ฉบับที่ 205 ณภัทร ทยุติชยาธร ผู้เสียหายจากไลฟ์สด ซื้อง่าย จ่ายคล่อง

เมื่อต้นเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา กลุ่มผู้เสียหายจากการจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ของบริษัทเมจิกสกิน รวมตัวนับร้อยคน เข้าแจ้งความที่กองปราบปราม ระบุว่าบริษัทดังกล่าวมีพฤติกรรมหลอกลวงให้ร่วมลงทุนจำหน่ายสินค้า ที่มีการปลอมแปลงและสวมเลข อย. มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาทฉลาดซื้อ ได้เข้าพูดคุยกับคุณณภัทร ทยุติชยาธร  หนึ่งในผู้บริโภคที่ตกเป็นเหยื่อของกลไกของการหลอกลวงในรูปแบบธุรกิจขายตรงผ่านการไลฟ์สด  เพื่อตีแผ่ถึงเรื่องนี้“ได้ดูไลฟ์สดของบริษัทฯ นี้ แล้วเราก็สนใจเพราะเขาก็โฆษณาว่าสินค้าเขาดี ขายดี และเขาก็พูดถึงโครงการปั้นรากหญ้าให้เป็นเศรษฐี เขาจะช่วยเหลือคนที่เงินหลักร้อยให้เป็นหลักล้านได้ เราฟังแล้วก็รู้สึกว่าน่าสนใจ เป็นโรงเรียนสอนรวยค่ะ ของแม่หญิงคนหนึ่ง เขาเป็นทีมงานเดียวกันหมดเพราะตอนที่เข้าไปอยู่ เขาก็มีมาถามว่าใครจะไปเรียน แต่ว่าก็จะมีเก็บค่าคอร์สสอน แต่ว่าไม่ใช่เรียนแค่วันเดียวต้องเรียนประมาณ  2 – 3 วัน ซึ่งเราอยู่ต่างจังหวัดก็ไม่สะดวกเลยไม่ได้มา เขาก็มีมาถามเพราะตอนแรกเราสมัคร VIP แล้วเขาจะทำเหมือนสินค้าของเขาขายดีมาก จะให้สินค้าเราไม่ครบ ตอนไปทีแรกนั้นใช้เวลาเป็นเดือนเลยที่เสียเงินเข้าไปแล้วยังไม่ได้สินค้า”ช่วยเล่าเรื่องเงินที่ใช้จ่ายไปกับบริษัทฯค่าแรกเข้า 30,000 บาทสำหรับ VIP เขาบอกว่าจะได้ทองค่ะ แต่จุดเริ่มต้นคือ เป็นตัวแทนก่อน เราเข้าไปเป็นตัวแทนขาย แต่ตอนแรกเราไม่รู้ว่ามันจะเอาผลิตภัณฑ์ของเขามาทาอะไรได้ คิดแค่ว่าเป็น “เซรัมรักแร้” เราก็คิดแค่จะไปขายเซรัมรักแร้ คิดว่ามันน่าจะโอเค  เพราะว่าโรลออนเวลาใช้บางทีมันจะเป็นคราบ แต่นี่เป็นเซรัม เขาว่ามันซึมง่ายเราก็เลยเข้าไปขาย เราจ่ายแรกเข้า 30,000 บาทจะได้แหวนทองและผลิตภัณฑ์ และจะมีการโยนออเดอร์ให้ ถ้าขายไม่เป็นเขาก็มีการสอนให้ทุกอย่าง เขาโฆษณามาอย่างนี้เราก็คิดว่าไม่น่าจะยาก ซึ่งเรายังไม่เคยทำออนไลน์เลย นี่ครั้งแรกในชีวิตที่เข้ามาขายออนไลน์ ก็สมัครเข้าไป ผลปรากฏว่า พอโอนเงินเข้าไป เขาก็เรียกเราเข้ากลุ่ม พอเข้าไปแล้วเขาก็จะส่งแคปชั่นให้เราต้องโพสต์ทุกวันและมีรีวิวประกอบพร้อมแคปชั่นให้วันละ 5 – 10 ครั้งแล้วแต่เขาจะส่งมา เราก็โพสต์ๆ ตามเขา แต่สินค้าก็ยังไม่มีก็โพสต์ไปเรื่อยๆ ยังไม่ได้ขาย เขามาบอกตอนหลังจากที่จ่ายเงินไปแล้วว่าสินค้าเป็นพรีออเดอร์ ก็คือต้องรอสินค้าก่อน เราก็ตามตลอดตั้งแต่เข้าไปอาทิตย์แรกว่าจะได้สินค้าเมื่อไร