ฉบับที่ 231 ลิปสติกสีแดง

        ช่วงปลายปีที่แล้วนิตยสารเกอชัวร์ซีร์ Que Choisir  ซึ่งเป็นนิตยสารขององค์กรผู้บริโภคฝรั่งเศสที่เป็นสมาชิกขององค์กรทดสอบระหว่างประเทศ ได้ทำการตรวจหา “สารไม่พึงประสงค์” ใน “ลิปสติกสีแดง” ยอดนิยม 20 ยี่ห้อ หลายยี่ห้อมีขายในเมืองไทย ฉลาดซื้อเลยถือโอกาสนำมาเผยแพร่ให้สมาชิกสายบิวตี้ได้ใช้ประกอบการตัดสินใจ        การทดสอบซึ่งทำโดยห้องปฎิบัติการในกรุงเบอลิน เยอรมนี ครั้งนี้เป็นการตรวจหา        - โลหะหนัก ซึ่งมักพบในสารให้สี ได้แก่ สารหนู ตะกั่ว แคดเมียม พลวง และปรอท        -  สารไฮโดรคาร์บอนในน้ำมันมิเนอรัล Mineral oil saturated hydrocarbons (MOSH),  Mineral oil aromatic hydrocarbons (MOAH) และไฮโดรคาร์บอนสังเคราะห์ Polyolefin Oligomeric saturated hydrocarbons (POSH)         ก่อนหน้านี้ฉลาดซื้อฉบับเดือนตุลาคม 2560 เคยนำเสนอผลทดสอบลิปบาล์มทั้งในแง่ความปลอดภัยและความพึงพอใจของผู้ใช้ แต่คราวนี้เราเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลักจึงไม่มีการนำเสนอด้วย “ดาว” เราจะขอแยกเป็น “ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย” “ผลิตภัณฑ์ที่พอรับได้” และ “ผลิตภัณฑ์ที่ไม่แนะนำ”  ในภาพรวมเราพบสารตะกั่วในลิปสติก 19 จาก 20 ยี่ห้อ แต่ทั้งหมดอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ตามมาตรฐานยุโรป (แต่ถ้าใช้เกณฑ์ของเยอรมนีที่เข้มข้นกว่าจะพบว่ามีสองยี่ห้อที่ไม่ผ่าน คือ L’OREAL และ BOHO Green) ส่วนยี่ห้อที่ไม่พบตะกั่วเลยได้แก่ Two Faced … แต่ถึงแม้จะไม่มีตะกั่ว ยี่ห้อนี้ป็นหนึ่งในห้ายี่ห้อในกลุ่ม “ไม่แนะนำ” เพราะมีสารไฮโดรคาร์บอนเกินร้อยละ 10 ... พลิกหน้าต่อไปเพื่อดูกันเต็มๆ ว่ายี่ห้อไหนบ้างที่คู่ควรกับคุณ-----น้ำมันมิเนอรัล (หรือพาราฟินเหลว) เป็นผลพลอยได้จากการผลิตปิโตรเลียม สารนี้เป็นที่นิยมใช้ในเครื่องสำอางหลายชนิดเพราะหาได้ง่าย ราคาถูก และไม่เน่าเสีย แต่ในขณะเดียวกันก็เริ่มมีข้อห่วงใยว่ามันอาจเป็นสารก่อมะเร็งหรือเร่งการเกิดเนื้องอกได้ ผู้ผลิตหลายเจ้าจึงหันไปหาทางเลือกอื่น------ค่าทดสอบอยู่ที่ตัวอย่างละ 350 ถึง 500 ยูโร (ประมาณ 12,000 ถึง 17,500 บาท) และต้องใช้ลิปสติกอย่างน้อย 16  แท่งต่อหนึ่งตัวอย่าง-----            “ลิปสติกเอ็ฟเฟ็กต์” คือข้อสันนิษฐานที่ว่าเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เครื่องสำอางโดยเฉพาะอย่างยิ่งลิปสติกจะขายดีขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคยังต้องการเป็นเจ้าของ “สินค้าหรูหรา” แต่ยังเป็นห่วงเงินในกระเป๋า จึง “ลดสเปก” จากสินค้าราคาสูง (เช่น กระเป๋าแบรนด์เนม) มาเป็นลิปสติกที่พอจะสู้ราคาไหวนั่นเอง ในขณะที่บางคนก็เลือกประหยัดงบด้านอื่นเพื่อเก็บไว้ซื้อลิปสติก ... จริงเท็จอย่างไรยังฟันธงไม่ได้ แต่มีข่าวลือว่าหลังเหตุการณ์ 9/11 ในนิวยอร์ก ยอดขายลิปสติกในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว        ลิปสติกจะหมดเร็วแค่ไหนขึ้นอยู่การใช้ของแต่ละคน เรื่องนี้พูดยาก แต่งานวิจัยชิ้นหนึ่งในปี 2005 ที่วัดปริมาณลิปสติกของของผู้ใช้ลิปสติกเป็นประจำ 360 คน (อายุระหว่าง 19 – 65 ปี) ในช่วงสองสัปดาห์ พบว่ากลุ่มตัวอย่างทาลิปสติกเฉลี่ยวันละ 2.4 ครั้ง (ร้อยละ 11 ใช้มากกว่าวันละ 4 ครั้ง) ในแต่ละครั้งเนื้อลิปสติกจะหมดไปประมาณ 5 มิลลิกรัม (มีถึงร้อยละ 12 ที่ใช้ 20 มิลลิกรัมหรือมากกว่า) โดยรวมแล้วมีการใช้ลิปสติกระหว่าง 24 - 80 มิลลิกรัมในแต่ละวัน… แน่นอนว่าในปริมาณนี้บางส่วนก็ถูกผู้ใช้กลืนลงกระเพาะไปบ้าง ส่วนผสมในลิปสติกจึงเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ต้องใส่ใจ นอกจากสีสัน เนื้อสัมผัส หรือราคา

