ฉบับที่ 108 แสงสว่างปลายอุโมงค์ของสาวผิวสี ดับลงแล้ว

ความไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น คนที่ผมเหยียดตรงก็อยากมีผมหยิกหยักศก จึงต้องไปใช้สารเคมีทำให้ผมหงิกหงอ ส่วนคนที่ผมหยิกหยักศกก็อยากมีผมเหยียดตรงจึงไปหาทางยืดเส้นผมตามร้านเสริมสวย โดยไม่รู้ว่าเมื่ออายุเกินห้าสิบปีแล้ว เมื่อฮอร์โมนเพศลดลงผมหยักศกอาจกลายเป็นเส้นตรงเอง แต่จำนวนเส้นอาจมีน้อยไปหน่อย ที่น่าประหลาดก็คือ คนที่ผิวคล้ำเช่น สตรีไทยแท้ๆ ที่มีผิวสีน้ำผึ้งเดือนห้าเก็บไว้ห้าปีมักอยากขาวเป็นหยวก เพราะเข้าใจว่าผู้ชายไทยชอบผู้หญิงขาว(โดยไม่เคยมีโพลไหนทำการสำรวจเลยว่าใช่หรือไม่) ในขณะที่แหม่มชาวตะวันตกที่ซีดก็อยากคล้ำ(ไม่ใช่ดำ) จึงจำต้องรนไปหาทางปิ้งตัวเองด้วยการตากแดดหรือใช้เครื่องฉายแสงอัลตร้าไวโอเล็ตกระตุ้นการสร้างเม็ดสีของเซลล์ผิวหนังให้มากขึ้น ในกรณีของสาวไทยผิวคล้ำนั้น การมีสินค้าอาหารประเภทที่อ้างว่ากินแล้วขาวขึ้นย่อมเป็นประกายแสงที่ปลายอุโมงค์ชีวิตว่า คุณเธอน่าจะขาวได้บ้าง เพื่อจะนำไปสู่การได้ขึ้นรถรางชีวิตคู่เที่ยวสุดท้ายเสียที ดังนั้นเสียเท่าไร เสี่ยงเท่าไร ก็เอา เลยเป็นโอกาสให้คนที่ฉลาดแต่ไร้คุณธรรมได้โอกาสนำเอาสารชีวเคมีต่าง ๆ ออกเร่ขาย และกลูตาไทโอนก็เป็นหนึ่งในสารชีวเคมีที่ทำให้หลายคนรวยไปเลย กลูตาไธโอนคือ อะไรกลูตาไธโอนเป็นสารชีวเคมีที่สร้างได้เองในร่างกายมนุษย์และสัตว์ทั่วไป ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด คือ กรดซิสตีอีน (Cysteine) กลัยซีน (Glycine) และกรดกลูตามิค (Glutamic acid) ซึ่งชนิดหลังนี้มีจำหน่ายตามท้องตลาดเพราะมันคือ ผงชูรสที่ไม่ใช่ อูมามิ ร่างกายมีกลูตาไธโอนไปทำไมกลูตาไธโอนมีหน้าที่หลักในการช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย โดยเฉพาะสารพิษที่ไม่ละลายน้ำแต่ละลายในไขมันดี เช่น สารพิษที่โรงงานอุตสาหกรรมปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม สารพิษบางชนิดในอาหารปิ้งย่างรมควัน และสารพิษจากเชื้อราบางชนิด เป็นต้น สารพิษเหล่านี้ถูกกำจัดออกจากร่างกายได้ด้วยระบบเอนไซม์ชื่อ กลูตาไธโอน-เอส-ทรานซ์เฟอเรส ซึ่งเป็นระบบเอนไซม์ทำลายสารพิษที่ถูกกระตุ้นให้ทำงานได้เก่งขึ้น ถ้าเจ้าของร่างกายกินอาหารที่ประกอบด้วยผักตระกูลกระหล่ำปลี เครื่องเทศต่างๆ รวมทั้ง หอม กระเทียม ดังนั้นท่านผู้อ่านที่นิยมรับประทานอาหารไทยเป็นประจำก็จะมีเอนไซม์นี้ในปริมาณสูง เพื่อช่วยทำลายสารพิษต่างๆ รวมทั้งจะมีการกระตุ้นการสร้างกลูตาไธโอนให้สูงด้วย ถ้ากินอาหารครบห้าหมู่ ผู้บริโภคสตรีส่วนมากทราบจากแผ่นพับโฆษณาขายสินค้าฟอกสีผิวแล้วว่า กลูตาไธโอนเป็นสารช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย โดยกลูตาไธโอนทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของเอนไซม์ชื่อ กลูตาไธโอนเปอรอกซิเดส ซึ่งคอยทำลายสารพวกเปอรอกไซด์ที่เกิดได้เป็นประจำในเซลล์ของร่างกายเรา เปอรอกไซด์นี้ถ้าไม่ถูกกำจัดก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นอนุมูลอิสระซึ่งก่ออันตรายให้แก่ร่างกายได้ ทั้งเรื่องการเกิดเซลล์มะเร็งและกระตุ้นความแก่ของผิวหนัง ในเว็บต่างๆ ที่มีการขายกลูตาไธโอนนั้นมักโฆษณาอ้วดอ้างว่า นอกจากทำให้ผิวขาวเป็นหยวกแล้ว สารกลูตาไธโอนยังบำบัดโรคมะเร็ง บำบัดเอดส์ รักษาผู้ซดพาราเซตามอลเกินขนาด บำบัดผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน บำบัดผู้ป่วยออทิสติค ตลอดจนผู้ป่วยอัลไซเมอร์ อย่างไรก็ตามการลักลอบจำหน่ายกลูตาไธโอนนั้นถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ยา ฐานโฆษณาเกินจริง มีโทษปรับถึง 100,000 บาท นอกจากนี้ ยังเป็นการขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับเกิดอะไรขึ้นกับกลูตาไธโอนเมื่อถูกกินเข้าไป ทันทีที่ถูกกลืนลงกระเพาะแล้วย้ายเข้าสู่ลำไส้เล็ก สารกลูตาไธโอนจะถูกย่อยได้เป็นกรดอะมิโนสามชนิดที่เป็นองค์ประกอบของสารนี้ จากนั้นร่างกายจึงนำกรดอะมิโนทั้งสามไปใช้ตามที่ร่างกายต้องการ ไม่มีการประกันว่าร่างกายจะนำไปสร้างเป็นกลูตาไธโอนใหม่หรือไม่ จึงทำนายไม่ได้ว่าการกินอาหารที่มีกลูตาไธโอนสูงเช่น แตงโมจะช่วยให้ขาวได้จริงหรือไม่ นอกจากนี้ประสิทธิภาพการสร้างกลูตาไธโอนในร่างกายนั้น ลดลงเรื่อยๆ ตามวัย ไม่ว่าจะกินอาหารที่มีกรดอะมิโนทั้งสามที่ใช้เป็นสารตั้งต้นสักเท่าใด พออายุเกินยี่สิบแล้วการสร้างก็ลดลง ผิวเราก็จะคล้ำขึ้นเรื่อยๆ ได้เป็นอนิจจังวัฏสังขารา การรับผลลดการสร้างเม็ดสีผิวเนื่องจากกลูตาไธโอน ต้องทำโดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเส้นเลือดโดยตรงในปริมาณที่มาก ซึ่งเมื่อเข้าอินเตอร์เน็ตจะพบตามที่มีการโฆษณาในเว็บคือ ประมาณ 600 มิลลิกรัมต่อครั้ง ซึ่งถือว่าเสี่ยงตายพอควร อีกทั้งมีราคาแพงเป็นหมื่นต่อเข็ม ถูกกว่านี้ไม่รับประกันว่าเป็นกลูตาไธโอนจริงหรือไม่ เนื่องจากกลูตาไธโอนมีราคาแพง ในเครื่องสำอางทั่วไปจึงมีการผสมลงไปบ้างเพียง 0.000001-0.000005% เท่านั้น เพื่อให้สามารถโฆษณาว่ามีสารนี้ จากนั้นผู้ใช้ก็มีหน้าที่สวดมนต์อธิษฐานหวังว่ามันจะเข้าสู่ร่างกายได้บ้างสักโมเลกุลหรือสองโมเลกุลทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เคยสำรวจพบว่า สถานบำบัดอาการทางจิตที่เกิดเนื่องจากผิวหนังหลายแห่งนำสารกลูตาไธโอนฉีดเข้าสู่ร่างกายเพื่อทำให้ผิวขาว ทั้งที่ อย. ยังไม่มีการอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนสารกลูตาไธโอนเพื่อใช้ในการรักษาโรคใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าในประเทศอิตาลีจะมีการขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาตถูกต้อง แต่ก็เป็นการนำสารดังกล่าวมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งกระเพาะอาหารเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับผิวหนังส่วนใดของร่างกายสักหน่อย สารกลูตาไธโอนที่ผ่านการรับรองจาก อย. นั้น อยู่ในรูปที่ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อใช้กินร่วมกับวิตามินเท่านั้น แต่ไม่มีการขึ้นทะเบียนตำรับยาไม่ว่าเป็นยาเดี่ยวหรือยาฉีดเข้าร่างกาย และไม่มีการนำเข้ามาในประเทศไทย ที่น่ากังวลคือ สินค้าที่มีจำหน่ายอยู่นั้นมาจากไหน อาจเป็นของปลอมได้ นอกจากนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ยังไม่เคยรับรองผลความปลอดภัยในการใช้สารกลูตาไธโอนฉีดเข้าเส้นเลือดดำและไม่เคยมีผลรับรองจากสถาบันที่เชื่อถือได้ในต่างประเทศ ดังนั้นจึงไม่มีการกำหนดปริมาณที่เหมาะสมในการฉีดเข้าร่างกาย และไม่ทราบว่ามีการสะสมเกิดพิษหรือเกิดผลข้างเคียงทำอันตรายให้ร่างกายในอนาคตหรือไม่  ทำไมถึงเชื่อว่ากินกลูตาไธโอนแล้วขาวขึ้นการทำให้ผิวขาวขึ้นนั้น ถือเป็นเพียงผลข้างเคียงของการใช้กลูตาไธโอนในการรักษาโรค ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ คือ แบบสูดพ่น ฉีดเข้ากล้าม และฉีดเข้าหลอดเลือดดำ เพื่อการรักษาภาวะแทรกซ้อนในการฟอกเลือดจากการขาดธาตุเหล็ก ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดในผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ที่มีเนื้อเยื่อพังผืดที่ปอด กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือใช้ร่วมกับยาบางชนิดเพื่อป้องกันอาการพิษต่อสมอง เป็นต้น ยังไม่เคยมีรายงานอาการข้างเคียงรุนแรงจากการใช้กลูตาไธโอนในการบำบัดโรค มีเพียงอาการผิวหนังลอกในผู้ใช้บางรายเท่านั้น อีกทั้งไม่เคยมีข้อมูลทางการแพทย์ว่าการฉีดสารกลูตาไธโอนจะแก้ผิวดำได้อย่างถาวร จึงควรฟันธงแบบไม่เกรงใจผู้ที่มีผิวคล้ำแล้วอยากกินกลูตาไธโอนให้ขาวว่า ทางที่ดีแล้วไปหาคนทรงเจ้าเข้าผีให้เชิญ ไมเคิล แจคสัน มาบอกดีกว่าว่าทำไมผิวถึงขาวได้ แม้ว่ายังไม่มีข้อมูลว่าใช้สารในปริมาณเท่าใดและนานเท่าใดจึงเป็นอันตราย (เนื่องจากคนที่เป็นอันตรายนั้นอาจอายเทวดาฟ้าดินจนไม่กล้าเปิดเผยว่าเคยใช้ จึงก้มหน้าก้มตาเก็บเป็นความลับตายไปกับตนเอง) ผู้บริโภคก็ไม่ควรฉีดเข้าเส้นเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ เนื่องจากสารนี้ไปหยุดการสร้างเม็ดสีผิวซึ่งช่วยกรองแสงอัลตร้าไวโอเลตที่เป็นธรรมชาติของคนผิวเอเชีย นอกจากนี้เม็ดสีในตาดำของผู้ใช้ก็อาจลดลงจึงเพิ่มความเสี่ยงอันตรายต่อจอประสาทตา คนไทยควรมีภูมิคุ้มกันรู้และเท่าทันการโฆษณาอวดอ้าง อีกทั้งอยากให้ยอมรับสภาพผิวสีน้ำผึ้ง แม้ว่าบางคนจะเป็นน้ำผึ้งเก่าเก็บมานานจนออกดำก็ตาม ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยที่มีแสงแดดจัดตลอดทั้งปี ผิวสีเข้มนั้นมีประโยชน์ช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนัง หนุ่มสาวผิวเข้มนั้นสวยหล่อในความรู้สึกของคนตะวันตก จึงมีการบรรยายถึงความหล่อของหนุ่มที่  dark tall and handsome ขอเพียงให้ผิวนั้น สะอาดเนียน ไร้กลิ่นเหงื่อไคล ถ้าจะมีกลิ่นบ้างก็ขอเป็นกลิ่นสะอาดตามธรรมชาติ ไม่ใช่หน้าขาวกระดำกระด่างเพราะสารเคมีในยา หรือเครื่องสำอางกัดลอกผิวหน้า สำหรับหน่วนงานที่ดูแลจรรยาบรรณของบุคลากรด้านสาธารณสุขนั้น ตามข่าวในเน็ตและหนังสือพิมพ์แจ้งว่า ได้ขอเวลาในการตรวจสอบข้อมูลก่อนว่า สารดังกล่าวมีการนำมาใช้ในไทยหรือไม่ และต่างประเทศใช้ในลักษณะใด หรือมีการตีพิมพ์ผลการใช้ในวารสารทางสาธารณสุขอย่างไร นอกจากนี้หน่วยงานดังกล่าวยังต้องสอบถามไปยังองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งคงไม่สามารถให้คำตอบในทันทีว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อความเป็นธรรมต่อบุคลากรสาธารณสุขที่อยากให้บริการใช้กลูตาไธโอนแก่ลูกค้าหรือผู้มีความผิดปรกติทางจิตเกี่ยวกับสีผิว เพราะปัจจุบันหน่วยงานนี้ยอมรับว่า มียาหลายชนิดที่บุคลากรด้านสาธารณสุขนำผลข้างเคียงมาใช้กับผู้ป่วย เช่น ยาแก้แพ้ ก็มีการสั่งนำมาใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการคันตามร่างกาย เพื่อให้นอนหลับไปและไม่คัน ท่านผู้อ่านมีความคิดอย่างไรกับความรอบคอบของหน่วยงานดังกล่าว สามารถเขียนอีเมล์ไปคุยกันได้นะครับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 107 มาดื่มน้ำประปากันเถอะ....(พูดแล้วสยอง)

