ฉบับที่ 156 ออส่วน

นับแต่กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว  ทุก 2 เดือน แม่ต้องไปตรวจเลือดและพบหมออายุรเวทที่โรงพยาบาลใหญ่ต่างอำเภอโดยอาศัยใบส่งตัวที่โรงพยาบาลใกล้บ้านออกให้ครั้งเดียวแต่ใช้ได้ยาวถึงวันสิ้นสุดปีงบประมาณคือวันสิ้นเดือนกันยายนปีเดียวกัน  เพราะไตเริ่มเสื่อมและเริ่มมีอาการบวมที่หน้า และลามไปลงขาในบางระยะ  มันเป็นกิจกรรมที่เพิ่มขึ้นมาจากก่อนหน้าที่แม่ต้องพึ่งพาวิธีรักษาระดับน้ำตาล ไขมัน และความดัน จากยาของหมอที่โรงพยาบาลในอำเภอมาก่อน แน่นอนว่า ร่างกายมันเสื่อมไปตามอายุและการใช้ชีวิตของเจ้าของชีวิต     แต่แม่พยายามควบคุมอาหารการกินของตัวเองไม่ให้กินตามความชอบของตัวเอง และเน้นการลดระดับความเค็มของอาหารที่กินในแต่ละมื้อละคราว  ซึ่งมีผลต่อค่าเลือดที่ตรวจ จนทำให้หมอขยับการนัดตรวจครั้งต่อไปจาก 2 เดือนครั้ง เป็น 3 เดือนครั้ง   นับเป็นของขวัญปีใหม่ที่แม่มอบให้ตัวเองมาตลอดในปีที่แล้ว  มันเหมือนจะง่ายที่ฉันจะบอกตัวเองว่าต้องงดกินเค็มไปด้วย กินได้แต่ผักสีขาวๆ ไม่กินผักสีเขียว  เลิกกินถั่วลิสงต้มมันๆ ที่ชอบเคี้ยวกินเพลินๆ  เลิกกินเค้ก  กินฮอทดอกและกล้วยทอดเจ้าประจำ    แต่ถ้าเปลี่ยนกลับจากการควบคุมการกินของตัวเองให้ได้อย่างที่ต้องการไปเป็นเพียงผู้เฝ้าสังเกต    ฉันว่าสิ่งที่ยากกว่าการบอกแม่ว่า นั่น โน่น นี่ หมอไม่ให้กิน ก็คือ การยอมรับการตัดสินใจที่แม่จะกินในแบบของแม่เอง ไม่สิ อาจต้องใช้ว่า “ยอมจำนน” ต่อแม่เลยทีเดียว แม้ฉันจะก็ยังแอบห่วง แอบกังวล ในวันที่แม่ไปจ่ายตลาดได้เองและหิ้วฝอยทองถุงใหญ่ที่อุดมไปด้วยโคเลสเตอรอล  และขนมฝรั่งมันก็เยอะไปด้วย โซเดียมจากผงฟู    แม้กระทั่งแกงคั่วหน่อไม้ดอง   ปูหลนและปลาร้าทรงเครื่อง จากแม่ค้าเจ้าอร่อยที่มักถามฉันบ่อยๆ ว่าแม่ฉันเป็นไงมั่งยามเดินผ่านร้านเธอในช่วงที่แม่เคลื่อนไหวตัวลำบากเพราะขาบวมเบ่งจนยืนยังลำบาก  แม่กับฉัน เรียนรู้ที่จะรับมือกับอาการบวมของขาที่มีสาเหตุทั้งจากที่มาของอาหารที่เค็มและมีเกลือเยอะทั้งชนิดที่เป็นเกลือโซเดียมและโปแตสเซียม  และการบวมและเจ็บของกล้ามเนื้อที่อักเสบจากการเคลื่อนไหวในวัยที่ร่วงโรยของแม่  ผ่านระดับสารตกค้างในเลือดเมื่อไปหาหมอ   พอมีอาการบวมและยุบบ่อยๆ ครั้งเข้า  ปากของฉันที่คอยส่งเสียงเตือนเรื่องชนิดอาหารที่ควรงดก็เริ่มทำงานน้อยครั้งลง แม่ ซึ่งใช้ชีวิตในแต่ละวันมาเพียงลำพังตัวคนเดียวมานาน  มักมีอาการเงียบต่อต้านทุกครั้งที่ฉันมักมีอาการเป็นห่วงออกนอกหน้าโดยมักลืมคิดไปว่า ตัวแม่เองที่เป็นคนมีความสุขกับการกิน และตัวแม่เองเป็นคนต้องเจ็บปวดทนทุกข์จากการกินของแม่ บ่อยครั้งเข้า  ฉันก็ต้องเลือกเอาระหว่างการสร้างความรำคาญใจจนแม่ไม่อยากคุยด้วย   และบ้านเงียบกริบราวกับต้องแยกบ้านกันอยู่คนละที่คนละเวลา    หรือจะปล่อยให้แม่ใช้ชีวิตของแม่เอง  เลือกกินและเจ็บป่วยเองอย่างที่แม่ต้องการ    และเรา ฉันกับแม่ ยังมีโลกร่วมกันในช่วงระยะเวลาที่ยังเหลืออยู่ของแม่  แม้ฉันจะแอบห่วงและกังวลกับอาการเจ็บป่วยที่ปรากฏขึ้นที่ร่างกาย รวมไปทั้งลมหายใจอันครืดคราดติดขัดยามนอนตอนกลางคืนของแม่ในบางช่วง   และในบางวันแม่มีอาการเบื่ออาหาร  ไม่อยากกินอะไรเลย  และมีสีหน้าอาการราวกับคนไร้สุขไปทั้งวัน เอาเถอะ จะอย่างไร แม่ก็ต้องแบกภาระของผลแห่งความสุข-ทุกข์จากการกินอยู่และใช้ชีวิตของแม่ ล้วนเป็นของแม่แต่เพียงผู้เดียวฉันกำหนดบทบาทตัวเองเป็นแค่เพียงคนใกล้ชิดที่สุดคนเดียวที่จะพลอยรับรู้และเอาใจช่วยแม่อยู่ใกล้ๆ อย่างที่บอก   ผ่านมาเกือบปี  สิ่งบ่งชี้ทางร่างกายต่อความเสื่อมของไตของแม่ทำให้ฉันปลงใจได้ ปลงได้มากถึงขั้นบางวัน  ฉันยังทดลองทำอาหารจานอร่อยของแม่กิน  ทำให้มันอร่อยพอแค่แม่ยอมรับได้  แม้จะยังไม่อร่อยเข้าที่อย่างที่แม่ชอบกินจากเจ้าประจำขอแม่  และออส่วนก็เป็นหนึ่งในเมนูโปรดที่แม่ชอบกินจากร้านเจ้าประจำที่สุพรรณ การทดลองทำออส่วนของฉันผ่านความล้มเหลวมาแล้วไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง   ถ้าแป้งไม่แข็งหรือแป้งน้อยเกินไป  ออส่วนที่ดูน่าอร่อยก็จะจืดชืด จนแม่บ่น “ไม่มีรสมีชาติ” และแม่กินแค่ คำ 2 คำ ก็เลิก  ฮึ่ม! เคล็ดที่ฉันเพิ่งเรียนรู้จากการทดลองในครัวสำหรับรายการอาหารจานนี้ก็คือ  ถ้าแป้งมันมากไป มันจะทำให้ออส่วนแข็งกระด้าง  ถ้าน้ำมากแป้งมันน้อย  เนื้อออส่วนจะไม่นิ่มนุ่มนวล ออกแนวเป็นผัดถั่วงอกเสีย   และถ้าผัดถั่วงอกและหอยจนนานเกินไปก็ไม่อร่อยอีก  เป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่คุณผู้อ่านต้องไปสังเกตและทดลองกันเอาเองนะคะออส่วนเครื่องปรุง ;   หอยนางรมสดล้างสะอาด 2 กล่องเล็ก   ,  ถั่วงอก  2 ขยุ้มมือ  ,  ไข่ไก่ 2 ฟอง  ,  ต้นหอมซอยหยาบ  2 – 3 ต้น , ผักชี ซอยหยาบ  2 ต้น  ,  กระเทียมสับ  5 – 6 กลีบ  ,  แป้งมัน ½ ถ้วย  , น้ำเปล่า 2 ถ้วย , น้ำมันถั่วเหลือง , น้ำปลา , น้ำตาล   วิธีทำ  1.ละลายแป้งมันลงในน้ำสะอาดรอ   2.ตั้งกระทะใส่น้ำมัน  รอให้ร้อนจัดแล้วเริ่มเจียวกระเทียมให้กลิ่นหอมจึงใส่ถั่วงอกลงไปผัดไฟแรงๆ ไวๆ  ปรุงรสให้ได้ที่  ตามด้วยหอยนางรม  จากนั้นจึงคนน้ำแป้งเทลงไป  ตามด้วยไข่ไก่  เมื่อไข่เริ่มสุกและแป้งใสแล้วจึงปิดเตา เสิร์ฟคู่กับซอสมะเขือเทศหรือซอสพริกตามชอบ //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 155 ยำปลาข้าวสาร (จบ)