ถามกับดีลเลอร์เพราะว่าตัว CEO ที่ขายให้พอเราเข้ากลุ่มไป ก็ติดต่อเขาไม่ได้แล้ว เขาให้ติดต่อผ่านดีลเลอร์ในกลุ่มแทน ซึ่งพอถามว่าจะได้สินค้าเมื่อไรดีลเลอร์ก็จะบอกแค่ว่าไม่ทราบ ต้องรอทาง CEO แจ้งมา ตอบผัดเราแบบนี้ตลอดจนผ่านไปเป็นเดือน เราก็คิดว่าถ้าสินค้ามาช้ามากขนาดนี้แล้วคนที่เขาไม่มีเงินจะทำอย่างไรเพราะเงินมันจม เราโพสต์ขายของทุกวันแต่ไม่มีของขาย พอหลังจากนั้นเดือนกว่าๆ ของก็เริ่มมา ที่เราจ่ายไป 30,000 บาทแรกนั้นต้องได้ 1,000 ชิ้นแต่สรุปของมาแค่ 100 กว่าชิ้น เลยถามไปว่าทำไมของมาแค่นี้ เขาบอกว่าสินค้าขายดีมาก สินค้ามาไม่พอเพราะต้องกระจายของทั่วประเทศให้แบ่งๆ กันไปก่อน เขาอ้างมาแบบนี้เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ปล่อยไปตามเรื่อง แต่เขาก็บอกว่าถ้าคุณอยากได้สินค้าเพิ่มขึ้น คุณต้องจองเพิ่ม เขาแนะนำมาแบบนี้และสินค้ามาลอตหน้าคุณจะได้สินค้าเพิ่ม แต่ถ้าจองเพิ่มก็ต้องโอนเงินเพิ่ม เราก็จองเพิ่มเป็น 5,000 ชิ้น ซึ่งต้องโอนเงินไป 135,000 บาท ซึ่งเรามีเราก็โอนได้ แต่ลองคิดดูว่า คนที่เขาไม่มีเงินก็แย่เลย ประสบการณ์เมื่อได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มขายเจอกับอะไรบ้าง พอเข้าไปอยู่ก็กะท่อนกะแท่น แต่ก็ต้องทนอยู่เพราะเราลงเงินไปแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่ง มีรีวิวที่เกี่ยวกับโรคสะเก็ดเงิน เขามีรีวิวเยอะมากที่ส่งมาให้ บางวันก็เป็นแผลผ่าตัด เป็นโรคเชื้อราที่หนังศีรษะ แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก เขาจะมีรีวิวให้เราโพสต์ทุกวัน จนวันหนึ่งมีรีวิวตัวนี้มาที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน พอเห็นก็คิดถึงลูกเพราะลูกเราเป็น “เขาบอกใช้แล้วหาย” ถ้าอย่างนั้นเราเอามาทาให้ลูกดีกว่า อยากให้ลูกหาย เพราะคุณหมอเคยบอกว่าโรคนี้รักษาไม่หาย แค่บรรเทาอาการแต่ไม่มีทางหายขาด เราก็เลยลองกับลูกตัวเอง ซึ่งลูกเองไม่ได้อยากใช้เลย เราไปบังคับเขาให้ทาด้วยซ้ำ จากตอนแรกที่เป็นไม่เยอะ พอทาไปประมาณ 2 – 3 วันก็เริ่มแดงและคัน เห่อขึ้นมาเต็มเลย แล้วก็เป็นแผลเฟะเต็มไปหมดเลย จึงหยุดใช้และกลับไปหาหมอเหมือนเดิม ตอนนี้ก็ยุบไปเยอะ เริ่มดีขึ้นแล้ว ทาให้ลูกไปเกือบเดือน ใช้ไปประมาณ 2 กล่องตอนเห็นอาการของลูกทำไมไม่หยุดทาคิดว่ามันผลักเชื้อออกมาก่อน เพราะเราก็ไปถามแม่ทีม เขาบอกว่าเริ่มแรกมันจะผลักอาการออกมาก่อนเราก็บอกลูกให้อดทนก่อน ก็ยังโชคดีที่ลูกมีแค่อาการทางผิวหนัง ไม่ได้เป็นอาการแทรกซ้อนอื่นได้ถามหมอไหมว่าเซรั่มตัวนี้มีส่วนผสมอะไร ลูกถึงอาการแย่ลงทีแรกเรายังไม่ได้หาหมอ พอแผลเฟะก็หยุดใช้แล้วค่อยไปหาหมอ ตอนนั้นก็ยังไม่รู้จะหาใครมาช่วยเหลือเรา ก็ได้แต่เงียบๆ  จนได้มาเห็น เพจดอกจิก ซึ่งมีลูกทีมมาบอกว่า เพจดอกจิกกำลังตามเรื่องบริษัทนี้อยู่ เรื่องสินค้าผิดกฎหมาย ลองให้เราติดต่อไปดู เราก็ลองติดต่อไป ว่าเราเป็นผู้เสียหาย และเล่ารายละเอียดให้เขาฟัง ทางเพจก็ขอให้ถ่ายรูปส่งไป เขาก็เอาลงในเพจ พอลงเพจทางบริษัทที่เราสมัครเป็นทีมขายรู้ เขาก็ส่งอินบ็อกซ์มาข่มขู่เรา “เขาพูดเหมือนเขาเป็นคนดีและบอกว่าคนแถวบ้านมึง เขาเกลียดมึงทั้งนั้น เขาจะมารุมกระทืบมึง” ส่งข้อความมาแบบนี้เลย เราก็งง แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรไป เพราะเขาบล็อคเราไปเลย เราก็เลยส่งไปให้เพจดอกจิกดู ว่าทางบริษัทอินบ็อกซ์มาแบบนี้ ทางเพจก็เอาไปลงอีกที ต่อมาทางบริษัทไลฟ์สดด่าเราเลย วันนั้นเข้าจ้างเน็ตไอดอลมา 1 คนให้มาสัมภาษณ์เขา เขาบอกว่า เขาไปสืบมาแล้วว่าเรามีลูก 3 คนเคยเป็นตัวแทนขาย เคยเป็นแม่ทีม ขายสินค้าได้เป็นแสนๆ ซอง เรานั่งฟังก็งงว่าเรานี่นะขายได้เป็นแสนๆ ซอง คือเขาพยายามสร้างเรื่องให้เหมือนกับสินค้าของเขาดีจริงๆ ไม่อย่างนั้นเราขายไม่ได้เป็นแสนซองหรอก หลังจากนั้นเขาก็ขู่มาในไลฟ์สดว่าจะมาหาแน่ และถ้าฉันไปเธอไม่รอดแน่ ฉันจะเอาเธอตาย เราก็เอาไปให้เพจดอกจิกต่อ ทางเพจก็ลงอีก เขาก็เหมือนโกรธแค้นเราอยู่ทุกวันนี้ หาว่าเราทำเขาเสียชื่อเสียงแต่เราไม่ได้ทำอะไรเลย ก็สินค้าคุณไม่มีคุณภาพ เพราะตอนนี้ อย. ก็สั่งระงับไม่ให้ขายแต่คุณก็ยังขาย ยังจะหลอกลวงคนอยู่แบบนี้ ถ้าเราไม่ออกมาจะเป็นอย่างไร เพจดอกจิกเองก็สนับสนุนบอกว่าเราต้องออกมา และให้เราไปแจ้ง สคบ. ก่อนไป เราก็คิดว่าเราจะไปทำอะไรเขาได้เพราะเราก็แค่คนตัวเล็กๆ แต่เพจบอกต้องไปร้องเรียนก็เลยไป กับเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่มเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อนในกลุ่มเยอะนะคะ เฉพาะในทีมเดียวกันก็ 200 - 300 คน คนที่อยู่ระดับต่ำกว่า VIP นั้นตายแน่ถ้าเจออย่างนี้ คือทุกคนก็มีปัญหา และออกมาโวยวายกัน พอโวยวายเขาก็ดีดออกจากกลุ่มเลย พอถูกดีดออกแล้วก็จะติดต่อใครไม่ได้เลย ถามอะไรเขาก็ไม่ตอบ ไม่สนใจ ไม่คืนเงินด้วย ทักไปถามเขาก็บอกว่าไม่คืนมันเป็นกฎ ซึ่งตอนโฆษณาเขาจะบอกว่าออกใบเสร็จรับเงินให้ แต่จริงๆ ไม่มีเลยตั้งแต่เข้าไปไม่เคยมีใบเสร็จรับเงินจากเขาเลย เราโอนเงินไปเปล่าๆก่อนที่เขาจะดีดเราออกจากกลุ่ม  บริษัทเขาฉลาดมาก เพราะเขานั้นตั้งใจจะดีดเราออกอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ว่าเขาจะดีดเราออกเมื่อไร เขาบอกให้เราเพิ่มยอด