ฉบับที่ 211 รู้เท่าทันน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น

      น้ำมันมะพร้าวเป็นที่รู้จักกันมานานในหมู่คนไทยและต่างประเทศ แต่น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น หรือบีบเย็น หรือบริสุทธิ์นั้น เพิ่งเป็นที่รู้จักกันไม่กี่ปีมานี้ และกลายเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพที่นิยมอย่างแพร่หลาย แต่ก็มีข้อถกเถียงกันอย่างมากว่า ไม่เป็นอันตราย ลดความอ้วน ลดไขมันได้จริงหรือ เรามารู้เท่าทันกันเถอะน้ำมันมะพร้าวบีบเย็นหรือบริสุทธิ์คืออะไร   น้ำมันมะพร้าวบีบเย็นเป็นน้ำมันที่สกัดจากเนื้อมะพร้าวโดยไม่ใช้ความร้อน เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลกเมื่อเทียบกับน้ำมันมะพร้าวธรรมดา กระบวนการผลิตห้ามการสัมผัสหรือถูกความร้อนเลย วัตถุดิบโดยเฉพาะเนื้อมะพร้าวหรือน้ำกะทิต้องไม่โดนแสงแดดหรือความร้อน   น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์จึงมีรสชาติและกลิ่นดี เนื่องจากสกัดจากเนื้อมะพร้าวโดยตรงและไม่โดนความร้อน อุดมไปด้วยสารต่างๆ ตามธรรมชาติ ได้แก่ วิตามินอี และแร่ธาตุต่างๆ ที่ไม่สูญหายไปจากความร้อน การฟอกขาว การกรอง นอกจากนี้ น้ำมันมะพร้าวยังเป็นกรดไขมันที่มีห่วงโซ่ขนาดกลาง การโฆษณาสรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวบีบเย็น   ในเว็บไซต์ทั้งไทยและต่างประเทศต่างโฆษณาสรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์อย่างมากมาย รักษาโรคต่างๆ จำนวนมาก  เช่น ช่วยให้สุขภาพดี หุ่นดี ช่วยระบบภูมิคุ้มกัน หัวใจแข็งแรง เพิ่มพลัง สดชื่น ไทรอยด์แข็งแรง ผิวดูอ่อนเยาว์ ผมเงางาม ฆ่าเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา เพิ่มการสร้างอินซูลิน ช่วยระบบขับถ่าย ลดไขมันในเลือด รักษาอาการปวดกระดูก เป็นต้นน้ำมันมะพร้าวบีบเย็นมีสรรพคุณจริงตามอ้างหรือไม่    ประเด็นเรื่องน้ำมันมะพร้าวบีบเย็นเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในต่างประเทศ เนื่องจากดาราฮอลลีวูดดังๆ หลายคนออกมาเชิญชวนให้กินน้ำมันมะพร้าวบีบเย็น ทำให้สื่อทางทีวีและวิชาการต้องออกมาเล่นเรื่องเหล่านี้ ตั้งแต่ BBC, The Guardian เป็นต้น     เหตุที่มีข้อถกเถียงกันมากเป็นเพราะ น้ำมันมะพร้าวเป็นไขมันอิ่มตัว ซึ่งไขมันอิ่มตัวจะทำให้โคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น เกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ แต่เนื่องจากน้ำมันมะร้าวบริสุทธิ์เป็นไขมันที่มีห่วงโซ่ขนาดกลาง ซึ่งจะถูกย่อยและใช้งานแตกต่างจากไขมันอิ่มตัวทั่วไป จึงมีความเชื่อว่าไม่เพิ่มโคเลสเตอรอล แถมยังช่วยลดน้ำหนักอีกด้วย ในปี ค.ศ. 2003 มีการทำวิเคราะห์อภิมาณบทความกว่า 60 ชิ้น พบว่า กรดลอริคในน้ำมันมะพร้าวเพิ่ม HDL-C ซึ่งเป็นไขมันดี แต่ก็เพิ่ม LDL-C ซึ่งเป็นไขมันอันตราย เช่นเดียวกัน      ห้องสมุดคอเครน ทำการทบทวนวรรณกรรม 15 รายงาน ครอบคลุมผู้เข้าร่วมการวิจัยกว่า 59,000 ราย ในปีค.ศ. 2014 พบว่า เมื่อลดการกินไขมันอิ่มตัวลง จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจหลอดเลือดลงร้อยละ 17     สรุปได้ว่า น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์จะเพิ่มไขมันในร่างกายทั้งไขมันดีและไขมันอันตราย จึงไม่สามารถลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ไม่ได้เป็นอาหารวิเศษตามที่ดาราโฆษณา แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวร้ายเสียทีเดียว เพราะน้ำมันมะพร้าวมีความแตกต่างจากไขมันอิ่มตัวทั่วไป ยังต้องมีการศึกษาวิจัยขนาดใหญ่ และระยะยาวเพื่อหาความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องนี้เราไม่ควรให้ความสำคัญกับการกินน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ น้ำมันมะกอก และน้ำมันต่างๆ เพียงเพื่อให้สุขภาพดี รักษาโรคต่างๆ  เราควรให้ความสำคัญกับการกินอาหารที่ไม่ผ่านการขัดสีหรือแปรรูป วิธีการปรุงอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ลดน้ำตาล ไขมันทรานส์ ไขมันอิ่มตัว อาหารแปรรูป  การใช้วิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพนับเป็นยาที่ดีที่สุด 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 210 รู้เท่าทันเห็ดหลินจือ