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 230 ผลทดสอบเจลแอลกอฮอล์

        สถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 ในขณะนี้ นอกจากหน้ากากอนามัยแล้ว เจลแอลกอฮอล์ ตลอดจนผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ล้างมือแบบอื่นๆ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการใช้ทำความสะอาดมือเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ ซึ่งเป็นที่ต้องการของประชาชนเป็นอย่างมากจนทำให้เกิดภาวะขาดแคลนสินค้าและมีสินค้าไม่ได้มาตรฐานออกมาวางจำหน่าย         ดังนั้นเพื่อเป็นการเฝ้าระวังสินค้าและคุ้มครองผู้บริโภค นิตยสารฉลาดซื้อและโครงการสนับสนุนระบบเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ จึงดำเนินการเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ล้างมือจำนวน 39 ตัวอย่าง แบ่งเป็นสองกลุ่มตัวอย่าง คือผลิตภัณฑ์จากร้านค้าทั่วไป ร้านขายยา ห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก จำนวน 25 ตัวอย่าง และผลิตภัณฑ์จากร้านค้าออนไลน์ จำนวน 14 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 10 มีนาคม – 17 เมษายน ที่ผ่านมา เพื่อตรวจหาปริมาณร้อยละของแอลกอฮอล์ในผลิตภัณฑ์ และตรวจหาการปนเปื้อนของเมธิลแอลกฮอล์ ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์ชนิดที่มีอันตรายต่อผู้บริโภค สรุปผลทดสอบผลทดสอบ พบว่า-   จำนวน 26 ตัวอย่าง มีปริมาณแอลกอฮอลต่ำกว่าร้อยละ 70 โดยปริมาตร ไม่ผ่านเกณฑ์ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดลักษณะของเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพื่อสุขอนามัยสำหรับมือที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือขาย พ.ศ. 2563  แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มคือ(1) จำนวน 14  ตัวอย่าง คือมีปริมาณแอลกอฮอล์ต่ำกว่าร้อยละ 70 โดยปริมาตร ทั้งนี้ทั้งหมดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ระบุวันผลิตตั้งแต่ประกาศฯ มีผลบังคับ คือ 10 มีนาคม 2563(2) จำนวน 8 ตัวอย่าง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตก่อนวันที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดลักษณะของเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ฯ มีผลบังคับ(3) จำนวน 4 ตัวอย่าง ไม่ระบุวันผลิต ได้แก่ยี่ห้อ เมดเดอร์ลีน, Sweet Summer, BFF บีเอฟเอฟ และ TOUCH        -  จำนวน 13 ตัวอย่าง มีปริมาณแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 โดยปริมาตร ทั้งนี้แบ่งเป็น(1) ผลิตภัณฑ์ที่มีวันผลิตก่อนวันที่ 10 มีนาคม 2563 จำนวน 4 ตัวอย่าง ได้แก่ Skin Heaven Hand Safe, Anti-A gel (2 ตัวอย่าง) ,ไลฟ์บอย แฮนด์ ซานิไทเซอร       (2) ผลิตหลังวันที่ 10 มีนาคม 2563 จำนวน 5 ตัวอย่าง ได้แก่ Ver.88, WE Cleanser, ก๊กเลี้ยง, โพรเทค และ CAVIER       (3) ไม่ระบุวันผลิต 4 ตัวอย่าง ได้แก่ยี่ห้อ  CCP LAB BLUE, D GEL , ETC อาย-ตา-นิค และพันตรา     -   พบผลิตภัณฑ์ 4 ตัวอย่าง ไม่มีเลขจดแจ้ง แบ่งเป็น 3 ตัวอย่าง (2 ยี่ห้อ) ไม่แสดงเลขจดแจ้ง ได้แก่ Anti-A gel, Top Clean Hand Sanitizer และมี 1 ตัวอย่างแสดงเลข อย.ซ้ำกับผลิตภัณฑ์ตัวอื่น ได้แก่ ยี่ห้อ L Care     -  พบ 1 ตัวอย่าง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อ ANANTA Spray(อนันตา สเปรย์) ใช้เมธานอลเป็นส่วนผสมในการผลิต   ฉลาดซื้อแนะการใช้ผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ล้างมือที่ถูกต้อง1.ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เข้มข้น 70% ขึ้นไป (ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน) ทำไมต้อง 70% ถ้าใช้สัดส่วนที่ต่ำกว่านั้น ไม่สามารถกำจัดเชื้อโรค COVID-19 ได้2.ลูบให้ทั่วฝ่ามือและนิ้วมือ ทิ้งไว้ 20-30 วินาที จนแอลกอฮอล์แห้ง หากใช้แล้วไม่รอให้แห้งไปหยิบจับสิ่งต่างๆ ก็จะทำให้ประสิทธิภาพลดน้อยลง3.ควรใช้เจลแอลกอฮอล์เฉพาะมือเท่านั้น ห้ามสัมผัสหรือเช็ดล้างบริเวณเนื้อเยื่ออ่อน เช่น ใบหน้าและดวงตาโดยเด็ดขาด4.ผลิตภัณฑ์ชนิดที่มีส่วนผสมอื่นนอกจากตัวแอลกอฮอล์จะช่วยทำให้ตัวแอลกอฮอล์ระเหยได้ช้าลง สัมผัสกับผิวได้นานขึ้น ช่วยลดการระคายเคืองของแอลกอฮอล์และคงความชุ่มชื้นต่อผิว5.ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ ทำให้ต้องระมัดระวังการเก็บหรือการใช้ อย่าวางเจลใกล้ความร้อนหรือเปลวไฟ เพราะแอลกอฮอล์ติดไฟได้ง่าย อาจเกิดอุบัติเหตุทำให้บาดเจ็บได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 229 ครีมถนอมมือ

        เมื่อเราล้างมือหรือใช้เจลทำความสะอาดมือบ่อยๆ ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นตามมาคือผิวหนังแห้งกร้าน ในบางรายอาจเป็นขุยหรือรู้สึกคันด้วย ทางออกที่ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังแนะนำคือครีมทามือ ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงไม่รอช้า รีบหาผลทดสอบแฮนด์ครีมมาฝากคุณ คราวนี้สมาชิกองค์กรทดสอบระหว่างประเทศ ICRT ได้แบ่งคะแนนการทดสอบ* ออกเป็นสามด้าน ได้แก่        - ประสิทธิภาพในการบำรุงผิว (ร้อยละ 60)         - ความพอใจของผู้ใช้ที่มีต่อกลิ่น เนื้อครีม (ร้อยละ 30) และ        - การปลอดสารรบกวนฮอร์โมน/พาราเบนส์/สารก่อภูมิแพ้ (ร้อยละ 10) * ด้วยเนื้อที่อันจำกัดเราจึงขอเลือกมาพียง 20 ยี่ห้อ ที่มีจำหน่ายในประเทศไทยหรือสั่งซื้อได้จากร้านค้าออนไลน์           ·  การทดสอบครั้งนี้มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 3,000 ยูโร (ประมาณ 107,000 บาท) ต่อผลิตภัณฑ์        ·  หมายเหตุ ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยที่ชี้ชัดว่าพาราเบนส์ (ซึ่งนิยมใช้เป็นสารกันหืนในเครื่องสำอาง) เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ แต่หลายประเทศก็ให้ความสนใจและเฝ้าระวังสารนี้เป็นพิเศษ สหรัฐฯ ให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์เพื่ออนามัยส่วนบุคคล เช่น แชมพู สบู่ โรลออน ครีมกันแดด เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก สหภาพยุโรปเน้นยาสีฟัน แชมพู สบู่ และครีมบำรุงผิว อังกฤษให้ความสำคัญกับเครื่องสำอาง และเกาหลีใต้เน้นผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กและเครื่องสำอางสำหรับดวงตา เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 223 แชมพู “กู้” ผมเสีย

           ฉลาดซื้อฉบับนี้ขอเอาใจผู้ที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์เพื่อกอบกู้สภาพเส้นผม เรามีผลการทดสอบแชมพูสำหรับผมเสีย ที่องค์กรทดสอบระหว่างประเทศ (International Consumer Research and Testing) ได้ทำการทดสอบไว้ แต่เนื่องจากเนื้อที่มีจำกัด เราจึงขอนำเสนอเพียง 26 ผลิตภัณฑ์ที่มีจำหน่ายในบ้านเราทั้งในห้างและร้านค้าออนไลน์ในภาพรวม แชมพูทั้งหมดได้คะแนนการชำระความสกปรกออกจากเส้นผมในระดับห้าดาว แต่คะแนนด้านอื่นๆ ยังแตกต่างกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและฉลากที่อวดอ้างว่าสามารถ “ซ่อมแซม” ผมเสียได้ อยากรู้ว่าผลิตภัณฑ์ไหนน่าซื้อหามาใช้ที่สุด เชิญติดตามรายละเอียดได้ในหน้าถัดไป---   คะแนนเต็ม 100 ในการทดสอบ แบ่งสัดส่วนออกเป็นด้านต่างๆ ดังนี้40 คะแนน       ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ทดลองสระผมให้อาสาสมัคร แล้วตอบคำถามเกี่ยวกับสภาพผมทั้งขณะแห้งและเปียก รวมถึงปริมาณฟองด้วย            30 คะแนน      ความพึงพอใจของผู้ทดลองใช้ ความรู้สึกสะอาด อาการระคายเคือง และปริมาณฟอง10 คะแนน      การสระผงสีออกจากเส้นผมในห้องปฏิบัติการ เพื่อวัดความสะอาด10 คะแนน      ส่วนประกอบที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม           10 คะแนน       ฉลากที่ไม่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์สามารถ “ซ่อมแซม” ผมเสีย---             · การทดสอบครั้งนี้มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยตัวอย่างละประมาณ 105,000 บาท          มีอาสาสมัครร่วมทดสอบทั้งหมด 375 คน เป็นหญิง/ชาย อายุระหว่าง 18 – 75 ปี ที่มีผมยาวตั้งแต่ 10 เซ็นติเมตรขึ้นไป สภาพผมเสียปานกลางถึงเสียมาก อาสาสมัครเหล่านี้มีกลุ่มที่ผมเส้นเล็กและเส้นใหญ่           และผมตรงถึงผมหยิกปานกลาง          อาสาสมัครหนึ่งคนจะใช้เพียงสองผลิตภัณฑ์เท่านั้น    