อ่านเรื่องปลาข้าวสารมา 2 ตอนแล้วอาจจะยังสงสัยปลาข้าวสารว่าตกลงคืออะไรแน่ ระหว่าง ปลาข้าวสารคือปลากะตักตัวเล็กที่ยังไม่โตสายพันธุ์หนึ่งตามที่กรมประมงบอก หรือ บูหรา (ปลาข้าวสาร) ที่เราซื้อมากิน มันเป็นปลากะตักที่โตเต็มวัยเท่านี้แหละและมีมาให้ชาวประมงในอ่าวพังงา และทะเลอันดามัน จับมากิน-ขายได้บางช่วงบางฤดู ที่พี่อิดว่ามันเป็นชุดความรู้ที่ชาวบ้านใช้ต่อรองเพื่อให้ตัวเองยังคงมีสิทธิมีโอกาสในการจับปลาข้าวสารมาขายโดยหมุนเวียนเปลี่ยนพลัดไปกับการจับปลากะตักสายพันธุ์อื่นๆ ในช่วงเวลาที่ต่างไป ธนู  แนบเนียน ผู้ประสานงานองค์กรความร่วมมือเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติอันดามัน  บอกกับฉันว่า แม้ความรู้เรื่องปลาข้าวสารจะแตกแขนงออกเป็น 2 แนวทาง  แต่ทั้งกรมประมงและชาวประมงพื้นบ้านชายฝั่งอันดามันต่างมีข้อตกลงร่วมกันในการอนุรักษ์และฟื้นฟูท้องทะเลหน้าบ้านของตน คือร่วมกันแก้ไขปัญหาอวนลากอวนรุนที่รุกล้ำเข้ามาในเขตชายฝั่ง โดยจับกุม เปลี่ยนเครื่องมือ และขยายระยะห่างเป็นเขตอนุรักษ์เพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่ห่างจากชายฝั่ง 3 กิโลเมตร เป็น 3 ไมล์ทะเล หรือ 5.4 กิโลเมตร   นอกจากนี้ชาวประมงพื้นบ้านยังต้องรักษาสภาพป่าชายเลน หญ้าทะเล ปะการัง  ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยและอนุบาลสัตว์น้ำให้มีสภาพอุดมสมบูรณ์   ธนู กังวลว่าอวนตาถี่ที่เรือปลากะตักในใช้จับปลาข้าวสารนั้นอาจจะมีปลาอื่นๆ ปะปนมาด้วย เมื่อประกอบกับการที่เรือปลากะตักนำอุปกรณ์ไฮเทคมาใช้ตรวจหาปลาได้อย่างแม่นยำจะมีผลทำให้ปริมาณปลาข้าวสารและปลาชนิดอื่นๆ ลดปริมาณลงอย่างรวดเร็ว  แต่การที่รัฐจะประกาศควบคุมปริมาณการจับปลาชนิดต่างๆ ของไทยไปพร้อมๆ กับการประกันราคาปลาคงยังไม่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ในเมืองไทย  แม้ชาวประมงพื้นบ้านจะช่วยกันรักษาน่านน้ำอันเป็นพื้นที่หากินของตัวเองในการเฝ้าระวังเรืออวนลากอวนรุน  รวมทั้งเรือหาปลากะตักจากต่างถิ่นแล้ว  ก็ยังมีปัญหาพื้นๆ อย่างเรือเถื่อนที่ไม่มีใบอนุญาตหรืออาชญาบัตร ยังคงมีปรากฏให้เห็นเสมอ แม้ธนูจะบอกว่าถ้าผู้บริโภคจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเลโดยการเลือกซื้อจากกลุ่มชาวประมงที่ทำการอนุรักษ์  แต่ฉันก็ยังอดคิดไปไกลไม่ได้ว่า เป็นเรื่องยากมากๆ ที่ผู้บริโภคจะทราบถึงแหล่งที่มาของปลาข้าวสาร และอาหารทะเลชนิดอื่นๆ คิดอะไรไม่ออกฉันก็หาข้อมูลไปเรื่อยๆ  เลยได้ย้อนกลับไปดูมาตรการควบคุมการจับปลากะตักเพื่อความยั่งยืนของสหภายุโรป ที่อ่าวบิสเคย์  พื้นที่ชายฝั่งทะเลของสเปนและฝรั่งเศส ซึ่งประสบความสำเร็จในการริเริ่มแผนการจัดการระยะยาวของปลากะตักในอ่าวบิสเคย์เป็นไปอย่างยั่งยืน โดยเสนอสูตรทางคณิตศาสตร์เพื่อคำนวณหาค่าปริมาณที่อนุญาตให้จับทั้งหมด (total allowable catch, TAC) และโควตาในการจับโดยขึ้นอยู่กับรัฐนั้นๆ ปี 2553 ชายฝั่งทะเลเขตสเปนได้โควตาจับปลา 80 % (14,040 ตัน) ในขณะที่ฝรั่งเศสได้โควตา 20 % (1,560 ตัน)  จนกระทั่งในเดือนมิถุยายน 2554 นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์เทคโนโลยีด้านการวิจัยทางทะเลและอาหาร (AZTI-Tecnalia) ยืนยันว่า ชีวมวลของปลากะตักในอ่าวบิสเคย์มีปริมาณเพิ่มขึ้น 278 % ต่อปี จาก 36,500 ตันในฤดูใบไม้ผลิ 2553 เป็น 138,000 ตัน ในเดือนพฤษภาคม 2554 ซึ่งจากการศึกษาของ Bioman ระบุว่า จากจำนวนของไข่ที่พบทำให้คาดการณ์ได้ว่า 86% ของชีวมวลมาจากปลากะตักอายุ 1 ปี  ผลจากการจำกัดปริมาณการจับสัตว์น้ำเหล่านี้ทำให้คณะกรรมาธิการยุโรปเสนอต่อรัฐบาลสมาชิกสหภาพยุโรปทั้ง 27 ประเทศ เพื่อขอเพิ่มโควตาจับปลากะตัก (anchovy) ในอ่าวบิสเคย์จาก 15,600 ตัน เป็น 29,700 ตัน (เพิ่มขึ้น 47 %)  โดยฤดูจับปลาเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2554 และสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2555 น่าอิจฉาเขานะคะที่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ถูกนำมาใช้กับแผนการอนุรักษ์ได้อย่างประสบความสำเร็จ  ในประเทศไทยของเราหากจะฝันถึงการกำหนดโควตาสัตว์น้ำในทะเล  และการประกันรายได้เพื่อความมั่นคงของผู้ประกอบการจับปลาเพื่อให้เรามีอาหารทะเลกินกันได้อย่างยั่งยืนคงเป็นเรื่องไกลเกินฝันจริงๆ   มาทำปลาข้าวสารกรุบกริบกินส่งท้ายกันดีกว่า เครื่องปรุง ปลาข้าวสาร 1/2 ถ้วย , ไข่ไก่ 1 ฟอง , แผ่นห่อเมี่ยงเวียดนาม  1 ขีด , พริกไทยเม็ด 10 เม็ด , รากผักชี 1 ราก ,  ใบชะพลูหั่นฝอย 10 ใบ (หรือใบมะกรูดซอยละเอียด 5 – 6 ใบ) , น้ำมันปาล์ม   วิธีทำ ล้างปลาข้าวสารให้สะอาดหลายๆ รอบ ใส่กระชอนทิ้งให้สะเด็ดน้ำ โขลกพริกไทยเม็ดกับรากผักชีให้ละเอียด ตอกไข่ใส่ชาม เจียวไข่แล้วนำปลาข้าวสาร พริกไทยโขลกกับรากผักชี ใบชะพลูหั่นฝอยมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใช้กรรไกตัดแผ่นห่อเมี่ยงเวียดนามออกเป็นขนาดพอคำ  นำส่วนผสมที่ปรุงไว้มาทาบางๆ วางเรียงลงในจานแล้วนำไปทอด  ตอนละเลงเครื่องปรุงลงแผ่นเมี่ยงควรระวังอย่าให้ชุ่มน้ำเพราะจะทำให้ลอกแผ่นเมี่ยงตอนทอดยาก เมื่อเตรียมแผ่นเมี่ยงที่ใส่เครื่องปรุงเสร็จแล้วจึงตั้งกระทะไฟปานกลาง  รอจนน้ำมันร้อนจัดแล้วค่อยๆ ทอดจนเหลืองกรอบ   หมายเหตุ ตอนจะเสิร์ฟ  คุณอาจเลือกน้ำจิ้มที่กินกับข้าวสารกรุบกริบได้หลายแบบ ทั้งซอสมะเขือเทศ  หรืออาจาด (แตงกวาและหอมแดงซอยในน้ำตาลเคี่ยวไฟกับน้ำส้มสายชูและเกลือนิดหน่อย)  แต่คราวนี้ฉันทำง่ายกว่า คือคว้าเอาน้ำจิ้มไก่สำเร็จรูปที่มีอยู่ในครัวมาเหยาะใส่ลงในถ้วยที่เต็มไปด้วยแตงกวาที่ผ่ายาว 4 ชิ้นแล้วหั่นหนาครึ่งเซนติเมตร //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 154 ปลาข้าวสาร (2) ขนมจีนซาวน้ำ

จากปลาข้าวสารที่กำลังจะเข้าปากในรูปการยำของฉันในตอนที่แล้ว ได้นำเราไปสู่เรื่องปัญหาและการคลี่คลายลงการจับปลากระตักในทะเลชายฝั่งอันดามันในอดีต และภาพปัจจุบันของชาวประมงชายฝั่งที่นั่นได้มีการปรับตัวเองไป จนเกิดเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่ผู้อ่าน บางคนอาจยังมีคำถามคาใจถึงมาตรการที่กรมประมงใช้ในการควบคุม “การใช้อวนตาถี่ 0.6  ซ.ม.” ที่ติดตั้งในเรือปลากะตักกลางวัน ที่ยังอาจจะมีผลกระทบต่อการขยายพันธุ์ปลากะตักและอาชีพการจับปลาในระยะยาว เรื่องนี้ พี่อิด – พิเชษฐ ปานดำ คนทำงานกับชาวประมงชายฝั่งอันดามันใน จ.