ของฝากจากอินเตอร์เน็ตในฉลาดซื้อฉบับนี้ เราจะมาคุยเรื่องที่พื้นฐานมากๆ เลย คือ เรื่องของน้ำดื่ม ซึ่งหลายท่านเคยถามว่า เราควรรู้อะไรบ้างในเรื่องเกี่ยวกับน้ำดื่ม ผู้เขียนเลยสั่งตัวเองว่า เรารู้อะไรก็น่าจะบอกให้ท่านผู้อ่านรู้เท่ากัน http://en.cop15.dk/ ซึ่งเป็นเว็บอย่างเป็นทางการของการประชุมเกี่ยวกับโลกร้อนที่กรุงโคเปนเฮเกน (ซึ่งจบอย่างไม่เป็นท่า) กล่าวว่า  “Water -- Due to the very high quality of groundwater in Denmark, all potable water at the conference venue will be tap-water served in decanters or at self-service automatic dispensers. This implies a considerable energy saving advantage because production, transportation and disposal of water bottles will be avoided.” ก่อนจะเข้าเรื่อง ผู้เขียนไปพบข้อความที่น่าอิจฉาใน ผู้เขียนขอแนะนำเว็บที่น่าสนใจเว็บหนึ่งคือ ในเว็บhttp://www.wtop.com มีบทความที่โดนใจคนทั้งโลกคือ หัวข้อ How safe is your tap water? Report finds hundreds of pollutants หัวข้อดังกล่าวนี้เป็นที่ตราตรึงใจคนไทยมานาน และยังไม่มีหน่วยงานใดในประเทศเราที่สามารถตอบให้ประทับใจสักที www.wopular.com ซึ่งเป็นเว็บที่รวมข่าวจาก CNN, NY Times, Digg, Google News, Twitter, YouTube, Flickr, Yahoo, Bing, Wikipedia และอื่น ๆ เพื่อให้สามารถติดตามข่าวสารสำคัญได้เร็วขึ้นโดยเข้าเว็บเดียวในเว็บนี้เมื่อค้นหาข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการดื่มน้ำโดยใช้กุญแจคำว่า dinking และ water ก็จะพบข้อมูลที่น่าสนใจต่างๆ เช่น คำจำกัดความของ น้ำดื่ม ว่าน้ำดื่มนั้นต้องมีคุณภาพที่ดีพอที่เราดื่มได้โดยไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่ออันตรายต่าง ๆ ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต (“Drinking water or potable water is water of sufficiently high quality that it can be consumed or used without risk of immediate or long term harm.”) ซึ่งความจริงคำจำกัดความนี้มาจาก wikipedia นั่นเอง   ในศตวรรษนี้เราคงไม่เห็นข้อมูลแบบนี้ในการประชุมในประเทศไทยแน่ เนื่องจาก ground water ของประเทศเรานั้น นับวันมีแต่จะน่าเชื่อถือน้อยลงๆ และถ้ามีโรงแรมไหนเอาอย่างบ้างโดยกรอกน้ำก๊อกให้เรากินขณะไปใช้บริการ โดยไม่สนว่าคุณภาพน้ำก๊อกของเราเหมือนที่โคเปนเฮเกนหรือไม่ เราคงได้ฮาแบบขื่นขมกันทั่วหน้า เพราะในความเป็นจริงแล้ว แม้ตัวมาตรฐานข้อกำหนดคุณภาพน้ำของเราลอกของ WHO มาเด๊ะๆ เลย แต่ความจริงย่อมอยู่เหนือความสามารถว่ามันเป็นอย่างนั้นหรือไม่ อะไรๆ ที่มันเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมันก็มักเป็นเช่นนี้ในประเทศไทย ดูตัวอย่างที่มาบตาพุดก็แล้วกัน มีแต่เรื่องมันๆ ทั้งนั้น แล้วชาวบ้านจังหวัดไหนบ้างที่อยากให้พื้นที่ตัวเองเป็น มาบตาพุด 2   www.wtop.com กล่าวว่า มีผู้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลราว 20 ล้านข้อมูลที่ได้จากรัฐต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาพบว่า ตั้งแต่ปี 2004 นั้นมีการพบมลพิษในน้ำประปาถึง 316 ชนิด ซึ่งเป็นมลพิษที่มาจาก 97 แหล่ง เช่น จากการเกษตรรวมถึงสารกำจัดศัตรูพืช ปุ๋ยเคมี และของเสียจากชุมชน ที่สำคัญคือ มลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมมีถึง 205 ชนิด พร้อมอีก 86 ชนิดจากน้ำเสียโรงงานที่มีระบบการกำจัดน้ำเสีย เป็นต้น ทั้งนี้เพราะการผลิตน้ำประปาที่ส่งให้เมืองใหญ่นั้นมักใช้น้ำท่า ในรูปแบบที่ประเทศไทยทำเช่นกัน เพราะน้ำท่าหรือน้ำจากแม่น้ำนั้นต้นทุนถูก มาตรฐานเรื่อง dirnking water ของ WHO นั้นสามารถเข้าไปดูได้จะจะเลยที่ http://www.who.int/water_sanitation_health/dwq/fulltext.pdf ซึ่งเป็นหนังสืออีเล็คโทรนิคหนา 668 หน้า แต่มันค่อนข้างบอกอะไรต่อมิอะไรมากเกินความต้องการของผู้บริโภค เพราะเขาเล่าประวัติศาสตร์และกระบวนการทำมาตรฐานน้ำ ซึ่งเหมาะเฉพาะกับผู้ที่ปฏิบัติการเกี่ยวกับการทำน้ำประปา หรือต้องการทำรายงานส่งอาจารย์เท่านั้น   การที่พบจำนวนสารพิษในน้ำประปาของประเทศที่เจริญแล้วนั้น ไม่ได้บอกว่าน้ำนั้นไม่ได้มาตรฐาน เพราะปริมาณมลพิษแต่ละชนิดที่เจอนั้นอาจต่ำมากๆ เพียงแต่ว่าประเทศที่เจริญแล้วเขาวิเคราะห์ได้ด้วยเครื่องมือที่วิลิศมาหราในขณะที่บางประเทศยังไม่โอกาสซื้อเครื่องมือชั้นวิลิศมาหรามาวิเคราะห์เลยไม่เจอ คนในประเทศนั้นก็คงยังสบายใจ เพราะทางผู้ผลิตน้ำประปาในหลายประเทศมักบอกว่า ไม่พบ (ซึ่งไม่ได้แปลว่าไม่มี) ที่น่าประหลาดใจมากก็คือ Jane Houlihan ซึ่งเป็นคนสำคัญของ EWG หรือ The Environmental Working Group กล่าวว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของมลพิษเหล่านี้ไม่ได้ถูกกำหนดปริมาณที่ก่อให้เกิดอันตราย เพราะไม่ได้รับการดูแลจากรัฐบาลกลาง จึงไม่น่าประหลาดใจที่ตรวจพบส่วนผสมของน้ำมันเครื่องบินเจ็ท สารเปอคลอเรต สารอะซีโตน สารกำจัดวัชพืช น้ำยาจากระบบปรับอากาศและตู้เย็น ตลอดจนสารเรดอนที่เป็นผลพลอยได้จากการสลายตัวของสารกัมมันตรังสีในน้ำประปาบางแหล่งของประเทศเขาดังที่ได้ขยักไว้ว่าจะคุยเรื่องมาตรฐานน้ำดื่มว่าควรเป็นอย่างไร ท่านผู้อ่านคงเคยได้เห็นคำคุยของการประปาประเทศหนึ่งในจอโทรทัศน์ประเทศหนึ่งแล้วว่า น้ำประปานั้นอยู่ในระดับมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) โดยละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า เป็นการรับรอง ณ. หน้าโรงผลิตน้ำนะครับ ซึ่งคงคล้ายน้ำประปาที่บ้านผู้เขียนที่เมื่อเติมลงในอ่างเลี้ยงปลา หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ก็มีแหนเกิดขึ้นได้ แสดงว่าไข่แหนนั้นมันคงเล็กมากเกินกว่าจะกรองออก ก็ยอมรับครับ ไม่ได้ร้องเรียนอะไร http://www.lenntech.com/applications/drinking/standards/who-s-drinking-water-standards.htm ซึ่งเป็นรายละเอียดที่เกี่ยวกับชนิดและปริมาณที่ไม่ควรเกินของสารเคมีที่มีได้ในน้ำดื่มของคนทั่วไปที่ไม่ได้ป่วย มีตัวอย่างที่น่าทึ่งบวกอึ้งคือ มีการกำหนดปริมาณของสารก่อมะเร็งที่เกินไม่ได้ไว้ด้วย สารเหล่านี้อยู่ในกลุ่มที่จัดว่าเป็น สารอินทรีย์ (organic compounds) ได้แก่ carbon tetrachloride, dichlormethne , chlorinated hydrocarbon ต่างๆ กลุ่มสารที่เรียกว่า solvents ของโรงงานอุตสาหกรรมแถวมาบตาพุด ยาฆ่าแมลงที่มีการห้ามใช้แล้วเพราะก่อมะเร็งและทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นต้นสารพิษเหล่านี้สามารถพบได้ในน้ำที่อยู่ในมาตรฐานของ WHO ซึ่งกำหนดให้มีได้ไม่เกินค่าที่ไม่ควรก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ดื่มน้ำ ทั้งนี้เพราะในหลักการทางพิษวิทยาแล้ว มนุษย์ (ที่แข็งแรง) มีความสามารถในการกำจัดสารพิษที่กินเข้าไปได้ในระดับหนึ่งมาถึงตอนนี้ ถ้าบทความนี้ทำให้เกิดความไม่สบายใจต่อผู้ดื่มน้ำประปาแล้ว ก็มีเว็บที่แนะนำว่า ดื่มน้ำที่กรองผ่านระบบกรองน้ำก็แล้วกัน โดยให้ไปเลือกดูสินค้าที่ผ่านการตรวจสอบจาก http://www.consumersearch.com/water-filters ซึ่งน่าจะพอเชื่อได้ว่า ไม่ได้เสียเงินเปล่า ส่วนผู้ดื่มน้ำประปานั้นแนะนำให้ไปดูที่   เว็บหนึ่งซึ่งผู้เขียนใช้บริการบ่อยคือ www.about.com มีเรื่องเกี่ยวกับการดื่มน้ำที่น่าสนใจเขียนโดย Shereen Jegtvig บทความนั้นชื่อ Drinking Water to Maintain Good Health ซึ่งบอกว่า น้ำนั้นสำคัญมาก อาการขาดน้ำของร่างกายที่ดูได้ชัด ๆ คือ เวลาปัสสาวะแล้ว ถ้ากลิ่นแรงและ/หรือมีสีเหลืองเข้ม นั่นแหละ........ ใช่เลย ขาดน้ำแน่ เหตุที่จำเป็นต้องเชิญให้ไปดูเว็บต่างประเทศ เพราะหาเว็บของราชการไทย ที่กล้าออกมาแนะนำว่าให้ซื้อระบบกรองน้ำของบริษัทใดไม่ได้ เหตุที่ยังหาไม่ได้เนื่องจากยังไม่มีใครว่างจะทำ นี่คือคำตอบของบุคลากรของหน่วยงานหนึ่งที่ควรมีส่วนรับผิดชอบเกี่ยวกับมาตรฐานเครื่องมือต่างๆ ที่ผู้บริโภคมักใช้   http://www.miamiherald.com ว่า Tourist killed by hotel water ซึ่งตัวเนื้อข่าวคือ มีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งเกิดไปตายในขณะที่มีคนอีกสองคนป่วยหลังจากเข้าพักในโรงแรมหรูในเมืองไมอามี เนื่องจากการติดเชื้อที่เรียกว่า Legionnaire's Disease ปัญหาเกี่ยวกับการขาดน้ำของคนทำงานกับโต๊ะ คือ ไม่ได้ออกไปไหนคือ ยุ่งกับงานจนลืมดื่มน้ำ ซึ่งอาจเพราะเหงื่อไม่ค่อยออก หรือคิดว่ากินน้ำมากไปเดี๋ยวไตพังเนื่องจากทำงานหนัก แบบที่มีนักวิชาเกินบางคนกะล่อนไว้ในเน็ต นักวิชาการคนนี้อาจคิดว่าตนเองเป็นกิ้งก่าทะเลทรายกลับชาติมาเกิด จึงต้องการน้ำน้อย Shereen บอกไว้ในบทความของเธอว่า มนุษย์ต้องการน้ำวันหนึ่งค่อนข้างเยอะ ถ้าอยากสุขภาพดี เธอแนะนำว่า เราควรดื่มน้ำเท่ากับน้ำหนักตัวเราคิดเป็นปอนด์ (1 กิโลกรัม เท่ากับ 2.2 ปอนด์) แล้วหารด้วยสอง จะได้ปริมาตรน้ำที่ต้องดื่มคิดเป็น ออนซ์ (ounce) โดยที่ 1 ออนซ์ของอเมริกัน คือ 0.03 ลิตร ดังนั้น ถ้าท่านผู้อ่านหนัก 70 กิโลกรัม หรือ 154 ปอนด์ ซึ่งเมื่อหาร 2 แล้วจะได้ผลลัพธ์ว่า ท่านก็ควรดื่มน้ำ 77 ออนซ์ หรือ 2.31 ลิตร เป็นอย่างน้อย ในกรณีที่ท่านผู้อ่านออกกำลังกายเป็นเรื่องเป็นราว ท่านควรดื่มน้ำเพิ่มอีกอย่างน้อยราว 240 มิลลิลิตร หรือง่าย ๆ คือ 1 แก้ว ทุก 20 นาที ที่กำลังออกกำลังกาย ถ้านั่งเครื่องบินก็ควรดื่มน้ำเพิ่มชั่วโมงละ 1 แก้ว เช่นกัน (แต่ต้องมั่นใจว่าถ้านั่งข้างหน้าต่างเครื่องและคนนั่งข้างทางเดินไม่อ้วนเกินไป เพราะมิเช่นนั้นเวลาจะขยับตัวไปปลดปล่อยน้ำเสีย อาจลำบากเนื่องจากปัจจุบันที่นั่งบนเครื่องบินใกล้จะมีความห่างของแถวเก้าอี้คล้ายรถ (ร้อน) ร่วม ขสมก เข้าทุกที ที่สำคัญถ้าคุณชอบทำผิดศีลข้อห้าหรือดื่มกาแฟ คุณควรดื่มน้ำเท่ากับปริมาตรเครื่องดื่มที่คุณดื่มเข้าไปด้วย แล้วก็เตรียมมองหาโถปัสสาวะไว้เพื่อป้องกันความขายหน้า เพราะน้ำชา กาแฟ และเหล้า ล้วนแต่นำสู่การปวดปัสสาวะทั้งสิ้น ในวันที่กำลังเขียนบทความนี้คือ 14 ธันวาคม 2552 มีข่าวในเว็บ   มีผู้ตั้งสมมุติฐานว่า “After a hotel's powerful filter removed all the chlorine from city water, bacteria grew -- killing one and making two others ill..” ซึ่งแปลง่าย ๆ ให้ได้ความว่า เนื่องจากระบบกรองน้ำของโรงแรมดีมากเกินไป จนกรองเอาคลอรีนที่ใช้ฆ่าเชื้อในน้ำประปาออกไปหมด น้ำในระบบท่อของโรงแรมเลยมีเชื้อให้เกิดการป่วยได้ เลยทำให้ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าตำรับ เปิดน้ำดื่มจากก๊อกได้เลยต้องเสียหน้าด้วยประการฉะนี้   ในบทความที่คนทั้งโลกน่าจะสนใจนี้กล่าวว่า ชาวอเมริกัน 53.6 ล้านคนได้รับมลพิษที่ปนเปื้อนในระบบน้ำที่ผ่านการรับรองมาตรฐานการประปาของประเทศแล้ว ทั้งนี้เพราะน้ำที่ผ่านมาตรฐานนั้นไม่ได้หมายความว่าเป็นน้ำที่ปลอดจากสารพิษ (แต่มาตรฐานจะกำหนดว่ามีสารพิษใดบ้างได้และไม่เกินเท่าใด ขอขยักไว้ก่อนว่าข้อมูลส่วนนี้เป็นอย่างไร โดยจะกล่าวถึงหลังจากจบเรื่องของเว็บนี้)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 106 ฝันลม ๆ แล้ง ๆ กับถั่วขาว

