล้ว  จึงจะให้ถือว่าการดำเนินคดีในคดีนั้นเป็นการดำเนินคดีแบบกลุ่ม การยื่นคำร้องฝ่ายโจทก์จะต้องเป็นฝ่ายยื่นคำร้องไปพร้อมกับการยื่นคำฟ้อง·การออกจากลุ่ม โดยสมาชิกกลุ่มมีสิทธิแสดงเจตนาต่อศาลในการขอออกจากการเป็นสมาชิก และไม่ประสงค์จะผูกพันในคำพิพากษาคดีแบบกลุ่ม เพื่อไปฟ้องคดีของตนเองได้·ผลของคำพิพากษาสมควรผูกพันบุคคลอื่นที่ไม่ได้เข้ามาในคดีโดยวิธีการแจ้งหรือประกาศเพื่อให้สมาชิกกลุ่มทราบถึงความเคลื่อนไหวของคดีและทราบถึงสิทธิของตน·โจทก์ ต้องมีความสามารถทำแทนคนอื่นได้ กล่าวคือ โจทก์จะต้องทำหน้าที่แทนสมาชิกกลุ่มทั้งหมดซึ่งอาจมีจำนวนมากโดยที่ไม่เคยพบปะกันมาก่อน และการทำหน้าที่ของโจทก์จะส่งผลกระทบต่อสมาชิกกลุ่มคนอื่นๆ โจทก์จึงเป็นตัวละครที่มีความสำคัญมาก จึงมีความจำเป็นที่ศาลจะต้องควบคุมตรวจสอบผู้ที่เป็นผู้แทนกลุ่มโดยเคร่งครัด ·กลุ่มบุคคล แม้ความเสียหายต่างกันก็ดำเนินคดีแบบกลุ่มได้  หมายถึง บุคคลที่มีสิทธิอย่างเดียวกัน เนื่องจากข้อเท็จจริงและกฎหมายอย่างเดียวกัน และมีลักษณะเฉพาะของกลุ่มเหมือนกัน แม้ว่าลักษณะของความเสียหายจะแตกต่างกันก็ตาม เช่น นางสาวแดง ฟ้า และส้ม ซื้อเครื่องสำอางยี่ห้อหนึ่ง จากห้างสรรพสินค้าคนละที่ คนละจังหวัดกันไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่ปรากฎว่าพอทุกคนใช้เครื่องสำอางเกิดอาการเป็นผื่นแดง ผิวลอกลาย ต้องไปหาหมอเสียค่ารักษาพยาบาล กรณีเช่นนี้ทั้งสามคนถือว่าเป็นกลุ่มบุคคล เมื่อมาร้องเรียนและรวมกลุ่มกัน ก็สามารถตกลงกันให้ใครคนหนึ่งเป็นตัวแทน ฟ้องร้องและดำเนินคดีแบบกลุ่มกับบริษัทเครื่องสำอางได้ โดยคนที่เหลือก็เป็นสมาชิกกลุ่ม แม้แต่ละคนจะมีความเสียหายต่างกันก็ตาม ·ทนายความฝ่ายโจทก์ ต้องรับผิดชอบสูงจึงมีสิทธิได้รับเงินรางวัล หลังจากที่ศาลอนุญาตให้มีการดำเนินคดีแบบกลุ่มแล้ว ทนายความของโจทก์จะทำหน้าที่เป็นทนายความของกลุ่มด้วย ซึ่งบทบาทของทนายความฝ่ายโจทก์นี้ก็มีความสำคัญไม่แพ้ตัวโจทก์ เพราะทนายความจะเป็นผู้รวบรวมผู้ที่ได้รับความเสียหาย รวบรวมพยานหลักฐาน รวมทั้งจ่ายเงินทดรองในการดำเนินคดีทั้งหมดไปก่อน เช่น ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการแสวงหาพยานหลักฐานและค่าใช้จ่ายในการติดต่อประสานงานสมาชิกกลุ่ม เป็นต้น ซึ่งกฎหมายได้กำหนดความสามารถของทนายความฝ่ายโจทก์ไว้ว่า ต้องสามารถดำเนินคดีคุ้มครองสิทธิของกลุ่มได้อย่างเพียงพอและเป็นธรรม และต้องไม่มีผลประโยชน์ขัดหรือแย้งกับสมาชิกกลุ่ม หากปรากฏว่าทนายความไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม หรือเมื่อทนายความถอนตัว สมาชิกกลุ่มสามารถร้องขอต่อศาลให้มีการเปลี่ยนตัวทนายความฝ่ายโจทก์ได้  ทนายความของกลุ่มจึงมีภาระหน้าที่สูงกว่าทนายความคดีทั่วไป เนื่องจากต้องดูแลรักษาผลประโยชน์ให้คนเป็นจำนวนมากและต้องเป็นผู้รับความเสี่ยงในการออกค่าใช้จ่ายต่างๆ ไปก่อน ดังนั้น เพื่อเป็นค่าตอบแทนและแรงจูงใจ กฎหมายจึงกำหนดให้ทนายความกลุ่มมีสิทธิได้รับเงินรางวัลทนายความ ศาลจะเป็นผู้กำหนดเงินรางวัลทนายความให้เมื่อการดำเนินคดีสิ้นสุดแล้ว โดยพิจารณาจากความยากง่ายของคดี และระยะเวลาการทำงาน รวมทั้งค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินแบบกลุ่ม  แต่ไม่เกินจำนวนร้อยละ 30 ของจำนวนค่าเสียหายที่สมาชิกกลุ่มมีสิทธิได้รับ โดยจำเลยเป็นผู้มีหน้าที่จ่ายเงินรางวัลให้ทนายความ·ศาล ต้องแสวงหาข้อเท็จจริงแบบเชิงรุก ในระบบวิธีพิจารณาปกติ ศาลจะดำเนินกระบวนการพิจารณาด้วยระบบกล่าวหา คือ โจทก์และจำเลยนำเสนอพยานหลักฐานของตนต่อศาล ศาลมีหน้าที่ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานและตัดสินไปตามที่ปรากฏ แต่ในการพิจารณาคดีแบบกลุ่มนั้น ศาลจะมีบทบาทในเชิงรุกโดยใช้ระบบไต่สวนในการพิจารณา กล่าวคือ ศาลมีอำนาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมได้เอง ไม่ผูกพันอยู่เฉพาะแต่พยานหลักฐานที่คู่ความนำเสนอเท่านั้น  โดยมีเจ้าพนักงานคดีแบบกลุ่มทำหน้าที่ช่วยเหลือศาล·เมื่อมีการพิจารณาคดีแบบกลุ่มแล้ว หากศาลเห็นว่าสมาชิกในกลุ่มได้รับความเสียหายต่างกัน ศาลก็สามารถแบ่งสมาชิกในกลุ่มออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ได้ เพื่อความสะดวกในการพิสูจน์เรื่องจำนวนค่าเสียหาย[2] สิทธิของสมาชิกกลุ่ม (ที่ไม่ได้เป็นโจทก์ผู้เริ่มคดี)       มีสิทธิดังนี้ 1. เข้าฟังการพิจารณาคดี2. ร้องขอต่อศาลถ้าเห็นว่าโจทก์ไม่มีคุณสมบัติหรือส่วนได้เสียในคดี3. ขอตรวจเอกสารหรือขอคัดสำเนาเอกสารในสำนวนความ4. จัดหาทนายคนใหม่แทนทนายที่ขอถอนตัวหรือที่ศาลสั่งเปลี่ยนทนาย5. ร้องขอเข้าแทนที่โจทก์6. คัดค้านสมาชิกอื่นในกลุ่มที่ร้องขอเข้าแทนที่โจทก์7. คัดค้านการที่โจทก์ขอถอนฟ้อง8. คัดค้านการตกลงหรือการประนีประนอมยอมความ9. คัดค้านการตกลงเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาด10.ตรวจและโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของสมาชิกอื่น11. แต่งตั้งทนายความให้เป็นผู้ดำเนินการแทนตนตาม 1 ถึง 10 ข้างต้นได้ประโยชน์ของการฟ้องคดีแบบกลุ่ม·ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี·เป็นมาตรการที่เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการยุติธรรมให้มากขึ้น·ทำให้การดำเนินคดีในปัญหาอย่างเดียวกันได้รับผลเป็นอย่างเดียวกันโดยจำเลยจะไม่ได้รับผลกระทบจากคำพิพากษาที่แตกต่างกัน·ทำให้ผู้ที่จะฝ่าฝืนกฎหมายเกิดความยับยั้งชั่งใจในการที่จะก่อให้เกิดความเสียหาย·เป็นมาตรการที่ได้รับความคุ้มครองผู้ด้อยโอกาสทางสังคม และผู้ที่ได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยให้ได้รับการเยียวยาแก้ไขตัวอย่างคดีผู้บริโภคที่มูลนิธิฟ้องเป็นคดีแบบกลุ่มนับตั้งแต่มีกฎหมายฟ้องคดีแบบกลุ่มประกาศใช้ในประเทศไทยในปี 2558  มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคเห็นความสำคัญของการดำเนินคดีแบบกลุ่ม จึงมีการสนับสนุนผู้บริโภคให้เกิดการรวมกลุ่ม และฟ้องคดีผู้บริโภคแบบกลุ่มในหลายกรณี ที่สำคัญ ดังนี้ 1.ฟ้องคดีสินค้าไม่ปลอดภัย กรณีเครื่องสำอางเมื่อวันที่   18  กันยายน  2560   กลุ่มผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องผู้ประกอบธุรกิจเป็นคดีผู้บริโภค และขอให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม เรียกค่าเสียหายตามพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ.2551  คดีนี้สืบเนื่องจากจำเลย เป็นผู้จำหน่ายเครื่องสำอางใช้ชื่อการค้าว่า “เมย์โรว”  โดยผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง คือ เพิร์ลลี่ อินแทนซีพ ไวท์ โลชั่น เป็นเครื่องสำอางประเภทผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกาย เพื่อจำหน่ายให้ประชาชนทั่วไป ด้วยการโฆษณา และจำหน่ายสินค้าทางสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อสังคมออนไลน์ เฟซบุ๊ค ตัวแทนจำหน่าย และอื่นๆ โดยได้โฆษณาชวนเชื่อในลักษณะเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปเกิดความเชื่อถือเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ของจำเลยว่า “ผิวขาวสวย ปัง ปัง ปัง”  “ขาวสุดพลัง ขาวได้มง อยากขาว ต้องลอง” และอื่นๆจากการโฆษณาชวนเชื่อของจำเลยดังกล่าว เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสี่ และผู้บริโภครายอื่นอีกหลายรายเชื่อว่าสินค้าของจำเลยเป็นจริงตามที่โฆษณา ปลอดภัยต่อสุขภาพ และร่างกาย จึงซื้อสินค้าของจำเลยมาใช้กับตนตามที่จำเลยโฆษณา แต่เมื่อมีการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภทบำรุงผิวกายของจำเลยเป็นประจำทุกวัน ปรากฏว่ามีอาการปวดแสบ ปวดร้อน มีรอยแตกลาย เป็นแผลเป็นบริเวณแขน และขา อันเกิดจากการแพ้สารเคมีที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอางของจำเลย เมื่อไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย แพทย์วินิจฉัยว่าสาเหตุที่ผิวหนังแตกลายเกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม สารสเตียรอยด์ และไม่สามารถรักษาผิวหนังให้กลับมาเป็นปกติได้  ผลการดำเนินการ  ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์ทั้งสี่ดำเนินคดีแบบกลุ่ม ให้ยกคำร้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 9 อนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม และมีการประกาศแจ้งการดำเนินคดีแบบกลุ่มลงหนังสือพิมพ์ ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่าง นัดพร้อมและนัดไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว2.ฟ้องคดีสินค้าโฆษณาเกินความเป็นจริงเมื่อวันที่   30  มิถุนายน 2560   กลุ่มผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องบริษัท เป็นคดีผู้บริโภคและขอให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม โดยมีสมาชิกกลุ่มจำนวน 72 คน  ต่อศาลแพ่ง เรียกเงินคืน และเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน  1,650  ล้านบาท จากการโฆษณาสินค้าเกินความเป็นจริงและสินค้าดังกล่าวไม่เป็นไปตามโฆษณา   คดีนี้สืบเนื่องจากจำเลย เป็นผู้จำหน่าย “กระทะโคเรียคิง (KOREA KING)” โดยจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคทั่วไป ด้วยการโฆษณา และจำหน่ายสินค้าของจำเลยทางสื่อโฆษณาทางช่องโทรทัศน์ สื่อสังคมออนไลน์ เฟสบุ๊ค และอื่นๆ โดยได้โฆษณาชวนเชื่อในลักษณะเชิญชวนให้ผู้บริโภคทั่วไปเกิดความเชื่อถือว่าผลิตภัณฑ์ของจำเลยเป็นกระทะไม่ใช้น้ำมัน ทำอาหารไม่ติดกระทะ ราคาถูก เหมาะสำหรับทำอาหารคลีน หรืออาหารเพื่อสุขภาพ เป็นกระทะที่ขายดีที่สุดในประเทศไทย  จากการโฆษณาชวนเชื่อของจำเลยดังกล่าว เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสอง และผู้บริโภครายอื่นๆ อีกจำนวนมากหลงเชื่อว่าสินค้าของจำเลยมีราคาแพง แต่จำเลยจัดรายการส่งเสริมการขาย(PROMOTION) จำหน่ายในราคาพิเศษ และสินค้ามีคุณสมบัติเป็นจริงตามที่โฆษณา รวมทั้งปลอดภัยต่อสุขภาพ และร่างกาย จึงสำคัญผิดในสาระสำคัญของราคา และคุณสมบัติของสินค้าจำเลย จึงซื้อสินค้าจำเลยมาใช้กับตนและครอบครัวตามที่จำเลยโฆษณา  เมื่อโจทก์ทั้งสองและผู้บริโภครายอื่นๆ ได้ใช้สินค้าของจำเลยตามวิธีการที่จำเลยโฆษณาไว้ ผลปรากฏว่าไม่เป็นไปตามที่จำเลยโฆษณาไว้ เช่น กระทะดำไหม้  อาหารติดกระทะ ไม่ทนความร้อน ฯลฯ           ผลการดำเนินการ  ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างไต่สวนคำร้องขอให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม3.