พังงา – ภูเก็ต และคนที่เคยพาฉันไปซื้อปลาข้าวสารในตลาดภูเก็ต หลังจากการเยี่ยมเยือนกลุ่มออมทรัพย์และพื้นที่อนุรักษ์ริมฝั่งทะเลของเพื่อนชาวประมงที่แกทำงานด้วย 2 – 3 แห่ง เมื่อ 4 – 5ปีก่อน เล่าให้ฉันฟังว่า หากจะยึดข้อกำหนดขนาดของตาอวนในการจับปลากระตักกลางวันเป็นหลักอย่างที่กรมประมงกำหนด คนจับปลาคงต้องผันตัวเองไปทำอาชีพอื่นทั้งหมดแน่ๆ  ชาวประมงในฝั่งอันดามันจึงต้องต่อรองกับกรมประมง   “ก่อนอื่นเธอต้องเข้าใจก่อนว่าปลากระตักมีหลายชนิด ส่วนปลาข้าวสารที่เธอเรียกนั่น คนที่อ่าวพังงาเรียกปลาบูหรา” เสียงพี่อิดกรอกหูผ่านเครื่องมือสื่อสารในยุค 3G ดังชัดแจ๋ว พี่เขาบรรยายถึงเครื่องมือจับปลาและปลาชนิดต่างๆ ที่จับโดยเรือปลากะตักกลางวัน ว่าเรือหาปลาชนิดนี้จะใช้อวนที่เป็นมุ้งเขียว ซึ่งแน่นอนว่ามีขนาดตาอวนเล็กกว่าที่กรมประมงกำหนด เพราะต้องใช้กวาดจับปลาตัวเล็กชนิดต่างๆ ในร่องน้ำลึก ที่อยู่ไกลออกไปจากชายฝั่ง และเรือประมงเล็กไปไม่ถึง   นอกจากจะจับปลากระตักหรือปลาฉิ้งฉั้งในภาษาถิ่นแล้ว  ยังมี ปลาลิง ปลาบูหรา และปลาอื่นๆ อีก นับกว่า 10 ชนิด  ซึ่งปลาแต่ละชนิดอยู่กันคนละฝูงไม่ปะปนกัน  แถมยังมีความชุกชุมในแต่ละช่วงฤดูแตกต่างกันด้วย เพราะว่าในร่องน้ำลึกมีปลาตัวเล็กหลากหลายชนิดให้เรือปลากะตักจับนี่เอง ที่ทำให้เรือจับปลากะตักต้องจับปลาตัวเล็กหมุนเวียนไป  โดยบูหราจะมีมากในช่วงเปลี่ยนลมมรสุม หรือปีละ 2 ครั้ง คือระหว่างปลายเดือนเมษายน-มิถุนายน และช่วงปลายปีพฤศจิกายน-ธันวาคม  พ้นจากช่วงนี้เรือกะตักกลางวันก็หาและจับปลาตัวเล็กชนิดอื่นๆ แทน พี่อิดเล่าต่อไปอีกว่า อวนเขียวที่ล้อมจับบูหรานั้นยังจำกัดชนิดเฉพาะบูหรา เพราะปลาที่ล่าบูหราอย่างปลาฉลามนั้นสามารถพุ่งตัวหนีออกจากอวนเมื่อกำลังตีล้อมจับปลาได้อีกต่างหาก  ซึ่งต่างจากอวนทวน เครื่องมือปูม้าที่เวลาจับปูม้าแล้วมักได้ปลาอื่นๆ ติดมาด้วย “มิน่า  พี่ยังพาพวกเราไปซื้อปลาข้าวสารกลับบ้านหลังจากขึ้นทะเล” ฉันกรอกเสียงกลับไป คนอีกฝั่งที่ไกลลิบนั่นหัวเราะร่วมไปกับฉัน แต่ยังไม่วายอัพเดทความคืบหน้าให้ฟังอย่างอารมณ์ดีต่อ “คนบนเรือหากะตักกลางวันที่นี่ส่วนใหญ่ยังเป็นคนพื้นถิ่น  เรือกะตักปั่นไฟกลางคืนจากอ่าวไทยไม่ค่อยเข้ามาในเขตนี้หลายปีแล้ว หลังจากชาวบ้านที่นี่ช่วยกันดูแลทะเล เดี๋ยวนี้คนทำประมงก็น้อยลงด้วย  แต่ปัญหาที่นี่ก็เหมือนที่อื่นๆ คือเริ่มเปลี่ยนจากเทคโนโลยีการจับแบบพื้นๆ มาใช้อุปกรณ์ไฮเทคค้นหาปลาจากดาวเทียมขึ้นอย่างซาวเดอร์ หรือซูนาร์ ที่แม่นยำ รวดเร็วกว่า ... ” เรื่อง ปลาข้าวสารหรือบูหรา ยังไม่จบ  มีต่อตอนหน้าแน่ๆ  ตอนนี้เรามาหาอะไรกินง่ายๆ จากปลาข้าวสารกันดีกว่า ฉันนึกถึงบูหราสดๆ ที่ชาวอ่าวพังงาเอามาทำห่อหมกหรือยำสดๆ แต่ปลาข้าวสารที่ฉันซื้อมาจากตลาดนัดนั่นเป็นปลาข้าวสารที่แช่แข็งมาในท้องเรือแล้วเอามาต้มน้ำทะเลและตากให้แห้งบนบก  เวลาจะเอามากินก็แค่ล้างหลายๆ เที่ยวเพื่อจางรสเค็มแล้วลวกด้วยน้ำร้อนเดือดๆ อีกทีก่อนจะสงให้สะเด็ดน้ำก่อนนำไปปรุงในรูปแบบต่างๆ  เมนูบูหราเที่ยวนี้ขอเป็นอาหารพื้นๆ ภาคกลาง ง่ายๆ แล้วกัน   ขนมจีนซาวน้ำ เครื่องปรุง 1.เส้นขนมจีน  ½  กก.   2.มะพร้าวขูด 3 ขีด  3.สับปะรดเปรี้ยว-หวาน หั่นชิ้นเล็ก 1 ถ้วย  4.ปลาข้าวสารล้างสะอาดลวกน้ำร้อนและสงให้สะเด็ดน้ำ 1 ถ้วย 5.กระเทียมสดซอยบาง ¼ ถ้วย   6.เกลือ 1 ช้อนชา  7.น้ำตาลทราย  8.พริกขี้หนูคั่วป่น  9.น้ำปลา วิธีทำ คั้นมะพร้าวเอาแต่หัวกะทิประมาณ 1 ถ้วย ปรุงรสด้วยเกลือให้มีรสเค็มนิดๆ แล้วนำไปเคี่ยวไฟปานกลาง ต้องหมั่นคนตลอดเวลาให้กะทิแตกมันและป้องกันกะทิจับกันเป็นลูกนานสัก 10 นาทีแล้วยกลง  จากนั้นจัดเรียงเครื่องเคียงที่ต้องการกินลงในจาน  ปรุงรสเค็ม เผ็ด หวาน ตามชอบ   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 153 ยำปลาข้าวสาร (1)

ฉันกำลังสงสัยว่า เวลาที่คุณเห็นปลาข้าวสารแล้วนึกถึงอะไรบ้าง?  จะมีเรื่องปลาข้าวสาร สักเรื่องไหมที่คุณกับฉันคิดถึงมันแล้วบังเอิญว่าคิดตรงกัน   และเรื่องที่ว่านั้นบังเอิญอีกทีว่าพ้นไปจาก เรื่องคุณค่าทางโภชนาการของปลาข้าวสารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม และเมนูที่น่าจะกินจากปลาชนิดนี้? ปลาข้าวสาร หรือปลาสายไหม  เป็นลูกปลาที่ยังไม่โตเต็มวัยของปลากะตัก  หรือที่รู้จักและมีชื่อเรียกอื่นๆ อีกว่า ปลากล้วย, ปลาหัวอ่อน, ปลาจิ้งจั๊ง, ปลามะลิ, ปลาหัวไม้ขีด, ปลาเส้นขนมจีน , ปลายู่เกี้ย, ปลาเก๋ย    ปลาชนิดนี้เป็นปลาขนาดเล็กอยู่กันเป็นฝูงใหญ่ตามผิวน้ำทะเลโดยอาศัยแพลงตอนเป็นอาหาร  มันจึงเป็นอาหารชั้นดีของปลาและสัตว์ทะเลขนาดใหญ่กว่า ครั้นเรามีแบบแผนการผลิตทางการประมงและอุตสาหกรรมอาหาร ปลาชนิดนี้เลยกลายมาเป็นอาหารของคนด้วย   ซึ่งนอกจากเราจะกินปลากะตัก ในรูปอาหารสารพัดตำรับการปรุงแล้ว   คนยังเอามันไปทำปลาบ่นเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์สารพัดชนิดให้กลายเป็นอาหารของเราอีกที ย้อนกลับไปช่วงปี พ.ศ. 2540-2542  ฉันคงคิดมากว่าจะซื้อปลาข้าวสาร มากินดีไหม เพื่อความสบายใจของตัวเองว่าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างปัญหาให้กับชาวประมงพื้นบ้าน ทั้งที่อยู่ชายฝั่งทะเลสงขลาและฝั่งอันดามันที่กำลังประท้วงเรื่องหาปลากะตักตอนกลางคืนที่ติดเครื่องปั่นไฟกันอยู่ในขณะนั้น   จากการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านภาคใต้ ที่เรียกร้องให้ยกเลิกการใช้เรือจับปลากะตักแบบปั่นไฟ  และเครือข่ายชาวประมงพื้นบ้าน  จังหวัดกระบี่  พังงา  ภูเก็ต และระนอง ที่ร้องเรียนให้หน่วยงานรัฐดำเนินการกับเรือประมงที่ติดอวนรุนและอวนลาก ในช่วงเวลานั้น ทำให้ต่อมาในปี 2542 มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการการศึกษาและกำหนดมาตรการที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาการทำประมงปลากะตักโดยใช้แสงไฟประกอบ  ผลการศึกษาพบว่า การทำประมงปลากะตักมิได้ชี้ชัดถึงการทำลายทรัพยากรสัตว์น้ำชนิดอื่น จึงอนุญาตให้เรือหาปลากะตักแบบปั่นไฟทำการต่อไปได้  โดยมีมติให้แบ่งเขตการทำประมงปั่นไฟตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดขึ้นมาแบ่งเขต  อีกทั้งยังกำหนดให้มีการขึ้นทะเบียนเรือประมงและการควบคุมจำนวนอาชญาบัตร  เพื่อควบคุมปริมาณการทำประมงปลากะตัก  รวมถึงการควบคุมขนาดของตาอวนให้ใหญ่กว่า 0.6 ซม. เพื่อให้ลูกปลากะตักหรือปลาข้าวสารซึ่งมีขนาดเล็กกว่าตาข่ายหลุดรอดและเติบโต เพื่อให้เราได้มีปลาชนิดนี้กินกันต่อไปอย่างยั่งยืน หลังจากข่าวความขัดแย้งของชาวประมงพื้นบ้านกับเรือหาปลากะตักแบบติดเครื่องปั่นไฟซาไปจากหน้าหนังสือพิมพ์  