ผู้เขียนมีอาการ(ซึ่งไม่ใช่โรค) ประจำตัวอยู่อาการหนึ่งคือ อาการปวดหัวไมเกรน (Migraine headache) ด้วยสาเหตุนานาประการ แต่ที่จำแม่นคือ อาการท้องอืด ดังนั้นเมื่อใดที่กินอาหารแล้วเกิดอาการท้องอืด สิ่งที่ผู้เขียนจะรีบทำคือ กินยาช่วยย่อย สาเหตุของการท้องอืดนั้นมากมายหลายประการ แต่ที่แน่นอนและเป็นบ่อยคือ อาหารไม่ย่อย ไม่ ว่าจะไม่ย่อยเพราะกินมากไปเนื่องจากไปกินบุฟเฟ่ต์ที่ต้องเอาให้คุ้ม หรือบางครั้งไม่ได้กินมาก แต่มันมีสาเหตุว่าในอาหารมีสารที่ไปยับยั้งการย่อยอาหาร เช่น ถั่วลันเตาอบกรอบ คำถามว่า ทำไมเมื่ออาหารไม่ย่อยแล้วจึงทำให้ปวดหัวไมเกรนได้ปรกติแล้วอาหารที่ผ่านการย่อยในลำไส้เล็ก มักเหลือเพียงกากใยซึ่งเป็นส่วนของพืชผักที่ไม่ถูกย่อย เมื่อลงสู่ลำไส้ใหญ่ แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในนั้นก็จะย่อยใยอาหารบางส่วนเป็นอาหาร จนเหลือส่วนที่ไม่มีใครย่อยได้ปนกับสิ่งอื่นๆ ออกเป็นอุจจาระ ท่านผู้อ่านอาจรู้สึกแปลกใจจนถึงอาจเกิดอาการกังวลถ้าทราบว่า ชนิดของแบคทีเรียที่มีได้ในลำไส้ใหญ่นั้นมากมายนัก ราว 300 ถึง 400 สายพันธุ์ ไม่ได้มีเฉพาะแลคโตบาซิลัส สายพันธุ์พิเศษที่สาวขายยา…บอกดอก ชนิดของแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่นั้นถูกกำหนดด้วยกากอาหารที่เราผ่านลงไป วันหนึ่งกินอาหารอย่างหนึ่งก็เหลือกากอาหารแบบหนึ่งลงไปทำให้แบคทีเรียสายพันธุ์หนึ่งเจริญ พออีกวันกินอาหารอีกแบบหนึ่งสายพันธุ์ของแบคทีเรียก็เปลี่ยนไป แบคทีเรียเหล่านี้ทำหน้าที่ต่างกันไป บางชนิดช่วยกระตุ้นการดูดน้ำออกจากกากอาหารพอประมาณ ทำให้กลายเป็นอุจจาระที่สมบูรณ์แบบคือ ไม่แข็งโป๊ก หรือเหลวปิ๊ด แต่บางสายพันธุ์สามารถทำให้ท่านผู้อ่านหน้านิ่วคิ้วผูกโบว์ได้ในตอนเช้า เพราะการดูดน้ำออกจากกากอาหารมากไป หรือหน้าเซียวไปเลยถ้ามันเหลวเละเพราะแบคทีเรียไม่ช่วยกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่ดูดน้ำออกจากกากอาหาร ดังนั้นการบริโภคอาหารที่มีกากใยที่แบคทีเรียย่อยได้ดีและเป็นแบคทีเรียที่ช่วยให้การดูดน้ำออกจากกากอาหารไม่มากเกินไป ช่วงเวลาเข้าห้องน้ำตอนเช้าก็จะสุขารมย์ปานยกภูเขาออกจากอก แต่ในกรณีที่มีอาหารที่ไม่ใช่กากใยจากผักผลไม้ผ่านลงไปด้วย เช่น กรณีที่อาหารพวกคาร์โบไฮเดรตไม่ถูกย่อยในลำไส้เล็ก ผ่านลงไปลำไส้ใหญ่ แบคทีเรียชนิดที่ใช้คาร์โบไฮเดรตชนิดนั้นได้ ก็จะเจริญมากขึ้นเป็นเสาหลักของลำไส้ใหญ่ ตัวอย่างเช่น กรณีที่ท่านผู้อ่านหลายท่านเลิกดื่มนมหลังจากที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว วันหนึ่งเกิดกลัวเป็นโรคกระดูกพรุนเร็ว เพราะโทรทัศน์เขาเตือนว่า วันนี้คุณดื่มนมแล้วหรือยัง เลยรีบไปหามาดื่ม แล้วก็พบว่า ภายในคืนนั้นเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาจมีอาการถ่ายเหลวที่ไม่ใช่อาการท้องเสีย เพราะอุจจาระที่ถ่ายออกมาไม่ได้มีกลิ่นเหม็นแบบรุนแรง แต่เป็นกลิ่นปรกติของมัน ซึ่งอาการดังกล่าวจะหายไปในไม่ช้า เหตุที่การกินนมหลังจากเลิกมานานแล้วทำให้ถ่ายท้องนั้น อธิบายได้ว่าผู้ใหญ่หลายคนขาดเอนไซม์ที่ใช้ย่อยน้ำตาลแลคโตส เนื่องจากเอนไซม์นี้มีเฉพาะในผู้ใหญ่ที่ดื่มนมเป็นประจำมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ส่วนคนที่พอคิดว่าโตแล้วต้องเลิกดื่มนม เพราะกลัวถูกหาว่าเป็นลูกแหง่ ร่างกายก็เลยเลิกสร้างเอนไซม์นี้เพราะเมื่อเลิกกินนมก็ไม่มีน้ำตาลแลคโตสจากนมไปคอยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเอนไซม์ออกมาใช้ ดังนั้นเมื่อหวนกลับมาดื่มนมจึงไม่มีเอนไซมไปย่อยน้ำตาลแลคโตสเป็นพลังงาน แบคทีเรียที่มีในลำไส้ใหญ่ชนิดที่กินน้ำตาลแลคโตสได้ก็จะกินแทนแล้วปล่อยแก๊สเช่น ไฮโดรเจน ออกมาทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อ อาการท้องอืดท้องเฟ้อนั้นน่าจะส่งผลเนื่องไปถึงระบบประสาทที่สมอง ทำให้เกิดอาการไมเกรนได้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสารอาหารประเภทใดเหลือลงไปในลำไส้ใหญ่ แบคทีเรียชนิดที่กินอาหารกลุ่มนั้นได้ก็จะ เจริญมากขึ้น และมักปล่อยแก๊สต่างๆ ออกมา เหม็นมากบ้าง น้อยบ้าง เช่น ถ้าเป็นอาหารพวกโปรตีนหลงลงไปลำไส้ใหญ่ แก๊สที่เกิดมักเป็นไฮโดรเจนซัลไฟด์หรือแก๊สไข่เน่า ซึ่งท่านผู้อ่านจะประจักษ์ได้เลยว่า วันไหนได้กินอาหารมีโปรตีนสูงมากจนย่อยในลำไส้เล็กไม่หมด วันนั้นจะสร้างมลพิษในอากาศจนคนใกล้ตัวอยากฆ่าตัวตายหนีไปเลย เกริ่นมาเสียยาวเกี่ยวกับเรื่องอาการท้องอืดเฟ้อเพราะในฉลาดซื้อฉบับนี้ตั้งใจคุยถึงโฆษณาสินค้าที่จัดเป็นอาหารชิ้นหนึ่งคือ ผลิตภัณฑ์ใส่ถั่วขาว ความสนใจของผู้เขียนนั้นเริ่มที่ว่าในโฆษณานั้นมีการใส่กางเกงยีนของสตรีนางหนึ่ง ซึ่งถ่ายทำค่อนข้างเร็วจนผู้เขียนเกิดความสงสัยว่า ตอนที่กางเกงยีนไม่เข้าที่นั้นเขาคงต้องใส่แต่ชั้นในชิ้นเดียวจึงได้เข้าไปในเว็บ www.adintrend.com เพื่อดูคลิปนี้ให้หายข้องใจ และก็พบความจริงว่าผู้แสดงโฆษณาใส่อะไรก่อนใส่กางเกงยีนที่ใส่ยากเย็นจนลิ้นแล่บออกมา ผลของการใส่กางเกงยีนยากนั้น ในโฆษณาวางเนื้อเรื่องให้เราคิดต่อไปว่า นางแบบคงรู้สึกตัวว่าอ้วนจึงคิดถึงผลิตภัณฑ์ที่อาจทำให้ผอมลงได้คือ ผลิตภัณฑ์ที่มีการผสมถั่วขาวเข้าไป ก่อนทำเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ความสงสัยจึงเกิดขึ้นทันทีว่า ถั่วขาวคืออะไร และมันไปทำให้ผอมได้อย่างไรเข้าเน็ทไปก็พบว่า ถั่วขาว (White Kidney Beans) จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับถั่วเหลือง ถั่วปากอ้า ถั่วแขก และถั่วพูลักษณะเป็นฝักที่มีเมล็ดคล้ายรูปไต พบมากในเขตน้ำกร่อย ขึ้นได้ดีในดินเลนค่อนข้างแข็ง ออกดอกและผลเกือบตลอดทั้งปี จากเว็บ www.foodsafetymobile.org ทำให้รู้ว่าถั่วขาวมีกำเนิดจากพื้นที่สูงแถวเม็กซิโกและกัวเตมาลา เป็นพืชขึ้นได้ดีในอากาศหนาวเย็นระหว่างเจริญเติบโต ในประเทศไทยนั้นก็มีการลองปลูกถั่วขาวบนพื้นที่สูงและพบว่าปลูกได้ดีทีเดียวแต่ไม่แพร่หลายเพราะเรานิยมกินถั่วเหลืองมากกว่า ถั่วชนิดนี้เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงกลาง มีความสูงประมาณ 8-15 เมตร มีผลแบบงอกตั้งแต่ยังอยู่ บนต้น ผลสีเขียวยาว 1-1.4 ซม. กลีบเลี้ยงหุ้มผลรูปดาว กลีบโค้งกลับ มีการนำถั่วขาวมาแปรรูปทางด้านอุตสาหกรรมอาหารพร้อมบริโภคต่างๆ หลากหลาย เช่น ถั่วขาวในกาแฟและโกโก้ ซุปครีมถั่วขาว ถั่วขาวผสมคอลลาเจน ถั่วขาวในซอสมะเขือเทศบรรจุกระป๋อง เป็นต้น สำคัญที่สุดคือ มีการสกัดสารสำคัญในถั่วขาวชื่อว่า ฟาซิโอลามีน (Phaseolamin) ซึ่งมีคุณสมบัติยับยั้งการทำงานของเอนไซม์อะไมเลสซึ่งขับออกมาจากตับอ่อน (เพื่อย่อยแป้งในลำไส้เล็ก) ได้ถึง 66% ดังนั้นการกินสารนี้เข้าไปจะทำให้เกิดการสูญเปล่าในการกินอาหารแป้ง มีคำแนะนำว่าถ้าได้กินสารนี้ราว 500 มิลลิกรัมต่อวัน ร่างกายจะได้รับพลังงานจากแป้งลดน้อยลงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งมีผลทำให้การสะสมของไขมันในร่างกายที่เกิดจากน้ำตาลในแป้งลดน้อยลง เมื่อร่างกายได้รับพลังงานไม่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน ดังนั้นร่างกายก็จะเผาผลาญไขมันเก่าที่สะสมออกมาใช้มากยิ่งขึ้น ร่วมไปถึงยังลดระดับของไตรกรีเซอไรด์ในร่างกายด้วย จึงทำให้น้ำหนักลดลงโดยไม่ต้องใช้วิธีอดอาหารหรือกินยาลดความอ้วน แต่โปรดอย่าลืมว่า สารสกัดบริสุทธิ์ 500 มิลลิกรัมนั้นไม่ทราบว่ามาจากถั่วขาวธรรมดากี่กรัมหรืออาจเป็นกี่กิโลกรัม ความจริงโทษสมบัติในการยับยั้งการย่อยแป้ง ตลอดจนโปรตีนและไขมันนั้น เป็นโทษสมบัติของถั่วดิบทั่วไป ตัวอย่างเช่น การทำนมถั่วเหลือง ถ้าต้มไม่สุก สารพิษที่ยับยั้งการย่อยสารอาหารนั้นจะส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เนื่องจากอาหารไม่ย่อย แต่แบคทีเรียย่อยแทนได้แก๊สออกมา จากเว็บ quackwatch.com นายแพทย์ Stephen Barrett ได้กล่าวถึงสารกลุ่มที่เป็น calorie blocker หรือสารยับยั้งการได้พลังงานจากอาหารแป้งว่า ในปี 2525 ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยาได้รับรายงานว่ามีผู้ป่วยราว 100 ราย ที่เกิดอาการปวดท้อง ถ่ายเหลว และอาเจียน หลังจากบริโภคสารกลุ่มที่ยับยั้งการใช้แป้ง ดังนั้นผลิตภัณฑ์กลุ่มที่เติมสารดังกล่าวจึงได้ถูกเก็บออกจากตลาด อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ที่เกิดในสหรัฐอเมริกานั้น คงไม่ได้รวมเอาผลิตภัณฑ์ที่เติมถั่วขาวเข้าไปด้วยเพราะขณะนั้นคงยังไม่มีการพัฒนาขึ้นมา แต่อาการนั้นใกล้เคียงกับการได้รับสารพิษตามธรรมชาติจากถั่วดิบต่าง ๆ จึงมีคำถามว่า ถ้าถั่วขาวที่เติมลงในกาแฟ หรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ สามารถออกฤทธิ์ได้จริงอย่างที่หวัง ผู้บริโภคจะถ่ายเหลว ผายลม ปวดท้องหรือไม่ เพราะอาการดังกล่าวมักเกิดเวลาท้องอืด ในทางตรงข้ามกัน ถ้าบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีถั่วขาวเป็นองค์ประกอบแล้ว ไม่เกิดอาการขายหน้าเลย ก็แสดงว่าปริมาณสารออกฤทธิ์จากถั่วขาวในผลิตภัณฑ์นั้นน้อยไป จนไม่ออกฤทธิ์ ดังนั้นการป้องกันการได้พลังงานจากอาหารแป้งที่กินเข้าไป ก็จะไม่ได้ผล อาจพอประมาณได้ว่า กินผลิตภัณฑ์ผสมถั่วขาวได้ผลลมหายใจออกข้างล่างแทน อยากพิสูจน์ต้องไปหาซื้อมากินสักครั้งในวันอาทิตย์ ซึ่งสามารถทำขายหน้าได้ที่บ้าน เพื่อดูว่าจะเกิดอาการตามที่สงสัยหรือไม่ สำหรับผู้เขียนเองค่อนข้างจะเชื่อในข้อสงสัยเรื่องการผลิตลม เพราะวารสารทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับความเชื่อถือสูงคือ Science ชุดที่ 219 ฉบับที่ 4583 หน้าที่ 393-395 ได้ตีพิมพ์บทความเรื่อง A bean alpha-amylase inhibitor formulation (starch blocker) is ineffective in man ซึ่งแปลง่ายๆ ว่า อาหารที่มีสารพวกที่ทำหน้าที่ยับยั้งการย่อยแป้งซึ่งเรียกว่า starch blocker นั้นไม่มีผลอะไรในมนุษย์ ซึ่งบทความนี้ได้สรุปแบบฟันเสาธงเลยว่า this formulation has no effect on starch digestion in humans. ดังนั้นถ้าท่านบริโภคอะไรก็ตามที่ใส่ถั่วขาว ก็ขอให้บริโภคเพราะชอบในรสชาติก็แล้วกัน อย่าเพิ่งหวังอะไรมากนักเลย เดี๋ยวจะเสียใจภายหลัง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 105 สัพเพเหระเรื่องอาหาร