    ในฉบับก่อน ได้กล่าวถึงเห็ดถั่งเช่าว่าเป็น “ไวอากร้าแห่งเทือกเขาหิมาลัย” ฉบับนี้ขอนำเรื่องเห็ดหลินจือมาเล่าให้รู้จัก เพราะคนไทยจะคุ้นเคยกับเห็ดหลินจือมากกว่าเห็ดถั่งเช่า จนกระทั่งมีการเพาะปลูกเห็ดหลินจือในประเทศไทยอย่างกว้างขวางพอสมควร เรามารู้เท่าทันเห็ดหลินจือกันเถอะ  เห็ดหลินจือคืออะไร                เห็ดหลินจือมีประวัติการใช้มายาวนานในประเทศจีน ญี่ปุ่น และเอเชียเพื่อให้มีสุขภาพดีและอายุยืนยาว เห็ดหลินจือเป็นเห็ดขนาดใหญ่ สีเข้ม ผิวนอกเป็นเงางาม ในบ้านเราก็มีเห็ดหลินจือเกิดในธรรมชาติ แต่คนละสายพันธุ์กับจีน        รศ.ดร. นพมาศ สุนทรเจริญนนท์  คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับเห็ดหลินจือว่า เห็ดหลินจือ หรือ เห็ดหมื่นปี  จัดเป็นราชาแห่งสมุนไพรจีน ใช้มานานกว่า 4,000 ปี เป็นยาอายุวัฒนะและรักษาโรคต่างๆ  ในเภสัชตำรับของจีนระบุสรรพคุณเป็น  ยาบำรุงร่างกาย บรรเทาอาการอ่อนเพลีย แก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง รักษาโรคหัวใจ และช่วยให้นอนหลับสรรพคุณของเห็ดหลินจือ   เห็ดหลินจือมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยามากมาย เช่น ฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ฤทธิ์ต้านเนื้องอกและมะเร็ง ฤทธิ์ป้องกันเส้นประสาทเสื่อม ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ฤทธิ์ลดไขมันในเลือด ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ต้านการอักเสบ เป็นต้น     สารสำคัญในเห็ดหลินจือ คือ สารกลุ่มโพลีแซคคาไรด์ ไตรเทอร์พีน สเตอรอล กรดไขมัน โปรตีน เป็นต้น สารสำคัญดังกล่าวจะพบในส่วนสปอร์มากกว่าส่วนดอกเห็ด สปอร์ที่กะเทาะผนังหุ้มมีฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและต้านมะเร็งได้ดีกว่าสปอร์ที่ไม่กะเทาะผนังหุ้ม และส่วนดอก (จึงมีผลิตภัณฑ์จากสปอร์เห็ดหลินจือ ออกมาจำหน่าย และมีราคาสูงกว่าเนื้อเห็ดหรือสารสกัดจากเนื้อเห็ด ซึ่งต้องเป็นสปอร์ที่ผ่านการกระเทาะเปลือกหุ้มเท่านั้น จึงจะมีประสิทธิผล)  มีการศึกษาเกี่ยวกับพิษวิทยาของเห็ดหลินจือทั้งพิษแบบเฉียบพลันและพิษแบบเรื้อรัง พบว่า มีความเป็นพิษต่ำมาก และมีความปลอดภัยสำหรับการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน การทบทวนงานวิจัยทางการแพทย์        เนื่องจากเห็ดหลินจือได้รับความนิยมและใช้ในการแพทย์ทางเลือกของประเทศต่างๆ มากขึ้น ห้องสมุดคอเครนจึงได้ทำการทบทวนงานวิจัยทางการแพทย์เกี่ยวกับการใช้เห็ดหลินในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจที่มีมาจนถึง 14 มิถุนายน ค.ศ. 2014  พบว่า                มีงานวิจัยทางการแพทย์ 5 รายงาน เปรียบเทียบการใช้เห็ดหลินจือกับยาหลอกในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานประเภท 2 จำนวน 398 ราย ระยะการศึกษา 12-16 สัปดาห์  รายงานการศึกษาไม่ค่อยมีคุณภาพ จึงมีเพียง 3 รายงาน จำนวนผู้ป่วย 157 ราย ที่นำมาวิเคราะห์ผลได้   ผลการศึกษา แสดงว่า เห็ดหลินจือไม่มีประสิทธิผลในการลดน้ำตาลในเลือด ความดันเลือด หรือคอเลสเตอรอล แต่เนื่องจากยังมีรายงานการศึกษาที่น้อย จึงไม่สามารถสนับสนุนประสิทธิผลของเห็ดหลินจือในการรักษาและลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ป่วยเบาหวานประเภท 2         นอกจากนี้ ห้องสมุดคอเครนยังทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับเห็ดหลินจือกับการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง พบว่า ยังไม่มีหลักฐานจากการศึกษาที่จะยืนยันประสิทธิผลว่าสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งมีชีวิตยืนยาวขึ้น เพราะงานวิจัยยังมีจำนวนน้อย แต่ก็พบว่า ผู้ป่วยมะเร็งที่กินเห็ดหลินจือมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่ากลุ่มควบคุม    สรุปว่า ยังไม่มีผลการวิจัยมากพอที่จะยืนยันประสิทธิผลของเห็ดหลินจือในการรักษามะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจในขณะนี้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 209 รู้เท่าทันเห็ดถั่งเช่า

ในทีวีและสื่อออนไลน์มีการโฆษณา “เห็ดถั่งเช่า” กันมากมาย อ้างว่ามีสรรพคุณหลายอย่างตั้งแต่ ลดน้ำตาลในเลือด ชะลอวัย เพิ่มโอกาสการมีบุตร ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง บำรุงตับและไต บำรุงปอดและระบบทางเดินหายใจ ทำให้จิตใจสงบ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ที่สำคัญคือ เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ  ถั่งเช่ามีสรรพคุณมากมายขนาดนั้นหรือไม่ เรามารู้เท่าทันกันเถอะถั่งเช่าคืออะไรสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ข้อมูลเรื่องถั่งเช่าอย่างละเอียดว่า  “ถั่งเช่า” หรือที่รู้จักกันว่า “ไวอากร้าแห่งเทือกเขาหิมาลัย” แปลเป็นไทยว่า “ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า” หรือที่เรียกกันว่า “หญ้าหนอน”  ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นตัวหนอน คือ ตัวหนอนของผีเสื้อ (Hepialus armoricanus Oberthiir)และบนตัวหนอนมีเห็ดชนิดหนึ่ง (Cordyceps sinensis (Berk.) Saec.)  