การกินปลาข้าวสารเพื่อแสดงความความตื่นตัวในการอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่งของฉันก็สร่างเซาไปไปด้วยเช่นกัน  จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันก่อนเพื่อนของฉันซึ่งเคยทำงานวิจัยเกี่ยวกับวีถีชาวประมงพื้นบ้านในชายฝั่งทะเลอันดามันเมื่อกว่า 10 ปีก่อน ได้กลับไป “เยี่ยมสนาม”   ที่เธอเคยวิจัย และ นำของฝากจากอันดามันมาให้ฉันและเพื่อนๆ ได้บริโภคกันอย่างเปรม เธอเล่าว่า แม้ข้อสรุปจากการต่อสู้เรื่องเรือปั่นไฟปลากะตักในคราวนั้นจะเอนเอียงไปทางฝ่ายเรือประมงพาณิชย์ แต่เครือข่ายชาวประมงพื้นบ้านก็ไม่ได้ย่อท้อและต่อสู้ขับเคี่ยวกับการทำประมงที่ทำลายล้างอย่างเรืออวนลาก อวนรุนซึ่งบั่นทอนรายได้ของพวกเขา โดยงัดเอาสารพันกลยุทธ์ขึ้นมาสู้ เช่น การเรียกร้องค่าเสียหายของเครื่องมือประมง การแจ้งความกับเจ้าหน้าที่รัฐ   การพยายามปรับเปลี่ยนเวลาหรือสถานที่การทำประมงของตนเพื่อหลีกหนีเรืออวนลากอวนรุน  การที่มีองค์กรพัฒนาเอกชนเข้าไปสนับสนุนชาวประมงพื้นบ้านรวมตัวกันเป็น “สมัชชาชาชาวประมงพื้นบ้านอันดามัน” เพื่อดำเนินการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่ง  การป้องกันและกำจัดผู้ที่ทำการประมงอย่างผิดกฎหมาย และการผลักดันในเชิงนโยบายและกฎหมาย  ซึ่งมีการทำงานทั้งในระดับหมู่บ้าน/ตำบลและระดับเครือข่าย ทั้งในระดับเครือข่ายอ่าว และระดับภาคอย่างต่อเนื่อง  จนกระทั่งส่งผลต่อนโยบายสนับสนุนการปรับเปลี่ยนเครื่องมือประมงอวนรุนของกรมทรัพยากรทางทะเลที่ตั้งขึ้นใหม่ ตอนนั้นนโยบายสนับสนุนการปรับเปลี่ยนเครื่องมือประมงอวนรุน เป็นเครื่องมือชนิดอื่นที่ไม่ทำลายล้าง เช่น ให้อวนถ่วง 40 หัว มูลค่า 6 หมื่นบาท  นี้ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง 5 ปีติดต่อกัน กระทั่งอวนรุนหมดไปจากฝั่งทะเลอันดามัน ยกเว้นก็แต่ที่ จ.ระนองเท่านั้น   ด้วยนโยบายนี้ ประกอบกับการทำงานอนุรักษ์พื้นที่ประมงชายฝั่ง ซึ่งเป็นแหล่งอนุบาลพันธุ์สัตว์น้ำทะเลของกลุ่มชาวบ้านที่ดำเนินงานกันอย่างต่อเนื่องยาวนานทำให้ปัจจุบันพื้นที่ประมงชายฝั่งอันดามันฟื้นตัวขึ้นมาได้มาก... หากคุณอยากเสพของฝากชิ้นเยี่ยมนี้แบบเต็มๆ  ต้องไปดาวน์โหลดที่   “สถานะของระบบนิเวศและทรัพยากรชายฝั่งท่ามกลางการปรับโครงสร้างชนบท: กรณีชุมชนชายฝั่งทะเลอันดามัน”   โดย ชลิตา บัณฑุวงศ์   https://docs.google.com/file/d/0B-ahm0-nZyGIUjl0Y3lWLU05Qmc/edit?usp=sharing&pli=1 คราวหน้าฉันจะมาคิดเรื่องปลาข้าวสารต่อ   ฉันขอให้คุณคิดถึงมันล่วงหน้าไว้เลยก็ได้  แล้วมาดูกันว่าเราจะคิดถึงมันอย่างเหมือนหรือต่าง กันมากน้อยแค่ไหนอย่างไร  แล้วพบกันค่ะ   ยำปลาข้าวสารแบบง่ายๆ เครื่องปรุง: ปลาข้าวสารคั่วกรอบ  ½ ถ้วย  มะม่วงแก้วหรือมะม่วงน้ำดอกไม้ดิบขูดเส้นฝอย 1 ถ้วย  น้ำตาลทราย 1 ช้อน  พริกป่น 1 ช้อน  พริกขี้หนูซอย ตามชอบ และใบมะยมอ่อน  3 – 4 ช่อ วิธีทำ: เคล้าเครื่องปรุงทุกอย่างเข้าด้วยกัน  ไม่ต้องใช้เกลือหรือน้ำปลา เพราะว่าปลาข้าวสารเราเค็มเข้มอยู่แล้ว  จากนั้นก็จัดลงจานวางเรียงกินเคียงเครื่องดื่มที่คุณชอบ วิธีกินปลาข้าวสาร อีกแบบฉันได้มาจากเพื่อนสาวชาวญี่ปุ่นของฉัน  เธอเคยยำปลาข้าวสารแบบญี่ปุ่นให้กินเมื่อกว่า 15 ปีก่อน แต่ฉันยังจำได้ดี  ทำง่ายมาก  เครื่องปรุงเปลี่ยนจากปลาข้าวสารกรอบเป็นปลาข้าวสารธรรมดานี่แหละ แต่เอาไปล้างด้วยน้ำสะอาด 3 – 4 ครั้งแล้วลวกด้วยน้ำร้อนแล้วสรงให้สะเด็ดน้ำ  หั่นแตงซุกินีตามแนวขวางเป็นแผ่นบางๆ เรียงลงจาน  โรยด้วยปลาข้าวสารที่เตรียมไว้    เสิร์ฟคู่กับถ้วยวาซาบิที่คลอด้วยซีอิ๊วญี่ปุ่น  เท่านี้ก็เป็นการกินปลาข้าวสารแบบยอดนิยมของเจแปนนิส ได้อีกหนึ่งจานแล้ว

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 152 กินจันทร์กันไหม?

ฟ้าไม่เปิด  อึมครึมต่อเนื่องมาหลายวัน  อากาศเย็น ราวกับมีฝนตกในที่ไม่ไกลแต่ไม่ใช่ที่นี่   บรรยากาศเป็นอย่างนี้อยู่หลายวัน  จนกระทั่งเมื่อวานนี้มีฝนตกลงมา อย่างไม่ลืมหูลืมตา     เอียงหูฟังเสียงฝน  สักพักเม็ดหนักลงถี่  สักพักเม็ดซาแต่ไม่ขาดสาย  ลมไหววูบเย็นยะเยียบ  ตื่น-หลับสลับกันอยู่หลายที  เสียงฝนยังดังไม่หาย   กระทั่งสายๆ วันนี้ เสียงฝนชวนนอนต่ออีกหน่อย  แต่ขอกินอะไรอุ่นๆ รองท้องนิดหน่อย ดีกว่า ดีหน่อยที่ว่า มี “จันทร์” เป็นผู้ช่วยชีวิตแล้ว  - -   ชมจันทร์ ในถุงมัดโป่ง แช่ในตู้เย็นราวกะกลัวว่าจะบอบช้ำจากการถูก ของแข็ง-หนัก กระทบกระแทก แม่ค้าวางถุงชมจันทร์ ปะปนกับกระจาดถั่วพู  กล้วยหอม กล้วยเล็บมือนางจากสวนของแก  ฉันชั่งน้ำหนักในใจ  มันคงหนักราว 2 ขีดครึ่ง ระหว่างนั้นฉันนึกถึงค้างเถาชมจันทร์ของเพื่อนสนิทชาวนาสุพรรณ  - - ต้องใช้ค้างและพื้นที่กว้างขนาดไหน จึงจะได้จันทร์หุบกลีบในถุงมากมายขนาดนี้      ป้าแก่วัยกว่า60 รายนี้ กับหลานชายวัย ต้น 20 แต่งตัวตามสมัยสะอาดสะอ้านมาช่วยขายของที่แผงผัก   ใครกันแน่ที่เป็นผู้ตะกายค้างขึ้นไปเก็บจันทร์ลงมา? แต่นั่นก็แค่แว้บเดียวที่ความคิดผลุบเข้ามาในหัว  ฉันควักแบงค์ยี่สิบ 1 ใบส่งให้ป้าแล้วถามแกว่ามีแค่นี้เหรอ  แกว่ามีมา 4 ถุง ฉันได้ถุงสุดท้ายไปครองอย่างคนโชคดี ก็คงจริงที่การได้ครอบครองชมจันทร์ถุงสุดท้ายมาตกเหมาะลงที่ฉัน - - นี่ถ้ามันอยู่ในชั้นวางสินค้าห้างใหญ่ติดป้ายเขียวรับรอง  ราคาของมันควรจะอัพขึ้นไปอีกเท่าไหร่หนอ?  ชมจันทร์ ยังไม่แพร่หลายในตลาดชั้นล่างอย่างตลาดนัดที่บ้านฉันหรอก  ในตลาดสดทั่วๆ ไปก็หากินได้ยาก   มันเป็นไม้เลื้อยที่ต้องปลูกด้วยเมล็ดแล้วอาศัยหลักพันเถาขึ้นไปทอดยอด แผ่ใบหาแดดหาแสงกิน ถึงจะออกดอกมาให้เราชม ดม และกินกัน ดอกตูมๆ เขียวๆ ขึ้นลายเกลียว  นั่นดูสวยทีเดียวตอนติดยอดบนต้น  แต่ถ้าดอกโตเต็มทีแล้ว มันจะบานในช่วงหัวค่ำและคงสะพรั่งกลีบไปยันสายๆของอีกวัน    กลิ่นของมันหอมอ่อนๆ เย็นๆ  ยามแผ่กลีบแข่งกับแสงเดือนแสงดาวและไฟหลอดนั่นกระจ่างตาดี    เพื่อนสาวเห็นฉันเอาแต่ชมกับดม เลยคะยั้คะยอให้เก็บเอามากิน เธอว่าแกงส้ม ต้มจืด หรือผัดน้ำมันก็ได้  ตอนนั้นฉันยังบอกเธอว่าฉันเสียดาย  เธอว่าเดี๋ยวมันก็เหี่ยวโรย เก็บไปกินนั่นแหละคุ้มค่าสุด  ...  