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 218 น้ำยาทำความสะอาดมือ

        น้ำยาทำความสะอาดมือ(Hand Anticeptic) เป็นสารที่ใช้เพิ่มเติมเป็นทางเลือกของการทำความความสะอาดมือ โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีน้ำ ปัจจุบันมีทั้งรูปแบบเจล โฟมและสารละลายเหลว เมื่อฉบับที่แล้วฉลาดซื้อได้สุ่มสำรวจผลิตภัณฑ์สบู่เหลวล้างมือไป ฉบับนี้จึงขอต่อเนื่องมาที่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือ แบบที่ไม่ต้องพึ่งพาน้ำกันบ้าง ซึ่งได้รับความนิยมมากพอสมควรมีหลายผลิตภัณฑ์ให้เลือกซื้อหา ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่พบมีสารออกฤทธิ์สำคัญคือ เอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ได้ดี เหมาะสำหรับการฆ่าเชื้อบนผิวหนัง นอกจากนั้นก็จะมีการผสมสารประเภทที่ให้ความชุ่มชื้น ครีมบำรุงและสารประเภทน้ำหอมเพิ่มเติม ซึ่งไม่มีประโยชน์ในงานทำความสะอาดแต่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจ โดยลดความกังวลเรื่องที่มืออาจแห้งกร้านเนื่องจากการสัมผัสแอลกอฮอล์            จากการสุ่มตัวอย่างพบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือแบบไม่ใช่น้ำ จำนวน 11 ผลิตภัณฑ์ มีส่วนผสมหลักดังที่กล่าวไปข้างต้น แต่มีอยู่สองตัวที่มีส่วนผสมของ ไตรโคลซาน ซึ่งฉลาดซื้อเคยนำเสนอไปว่า เป็นสารที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นสารที่มีอันตรายสูง ทำให้มีปัญหากับระบบนิเวศดังนั้นควรหลีกเลี่ยง         น้ำยาทำความสะอาดมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่ดีควรเป็นอย่างไร            1.ควรมีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ระหว่าง 60-85 % เพื่อให้เพียงพอสำหรับการฆ่าเชื้อ            2.มีฉลากระบุวันผลิตและวันสิ้นอายุที่ชัดเจน(ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่หมดอายุ)  รวมทั้งคำเตือนที่จำเป็น เช่น ห้ามใช้หรือวางใกล้เปลวไฟ            3.มีเลขจดแจ้งที่ชัดเจน น้ำยาทำความสะอาดมือจัดเป็นเครื่องสำอาง ดังนั้นต้องมีเลขที่จดแจ้งตามกฎหมายเครื่องสำอาง  ความสะอาดมือบ่อยๆ        การล้างมือเป็นหนึ่งในวิธีการป้องกันการติดเชื้อที่ดี โดยทั่วไปหากมือสกปรกควรล้างด้วยน้ำและสบู่ เพื่อชะล้างคราบสกปรกออกไป แต่หากเป็นกรณีที่มือไม่มีคราบสกปรกแต่อาจสัมผัสกับจุดเสี่ยง เช่น การสัมผัสกับสิ่งของสาธารณะ สัตว์เลี้ยง การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือแบบไม่ต้องใช้น้ำ ก็ช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อได้ วิธีการใช้ผลิตภัณฑ์เจลแอลกอฮอล์ล้างมือที่ถูกต้อง         เจลล้างมือควรใช้ในปริมาณ 3-5 ซีซี หรือปริมาณเท่าขนาดเล็บหัวแม่มือของผู้ใช้ ถูให้ทั่วฝ่ามือและซอกเล็บ ถูจนเจลระเหยหมดภายในครึ่งนาที (หากเจลระเหยอย่างรวดเร็วก่อน 15 วินาที อาจหมายถึงใช้เจลในปริมาณน้อยไป ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการกำจัดเชื้อโรค) ระวัง!เจลล้างมือติดไฟได้ หากถูกสะเก็ดไฟ         เจลล้างมือมีส่วนผสมสำคัญคือแอลกอฮอล์ ที่นอกจากมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค และยังสามารถติดไฟได้ง่าย ดังนั้นเจลล้างมือจึงติดไฟได้ง่ายเช่นกัน โดยเฉพาะในผู้สูบบุหรี่ ผู้ที่ใช้เจลล้างมือหลังชโลมเปียกทั่วมือแล้วจึงควรรอให้แห้งก่อน ซึ่งใช้เวลาประมาณครึ่งนาที

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 217 ผลิตภัณฑ์สบู่เหลวล้างมือ