หนอนชนิดนี้ในฤดูหนาวจะฝังตัวจำศีลอยู่ใต้ดินภูเขาหิมะ เมื่อน้ำแข็งเริ่มละลาย สปอร์เห็ดจะพัดไปกับน้ำแข็งที่ละลาย แล้วไปตกที่พื้นดิน จากนั้นตัวหนอนเหล่านี้ก็จะกินสปอร์ และเมื่อฤดูร้อน สปอร์ก็เริ่มเจริญเติบโตเป็นเส้นใยโดยอาศัยการดูดสารอาหารและแร่ธาตุจากตัวหนอนนั้น เส้นใยงอกออกจากท้องของตัวหนอน และงอกออกจากปากของมัน เห็ดเหล่านี้ต้องการแสงอาทิตย์จึงงอกขึ้นสู่พื้นดิน รูปลักษณะภายนอกคล้ายไม้กระบอก ส่วนตัวหนอนเองก็จะค่อยๆ ตายไป อยู่ในลักษณะของหนอนตายซาก ฉะนั้น “ถั่งเช่า” ก็คือ ตัวหนอนและเห็ดที่แห้ง แล้วนั่นเอง ถั่งเช่ามีสารอะไรบ้างถั่งเช่าอุดมไปด้วยสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ ได้แก่ โพลีแซคคาไรด์ นิวคลีโอไทด์, cordycepic acid, กรดอะมิโน และสเตอรอล ยังมีสารอาหารสำคัญอื่นๆ เช่น โปรตีน วิตามินต่างๆ (E, K, B1, B2 และ B12) และแร่ธาตุต่าง ๆ (โพแทสเซียม โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี และซิลิเนียม)การใช้เห็ดถั่งเช่าเพื่อสุขภาพและบำบัดโรคมีการใช้ถั่งเช่าในการดูแลสุขภาพและบำบัดรักษาโรคต่างๆ ตั้งแต่ การไอ หลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคไต การขับถ่ายปัสสาวะผิดปกติเวลากลางคืน การเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ซีด หัวใจเต้นผิดปกติ ไขมันในเลือดสูง มึนงง มีเสียงในหู น้ำหนักลด และการติดยาเสพติด  นอกจากนี้ยังใช้ในการเพิ่มระบบภูมิต้านทานของร่างกาย เสริมสร้างพลังของนักกีฬา ชะลอการชรา ช่วยให้อายุยืนยาว เป็นต้น  ถั่งเช่ารักษาโรคต่างๆ ได้จริงหรือไม่เมื่อทบทวนวรรณกรรมการศึกษาเกี่ยวกับถั่งเช่าในการบำบัดรักษาโรคต่างๆ พบว่ามีรายงานการศึกษาเรื่องถั่งเช่าตีพิมพ์ในวารสารวิชาการจำนวนมาก ทั้งในวารสาร Pubmed และห้องสมุดคอเครน มีการรายงานว่า ถั่งเช่ามีผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีผลต่อสมรรถภาพทางเพศทั้งชายและหญิง ทำให้ครีอะตินีน (ของเสียในเลือดเพื่อวัดค่าการทำงานของไต) ลดน้อยลง  โปรตีนในปัสสาวะน้อยลง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อสรุปในตอนท้ายว่า คุณภาพของหลักฐานนั้นต่ำเกินไป มีผู้ป่วยจำนวนน้อยเกินไป ควรต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมสำนักงานข้อมูลสมุนไพร มหิดล ก็ยังสรุปว่า ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะการศึกษาทางคลินิกยังมีน้อย ฉะนั้นการใช้ถั่งเช่าจะต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะถั่งเช่ามีราคาสูงมาก สรุป  แม้ว่าถั่งเช่าจะเป็นภูมิปัญญาการแพทย์แผนจีนที่เก่าแก่ แต่ข้อมูลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ยังไม่ยืนยันอย่างหนักแน่นว่ามีสรรพคุณต่างๆ จริง 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 208 รู้เท่าทัน ไขมันทรานส์

การบริโภคไขมันทรานส์ เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ ร้อยละ 21  และเสียชีวิตก่อนวัยอันควรร้อยละ 28  ไขมันทรานส์ยังนำไปสู่การแข็งตัวและการอุดตันของหลอดเลือด ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดจากไขมันทรานส์กว่า 500,000 รายในแต่ละปีนับเป็นความกล้าหาญขององค์การอนามัยโลกอีกครั้งที่ได้ประกาศเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2561 ว่า จะขจัดไขมันทรานส์ให้หมดจากระบบการผลิตอาหารของโลก และได้กำหนดยุทธศาสตร์ทีละขั้นตอนเพื่อให้บรรลุผลในปี พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023)  การขจัดไขมันทรานส์นี้เป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องสุขภาพและช่วยชีวิตผู้คน เรามารู้เท่าทันไขมันทรานส์กันเถอะไขมันทรานส์ คืออะไรไขมันได้กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของผู้รักสุขภาพ ความจริงไขมันเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกายและช่วยในการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค และแคโรทีนอยด์  เมื่อกินไขมันเท่าที่จำเป็นจะช่วยให้เกิดการเจริญเติบโตที่เหมาะสมและช่วยรักษาสุขภาพ  แต่ทุกวันนี้เรากินไขมันมากเกินไป ออกกำลังกายน้อย ทำให้เกิดไขมันส่วนเกินไปสะสมในร่างกาย ไขมันในอาหารมี 3 ชนิดหลัก ได้แก่ ไขมันอิ่มตัว ไขมันไม่อิ่มตัว และ ไขมันทรานส์ไขมันทรานส์ ถูกใช้ในการผลิตอาหารในต้นคริสศตวรรษที่ 20 เพื่อใช้แทนเนย และเป็นที่นิยมอย่างมากในช่วงคริสต์ศักราช 1950-1970  ไขมันทรานส์เกิดจากกระบวนการผลิตโดยทำให้น้ำมันพืชแข็งตัวด้วยการเติมไฮโดรเจน (Partially Hydrogenated Oils, PHOs) ทำให้อาหารที่ใช้ไขมันทรานส์นั้นยืดอายุ (การขาย) ได้นาน เพิ่มความคงตัวของรสชาติ ที่สำคัญคือ มีราคาถูกกว่าไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว  อาหารหลายชนิดที่ใช้ไขมันทรานส์ ได้แก่ เนยขาว เนยเทียมหรือมาการีน คุกกี้ อาหารว่าง อาหารทอด และขนมอบ เป็นต้นไขมันทรานส์มีโทษต่อร่างกายอย่างไรไขมันทรานส์มีผลเหมือนไขมันอิ่มตัวและโคเลสเตอรอลทำให้ระดับ LDL (โคเลสเตอรอลชนิดอันตราย) ในเลือดสูงขึ้น เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ  นอกจากนี้ ไขมันทรานส์ยังลดระดับ HDL (โคเลสเตอรอลชนิดดี) ในเลือดอีกด้วย ทำให้เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจมากขึ้นองค์การอนามัยโลกได้ระบุว่า การบริโภคไขมันทรานส์ เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ ร้อยละ 21  และเสียชีวิตก่อนวัยอันควรร้อยละ 28  ไขมันทรานส์ยังนำไปสู่การแข็งตัวและการอุดตันของหลอดเลือด ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดจากไขมันทรานส์กว่า 500,000 รายในแต่ละปี การลดการบริโภคไขมันทรานส์จะช่วยลดการเกิดหัวใจวายและการเสียชีวิตได้องค์การอนามัยโลกใช้ปฏิบัติการ REPLACE   องค์การอนามัยโลกเรียกร้องให้รัฐบาลของทุกประเทศใช้ปฏิบัติการ REPLACE เพื่อขจัดไขมันทรานส์ออกจากอุตสาหกรรมอาหาร  Dr Tedros Adhanom Ghebreyesus ผู้อำนวยการคนใหม่ขององค์การอนามัยโลก กล่าวว่า “การใช้ REPLACE จะช่วยในการขจัดไขมันทรานส์ และจะเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของโลกในการต่อสู้เอาชนะกับโรคหลอดเลือดและหัวใจ”REPLACE ได้แก่Review  ทบทวนแหล่งอุตสาหกรรมการผลิตไขมันทรานส์ และฉากทัศน์ในการเปลี่ยนแปลงนโยบายPromote  ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมการผลิตไขมันทรานส์ใช้ไขมันและน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพแทนไขมันทรานส์Legislate  การออกกฎหมายเพื่อขจัดไขมันทรานส์จากการผลิตแบบอุตสาหกรรมAssess  การประเมินและกำกับดูแลการใช้ไขมันทรานส์ในการผลิตอาหารและการเปลี่ยนแปลงการบริโภคไขมันทรานส์ของประชากรCreate การสร้างความตระหนักถึงผลกระทบในทางลบของไขมันทรานส์ในผู้กำหนดนโยบาย ผู้ผลิต ผู้ขาย และสังคม Enforce  การบังคับใช้กฎหมายและระเบียบต่างๆขณะนี้หลายประเทศได้ขจัดการใช้ไขมันทรานส์ จากอุตสาหกรรมเกือบสิ้นเชิง เดนมาร์กเป็นประเทศแรกที่จำกัดการใช้ไขมันทรานส์จากอุตสาหกรรม ทำให้ปริมาณของไขมันทรานส์ในอาหารลดลงอย่างชัดเจน และอัตราการตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับประเทศ OECD (สมาชิกประเทศยุโรปตะวันตก 19 ประเทศ)ประเทศไทยต้องมีความตื่นตัวเรื่องนี้ และร่วมกันขจัดการใช้ไขมันทรานส์ในอุตสาหกรรมอาหารโดยเร็ว เพื่อให้ลูกหลานของเราไม่ต้องเสี่ยงกับโรคหัวใจและหลอดเลือด

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 207 รู้เท่าทันยาลดไขมัน

มีความกังวลเกี่ยวกับการใช้ยาลดไขมันโดยเฉพาะกลุ่มยาสแตตินว่า จะก่อให้เกิดอาการข้างเคียงจากยา ซึ่งมีอันตรายกว่าไขมันในเลือดสูง ทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับ สมองเสื่อม มะเร็ง เป็นต้น  ความวิตกกังวลเหล่านี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ เป็นมากแค่ใด เรามารู้เท่าทันกันเถอะยาลดไขมันคืออะไรยาลดไขมันที่รู้จักกันในชื่อ สแตติน (statins) นั้นคือ Hydroxymethyl glutaryl coenzyme A reductase (HMG-CoA) inhibitors เป็นกลุ่มยาลดไขมันที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลกมานานกว่า 20 ปี ในท้องตลาดมียาสแตติน 6 ชนิดได้แก่ pitavastatin, atorvastatin, rosuvastatin, pravastatin, simvastatin และ fluvastatin  ยา pitavastatin เป็นยาที่นิยมใช้ในผู้ป่วยเอเชีย  มีหลักฐานชัดเจนว่า การรักษาด้วยยาสแตตินมีผลในการลดการเสียชีวิตและการเจ็บป่วยจากโรคหัวใจและหลอดเลือดมีหลักฐานชัดเจนว่า การรักษาด้วยยาสแตตินมีผลในการลดการเสียชีวิตและการเจ็บป่วยจากโรคหัวใจและหลอดเลือดยาสแตตินจะยับยั้ง HMG-CoA ซึ่งไปลดการสร้างโคเลสเตอรอลในร่างกาย ยาสแตตินจะช่วยในการลดระดับของไขมัน LDL-C (low density lipoprotein cholesterol) ในเลือด ร้อยละ 20-50 และลดไตรกลีเซอไรด์ ร้อยละ 10-20  และช่วยเพิ่ม HDL-C (high density lipoprotein cholesterol) ร้อยละ 5-10 ผู้อ่านคงทราบกันดีว่า ไขมัน LDL และ ไตรกลีเซอไรด์นั้นเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดและหัวใจ ส่วนไขมัน  HDL นั้นเป็นไขมันที่ดี ช่วยป้องกันหรือยับยั้งไม่ให้ไขมันที่ไม่ดีนั้นเกิดผลเสียต่อร่างกายข้อดีของการใช้ยาสแตตินมีหลักฐานบ่งชี้ว่า การรักษาด้วยยาสแตตินนั้นมีผลดีต่อหัวใจและหลอดเลือด ในบทความทบทวนของคอเครน ฉบับเดือนมกราคม ค.ศ. 2013 จากการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม 18 การทดลอง จากผู้เข้าร่วมการวิจัย 56,934 ราย พบว่า การรักษาด้วยสแตตินลดการตายลงจากทุกสาเหตุ ลดอาการของโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ทำให้เสียชีวิตและไม่เสียชีวิต และลดอุบัติการของโรคหลอดเลือดในสมองที่ทำให้เสียชีวิตและไม่เสียชีวิตนอกจากนี้ The Cholesterol Treatment Trialists’ (CTT) Collaboration in 2010 ได้ทำการวิเคราะห์อภิมาณ (meta-analysis) การทดลอง 26 รายงาน มีผู้เข้าร่วมการวิจัยกว่า 170,000 ราย ระยะเวลาการศึกษาเฉลี่ยเกือบ 5 ปี ก็พบว่า มีการลดลงโดยรวมของการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุร้อยละ 10 ต่อการลดลงของ LDL-C ทุก 1.0 mmol/L รวมทั้งการลดลงของอาการผิดปกติของหลอดเลือดสำคัญอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่ หัวใจขาดเลือด และหลอดเลือดในสมองตีบ  ด้วยหลักฐานดังกล่าว ทำให้สมาคมหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา และสมาคมหัวใจวิทยาแห่งสหภาพยุโรปได้กำหนดให้การรักษาด้วยสแตตินเป็นแนวทางมาตรฐานในการรักษาผลข้างเคียงของยาลดไขมันยาลดไขมันมีผลข้างเคียงต่อกล้ามเนื้อ อาการปวดกล้ามเนื้อเป็นอาการที่พบมากที่สุด ประมาณร้อยละ 9.4 ของผู้ใช้ยา ยาลดไขมันอาจทำให้เอนไซม์ของตับสูงขึ้น ร้อยละ 1-3 ของผู้ป่วย แต่จะพบในช่วงสามเดือนแรกเท่านั้น และไม่มีผลต่อการทำงานของตับในระยะยาวยาลดไขมันอาจมีผลต่อการเป็นเบาหวาน ทั้งนี้ขึ้นกับปริมาณของยาที่ใช้ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยเบาหวานจะได้รับประโยชน์จากยาสแตตินในการป้องกันความเสี่ยงจากโรคหัวใจและหลอดเลือดยาลดไขมันไม่มีผลในการทำให้เกิดมะเร็งเพิ่มขึ้น และไม่ทำให้เกิดอาการสมองเสื่อมในการใช้ระยะยาว แต่กลับพบว่าช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นอัลไซเมอร์โดยสรุป ยาลดไขมันมีประโยชน์ ป้องกันการเสียชีวิตและเจ็บป่วยจากโรคหัวใจและหลอดเลือด อาจมีผลข้างเคียงบ้าง แต่โทษที่ไม่สามารถลดไขมันในเลือดได้นั้นจะเป็นอันตรายมากกว่าผลข้างเคียงจากยา  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 206 รู้เท่าทันแผ่นแปะเท้าดูดสารพิษ

โลกโซเชียลกำลังโฆษณาขายแผ่นแปะเท้าดูดสารพิษกันอย่างครึกโครม ทั้งในอาลีบาบา อเมซอน และอื่นๆ โดยอ้างว่าสามารถดูดสารพิษออกจากร่างกายเมื่อใช้แผ่นแปะเท้าเวลานอน แผ่นแปะเท้าสามารถขจัดสารพิษออกจากร่างกายได้จริงหรือไม่ เรามารู้เท่าทันกันเถอะ แผ่นแปะเท้าดูดสารพิษคืออะไร“เมื่อติดแผ่นแปะเท้า........ที่ฝ่าเท้าเวลานอน จะช่วยขับโลหะหนัก สารพิษ พยาธิ สารเคมี และเซลลูไลต์ออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยรักษา อาการซึมเศร้า อ่อนล้า เบาหวาน ข้ออักเสบ ความดันเลือดสูง และระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ”นี่เป็นตัวอย่างโฆษณาขายผลิตภัณฑ์แผ่นแปะเท้าดูดสารพิษยี่ห้อที่ดังที่สุดยี่ห้อหนึ่งแผ่นแปะเท้าดูดสารพิษนั้นถูกโฆษณาขายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพื่อสุขภาพและขับสารพิษออกจากร่างกาย  ใช้แปะที่ฝ่าเท้าเวลานอน เมื่อตื่นนอนจะเห็นสีดำๆ คล้ำๆ ที่แผ่นแปะเท้า ซึ่งเป็นสารพิษที่ถูกขับออกมาจากร่างกาย แผ่นแปะเท้าดูดสารพิษ มีส่วนผสมสารประกอบต่างๆ ตั้งแต่ น้ำส้มควันไม้จากไม้ไผ่ หินแร่ ยูคาลิปตัส ไคโตซาน (เกล็ดปลา เปลือกกุ้ง) นอกจากนี้ยังมี สมุนไพร วิตามิน แร่ธาตุ เกลือทะเล วิตามินซี ไอออนลบ เส้นใยจากผัก เป็นต้นแผ่นแปะเท้าดูดพิษออกจากร่างกายได้อย่างไรแผ่นแปะเท้าดูดสารพิษเป็นความเชื่อแบบการแพทย์ตะวันออก มีการผลิตแผ่นแปะเท้าหลากหลายชนิดตามความเชื่อ ส่วนผสม และวัสดุต่างๆ  แผ่นแปะเท้าจึงมีคุณสมบัติและผลข้างเคียงแตกต่างกันไป เช่น การนวดกดจุดสะท้อน (reflexology) แผ่นแปะเท้าซึ่งไปกดจุดที่ฝ่าเท้า  อิออนลบซึ่งไปเพิ่มการไหลเวียนของเลือดที่เท้า แผ่นแปะเท้าจากถ่าน แผ่นแปะเท้าจากน้ำส้มควันไม้จากไม้ไผ่ และแผ่นแปะเท้าจากสมุนไพรต่างๆส่วนผสมต่างๆ ในแผ่นแปะเท้าจะดูดและจับกับสารพิษในร่างกาย ขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดมาที่เท้า สารพิษจะถูกเลือดพามาที่เท้า และถูกดูดซึมไปที่แผ่นแปะเท้าแผ่นแปะเท้าดูดพิษได้จริงหรือเรื่องนี้ได้รับการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในหลายๆ ประเทศ ด้วยความไม่เชื่อว่า แผ่นแปะเท้าจะดูดสารพิษได้จริง ความจริงแผ่นแปะเท้ามีหลักการเดียวกับการขับสารพิษด้วยการแช่เท้าในน้ำที่มีแร่ธาตุ และปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ลงไปในน้ำ น้ำที่มีไอออนลบจะดึงสารพิษในร่างกายและขับออกมาทางเท้า ทำให้น้ำที่แช่เท้าเปลี่ยนเป็นสี มีงานวิจัยที่พยายามไขข้อข้องใจเรื่องนี้มากพอควร มีงานวิจัยหนึ่ง พบว่า แร่ธาตุในน้ำ รวมทั้งวัสดุที่เป็นโลหะของเครื่องแช่เท้า เมื่อมีปฏิกิริยาทางเคมีและฟิสิกส์ จะทำให้น้ำเปลี่ยนสี ไม่ว่าจะแช่เท้าหรือไม่ก็ตาม  เมื่อตรวจปัสสาวะเพื่อดูการขับสารพิษต่างๆ ทางไต และการตรวจสารพิษที่สะสมในเส้นผม ไม่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลง การวิจัยครั้งนี้ ยืนยันว่า การขับสารพิษในร่างกายด้วยเท้านั้น ไม่เป็นเรื่องจริง ทำไมแผ่นแปะเท้าดูดสารพิษจึงเปลี่ยนเป็นสีดำแผ่นแปะเท้าที่เปลี่ยนเป็นสีดำเกิดจากสารพิษที่ดูดออกมาจริงหรือเพียงแค่เอาน้ำดื่มที่สะอาดเทลงที่แผ่นแปะเท้า ก็จะเปลี่ยนสีได้เช่นเดียวกัน นักวิจัยเอาแผ่นแปะเท้าที่เปลี่ยนสีไปหาสารพิษ สารหนูและโลหะหนักในห้องปฏิบัติการ ก็ไม่พบอะไร  เมื่อตรวจแผ่นแปะก่อนและหลังการใช้ ก็ไม่พบความแตกต่าง   สรุป  แผ่นแปะเท้าดูดสารพิษนั้น ไม่สามารถขับสารพิษในร่างกายได้จริงตามโฆษณา

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 205 รู้เท่าทันสุขภาพของโลก