ถ้าเพิ่มยอดรอบนี้ของมาแน่นอน เขาอ้างมาแบบนี้เราก็เสียดายของเก่า ก็เพิ่มไปอีก 135,000 บาท รวมเป็น 270,000 บาท หลังจากนั้นอีก 5 วัน เขาโทรมาแจ้งว่าของจะมาส่ง และก็มาจริง มาล็อตเดียวเต็มบ้านเลย ของมาส่งประมาณ 10 โมงเช้า พอบ่ายโมง เขาดีดเราออกจากห้องเลย ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ จนมีลูกทีมมาถามว่าทำไมเขาดีดแม่ออกจากห้อง และพวกหนูก็กำลังจะถูกดีดเหมือนกัน กลุ่มเราโดนหมดเลย เกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็บอกลูกทีมไปว่ายังไม่รู้ว่าเรื่องอะไรเหมือนกันเดี๋ยวจะลองโทรไปถามดีลเลอร์ แต่พอโทรไป เขาบอกไม่รู้ CEO สั่งมา เลยถามกลับไปว่าแล้วสินค้าเพิ่งจะส่งมาให้พี่ พี่จะทำอย่างไรสินค้ากองเต็มบ้านเลยแล้วอยู่ดีๆ มาดีดพี่ออก เขาบอกว่าไม่รู้ให้ไปคุยกับ CEO เอาเอง แต่เราได้ยินเสียง CEO พูดอยู่ข้างๆ เราเลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นขอเบอร์ CEO ได้ไหม เพราะเราไม่มีเบอร์ถ้าทักไปในอินบ็อกซ์เขาก็ไม่ตอบแน่นอน เพราะเคยมีเหตุการณ์ที่คนที่ตำแหน่งต่ำกว่าดีลเลอร์ทักไปหาเขา เขาด่ากลับเลยแล้วก็ไม่ตอบ และสั่งพวกดีลเลอร์ให้บอกในทีมว่าถ้าใคร ที่ตำแหน่งต่ำกว่าดีลเลอร์ห้ามทักเขาเข้ามา ทั้งอินบ็อกซ์และไลน์ส่วนตัว คนที่จะคุยกับเขาได้ ต้องเป็นระดับดีลเลอร์ขึ้นไปเท่านั้น เราก็เลยขอเบอร์ CEO เพราะในเมื่อเราเพิ่งโอนเงินให้ไป 5 วันที่แล้วพอรับของแล้วมาดีดเราออกแล้วเราจะขายของอย่างไรของกองเต็มบ้าน สรุป CEO เขาก็มารับสายกว่าจะมาคุยก็โวยวายอยู่ข้างๆ พอมารับก็พูดว่า “ก็เรื่องของแกสิ จะไปขายอย่างไรก็เรื่องของแก ฉันไม่สนใจ” เราจึงบอกให้เอาของคืนไปในเมื่อไม่ให้ขายก็เอาคืนไปอยู่ๆ เอาของส่งมาแล้วทำอย่างนี้ เขาตอบกลับมาว่าฉันไม่รู้และไม่รับของคืน แล้วแกจะขายอย่างไรก็เรื่องของแก แล้วกฎของเขาคือ ห้ามขายพวกร้านขายส่ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ห้ามเราขายส่ง เราจึงบอกไปว่าถ้าคุณทำอย่างนี้ ฉันก็ต้องผิดกฎนะ จะเอาไปเทขายให้ตามร้านยี่ปั๊ว เขาบอกว่าถ้าแกไปขายฉันจะแจ้งความจับแก เลยถามกลับว่าจะแจ้งความข้อหาอะไร เขาตอบว่าข้อหาขายของปลอม เลยเถียงว่าของก็มาจากบริษัทคุณแล้วมันจะปลอมตรงไหน เขาบอกว่าเขาไม่รู้แต่ฉันจะแจ้งความว่าแกขายของปลอม พอตอบมาแบบนี้เราก็งงและไม่รู้จะทำอย่างไร ไหนจะของที่มาส่งเต็มบ้านอีก ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ลูกทีมมาบอกเรื่องเพจดอกจิกก็เลยได้ขอความช่วยเหลือไป เพราะเราเป็นผู้เสียหาย 2 ระลอก ระลอกแรกคือเอาสินค้าไปให้ลูกใช้ แล้วมีอาการเห่อ ระลอกที่ 2 