วันหนึ่งในเดือนตุลาคมปีนี้ ผู้เขียนได้ชมข่าวเช้าทางโทรทัศน์ไทยช่วงราว 7.15 น. เป็นข่าวเกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งดีมาก ๆ เนื่องจากไม่น่าเบื่อเท่าการอ่านข่าวทางหนังสือพิมพ์ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ โดยผู้อ่านไม่ได้เข้าใจธรรมชาติของเนื้อข่าวเท่าที่ควร ในวันนั้นมีข่าวเกี่ยวกับชายผู้หนึ่งที่เป็นโรคเก๊าท์ไปหาแพทย์ ซึ่งแพทย์ผู้ให้การบำบัดนั้นได้อธิบายถึงสาเหตุและวิธีป้องกัน โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารบางประเภทที่เพิ่มความเสี่ยง ตัวอย่างหนึ่งที่อาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด แต่ไม่น่าเป็นห่วงนัก เพราะถึงผิดก็ไม่ก่อปัญหาสักเท่าไรคือ แพทย์ท่านนั้นได้แนะนำว่า ไม่ควรบริโภคอาหารประเภทยอดผักซึ่งมีกรดยูริกสูง (นอกเหนือไปจากเครื่องในของสัตว์) ความถูกคือ ใช่ ไม่ควรบริโภค ความผิดคือ ยอดผักไม่ได้มีกรดยูริกสูง บังเอิญโชคดีของทีวีไทยที่ผู้ประกาศข่าวในวันนั้นแน่มาก ได้แก้ไขความคลาดเคลื่อนว่า ยอดผักมีสารจำพวกพิวรีน (purine) ซึ่งถูกเปลี่ยนไปเป็นกรดยูริกได้ในร่างกายมนุษย์สูง ผู้เขียนขอขยายความเพิ่มว่า ในพืชผักทุกชนิด ขณะกำลังเติบโต ส่วนที่เป็นยอดจะมีการแบ่งเซลล์อย่างรวดเร็ว ดัชนีที่บอกว่าเซลล์กำลังแบ่งอยู่คือ การสร้างโครโมโซมเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในเซลล์แล้วแบ่งจากหนึ่งเซลล์เป็นสองเซลล์เรื่อยๆ ไป ที่สำคัญคือ ระหว่างการสร้างโครโมโซมนั้นจะมีการสร้างสารจำพวก พิวรีน และ พิริมิดีน (pyrimidine) เพื่อนำมาประกอบเป็นดีเอ็นเอของโครโมโซม ดังนั้นถ้าเรากินยอดผักมาก ก็จะได้สารทั้งสองกลุ่มนี้สูง สารกลุ่มพิริมิดีนนั้นร่างกายสามารถเปลี่ยนแปลงและขับออกจากร่างกายได้ เมื่อมีปริมาณเกินความต้องการ ในขณะที่สารกลุ่มพิวรีนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นกรดยูริก ซึ่งร่างกายมนุษย์ขับออกได้ทางไตในระดับหนึ่ง ดังนั้นถ้ามีเหลือมากๆ ในรูปของเกลือยูเรทก็จะไปสะสมที่ข้อต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดความเจ็บปวดเหมือนมีเม็ดทรายเล็กๆ อยู่ นอกจากนี้การมียูริกในเลือดสูงก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะด้วย ด้วยเหตุนี้การดื่มน้ำมากๆ ในแต่ละวัน จึงเป็นข้อดีเพราะเพิ่มการขับยูริกออกมาในปัสสาวะและลดความเข้มข้นของสารนี้ในเลือด พูดถึงเรื่องการดื่มน้ำมาก มีนักวิชาเกินท่านหนึ่งออกมาอวดรู้ทั้งในเน็ตและโทรทัศน์ว่า การดื่มน้ำมากทำให้ไตเป็นอันตรายเพราะต้องทำงานหนักในการขับฉี่ ข้อมูลนี้ทำให้ผู้เขียนเกิดความงงมาก เนื่องจากชายแก่ผู้นี้จบวิชาชีพที่ต้องเรียนวิชาสรีรวิทยามาแน่นอน แต่สามารถพูดข้อมูลที่กลับตาลปัตรไปอย่างนี้ได้ ชายแก่ผู้นี้เป็นคนเดียวกับที่เคยพูดด้วยว่า การดื่มนมวัวมีความเป็นพิษ ทำให้เลือดเป็นกรด เพราะนมนั้นถ้าถูกหมักด้วยเชื้อแบคทีเรียก็จะเกิดกรด ซึ่งเป็นความเข้าใจถูกที่ผิด เพราะในความเป็นจริงแล้ว การหมักนมในภาชนะเกิดกรดได้ แต่ในเลือดมนุษย์นั้นไม่มีแบคทีเรียแน่ๆ (เพราะถ้ามีก็แสดงว่าเกิดการติดเชื้อ) การหมักย่อมไม่เกิดขึ้น ดังนั้นถ้าผู้บริโภคที่ได้ฟังอะไรแปลกๆ ก็ขอให้ฟังหูไว้หู แล้วสอบถามหาความรู้จากผู้ที่ท่านคิดว่าน่าเชื่อถือ ซึ่งมักเป็นคนที่ไม่นิยมฟันธงและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการขายสินค้าหรือบริการ เรื่องเกี่ยวกับการเกิดโรคบางโรคที่เกิดเนื่องจากการดื่มน้ำอีกโรคหนึ่งซึ่งมักมีคนเข้าใจผิด อาจเนื่องจากการได้รับการสอนมาผิด หรือประมวลความรู้ที่ตนมีออกมาเป็นปัญญาผิดคือ เรื่องการที่คนอีสานเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะเนื่องจากดื่มน้ำกระด้าง ขอให้ท่านผู้อ่านลองถามคนข้างเคียงว่า ทราบสาเหตุที่แท้จริงหรือไม่ สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะของคนทางอีสานนั้น เกิดขึ้นเพราะกินอาหารขาดแหล่งของโปรตีนที่ต้องใช้คำว่าแหล่งของโปรตีนก็เพราะ โปรตีนนั้นต้องอยู่ในเซลล์ใหญ่เล็กต่างๆ ดังนั้นเมื่อพูดถึงเซลล์แล้ว นอกจากโปรตีนในเซลล์ องค์ประกอบที่สำคัญมากคือ ดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นแหล่งเก็บข้อมูลทางพันธุกรรมของเรา ดีเอ็นเอนั้นมีองค์ประกอบสำคัญคือ เบส (base) ซึ่งแบ่งเป็น พิวรีน และ พิริมิดีน (ที่กล่าวแล้วในเรื่องการเกิดเก๊าท์ข้างบน) ส่วนที่สองคือ น้ำตาลกลุ่มดีออกซีไรโบส และส่วนที่สามคือ กลุ่มอนุมูลฟอสเฟต ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนยึดหน่วยอื่นไว้ให้เป็นเส้นยาวได้ กลุ่มฟอสเฟตนี้เป็นส่วนสำคัญจากอาหารโปรตีน ที่ช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ความรู้นี้เกิดขึ้นจากการทำวิจัยของ ศ. นพ อารี วัลยะเสวี และ ศ. พญ. คุณสาคร ธนมิตต์ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและอดีตผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ (เจ้านายเก่าของผู้เขียนนั่นเอง) พบว่า ถ้าใครก็ตามกินอาหารขาดโปรตีนก็จะขาดฟอสเฟตไปด้วย และถ้าเขาผู้นั้นกินอาหารพืชผักที่มีสารออกซาเลตสูง เช่น ใบชะพลู หัวกลอย หรือพืชผักอะไรก็ตามที่กินแล้วคันคอได้ ให้สันนิษฐานว่ามีออกซาเลตสูง ออกซาเลตนี้เมื่อดูดซึมเข้าเลือดสามารถไปจับตัวกับธาตุแคลเซียมซึ่งอยู่ในเลือด แล้วไปตกตะกอนที่กระเพาะปัสสาวะกลายเป็นก้อนนิ่วได้ แต่ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดระหว่างออกซาเลตและแคลเซียมนี้มีกลุ่มฟอสเฟตสามารถมาเล่นบทบาท หมูเขาจะหามกลับเอาคานเข้ามาสอด ได้ เพราะกลุ่มฟอสเฟตทำปฏิกิริยาเคมีกับแคลเซียมในระบบเลือดเก่งกว่าออกซาเลตหลายเท่า และเมื่อเกิดเป็นสารแคลเซียมฟอสเฟตแล้ว ออกซาเลตก็ตกตะกอนไม่ได้อาการเกิดเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะจึงลดลง อาจารย์ทั้งสองท่านได้ทดลองให้เด็กชาวอุบลที่มีปัสสาวะขุ่นซึ่งเป็นอาการแสดงออกถึงโอกาสเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะกินกลุ่มฟอสเฟตผสมกับเครื่องดื่มน้ำดำ (ซึ่งก็มีฟอสเฟตเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยแล้ว) ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นเด็กฉี่ใสเลย ผลงานวิจัยนี้ทำให้อาจารย์ทั้งสองท่านได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นจากสภาวิจัยแห่งชาติ ในอินเตอร์เน็ตนั้นมีนักพูดบางคนกล่าวว่า การขาดแคลเซียมทำให้เป็นโรคต่างๆ ได้มากกว่า 200 โรค ตั้งแต่ มะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน ความจำเสื่อม และอาจจะเกือบทุกโรคที่ท่านผู้อ่านนึกได้ เพราะเขาผู้นั้นก็นึกได้เท่ากับท่านผู้อ่านนั่นแหละ เหตุผลที่การขาดแคลเซียมทำให้เกิดโรคต่างๆ เขาผู้นั้นกล่าวว่า เพราะการขาดแคลเซียมทำให้เกิดอาการเลือดเป็นกรด ดังนั้นจึงต้องกินแคลเซียม โดยเฉพาะแคลเซียมที่ได้จากปะการัง หรือ coral calcium มีฤทธิ์เป็นด่างโดยธรรมชาติของมัน จึงสามารถไปจัดการกับการเกิดกรด สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้ไม่ถูกนัก แม้ว่าจริงอยู่ที่การขาดแคลเซียมมีผลต่อความแข็งแรงของกระดูก แต่ปรากฏการณ์กระดูกพรุนไม่ได้ทำให้เกิดอาการเลือดเป็นกรด เหมือนอย่างคนที่ขายแคลเซียมขู่ อาม่า อาอึ้ม ทั้งหลาย เนื่องจากร่างกายมีระบบปรับแต่งความเป็นกรดด่างของเลือดให้อยู่ในช่วงประมาณ 7.4 คือ เป็นกลางๆ เพื่อให้ระบบเอนไซม์ในเลือดทำงานได้ดี โอกาสที่สารละลายในร่างกายถูกปรับความเป็นกรดด่างได้ด้วยการกินอะไรบางอย่างเข้าไปคือ ฉี่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่แพทย์และเภสัชกรใช้ในการขับยาหรือสารพิษบางชนิดออกจากร่างกาย นักพูดบางคนมักกล่าวว่า มีสังคมมนุษย์หลายสังคมในโลกนี้ที่สมาชิกไม่เคยป่วย ไม่เคยเป็นมะเร็ง หรือเป็นโรคอะไรเลย ไม่เป็นแม้เบาหวาน และอายุเฉลี่ยยาวกว่าคนปรกติถึง 30-40 ปี เหตุที่เป็นดังนี้เพราะเขาเหล่านั้นได้รับสารอาหารจำเป็นที่ร่างกายต้องการปริมาณน้อย (micronutrient) สูงกว่าค่ามาตรฐานของ RDA (ตัวเลขที่นักวิชาการแนะนำให้ประชาชนกินเพื่อให้มีสุขภาพดี) ถึง 100 เท่า ประโยคดังกล่าวนั้น ขี้หกทั้งเพ เพราะไม่มีสังคมมนุษย์สังคมใดที่มันจะแข็งแรงกันไปหมด จนไม่ป่วย การกินสารอาหารพวก ไวตามิน เกลือแร่ และสารพฤกษเคมีเข้าไปเป็น 100 เท่าของที่ควรนั้น คนธรรมดาคงทำยาก เช่น กรณีของเหล็ก ถ้ากินมากถึงระดับ 100 เท่าของที่แนะนำกันตามปรกติ อาจถึงตายได้ทีเดียว (ยกเว้นคนบางประเภทเท่านั้นที่กินเหล็กได้ในปริมาณสูง แล้วยังมีความสุขได้นะครับท่านประธานที่เคารพ) เราอาจเคยได้ยินนักวิชาเกินบางท่านกล่าวว่า ร่างกายมนุษย์นั้นมหัศจรรย์สามารถบำบัดโรคต่างๆ ได้เอง ถ้าได้รับสารอาหารจำเป็นที่ร่างกายตัองการครบ ดังนั้นกว่าร้อยละเก้าสิบของโรคที่ประชาชนเป็นกันนั้นสามารถกำจัดได้ถ้าเขาเหล่านั้นได้รับสารอาหารที่เหมาะสม ความเข้าใจนี้อาจทำให้เกิดความเสี่ยงได้ แม้จะมีส่วนของความเป็นจริงอยู่บ้าง แต่ส่วนที่ไม่เป็นจริงนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงเช่น กรณีของอาการความดันโลหิตสูงที่มักเกิดเมื่ออายุมากขึ้น ถ้าปล่อยให้ร่างกายรักษาตนเองโดยพยายามหาอาหารหรือสมุนไพรกินเองโดยไม่ไปพบแพทย์ ทั้งแผนปัจจุบันหรือไม่ปัจจุบันก็ตาม อาจทำให้เวลาที่อยู่ในโลกนี้ของผู้มีอาการความดันผิดปรกติน้อยลงได้ ยังมีเรื่องตลกที่ขำไม่ออกเกี่ยวกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์สุขภาพอีกมากมายเกิดขึ้นในอินเตอร์เน็ตและรายการโทรทัศน์ แม้กระทั่งในภาพยนตร์ไทยบางเรื่องที่พยายามสร้างให้น่าสนใจเกี่ยวกับความรักของคนกับมนุษย์นาคา ซึ่งพอเริ่มเรื่องก็พลาดอย่างน่าเสียดายเช่น การที่คนสมัยมนุษย์ถ้ำทำนายว่า เมื่อถึงเวลาที่ดาวนพเคราะห์ทั้งเก้ามาเรียงตัวกันบนฟากฟ้า ก็ให้มนุษย์นาคาสองคนมารวมกันทิ้งร่างมนุษย์กลับเป็นเผ่าพันธุ์เดิม ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้น คนไทยเพิ่งรู้ว่าระบบสุริยะจักรวาลมีดาวเก้าดวงเมื่อสักร้อยปีมานี่เองกระมัง และที่สำคัญตอนนี้ได้มีคนกลุ่มหนึ่งได้ปลดดาวดวงหนึ่งออกไปด้วย เลยทำให้ระบบสุริยะจักรวาลมีดาวแค่ 8 ดวง เรื่องแบบนี้ผู้เขียนจะหาโอกาสนำมาเล่าเพื่อความครื้นเครงต่อไป

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 104 วิทยาศาสตร์เทียมกับคนไทย

เมื่อค่ำของวันที่ 16 กันยายน 2552 ผู้เขียนได้ดูรายการข่าวของทีวีไทย จนถึงรายงานพยากรณ์ ซึ่งพิธีกรก็รายงานสภาพอากาศตามปรกติ แล้วตบท้ายด้วยการแก้คำผิดในเรื่องที่ได้เสนอไปในวันอื่นที่ผู้เขียนไม่ได้ดู ความผิดพลาดที่มีการแก้ไขเป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อมูลที่มักมีการ forward mail และแสดงในเว็บหลายเว็บ เกี่ยวกับการไม่ควรกินน้ำเย็นขณะกินอาหาร เพราะจะทำให้ไขมันในอาหารจับแข็งตัว เป็นอันตรายต่อสุขภาพต่าง ๆ นานา ซึ่งท่านผู้อ่านหลายท่านคงเคยผ่านตาและผู้เขียนก็ได้เคยเขียนใน ฉลาดซื้อ นานมาแล้วว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ผู้รายงานข่าวได้แก้ไขความผิดพลาดเพราะมีนายแพทย์ท่านหนึ่งได้ให้ข้อมูลแย้งว่า การดื่มน้ำเย็นขณะรับประทานอาหารนั้นไม่ได้อันตรายอย่างที่หลายคนคิด ผู้เขียนคงต้องขออธิบายสั้น ๆ ซ้ำอีกทีว่า น้ำไม่ว่าอุ่นมากหรือเย็นจัดนั้น เมื่อผ่านลำคอลงไปแล้ว ร่างกายจะมีระบบปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะกับที่ร่างกายต้องการเพื่อการดูดซึม จะไม่ไปทำให้อุณหภูมิของกระเพาะและลำไส้เย็นลงจนทำให้ไขมันในอาหารกลายเป็นก้อน เหมือนที่เห็นในตู้เย็น เหตุที่ร่างกายต้องพยายามดำรงอุณหภูมิในทางเดินอาหารให้อุ่นคือ ราว 37oC เพราะการทำงานของระบบเอนไซม์ต่าง ๆ ที่ย่อยอาหารให้เกิดการดูดซึมได้นั้น ต้องการอุณหภูมิประมาณนี้ ตัวอย่างรายการโทรทัศน์ที่ยกให้เห็นนี้ เป็นการแสดงว่าอย่างน้อยทีวีไทยมีความใส่ใจในการแก้ความผิดพลาด ซึ่งดีกว่าสถานีวิทยุและโทรทัศน์หลายสถานีที่ไม่สนใจ ปล่อยให้ความผิดพลาดดำเนินไป โดยเฉพาะการขายผลิตภัณฑ์สุขภาพ คนที่โชคร้ายคือ ผู้บริโภคที่ไม่มีโอกาสมีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพอย่างลึกซึ้งพอความผิดพลาดด้านวิทยาศาสตร์แบบตั้งใจนั้น ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Pseudoscience ซึ่งภาษาไทยน่าจะแปลว่า วิทยาศาสตร์เทียม เพราะคำว่า Pseudo นั้นเป็นคำที่มาจากภาษาลาติน มีความหมายถึงสิ่งที่ไม่เป็นจริงคือ โกหก นั่นเอง การโกหกทางวิทยาศาสตร์สุขภาพนั้น มีให้เห็นในจอโทรทัศน์เป็นประจำ โดยไม่มีใครสนใจแก้ไข เพราะต่างได้ประโยชน์กันเป็นแถว ความผิดพลาดนั้นมีสาเหตุใหญ่ 2 ประการคือ ความผิดพลาดที่เกิดจากความไม่รู้ คือ มั่ว ส่วนอีกประการนั้นเป็นความตั้งใจให้ผิดเพื่อเอาประโยชน์ การมั่วทางวิทยาศาสตร์นั้นมีรากฐานจากทิฐิของนักวิชาเกินที่ไม่รู้จริง เช่น กรณีของการกินน้ำเย็นแล้วไขมันจะเป็นก้อนในทางเดินอาหารก่อให้เกิดปัญหามากมาย สุดท้ายก็ขาดไม่ได้ที่ต้องพาดพิงถึงมะเร็งเพื่อให้ดูสมจริง นักวิชาเกินเหล่านี้คงมีประสบการณ์มองอาหารในตู้เย็น และพบว่าอาหารที่มีไขมันเป็นองค์ประกอบมักเห็นไขมันแยกเป็นก้อนให้เห็น และด้วยความที่ไม่เคยเรียนวิชาสรีรวิทยา หรือแม้เคยเรียนก็ลืมไปแล้ว เลยทำให้เกิดความผิดพลาดในการให้ความรู้แก่ประชาชน ส่วนความผิดพลาดในประการที่สอง ซึ่งตั้งใจทำให้ผิดพลาดเพื่อหารับประทานนั้น มีตัวอย่างที่เห็นอย่างชัดเจนแล้วในบ้านเราคือ เรื่องอุปกรณ์ทำให้โมเลกุลของน้ำมันเรียงตัวก่อนเข้าระบบเผาไหม้เพื่อประหยัดน้ำมันและลดควันดำหรือสารพิษในไอเสีย ตามมาด้วยเรื่องน้ำดื่มที่ผ่านอุปกรณ์ที่ทำให้เกิดการเรียงตัวตามสนามแม่เหล็กของโมเลกุลน้ำ เพื่อทำให้น้ำธรรมดาเป็นน้ำวิเศษที่ทำให้สุขภาพดีขึ้นได้ ตัวอย่างที่ยกให้เห็นนี้ ขี้หกทั้งเพและเป็นเรื่องการโกหกระดับนานาชาติด้วย ในอินเตอร์เน็ตนั้นมีเว็บหลายเว็บที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เทียมหรือ pseudoscience ซึ่งท่านผู้บริโภคข้อมูลสามารถเข้าไปศึกษาได้ เว็บแรกที่แนะนำคือ http://www.chem1.com/acad/ sci/pseudosci.html ซึ่งให้คำจำกัดความของ pseudoscience ว่า {xtypo_quote}A pseudoscience is a belief or process which masquerades as science in an attempt to claim a legitimacy which it would not otherwise be able to achieve on its own terms; it is often known as fringe- or alternative science. {/xtypo_quote} ซึ่งน่าจะหมายความว่า วิทยาศาสตร์เทียมนั้นหมายถึง ความเชื่อหรือกระบวนการที่หลอกลวงว่าสิ่งที่เกิดหรือสิ่งประดิษฐ์นั้นเป็นวิทยาศาสตร์ที่ยอมรับได้ทั้งที่มันเป็นมันไม่น่าจะใช่ ผู้เขียนขอยกตัวอย่างที่พบได้ในเน็ตของคนที่ใช้วิทยาศาสตร์เทียมเพื่อความร่ำรวยของตนคือ การบอกว่า แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านใบไม้ใหญ่ลงมากระทบตัวคนแล้วจะทำให้สุขภาพดี จึงจัดให้ในบริการล้างพิษ ผู้บริโภคที่หลงเชื่อก็จะไปนอนตากแดดแล้วเอาใบไม้ใหญ่มาคลุมตัว ยังดีนะครับที่ไม่ได้ใช้หนังสือพิมพ์มาคลุม ความแตกต่างของวิทยาศาสตร์แท้กับวิทยาศาสตร์เทียม (ซึ่งอาจเรียกอีกคำว่า creationist ได้) คือ วิทยาศาสตร์แท้นั้นจะหาความจริงจากการทดลองแล้วจึงสรุปออกมาว่าเป็นอะไร ในขณะที่วิทยาศาสตร์เทียมจะมีข้อสรุปก่อนแล้วจึงพยายามหาความจริงมายืนยัน ซึ่งบางทีก็ยันไม่ได้ทั้งยืนหรือนอน คำภาษาอังกฤษอีกคำที่อาจนำมาใช้กับปรากฏการณ์ที่พยายามทำแค่ความเชื่อดของตนเอง กลายเป็นวิทยาศาสตร์คือ Junk science ซึ่งในบางเว็บได้รวบเรื่องราวของ homeopathy เข้าไปอยู่ในกลุ่มนี้ ผู้เขียนเคยเขียนเรื่อง homeopathy ในฉลาดซื้อ แล้วมีผู้อ่านจดหมายมาทางกองบรรณาธิการเพื่อต่อว่า ซึ่งผู้เขียนก็เข้าใจว่าบทความดังกล่าวอาจไปก้าวล่วงในความเชื่อของหลายท่าน แต่ความจริงแล้วลักษณะของ homeopathy นั้นเข้าอยู่ในลักษณะของวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ยังไม่มีการพิสูจน์เป็นเรื่องเป็นราว เมื่อสมัยผู้เขียนดูหนังเกาหลีที่นางเอกในเรื่องชื่อว่า จังกึม นั้น ตอนหนึ่งที่นางเอกสูญเสียประสาทสัมผัสในการลิ้มรส แล้วตัวละครที่เป็นแพทย์สมัยนั้นใช้เหล็กไนผึ้งต่อยที่ลิ้นจังกึม ก็เป็นลักษณะการรักษาแบบหนามยอกเอาหนามบ่ง ซึ่งถามว่าเป็น homeopathy ในความรู้สึกผู้เขียนหรือไม่ ผู้เขียนก็ว่าใช่ ทั้งนี้เพราะ homeopathy นั้นบางครั้งก็ดูเป็นพิษวิทยา แต่ดูอีกทีก็ไม่น่าใช่นัก เนื่องจาก homeopathy นั้นมีความเชื่อว่า สารที่ทำให้เกิดพิษนั้น ถ้านำมาเจือจางให้มากๆ ก็สามารถต้านพิษได้ ถ้าต้องการอ่านเป็นภาษาอังกฤษก็หาได้จาก Wikipedia ซึ่งให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า   {xtypo_quote}German physician Samuel Hahnemann in 1796, that treats patients with heavily diluted preparations which are thought to cause effects similar to the symptoms presented. {/xtypo_quote} ที่ผู้เขียนกล่าวว่า homeopathy น่าจะเข้าข่ายของวิทยาศาสตร์เทียมเพราะใน Wikipedia ได้กล่าวไว้อีกเช่นกันว่า {xtypo_quote}Claims of homeopathy's efficacy beyond the placebo effect are unsupported by the collective weight of scientific and clinical evidence. {/xtypo_quote} อีกเว็บหนึ่ง คือ http://biocab.org/Pseudoscience.html ซึ่งให้ข้อมูลที่เป็นตัวอย่างของวิทยาศาสตร์เทียมที่เมื่อท่านเข้าไปอ่านแล้ว อาจอุทานว่า “โอ้พระเจ้าช่วยกล้วยทอด มันเหมือนกับที่เห็นในบ้านเราเลยซาร่า” เว็บนี้ยกตัวอย่างเกี่ยวกับการที่มีผู้พยายามสร้างความเชื่อว่า ปิรามิดนั้นใช้เทคโนโลยีที่ได้จากมนุษย์ต่างดาว ซึ่งก็เป็นเรื่องพื้น ๆ แต่ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ ในเว็บได้เริ่มกังวลกับ academic pseudoscience ซึ่งเกิดจากนักวิทยาศาสตร์เทียมซึ่งได้เป็นอาจารย์ของสถานศึกษา ซึ่งผลิตนักวิทยาศาสตร์ด้วยความคิดแบบวิทยาศาสตร์เทียม ตัวอย่างในประเทศไทยก็มี เช่น การสอนให้เชื่อว่า เก้าอี้แม่เหล็กรักษาโรคได้ ทั้งที่กระทรวงสาธารณสุขออกมาบอกแล้วว่ายังพิสูจน์ไม่ได้ เว็บสุดท้ายที่แนะนำให้เข้าไปดูคือ www.quackwatch.com เจ้าเก่าของ Dr. Barrett ซึ่งมีบทความเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เทียมสองบทความคือ Distinguishing Science and Pseudoscience และ Why Science Needs to Combat Pseudoscience ซึ่งเป็นบทความพื้นฐานที่ผู้อ่านที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ก็ควรอ่านเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุที่ว่าสื่อทั้งหลายต่างมีความสำคัญอย่างยิ่งในการนำข้อมูลสู่ผู้บริโภค การกรองข้อมูลให้ถูกต้องก่อนปล่อยออกสู่สาธารณะนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะอะไรที่ไม่เป็นจริงมักถูกเชื่อว่าเป็นจริง เพราะมันดูสนุกดี จนผู้บริโภคลืมไปว่า ศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งเคยให้กระบวนการในการตัดสินใจว่าอะไรถูกผิดคือ กาลามสูตร{xtypo_alert} (โปรด สังเกตว่า บัดเดี๋ยวนี้ชื่อของที่ทำงานของผู้เขียนได้ถูกเปลี่ยนจาก สถาบันวิจัยโภชนาการ ไปเป็น สถาบันโภชนาการ เพื่อให้ครอบคลุมภารกิจในการทำงานกว้างขึ้นครับ) {/xtypo_alert}  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 103 เอาไงดีกับขวดพลาสติกใส ตอน 2

จากที่กล่าวในฉลาดซื้อฉบับที่แล้วว่า “ทั้งที่ความจริงแล้วสารเคมีที่อาจก่อปัญหาสุขภาพของผู้บริโภคเนื่องจากการหลุดออกมาจากขวดพลาสติกคือ Bisphenol A” การลงท้ายในลักษณะนี้อาจทำให้ท่านผู้อ่านสับสนได้ว่า Bisphenol A นั้นอาจหลุดออกมาจากขวดพลาสติกใสทั่วไปได้ ท่านผู้อ่านโปรดอย่าสับสน เพราะขวดพลาสติกใสที่มีการใช้ใส่เครื่องดื่มหรือน้ำดื่มนั้นเป็นขวด PET ส่วนกรณีของ Bisphenol A นั้น เป็นการกล่าวถึงปัญหาของขวดพลาสติกใสอีกประเภทที่เรียกกันว่า โพลีคาร์บอเนต (polycarbonate) ซึ่งแตกต่างจากขวด PET ที่ใช้ใส่น้ำดื่มบรรจุขวด ในการผลิตพลาสติกประเภทโพลีคาร์บอเนตนั้นมีการใช้สาร Bisphenol A เป็นสารช่วยในการผลิต ดังนั้นต้องขอให้ท่านผู้อ่านตั้งสตินิดหนึ่งว่า พลาสติกทั้งสองนั้นต่างกันในเรื่อง การทนความร้อนและที่สำคัญคือ ราคาผู้บริโภคทั่วไปสามารถสัมผัส Bisphenol A จากอาหารเป็นหลัก เพราะมีการวิเคราะห์พบในเลือดคนทั่วไป ตลอดจนในเด็กทารก ซึ่งมีกระบวนการทำลายสารพิษไม่สมบูรณ์ ปริมาณที่วิเคราะห์ได้ในปัสสาวะคนสามารถเข้าไปดูได้ที่ http://www.cdc.gov/nchs/about/major/nhanes/nhanes2003-2004/lab03_04.htm แต่ตามรายงานของโครงการพิษวิทยาแห่งชาติ (National Toxicology Program) ของสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1982 ระบุว่าสาร Bisphenol A นี้ไม่เป็นสารก่อมะเร็ง นอกจากนี้ท่านผู้อ่านอาจสัมผัส Bisphenol A ได้ในพลาสติกอีกประเภทคือ โพลีไวนิลคลอไรด์ ที่ใช้ทำท่อพีวีซี และแผ่นพลาสติกใสหุ้มอาหารหรือที่เรียกกันว่า แรบพ์ (wrap) ซึ่งชาวไทยหลายล้านคนได้มีประสบการณ์การใช้แผ่นพีวีซีจากแซนด์วิชต่างๆ ที่มีการขายแก้จน โดยไม่รู้ว่าถ้านำเอาแซนด์วิชที่มีแผ่นพลาสติกใสหุ้มอาหารอยู่นั้นไปอุ่นให้ร้อนด้วยไมโครเวฟ โอกาสที่ Bisphenol A จะหลุดออกมาก็พอมีได้แหล่งของสารเคมีนี้ที่ผู้บริโภคอาจได้รับอีกแหล่งคือ จากพลาสติกใสที่มีการนำไปเคลือบกระป๋องบรรจุอาหารที่ต้องผ่านความร้อนสูงวิกิพีเดีย (www.wikipedia.org) เล่าว่ามีงานวิจัยชิ้นหนึ่งทำในหนูถีบจักรเพศเมียที่ท้องพบว่า สาร Bisphenol A ที่ขนาด 1 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว ก่อพิษต่อระบบสืบพันธุ์และก่อมะเร็งต่อตัวอ่อนที่ได้รับสารนี้ในช่วงการพัฒนาอวัยวะของตัวอ่อน นอกจากนี้สารเคมีดังกล่าวยังสามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์สืบพันธุ์ของหนูถีบจักรที่เลี้ยงในหลอดทดลอง เมื่อเราเข้าไปดูข้อมูลใน http://www.emaxhealth.com เกี่ยวกับขวดนมพลาสติกซึ่งเป็นขวดใสพบว่า ในปีที่แล้วหน่วยงานด้านสุขภาพของแคนาดาได้ระงับใบอนุญาตจำหน่ายขวดนมพลาสติกที่มี Bisphenol A เป็นองค์ประกอบ ปฏิบัติการดังกล่าวนับเป็นครั้งแรกที่หน่วยงานด้านกฎหมายของแคนาดาเริ่มจับตามองสาร Bisphenol A ทั้งที่หน่วยงานดังกล่าวเคยออกมาแถลงว่า ปริมาณการสัมผัสสารนี้อยู่ในระดับต่ำ สำหรับในสหรัฐอเมริกานั้น สภาสูงได้เริ่มขอให้ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของสาร Bisphenol A และที่สำคัญฝรั่งเศสก็เป็นอีกประเทศที่เริ่มดำเนินการในเรื่องเกี่ยวกับการทบทวนการใช้พลาสติกที่มีสาร Bisphenol A ด้วยฝ่ายโรงงานอุตสาหกรรมผลิตพลาสติกนั้นได้กล่าวว่า ปริมาณการปนเปื้อนสู่อาหารของสารเคมีจากบรรจุภัณฑ์นั้น ส่วนใหญ่มีปริมาณค่อนข้างน้อยไม่น่าเป็นห่วง และที่สำคัญคือ ยังไม่มีสารเคมีอื่นมาแทนที่ Bisphenol A ได้ในการทำให้ผลิตภาชนะบรรจุที่ทนร้อนระดับการฆ่าเชื้อทางอุตสาหกรรมซึ่งป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคได้ การกล่าวนี้เหมือนกับบอกว่า ยอมๆ กันไปก่อนเถอะน่า ไว้หาสารตัวแทนมาได้ค่อยตื่นเต้นใหม่ผู้เชี่ยวชาญในการผลิตภาชนะบรรจุอาหารบริษัทหนึ่งได้กล่าวเสริมว่า ยังมีความจำเป็นในการทำการศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างการเจ็บป่วยที่มีความสัมพันธ์กับระบบฮอร์โมนเพศที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวันซึ่งอาจเกิดเนื่องจากสารเคมีที่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศและปัญหาที่เกี่ยวกับเต้านม ต่อมลูกหมาก โรคอ้วน โรคเบาหวาน และภูมิแพ้ก่อน เพื่อให้มีการเชื่อมต่อกับข้อมูลการปนเปื้อนของสารเคมีในอาหาร จากนั้นจึงค่อยมากังวลกับการปนเปื้อนสารพิษนี้อย่างจริงจังการดื่มเครื่องดื่มจากขวดโพลีคาร์บอเนตแล้วสามารถตรวจสอบพบสาร Bisphenol A ในปัสสาวะของผู้บริโภคนั้นเป็นข้อมูลงานวิจัยของคณะสาธารณสุข มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard School of Public Health) และศูนย์ควบคุมโรคกลาง (CDC) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังมีข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ในกรณีขวดนมนั้นการปนเปื้อนสามารถเพิ่มขึ้นได้เนื่องจากความร้อนที่ใช้ในการอุ่นขวดนม ในสหรัฐอเมริกานั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และโครงการพิษวิทยาแห่งชาติ (National Toxicology Program) ได้เคยสรุปแล้วว่า Bisphenol A ไม่ก่อปัญหาในด้านสุขภาพ ซึ่งต่างจากหน่วยงานด้านสุขภาพในแคนาดาที่มองว่าปัญหาอาจเกิดต่อตัวอ่อนในท้องแม่ที่ได้รับสารดังกล่าว การวิเคราะห์ปริมาณปนเปื้อนของ Bisphenol A จากขวดพลาสติกที่มีสีสันสวยงามแบบหลอดนีออนพบได้ไม่ยาก ไม่ว่ามากหรือน้อย จึงมีหลายบริษัทที่ผลิตขวดพลาสติกได้เปลี่ยนไปผลิตพลาสติกที่ไม่ต้องใช้สารดังกล่าว ทั้งนี้เพราะขวดที่ใช้ Bisphenol A ในการผลิตจะมีการปนเปื้อนของสารออกมาเมื่อได้รับความร้อนไม่ว่าจากแสงแดดหรือจากไมโครเวฟ ในสหรัฐอเมริกาเองหน่วยงานท้องถิ่นของรัฐมินนิโซตาและคอนเน็คติกัค ได้เริ่มห้ามการจำหน่ายภาชนะพลาสติกที่มีสารดังกล่าวเป็นส่วนผสม และอย่างน้อยผู้ผลิตภาชนะพลาสติกรายใหญ่ 5 รายในสหรัฐอเมริกาได้หยุดการผลิตหรือเพิ่มทางเลือกในการผลิตพลาสติกประเภทอื่นที่ไม่มี Bisphenol A ให้ผู้บริโภคแล้ว ข้อมูลดังกล่าวดูได้จาก http://www.alternet.org/story/141196/ และ http://www.findingdulcinea.com/news/health/2009/june/Are-BPA-Marketers-Purposely-Misleading-the-Public.html ปรากฏการนี้ทำให้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐต้องเริ่มทำการทบทวนเกี่ยวกับความปลอดภัยของพลาสติกที่มี Bisphenol A เป็นองค์ประกอบตั้งแต่ปี 2008ใน http://network.nationalpost.com นักสถิติชื่อ S. Robert Lichter จาก George Mason University และ Trevor Butterworth จาก edits.stats.org ได้เขียนบทความเกี่ยวกับแนวทางการเลิกให้ใบอนุญาตการใช้สาร Bisphenol A ในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหภาพยุโรป ทั้งที่ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนนัก อย่างไรก็ตามเมื่อทำการสอบถามความเห็นจากนักพิษวิทยาจำนวน 937 คน พบว่า มีเพียงร้อยละ 9 เท่านั้นที่คิดว่าสารนี้เป็นปัญหาร้ายแรงต่อสุขภาพ โดยเทียบกับอันตรายที่เกิดจากแสงแดด สุรา หรือ อะฟลาท็อกซิน ส่วนในกลุ่มของนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเอง สารพิษนี้ก็ยังอยู่ที่ท้ายๆ ของบัญชีสารพิษที่ก่อปัญหาสิ่งแวดล้อมต่อมนุษย์ อาจเนื่องจากปริมาณที่ประชากรโลกสัมผัสสารพิษนี้ค่อนข้างต่ำ ตามการประเมินของสถาบันวิทยาศาสตร์สุขภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (National Institute of Environmental Health Sciences) เคยมีนักพิษวิทยาคนหนึ่งในสหรัฐอเมริกากล่าวว่า ปริมาณที่มนุษย์ได้รับแต่ละวันนั้นน้อยกว่าปริมาณที่ก่อให้เกิดพิษในสัตว์ทดลองถึง 500,000 เท่า อย่างไรก็ดีท่านผู้อ่านควรทราบว่า การศึกษาและการประเมินความเป็นพิษของสารเคมีที่อาจเข้าสู่ร่างกายมนุษย์นั้น เป็นการตั้งสมมุติฐานว่า มนุษย์ได้รับสารนั้นอย่างเดียว และสุขภาพมนุษย์ก็อยู่ในสภาวะที่ดีที่สุดด้วย ซึ่งในความเป็นจริงนั้น ไม่ใช่เลย ทั้งนี้เพราะถ้าเราคิดถึงปัจจัยเกี่ยวกับสุขภาพ สภาวะโภชนาการ ความแตกต่างทางพันธุกรรมที่บางคนกำจัดสารพิษได้ต่ำกว่าคนอื่นแล้ว ปริมาณสารพิษที่ดูน้อย อาจก่อให้เกิดปัญหาที่น่าตกใจได้ในวารสาร ScienceDaily (July 9, 2009) ของเว็บ http://www.sciencedaily.com กล่าวว่า Bisphenol A มีผลในการทำให้ไข่ของหนูถีบจักรพัฒนาตัวช้ากว่าปรกติ เนื่องจากผลที่มันเป็นสารที่มีฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศหญิง แต่เรายังไม่ทราบว่าเมื่อเทียบกับฮอร์โมนเพศหญิงธรรมชาติแล้ว มันมีฤทธิ์ต่ำกว่า หรือสูงกว่าฮอร์โมนเพศธรรมชาติ และข้อที่น่าสนใจอีกประการในรายงานนี้คือ การศึกษานี้เป็นการศึกษาระยะยาวในสัตว์ด้วยสารที่มีความเข้มข้นต่ำนอกจากนี้ โครงการพิษวิทยาแห่งชาติของสหรัฐอเมริกายังได้รายงานว่า สารเคมีนี้มีผลต่อสมอง พฤติกรรมและต่อมลูกหมากของลูกสัตว์ทดลองที่แม่ได้รับสารนี้ ซึ่งอาจเชื่อมโยงได้ว่ามีผลอย่างเดียวกันในคนเนื่องจากนักพิษวิทยาบางส่วนไม่สามารถกล่าวอย่างเต็มปากว่าสารเคมีนี้ปลอดภัย บริษัท Nalgene ซึ่งผลิตขวดพลาสติกหลายชนิดขาย ทั้งในห้องปฏิบัติการเคมี และใช้เป็นขวดบรรจุน้ำ อาหารและอื่น ๆ จึงได้แนะนำผู้บริโภคประมาณว่า ถ้าไม่แน่ใจในการใช้ขวดพลาสติกใสทนร้อนให้หันกลับไปใช้ขวดพลาสติกขุ่นที่บริษัทผลิตขายเช่นกันแทน เพื่อความสบายใจ ข้อมูลดังกล่าวหาดูได้จาก http://www.ecopledge.com/detoxnalgene.asp?id2=27717ดังนั้นถ้าท่านต้องการใช้ภาชนะพลาสติกใสที่ทนร้อนได้ ท่านคงต้องยอมเสี่ยงที่จะรับสารดังกล่าวบ้าง มันอาจไม่เลวร้ายนักเพราะเวลาล้างขวดนมด้วยการต้ม น้ำที่ใช้ต้มเราก็เททิ้ง แต่ยังไม่มีใครรับประกันว่าว่า มี Bisphenol A ติดอยู่ที่ผนังขวดหรือไม่ ดังนั้นน่าจะถึงเวลาหันกลับไปใช้ขวดนมแก้ว โดยยอมเสี่ยงกับการที่สาวใช้ทำขวดแตก เพราะท่านทำลูกเป็นอย่างเดียว แต่ทำงานบ้านไม่เป็น