        การล้างมือเพื่อลดความเสี่ยงการติดหรือแพร่กระจายของเชื้อโรค เป็นสุขอนามัยที่ยอมรับกันมากขึ้นเรื่อยๆ เดิมเราอาจไม่ได้ให้ความสำคัญถึงขนาดต้องมีผลิตภัณฑ์สำหรับล้างมือโดยเฉพาะ เพียงแค่สบู่ก้อนกับน้ำสะอาดนับว่าเพียงพอ แต่ตลาดของผลิตภัณฑ์ชำระล้างร่างกายปัจจุบันมีความหลากหลายขึ้น จากสบู่ก้อน มาสู่สบู่เหลว ครีมอาบน้ำ ซึ่งในกลุ่มของสบู่เหลวยังแยกย่อยออกมาเป็น สบู่เหลวเพื่อการทำความสะอาดมือ ที่มีสัดส่วนในตลาดสบู่เหลวประมาณร้อยละ 3        ปัจจุบันสบู่ที่จำหน่ายในท้องตลาดแบ่งตามลักษณะของผลิตภัณฑ์เป็น 2 ลักษณะ คือ สบู่ก้อน(bar soaps) และสบู่เหลว(liquid soaps) ทั้งนี้มูลค่าการตลาดรวมของสบู่ในปี 2560 มีมูลค่าประมาณ 14,032 ล้านบาท แบ่งออกเป็นสบู่เหลว 4,912 ล้านบาท สบู่ก้อน 9,120 ล้านบาท (ที่มา...ประชาชาติธุรกิจ)        โดยทั่วไปสบู่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้ในการฟอกทำความสะอาดผิว เป็นหนึ่งในสินค้าที่ผู้บริโภคไม่ค่อยยึดติดกับยี่ห้อมากนัก เพราะคุณสมบัติพื้นฐานไม่ต่างกัน ยี่ห้ออะไรก็ใช้แทนกันได้ ดังนั้นแต่ละยี่ห้อจึงต้องสรรหาจุดขายเพื่อสร้างความดึงดูดใจผู้บริโภค สบู่เหลวล้างมือก็เช่นกัน เป็นผลจากการแบ่งย่อยคุณสมบัติสินค้าให้เจาะจงยิ่งขึ้น สบู่เหลวล้างมือจึงมีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ที่ออกแบบให้เป็นหัวปั๊มใช้งานง่าย สามารถรีฟิล(refill) ได้ รวมทั้งการใส่สารผสมอย่างน้ำหอม สารให้ความชุ่มชื้น วิตามินต่างๆ หรือสารสกัดจากธรรมชาติ เพื่อสร้างความแตกต่าง แต่อย่างไรก็ตามในส่วนประกอบพื้นฐานยังคงเป็นสารเคมีเพื่อการชะล้างหรือทำความสะอาดผิว ซึ่งเป็นสารแบบเดียวกันหมดมีอะไรในสบู่ สบู่เหลว        1.ไขมันและน้ำมันจากพืชหรือสัตว์ เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว         2.ด่าง(alkali) เป็นตัวทำปฏิกิริยากับกรดไขมันและส่วนประกอบอื่นๆ ทำให้สารลดแรงตึงผิวและสารลดความกระด้างของน้ำทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ที่นิยมใช้มี 2 ชนิด คือ โซเดียมไฮดรอกไซด์ และโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์         3.สารลดความกระด้างของน้ำ(builders) ใช้ลดความกระด้างของน้ำ เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำความสะอาดและป้องกันการเสื่อมของผลิตภัณฑ์ เช่น สี กลิ่น เป็นต้น         4.สารลดแรงตึงผิวสังเคราะห์(synthic surfactants)         5.สารปรับสภาพ(conditioners) เพื่อให้ผิวเกิดความชุ่มชื้นและเกิดความระคายเคืองต่อผิวน้อยลง         6.สี ซึ่งจะต้องได้รับอนุญาตตามกฎหมายเครื่องสำอาง        7.น้ำหอม(fragrances) ทำหน้าที่ปกปิดกลิ่นของส่วนประกอบต่าง ๆ และให้กลิ่น        8.วัตถุกันเสีย เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพของสบู่  และ        9.สารต้านจุลินทรีย์(antimicrobial agents) ทำหน้าที่ฆ่าและยับยั้งการ เจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดเชื้อโรคและกลิ่นสารกลุ่มเสี่ยงที่ควรให้ความสนใจ          สารในกลุ่มที่มีการกล่าวถึงกันมากว่าอาจเป็นอันตรายทั้งต่อตัวผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม คือ         ·        สารในกลุ่มลดแรงตึงผิว (Surfactant ) เป็นส่วนผสม ซึ่งมีทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่         1.สารลดแรงตึงผิวชนิดประจุลบ (anionic surfactant) มีคุณสมบัติทำความสะอาดได้ดี ทำให้เกิดฟองเร็ว มีราคาถูก และมีความแรงมากกว่าชนิดอื่น จึงอาจทำให้เกิดการระคายต่อผิวได้มาก เช่น sodium lauryl sulfate (SLS), Sodium Lauryl Ether Sulfate (SLES)         2.สารลดแรงตึงผิวชนิดประจุบวก (cationic surfactant) มักใช้ร่วมกับชนิดประจุลบในปริมาณไม่มากนัก แก้ไขจุดบกพร่องของผลิตภัณฑ์ ไม่ให้สบู่เหลวมีประจุลบมากเกินไป เช่น benzalkonium chioride polyquaternium 7, 10, 22 quaternary este        3.สารลดแรงตึงผิวชนิดประจุบวกและประจุลบ (amphoteric surfactant) กลุ่มนี้ให้ฟองปานกลางและระคายเคืองต่อผิวน้อย เช่น cocamidopropyl betaine         4.สารลดแรงตึงผิวชนิดไม่มีประจุ มีประสิทธิภาพในการชำระล้างได้ดี แต่มีฟองไม่มาก ระคายเคืองต่อผิวหนังน้อย เช่น nonyl phenol groups, polyxyethylene fatty alcoholsผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กและสบู่เหลวสุตรอ่อนโยนต่อผิว มักใช้สารลดแรงตึงผิวประเภทที่ 3 และ 4 เป็นส่วนผสม เนื่องจากมีความอ่อนโยนกว่าประเภทอื่น        ·        สารกันเสีย (Preservative) คือสารเคมีที่ใส่เข้าไปในผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในครัวเรือน เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ เพื่อยืดอายุผลิตภัณฑ์ แต่หากเราสัมผัสสารตัวนี้ในปริมาณมากเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย และสารบางชนิด เช่น สารกลุ่มพาราเบน มีการศึกษาวิจัยกันมากขึ้นว่า อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดมะเร็งด้วย        ·        น้ำหอมสังเคราะห์ จัดเป็น 1 ใน 5 อันดับแรกของสารก่อภูมิแพ้ อยู่ในผลิตภัณฑ์แทบทุกชนิด หากใช้มากเกิน อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง ภูมิแพ้ คำว่า น้ำหอม อาจใช้แทนสารเคมีกลุ่ม phthalates ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้เป็นกลิ่นสังเคราะห์หรือน้ำหอมสังเคราะห์นั่นเอง โดยสารกลุ่มนี้จะรบกวนการทำงานของต่อมไร้ท่อจึงอาจก่อให้เกิดความอ้วน และอาจมีผลรบกวนระบบสืบพันธ์และการพัฒนาการได้ การหลีกเลี่ยงสารกลุ่ม phthalates การล้างมือที่ถูกวิธี          การเลือกใช้สบู่ก้อนหรือสบู่เหลว อาจเป็นเรื่องของความพึงพอใจในการใช้งาน แต่จริงๆ แล้ว การล้างมือถ้าทำได้ถูกวิธี ผลิตภัณฑ์ทั้งสบู่เหลวและสบู่ก้อนให้ผลไม่แตกต่างกัน ถ้าเช่นนั้นการล้างมือที่ถูกวิธี ต้องทำอย่างไร          1.ระยะเวลาในการล้างมือ อย่างน้อยต้อง 15 วินาทีขึ้นไป เพื่อให้เพียงพอในการขัดถูฝ่ามือ หลังมือ ถูซอกนิ้วมือ ซอกเล็บ รวมถึงบริเวณข้อมือด้วย           2.ควรล้างมือเมื่อเลอะคราบสิ่งสกปรก  ต้องเตรียมอาหารหรือกินอาหาร ใส่คอนแทคเลนส์ การทำแผล และควรล้างมือหลังกิจกรรมเหล่านี้ หลังเข้าห้องน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม สั่งน้ำมูกใช้มือปิดปากเมื่อไอ จาม และสัมผัสกับสัตว์เลี้ยงหรือเก็บกวาดมูลสัตว์           3.จำเป็นไหมว่าต้องเป็นสบู่หรือสบู่เหลวที่ผสมยาฆ่าเชื้อ การล้างมือที่ถูกวิธีก็เพียงพอในการลดการสะสมของเชื้อโรคได้ ไม่จำเป็นต้องใช้สบู่เหลวที่ผสมสารฆ่าเชื้อ    

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 215 ปากหอมสดชื่นกับยาสีฟันสมุนไพร

        ตลาดของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากสมุนไพรมีมูลค่ากว่าแสนล้านบาท โดยหนึ่งในนั้นคือ ยาสีฟันสมุนไพร ที่ครองใจผู้บริโภคมาอย่างยาวนาน ฉลาดซื้อลงสำรวจตลาดผลิตภัณฑ์นี้พบว่า มีหลายยี่ห้อให้ได้เลือกซื้อ ทั้งผู้ผลิตรายเก่าและรายใหม่ บางยี่ห้อมีอายุเกือบร้อยปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความนิยมที่ยังสามารถครองใจผู้บริโภคมาได้อย่างยาวนาน        จุดขายของยาสีฟันสมุนไพรคือ ความหอมสดชื่นปากจากน้ำมันหอมระเหยของสมุนไพร อย่างสะระแหน่ พิมเสน การบูร หรือสมุนไพรหลายชนิดที่มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียอันเป็นต้นเหตุของฟันผุ กลิ่นปาก เช่น น้ำมันกานพลู และสมุนไพรบางชนิดมีฤทธิ์ป้องกัน รักษาโรคเหงือก รำมะนาด เช่น ข่อย  เกลือ ว่านหางจระเข้        ฉลาดซื้อหยิบตัวอย่างยาสีฟันสมุนไพรจำนวน 29 ยี่ห้อ แบ่งได้สองประเภท คือ แบบมีฟลูออไรด์และไม่มีฟลูออไรด์ มาแสดงรายการส่วนประกอบสำคัญหรือชนิดของสารออกฤทธิ์สำคัญ นอกจากนี้ยังได้เปรียบเทียบราคาต่อน้ำหนัก ในขนาด 1 กรัม ว่าแต่ละยี่ห้อใครถูกแพงกว่ากัน เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้อ่านได้เลือกใช้อย่างคนฉลาดซื้อ ดูรายละเอียดในตารางหน้าถัดไปการเลือกใช้ยาสีฟันสมุนไพร        แต่เดิมการใช้ยาสีฟันมีวัตถุประสงค์เพียงแค่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการแปรงฟัน ให้มีการกำจัดเอาแผ่นคราบจุลินทรีย์ออกได้ง่ายขึ้น ต่อมาก็มีการเติมสารต่างๆ เพื่อหวังผล เช่น การเติมฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุ เติมสารที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคเพื่อลดการอักเสบของเหงือก จนปัจจุบันนี้มีการเติมสารต่าง ๆ มากมาย อย่างไรก็ตามส่วนประกอบพื้นฐานยังคงเดิม ได้แก่        1. ผงขัดที่ละเอียดเพื่อเป็นตัวขัดสีให้แผ่นคราบจุลินทรีย์และคราบต่าง ๆ ที่ติดอยู่ที่ตัวฟันหลุดออก         2. สารทำให้เกิดฟองเพื่อให้คราบฟันหลุดออกได้ง่าย         3. สารแต่งกลิ่นและรสเพื่อให้น่าใช้ และรู้สึกสดชื่น        4. สารเพิ่มความชื้นเพื่อให้ยาสีฟันไม่แห้ง มีความชุ่มชื้น         5. สารทำให้ยาสีฟันข้น มีลักษณะเป็นครีม         6. สารกันบูดเพื่อให้สามารถเก็บยาสีฟันได้นาน         ส่วนประกอบพื้นฐานทั้ง 6 นี้ ยาสีฟันชนิดครีมเกือบทุกยี่ห้อจะมีเหมือนกัน ที่ทำให้ยาสีฟันแต่ละชนิดมีคุณสมบัติแตกต่างกัน ได้แก่ สารฟลูออไรด์ สารฆ่าเชื้อโรค สารหรือผงขัดฟันที่ทำให้ฟันขาว สารที่ลดอาการเสียวฟัน สารสมุนไพร ฯลฯ        ในยาสีฟันสมุนไพรก็ไม่ต่างกันนัก โดยผงขัดละเอียดในยาสีฟันสมุนไพรจะใช้แคลเซียมคาร์บอเนต หรือเกลือแกง หรือผงฟู(โซเดียมไบคาร์บอเนต) ส่วนสารชะล้างจะมีในยาสีฟันสมุนไพรที่ผสานเทคนิคการผลิตแบบสมัยใหม่เพื่อช่วยให้แปรงฟันได้ง่ายขึ้น สารปรุงแต่งกลิ่นและสี จะใช้น้ำมันหอมระเหยและสารสกัดจากพืชสมุนไพร ซึ่งนอกจากช่วยแต่งกลิ่นและรสของยาสีฟันแล้ว ยังเพิ่มสรรพคุณในการป้องกันรักษาโรคในช่องปากด้วย เช่น น้ำมันหอมระเหยสะระแหน่ อบเชย กานพลู เป็นต้น        ยาสีฟันสมุนไพรส่วนใหญ่ไม่ผสมฟลูออไรด์ (Fluoride) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยทำให้เคลือบฟันแข็งแรง ป้องกันฟันผุ ทำให้เป็นจุดอ่อนหนึ่งของยาสีฟันสมุนไพร  ที่อาจไม่ตอบโจทย์เรื่องป้องกันฟันผุ  แต่ปัจจุบันมียาสีฟันสมุนไพรหลายยี่ห้อที่ผสมฟลูออไรด์เพื่อลดจุดอ่อนข้อนี้         การโฆษณาในกลุ่มของยาสีฟันสมุนไพร มักอ้างว่า เป็นยาสีฟันที่ลดกลิ่นปาก ปากหอมสดชื่นซึ่งจากรายงานทางวิชาการ ที่มีอยู่ในขณะนี้ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าลดกลิ่นปากได้จริงหรือไม่ การใส่สารสมุนไพรต่าง ๆ ที่คาดหวังว่า จะฆ่าเชื้อโรคที่ทำให้เกิดกลิ่นปากนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะว่าเชื้อโรคที่ทำให้เกิดกลิ่นปากนั้นทนต่อสารเคมีหรือสมุนไพรที่ฆ่าเชื้อได้ดี ในคนที่มีกลิ่นปากจึงจำเป็นที่จะต้องตรวจวิเคราะห์ว่า มีกลิ่นปากจริงหรือไม่ และสาเหตุมาจากอะไรเพื่อรักษาได้ตรงจุด เช่น ในคนที่เป็นโรคปริทันต์อักเสบหรือเหงือกอักเสบก็ต้องรักษาโรคปริทันต์เป็นหลัก และถ้าคิดว่าแปรงฟันได้สะอาดไม่พอก็สามารถใช้ยาสีฟันสมุนไพรที่มีสารฆ่าเชื้อโรคช่วยลดอาการอักเสบที่เกิดขึ้นได้ ส่วนเรื่องราคาก็ต้องพิจารณาเองว่า ราคาแค่ไหนเหมาะสมกับตัวของคุณเอง                                                                                                                                                                                                                       ข้อมูล ทันตแพทย์ ดร.ธงชัย วชิรโรจน์ไพศาลฉลาดซื้อแนะ1.ยาสีฟันสมุนไพรควรใช้ในปริมาณน้อยตามที่ระบุบนฉลาก เพราะสมุนไพรบางชนิดออกฤทธิ์ทำให้ปากชา ใช้มากจะมีอาการข้างเคียงไม่พึงประสงค์2.สำหรับคนที่มีปัญหาฟันผุง่าย ควรใช้ชนิดที่ผสมฟลูออไรด์หรือใช้สลับกับยาสีฟันทั่วไปที่ผสมฟลูออไรด์3.ยาสีฟันสมุนไพรส่วนใหญ่ส่วนผสมใกล้กันมาก ดังนั้นอาจเลือกจากความชอบหรือพิจารณาจากราคาที่ไม่แพงเกินไปสรรพคุณของสมุนไพรที่นิยมใช้ในยาสีฟันสมุนไพรกานพลู (Clove) ช่วยยับยั้งแบคทีเรีย และเป็นยาชาจึงบรรเทาอาการปวดฟันได้เกลือ (Sodium Cholride ) เป็นสารทำความสะอาดเหงือกและฟันการบูร (Camphor) และ พิมเสน (Borneol) ช่วยทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น บำรุงเส้นประสาทรากฟันข่อย (Tooth brush tree)  แก้อาการปวดฟัน รักษารำมะนาดว่านหางจระเข้ (Aloe Vera) ช่วยในการสมานแผล ลดการอักเสบของเนื้อเยื่ออบเชย (Cinnamon) ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ สะระแหน่ (peppermint) ให้ความเย็น ทำให้ช่องปากหอมสดชื่น ใบฝรั่ง (Guava) มีฤทธิ์ลดการอักเสบของเหงือก ลดกลิ่นปากตลาดยาสีฟันในบ้านเรามีมูลค่ากว่า 8,000  ล้านบาท ยาสีฟันในเซ็กเม้นต์เพื่อการรักษายังคงเป็นเซ็กเม้นต์ใหญ่สุดมีสัดส่วนถึง 36% รองลงมาเป็นยาสีฟันทั่วไป 29% สมุนไพร 22% ยาสีฟันเพื่อฟันขาว 10% และยาสีฟันเด็ก 3%