ฟ้องคดีบริษัทคิดค่าโทรศัพท์เกินจริง   เมื่อวันที่   15 พฤษภาคม  2561   ผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ จากการที่ผู้เสียหายถูกคิดค่าโทรศัพท์ปัดเศษวินาทีเป็นนาที ทำให้ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบจากการคิดค่าบริการเกินจริงเป็นวงกว้าง  มีการแยกฟ้องเป็นสามคดี ตามค่ายมือถือ คือ เอไอเอส ดีแทคและทรู  เรียกค่าเสียหายรวมไม่น้อยกว่า 2.2 หมื่นล้านบาท เพื่อให้จ่ายให้ชดเชยและเยียวยาแก่ผู้ใช้มือถือทุกคนกว่า 90 ล้านเลขหมายในประเทศไทย กำหนดโจทก์ผู้ฟ้องคดี  เป็นแกนนำคดีละ 2 คน  แบ่งตามผู้ใช้บริการแบบรายเดือนกับเติมเงิน  โดยแบ่งเป็นสองศาล คือ คดีดีแทค ยื่นฟ้องที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ผบ.527/2561 ซึ่งศาลได้นัดไต่สวนคำร้องดำเนินคดีแบบกลุ่ม ในวันที่  18  มิถุนายน  2561 เวลา 9.00 น. ส่วนเอไอเอสและทรู  ยื่นฟ้องที่ศาลแพ่ง (รัชดา) โดยเอไอเอสเป็นคดีหมายเลขดำที่ ผบ. 2023/2561  และทรู เป็นคดีหมายเลขดำที่ ผบ. 2031/2561  และมีการแถลงข่าวต่อสาธารณะ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2561  ณ สำนักงานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคผลการดำเนินการ   โดยทั้งสามคดีอยู่ระหว่างศาลนัดไต่สวนคำร้องดำเนินคดีแบบกลุ่ม[3] 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 211 รู้เท่าทันน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น

      น้ำมันมะพร้าวเป็นที่รู้จักกันมานานในหมู่คนไทยและต่างประเทศ แต่น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น หรือบีบเย็น หรือบริสุทธิ์นั้น เพิ่งเป็นที่รู้จักกันไม่กี่ปีมานี้ และกลายเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพที่นิยมอย่างแพร่หลาย แต่ก็มีข้อถกเถียงกันอย่างมากว่า ไม่เป็นอันตราย ลดความอ้วน ลดไขมันได้จริงหรือ เรามารู้เท่าทันกันเถอะน้ำมันมะพร้าวบีบเย็นหรือบริสุทธิ์คืออะไร   น้ำมันมะพร้าวบีบเย็นเป็นน้ำมันที่สกัดจากเนื้อมะพร้าวโดยไม่ใช้ความร้อน เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลกเมื่อเทียบกับน้ำมันมะพร้าวธรรมดา กระบวนการผลิตห้ามการสัมผัสหรือถูกความร้อนเลย วัตถุดิบโดยเฉพาะเนื้อมะพร้าวหรือน้ำกะทิต้องไม่โดนแสงแดดหรือความร้อน   น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์จึงมีรสชาติและกลิ่นดี เนื่องจากสกัดจากเนื้อมะพร้าวโดยตรงและไม่โดนความร้อน อุดมไปด้วยสารต่างๆ ตามธรรมชาติ ได้แก่ วิตามินอี และแร่ธาตุต่างๆ ที่ไม่สูญหายไปจากความร้อน การฟอกขาว การกรอง นอกจากนี้ น้ำมันมะพร้าวยังเป็นกรดไขมันที่มีห่วงโซ่ขนาดกลาง การโฆษณาสรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวบีบเย็น   ในเว็บไซต์ทั้งไทยและต่างประเทศต่างโฆษณาสรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์อย่างมากมาย รักษาโรคต่างๆ จำนวนมาก  เช่น ช่วยให้สุขภาพดี หุ่นดี ช่วยระบบภูมิคุ้มกัน หัวใจแข็งแรง เพิ่มพลัง สดชื่น ไทรอยด์แข็งแรง ผิวดูอ่อนเยาว์ ผมเงางาม ฆ่าเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา เพิ่มการสร้างอินซูลิน ช่วยระบบขับถ่าย ลดไขมันในเลือด รักษาอาการปวดกระดูก เป็นต้นน้ำมันมะพร้าวบีบเย็นมีสรรพคุณจริงตามอ้างหรือไม่    ประเด็นเรื่องน้ำมันมะพร้าวบีบเย็นเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในต่างประเทศ เนื่องจากดาราฮอลลีวูดดังๆ หลายคนออกมาเชิญชวนให้กินน้ำมันมะพร้าวบีบเย็น ทำให้สื่อทางทีวีและวิชาการต้องออกมาเล่นเรื่องเหล่านี้ ตั้งแต่ BBC, The Guardian เป็นต้น     เหตุที่มีข้อถกเถียงกันมากเป็นเพราะ น้ำมันมะพร้าวเป็นไขมันอิ่มตัว ซึ่งไขมันอิ่มตัวจะทำให้โคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น เกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ แต่เนื่องจากน้ำมันมะร้าวบริสุทธิ์เป็นไขมันที่มีห่วงโซ่ขนาดกลาง ซึ่งจะถูกย่อยและใช้งานแตกต่างจากไขมันอิ่มตัวทั่วไป จึงมีความเชื่อว่าไม่เพิ่มโคเลสเตอรอล แถมยังช่วยลดน้ำหนักอีกด้วย ในปี ค.ศ. 2003 มีการทำวิเคราะห์อภิมาณบทความกว่า 60 ชิ้น พบว่า กรดลอริคในน้ำมันมะพร้าวเพิ่ม HDL-C ซึ่งเป็นไขมันดี แต่ก็เพิ่ม LDL-C ซึ่งเป็นไขมันอันตราย เช่นเดียวกัน      ห้องสมุดคอเครน ทำการทบทวนวรรณกรรม 15 รายงาน ครอบคลุมผู้เข้าร่วมการวิจัยกว่า 59,000 ราย ในปีค.ศ. 2014 พบว่า เมื่อลดการกินไขมันอิ่มตัวลง จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจหลอดเลือดลงร้อยละ 17     สรุปได้ว่า น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์จะเพิ่มไขมันในร่างกายทั้งไขมันดีและไขมันอันตราย จึงไม่สามารถลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ไม่ได้เป็นอาหารวิเศษตามที่ดาราโฆษณา แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวร้ายเสียทีเดียว เพราะน้ำมันมะพร้าวมีความแตกต่างจากไขมันอิ่มตัวทั่วไป ยังต้องมีการศึกษาวิจัยขนาดใหญ่ และระยะยาวเพื่อหาความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องนี้เราไม่ควรให้ความสำคัญกับการกินน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ น้ำมันมะกอก และน้ำมันต่างๆ เพียงเพื่อให้สุขภาพดี รักษาโรคต่างๆ  เราควรให้ความสำคัญกับการกินอาหารที่ไม่ผ่านการขัดสีหรือแปรรูป วิธีการปรุงอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ลดน้ำตาล ไขมันทรานส์ ไขมันอิ่มตัว อาหารแปรรูป  การใช้วิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพนับเป็นยาที่ดีที่สุด 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 211 ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ รู้หรือไม่ เรียกได้จากใคร?

        หลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน กรณีรถยนต์ โดนรถของคู่กรณีชนได้รับความเสียหาย ถ้าท่านเป็นฝ่ายถูก และไม่ได้มีส่วนร่วมในการประมาทที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น จะเรียกร้องค่าขาดประโยชน์การใช้รถยนต์ได้จากใคร?         ถ้าเราเป็นฝ่ายถูก  สามารถเรียกร้องค่าขาดประโยชน์การใช้รถยนต์จากบริษัทประกันภัยของรถยนต์คู่กรณีได้ ไม่ใช่เรียกจากบริษัทประกันภัยรถยนต์ของตนเองนะครับ        การเรียกร้องต้องทำอย่างไร ยุ่งยากหรือเปล่า?  ขอเริ่มดังนี้ คือ        1.    เราต้องขอใบเคลมรถยนต์ของคู่กรณี สำหรับยืนยันว่ารถยนต์คู่กรณีป็นฝ่ายผิด และถ่ายรูปใบเคลม กรมธรรม์ประกันภัยของรถยนต์คู่กรณีไว้ เพื่อจะได้ทราบรายละเอียด เช่น ชื่อบริษัทประกันภัย เบอร์โทรศัพท์ ทะเบียนรถยนต์ของคู่กรณี  ชื่อผู้ขับขี่ และเลขการเคลมประกัน         2.  หลังจากนั้นให้ท่านนำรถยนต์เข้าซ่อมที่ศูนย์ หรืออู่ในเครือบริษัทประกันของท่าน        3.  เมื่อซ่อมรถยนต์เสร็จ ให้ขอรายการซ่อมแซมรถยนต์ว่ามีรายการอะไรบ้าง และใบรับรถยนต์จากศูนย์หรืออู่ซ่อม โดยต้องระบุวันที่เข้าซ่อม และวันที่ซ่อมรถยนต์เสร็จ จากศูนย์หรืออู่ที่ท่านนำรถยนต์เข้าซ่อม         4. ให้ติดต่อบริษัทประกันภัยรถยนต์คู่กรณี เพื่อเรียกร้องค่าขาดประโยชน์การใช้รถยนต์ โดยใช้เอกสารประกอบดังนี้                   - สำเนาบัตรประชาชนเจ้าของรถยนต์                   - สำเนาทะเบียนรถยนต์                   - สำเนากรมธรรม์ของผู้เรียกร้อง                   - ใบรับรถยนต์จากศูนย์ หรืออู่ซ่อม                   - รายการซ่อมแซมรถยนต์ที่เสียหาย                   - ภาพถ่ายรถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุ                   - สำเนาหน้าบัญชีธนาคาร                   - หนังสือเรียกร้องค่าขาดประโยชน์การใช้รถยนต์                   - หนังสือมอบอำนาจ (กรณีไม่สามารถดำเนินการด้วยตนเองได้)       5. การติดต่อบริษัทประกันของรถยนต์คู่กรณี ถ้าสะดวกไปที่สำนักงานใหญ่ ก็จะรวดเร็วกว่า แต่ถ้าท่านอยู่ต่างจังหวัดหรือไม่สะดวกไปที่สำนักงานใหญ่ ให้ติดต่อผ่านสำนักงานสาขาของบริษัทประกันภัยนั้นๆ สาขาเขาจะส่งเรื่องต่อเข้าไปที่สำนักงานใหญ่เอง แต่อาจจะให้เวลานานกว่ายื่นเองที่สำนักงานใหญ่             ท่านสามารถเรียกค่าขาดประโยชน์การใช้รถยนต์ ที่ต้องใช้พาหนะอื่นๆ ในการเดินทางแทน เช่น ค่ารถแท็กซี่ หรือค่ารถจักรยานยนต์รับจ้าง  โดยคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นรายวัน  คูณ กับจำนวนวันที่ท่านนำรถยนต์เข้าซ่อม             ค่าขาดประโยชน์การใช้รถยนต์บริษัทประกันภัยมีแนวปฏิบัติคราว ๆ  ไว้ว่าจะต้องจ่ายดังนี้     1.    รถยนต์นั่งส่วนบุคคล หรือรถเก๋ง บริษัทประกันภัยจะจ่ายประมาณวันละ 300 – 400 บาท     2.    รถกระบะที่ใช้ในการบรรทุก หรือรับขนส่งสินค้า บริษัทประกันภัยจะจ่ายประมาณวันละ 500 – 700 บาท     3.    รถตู้ที่วิ่งโดยสาร บริษัทประกันภัยจะจ่ายประมาณวันละ  1,000 บาท         กรณีที่ท่านมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง หรือค่าขาดประโยชน์มากกว่าตัวเลขดังกล่าว ก็สามารถเรียกตามจริงไปก่อนได้ เพราะว่าบริษัทประกันภัยจะต้องมีการเจรจาต่อรองกับท่านอีกครั้ง พร้อมกันนี้ผมได้แนบ ตัวอย่างหนังสือเรียกร้องค่าขาดประโยชน์การใช้รถยนต์ เพื่อให้ง่ายสำหรับผู้อ่านในการเรียกร้องจากบริษัทประกันภัย        เมื่อเจรจาตกลงกับบริษัทประกันภัยรถยนต์คู่กรณีได้แล้ว เขาจะให้ท่านลงนามในหนังสือประนีประนอมยอมระงับข้อพิพาท  สำหรับตัวเงินที่ตกลงกันได้   หลังจากนั้นบริษัทประกันภัยคู่กรณี จะโอนเงินค่าขาดประโยชน์การใช้รถยนต์ให้ท่าน เป็นอันเสร็จกระบวนการเรียกร้อง        ผู้เขียนหวังว่าผู้อ่านคงจะได้ความรู้ ในการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์การใช้รถยนต์ เพื่อบรรเทาความเสียหายที่ต้องเสียค่าเดินทางด้วยพาหนะอย่างอื่น แทนการใช้รถยนต์ของตนเอง  แล้วพบกันใหม่ในโอกาสหน้าครับ…..