การเห็นภาพรวมของสุขภาพของคนในโลก หรือของโลกจะทำให้เราเห็นภาวะสุขภาพของเพื่อนร่วมโลก เห็นแนวโน้มของภาวะสุขภาพโดยรวม และช่วยในการจัดลำดับความสำคัญของปัญหาสุขภาพของแต่ละประเทศ  เรามารู้เท่าทันสุขภาพของโลกที่สวยงามใบนี้เถอะ องค์การอนามัยโลกได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับภาวะของโรค การสูญเสียภาวะสุขภาพจากสาเหตุความเจ็บป่วยและการตายทั่วโลกและภูมิภาคต่างๆ ครอบคลุมโรคต่างๆ กว่า 130 โรคและการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นในโลก  และได้จัดทำรายงาน ข้อเท็จจริง 10 เรื่องเกี่ยวกับภาวะสุขภาพทั่วโลก (พฤษภาคม ค.ศ. 2017)  ดังนี้1. อายุคาดเฉลี่ยของคนในโลกเพิ่มขึ้น 5 ปี ระหว่างปีค.ศ. 2000-2015  อายุขัยเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดเป็น 71.4 ปีในปีค.ศ. 2015 (73.8 สำหรับผู้หญิง และ 69.1 สำหรับผู้ชาย)2. อายุคาดเฉลี่ยที่มีสุขภาพดีแรกเกิด (healthy life expectancy) ในปีค.ศ. 2015 คือ 61.3 ปี  นั่นหมายความว่า จำนวนปีที่เราจะมีภาวะสุขภาพที่ไม่ดีจากความเจ็บป่วยและทุพพลภาพเฉลี่ยคือ 8.3 ปี3. ปีพ.ศ. 2015 ในแต่ละวัน เด็กจำนวนมากกว่า 16,000 ราย ที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบ เสียชีวิต โดยเฉพาะเด็กในครอบครัวที่ยากจน ชนบทที่ขาดแคลน และขาดการศึกษา4. ในจำนวนเด็กที่เสียชีวิตในข้อ 3 นั้น ร้อยละ 45 เกิดขึ้นในช่วง 4 สัปดาห์หลังคลอด เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้กำหนดให้มีการลดการเสียชีวิตของเด็กแรกเกิดให้เหลือไม่เกิดร้อยละ 125. ประมาณการว่า ทั่วโลก มีเด็กตายแรกคลอด 2.6 ล้านคน ในปีค.ศ. 2015 ซึ่งส่วนใหญ่นั้น จะไม่มีการแจ้ง ทำให้ไม่มีข้อมูลที่แท้จริงว่ามีจำนวนเด็กที่ตายจากแรกคลอดเท่าไหร่ และไม่มีการชันสูตรหรือหาสาเหตุการตายที่แท้จริง6. ในปีค.ศ. 2015 การเสียชีวิต 1.3 ล้านรายเนื่องจากตับอักเสบ  ประมาณการว่า มีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง 257 ล้านราย และไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง 71 ล้านราย การวินิจฉัยโรคและการรักษายังเป็นส่วนน้อยของผู้ติดเชื้อ7. โรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นสาเหตุการตายร้อยละ 37 ในประเทศที่ยากจน ในปีค.ศ. 2015 เพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 23 ในปีค.ศ. 2000  โรคไม่ติดต่อเรื้อรังสำคัญ 4 โรคได้แก่ โรคหัวใจหลอดเลือด มะเร็ง เบาหวาน และโรคปอดเรื้อรัง  8. โรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมองคร่าชีวิตผู้คนกว่า 15 ล้านคนในปีค.ศ. 2015  สาเหตุนี้เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนทั่วโลก ร้อยละ 31  การเลิกบุหรี่ ลดเกลือในอาหาร กินผัก ผลไม้ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การลด เลิกแอลกอฮอล์ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้เป็นอย่างดี9. เบาหวานเป็นสาเหตุนำ 1 ใน 10 อันดับของการตายและพิการของผู้คนทั่วโลก10. อุบัติเหตุเป็นสาเหตุการตายเกือบ 5 ล้านรายในปีค.ศ. 2015  ในประเทศที่ยากจนหรือเศรษฐกิจไม่ดีจะมีอัตราการตายจากการจราจรสูงกว่าประเทศที่มีเศรษฐกิจดีเมื่อดูภาวะสุขภาพของโลกแล้ว ภาวะสุขภาพของคนไทยก็ดีกว่าในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ดูแลสุขภาพของประชาชน 47 ล้านคน ไม่ว่ายากดีมีจน  แต่ก็มีการตายจากอุบัติเหตุการจราจรที่สูงติดอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งมั่นใจว่า สามารถแก้ไขได้ถ้าร่วมใจกันจริงๆ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉลาดซื้อ ฉบับที่ 204 รู้เท่าทันกบฏผีบุญทางการแพทย์ (ตอนที่ 2)

เรื่องราวของหมอเทวดานั้น ไม่ได้มีเฉพาะในสังคมไทยเท่านั้น ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกล้วนมีปรากฏการณ์หมอเทวดาเกิดขึ้นทั่วไป  เราควรมีทัศนะต่อเรื่องนี้อย่างไร เราควรศึกษาทัศนะต่อเรื่องนี้ของประเทศต่างๆ เพื่อที่จะได้มองเห็นแนวทางในการจัดการเรื่องภูมิปัญญาดั้งเดิมในการดูแลสุขภาพที่ดีองค์การอนามัยโลกเห็นคุณค่าของการแพทย์ดั้งเดิมองค์การอนามัยโลกซึ่งเป็นองค์การด้านสุขภาพระหว่างประเทศ ได้ประกาศสนับสนุนการนำการแพทย์ดั้งเดิมเข้ามาในระบบสุขภาพของประเทศต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพ  ด้วยการช่วยเหลือประเทศสมาชิกให้พัฒนานโยบายระดับชาติ จัดทำแนวเวชปฏิบัติ มาตรฐานสากล ระเบียบวิจัย และกระตุ้นให้มีการใช้การแพทย์ดั้งเดิมอย่างสมเหตุสมผล ฯลฯองค์การอนามัยโลกได้จัดทำยุทธศาสตร์การแพทย์ดั้งเดิมขององค์การอนามัยโลก พ.