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 102 เอาไงดีกับขวดพลาสติกใส

รศ. ดร.แก้ว กังสดาลอำไพสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2552 เวลาใกล้ 20.00 น ข่าวพยากรณ์อากาศของสถานีโทรทัศน์ Thai PBS ได้ให้ความรู้ในเรื่องที่นอกเหนือไปจากการพยากรณ์อากาศว่า การใช้ขวดพลาสติกใสที่เคยบรรจุน้ำดื่มซ้ำ อาจมีปัญหาการปนเปื้อนของสารพิษออกมา โดยเฉพาะเมื่อเอาขวดบรรจุน้ำนั้นไปแช่ในช่องแช่แข็งแล้ว สารพิษในกลุ่มไดออกซินจะหลุดออกมาปนเปื้อนในน้ำดื่ม ปัญหาดังกล่าวนี้เป็นที่น่าสนใจกันมานานแล้วว่า ข้อมูลดังกล่าวมาจากไหน มีความน่าเชื่อถือสักเท่าไร เพราะผู้เขียนเองก็เคยได้เห็นข้อมูลดังกล่าวใน Forward mail ตลอดจนในเว็บไซต์ของคนไทย ผู้ที่คิดว่าตนเองรู้รอบทิศ แค่เดาว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งนั้นก็เป็นจริงได้ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับสารพิษ ซึ่งก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ผู้ได้รับข้อมูลแล้วไม่ใช้หลักกาลามสูตร จนต้องไปใช้บริการล้างพิษในธุรกิจส่วนตัวของผู้ให้ข่าว ดังนั้นในฉลาดซื้อฉบับนี้ ผู้เขียนในฐานะที่เป็นผู้ใช้ขวดพลาสติกบรรจุน้ำดื่มซ้ำซาก จึงค่อนข้างกระตือรือล้นในการหาความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้ขวดน้ำพลาสติกซ้ำว่า ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพหรือไม่ เพื่อประกอบการตัดสินใจว่า ควรไปซื้อขวดขุ่นมาใส่น้ำแช่ตู้เย็นหรือไม่ เริ่มแรกผู้เขียนหาข้อมูลจาก Google ด้วยกุญแจคำว่า drinking water bottle plastic reuse ก็ได้ความรู้เอามาแบ่งปันกัน เว็บแรกคือ http://www.snopes.com ซึ่งเป็นผู้ให้แหล่งที่มาของ e-mail ยอดนิยมที่คนชอบส่งต่อ ซึ่งเขียนว่า “No water bottles in freezer. A dioxin chemical causes cancer, especially breast cancer. Dioxins are highly poisonous to the cells of our bodies. Don't freeze your plastic bottles with water in them as this releases dioxins from the plastic...... เป็นเรื่องหนึ่ง และอีกเรื่องเขียนว่า “My husband has a friend whose mother recently got diagnosed with breast cancer. The doctor told her women should not drink bottled water that has been left in a car. The doctor said that the heat and the plastic of the bottle have certain chemicals that can lead to breast cancer. So please be careful and do not drink that water bottle that has been left in a car and pass this on to all the women in your life.” ซึ่งเรื่องนี้ค่อนข้างน่ากลัว เนื่องจากพาดพิงถึงสารไดออกซิน (dioxin) ผู้เขียนขอให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ไดออกซิน ก่อนว่า เป็นกลุ่มสารเคมีที่มีความเป็นพิษสูงที่สุดที่มนุษย์เคยประดิษฐ์ขึ้นมา ครั้งแรกที่สารกลุ่มนี้เป็นข่าวนั้นนานกว่า 30 ปีแล้ว โดยเป็นสารปนเปื้อนที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจในการผลิตสารกำจัดวัชพืชสองชนิดที่มีชื่อเล่นเรียกง่าย ๆ ว่า 2,4-D และ 2,4,5-T สารพิษเหล่านี้ประเทศมหาอำนาจผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ในการโปรยจากเครื่องบินเพื่อทำให้ป่าทึบกลายเป็นป่าโปร่ง ทหารของประเทศมหาอำนาจจะได้ยิงทหารของประเทศด้อยอำนาจได้ง่าย ผลกรรมเกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย กล่าวคือ ทหารที่อยู่บนเครื่องบินที่โปรยสารพิษนี้ก็ได้รับสารไดออกซิน เนื่องจากลมที่ตีกลับไปมาระหว่างการโปรยสารพิษนี้ และเมื่อกลับประเทศแบบผู้ปราชัย ทหารผู้โชคร้ายเหล่านั้นก็เป็นมะเร็งกันเป็นระนาว ส่วนข้าศึกที่อยู่ภาคพื้นดินก็รับกรรมไปชั่วลูกชั่วหลาน เพราะสารพิษนี้ตกค้างบนพื้นดิน กลายเป็นสารปนเปื้อนเข้าสู่วงจรอาหาร ทำให้ลูกหลานของคนในประเทศผู้ชนะสงครามมีความพิการมากมาย สารกลุ่มไดออกซินนั้นเป็นทั้งสารก่อมะเร็งและสารก่อลูกวิรูป (สารที่ทำให้เด็กในท้องพิการ) ด้วยเหตุนี้พอมีข่าวว่ามีสารพิษนี้หลุดออกมาจากขวดพลาสติกใส ใครๆ ก็ต้องกลัว อย่างไรก็ดีในเรื่องของขวดพลาสติกใสใส่น้ำนั้น เรื่องของไดออกซินเป็นเพียงสิ่งที่เข้าใจกันเองว่ามี ทั้งที่ความจริงไม่ควรมี เพราะไดออกซินนั้นมักเกิดขึ้นในกระบวนการผลิตสารเคมีที่มีคลอรีนเข้าไปเกี่ยวข้อง ดังตัวอย่างการผลิตสารกำจัดวัชชพืช 2,4-D และ 2,4,5-T ซึ่งใช้คลอรีนเป็นองค์ประกอบสำคัญ ในขณะที่ขวดพลาสติกใสที่เรียกว่า ขวด PET นั้นไม่ได้มีคลอรีนร่วมในการผลิต โอกาสจะเกิดไดออกซินจึงไม่น่าเป็นไปได้ ผู้เขียนเข้าใจว่า บุคคลที่เริ่มต้นเขียนบทความเกี่ยวกับการปนเปื้อนของสารพิษในขวดพลาสติกใสนั้น เข้าใจคลาดเคลื่อนและเขียนชื่อสารพิษอีกชนิดหนึ่ง (ซึ่งจะกล่าวต่อไป) ผิดไปเป็นไดออกซินทั้งนี้เพราะอาจชินกับชื่อสารพิษไดออกซินซึ่งมีประวัติอันยาวนาน ตัวอย่างความเข้าใจผิดในเรื่องชื่อสารเคมีของผู้ที่ไม่ได้เรียนด้านวิทยาศาสตร์โดยตรง ที่มักพบได้ในอินเตอร์เน็ตคือ ความเข้าใจผิดๆ ถูกๆ เกี่ยวกับคำว่า ฝนเหลือง หรือ Yellow rain คนทั่วไปในปัจจุบันมักคิดว่า ฝนเหลืองนั้นมีสารพิษคือ ไดออกซิน เป็นองค์ประกอบ ทั้งที่ความจริงแล้วไดออกซินนั้นเป็นสารปนเปื้อนที่เกิดจากสารกำจัดวัชพืชดังกล่าวแล้วข้างต้น ซึ่งเวลานำไปใช้งานในสงครามนั้น สารผสมดังกล่าวถูกผลิตในรูปที่มีสีออกส้ม จึงเรียกว่า agent orange ไม่ใช่ Yellow rain ดังที่มีผู้กล่าวกันอย่างผิดๆ Yellow rain นั้นเป็นชื่อเรียกง่ายๆ ของสารพิษกลุ่ม Trichothecene ที่เรียกว่า T-2 Toxin ที่ได้จากเชื้อรากลุ่ม Fusarium, Myrothecium, Trichoderma, Trichothecium, Cephalosporium, Verticimonosporium และ Stachybotrys ซึ่งประเทศมหาอำนาจอีกประเทศได้นำสารนี้ไปใช้ในสงครามในเอเชียกลางเมื่อไม่นานมานี้ ข้อมูลเกี่ยวกับ Yellow rain หรือฝนเหลืองนั้น สามารถหาได้จาก www.wikipedia.org สารพิษ T-2 Toxin ในฝนเหลืองนี้ออกฤทธิ์ทำให้ผู้ได้รับมีอาการเหมือนโดนรังสีจากระเบิดปรมาณู เพราะสารพิษทำลายการสร้างเม็ดเลือดขาวของระบบภูมิต้านทานในไขกระดูก ดังนั้นโดยสรุปแล้ว การรายงานสารปนเปื้อนในรายการพยากรณ์อากาศที่กล่าวข้างต้นนั้นเป็นการเอาข้อมูลที่คลาดเคลื่อนมารายงาน ซึ่งอาจเป็นเพราะความไม่ถูกต้องของแหล่งข้อมูล โดยเฉพาะถ้าเป็นแหล่งข้อมูลในอินเตอรเน็ตซึ่งไม่สามรถควบคุมความถูกต้องได้ อย่างไรก็ดี ในข้อเท็จจริงแล้วไม่ได้หมายความว่าไม่มีสารพิษหลุดออกมาจากขวดพลาสติกใส แต่จะเป็นสารอะไรนั้นขอให้ท่านผู้อ่านติดตามดูข้อมูลที่ผู้เขียนจะนำมาเสนอให้อ่านเป็นความรู้ประกอบการตัดสินใจว่า จะใช้ขวดพลาสติกใสใส่น้ำซ้ำหรือไม่ ก่อนอื่นต้องทบทวนกับท่านผู้อ่านว่า ขวดพลาสติกใสนั้นชื่อทั่วไปที่เป็นภาษาอังกฤษเรียกว่า ขวด PET ขวดพลาสติก PET ผลิตจากสารตั้งต้นชื่อ ethylene terepthalate ด้วยกระบวนการทางเคมีทำให้ได้สารโพลีเมอร์ชื่อ polyethylene terepthalate ซึ่งเป็นพลาสติกที่ได้รับการยอมรับจากสำนักคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาและอีกหลายประเทศว่าสามารถใช้กับอาหารและยาได้ PET มีความสวยงาม และใสเหมือนขวดแก้ว หรืออาจจะเพิ่มสีสันให้กับขวดได้ตามความเหมาะสม มีน้ำหนักเบา และความเหนียวในเนื้อพลาสติกมีสูงจึงไม่เกิดความเสียหายในขณะขนส่ง จึงเหมาะอย่างยิ่งกับอุตสาหกรรมอาหาร ยา เคมี เครื่องดื่มและอื่นๆ ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาของสารที่อาจหลุดออกมาจากขวด PET นั้นควรเริ่มจากการเข้าไปดูได้ที่ www.wikipedia.org เช่นกัน ก่อนไปถึงเรื่องของสารเคมีที่อาจหลุดออกมาจากขวด PET เราคงต้องไปดูประเด็นว่า ทำไมเรื่องของไดออกซินในพลาสติกจึงถูกปล่อยออกมาทำให้มีความหวาดกลัวกันในหมู่ผู้บริโภค ในครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องนี้ ผู้เขียนพยายามเดาว่า เป็นนโยบายที่ผู้ผลิตขวดพยายามให้มีการใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง เพื่อที่บริษัทจะได้ขายขวดได้มากขึ้น แต่เมื่อประเมินผลได้ผลเสียแล้ว คิดว่าผู้ผลิตคงไม่เสี่ยงทุบหม้อข้าวตัวเองแน่ ดังนั้นจึงลองค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ก็ไปพบว่าเรื่องดังกล่าวนี้มีใน wikipedia เจ้าประจำ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ในปี 2001 มีนักศึกษาคนหนึ่งของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐไอดาโฮได้รายงานในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทรายงานว่า สาร DEHA อาจหลุดออกมาจาก ขวดพลาสติกชนิดที่เรียกว่า PET (polyethylene terephthalate) ซึ่งถูกใช้ซ้ำหรือได้รับความร้อน จากนั้นในปี 2003 ข้อมูลดังกล่าวก็ถูกส่งว่อนไปทั้วอินเตอร์เน็ต สารเคมีดังกล่าวที่นักศึกษาผู้นั้นกล่าวถึงคือ bis(2-ethylhexyl) adipate (หรือ di(2-ethylhexyl) adipate) แต่ข้อมูลที่ส่งในอินเตอร์เน็ตกลับไปเข้าใจผิดว่าเป็นสาร diethylhydroxylamine ซึ่งก็มีชื่อเช่นเดียวกันคือ DEHA ด้วยเหตุ สมาคมผู้ผลิตน้ำดื่มบรรจุขวดพลาสติกจึงไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ ต้องลุกขึ้นมาอัดมหาวิทยาลัยดังกล่าว โดยระบุว่าการใช้ขวด PET บรรจุน้ำดื่มนั้นได้ผ่านการรับรองจาก อย ของสหรัฐแล้ว และที่สำคัญสารดังกล่าวที่อาจหลุดออกมาจากขวด PET นั้นไม่ได้อยู่บัญชีสารก่อมะเร็งของ EPA (สำนักงานป้องกันสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา) และไม่ได้ถูกจัดเป็นสารก่อมะเร็งตามบัญชีของ IARC ซึ่งเป็นสำนักงานระหว่างชาติที่ดูแลงานวิจัยเกี่ยวกับสารก่อมะเร็ง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการพยายามเคลียร์กันแล้วแต่เรื่องที่เกิดในทางไม่ดีนั้น ไม่ว่าจริงหรือเท็จมักค้างคาใจ เหมือนใบสั่งการจอดรถผิดกฎหมาย ซึ่งถึงจ่ายค่าปรับแล้ว ผู้จ่ายก็ยังมักหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นคนเขียนใบสั่ง และมักรู้สึกไม่ดีตลอดไป ฉันใดก็ดี เรื่องสารพิษในขวดพลาสติกก็ยังพูดกันต่อๆ ไป แล้วมันก็กลายเป็นสารไดออกซินในที่สุด ทั้งที่ความจริงแล้วสารเคมีที่อาจก่อปัญหาสุขภาพของผู้บริโภคเนื่องจากการหลุดออกมาจากขวดพลาสติกคือ Bisphenol A ซึ่งขอยกไปคุยกันในฉบับหน้า สำหรับช่วงรอเดือนหน้าผู้เขียนได้จัดการกำจัดขวดพลาสติกใสในตู้เย็นให้หมดไป โดยได้ไปซื้อขวดบรรจุน้ำที่เป็นพลาสติกขุ่นที่กำหนดว่า ใช้ใส่น้ำดื่ม มาใช้ในการแช่น้ำในตู้เย็นแทน ท่านผู้อ่านจะทำตามหรือไม่ก็แล้วแต่ใจครับตอนนี้ตัวใครตัวมันก่อนแล้วกัน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 101 น้ำมันมะพร้าว….ประกายไฟในสมอง (ตอน 3)