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 211 กินสบายๆ อย่างหัวใจเอกขเนก

        มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Intuitive Eating (google translate แปลว่า “กินง่าย” แต่ผู้เขียนไม่เห็นด้วย เพราะเมื่อพยายามทำความเข้าใจแล้วน่าจะแปลประมาณว่า “กินสบายๆ”) เขียนโดยนักกำหนดอาหารสองสาวชื่อ Evelyn Tribole และ Elyse Resch โดยมีราคา US.$10.48 ซึ่งดูราคาแล้วก็เหมือนจะไม่ต่างจากหนังสือเกี่ยวกับอาหารการกินทั่วไป แต่เมื่อเข้าไปสำรวจดูใน YouTube แล้วปรากฏว่า เริ่มมีคนมองหนังสือเล่มนี้เหมือนเป็นแนวทางศักดิ์สิทธิ์ในการปฏิบัติตนให้มีสุขภาพดี จึงคิดว่าน่าจะนำมาเล่าสู่กันฟังแบบว่า แค่อ่านหลักการย่อๆ แล้วผสมกับความเห็นที่ตรงกันระหว่างผู้เขียนหนังสือและผู้เขียนบทความนี้ เพราะยังไงๆ ผู้เขียนก็ไม่ซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านให้เสียเวลา        จากการประเมิน ผู้แต่งหนังสือพยายามสร้างความรู้สึกแก่ผู้อ่านว่า ร่างกายของมนุษย์นั้นแข็งแรงได้ถ้ามีความรู้สึกเป็นมิตรต่ออาหารที่กิน โดยควรเลิกคิดว่า อาหารที่ชอบกินบางอย่างนั้นจะทำให้เราสุขภาพไม่ดี หรือเมื่อครั้งใดกินอาหารบางมื้อหนักไปหน่อยก็รู้สึกผิด เกิดวิตกจริตว่าจะมีสุขภาพที่ไม่ดี ซึ่งว่าไปแล้วความรู้สึกไม่ดีและความกังวลใจต่างๆ นั้น มักเกิดเนื่องจากการได้รับข้อมูลจากสังคมรอบตัวที่แต่ละคนนำมาสร้างกฏระเบียบในการกินจนเหมือนหนึ่งว่า ชีวิตนี้ไม่ใช่ของเรา        หลักการของ Intuitive Eating ซึ่งหาดูได้ในเว็บของสองสาวนักเขียนนั้น บางประการก็ตรงกับใจของผู้เขียนจนทำให้เข้าใจว่า อีกไม่นานหลักการต่างๆ นี้คงเข้ามาสู่สังคมไทยโดยผู้ที่มีความสามารถในการบรรยายชี้ชวนให้คนทำตามทั้งหลาย เพื่อขายความรู้กินเหมือนการอบรมให้กินอาหารแบบต่าง ๆ (ในลักษณะที่เรียกว่า food fad) โดยหลักการปฏิบัติของการกินสบายๆ 10 ประการนั้นคือ                   มีความสุขในการกิน(Reject the Diet Mentality) เพื่อสุขภาพที่ดี อย่าทำเรื่องกินให้เป็นเรื่องเครียด โดยเริ่มแรกนั้น สองสาวนักกำหนดอาหารแนะให้ กำจัดหนังสือ (ที่คนอื่นแต่ง) ซึ่งเคยให้ความหวังว่าทำตามแล้วสุขภาพจะดีด้วยวิธีที่แสนจะทรมานใจทิ้งให้หมด เพราะถ้ามันจะทำให้ชีวิตนั้นไร้ค่าถ้าต้องมัวกังวลกับสิ่งที่อาจทำได้เฉพาะบางคน ซึ่งในบ้านเราจะเห็นได้เลยว่า การกำหนดให้คนไทยต้องยึดค่าดัชนีมวลกายไม่เกิน 22.9 เพื่อจะได้อยู่ในเกณฑ์ปรกตินั้น เป็นเรื่องที่บางคนทำได้และบางคนทำให้ตายก็ไม่ได้ ดังนั้นเพื่อความสบายๆ ควรยึดตัวเลขสากลไม่เกิน 25 ดีกว่า         กินเมื่อหิว(Honor Your Hunger) หลักการนี้ทำให้ร่างกายได้สารอาหารที่เพียงพอทันที เมื่อเริ่มหิว ทั้งนี้เพราะเมื่อรอให้ความหิวกลายเป็นความโหยแล้ว ความตั้งใจกินเพียงน้อยจะหายวับไป กลายเป็นการกินเต็มที่จนเกินความต้องการ หนังสือได้กล่าวในลักษณะว่า เมื่อร่างกายมีสัญญาณความเริ่มหิว (ตามหลักสรีรวิทยาแล้วน่าจะหมายถึง การมีระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดต่ำลง) แล้วได้รับการตอบสนองทันทีนั้นเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความไว้วางใจระหว่างตัวเองและสมอง แต่ประเด็นที่สำคัญซึ่งเหมือนว่า หนังสือได้กล่าวในหลักการข้ออื่นคือ ต้องรู้จักหยุดเมื่อจะอิ่ม คล้ายหลักการของชาวโอกินาวาในการกินอาหารแบบที่เรียกว่า ฮารา ฮาชิ บุ (hara hachi bu) คือ ให้หยุดกินเมื่อเริ่มอิ่ม เพราะถ้ารอให้รู้สึกอิ่มจริงกระเพาะจะขยายตัวเองใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการเดินออกจากโต๊ะอาหารโดยไม่อ้อยอิ่งเติมของหวาน ทำให้ชาวโอกินาวานั้นมีค่าดัชนีมวลกายเฉลี่ย 21.5 ในขณะที่ชาวอเมริกันนั้นตัวเลขอยู่ที่ 28 ส่วนคนไทยก็ตัวใครตัวมัน        อย่ามองอาหารที่ชอบเป็นศัตรู(Make Peace with Food) แม้มันอาจทำให้อ้วนถ้าขาดสติในการกิน ควรอนุญาตตัวเองให้กินสิ่งที่ชอบอย่างมีเงื่อนไขว่า พอรู้รส ทั้งนี้เพราะการไม่กินสิ่งที่สมองต้องการนั้นสร้างความอยากจนยากในการควบคุมใจ จนต้องกระเสือกกระสนหามากินด้วยปริมาณที่ต้องการ เพื่อความสะใจ        กินไปเถอะไม่ต้องกลัวถูกตำรวจในจินตนาการจับ(Challenge the Food Police) ในภาพรวมตามหลักการนี้เสมือนว่า ผู้เขียนแนะนำให้เลิกภูมิใจเมื่อกินอาหารพลังงานต่ำตามที่หนังสือส่วนใหญ่แนะนำให้ทำเพื่อควบคุมน้ำหนัก หรืออย่าเสียใจเมื่อได้(แอบ) กินเค้กช็อกโกแลตชิ้นเล็กๆ สักชิ้นหนึ่งที่หนังสือส่วนใหญ่ระบุว่า อันตราย ในการปฏิบัตินั้นผู้อ่านต้องเลิกมโนถึงตำรวจ(ในจินตนาการ) ที่คอยเช็คบิลคุณทุกครั้งที่กินอาหารซึ่งใครๆ ว่าไม่ดี (เช่น ข้าวขาหมู แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า ฯลฯ) เสียที ขั้นตอนนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่งในการปฏิรูปตำรวจ(ในจินตนาการ) ให้มาคอยเตือนสติแบบลูบหลังว่า ให้กินแต่น้อย         สนใจในความรู้สึกที่บอกว่าอิ่มแล้ว(Respect Your Fullness) ก็หยุดกินทันที หลักการของคำแนะนำน่าจะเป็นการเตือนให้คอยสังเกตสัญญานว่า เมื่อรู้สึกอิ่มก็ควรหยุด อีกทั้งควรชะลอการกินระหว่างมื้ออาหารบ้าง เพื่อซึมซาบความอร่อยของอาหาร แล้วจับความรู้สึกว่า อิ่มพอดี เป็นอย่างไร (เช่น