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 209 ผลิตภัณฑ์ลดเซลลูไลท์

ฉลาดซื้อฉบับนี้มีข่าวดีที่จะช่วยให้คุณประหยัดเงินมาฝากอีกเช่นเคย ล่าสุดสมาชิกองค์กรทดสอบระหว่างประเทศได้ร่วมกันทดสอบผลิตภัณฑ์เจลหรือครีมที่อ้างว่าใช้เพื่อลดเซลลูไลท์หรือผิวเปลือกส้ม ทั้งหมด 13 แบรนด์ยอดนิยมในยุโรป ว่า “เห็นผล” ภายในหนึ่งเดือนตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ ทีมทดสอบแบ่งสัดส่วนคะแนนออกเป็นสามด้าน ร้อยละ 70 ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ ได้แก่ความเปลี่ยนแปลงของผิวหนังที่วัดได้โดยผู้เชี่ยวชาญ เช่นจำนวน และความลึกของรอยบุ๋ม (35) ความแตกต่างที่บันทึกได้ในภาพถ่ายอินฟราเรด (28)  และความแตกต่างของเส้นรอบวง ต้นขาก่อนและหลังการใช้ (7)   ร้อยละ 20 ความพึงพอใจของผู้ใช้ (เช่น กลิ่น เนื้อสัมผัส การซึมลงสู่ผิวหนัง)  ร้อยละ 10 ข้อมูลบนฉลาก (การแสดงข้อมูลที่ครบถ้วนและไม่อวดอ้างเกินจริง) อาสาสมัครที่เข้าร่วมทดสอบได้แก่ผู้หญิงอายุระหว่าง 18 – 50 ปี จำนวน 30 คน ที่มีลักษณะของผิวที่เหมาะแก่การทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ (คัดเลือกโดยผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง) อาสาสมัครเหล่านี้จะใช้ผลิตภัณฑ์เป็นเวลา 28 วัน วันละสองครั้งเช้า-เย็น โดยใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและนวดเบาๆ จนซึมเข้าผิวหนัง เราเสียใจที่จะต้องบอกคุณว่า ครีมหรือเจลเหล่านี้ยังไม่สามารถช่วยลดเซลลูไลท์ได้ดีนัก แม้แต่ Collistar Crio-gel Anticellulite ที่ได้คะแนนรวมดีที่สุด ก็ได้ไปเพียง 49 จากคะแนนเต็ม 100 เท่านั้น ที่น่าสนใจคือแม้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะได้คะแนนประสิทธิภาพในระดับเฉลี่ย 2 ดาว แต่ในด้านความพึงพอใจของผู้ใช้กลับได้ไปถึง 4 ดาวเลยทีเดียวอยากรู้ว่ายี่ห้ออื่นมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับแบรนด์นี้สักกี่มากน้อย เชิญติดตามได้ในหน้าถัดไปค่าใช้จ่ายในการทดสอบอยู่ที่ประมาณ 3,300 ยูโร หรือประมาณ 128, 600 บาท ต่อหนึ่งตัวอย่าง (ยังไม่รวม ราคาผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้ประมาณ 34 – 38 ขวด/หลอด สนนราคาก็มีตั้งแต่ประมาณ 300 ไปจนถึงเกือบ 2,000 บาท)  เงินมาจากไหน … เงินส่วนใหญ่มาจากค่าสมาชิกนิตยสารที่จัดพิมพ์โดยสมาชิกขององค์กร International  Consumer Research and Testing เพื่อนำเสนอผลทดสอบผลิตภัณฑ์/บริการให้ผู้บริโภคได้พิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อ ฉลาดซื้อก็เป็นสมาชิกองค์กรนี้เช่นกัน  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 200 ส่องฉลากสบู่สมุนไพร สูตรกระจ่างใส