รศ. ดร.แก้ว กังสดาลอำไพสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ฉบับนี้เป็นตอนจบที่เราจะยังวนเวียนอยู่ในหลุมน้ำมันมะพร้าวต่อไป เพื่อตรวจสอบว่าเกิดประกายไฟในสมองท่านผู้อ่านหรือยัง ในการตัดสินใจว่าควรกินน้ำมันนี้แบบผิดมนุษย์มนาต่อไปหรือไม่ จริงอยู่ที่ว่าคนบนเกาะนี้อ้วนเพราะเลิกกินน้ำมันมะพร้าวหันไปกินน้ำมันอื่นกันแต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าถ้าหากหันกลับมากินน้ำมันมะพร้าวและจะผอมได้ เพราะพฤติกรรมความเป็นอยู่แบบชาวเกาะได้เปลี่ยนไปเป็นแบบชาวผิวขาวเสียแล้ว ในเว็บ http://gotoknow.org/ มีบล็อกของ นพ. วัลลภ พรเรืองวงศ์ ซึ่งเป็นแพทย์ที่โรงพยาบาลห้างฉัตร จังหวัดลำปางได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวอย่างตรงไปตรงมาว่า โคเลสเตอรอลในร่างกายส่วนใหญ่ (70-80 %) สร้างขึ้นเองภายในร่างกาย ส่วนน้อยมาจากอาหาร โคเลสเตอรอลมีเฉพาะในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากพืชไม่มีโคเลสเตอรอลก็จริง ทว่า... ถ้าเรากินไขมันอิ่มตัวเข้าไปมากเกินจะทำให้ตับสร้างโคเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) เพิ่มขึ้น และอาจทำให้ตับสร้างโคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดลงได้ การควบคุมโคเลสเตอรอลด้วยอาหารจึงควรเน้นการลดไขมันอิ่มตัวเป็นอันดับแรก อันดับต่อไปให้ลดโคเลสเตอรอลจากสัตว์ เช่น อาหารทะเล(ยกเว้นปลาทะเล ปลิงทะเล) เครื่องในสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์มากเกิน เว็บ http://gotoknow.org/home นี้เป็นเว็บสุขภาพที่น่าสนใจเข้าไปชมครับ ผู้เขียนขอขยายความเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการกินอาหารที่ร่างกายนำไปใช้เป็นพลังงานหลัก คือ แป้งและไขมันต่อการสร้างโคเลสเตอรอลดังต่อไปนี้ เป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่า สารตั้งต้นของการสร้างโคเลสเตอรอลนั้นคือ อะเซ็ตติลโคเอนไซม์เอ (acetylcoenzyme A) ซึ่งเป็นตัวกลางที่เกิดระหว่างการเผาผลาญแป้งและการเผาผลาญกรดไขมัน ดังนั้นเมื่อใดที่เรากินแป้งมากไป หรือไขมันมากไป อะเซ็ตติลโคเอนไซม์เอที่เกิดขึ้นจะถูกนำไปใช้เป็นพลังงานไม่หมด ก็จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการสร้างโคเลสเตอรอลได้ ดังแผนภาพง่าย ๆ ดังนี้ รายละเอียดนั้นหาดูได้ในหนังสือชีวเคมีทั้งภาษาไทยและเทศ หรือจะเข้าไปดูที่ http://www.cholesterol-and-health.com/Synthesis-Of-Cholesterol.html ก็ย่อมได้ ความรู้ตรงนี้อธิบายความว่า การกล่าวว่าในน้ำมันมะพร้าวไม่มีโคเลสเตอรอลนั้น กินเข้าไปแล้วไม่อันตรายนั้น ไม่ถูกต้องแน่ เพราะพูดไม่จบ ดังที่ผู้ขายน้ำมันกล่าวว่า น้ำมันมะพร้าวกินเข้าไป กรดไขมันถูกใช้ง่ายมากนั้นถูกต้อง แต่ถ้ากินมากไป ต้องไม่ลืมว่า เมื่อร่างกายได้พลังงานพอแล้ว ตัวกลางระหว่างการใช้น้ำมันมะพร้าวในร่างกายคือ อะเซ็ตติลโคเอนไซม์เอ นั้นจะเหลือค้างจนถูกเอาไปสร้างโคเลสเตอรอลได้ ดังนั้นถ้าเราไม่ระวังให้ดี โอกาสที่ระดับโคเลสเตอรอลจะขึ้นสูงก็มีได้ดังนั้นสิ่งที่ถูกต้องคือ ไม่ว่าจะกินน้ำมันหรือไขมันอะไรก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่เกินความ ต้องการของร่างกาย อันตรายย่อมไม่เกิดขึ้น เพราะร่างกายสามารถใช้เป็นพลังงานได้ แต่เมื่อใดที่เหลือ ร่างกายจะนำไปสร้างสารชีวเคมีต่างๆ ที่ร่างกายต้องการเช่น โคเลสเตอรอล ฮอร์โมนเพศ ฯลฯข้อควรสังเกตคือ จากฉลาดซื้อฉบับที่แล้วผู้เขียนได้เกริ่นไว้ว่า กรดไขมันที่ได้จากไขมันนั้น ไม่ว่าจะอิ่มหรือไม่อิ่มตัว สามารถถูกนำไปใช้สร้างเป็นผนังเซลล์ได้ ดังนั้นถ้ากินไขมันไม่อิ่มตัวมากไป ผนังเซลล์จะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดออกซิเดชั่นได้อนุมูลอิสระ ดังนั้นผู้ที่กินน้ำมันพืชที่เป็นไขมันไม่อิ่มตัวสูงเช่น น้ำมันถั่ว น้ำมันงา น้ำมันรำข้าว น้ำมันข้าวโพด จำเป็นตัองกินสารต้านอนุมูลอิสระให้มากพอ ซึ่งไม่ยากที่จะหา เพราะมีในผักผลไม้สีเข้มต่างๆ ไม่จำเป็นต้องไปซื้ออาหารเสริมกินให้แพงและไม่อร่อย   ในเรื่องคุณสมบัติการป้องกันโรคหัวใจนั้น ผู้ขายน้ำมันมักบอกว่า “คนส่วนมากเข้าใจว่าน้ำมันมะพร้าวมีอันตรายต่อหัวใจ ทั้งที่ความจริงเป็นไปในทางตรงกันข้าม เพราะน้ำมันชนิดนี้มี lauric acid ซึ่งป้องกันปัญหาของหัวใจรวมทั้งปัญหาเกี่ยวกับปริมาณโคเลสเตอรอลและปัญหา ความดันโลหิตสูง ไขมันอิ่มตัวในน้ำมันมะพร้าวนั้นไม่ได้เป็นปัญหาร้ายแรงและไม่เป็นปัจจัยการเพิ่มไขมันไม่ดีคือ LDL นอกจากนี้น้ำมันมะพร้าวยังลดอาการตีบตันของหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ” คำกล่าวของคนขายน้ำมันนั้นบอกเป็นนัยๆ ว่า ตำราและอายุรแพทย์รวมทั้งนักโภชนาการดัง ๆ ของโลกนั้นเข้าใจผิด เพราะไม่ว่าเว็บไหน ตำราเล่มไหน ก็บอกว่า ให้เลี่ยงไขมันอิ่มตัว ใครที่เชื่อคนขายน้ำมัน ก็ตัวใครตัวมันแล้วกันนะครับคนขายน้ำมันมักกล่าวต่ออีกว่า “ในการลดน้ำหนักนั้น น้ำมันมะพร้าวมีประโยชน์อย่างมากเพราะมีทั้งกรดไขมันสายสั้นและสายปานกลางที่ช่วยลดน้ำหนักตัว เนื่องจากย่อยง่ายและช่วยการทำงานของต่อมไทรอยด์ และระบบเอนไซม์ นอกจากนี้น้ำมันมะพร้าวยังเพิ่มการทำงานของร่างกายโดยลดความเครียดของตับอ่อนทำให้การเผาผลาญพลังงานสูงขึ้น ซึ่งช่วยคนอ้วนให้ลดน้ำหนักได้ ดังที่ได้เห็นจากประชาชนในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรซึ่งกินน้ำมันมะพร้าวเป็นหลักไม่อ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน” ท่านผู้อ่านได้เห็นข้อความดังนี้แล้วต้องเป็นคนหูหนัก พยายามพิจารณาหรือหาข้อมูลอื่นมาประกอบ ทั้งนี้เพราะคนที่อยู่แถบเส้นศูนย์สูตรซึ่งกินน้ำมันมะพร้าวนั้นมักเป็นประเทศยากจน ต้องใช้แรงงานในการดำเนินชีวิต ดังนั้นโอกาสอ้วนจึงน้อยกว่าคนในประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งใช้แรงงานประจำวันน้อยจะไปไหนที่ก็ใช้รถ ขอเสนอว่า ถ้าท่านผู้อ่านเป็นคนที่ใช้แรงน้อยในแต่ละวัน ลองกินน้ำมันมะพร้าวแบบไม่บันยะบันยังแล้วไม่อ้วนให้เห็นภายใน 1 ปี ท่านอาจถูกนำไปออกงานวัดภูเขาทองได้เลย เพราะกลายเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ไปแล้ว ทั้งนี้เพราะมีข้อมูลเกี่ยวกับชาวเกาะทะเลใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิกในเว็บของ BBC ว่า ประเทศด้อยพัฒนาเหล่านี้ได้ปรับเปลี่ยนให้การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรม ที่นำรายได้เข้าประเทศเป็นสำคัญ และบางเกาะยังมีทรัพยากรธรรมชาติเช่น น้ำมันดิบ จึงทำให้วัฒนธรรมการกินและความเป็นอยู่เปลี่ยนไป ประเทศที่เป็นเกาะเหล่านี้บางประเทศจึงเป็น the fattest nation on earth. เช่น ประเทศ Nauru ซึ่งประชากรที่เป็นผู้ใหญ่อ้วนถึงร้อยละ 94

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 100 น้ำมันมะพร้าว….ประกายไฟในสมอง (ตอน 2)

ของฝากจากอินเตอร์เน็ตรศ. ดร.แก้ว กังสดาลอำไพสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลถ้าท่านผู้อ่านเข้าไปในเว็บขายน้ำมันมะพร้าวของคนไทย จะพบว่ามีนักวิชาการหลายคน ออกมากล่าวถึงข้อดีของน้ำมันมะพร้าวหลายประการ ซึ่งถ้ามองด้วยความเป็นธรรมแล้ว หลายๆ ประเด็นน่าจะมีความเป็นจริงอยู่ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า หาคำยืนยันในข้อมูลดังกล่าวที่ตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการได้ยาก ตัวอย่างเช่น มีผู้กล่าวว่า “จากการศึกษาเรื่องนี้มา 30 ปี พบว่า แม้น้ำมันมะพร้าวจะประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัว แต่มีกรดลอริกสูง และวิตามินอีที่มีอานุภาพสูง จึงมีบทบาทอย่างมากต่อสุขภาพ และความงามของมนุษย์ ไม่ว่าจะใช้บริโภคเป็นอาหาร หรือเป็นอาหารที่เป็นยา และการใช้ภายนอกโดยการถูตัวหรือ ชโลมผม เนื่องจากมีแคลอรีต่ำจึงให้พลังงานน้อยกว่าน้ำมันพืชอื่น ๆ มีโคเลสเตอรอลน้อยที่สุด กระตุ้นขบวนการเผาผลาญในร่างกาย ป้องกันการสะสมไขมันทำให้ไม่อ้วน มีสารปฏิชีวนะช่วยต่อต้านเชื้อโรค มีวิตามินอีช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ไม่หืนเมื่อเก็บไว้นานๆ เพิ่มคุณค่าอาหารโดยเพิ่มการดูดซึมวิตามิน เกลือแร่ และกรดอะมิโน ทำให้อาหารมีรสชาติอร่อย แม้น้ำมันมะพร้าวจะมีฤทธิ์เป็นยา แต่ไม่ใช่ยา ดังนั้นไม่ควรบริโภคเกินความจำเป็น อัตราที่แนะนำคือไม่เกินวันละ 3.5 ช้อนโต๊ะต่อวัน ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลควรส่งเสริม และทำให้น้ำมันมะพร้าวเป็นสินค้าโอทอปเพราะมีประโยชน์” ประเด็นที่ได้ขีดเส้นใต้นั้น อ่านดูแล้ว น่าจะผิดแน่ ๆ เพราะในตำราชีวเคมีไม่ว่าเล่มไหนก็บอกว่า น้ำมันนั้น 1 กรัม ให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี ไม่เห็นมีเล่มไหน (ที่ใช้ในมหาวิทยาลัยที่เป็นที่ยอมรับว่ามีระดับ) กล่าวยกเว้นน้ำมันมะพร้าวในเรื่องการให้พลังงานเลย อีกทั้งการปรากฏตัวของโคเลสเตอรอลนั้นก็มีเฉพาะในไขมันที่มาจากสัตว์ เพียงแต่ว่าการกินไขมันมากเกินความต้องการของร่างกายนั้น ส่งผลให้ร่างกายนำไขมันที่เกินไปสร้างเป็นไขมันอื่นๆ รวมทั้งโคเลสเตอรอลได้ ดังนั้นไม่ว่ากินไขมันจากอะไรก็ตาม อ้วนได้ทั้งนั้น แล้วเพราะเหตุใดนักวิชาเกินเหล่านี้จึงยอมทำเรื่องผิดให้เหมือนถูกนี้ คำตอบน่าจะเป็นเพราะ เขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับชีวเคมีดีหรือเพราะว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นของถูก สามารถขายแพงได้กำไรดี อาจกล่าวได้ว่านักวิชาเกินพวกนี้ชอบเขียนความรู้ทางวิชาการไม่ครบ ซึ่งเป็นไปตามหลักการโฆษณาขายสินค้าที่มักบอกแต่สิ่งดีๆ ให้ผู้บริโภคสบายใจ สิ่งไหนไม่ดีเก็บไว้ให้คนขายเป็นทุกข์ฝ่ายเดียว ช่างใจบุญกระไรเช่นนี้ ผู้ขายน้ำมันมะพร้าวมักกล่าวว่า “ประโยชน์ต่อสุขภาพของน้ำมันมะพร้าวได้แก่ บำรุงผม รักษาผิวกาย ลดความเครียด รักษาระดับของโคเลสเตอรอลในร่างกาย ลดน้ำหนัก เพิ่มระดับภูมิต้านทาน ช่วยในการย่อยอาหารและการใช้สารอาหารให้เป็นประโยชน์ ลดปัญหาที่เกิดกับไต โรคหัวใจ ความดับโลหิตสูง เบาหวาน รักษาโรคเอดส์และมะเร็ง รักษาฟัน และบำรุงกระดูกให้แข็งแรง เหตุที่น้ำมันมะพร้าวดีได้ถึงเพียงนี้เป็นเพราะมันมี lauric acid, capric acid และ caprylic acid พร้อมทั้งมีสารต้านจุลชีพ สารต้านอนุมูลอิสระ สารต้านเชื้อรา สารต้านแบคทีเรีย เป็นต้น”ร่างกายมนุษย์สามารถเปลี่ยน lauric acid ไปเป็น monolaurin จึงมีผู้เชื่อว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้นี้สามารถต่อสู้กับไวรัสหลายชนิดเช่น herpes, influenza, cytomegalo virus, ตลอดจนสู้ HIV และสามารถสู้แบคทีเรียตัวร้ายหลายชนิดเช่น listeria monocytogenes และ heliobacter pylori แพทย์ ด้านอายุรเวชของอินเดีย (Ayuraveda) จึงเลือกน้ำมันมะพร้าวเป็นตัวยาสำคัญในการรักษาโรค อย่างไรก็ดี กลไกการออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์เหล่านี้ยังไม่เป็นที่ทราบดีนัก ความจริงที่ท่านผู้อ่านควรรู้ก็คือ กรดไขมันทุกชนิดก็ว่าได้ มีความสามารถในการป้องกันการเจริญของจุลชีพ ตัวอย่างเช่น กรดไขมันที่ชื่อ ซอร์บิก ได้ถูกนำมาใช้เป็นสารต้านเชื้อราในอาหาร อีกทั้งอาหารที่ผ่านการทอดและอมไขมันไว้ เช่น ไก่ทอด ทอดมันปลากราย หรือแม้แต่โรตี ก็สามารถเก็บไว้ได้นานกว่าอาหารต้ม เพราะมันมีความชื้นต่ำและมีไขมันเป็นตัวป้องกันการเจริญของแบคทีเรีย คนขายน้ำมันมักกล่าวว่า “นักกรีฑาและนักเพาะกายนิยมบริโภคน้ำมันมะพร้าวเช่นเดียวกับผู้ที่อยู่ระหว่างการจำกัดอาหาร ด้วยเหตุผลที่ว่า น้ำมันมะพร้าวมีพลังงานต่ำกว่าน้ำมันชนิดอื่น องค์ประกอบนั้นง่ายต่อการเปลี่ยนไปเป็นพลังงานทำให้ไม่เกิดการสะสมเป็นไขมันในหัวใจและเส้นเลือด น้ำมันมะพร้าวช่วยในการเร่งพลังงานออกมาใช้ในนักกีฬา และช่วยให้นักกีฬามีความอึดในเกมส์” จึงต้องขอย้ำว่า คนขายน้ำมันนั้นพยายามไม่บอกว่า ถ้ากินน้ำมันมากเกินพอ ส่วนเกินก็จะถูกนำไปสร้างเป็นไขมันใหม่ในร่างกายทำให้อ้วนได้ องค์ประกอบของน้ำมันมะพร้าวนั้นกว่าร้อยละ 90 เป็นไขมันอิ่มตัว มีไขมันไม่อิ่มตัวเล็กน้อย กรดไขมันอิ่มตัวนั้นส่วนใหญ่มีขนาดไม่ใหญ่นัก เรียกว่า medium chain triglycerides ซึ่งมีจำนวนคาร์บอน 6-12 ตัว โดยราวร้อยละ 40 เป็น lauric acid ตามด้วย capric acid, caprylic acid, myristic acid and palmitic ส่วนที่เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวคือ linoleic acid และมี กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวคือ oleic acid การมี medium chain triglycerides นั้นทำให้วงการอาหารการแพทย์เห็นประโยชน์ สกัดกรดไขมันกลุ่มนี้ไปเป็นแหล่งพลังงานของอาหารการแพทย์สำหรับผู้ป่วย ซึ่งต้องการแหล่งพลังงานที่สลายให้พลังงานอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยในการฟื้นตัวของผู้ป่วยเท่านั้น ส่วนผู้ (ปรกติ) ดีทั้งหลายกินก็ได้ ไม่กินก็ได้ น้ำมันมะพร้าวมีสารต้านอนุมูลอิสระคือ polyphenol เช่น gallic acid ซึ่งอาจทำหน้าที่เป็นกลิ่นและรสของน้ำมันมะพร้าว นอกจากนี้ยังมีอนุพันธุ์ของกรดไขมันอีกหลายชนิด รวมทั้งมีวิตามินอีด้วย ประเด็นดังกล่าวนี้ทำให้ คนขายน้ำมันมักอ้างว่า น้ำมันมะพร้าวป้องกันการแก่ก่อนวัย เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งความจริงแล้ว ปริมาณมันไม่ได้มากเหมือนกับการไปรับ ประทานอาหารอื่น ที่เป็นแหล่งที่แท้จริงของวิตามินอี ขอให้ท่านผู้อ่านดูจากตารางต่อไปนี้แล้วกันแหล่งที่มา http://whqlibdoc.who.int/publications/2004/9241546123_chap5.pdf จากตารางดังกล่าวเห็นได้ว่า ปริมาณวิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวเทียบกับพืชที่เป็นอาหารอื่นๆ แล้ว ปริมาณวิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวนั้น จิ๊บ ๆ เมื่อเทียบกับพืชอื่น ดังนั้นท่านผู้อ่านคงเห็นแล้วว่า ความหวังว่าจะได้อะไรจากน้ำมันมะพร้าวนั้น ก็คงเป็นแค่ “ชีวิตที่มีหวัง” เท่านั้น ฉบับหน้าผู้เขียนจะยังขอนำความหวัง (ลมๆ แล้งๆ ) เกี่ยวกับน้ำจุดตะเกียงนี้มาให้ท่านผู้อ่านฟังต่อ เป็นฉบับที่สาม