ไม่ขยายเข็มขัด) ซึ่งว่าไปแล้วเหมือนว่า ผู้เขียนหนังสือต้องการเตือนให้ผู้อ่านมี สติ ตลอดเวลาในการ กินเพื่ออยู่        ค้นความอร่อยให้พบ(Discover the Satisfaction Factor) ดีกว่าทุกข์กับการกินของที่หนังสือต่างๆ บอกว่า ดีจังแต่ไม่อร่อย ทั้งนี้เพราะเมื่อใดที่มนุษย์ได้กินของชอบภายใต้บรรยากาศที่รื่นรมย์แล้ว เขาหรือหล่อนจะจดจำความรู้สึกนั้นเพื่อบันทึกเป็นความสดชื่นของชีวิต อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้บริโภคอาจพบคือ ปริมาณอาหารที่ทำให้คุณถึงซึ่งความสุขนั้น มักไม่มากอย่างที่คิด ขอให้ดูตัวอย่างอาหารที่ได้ Michelin star นั้นมักมีปริมาณไม่มากในแต่ละจาน เพราะเขาหวังให้ลิ้มความอร่อย ไม่ใช่ความรู้สึกอิ่มจนพุงเกือบแตก        หาความสุขจากสิ่งอื่นนอกจากการกิน(Honor Your Feelings Without Using Food) ความวิตกกังวล เหงา เบื่อหน่าย โกรธ เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นตลอดชีวิตของทุกคน ซึ่งแต่ละคนมีวิธีการของตนเองในการจัดการ ไม่บังควรเอาการกินอาหารไปเป็นทางออกเพื่อแก้ไขความรู้สึกเหล่านี้ จึงมีคำแนะนำว่า ให้ออกไปสัมผัสสังคมภายนอก เขียนบันทึก ทำสมาธิ ทัศนศึกษา ฯลฯ เพื่อบำบัดปัญหาที่เกิด        เคารพตัวเองว่า ยังไงๆ ก็เป็นเรา(Respect Your Body) ไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่น ความหมายในคำแนะนำนี้คือ ยอมรับผลที่เกิดเนื่องจากพันธุกรรมของคุณ เพราะคนที่เท้าใหญ่ย่อมไม่คาดหวังที่จะใส่รองเท้าขนาดเล็ก เนื่องจากมันจะบีบเท้าให้เจ็บ ทุกคนควรยอมรับในความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะสูง ต่ำ ดำ ขาว อ้วนหรือผอม ฯ เพื่อจะได้ไม่กลับสู่วังวนของการทำตามข้อบังคับ ให้ทำอย่างนั้น อย่างนี้ เนื่องจากยังกังวลถึงการที่รูปร่างของตนเองไม่เป็นอย่างที่คิด ขอให้ดู Serena Jameka Williams นักเทนนิสหญิงที่มีร่างใหญ่ตามเผ่าพันธุ์คนอัฟริกันที่สามารถชนะการแข่งขันมากมาย        ออกกำลังกายตามชอบ(Exercise–Feel the Difference) เพื่อให้ร่างกายเราเห็นความต่างจากเมื่ออยู่เฉย คำแนะนำประการนี้ไม่ได้หมายถึง การฝึกแบบทหาร เพียงต้องการแค่ทำให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวในกิจกรรมที่ชอบ เกิดสันทนาการกับคนที่สนิทแล้วชื่นใจ แบบไม่มีการบังคับ ผลพลอยได้คือ การเผาผลาญพลังงานในร่างกาย และทำให้คุณรู้สึกมีชีวิตชีวา ต่างจากการตื่นขึ้นมามีเป้าหมายเพียง การลดน้ำหนักตามหมายกำหนดการประจำที่มักไม่ใช่ปัจจัยกระตุ้นให้ออกกำลังกาย         ยินดีกับสุขภาพที่ได้มา(Honor Your Health) เมื่อได้อร่อยในการกิน ประการนี้ดูจะสำคัญที่สุด เพราะการได้เลือกกินอาหารที่อร่อยและดูดีต่อสุขภาพนั้น ได้เป็นการตอบแทนการทำงานของต่อมรับรสในปาก ซึ่งให้ความรู้สึกดี ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกินอาหารที่ถูกต้องสมบูรณ์แบบทางโภชนาการทุกมื้อ เพียงแต่เมื่อครบวันหนึ่งแล้ว ควรพิจารณาได้ว่า อาหารที่คุณกินเข้าไปนั้นพอจะอยู่ในเกณฑ์ของคำแนะนำให้ได้สารอาหารครบถ้วน อย่างไรก็ดีความไม่สมบูรณ์ที่เกิดเพียงในหนึ่งมื้อหรือหนึ่งวันนั้น ก็ไม่น่าก่อปัญหาสักเท่าไรเพราะเรารู้ตัวว่าได้ทำอะไรไป ซึ่งไม่ควรทำซ้ำอีกในอนาคตอันใกล้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 211 กระแสในประเทศ

สรุปความเคลื่อนไหวเดือนกันยายน 2561แกร็บเตือนภัยอาชญากรแอบอ้างให้บริการ แนะเรียกใช้ผ่านแอปพลิเคชัน        จากเหตุการณ์บุคคลมีประวัติอาชญากรรม หลบหนีหมายจับคดีข่มขืน แอบอ้างเป็นคนขับแกร็บคาร์ ก่อเหตุล่อลวงผู้โดยสาร เมื่อ 19 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยใช้วิธีนัดแนะเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายผ่านมือถือ โดยไม่ติดต่อผ่านแอปพลิเคชันของแกร็บคาร์ ทำให้ไม่สามารถติดตามสถานะการเดินทางหรือขอความช่วยเหลือฉุกเฉินจากแอปฯ ได้       บริษัท เเกร็บ ประเทศไทย ได้ออกมาย้ำถึงมาตรการความปลอดภัย ขอให้ผู้โดยสารทุกท่านเรียกใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันทุกครั้ง หลีกเลี่ยงการติดต่อกับผู้ขับขี่ หรือตกลงการเดินทางโดยไม่ผ่านแอปพลิเคชัน ก่อนขึ้นรถควรตรวจสอบใบหน้าคนขับและทะเบียนรถว่าตรงกับระบบหรือไม่ และเมื่อขึ้นโดยสารรถแล้วให้กดใช้ฟีเจอร์ Share My Ride เพื่อส่งแชร์ข้อมูลการเดินทางเป็นลิงก์ข้อความไปยังคนที่ห่วงใย ก็จะสามารถติดตามตำแหน่งรถโดยสารแบบเรียลไทม์เพื่อดูได้ว่าถึงไหนแล้ว หรือหากรู้สึกว่ามีสถานการณ์ไม่ปลอดภัยก็สามารถกดใช้ปุ่มฉุกเฉินบนแอปพลิเคชันได้ทันทีกรมสุขภาพจิต เผยคนไทยคิดสั้นชม.ละ 6 คน        นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวว่า แต่ละปีมีผู้พยายามทำร้ายตัวเองเพื่อฆ่าตัวตายประมาณ 53,000 คน เฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน ส่วนใหญ่เป็นวัยแรงงาน โดยในปี 2559 มีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จจำนวน 4,131 คน เป็นชายมากกว่าผู้หญิง 4 เท่าตัว อายุต่ำสุด 10 ปี สูงสุด 100 ปี ส่วนใหญ่เป็นโสด ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจปีละกว่า 400 ล้านบาท        สาเหตุที่มักพบมาจาก 5 เรื่อง คือ ความสัมพันธ์บุคคล สุรา ยาเสพติด สังคม และเศรษฐกิจ ในผู้ชายมักมีปัจจัยความเสี่ยงจากปัญหาโรคทางจิต ดื่มสุรา ใช้ยาเสพติด โดยเฉพาะการดื่มสุรามากขึ้นจะมีโอกาสลงมือทำร้ายตัวเองมากกว่าผู้หญิงที่มีปัญหาถึง 2 เท่า ส่วนในผู้หญิงมักมีสาเหตุมาจากความสัมพันธ์ได้แก่ น้อยใจ ถูกตำหนิดุด่า ผิดหวังความรัก        ด้าน นพ. ณัฐกร จำปาทอง ผอ.โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ และศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ กรมสุขภาพจิตกล่าวว่า การพยายามฆ่าตัวตาย เป็นตัวบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นไม่สามารถหาทางออกได้ในสถานการณ์ที่กดดันทางอารมณ์อย่างรุนแรง   จำเป็นต้องเข้าไปให้การช่วยเหลือ   จึงขอให้ญาติหรือผู้ที่ดูแลผู้ที่พยายามฆ่าตัวตายแล้วแต่ไม่สำเร็จ ซึ่งมีปีละกว่า 48,000 คน ไม่ว่าจะรู้สึกโกรธหรือผิดหวังในตัวผู้กระทำแค่ไหนก็ตาม ควรให้อภัย หลีกเลี่ยงการตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง  ขอให้เข้าไปพูดคุยซักถามถึงความคิดฆ่าตัวตาย ด้วยท่าทีที่อ่อนโยน จริงใจ จะช่วยผู้ที่พยายามฆ่าตัวตายคลายความกังวล รู้สึกผ่อนคลายและเข้าใจตัวเองดีขึ้น จะเป็นการป้องกันการฆ่าตัวตายซ้ำได้ จากการศึกษาของกรมสุขภาพจิตพบว่าจะสามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายได้มากถึงปีละ 400 คนร้องศาลปกครองเพิกถอนประกาศ อย. เรื่องถ่ายโอนภารกิจตรวจสินค้าเกษตรนำเข้าให้ ก.เกษตรฯ เกรงไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค        10 ก.ย. 61 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค ร่วมกันฟ้องคดีต่อศาลปกครอง กรณีสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกประกาศ เรื่อง การถ่ายโอนภารกิจให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตรวจสอบการนำเข้าสินค้าอาหาร ซึ่งเห็นว่า ขั้นตอนการออกประกาศดังกล่าว เป็นการดำเนินการโดยปราศจากอำนาจและอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้บริโภคโดยรวม โดยการฟ้องคดี ได้ร้องขอให้ศาลปกครองมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนประกาศฯ และสั่งให้ยุติการถ่ายโอนภารกิจดังกล่าว        นางสาวบุญยืน ศิริธรรม นายกสมาคมสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค กล่าวว่า "หลังจากที่มีการออกประกาศฉบับดังกล่าว ไทยมีการนำเข้าปลาตาเดียว(ฮิราเมะ) จากจังหวัดฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสถานที่ ที่มีการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีจากภัยพิบัติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว โดยเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ทำเพียงการตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ไม่มีการเก็บตัวอย่างปลาไว้ตรวจสอบในห้องปฏิบัติการแต่อย่างใด และปัดให้ อย.ไปตรวจสอบหากมีปัญหา เมื่อสินค้าออกสู่ตลาดแล้ว ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ขั้นตอนการตรวจสอบและการคุ้มครองผู้บริโภคถูกลดทอนอย่างชัดเจนเมื่อมีการถ่ายโอนภารกิจ"        นางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล อนุกรรมการด้านอาหารฯ คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน กล่าวว่า "หากสินค้านำเข้าที่ไม่ปลอดภัยแพร่กระจายไปทั่วประเทศ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแก้ปัญหา การถ่ายโอนภารกิจรังแต่จะสร้างความสับสนในการทำงานระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเอง สุดท้ายผลกระทบก็จะมาตกอยู่กับประชาชน"บทบาทองค์กรผู้บริโภคกับรถโดยสารสาธารณะ        มิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ วันที่ 6-7 ก.ย. 61 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค จัดเวทีสมัชชา ในหัวข้อ "บทบาทองค์กรผู้บริโภคกับรถโดยสารสาธารณะ" เพื่อเสนอประเด็นการขับเคลื่อนงานและมาตรการความสำคัญในการจัดการระบบรถโดยสารสาธารณะและรถรับส่งนักเรียนให้มีความปลอดภัย         การบรรยายพิเศษ เรื่อง "อนาคตองค์กรผู้บริโภคกับงานด้านรถโดยสารปลอดภัย" และเวทีแลกเปลี่ยนในหัวข้อ "ความคาดหวังรถโดยสารสาธารณะปลอดภัย ปี 2562นำเสนอสถิติอุบัติเหตุของรถโดยสารสาธารณะ และรถรับส่งนักเรียน โดยชี้ให้เห็นถึงสาเหตุ และวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนและแนวทางการแก้ไข และยังมีการจัดสภาผู้บริโภค "เรื่องมาตรการสำคัญในการจัดการรถรับส่งนักเรียน" พร้อมบรรยายพิเศษ เรื่อง "อนาคตงานรถรับส่งนักเรียนปลอดภัย" ซึ่งมีข้อเสนอว่า ควรมีการกำหนดมาตรฐานรถรับส่งนักเรียน โดยให้โรงเรียนและองค์กรปกครองส่วนท้อนถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องการเดินทางของนักเรียน โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างมาตรฐานเกี่ยวกับตัวรถให้มีความปลอดภัยและสอดคล้องกับสภาพสังคม จากนั้นเน้นเรื่องการเข้าถึงสภาพปัญหาจริงของแต่ละพื้นที่สปสช.หนุนมติ สธ.