คือหลอกให้เราสั่งของมาสต๊อกเพียบแล้วเทเราทิ้งเลย แล้วมีคนโดนเทเยอะมาก มีน้องอีกคนที่น่าสงสารมากเพิ่งเข้าไปได้ไม่กี่วัน แล้วก็ถูกเทออกมา เพราะว่าดูไลฟ์สดแล้วชอบเหมือนกัน เลยสมัครเข้าไป คนที่เข้ามาคือดูจากไลฟ์สดทั้งนั้น ใช่ค่ะ แทบทุกคนมาจากการดูไลฟ์สด เพราะเขาพูดจาน่าเชื่อถือ มีเน็ตไอดอลเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ใช้แต่เน็ตไอดอลดังๆ ทั้งนั้น แล้วแต่ละคนก็จะบอกว่าใช้ตัวนั้นดี ตัวนี้ดี คนส่วนใหญ่ก็จะเชื่อพวกดารา พวกเน็ตไอดอลทั้งนั้นเพราะเขามีชื่อเสียง และอีกอย่างเวลาไลฟ์สดเขาจะโชว์เงิน เขาจะบอกว่าเป็นโครงการปั้นรากหญ้าให้เป็นเศรษฐี จะเอาเงินมากองโชว์ให้เห็นว่าขายแล้วจะได้แบบนี้ ใครๆ ก็อยากมีเงินทั้งนั้นถ้าขายแล้วดีอย่างนี้ ใครก็อยากขาย นี่จึงเป็นจุดเด่นที่ดึงผู้คนเข้ามาสมัครเดิมเข้าใจว่าไปดูโฆษณาออนไลน์ แล้วก็ดูเฟซบุ๊คไลฟ์นี้ แต่ไม่รู้ว่าต้องเข้าไปเป็นตัวแทนการขายก่อน ตอนแรกที่เขาไลฟ์ เขาบอกแค่ว่า เซรัมทารักแร้ สามารถทาได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า และเขาจะพูดคำนี้ตลอดว่าเซรัมนี้เหมือนยาสามัญประจำบ้านต่อไปทั้งประเทศไทย และต่อไปทั่วโลกจะต้องมีเซรัมตัวนี้อยู่ในบ้านของทุกคนเพราะมันเปรียบเหมือนยาสามัญประจำบ้าน ต้องมีติดบ้านไว้ ใช้ทาได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า พอเราเข้าไปเป็นตัวแทนจะเห็นรีวิวเยอะมาก รักษาแผลเบาหวานก็ได้ แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกก็ได้ แผลผ่าตัดก็ได้ สิวฝ้าสารพัด แม้กระทั่งสะเก็ดเงินนี้ก็ได้ งูสวัดก็ได้อยากให้เกิดมาตรการอะไรบ้าง ที่จะช่วยเหลือในกรณีนี้ อยากให้รัฐช่วยควบคุมการรีวิวโฆษณาต่างๆ เหล่านี้ว่ามันเกินจริงจนเกินไป บอกว่าเป็นเซรัมรักแร้ แต่พอไปขายบอกว่ารักษาได้ร้อยแปดพันเก้า แทบจะทุกโรคเลยที่เกี่ยวกับผิวหนัง แล้วผู้บริโภคบางคนเขาไม่รู้ว่ามันจริงหรือไม่จริง เห็นมีรีวิวมามีแต่ดารา เน็ตไอดอลดังๆ ยืนยันคนก็จะเชื่อ อย่างเราใช้ไปแล้วเกิดผลเสียหายตอนแรกไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปพึ่งใคร ก็ได้แต่บอกทางบริษัท แต่บริษัทก็ไม่สนใจ ได้แต่บอกว่าไม่เคยเจอเคสแบบนี้เหมือนกันขณะนี้ได้ดำเนินการทางคดีอะไรไปบ้างไหมตอนนี้ในกรณีที่เราเป็นผู้เสียหายเรื่องสินค้าอยู่แล้ว ก็ไปแจ้งความที่กองปราบฯ และทางเพจดอกจิกบอกว่าจะไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อ เพราะได้ไปร้องทุกข์ไว้ที่กองปราบฯ มาแล้ว ไป สคบ. แล้ว และจะไปสำนักนายกรัฐมนตรีต่อด้วย  เพราะเพจดอกจิก บอกว่าเดี๋ยวเรื่องมันจะเงียบต้องคอยวิ่งเรื่อง