ศ. 2557-2566 โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ • ให้ใช้ประโยชน์จากศักยภาพของการแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์เสริม เพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ความอยู่ดีมีสุข บริการสุขภาพที่เน้นคนเป็นศูนย์กลาง และระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า• ส่งเสริมการใช้การแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์เสริม อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิผล โดยอาศัยการควบคุมและกำกับดูแล การศึกษาวิจัย และการบูรณาการผลิตภัณฑ์ เวชปฏิบัติ และผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์เสริม เข้าในระบบสุขภาพอย่างเหมาะสมนี่เป็นทิศทางใหญ่ของโลกในการยอมรับคุณค่าของการแพทย์ดั้งเดิม และควรสนับสนุนให้เกิดการใช้การส่งเสริมการใช้ที่ดี ต้อง ได้ผลจริง ปลอดภัย เข้าถึงได้   การส่งเสริมการใช้การแพทย์ดั้งเดิมที่ดีนั้น ต้องคำนึงถึง ได้ผลจริง  ต้องเชื่อได้ว่าการรักษาด้วยวิธีการนั้นได้ประสิทธิผลจริง ไม่ใช่เชื่อแบบงมงาย ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เชื่อถือได้  ที่สำคัญต้องมีที่มาที่ไปของภูมิปัญญานั้น มาจากภูมิปัญญาดั้งเดิมจริงหรือไม่ต้องปลอดภัย  การรักษานั้นนอกจากได้ผลจริงแล้ว ต้องปลอดภัยต่อผู้ป่วยด้วย  หรือแม้จะยังไม่รู้ว่าได้ผลจริงหรือไม่ ก็ต้องมีความปลอดภัยเสียก่อน  ดังนั้น การรักษาที่ต้องกระทำต่อร่างกายและจิตใจผู้ป่วยจึงต้องพิจารณาประเด็นนี้การเข้าถึง  การรักษาที่ผูกขาด ปิดลับข้อมูล(การใช้ยา) และผู้ป่วยส่วนใหญ่หรือทั่วไป ไม่สามารถเข้าถึงหมอหรือการรักษาได้โดยสะดวก นั้นจะเป็นช่องทางให้เกิดจากหลอกลวง หาประโยชน์ และไม่เกิดประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่วิธีการรักษาที่ควรสนับสนุนการใช้อย่างสมเหตุสมผล  การใช้ภูมิปัญญานั้นๆ ต้องเหมาะสม ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ความเชื่อของชุมชน  ดังนั้น โดยหลักการขององค์การอนามัยโลกแล้ว เราต้องมีทัศนะที่ดี เห็นคุณค่าของภูมิปัญญาการแพทย์ดั้งเดิม  เราต้องส่งเสริมการใช้การแพทย์ดั้งเดิมอย่างถูกต้อง ถูกทาง นั่นคือ ต้องพิสูจน์ว่าได้ผลในการรักษาจริง ต้องปลอดภัยต่อผู้ป่วย ผู้ป่วยทั่วไปสามารถเข้าถึงการรักษาได้ และต้องเกิดการใช้อย่างสมเหตุสมผลปรากฏการณ์ของหมอเทวดาที่เกิดในสังคมไทย และประเทศต่างๆ นั้น จึงต้องเปิดใจกว้าง เห็นว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนในการมีส่วนร่วมด้านสุขภาพนั้นเป็นเรื่องดี เป็นไปตามนโยบายสุขภาพดีถ้วนหน้าในขณะเดียวกัน ทั้งภาครัฐและประชาชน โดยเฉพาะหมอเทวดาต่างๆ นั้น ก็ต้องเปิดใจกว้างให้เกิดการตรวจสอบ ว่ามีเจตนาบริสุทธิ์หรือไม่ การรักษานั้น ได้ผล ปลอดภัย เข้าถึง และสมเหตุสมผลหรือไม่สุดท้าย ถ้าวิธีการรักษาใด วิธีการหนึ่ง ได้ผล ปลอดภัย ก็ควรเผยแพร่วิธีการนั้นให้เป็นสาธารณะเพื่อให้เกิดการพึ่งตนเองด้านสุขภาพของประชาชนต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 203 รู้เท่าทันกบฏผีบุญทางการแพทย์ (ตอนที่ 1)

ปรากฏการณ์หนึ่งทางการแพทย์ที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ คือ การมีหมอเทวดาปรากฏตัวขึ้นเพื่อรักษาโรคที่การแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มีผู้คนแห่ไปรับการรักษาอย่างเนืองแน่น จนทางการต้องเข้ามาควบคุมและห้ามปราม  ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้  เราควรมีท่าทีหรือมุมมองต่อเรื่องนี้อย่างไร  เรามารู้เท่าทันกันเถอะมีหมอเทวดาเกิดขึ้นเสมอ ไม่ห่างหาย เมื่อเร็วๆ นี้ คงได้ยินข่าวมีบุคคลท่านหนึ่งแจกยารักษามะเร็ง มีผู้ป่วยมารับยาครั้งละเป็นหมื่นคน พระที่บอกว่า นั่งทางในและค้นพบวิธีการรักษาด้วยการตอกเส้น  รวมทั้งก่อนหน้านี้ ที่มีหมอเทวดาเกิดขึ้นในที่ต่างๆ ทำไมหมอเทวดาเหล่านี้ทำไมจึงเกิดขึ้นและได้รับความนิยม ทั้งๆ ที่การแพทย์แผนปัจจุบันของไทยมีความก้าวหน้ามาก และมีระบบประกันสุขภาพต่างๆ ที่รักษาโดยไม่ต้องเสียเงิน การเกิดปรากฎการณ์ที่ชาวบ้านธรรมดาๆ ลุกขึ้นมารักษาโรคให้กับประชาชน(ทั้งโดยเจตนาบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์) ซึ่งมีกฎหมายวิชาชีพทั้งการแพทย์แผนปัจจุบัน การแพทย์แผนไทย และวิชาชีพต่างๆ ดูแลอยู่นั้น นับเป็นการสั่นคลอนความเชื่อมั่น และความไว้วางใจต่อวิชาชีพต่างๆ ที่มีอยู่ ความเชื่อและวัฒนธรรมชุมชนต่อเรื่องการแพทย์ ดั้งเดิมของสังคมไทย ชุมชนจะดูแลสุขภาพด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น เมื่อเจ็บป่วยมากก็จะไปหาหมอพื้นบ้านและหมอแผนไทยเพื่อรับการรักษา หมอพื้นบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่ผ่านการบวชเรียน เมื่อมีความรู้ก็ช่วยเยียวยาชาวบ้านโดยไม่ผลตอบแทนเป็นเงินทอง   ต่อมาพ.ศ. 2466 มี พระราชบัญญัติการแพทย์ ทำให้การรักษาพยาบาลประชาชนต้องกระทำโดยผู้ประกอบโรคศิลปะเท่านั้น  ทำให้หมอพื้นบ้านและหมอแผนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่มีใบประกอบโรคศิลปะยกเลิกการรักษาผู้ป่วยเนื่องจากเกรงกลัวผิดกฎหมายหมอเทวดานั้นผูกพันกับความเชื่อ และวัฒนธรรมท้องถิ่น  หมอเทวดานั้นจะผูกพันและมีฐานความเชื่อของวัฒนธรรมท้องถิ่นและชุมชน โดยเฉพาะ ยาสมุนไพร วิธีการรักษาพื้นบ้าน ที่มาของภูมิปัญญาจากการนั่งทางใน หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และส่วนใหญ่เป็นการรักษาที่ไม่หวังผลตอบแทนเป็นเงินทอง  ความเชื่อและวิถีปฏิบัติของหมอเทวดาเหล่านี้ สอดคล้องกับความเชื่อของสังคมไทยที่มองการเยียวยานั้นเป็นการเยียวยาแบบเอื้ออาทร และหมอเป็นผู้มีเมตตากรุณาต่อผู้ป่วย  แน่นอนที่ว่า มีมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นหมอเทวดา เพื่อหวังหลอกลวงและค่าตอบแทนจากผู้หลงเชื่อหมอเทวดาเปรียบเสมือนกบฏผีบุญทางการแพทย์หรือไม่เรื่องของกบฏผีบุญ หรือกบฏผู้มีบุญ เกิดขึ้นครั้งแรกในปีพ.