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 99 น้ำมันมะพร้าว….ประกายไฟในสมอง

ของฝากจากอินเตอร์เน็ตรศ. ดร.แก้ว กังสดาลอำไพสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล   ช่วงเวลา 2-3 ปีมานี้ ท่านผู้อ่านที่ติดตามข่าวด้านสุขภาพโดยเฉพาะเรื่องโภชนาการหลายท่านคงเคยมีคำถามในใจอยู่คำถามหนึ่งที่ไม่เคยมีนักวิชาการออกมาตอบฟันธงเสียทีว่า virgin coconut oil หรือ น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์นั้นมีประโยชน์จริงอย่างที่ผู้ขายโฆษณาหรือไม่   สำหรับผู้เขียนแล้ว ได้พยายามใช้หลักการเกี่ยวกับ กาลามสูตร ที่พระพุทธเจ้าสอนมาพิจารณาข้อมูลที่ไหลบ่าเข้ามาเกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าว เนื่องจากเรื่องดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้ ปัญญา ค่อนข้างมากในการตัดสินใจว่าจะเชื่อหรือไม่ และที่สำคัญคือ จะควักกระเป๋าสตางค์ซื้อหรือไม่ (หลักการเกี่ยวกับกาลามสูตรหาได้ไม่ยากจาก google)   ปัญญาที่ท่านผู้อ่านต้องมีก่อนอื่นคือ รู้จักว่าไขมันหรือน้ำมัน คืออะไร จากนั้นต้องคำนึงเสมอว่า ผลของไขมันในร่างกายมนุษย์คือ อะไร ในบทความฉบับนี้จะให้ข้อมูลซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ท่านผู้อ่านพิจารณาสังเคราะห์ขึ้นเพื่อเป็นปัญญาใช้พิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวว่า ท่านควรตัดสินใจอย่างไรกับไขมันนี้ก่อนอื่นผู้เขียนขอยกข้อความในเว็บโฆษณา ขายน้ำมันมะพร้าวเว็บหนึ่งคือ http://www.aja.org.br/oleos/coconut_oil_good_saturated_fat.pdf ว่า “We believe the real culprits in heart disease are more likely to be obscenely elevated intakes of human-made trans fatty acids from hydrogenated oils, polyunsaturated fats high in omega-6 fatty acids (such as those in corn oil and prepared foods), and overconsumption of carbohydrates, especially refined carbohydrates found in pastries, candy and other processed foods.” กล่าวโดยสรุปแล้ว ผู้ประสงค์จะออกความเห็นแต่ไม่ปรากฏนามนี้ พยายามบอกว่า ตัวการทำให้เกิดโรคหัวใจนั้นคือ การกินอาหารมีกรดไขมันทรานซ์ (ในไขมันเช่น เนยเทียม) จากกรดไขมันพวกโอเมกา 6 เช่นน้ำมันข้าวโพด และจากอาหารสำเร็จรูปต่าง ๆ ตลอดจนการกินอาหารแป้งมากไป แต่ไม่ได้แตะว่าไขมันอิ่มตัวซึ่งมีในไขมันทุกแหล่งก็เป็นปัญหา เพราะถ้าแตะเมื่อไร น้ำมันมะพร้าวก็คงเข้าไปอยู่ในตะเกียงหมดแน่ ประเด็นที่สำคัญคือ ข้อมูลนี้ครบหรือไม่ ท่านผู้อ่านต้องอย่าลืมว่า ข้อมูลในเว็บนั้น ส่วนใหญ่คือ การโฆษณา และท่านต้องมีปัญญาที่จะทราบว่า การโฆษณานั้นส่วนใหญ่เป็นข้อมูลข้างเดียวคือ ประโยชน์ ดังนั้นผู้เขียนจะขอคุยเรื่องที่คนทำโฆษณาไม่คุย เพื่อให้ข้อมูลแก่ท่านผู้อ่านที่อาจกำลังจะกรอกน้ำมันมะพร้าวเข้าปาก ตามคำเชิญชวนของผู้ค้าทั้งหลาย ได้ลองคิดดูก่อนตัดสินใจ ข้อมูลแรกที่ต้องทราบคือ ไขมันจากอาหารนั้นร่างกายมนุษย์ต้องการนำเข้าสู่ร่างกายเพื่อเป็นพลังงาน เพื่อนำไปสร้างสารชีวเคมีที่ร่างกายจำเป็นต้องมี เช่น ฮอร์โมนต่าง ๆ และเพื่อเอาไปเป็นองค์ประกอบของเซลล์ที่ร่างกายสร้างขึ้นใหม่ ไขมันหรือน้ำมันนั้น กินน้อยไม่ดี กินมากไม่ดี กินพอดีๆ ถึงจะดี เพราะมนุษย์ต้องการไขมันเป็นตัวพาเอาวิตามิน เอ อี อี เค ตลอดจนวิตามินดีในอาหารเข้าสู่ระบบของร่างกาย การขาดไขมันหรือได้รับน้อยไป ส่งให้ผลให้ร่างกายของเราขาดวิตามินเหล่านี้ ปัจจุบันนี้ ในทางวิทยาศาสตร์สุขภาพเราทราบแล้วว่า การขาดวิตามินเอและอีนั้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง เพราะวิตามินทั้งสองเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างไรก็ตามวิตามินทั้งสองถ้าได้มากไปก็ก่อปัญหากับตับได้เช่นกัน เพราะจะไปสะสมที่ตับ ทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากตับนั้นปรกติแล้วเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักมาก จึงพยายามไม่สะสมอะไร เมื่อใดที่ตับเริ่มมีการสะสมสารอาหาร เมื่อนั้นจะหมายความว่า ตับเริ่มมีปัญหา นักวิทยาศาสตร์พบว่า สารพิษหลายชนิดที่ให้แก่สัตว์ทดลองก่อให้ตับเกิดอาการที่เรียกว่า fatty liver คือ อาการที่มีไขมันอยู่มากในเซลล์ตับจนมองเห็นเป็นไขสีเหลืองที่ตับเมื่อเปิดหน้าท้องสัตว์ทดลอง ความหมายของ fatty liver คือ ตับทำงานต่ำลง ทั้งนี้เพราะตับเป็นอวัยวะหลักในการเผาผลาญไขมันไปเป็นพลังงาน หรือไปเป็นสารตั้งต้นของสารชีวเคมีอื่นในร่างกาย ดังนั้นการคั่งของไขมัน จึงเป็นหลักฐานทางวิชาการที่บอกว่า การทำงานของตับต่ำลง ท่านผู้อ่านที่มีความสนใจในสุขภาพคงมีความรู้แล้วว่า ไขมันนั้นแบ่งง่าย ๆ ได้หลายวิธี เช่น การแบ่งเป็นไขมันจำเป็น ซึ่งร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องกินอย่างเดียว และไขมันไม่จำเป็น ซึ่งสร้างได้เองในร่างกาย นักเคมียังแบ่งไขมันออกเป็น ไขมันอิ่มตัว และไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งทั้งสองชนิดนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว นอกจากถูกนำไปใช้เป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกายและสร้างสารชีวเคมีที่มีหน้าที่ในร่างกายแล้ว ร่างกายมนุษย์และสัตว์ยังเอาไขมันไปเป็นองค์ประกอบของเซลล์ที่สร้างใหม่ด้วย ดังนั้นถ้าท่านกินไขมันไม่อิ่มตัว เซลล์ใหม่ของร่างกายก็จะนำเอาไขมันไม่อิ่มตัวไปสร้างเป็นผนังเซลล์ด้วย แต่ถ้ากินไขมันอิ่มตัว ร่างกายท่านก็จะมีไขมันอิ่มตัวเป็นผนังเซลล์ ซึ่งทั้งสองกรณีมีข้อดีและเสียต่างกัน เมื่อผู้เขียนเริ่มทำงานใหม่ ๆ คือในปี พ.ศ. 2525 ได้พบข่าวว่าประเทศทางยุโรปได้รณรงค์ให้กินไขมันไม่อิ่มตัวสูงชนิดที่เรียกว่า polyunsaturated fatty acid ซึ่งเรียกย่อ ๆ ให้จำง่ายว่า PUFA เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจตีบตันเนื่องจากไขมันไปสะสม เพราะ PUFA จะไปเพิ่ม HDL ซึ่งเป็นไขมันดีในระบบเลือด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบได้ แต่นักวิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยนั้นได้มองข้ามประเด็นที่ว่า ไขมันไม่อิ่มตัวสูงนั้นมีความเสถียรหรือความอยู่ตัวต่ำ ถูกออกซิไดซ์ได้อนุมูลอิสระง่าย โดยเฉพาะเมื่อเข้าไปเป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์  ท่านผู้อ่านที่ไม่ชินกับวิชา cell biology คงไม่ทราบว่า ได้มีการตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับเซลล์ว่า ผนังเซลล์ในร่างกายนั้นมีความต่อเนื่องกัน กล่าวคือ มีเพียงผนังเดียวที่เป็นทั้งผนังเซลล์และเป็นผนังของออร์กาเนลอื่น ๆ ในร่างกาย ซึ่งรวมถึงผนังนิวเคลียสด้วย (แต่ไม่รวมถึงไมโตคอนเดรีย ซึ่งเป็นส่วนของเซลล์ที่มีความพิเศษหลายอย่างในตัวเอง) ทั้งนี้เพราะขณะที่เซลล์อยู่ในสถานภาพปรกติ องค์ประกอบในเซลล์คือ นิวเคลียสและเอ็นโดพลาสมิกเร็ทติคิวรัม ต่างก็มีผนังสองชั้นเหมือนผนังเซลล์ ซึ่งเข้าใจกันว่าอยู่ในสภาพของหนังยางที่วางขดอยู่ ไม่ได้คลายตัวเต็มที่ แต่ระหว่างช่วงการแบ่งเซลล์จากหนึ่งเป็นสองนั้น ผนังขององค์ประกอบดังกล่าวได้หายไป ซึ่งเชื่อกันว่าผนังนั้นไม่ได้หายไปไหน แต่ได้ยืดตัวออกในลักษณะหนังยางที่คลายตัวแล้ว ความเชื่อดังกล่าวนี้ ช่วยอธิบายปัญหาที่เกิดจากการบริโภคกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงมากเกินไป ว่าเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดมะเร็งในชาวยุโรปที่เพิ่มการบริโภค PUFA เพราะกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงนั้นเป็นแหล่งก่อให้เกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ดังนั้นการบริโภคไขมันประเภทนี้ต้องประกอบไปกับการบริโภควิตามินหรือสารต้านอนุมูลอิสระมากขึ้นด้วย ความจริงอีกประการที่ท่านผู้อ่านควรทราบคือ ไขมันนั้นแบ่งได้อีกลักษณะหนึ่งคือ เป็นไขมันที่ลักษณะโมเลกุลเป็นเส้นซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ด้วยระบบเผาผลาญทางชีวเคมีของร่างกาย และไขมันอีกประเภทหนึ่งมีองค์ประกอบเป็นวง (ring) หลายวงซึ่งตัวอย่างที่ง่ายที่สุดที่ท่านผู้อ่านเข้าใจได้คือ โคเลสเตอรอล ไขมันประเภทที่เป็นวงเหล่านี้ ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์อื่นที่ไม่ใช่พลังงาน แต่ร่างกายเรามีความมหัศจรรย์ประการหนึ่งคือ เมื่อเราได้ไขมันที่เป็นเส้น เช่น กรดไขมันในไขมันพืช ไขมันหมู ไขมันวัว เข้าสู่ร่างกายมากๆ ร่างกายใช้เป็นพลังงานไม่หมด ตัวกลางที่เกิดระหว่างการเผาผลาญจะถูกนำไปสร้างเป็นไขมันที่มีองค์ประกอบเป็นวงได้ เช่น ฮอร์โมนเพศต่าง ๆ โคเลสเตอรอล เป็นต้น ดังนั้นท่านผู้อ่านคงไม่ประหลาดใจว่า ทำไมเวลาผู้กำกับภาพยนตร์จึงมักเลือก ชายสูงอายุ ร่างอ้วน ผมบาง เล่นเป็นตัวเจ้าสัวมักมากในกามคุณ เพราะความรู้ทางชีวเคมีทำให้สามารถอธิบายได้ว่า คนที่อ้วนมักกินอาหารมีไขมันสูง จนเหลือไปสร้างฮอร์โมนเพศให้สูงด้วย ดังนั้นในกรณีที่คนอ้วนเป็นคนดี ไม่มักมากในกามคุณ ก็น่าจะสรรเสริญเป็นอย่างยิ่ง ว่ามีความข่มใจในเรื่องเพศสูงมาก เพราะกำหนัดนั้นคุมยาก (หลักการนี้อธิบายได้ทั้งสามเพศเลยทีเดียว ไม่เฉพาะในผู้ชาย) ต้องใช้วัคซีนที่เป็นพระธรรมเท่านั้น เรื่องนี้ยาว ในฉบับนี้จึงอธิบายได้แค่พื้นฐานเกี่ยวกับไขมัน ด้วยประสงค์จะนำทางไปสู่การใช้ปัญญาวิเคราะห์ว่า ควรเอาน้ำมันมะพร้าวเข้าสู่ร่างกาย หรือไปจุดตะเกียงดี ที่สำคัญก่อนที่ท่านจะไปอ่านเรื่องนี้ต่อในฉบับหน้า ต้องขอฟันทั้งเสาธง (แค่ธงอย่างเดียวไม่พอ) เลยว่า อะไรก็ตาม กินมากไปอันตรายทั้งนั้น ไม่ว่าของที่กินนั้นจะเป็นอาหารกาย หรืออาหารสมอง โดยเฉพาะประเภทหลังนั้นได้กำลังทำให้ชาติเรากำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่เรียกว่า ชาติวิบัติแล้ว เพราะกินอาหารสมองผิดสำแดงจนกัดกันเองเกือบทั้งชาติ

อ่านเพิ่มเติม >