ห้ามใช้ 3 สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ข้อมูลระบบบัตรทอง 3 ปี พบผู้เสียชีวิต 1,715 ราย        เว็บไซต์ศูนย์ข่าว สปสช. รายงานว่า เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุข ได้มีมติห้ามใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน ทั้งผู้ที่สัมผัสกับสารพิษทางตรงและทางอ้อมจากภาวะสารตกค้างตามธรรมชาตินั้น        จากข้อมูลการเข้ารับบริการภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบัตรทอง ได้มีรายงานผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ โดยมีสาเหตุจากการได้รับสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ในปี 2560 มีผู้ป่วยจำนวน 4,983 ราย เสียชีวิตจำนวน 582 ราย มีการเบิกจ่ายค่ารักษาจำนวน 22,651,053 บาท นอกจากนี้ เมื่อดูการเข้ารับบริการของผู้ป่วยกลุ่มนี้ โดยแยกข้อมูลตามเขตบริการสุขภาพ 13 เขต พบว่า ปี 2561 เขต 1 เชียงใหม่ มีรายงานผู้ป่วยที่เข้ารับบริการโดยมีสาเหตุจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมากที่สุด จำนวน 644 ราย รองลงมา คือ นครราชสีมา 454 ราย, ราชบุรี 433 ราย, พิษณุโลก 426 ราย และนครสวรรค์ 422 ราย        จากรายงานผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาโดยมีสาเหตุจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชนี้ เป็นเพียงข้อมูลเฉพาะในส่วนผู้ป่วยที่มีการสัมผัสสารเคมีกำจัดศัตรูพืชโดยตรง เฉลี่ยพบผู้ป่วยประมาณ 5,000 รายต่อปี ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการรักษาอยู่ที่ราว 22 ล้านบาทต่อปี โดยยังมีข้อมูลที่น่าตระหนก เนื่องจากมีผู้ป่วยจากสารกำจัดศัตรูพืชที่มีอาการรุนแรงและเสียชีวิตขณะรักษาตัวในโรงพยาบาลช่วงปี 2559-2561 มีจำนวนสูงถึง 1,715 ราย หรือเฉลี่ยปีละเกือบ 600 ราย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 210 การคุ้มครองผู้บริโภคในฮ่องกง

สภาผู้บริโภคฮ่องกง (Hong Kong Consumers Council) ก่อตั้งขึ้นในเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2517 จากสถานการณ์ปัญหาวิกฤติเงินเฟ้อ สินค้าราคาแพง ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลปีละประมาณ 350 ล้านบาท ในการทำงาน โดยงบประมาณ มากกว่าร้อยละ 90 ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล มีเพียงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มาจากการจำหน่ายนิตยสารขององค์กร นิตยสารมีนโยบายไม่รับโฆษณาและการสนับสนุนจากธุรกิจเอกชนด้วยเช่นกัน มีนโยบายและการทำงานที่เป็นอิสระจากรัฐบาลสภาองค์กรผู้บริโภคฮ่องกง เป็นตัวแทนของผู้บริโภคตามกฎหมาย เพื่อสะท้อนเสียงของผู้บริโภคและนำเสนอประเด็นให้เกิดการอภิปรายทั่วไปเกี่ยวกับนโยบายส่งเสริมการคุ้มครองผู้บริโภคจนนำไปสู่การปฏิบัติ สร้างความร่วมมือระหว่างผู้บริโภค องค์กรภาคเอกชน เครือข่าย ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สื่อและรัฐบาล รวมทั้งส่งเสริมสวัสดิการผู้บริโภคและเพิ่มความเข้มแข็งให้กับผู้บริโภคในการปกป้องตนเอง เรื่องสำคัญล่าสุดที่ได้รับการผลักดันจากสภาองค์กรผู้บริโภคฮ่องกง การคุ้มครองผู้บริโภคในการทำสัญญาซื้อขายและการบอกเลิกสัญญา โดยการอนุญาตให้ผู้บริโภค มีสิทธิในการบอกเลิกสัญญา และคืนสินค้า และขอรับเงินคืนภายในระยะเวลาที่เหมาะสมหลังจากได้ทำสัญญา สิทธิในการยกเลิกสัญญานี้จะช่วยเพิ่มการคุ้มครองผู้บริโภคเนื่องจากปัญหากลยุทธ์การทำการขายสินค้าแบบไร้ยางอายและการตลาดที่กดดันผู้บริโภคให้ตัดสินใจซื้อในระยะเวลาอันสั้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสภาผู้บริโภคฮ่องกง ได้ใช้มาตรการแบบสมัครใจให้คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในการยกเลิกสัญญาในธุรกิจ เสริมความงาม ลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย การซื้อบริการท่องเที่ยว (timeshare) และล่าสุดได้ออกกฎหมายบังคับในปีที่ผ่านมา โดยกฎหมายให้มีการกำหนดระยะเวลาตัดสินใจในการทำสัญญา (Cooling-off Period) สำหรับธุรกรรมกับผู้บริโภค 2 ประเภท ได้แก่ สัญญาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและ / หรือบริการที่มีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน และธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการขายตรง เช่น สิทธิในการบอกเลิกสัญญาที่ทำไปแล้วภายใน 7 วัน คืนสินค้าภายใน 14 วันหลังจากได้รับสินค้าที่ส่งถึงบ้าน ได้รับเงินคืนภายใน 14 วันหลังจากบอกเลิกสัญญา หรือคืนสินค้าประเทศไทยมีมาตรการคืนสินค้าที่ชัดเจนกำหนดไว้ใน พ.ร.บ. ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2560 ใกล้เคียงกับที่ดำเนินการในฮ่องกง เช่น ผู้บริโภค มีสิทธิเลิกสัญญาโดยการส่งเอกสารแสดงเจตนาที่จะบอกเลิกสัญญาภายใน 7 วันนับแต่วันได้รับสินค้าหรือบริการ โดยสามารถเก็บสินค้านั้นไว้ ภายในระยะเวลา 21 วัน สามารถให้ผู้ขายหรือตัวแทนมารับสินค้าคืนที่ภูมิลำเนาของผู้บริโภค หรือส่งคืนสินค้าทางไปรษณีย์โดยเรียกเก็บเงินปลายทาง รวมทั้งผู้บริโภคมีสิทธิได้รับเงินคืนเต็มจำนวนและเบี้ยปรับ ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่แสดงเจตนาเลิกสัญญา หากไม่คืนเงินภายใน 15 วัน ก็ต้องเสียเบี้ยปรับตามที่กฎหมายกำหนด การซื้อสินค้าและบริการทั้งออนไลน์และออฟไลน์หลายครั้งมีมูลค่าไม่มากต่อตัวเรา แต่หากคิดเป็นภาพรวมมีมูลค่ามากมาย  มีกฎหมายดีแบบนี้ ต้องช่วยกันทำให้เป็นจริงให้ได้

อ่านเพิ่มเติม >