เธอไม่ยอมเอออวยกับความ “โรมันติก” ของฉันเลยอ่ะ  จำได้ว่าแรกเด็ดจันทร์มาจากเถา มันมียางนิดๆ  แต่ยางของจันทร์ทั้งถุงที่ซื้อมาทิ้งค้างไว้ในตู้เย็น 1 คืนนี้นี้หายไปหมดแล้ว   เอาจันทร์ล้างน้ำสะอาด  แล้วสงขึ้น เตรียมให้แม่ผัดกับกุ้ง  เครื่องปรุง 1.ดอกชมจันทร์  2.กุ้งสดแกะเปลือกผ่ากลาง  3.กระเทียมบุบ  4.น้ำปลา  5.น้ำตาล  6.น้ำ วิธีผัด ... คงไม่ต้องบอกแล้วว่าใส่อะไรลงไปก่อน 1 , 2 , ในกระทะที่ตั้งไฟแรงๆ  ฮา ระหว่างรอกิน  ฉันจำได้ว่าเพื่อนสาวบอกว่า ดอกชมจันทร์เป็นยาเย็น  แต่จำได้แค่นี้จึงลองเสิร์ชหาข้อมูลเพิ่ม   น่าสนใจว่ามันเหมาะกับการบำรุงร่างกายเพราะมีธาตุเหล็กสูง   และช่วยผ่อนคลายประสาทให้หลับง่าย  แต่ต้องกินมากขนาดไหนมันจึงออกฤทธิ์กันนะ    ส่วนอีกสรรพคุณที่ว่าเอาไปต้มกับน้ำตาลทรายแดงเพื่อแก้ริดสีดวงทวารนี่ฉันยังไม่ได้พิสูจน์จึงไม่กล้ารับรองว่ามันใช้ได้ผลหรือเปล่า ฉันไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสได้ลองไหม เพราะหาชมจันทร์มากินอย่างต่อเนื่องแบบนั้นไม่ง่ายหนักหรอกหากไม่มีแหล่งผลิตใกล้ๆ ให้ได้ซื้อหา ลองกินจันทร์ดูแล้ว 2 – 3 ครั้ง  ฉันว่ามันยังไม่อร่อยเท่าไหร่ รสชาติจืดๆ ยิ่งดอกลวกสุกแล้วมันนิ่มๆ  พอมาผัดก็อาศัยกลิ่นรสกุ้งสดๆ นำ  กินกับน้ำพริกรสจัดน่าจะพอไปกันได้นะฉันว่า  – อะแฮ่ม นี่เป็นรสนิยมส่วนตัวของฉันเองแต่ผู้เดียว ที่คุณอาจไม่เห็นด้วยก็ได้ ฉันว่า... ถ้าฉัน (อยากจะ) ปลูกมัน (หุ หุ ... ฉันเผลอคิดอีกแล้วทั้งที่ตอนนี้ไม่มีทั้งพื้นที่และเวลา) ฉันว่า  ฉันคงใช้ดอกและกลิ่นมันกล่อมให้หลับสบายยามกลางคืนมากกว่าการเก็บมากินแหงๆ   แต่อย่าเพิ่งเชื่อฉันล่ะ  อยากให้ผู้อ่าน ลองชม  ดม ชิม  มันด้วยตัวเองเสียก่อน แล้วค่อยมากระซิบบอกกันทีหลังก็ได้ ไม่รีบค่ะไม่รีบ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 151 ยำปลาเกล็ดขาวกับส้มโอ

นับแต่ต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา    ฝนเริ่มตกลงมาบ่อยขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ที่สภาพอาการณ์ทั้งแล้งและร้อนจัด  แต่ปริมาณฝนที่ตกลงมาหนักๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็สร้างความหวั่นวิตกอย่างมากให้กับคนทำนาเสมอๆ  นี่เป็นสัญญาณบ่งชี้ให้เห็นได้ชัดเจนถึงความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่เพิ่มมากขึ้น พอย่างเข้าสู่เดือนสิงหาคม  ฝนเริ่มลงเม็ดลงมาบ่อยขึ้น   ฝน – มักถูกนำเป็นสื่อสัญญะที่บอกถึงความเย็นฉ่ำชื้น การมีชีวิตชีวา และการเจริญเติบโตของพืชพันธุ์ธัญญาหาร  แต่ในอีกด้าน มันก็กลายเป็นสัญญะของความทุกข์เศร้าและขมขื่นของการผลิตภาคการเกษตรอยู่ด้วย  โดยเฉพาะกับชาวนาปรังที่อาศัยน้ำในคลองชลประทานมากกว่าน้ำฝน ในช่วงเวลาที่ข้าวออกรวงจนใกล้เกี่ยวขาย  เมฆทะมึนที่ตั้งเค้าก็พาเอาคนปลูกข้าวใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ได้เสมอ นอกจากจะต้องเลือกพันธุ์ข้าวที่มีช่วงอายุให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และช่วงเวลาการปล่อยน้ำเข้านาแล้ว  ต้นข้าวที่สูงเกินไปจะด้วยเพราะลักษณะประจำพันธุ์ หรืออัดปุ๋ยมากเกินไป ก็มีผลทำให้ต้นข้าวล้มระเนระนาด ยามลมฝนพัดกรรโชกนาทั้งทุ่ง    และหากมีฝนตกในช่วงก่อน ขณะ และหลังเกี่ยวข้าว  นั่นหมายถึงความเสียหายแบบเต็มๆ จากการที่ถูกกดราคารับซื้อข้าวจากโรงสี ที่ผู้ขายไม่มีโอกาสต่อรองหรือหลีกเลี่ยงได้เลย   ชาวนาหลายคนจึงมักอาศัยพิธีการบอกกล่าวเจ้าที่นาและเซ่นไหว้กันด้วยเหล้าขาวบ้าง  หมูชิ้นตอง(หมูสามชั้นหั่นเป็นชิ้นใหญ่)   หรือรายไหนที่ทำนาผืนใหญ่ก็อาจจะใจป้ำบนบานเจ้าไว้ด้วยหัวหมูทั้งหัว  เพื่อขอให้การปลูกข้าวตลอดปลอดโปร่งตลอดรอดฝั่ง ให้ได้เกี่ยว ได้ขายพอได้กำไร  - พิธีกรรมที่ยึดเหนี่ยวความสั่นไหวของจิตใจคนปลูกข้าวที่ต้องเพาะเลี้ยงไว้ให้กล้าแกร่งท่ามกลางความเสี่ยงและความเปราะบาง ฉันเคยนึกเล่นๆ ว่า  หากมีระบบการซื้อ-ขาย ข้าว แบบ CSA (Consumer Supporting Agriculture) ขึ้นมาจริงๆ ในประเทศไทย  พิธีไหว้-บนบาน เจ้าที่นาหรือแม่ธรณี จะถูกแปรเป็นพิธีกรรมที่มีราคาและขายได้ให้กับผู้บริโภคไปในรูปแบบไหนอย่างไรบ้าง?  New Social Media อย่าง FB หรือ Line จะมีการเรียกร้องให้ผู้บริโภคช่วยกันกด  like สนับสนุนให้กำลังใจและติดสินบนเจ้าที่นาอย่างแม่ธรณีกันกระหน่ำถึงกี่หมื่นกี่แสนไลค์หนอ?   ยำปลาเกล็ดขาวกับส้มโอ เครื่องปรุง  1.ปลาเกล็ดขาวตากแห้งทอดกรอบ   ½ ถ้วย    2.ส้มโอ รสเปรี้ยวอมหวาน  ½ ถ้วย   3.น้ำพริกเผา  1 – 2 ช้อนโต๊ะ   3.น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ  4.ตะไคร้ซอย  4 – 5 ต้น   5.หอมแดงซอย  4 – 5 หัว  6.ใบมะกรูดซอย  4 – 5 ใบ วิธีทำ  1.ละลายน้ำพริกเผากับน้ำให้เข้ากัน  แล้วคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงที่เหลือให้ทั่ว  จึงจัดลงจานเสิร์ฟ เคล็ดการปรุง ปลาเกล็ดขาวหรือปลาซิว ตากแห้ง  หากซื้อมาจากตลาดสดแล้วมีรสเค็มเกินไป  ให้ลองละลายน้ำเกลือ ½ ช้อนชากับน้ำ 2 - 3 ลิตร ใส่ลงในกะละมัง แล้วนำปลาลงแช่สัก 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดหลายๆ เที่ยว จึงนำไปผึ่งแดดในกระชอน  ตากให้แห้ง เครื่องปรุงที่เพิ่มเติมลงไปได้อีกตามความชอบ  เช่น เมล็ดมะม่วงหิมพานต์  หมูแผ่นทอดกรอบ  กุ้งแห้งทอดกรอบ   ถั่วพูลวกซอยหยาบ  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 150 สะตอผัดกุ้งสด