ในเล่มที่ผ่านมาเราเคยส่องฉลากสบู่ฆ่าเชื้อและสบู่สมุนไพร สูตรลดสิวกันไปแล้ว คราวนี้กลับมาพบกันอีกครั้งกับ “สบู่สมุนไพร สูตรกระจ่างใส” ซึ่งถือเป็นสูตรที่ขายดีที่สุดอันดับหนึ่งในตลาดสบู่* เลยทีเดียว อย่างไรก็ตามด้วยสรรพคุณตามคำโฆษณาของสบู่สมุนไพรเหล่านี้ เช่น ปรับผิวให้ขาวเนียนใส ไร้ริ้วรอย  สว่างออร่า มีสารต้านอนุมูลอิสระหรือแม้แต่ช่วยเร่งการสร้างคอลลาเจน ส่งผลให้ราคาของสบู่สมุนไพรหลายยี่ห้อสูงกว่าสบู่ธรรมดาหลายเท่าตัว จนหลายคนอาจลืมไปว่าสบู่ดังกล่าวเป็นเครื่องสำอางประเภทหนึ่ง ซึ่งใช้เพื่อความสะอาด ความสวยงามเท่านั้น โดยไม่สามารถอ้างว่า บำบัด บรรเทา รักษา ป้องกันโรค ความเจ็บป่วย มีผลต่อโครงสร้างหรือการกระทำหน้าที่ต่างๆ ของร่างกายได้ เพราะหากทำได้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะกลายเป็นยารักษาโรคแทน  ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงขออาสาส่องฉลากสบู่สมุนไพรที่เน้นสรรพคุณว่าช่วยทำให้ผิวกระจ่างใส ว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้างหรือแตกต่างจากสบู่ธรรมดาทั่วไปอย่างไร เราลองไปดูกันเลย*หมายเหตุ อ้างอิงจากตลาดสบู่ ในเดือนมีนาคม 2560  ซึ่งจัดทำโดย ลอรีอัล (Marketeer) พบว่า มีมูลค่าตลาดรวม 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 1. สบู่บิวตี้ 43% 2. สบู่ฆ่าเชื้อเพื่อสุขภาพ 25% 3. สบู่สมุนไพร 17% 4. สบู่เด็ก 10% 5. อื่นๆ 5%ผลการดูฉลากสบู่สูตรผิวใส1. อิงอรสูตร: ผสมทองพันชั่งแท้ปริมาณสุทธิ: 160 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : น้ำมันธรรมชาติ โซเดียมไฮดรอกไซด์ กลีเซอรีน สมุนไพรมะขาม ทองพันชั่ง วิตามินซี เลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5320540ราคา: 29.5 บาท (0.2 บาท/กรัม)2. เทพสมุนไพรสูตร: อโรมา สครับ เชง หนงปริมาณสุทธิ: 100 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : ชาเขียว, ขิง, มะละกอAqua, Sodium Palmitate, Sodium Palm Kernelate, Glycerin, Fragranceเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5207519ราคา: 29 บาท (0.3 บาท/กรัม)3. นกแก้วสูตร: มะขาม ขมิ้น น้ำผึ้งปริมาณสุทธิ: 75 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Sodium Palm Kernelate or Sodium Cocoate, Sodium Palmate, Palm Kernelate Acid, Palm Acid, Glycerin, Sodium Chloride, Fragrance, Lactic Acid, Salicylic Acid, Camphor, Triclosan, Tamarindus Indica Fruit Extract, Butylene Glycol, Curcuma Longa (Turmeric) Root Extract, Honey Extractเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5874818ราคา: 20 บาท (0.3 บาท/กรัม)4. BENNETT เบนเนทสูตร: วิตามินซีและอีปริมาณสุทธิ: 130 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Natural soap, Glycerin, Vitamin C, Orange rind oil Herbal oil, Vitamin Eเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5318626ราคา: 40 บาท (0.3 บาท/กรัม)5. Citra ซิตร้าสูตร: ผงไข่มุก (มะขาม น้ำนมข้าวและ AHA)ปริมาณสุทธิ: 110 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Elaeis guineensis (Palm) oil, Oryza sativa (Rice) barn oil, Cocos Nucifera (Coconut) Oil, Sodium Hydroxide, Glycerin, Fragrance, Microcrystalline cellulose, Sucrose, Zea mays (Corn) Starch Melaleuca alternifolia (Tea tree) leaf oil, BHT, Ascorbic acid, Caprylic/capric triglyceride, Lactic acid, Tamarindus Indica Fruit Extract, Pearl extract, Potassium sorbate, Xanthan gumเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5910003270 ราคา: 48 บาท (0.4 บาท/กรัม)6. Sille ซิลลี่สูตร: มะขาม ขมิ้น ขิงปริมาณสุทธิ: 110 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : น้ำมันมะพร้าว น้ำ น้ำหอม โซเดียมไฮดรอกไซด์ สารสกัดมะขาม สารสกัดขมิ้น สารสกัดขิง ไทเทเนียม ไดอ็อกไซด์ เลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5311945ราคา: 39.5 บาท (0.4 บาท/กรัม)7. ธัญญะสูตร: มะขาม AHA& Vitamin Cปริมาณสุทธิ: 120 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Sodium Palmitate, Tamarindus Indica L., Rhinacanthus Nasutus, Fragranceเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5202853ราคา: 48 บาท (0.4 บาท/กรัม)8. KOKLIANG ก๊กเลี้ยงสูตร: Snow Lotus สโนว์ โลตัสปริมาณสุทธิ: 90 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Sodium Palmitate, Sodium Palm Kernelate, Glycerin, Vitamin E, Fragrance, Saussurea Involucrata Extract, Centella Asiatica Extract, Borneol, Aloe Barbadensis Leaf Extract, Jasmine Tea Extract, CI74160 เลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5873611ราคา: 35 บาท (0.4 บาท/กรัม)9. Protex โพรเทคส์สูตร: มะขาม ขมิ้น ทานาคาปริมาณสุทธิ: 130 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Sodium Palm Kernelate or Sodium Cocoate, Sodium Palmate, Fragrance, Tocopheryl Acetate (Vitamin E), Sodium Ascorbyl Phosphate (Vitamin CCurcuma Longa (Turmeric) Extract, Camellia Sinensis Leaf Extract, Limonia acidissima (Thanaka) Extract, Tocopherol (Vitamin E)เลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5908279ราคา: 48 บาท (0.4 บาท/กรัม)10. K. BROTHERSสูตร: สารสกัดเฮอร์คิวมินปริมาณสุทธิ: 110 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ: น้ำมันมะพร้าว โซเดียมไฮดรอกไซด์ ไทเทเนียม ไดออกไซด์ สารสกัดเฮอร์คิวมิน น้ำหอม น้ำเลขที่ใบรับแจ้ง: 24-1-5400053ราคา: 39.5 บาท (0.4 บาท/กรัม)11. SUPAPORN สุภาภรณ์สูตร: มะขาม+มะเฟืองปริมาณสุทธิ: 100 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Elaeis Guineensis Oil, Cocos Nucifera Oil, Sodium Hydroxide, Perfume, Camphor, Oryza Sativa Germ Oil, Copernicia Cerifera wax, Tamarindus Indica Heart Wood, Sodium Gluconate, Sodium Lactate, Borneol, Etidronic Acid, BHT, Salicylic Acid, Curcuma Aromatica Powder, Averrhoa Carambola Fruit Extract, Tamarindus Indica Fruit Extract,เลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5511791ราคา: 49 บาท (0.5 บาท/กรัม)12. De leaf THANAKA เดอ ลีฟ ทานาคาสูตร: มอยส์เจอร์ไรซิ่ง แอนด์ ไวท์เทนนิ่งปริมาณสุทธิ: 100 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Sodium Palm Kernelate, Sodium Cocoate (Coconut oil), limonia acidissima bark powder (Thanaka Powder), Fragrance, Curcuma Longa Root Powder (Turmeric), Glycerin, Tocopheryl Acetate (Vitamin E), Nicotinamide (Vitamin B3), limonia acidissima extract (Thanaka Extract) เลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5712945ราคา: 45 บาท (0.5 บาท/กรัม)13. PARN VIMARN ปานวิมานสูตร: ขมิ้นชัน ผสมทานาคาปริมาณสุทธิ: 125 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Cocos Nucifera Oil, Elaeis Guineensis Oil, Sodium Hydroxide, Perfume, Glycerin, Galanga rhizomes extract, Butyrospermum parkii (shea) butter extract, Olea europaea (olive) fruit oil, Tocopheryl Acetate, Limonia acidissima bark extract, Curcuma longa root extractเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5631586ราคา: 80 บาท (0.6 บาท/กรัม)14. Lavenze ลาเวนเซ่สูตร: น้ำนมข้าวหอมมะลิปริมาณสุทธิ: 90 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Sodium Palm Kernelate, Sodium Cocoate (Coconut oil), Rice, Milk Fragrance, Glycerin, Tocopheryl Acetate (Vitamin E), Oryza Sativa (Rice) Extractเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5635553ราคา: 65 บาท (0.7 บาท/กรัม)15. GIFU กิฟุสูตร: ถ่าน ลาวาภูเขาไฟปริมาณสุทธิ: 70 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Palmitic Acid, Lauric Acid, Propylene Glycol, Sodium Laureth Sulfate, Stearic Acid, PEG-40 Glyceryl Cocoate, Sodium Coceth Sulfate, Etidronic Acid, Charcoal Powder, Lava Powder, Sericinเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-6001000ราคา: 59 บาท (0.8 บาท/กรัม)16. สวนสมุนไพรอุ่นหนาฝาคั่งสูตร: น้ำผึ้งนางพญาปริมาณสุทธิ: 130 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : พญายอ, ลิ้นทะเล, น้ำมันสมุนไพรมะพร้าว, JRD, น้ำมันงาเชย, น้ำมันรำข้าวสีนิลเลขที่ใบรับแจ้ง: 13-1-5400173ราคา: 119 บาท (0.9 บาท/กรัม)17. TANAKAสูตร: Perfect white soapปริมาณสุทธิ: 65 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Aqua, Sodium Palmitate, Sodium Palmkernal, Sodium Cocoate, Glycerin, Sodium Laureth Sulfate, Niacinamide (vitamin b3), Fragrance oil, Tocopherol, Trehaloseเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5938334ราคา: 120 บาท (1.8 บาท/กรัม)18. OAB’S SOAP โอปโซฟสูตร: Moonlight Honey Drop มูนไลท์ ฮันนี่ ดรอปปริมาณสุทธิ: 80 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Palmitic Acid, Stearic Acid, PEG-40 Hydrogenated castor oil, Decyl glucoside, Lauric Acid, Myristic acid, Fragrance, Wild Honey, Manuka honey, Bitter honey, Sodium chloride, Niacinamide, Evening primrose oil, Passion fruit extract, Citrus lemon fruit extractเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-6010024812 ราคา: 250 บาท (3 บาท/กรัม)ข้อสังเกต1.มีบางยี่ห้อที่มีเลขที่จดแจ้ง 13 หลัก ซึ่งต่างจากเดิมที่มีแค่ 10 หลัก โดยทาง อย. ได้ชี้แจงว่าปัจจุบันได้มีผู้จดทะเบียนเครื่องสำอางมากขึ้น ทำให้เลขที่จดแจ้งของเครื่องสำอางเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตามผู้บริโภคควรตรวจสอบความถูกต้องของเลขที่จดแจ้งก่อนทุกครั้ง ผ่านการสืบค้นข้อมูลที่เว็บไซต์ของอย. (www.fda.moph.go.th) 2.สบู่สูตรที่อ้างว่าช่วยให้ผิวกระจ่างใส จะมีราคาค่อนข้างแพง พบว่า ยี่ห้อที่แพงที่สุด ตกราคากรัมละ 3 บาท ได้แก่  OAB’S SOAP โอปโซฟ รองลงมาคือ TANAKA ที่ตกที่ราคากรัมละ 1.8 บาท ขณะที่ยี่ห้ออื่นๆ มีราคาต่อกรัมไม่เกิน 1 บาท โดยสบู่ตัวที่มีราคาเฉลี่ยต่ำสุด 20 สตางค์ คือ อิงอร   ส่วนผสมในสบู่ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว 1. กลุ่มสารลดแรงตึงผิว ได้แก่ สารลดแรงตึงผิวประจุลบ คือ Sodium Lauryl Sulfate (SLS) และ Sodium Laureth Sulfate (SLES) และสารลดแรงตึงผิวสองประจุ ได้แก่ Cocamidopropyl Betaine สำหรับสารในกลุ่มนี้มีคุณสมบัติในการทำให้เกิดฟองและสามารถความสะอาดได้ดี ซึ่งสาร SLS จะมีความสามารถชำระล้างได้รุนแรงกว่าชนิดอื่น ทำให้อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ในบางคน ผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายควรหลีกเลี่ยง 2. กลุ่มสารที่มีความเป็นด่างสูง ซึ่งอาจทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคืองได้ ได้แก่ Potassium Hydroxide และ Sodium Hydroxide 3. สารกลุ่มกรดไขมันและเกลือของกรดไขมัน ได้แก่ Potassium Myristate, Potassium Palmitate, Potassium Laurate, Potassium Oleate, Potassium Stearate, Stearate, Stearic acid, Palmitic acid, Lauric acid, Myristic acid สามารถทำให้เกิดคราบไคลสบู่ตกค้างในรูขุมขน ส่งผลให้เกิดสิวอุดตันได้ง่าย 4. สารกลุ่มน้ำหอม ได้แก่ Perfume, Fragrance  อาจก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองในผู้ที่แพ้น้ำหอม 5. ส่วนผสมของสารต้านแบคทีเรีย Triclosan มีผลต่อการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรีย และถูกแบนแล้วที่อเมริกาแนะวิธีดูแลผิวให้ขาวใส1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว เช่น ผักผลไม้ที่มีวิตามินที่มีวิตามิน A ซึ่งพบมากในผลไม้สีเหลือง ส้ม แดงและเขียวเข้ม จะสามารถช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างใส มีความชุ่มชื้น หรือผลไม้ที่มีวิตามิน C ให้ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ซึ่งพบมากในผักตระกูลกะหล่ำ มะรุม บลอกโคลี และผลไม้หลายชนิด เช่น ฝรั่ง ลิ้นจี่ ส้มโอ มะละกอสุก สตอร์เบอรี่ พุทรา หรือผลไม้ที่มีวิตามิน E เพราะสามารถช่วยช่วยชะลอความแก่ ทำให้ผิวพรรณสดใส พบมากในน้ำมันจากธัญพืช และถั่วประเภทเปลือกแข็ง รวมทั้งควรดื่มน้ำสะอาดและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ2. ดูแลตัวเองจากปัจจัยภายนอก เช่น หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เร่งให้ผิวเสียด้วยการดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และอย่าลืมทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง นอกจากนี้อาจมีการขัดผิวอาทิตย์ละครั้งเพื่อกำจัดเซลล์ที่ตายแล้ว ด้วยวิธีที่ปลอดภัยอย่างสมุนไพรประจำบ้านเรา เช่น มะขามเปียก เนื่องจากมีกรด AHA ที่จะช่วยลอกผิวหนังชั้นบนที่ตายออก ทำให้รอยแผลเป็นจางลงได้ แต่ไม่ควรใช้บ่อยๆ เพราะอาจทำให้ผิวบางและไวต่อแสงแดด หรือใช้ขมิ้นชันขัดผิว เพราะมีคุณสมบัติยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน ช่วยทำให้สีผิวกระจ่างใสขึ้นได้ 