เพราะจำนวนเงินไม่ใช่น้อยๆ มีผู้เสียหายเยอะมาก หลักพันคน อย่างเราเสียหายแล้วมีลูกทีมอีกตั้งหลายคนก็เสียหายกันหมดเป็นลูกโซ่เลย เพราะเขาไม่ได้เน้นขายปลีก เราสมัครเข้าไปเขาไม่เคยให้ซื้อไปลองใช้แบบปลีกเลย เน้นให้เรารับตัวแทนเพราะว่ามันจะได้จำนวนเยอะ ตัวแทนรายย่อยธรรมดานั้นซื้อ 1 กล่องก็ 390 บาทแล้ว แต่ถ้าขายปลีกเป็นซองมันแค่ 59 บาท คนที่เข้ามาเป็นตัวแทนรายย่อย เดี๋ยวเขาก็ต้องให้เพิ่ม เขาจะพยายามพูดให้เราจองเพิ่ม ตุนสินค้าเพิ่ม จะเป็นแนวนั้นหมด กลายเป็นว่าแต่ละคนโดนกันเยอะ บางคนหลายแสน บางคนเกือบล้านมีบทเรียนอะไรที่อยากฝากเตือนถึงคนอื่นๆ ตอนนี้คนเน้นเล่นเฟซบุ๊คกันเยอะ ต้องระวังภัยพวกนี้ อย่างที่สองอาจจะเป็นทีวีหรือสื่อทั้งหลายน่าจะมีเรื่องพวกนี้ให้ผู้บริโภคได้รับรู้บ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นเลย อยากให้ทำเป็นข้อควรระวังเรื่องสินค้า อะไรที่มันโฆษณาเกินจริงให้มีสอบถามได้ที่ไหนอย่าเพิ่งไปหลงเชื่อหน่วยงานของรัฐเอง ก็น่าจะมีข้อมูลเตือนเรื่องพวกนี้เยอะๆ ให้เราเช็คและสอบถามข้อมูลได้ง่ายและสะดวกจะช่วยได้เยอะมากเพราะทุกวันนี้มันไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย แล้วเราก็ต้องเอาตัวเองไปลองผิดลองถูกเป็นหนูทดลองยา ลูกชายจากที่ตอนแรกเรียนมหาวิทยาลัยที่หัวหิน พอแผลเฟะเขาก็ไม่กล้าไปเรียน ต้องหยุดเรียน และตอนนี้ก็ต้องเปลี่ยนเป็นเรียนแค่วันอาทิตย์ เราก็รู้สึกผิดนะที่ทำให้ลูกเป็นแบบนี้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 204 เราไม่ได้โดดเดี่ยว ความในใจกลุ่มผู้เสียหายจากรถยนต์มาสด้า

นายภัทรกร ทีปบุญรัตน์ ผู้เสียหายจากการซื้อรถยนต์มาสด้า  และเพื่อนซึ่งเป็นผู้เสียหายจากกรณีคล้ายกัน คือซื้อรถยนต์มาสด้า 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น XD High Plus และ Sky Active ปี 2014 – 2016 แล้วพบว่า มีอาการสั่นขณะเร่งความเร็วและเกิดอาการกระตุกขณะขับรถในช่วงความเร็ว 60 – 120 กม./ชม. เมื่อนำรถเข้าศูนย์ซ่อมบำรุงช่างแจ้งว่าปัญหาเกิดจากเขม่า จึงทำการเปลี่ยนสปริงวาล์วกับระบบหัวฉีด และเปลี่ยนกล่อง Converter DCDC ให้ อย่างไรก็ตามเมื่อนำรถกลับมาใช้กลับพบอาการเดิม ผู้เสียหายจึงได้เข้าร้องเรียนที่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ขอให้บริษัทฯ ขยายเวลารับประกันและชี้แจงวิธีการแก้ไขปัญหาให้เป็นปกติ หากไม่สามารถแก้ไขได้ขอให้รับซื้อรถยนต์คืน และชดเชยค่าขาดประโยชน์จากการใช้งาน ทว่าหลังจากนั้น บริษัทฯ ได้ฟ้องกลับผู้บริโภคข้อหาใช้สิทธิเกินส่วน