เห็นเพื่อนบางคนใน FB ที่ต้องโยกย้ายตัวเองไปทำงานไกลบ่นคิดถึงบ้าน และคนที่บ้าน  ฉันเลยพลอยคิดไปถึงตอนต้องอยู่นอกบ้านไกลๆ สมัยยังเป็นละอ่อนเรียนมหาวิทยาลัย  นั่นเป็นการอยู่ไกลบ้านสุดกู่เกินกว่าจะเทียวเดินทางไป-กลับ จากบ้านต่างอำเภอกับโรงเรียนในจังหวัดในทุกวันจันทร์และศุกร์ ได้อย่างสมัยมัธยม   แต่ตอนเลือกที่เรียนต่อผ่านการสอบเอ็นทรานซ์สมัยนั้นฉันก็คิดว่าอดทนไปเรียนไกลๆ ก่อนแล้วค่อยกลับมาทำงานแถวบ้าน  แต่การงานที่ฉันอยากทำกับบ้านก็อยู่ไกลจนต้องทำใจ และเฝ้าแต่หาวิธีขยับขยายช่องทางจนกลับเข้ามาทำงานในบ้านได้เมื่อวัยกลางคน ระหว่างที่กลายเป็นคนไกลบ้าน สิ่งที่คิดถึงบ่อยๆ คงไม่พ้นของที่เคยกิน เมนูที่สุดโปรด  และเป็นไปโดยปริยายว่าเมื่อได้ลิ้มลองอาหารแบบที่เคยคุ้นกับการกินก็มักอดไม่ได้ที่จะต้องเปรียบเทียบกันทั้งรสชาติ หน้าตา และองค์ประกอบ  บางครั้งก็ได้รู้เลยไปถึงกรรมวิธีการปรุงและเคล็ดลับต่างๆ ของบรรดาแม่ครัวต่างถิ่น  ทำให้เรื่องราวที่ประกอบกับสิ่งที่จะกินกลายเป็นรสที่เติมแต่ง จนกลิ่นรสแปลกแปร่งจากที่คุ้นเคยกลายเป็นของใหม่ให้ได้ลองลิ้น และหากติดใจก็รับเอามากินต่อไปจนเป็นความคุ้นเคยแบบใหม่  เช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ฉันเองจำไม่ได้แล้วว่า รสแรกสัมผัสของอาหารต่างถิ่นอย่าง สะตอผักกุ้งสด เมนูนี้ เป็นอย่างไร   ตั้งแต่จำความ  โต เล่น และเรียนอยู่ในถิ่นตัวเองจนจะอายุ 20 ปี ก็ยังไม่เคยได้กินสะตอสักครั้ง จนกระทั่งเรียนมหาวิทยาลัยปี1 ฉันและเพื่อนอีกเกือบทั้งคณะกว่า 200 คน ที่นั่งรถไฟแบบเหมายกตู้ จากขอนแก่นไปสงขลา นั่นแหละฉันจึงได้กินอาหารใต้แบบ ปักษ์ใต้ของแท้  แต่ก็นานกว่าจะได้ลอง ทั้งๆ ที่ในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย และโรงเตี๊ยมเล็กๆ ข้างคณะจะมีอาหารใต้หลายเมนูขายอยู่   เพราะส่วนใหญ่ มัวแต่ทดลอง “สารพัดตำ” ที่เพื่อนๆ เจ้าถิ่นแนะนำให้เรากินเสียมากกว่า   หลังจากได้กินอาหารต้อนรับของเพื่อน นักศึกษา มอ.เจ้าถิ่น  มื้อแรกและมื้อต่อๆ มา กลิ่นรสสะตอก็กลายเป็นอาหารอีกจานที่เริ่มจะทำความคุ้นชิน ทั้งการกินแบบผัดกับกุ้งและน้ำพริกกะปิ  ทั้งแบบกินสดและแบบดองน้ำเกลือ กินกับน้ำพริก  ขนมจีน และกับข้าวแกงราดข้าว   จำได้ว่าขึ้นรถไฟเที่ยวกลับ เพื่อนกลุ่มใหญ่ของฉันเกือบ 20 คน ตกลงกันว่าจะหิ้วสะตอกองใหญ่กลับมากินกันที่ขอนแก่นด้วย สะตอสดกินแนมกับตำส้ม และสารพัดตำรสแซ่บ และกลิ่นสะตอผัดกุ้งฟุ้งกระจายที่บ้านเพื่อนเจ้าถิ่นในตัวเมืองขอนแก่นอยู่หลายมื้อทีเดียวเชียว   จะว่าไปคนอีสานก็ออกจะคุ้นกับรสสะตอที่ใกล้เคียงกับฝักกระถิ่น ที่คนอีสานนิยมกินเมล็ดอ่อนของมันกับตำส้มสารพัด รวมไปถึงบรรดาแจ่ว บอง และขนมจีนน้ำยาป่า ผิดแต่ว่าขนาดใหญ่และรสจัดกว่าเท่านั้น    ส่วนบางคนที่ไม่ชอบเพราะกลิ่นแรงๆ ของสะตอที่เหลือค้างอยู่ในปาก แก้ได้ไม่ยาก โดยเอาใบฝรั่งที่หน้าบ้านเพื่อนนั่นแหละมาเคี้ยว(ปัจจุบันต้นฝรั่งหาไม่ได้ง่าย แต่กาแฟดำชงแก่ๆ แบบไม่ใส่น้ำตาลหรือน้ำนมสด ดื่มล้างปากหลังเมนูนี้  สำทับอีกทีด้วยหมากฝรั่งก็ช่วยขจัดกลิ่นมันไปได้) ตอนแรกที่รู้จักสะตอก็จากการกิน  กินในรั้วมาหวิทยาลัย  จนกระทั่งได้ทำงานและแวะเวียนไปพบผู้คนในถิ่นใต้ จึงได้รู้จักสะตอที่มีต้นสูงใหญ่  กระบวนการเก็บเกี่ยวที่ต้องใช้แรงงานอย่างมาก  ทำให้ไม่แปลกใจเลยที่ช่วงเวลาสะตอออกใหม่ๆ  การซื้อ-ขาย  สะตอ ราคาของสะตอยอดฮิตถึงได้พุ่งสูงขึ้นไป แทบจะเรียกว่า “นับเม็ดขาย” กันเลยทีเดียว   หากอยากกินแต่มีอาการโรคทรัพย์จางก็จำต้องรอจนกระทั่งช่วงเข้าฤดูที่สะตอออกชุกจัดๆ เหมือนกับผลิตผลทางการเกษตรทั่วๆ ไปนั่นแหละราคาจึงค่อยๆ ลดลงมาตามหลักอุปสงค์-อุปทาน  ครั้นพอสะตอราคาถูกถูกมากๆ เข้าก็เตรียมตั้งน้ำต้มเกลือดองสะตอเก็บไว้กินยามอยากตอนหายากกันอีกที ฉันยังจำได้อีกว่า คราวแรกที่เอาสะตอกลับมาฝากแม่ที่บ้าน  และบอกแม่ว่าอยากกินผัดสะตอ  แม่ก็รับสะตอไป พยักหน้า ไม่ว่าอะไรตามนิสัยคนไม่พูด แต่พร้อมจะจัดให้ตามรีเควสท    จนกระทั่งตกค่ำแม่เรียกกินข้าวนั่นแหละ  ฉันจึงได้รู้จักกับผัดสะตอที่แปลกไปจากที่คาดว่าจะได้กินในตอนแรก แต่ไม่แปลกไปจากความคุ้นชินจากการนั่งกินข้าวในครัวกับแม่ สะตอกุ้งของแม่ หน้าตาดูคล้ายกับถั่วฝักยาวผัดพริกแกง  เมนูประจำบ้านจานโปรดที่แม่มักผัดกินเองอยู่บ่อยๆ  ไปซะงั้น มื้อค่ำวันนั้นฉันเลยได้นั่งโม้เรื่องสะตอที่ฉันเคยไปเจอไปกินในถิ่นปักษ์ใต้ และที่อีสานให้แม่ฟังได้เป็นคุ้งเป็นแคว ถึงตอนนี้  ที่ฉันกลับมาอยู่กับแม่ยามวัยชรา อยู่โยงแต่กับบ้าน  ทำงานหากินอยู่แต่แถวๆ บ้าน  และไปไหนไกลเกินกว่าการ ไป-กลับ ภายใน 1 วันโดยไปค้างที่ไหนไม่ได้  ฉันว่ากินสะตอแล้วอาการกำเริบอยากจะไปเที่ยวอย่างสมัยเรียน และทำงานใหม่ๆ กะเขามั่งเหมือนกัน มันก็อย่างนี้แหละเพื่อนเอ๋ย ... ฉันรำพึงก่อนจะเลื่อนเม้าท์ผ่านข้อความของเพื่อนไปเฉยๆ ซะงั้น   สะตอผัดกุ้ง สะตอผัดกุ้งสดจานนี้  เหลือกินมาจากน้ำพริกกะปิกับสะตอสด  ที่ฉันชอบกินเม็ดสดๆ ที่มีเปลือกหุ้มรสฝาดด้วย  เพื่อนคนใต้บอกฉันว่ามันช่วยดับกลิ่นแรงๆ ของสะตอ แต่ฉันชอบรสฝาดที่เปลือกของมันมากกว่าจะกังวลกับกลิ่นค้างตัวหลังกิน ส่วนประกอบที่ใช้ มีน้ำพริกกะปิก้นถ้วยที่เหลือ 2 – 3 ช้อนโต๊ะ  , น้ำมันถั่วเหลือง 2 ช้อนโต๊ะ , สะตอสดแกะเอาแต่เม็ด  1 ถ้วย ,  กุ้งสดแกะเปลือกผ่าหลังดึงเอาเส้นดำออกแล้วล้างสะอาด 7 – 8 ตัว , น้ำสะอาดนิดหน่อย วิธีทำ ตั้งกระทะไฟแรง ใส่น้ำมันรอให้ร้อนจัดจึงตักน้ำพริกลงไปผัด ใส่กุ้ง ผัดจนกุ้งเริ่มสุกตัวขาว จึงใส่สะตอ พลิกตะหลิวไวๆ เติมน้ำให้พอขลุกขลิก แล้วดับไฟตักเสิร์ฟ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 149 เต้าหู้ขาวญี่ปุ่นนึ่งซีอิ๊ว

ฉันกับแม่กลับเข้าบ้านมาถึงในตอนค่ำ ก็เห็น 2 สาวเพื่อนบ้านกำลังเขย้อเขย่งเก็บช่อดอกเข็มแดงริมรั้วบ้านเตรียมให้ลูกชายใช้ไหว้ครูพอดี  พอรู้ว่าเธอๆ จะใช้ไหว้ครู ฉันก็เดินไปที่กอมะเขือพวงที่กำลังออกดอก และตัดช่อของมันส่งให้เธอไปอีก 3 ช่อ กับคำถามในใจว่าเมื่อไหร่หนอบ้านเราเมืองเราจะมี   “วันนักเรียน” กะเขามั่ง  วันนักเรียนที่สอนให้นักเรียนรู้คิด ตั้งคำถาม  รู้วิธีหาคำตอบ  มีระบบการเรียนรู้ที่มากไปกว่าการเป็นเด็กดี  มีระเบียบวินัย สามัคคี  และเชื่อฟังคุณครู?   