ศ. 2249 เป็นกบฏผีบุญลาวบุญกว้าง เข้ายึดเมืองโคราช  หลังกบฏลาวบุญกว้าง ยังมีกบฏผีบุญ 8 ครั้ง กบฏเชียงแก้ว พ.ศ. 2334 กบฏสาเกียดโง้ง กบฏสามโบก กบฏผู้มีบุญอีสาน กบฏหนองหมากแก้ว กบฏหมอลำน้อยชาดา กบฏหมอลำโสภาและกบฏศิลา วงศ์สิน พ.ศ. 2502   การเกิดกบฏผีบุญอีสาน พ.ศ. 2444-2445 เป็นเพราะ ราษฎรไม่พอใจการเก็บภาษีส่วยจากชายฉกรรจ์ มิหนำซ้ำมาเกิดภัยแล้งติดต่อกันสองสามปี ส่วนขุนนางท้องถิ่นไม่พอใจการปฏิรูปการปกครองที่เอาอำนาจไปจากพวกเขาแล้วยังเอาผลประโยชน์ ประกอบกับการคุกคามจากฝรั่งเศส ทำให้กบฏขยายตัวอย่างกว้างขวางถึง 13 จังหวัด แต่ถูกปราบโดยรัฐบาลการเกิดหมอเทวดาจากผู้ที่ไม่ได้เป็นหมอวิชาชีพ อาจเป็นเสมือนการทวงคืนพื้นที่และสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนในการเลือกที่จะรับการเยียวยาจากหมอชาวบ้าน บนฐานการพึ่งตนเองของชุมชน ก็เป็นได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 202 การฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน คางทูม ทำให้ลูกของเราเป็นออทิสติกจริงหรือ

ในต่างประเทศ มีการต่อต้านการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน คางทูม และวัคซีนอื่นๆ ในเด็ก โดยเฉพาะในสายการแพทย์ทางเลือก เพราะเชื่อว่า จำนวนเด็กออทิสติกที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดจากการฉีดวัคซีนดังกล่าว เนื่องจากในวัคซีนนั้นมีสารปรอท(thimerosal) ซึ่งเป็นตัวการที่ไปทำลายเซลล์สมอง จริงหรือไม่ เรามารู้เท่าทันกันเถอะทำไมต้องใส่สารปรอทในวัคซีน มีการใช้สารปรอทในวัคซีนมาตั้งแต่ ค.ศ. 1930 เพื่อช่วยรักษาความคงทนของวัคซีน  สารปรอทอาจทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดวัคซีนเกิดอาการแพ้ เป็นผื่นแดงและบวมเล็กน้อย  แม้จะไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า สารปรอทในวัคซีนก่อให้เกิดอันตราย แต่ในปี ค.ศ. 1999 หน่วยงานด้านการแพทย์แห่งชาติของอเมริกา สถาบันด้านเด็ก และโรงงานการผลิตวัคซีน ก็เห็นพ้องกันที่จะลดหรือไม่ใช้เพื่อความปลอดภัย สารปรอทนั้นพบได้ในธรรมชาติ ในดิน อากาศ และน้ำ สารปรอทที่มนุษย์สัมผัสเป็นประจำ ได้แก่ ปรอทเมทิล กับปรอทเอทิล  ปรอทเมทิลนั้นพบได้ในปลาบางชนิด ถ้าร่างกายกินปลาที่มีปรอท ร่างกายจะสะสมปรอทในปริมาณสูง จนเป็นพิษต่อร่างกาย ส่วนปรอทเอทิลนั้น ถูกขับออกจากร่างกายได้ง่าย จึงไม่ค่อยก่ออันตรายให้มนุษย์ สารปรอทในวัคซีนนั้นช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และเชื้อราในวัคซีน  เมื่อสารปรอทเข้าสู่ร่างกาย จะถูกเปลี่ยนเป็นปรอทเอทิลและขับออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว จึงไม่มีการสะสมจนมีระดับสูงที่เป็นอันตรายต่อร่างกายงานวิจัยจำนวนมากเกี่ยวกับวัคซีนกับการเกิดออทิสซึมในเด็ก จากความกังวลเรื่องสารปรอทในวัคซีนและจำนวนเด็กออทิสติกที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีงานวิจัยและการทบทวนงานวิจัยจำนวนมากเกี่ยวกับเรื่องนี้  เราอาจสรุปงานวิจัยและการทบทวนได้ ดังนี้1. ในวารสาร “วัคซีน” ฉบับ 32 วันที่ 17 มิ.ย. 2014 น. 3263-3629 ได้ตีพิมพ์รายงานการทบทวนเอกสารงานวิจัยใน MEDLINE, PubMed, EMBASE, Google Scholar จนถึงเดือนเมษายน ค.ศ. 2014  ได้ทำวิเคราะห์อภิมาณ การศึกษาแบบเหตุไปหาผล (Cohort study) 5 รายงาน ครอบคลุมเด็กจำนวน 1,256,407 ราย และการศึกษาแบบมีกลุ่มควบคุม 5 รายงาน  สรุปผลได้ว่า การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หัด หัดเยอรมัน คางทูมนั้น ไม่มีผลต่อการเกิดออทิสซึมในเด็ก  รวมทั้งสารปรอทและวัคซีนไม่สัมพันธ์กับการเกิดออทิสซึมและอาการที่เกี่ยวพันกับออทิสซึม2. การทบทวนเอกสารจำนวน 139 รายงานของนักวิจัย ห้องสมุดคอเครน เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน คางทูม ในเด็ก พบว่า วัคซีนช่วยป้องกันเด็กจากการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน พบการเกิดเลือดออกใต้ผิวหนัง อาการของหัด หัดเยอรมัน คางทูมน้อยมาก  ไม่พบหลักฐานว่าวัคซีนมีส่วนทำให้เกิดออทิสซึม3. วารสาร “Pedriatics” ฉบับเดือนกันยายน ค.ศ. 2004  พบว่า ไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างวัคซีนที่มีสารปรอท (thimerosal) กับการเกิดออทิสซึม4. ยังมีรายงานการวิจัยอีกมากที่สรุปยืนยันว่า วัคซีนดังกล่าวไม่มีผลต่อการเกิดออทิสซึมสรุป คุณพ่อคุณแม่คงสบายใจได้แล้วว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน คางทูม ให้กับลูกหลานนั้น ไม่ทำให้เกิดออทิสซึมอย่างแน่นอน  เด็กออทิสติกที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นเพราะสาเหตุอื่น 

อ่านเพิ่มเติม >