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 200 ลิปบาล์มของใครให้ความชุ่มชื้นดีกว่า

ฉลาดซื้อฉบับนี้ขอนำผลทดสอบผลิตภัณฑ์ดูแลริมฝีปากหรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่าลิปมัน/ลิปบาล์มมาฝาก การทดสอบขององก์กรทดสอบระหว่างประเทศ (International Consumer Research and Testing) ครั้งนี้มีแม่งานเป็นองค์กรผู้บริโภคของประเทศโปรตุเกส DECO PROTESTE  และมีประเทศสมาชิกอย่างสเปน อิตาลี ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม และฮ่องกงส่งตัวอย่างไปร่วมทดสอบ (และร่วมลงขันค่าใช้จ่าย)*เจ้าภาพเขาออกแบบการทดสอบครั้งนี้ไว้เป็นสองประเด็น ประเด็นแรกคือเรื่องของความปลอดภัย เราทราบกันดีว่าเครื่องสำอางประเภทให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนังมักจะมีส่วนประกอบของ Mineral Oils  เพราะมีคุณสมบัติที่ดี ไม่เหม็นหืน ไม่เสีย ไม่ทำให้เกิดสิว ฯลฯ แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้มีการพูดถึงเรื่องการเป็นสารก่อมะเร็งด้วยหรือการสะสมในเนื้อเยื่อจนเป็นอันตรายต่อตับเช่นกัน ในยุโรปก็ประกาศข้อแนะนำว่าด้วยการควบคุมการปนเปื้อนของไฮโดรคาร์บอนจากน้ำมันมิเนอรัลในอาหารหรือภาชนะบรรจุอาหารเมื่อต้นปีที่ผ่านมาแม้จะยังไม่มีผลวิจัยชี้ชัดในกรณีของเครื่องสำอาง แต่ผู้ผลิตหลายรายก็เริ่มเปลี่ยนมาผลิตเครื่องสำอางเหล่านี้โดยไม่ใช้สารดังกล่าวกันมากขึ้น การทดสอบขั้นแรกของเราจึงเป็นการตรวจหาไฮโดรคาร์บอนสองประเภทได้แก่ Mineral Oil Aromatic Hydrocarbons (MOAH) และ MOSH (Mineral Oil Saturated Hydrocarbons) ผลิตภัณฑ์ที่ตรวจพบ MOSH  (C16 –C35) เกินร้อยละ 10 หรือมี MOAH ไม่ว่าจะในปริมาณเท่าใด จะไม่ได้เข้าสู่การทดสอบขั้นที่สอง ซึ่งเป็นการตรวจหาประสิทธิภาพการให้ความชุ่มชื้น ความพึงพอใจของผู้ใช้ และการให้คะแนนฉลากที่เป็นมิตรต่อผู้บริโภค ค่าใช้จ่ายในการทดสอบต่อหนึ่งตัวอย่างอยู่ที่ประมาณ  88,200 บาทตรวจหาไฮโดรคาร์บอน  750 ยูโร     (30,000 บาท)ตรวจวัดประสิทธิภาพการรักษาความชุ่มชื้น1,300 ยูโร     (51,000 บาท)สำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้ 184.5 ยูโร       (7,200 บาท)การทดสอบขั้นที่สอง (สำหรับกลุ่มที่ไม่ถูกคัดออก) มีคะแนนเต็มให้ 100 แบ่งออกเป็น  1) ประสิทธิภาพการรักษาความชุ่มชื้น ร้อยละ 60 เป็นการทดสอบโดยห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่จะเป็นผู้ทาผลิตภัณฑ์ลงบนปลายแขนด้านใน ของอาสาสมัคร ในปริมาณที่เท่ากันคือ 2 มิลิกรัมต่อ 1 ตารางเซนติเมตร (ซึ่งจะต้องใช้ ผลิตภัณฑ์อาบน้ำที่ทีมงานกำหนดในช่วง 3 วันก่อนการทดสอบ) ในห้องที่มีการควบคุม อุณหภูมิไว้ที่ 22 องศาเซลเซียส ความชื้นร้อยละ 45 - 55 เจ้าที่จะวัดค่าความชุ่มชื้นด้วย Corneometer ก่อนทา หลังทา 2 ชั่วโมง และ 6 ชั่วโมง 2) ความพึงพอใจของผู้ใช้  ร้อยละ 30  อาสาสมัครจำนวน 30 คน ซึ่งเป็นผู้หญิงในวัยต่างๆ ทดลองใช้แล้วตอบแบบสอบถามหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ 15 นาที3) ฉลากที่เป็นมิตรต่อผู้บริโภค ร้อยละ 10  การให้ข้อมูลที่จำเป็นโดยไม่อวดอ้างเกินจริง รวมถึงแพ็คเกจและการซีลในภาพรวมเราพบว่าคะแนนความพึงพอใจของผู้ใช้ในตัวผลิตภัณฑ์มักจะสูงกว่าค่าประสิทธิภาพในการรักษาความชุ่มชื้น และยังไม่มีผลิตภัณฑ์ไหนได้คะแนนรวมถึงร้อยละ 70  ด้วย มาดูกันเลยดีกว่าว่าลิปบาล์มที่คุณชื่นชอบนั้นได้คะแนนแต่ละด้านเท่าไรจากคะแนนเต็ม 100 รายชื่อผลิตภัณฑ์ที่ DECO PROTESTE ไม่ได้ทำการทดสอบเนื่องจากตรวจพบส่วนผสมที่มีน้ำมันมิเนอรัลเช่น พาราฟิน หรือปิโตรลาทัม (เราไม่ได้นำเสนอว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีอันตรายเราเพียงต้องการให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้บริโภคที่ไม่ต้องการใช้ลิปบาล์มที่มีสารประกอบดังกล่าวแม้จะมีปริมาณไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด)Aptonia Lip balm moisturising hydratantAvene Eau Thermale Cold Cream Nourishing Lip BalmBalmi Super Cube Lip Balm Lippenbalsam CoconutBebe Young Care /Johnson's Lipcare ClassicBlistex Lip Relief CreamBoiron Homéostick Baume lèvres au alendulaCarmex ClassicChesebrough Kløver vaselineContinente Baton para lábios Classic 15 UVBEucerin Lip aktivGarnier Ultra Doux Trésors de mielHelle Balzám with SPF8La Roche Posay NutriticLabello OriginalLabello Classic careLabello Sun protectLe petit Marseillais NutritionLe petit Marseillais NutritionLetibalm Bálsamo reparador nariz labiosLouis Widmer Soin lèvres stick uvMaybelline Baby lips Dr Rescue too coolMaybelline Babylips hydrateMentholatum Lipbalm original (2-pak)Neutrogena Stick labbraNeutrogena PotRepavar Regeneradora Hidratante SPF 20 potUriage Stick Lévres HydratantVaseline Vaseline OriginalVichy Aqualia ThermalVitalis Vedetön voideYves ROCHER Macadamia

อ่านเพิ่มเติม >