ปีนี้ฝนแล้ง มาล่าช้า และเริ่มมาตกชุกเอาช่วงต้นเดือนมิถุนายน  เข็มที่ได้น้ำจากน้ำประปาที่แม่รดทุกวันจึงไม่มีดอกช่อโตดกใหญ่มากอย่างทุกปี   ถัดมาก่อนหน้านี้ 2 วัน  ฉันเพิ่งพบกับเพื่อนชาวนาในทุ่งหน้าโคก ที่เก็บผักมาขายประจำในตลาดนัดวันจันทร์ ซึ่งเช้าวันนั้นพื้นดินลูกรังตลาดเนืองนองเฉอะแฉะหลังฝนกระหน่ำเสียจนหนำใจ  เราได้คุยกันสั้นๆ เรื่องการเตรียมทำนาขอเธอ   เธอว่า ปีนี้ฝนมาช้า จนทำให้ข้าวต้องหว่านช้าไปกว่าเดิม  กว่าจะหว่านได้นั้นเธอรอทั้งน้ำในลำรางให้เขาปล่อยมาและฝน ก็ยังไม่ได้มาดังใจ  ระหว่างนี้ได้พบชาวนาหลายคนที่ต้องไปขอมิเตอร์ไฟฟ้าจากสำนักงานการไฟฟ้าฯ  และเสียค่าเช่าหม้อไฟถึงคนละ 8,000 บาท เพื่อติดตั้งเครื่องไฟฟ้าสูบน้ำเข้านา  ส่วนเธอต้องจ่ายค่าพิเศษให้เจ้าหน้าที่ไป 500 บาท เธอว่า “คนมันต่อคิวกันเยอะ เราอยากได้ไว  ถ้าไม่งั้นเรารอนาน ข้าวเราก็ไม่ได้ปลูกสักที” เงินที่เธอต้องลงทุนเพิ่มในการทำนาเที่ยวนี้  ยังไม่รู้ว่าจะได้รับคืนมาเป็นผลกำไรหรือไม่นั้น คงต้องรอดูตอนช่วงเก็บเกี่ยวต้นเดือนกันยายนปีนี้กันอีกที  เธอว่ายังดีที่หลังเลิกใช้งานแล้วคืนหม้อไฟ จะได้รับเงินคืนกลับมา 6,000 บาท  แต่นั่นก็อีกเกือบ 4 เดือนเชียวแหละที่ต้องรอดูกันต่อ ดูเหมือนเป็นชาวนาต้องรอนั่น รอนี่ และมีเรื่องให้แก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันอยู่เสมอ ... นั่นสินะ  หากรอให้น้ำท่าดีสมบูรณ์ในภาวะที่แล้งจัดแบบนี้  ก็คงยังอีกนานกว่าจะได้ลงมือตีเทือก หว่านข้าวปลูก   ครั้นพอลงมือหว่านทำนาแล้วก็ต้องมาคอยดูด้วยใจระทึกต่อไปว่า ฝนที่เริ่มตกชุกจนอดหวั่นไหวไม่ได้ว่าปีนี้จะน้ำมากจนมาท่วมข้าวก่อนเกี่ยวเหมือนปี54 กันอีกหรือเปล่านั้น  มันเป็นความทุกข์ที่คนทำนาต้องอดทนแบกรับ   มาเรื่องกินกันดีกว่า – วันนี้ว่าด้วยเมนูเต้าหู้ขาว กินแบบเบาๆ สบายๆ   เครื่องปรุง 1. เต้าหู้ขาวญี่ปุ่น 1 ชิ้น   2.เห็ดเข็มทอง  100 กรัม   3.ต้นหอม  2 – 3 ต้น หั่นท่อน   4.สาหร่ายญี่ปุ่น แช่น้ำจนพองตัวแล้วสรงขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ  1/3 ถ้วย   5.ขิงซอย 1 แง่ง (ขยำน้ำเลือกแล้วล้างออก 2 ครั้ง)   6.พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบ 2 เม็ด   7.ซีอิ๊วขาว  2 ช้อนโต๊ะ   8.น้ำมันงา  1 ช้อนโต๊ะ   9.งาคั่วบุบหยาบ  1 ช้อนโต๊ะ  10.น้ำตาลทรายตัดรสเค็ม ปลายช้อน  11.หมูสามชั้นหั่นเรียง (ใส่หรือไม่ – แล้วแต่ชอบ)   วิธีทำ เรียงสาหร่ายบนจานกระเบื้องทนไฟ  หั่นเต้าหู้ขาวญี่ปุ่น เป็นก้อน 3 เหลี่ยมมุมฉากวางบนสาหร่าย   โรยด้วยเครื่องปรุงที่เหลือ แล้วนำไปนึ่งเตาไฟแรงๆ นาน 10 นาทียกลง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 148 ซุปมันฝรั่ง

นับเป็นเวลา 1 สัปดาห์แล้ว ที่ฉันตื่นแต่เช้าหยิบไม้แบดมินตันมาฟาดลูกขนไก่น็อคลงไปที่ข้างฝาห้องประชุมอำเภอ   ฉันยังไม่แน่ใจนักว่าจะเล่นแบบนี้ไปได้อีกสักกี่วัน แต่หลังจากวัน สองวันแรก ที่ทำอย่างนั้นแล้ว ฉันพบว่ามันยอดเยี่ยมมาก อาการปวดตึงไหล่จากการนั่งหน้าจอคอมพ์นานๆ เปลี่ยนมาเป็นปวดล้าไปแทบทั้งตัว ตัวเบาโล่ง และเสียเหงื่อมากเพียงแค่การเล่นไม่ถึง 30 นาที ที่เยี่ยมยอดไปกว่านั้นก็คือ การเลือกเล่นน็อคลูกขนไก่กับฝาหนังห้องประชุมอำเภอ(ซึ่งอดีตเคยเป็นเรือนไม้และภายในห้องประชุมเคยตีเส้นขึงเน็ตให้เป็นที่เล่นแบดฯ ได้อย่างมาตรฐานที่ฉันเคยเล่นกีฬาแบบเดียวกันนี้ในวัยเด็กนั้น) ดันอยู่ฝั่งด้านนอกอาคาร มีลานหญ้าคาต้นสูงให้ฉันวิ่งถลารับลูกให้ได้คันยุบยิบนิดๆ  และอยู่ติดกับถนน ที่ผู้คนและรถราวิ่งผ่านไปมาเป็นระยะๆ คนแถวบ้านฉันคงไม่ค่อยเห็นใครเล่นแบดมินตันอย่างที่ฉันกำลังเล่นอยู่นี้  เสียงทักทายของผู้คนผ่านไปมา ทำให้ฉันรู้สึกว่าค่อยเหมือนกลับมาอยู่บ้านอีกหน่อย  หลังจากเอาแต่หมกหมุ่นอยู่กับงานและความเพลิดเพลินผ่านหน้าเครื่องมือทำมาหากิน ซึ่งใช้สื่อสารกับโลกภายนอกที่อยู่ไกลให้เหมือนไกลที่แทบจะเรียกได้ว่าจ่อมจมหมกตัวอยู่กับมันไปแล้ว  มันได้ดึงเอาเสียงทักทายและหยอกล้อจากคนที่ผ่านไปมา   นอกจากนี้ยังมีเพื่อนสูงวัยร่วมตลาดบางคนมาชวนฉันไปเดินออกกำลังกายกับกลุ่มผู้สูงอายุที่มีทั้งกลุ่มเดินตอนเช้าและเดินตอนเย็นแทนการเล่นคนเดียวอย่างนี้ที่ดูน่าจะหงอยเหงา    แถมยังมีกรรมการโรงเจมาชวนฉันไปเต็นแอโรบิคพร้อมแจงว่าจะมีเสื้อแจก 5 ตัว 5 สี ซึ่งได้งบสนับสนุนมาจากกระทรวงศึกษาธิการซะอีก    แต่...ฉันก็ยังคงเล่นน็อคบอร์ดอยู่ลำพัง  จนกระทั่งการเล่นน็อคบอร์ดในตอนเย็นนั่นแหละทำให้ฉันประสบความสำเร็จในการเล่นแบคมินตันแบบมีคู่ซ้อมด้วย ไม่ใช่เพื่อนร่วมรุ่นที่แทบไม่มีเหลืออยู่ในตลาด กับคนรุ่นสูงวัยกว่าที่ฉันเคยไปขอต่อคิวเล่นแบตฯ ด้วยในวัยเด็ก  หากแต่เป็นเด็กวัยตั้งแต่ ป.2 – ม. 2 จำนวน 8 คน ที่อยู่แฟล็ตตำรวจหน้าบ้านฉันนั่นเองที่มาชวนฉันไปเล่นแบตฯ แบบตีโต้กันที่หน้าลานโล่งของสำนักงานไปรษณีย์ซึ่งตั้งอยู่ข้างบ้าน ฝั่งตรงข้ามแฟล็ตตำรวจนั่นเอง ไม่น่าแปลกที่การเล่นแบดฯ แบบนอกคอกนอกคอร์ด ซึ่งมีเพียงแค่ลานโล่ง  ขาดเส้นคอร์ดและเน็ตขึง หากเต็มไปด้วย กระแสลมพัดอวลไปมาตลอดเวลาการเล่นราว 1 ชั่วโมงกว่านั้นจะเรียกเสียงหัวเราะและเหงื่อจากการเก็บลูกที่ตีพลาดเสียเป็นส่วนใหญ่  ลมแรงๆ ที่พัดมาทำให้ฉันนึกไปว่าลานหน้าไปรษณีย์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ชายหาดริมทะเล  จะขาดไปก็แค่พื้นทรายยวบยาบยามวิ่งเท่านั้น ไม่งั้นลานกีฬาแห่งนี้จะกลายเป็นที่เล่นแบดมินตันชายหาดไปแล้วจริงๆ อาจจะเพราะทีมนักกีฬาแบดมินตันชายหาด(ปลอมๆ) ที่ลงสนามกันนั้นต่างก็รู้กันว่ามันคือการเล่น  เล่นๆ  แม้จะมีบางครั้งที่ฉันจะบอกสอนวิธีจับไม้แบดมินตันที่ถูกต้องตามพื้นฐานการเล่นธรรมดา  แต่เหมือนทั้งคนสอนและคนหัดใหม่กลับไม่ได้คิดว่ามันจะมาเป็นอุปสรรคหรือส่วนเสริมทักษะต่อการเล่นสนุกของพวกเขาเท่าไหร่   การตีไม่ถูกท่า หรือตีไม่โดนลูกกลับการเป็นเรื่องสนุกขำขันระหว่างคนเล่นมากกว่าจะกลายเป็นเสียงเยาะเย้ยถากถางที่หลายคนอาจคิดว่ามันเป็นเครื่องมือในการสร้างแรงขับให้คนพลาดต้องเก่งยิ่งกว่าเก่าให้ได้ในสนามแข่งขันที่มีมาตรฐานและกฎกติกา มารยาทของการกีฬาชนิดนี้   จนทำให้การเล่นแบดฯ แบบน็อคบอร์ดคนเดียวในตอนเช้า และเล่นร่วมแก๊งค์ได้ตอนเย็นยืดระยะเวลาออกมาได้อีกด้วยความสนุก ออกกำลังกายกันจนเหนื่อยล้า เราลองมาทำซุปกินง่ายๆ ทำง่ายๆ กันดีกว่า   ซุปมันฝรั่ง วิธีทำ 1.เลือกหัวมันฝรั่งขนาดย่อม 2 หัว ที่ไม่มีแมงกิน และยังไม่งอกราก มาปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นหนา 1 ซม. ในน้ำเดือดราว 10 นาที 2.ระหว่างรอมันฝรั่งสุก ปอกหอมหัวใหญ่ 1 ลูก หั่นเป็นชิ้น 4 เหลี่ยมเล็กๆ ขนาด 1 x 1 ซม. 3.นำมันฝรั่งที่สุกแล้วตักขึ้นพัก  แบ่ง 2 ส่วน ส่วนหนึ่งยีให้เนื้อละเอียด  อีกส่วนหนึ่งนำไปหั่นเป็น 4 เหลี่ยมขนาด 1 x 1  ซม.  ซึ่งฉันนึกขี้เกียจหั่นเลยหันไปพึ่งตะแกรงอะลูมิเนียมที่เป็นตารางสี่เหลี่ยม(ตามรูปประกอบ)   นำชิ้นมันฝรั่งไปวางบนเขียงแล้วใช้ตะแกรงกดลงไปตรงๆ ก็ได้ลูกเต๋ามันฝรั่งเหมือนกัน ง่ายสะดวก รวดเร็วกว่าหั่นมือเยอะเลย 4.ตั้งกระทะเทฟล่อน ใส่เนยสดรสเค็มลงไปจนละลายแล้วจึงนำหอมหัวใหญ่หั่นแล้วลงไปผัดจนหอม จึงค่อยๆ เติมมันฝรั่งหั่นเต๋าลงไป จากนั้นนมสด 2 ถ้วย และมันฝรั่งบด  คนตลอดให้มันฝรั่งละลายเข้ากับน้ำนม  จนกระทั่งเดือดก็ปิดเตาและตักใส่ชาม เท่านี้ก็ได้ซุปมันฝรั่งแสนอร่อยแล้ว

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 147 ก๋วยจั๊บเวียดนาม

เพื่อนสาวชาวนา ลูกหลานพญาคันคาก เพิ่งกลับจากเยี่ยมญาติช่วงเทศกาลสงกรานต์ ฉันเลยได้ของฝากเป็นหอมแดงผลผลิตขึ้นชื่อประจำจังหวัดศรีสะเกษกับผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างเส้นก๋วยจั๊บเวียดนาม ที่ยังต้องรอการพิสูจน์ดูว่าจะอร่อยขึ้นชื่อเทียบเคียงสูสีกับแหล่งผลิตชื่อดังแห่งเดิม คือที่อุบลราชธานีหรือปล่าว อิ อิ การกลับไปเยี่ยมญาติข้างปู่-ย่า ของเธอเที่ยวนี้  เพื่อนๆ ในเฟสบุ้ค ต่างรับรู้การเดินทางเป็นระยะๆ ด้วยรถปิ๊กอัพป้ายแดงคันใหม่ที่เธอถอยมาหลังเกี่ยวข้าวขายเข้าโครงการรับจำนำไป 2 เที่ยวเมื่อปีที่แล้ว  ตอนนี้เธอเปิดหน้าเพจ “ชาวนาเงินล้าน” แล้ว ใครสนใจเทคนิคทำนาลดต้นทุนเข้าไปแลกเปลี่ยนพูดคุยกับเธอได้เลย ส่วนฉันเหมือนเคย    นั่งแซ่วหน้าจอคอมพ์ไม่ได้ไปไหน   เอาแต่นั่งเขียนรายงานสถานการณ์การปรับตัวของชาวนาแถวบ้านที่นำการใช้เครื่องมือการเกษตรสมัยใหม่อย่างเครื่องพ่นปุ๋ยและหว่านข้าวมาใช้ในนา จนทำให้เขาลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีผสมปุ๋ยอินทรีย์ลงจากเดิมไปกว่า 30 %  ลดต้นทุนแถมยังผ่อนแรง แต่ขายข้าวได้ในราคาตันละ 13,000 บาท  จนทำให้เขาปลดหนี้ได้จากที่เมื่อปี 2553 เคยเป็นหนี้ 500,000 บาท จากการทำนาปรัง 2 ครั้งและถูกเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลทำลายในครั้งแรกและน้ำท่วมเสียหายในครั้งที่2   เขายังบอกฉันด้วยว่า แค่ราคาข้าวดีอย่างเดียวคงทำให้เขามัวนิ่งนอนใจไม่ได้ แต่ต้องขวนขวายหาวิธีลดต้นทุนให้ได้มากเพื่อเตรียมตัวเข้าแข่งขันในเวที AEC กับเวียดนามที่ต้นทุนการผลิตข้าวต่ำกว่า   การทำนา 140 ไร่ของเขา เผชิญมาหมดทั้งน้ำท่วม น้ำแล้ง ศัตรูข้าว  เจ้าของโรงสีซื้อข้าวกดราคา  แถมหลายปีก่อนนายทุนยึดที่เช่านาคืนเพื่อเอาไปขายคนกรุงเทพฯ ที่อยากจะเป็นชาวนาอย่างเขาบ้าง ทั้งที่มีสัญญาเช่า 6 ปี   โอกาสจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการทำนาในระหว่างปี 2555 – ปัจจุบันนี้  ทำให้เขาพอมีความหวัง หลังจากที่ก่อนหน้านั้นต้องเผชิญกับสภาพ ลุ่มๆ ดอนๆ ในการประกอบอาชีพมากว่า 15 ปี  จนทำให้เขาไม่อาจหยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่เรียนรู้ปรับแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ๆ  อยู่เสมอๆ จากแหล่งข้อมูลสื่อสารทั้งในทีวี วิทยุ และการพบปะพูดคุยกันในแวดวงของเขา ใคร ที่ว่าจำนำข้าวให้ราคาดีทำให้ชาวนาเร่งผลิตจนเพิ่มต้นทุนและเลิกทำอินทรีย์  น่าจะมาเดินดูชาวนาแถวบ้านฉันดูมั่งเนาะว่าเขาจะเสียฟรีจากที่เคยทำได้ดีไปได้ยังไงกัน  - - ได้ยินได้ฟังแบบนั้น ฉันมึนจุงเบย...   มาดูวิธีทำ “ก๋วยจั๊บเวียดนาม” ของเรากันดีกว่า ก๋วยจั๊บเวียดนามมีดีที่เส้นนุ่ม  น้ำซุปใสๆ รสเข้มข้น และชูกลิ่นรสด้วยเครื่องปรุงพริกเผาหอมๆ   ส่วนเนื้อสัตว์อย่าง หมู กระดูกหมู และหมูยอ ที่เห็นกันเป็นประจำในชามก๋วยจั๊บเวียดนามนั้น ถ้าไม่ชอบอาจหาอย่างอื่นมาทดแทน   สูตรที่นำมาแลกเปลี่ยนวันนี้ฉันเองทำเสร็จเตรียมจะกินแล้วเพิ่งนึกได้เหมือนกันว่าลืมหมูยอไปอย่างหนึ่งเหมือนกัน เอาเถอะ ไม่มีก็ไม่ใส่ก็ได้เนอะ เริ่มง่ายๆ ที่เครื่องปรุงพริกเผากันก่อน  วิธีเร่งรัดอย่างฉันทำง่ายมาก  มี ส่วนประกอบ 3 อย่าง คือ  1.พริกขี้หนูป่นหยาบ 2 ส่วน   2.หอมแดง 2 ส่วน   3.กระเทียม 1 ส่วน    เริ่มทำโดยปอกหอมและกระเทียม จากนั้นนำไปโขลกพอแหลกแล้วตักพริกขี้หนูป่นหยาบลงไปตำให้เข้ากันดี  แล้วจึงตั้งกระทะน้ำใส่มันถั่วเหลืองให้ร้อน  แล้วนำส่วนผสมเครื่องลงไปทอดให้เหลืองหอม แล้วพักเตาไฟ ตักใส่ถ้วย  แล้วไปดูเครื่องปรุงก๋วยจั๊บกันต่อ เครื่องปรุง 1.เส้นก๋วยจั๊บ   2.ถั่วงอก   3.กระดูกหมู อ่อน  ½ กก.  4.หัวไชเท้า 1 หัว   5. ต้นหอม ผักชี ซอยหยาบ  6.พริกไทยเม็ด  20 เม็ด  7.กระเทียมสด  5 กลีบ  8.กระเทียมดอง 1 หัว   9.รากผักชี 1 ราก    10.เกลือ  11.ซีอิ๊ว  12.ยอดหม่อน 3 – 4 ยอด  (ไม่มีก็ใส่น้ำตาลแทน) 13.น้ำกระเทียมดอง 1 ช้อนโต๊ะ   วิธีทำ เริ่มทำน้ำซุปกันก่อน   ตักน้ำสะอาด ใส่หม้อ ตั้งไฟกลาง  ใส่กระดูกหมูอ่อนที่ล้างและหั่นเป็นชิ้นคำโตๆ ลงไปต้ม   ปรุงรสด้วยยอดใบหม่อน   โขลกพริกไทยเม็ดให้เข้ากับรากผักชีกระเทียมสดและกระเทียมดองที่ตำแบบหยาบๆ  เกลือ ซีอิ๊ว และน้ำกระเทียมดอง  หมั่นช้อนออก  พอกระดูกหมูเปื่อยได้ที่ราว 30 นาที จึงใส่หัวไชเท้าหั่นแว่นลงไปต้มนานอีกสัก 5 นาที   ระหว่างรอน้ำซุปได้ที่  ตั้งหม้อที่ใส่น้ำสะอาดอีก 1 ใบ เพื่อลวกถั่วงอกแล้วตักสงไว้ให้สะเด็ดน้ำ ใช้น้ำที่ลวกถั่วงอกต้มเส้นก๋วยจั๊บ โดยนำเส้นก๋วยจับไปล้างฝุ่นแป้งที่เกาะเส้นให้หมดเสียก่อน จึงค่อยนำเส้นลงไปต้มขณะน้ำเดือดจัด  ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที เส้นสุก  หากน้ำที่ต้มมากไปก็เททิ้ง  ทิ้งไว้สักพักเส้นจะนิ่มและดูดซึมน้ำเข้าไปอีกนิดหน่อยจนเส้นพอง   พอจะกิน  ฉันก็ตักถั่วงอกลวกกับเส้นในชาม ตักน้ำซุป กระดูกหมู หัวไชเท้า โรยด้วยผักชีต้นหอม และปรุงรสด้วยเครื่องปรุงพริกเผา  แล้วนั่งนึกเอาถึงความอร่อยขอหมูยอที่ขาดหายไปอยู่แว้บๆ เอาเถอะ  แค่นี้ก็อร่อยเหลือเฟือจนต้องเอามาเผื่อแผ่กันในคอลัมน์นี้แหละคุณขา  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point