เรามาฟังความในใจของผู้เสียหายที่รับทุกข์ซ้ำซ้อนอย่าง คุณภัทรกร ทีปบุญรัตน์ และ   “การออกมาเรียกร้องสิทธินั้นตนได้ทำด้วยความสุจริตใจและอยากให้บริษัทแก้ปัญหาที่เกิดเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาหรือจงใจทำลายชื่อเสียงของบริษัท" ภัทรกร ทีปบุญรัตน์ก่อนจะมาถึงขั้นฟ้องเป็นคดีผู้บริโภค เรื่องราวเป็นมาอย่างไร  ซื้อรถยนต์มาแล้วพบว่า มีอาการสั่นขณะเร่งความเร็วและเกิดอาการกระตุกขณะขับรถในช่วงความเร็ว 60 – 120 กม./ชม. ซึ่งเป็นปัญหาของรถที่มันเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุรุนแรงต่อชีวิต โดยเฉพาะผู้ใช้รถที่ไปเจอปัญหานี้ครั้งแรกบนถนนในจังหวะเร่งแซงซึ่งอันตรายมาก เมื่อผมได้ส่งรถเข้าซ่อมที่ศูนย์ฯ แล้วแต่ก็แก้ปัญหาไม่ได้ ทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น จึงมีการตั้งกลุ่มทางเฟซบุ๊คชื่อว่า อำนาจผู้บริโภคช่วยเหลือผู้ใช้ Mazda Skyactiv เครื่องสั่น เร่งไม่ขึ้น ฯลฯ เพื่อรวมตัวกันเสนอแนวทางการแก้ปัญหาของรถ ผมมองว่าเรื่องนี้มันเป็นปัญหาของส่วนรวม ผมเรียนตามตรงว่าผมเป็นนักวิทยุสมัครเล่นและทำงานจิตอาสามาตลอดอยู่แล้ว เรื่องอะไรที่เรามองว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์สาธารณะผมก็ดำเนินการแทนเพราะส่วนใหญ่น้องๆ ก็ใช้รถรุ่นนี้ที่ถือว่าเป็นอีโคคาร์ ก็ไม่รู้ช่องทางการร้องเรียนว่าต้องดำเนินการอย่างไร แต่เราทำมาเรารู้กระบวนการว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่ปัญหาของเราคนเดียวมีผู้เสียหายรายอื่นๆ ซึ่งเรามองว่าผู้ผลิตควรต้องรับรู้ว่าปัญหานี้เป็นปัญหาของส่วนรวม สิ่งที่เราเรียกร้องให้บริษัทผู้ผลิตมาชี้แจงก็เพื่อประโยชน์สาธารณะทั้งนั้นจำนวนผู้เสียหายที่รวบรวมได้ มีแนวทางทำงานกันอย่างไร เริ่มต้นจากกรณีของผมเอง ซึ่งร้องเรียนในประเด็นปัญหาอื่นก่อนหน้านี้ ก็ไม่ได้รับคำตอบจากทางผู้ผลิตจนร้องมาทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และทางมูลนิธิฯ เป็นคนดำเนินการให้เรื่องผ่าน สคบ. ก็ผ่านมาเกือบปีครึ่ง ซึ่ง สคบ.ไม่ได้ดำเนินการอะไรให้เลย ทางโน้น(บริษัทผู้ผลิต) ตอบมาว่ายังไม่รู้ว่าสาเหตุคืออะไรและก็ไม่ได้ตอบคำถามของเรา เราก็เรียกร้องไปจนมีการตั้งกลุ่มและเปิดเพจชื่อ “อำนาจผู้บริโภค” ขึ้นมา เพื่อจะบอกว่ามีปัญหาอาการรถแบบนี้ใครมีปัญหาบ้างก็รวบรวมรายชื่อมาจนได้ระดับหนึ่งเพื่อเพิ่มเติมรายชื่อในส่วนของ สคบ. จนร้องมาที่มูลนิธิฯ ว่าปัญหานี้มันรุนแรงนะมีเรื่องความปลอดภัยในการขับขี่และมีการรวมกลุ่มกันและไปยื่นเรื่องที่ สคบ. ในกรณีปัญหาเรื่องเครื่องยนต์สั่นเร่งไม่ขึ้นในการขับขี่ ตอนนี้จากหลักฐานทางทะเบียนที่เปิดทาง Google doc มีผู้เสียหายประมาณ 200 กว่าท่าน แต่ว่าคนที่มาแสดงตัว ประมาณ 20 – 30  กว่าท่านที่มีความประสงค์จะฟ้องเป็นคดีผู้บริโภค  ข้อดีของการที่ผู้เสียหายได้รวมกลุ่มกันคือ ทำให้คนที่ไม่ทราบปัญหาว่าสิ่งผิดปกตินี้มันไม่ได้เกิดจากผู้บริโภคนะ เราต้องเรียกร้องสิทธิสิ อย่างที่บอกว่าไป คือแทนที่ผมจะสู้คนเดียว ณ วันนี้เขาฟ้องผมคนเดียว(การใช้สิทธิเกินส่วน) ถ้าผมยืนคนเดียวผมคงเหนื่อย แต่พอมีผู้เสียหายมารวมตัวกันอย่างน้อยมันก็เป็นกำลังใจให้ผมด้วย และเป็นแนวทางในการต่อสู้ ผมถือว่าผู้บริโภคที่มีปัญหาต้องออกมาเรียกร้องสิทธิของตนเองรู้สึกอย่างไรเมื่อโดนบริษัทฟ้องว่าใช้สิทธิเกินส่วน(ช่วงปลายปี 2560 กลุ่มผู้เสียหายจากการใช้รถยนต์ มาสด้า 2 รุ่น รวมตัวกันและเดินทางไปยื่นหนังสือต่อ สคบ. เรียกร้องให้ผู้ประกอบการแสดงความรับผิดชอบ อีกทั้งยังได้ร่วมกันยื่นหนังสือต่อตัวแทนบริษัทมาสด้าเซลส์(ประเทศไทย) ในงาน Motor EXPO ทำให้บริษัทฯ ฟ้องคดีคุณภัทรกร ทีปบุญรัตน์ เรียกค่าเสียหายถึง 84 ล้านบาทโดยอ้างเหตุว่า เป็นการใช้สิทธิเกินส่วน ทำให้ภาพลักษณ์บริษัทฯ เสียหาย ขายรถไม่ได้)  ผมคงเดินหน้าสู่ศาลผู้บริโภค ในเมื่อผู้ผลิตเขาไม่ยอมรับว่าสินค้าของเขามีข้อบกพร่อง คงไปพิสูจน์ในชั้นศาลครับ ความกังวลมันไม่ได้กังวลว่าเราจะแพ้คดีหรืออะไรนะ ผมกังวลว่าเราจะต้องเสียเวลามากกว่า แต่เรื่องข้อเท็จจริงผมมั่นใจว่าผมพูดไปด้วยประโยชน์สาธารณะและเป็นไปด้วยข้อเท็จจริงทั้งหมดซึ่งผมไม่พูดอะไรเกินเลยจากข้อเท็จจริงเลย ผมสู้แค่ตายครับสิ่งที่อยู่ในใจและฝากให้คนอื่นคืออะไรถ้าเรายึดถือสิทธิผู้บริโภคตามรัฐธรรมนูญก็คงต้องรักษาสิทธิของเราเอง แต่ว่าแทนที่เราจะรักษาสิทธิของตนเองต้องหาว่ามีพวกร่วมชะตากรรมเรื่องนี้ไหมและเดินไปด้วยกัน พลังของผู้บริโภคพวกนี้มันสามารถจะเอาไปต่อรอง อย่างที่ผมบอกว่ามาร้องเรียนไปหากผู้ผลิตไม่เคยตอบอะไรกลับมาเลยจนเรื่องถึงที่สุดมีหนังสือออกมา1 ฉบับ ก็ยังดีที่สิ่งที่เราเรียกร้องไปมันรับรู้ถึงบริษัทว่ามีปัญหาอยู่จริงซึ่งเขาจะปฏิเสธก็อีกเรื่องหนึ่ง“เวลาขับจะมีการสะเทือน สั่น และเร่งไม่ขึ้นควบคู่กันไป”คุณกรกนก อรรถพรพิมล ผู้เสียหายอีกท่านที่เข้ามารวมกลุ่มฟ้องคดี เล่าถึงความยากลำบากเมื่อไม่ได้ใช้งานรถยนต์ตามวัตถุประสงค์ที่ซื้อมาลำบากตรงต้องไปยืมเช่าหรือขอยืมรถญาติ ทั้งๆ ที่เรายังต้องผ่อนทุกเดือนและไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าอะไรมันเสีย ได้แต่รอให้เขาแจ้งมาหลังจากเสร็จจากช่างนำไปซ่อม เราก็มาคิดว่าน่าจะจบแต่มันมีปัญหาจุกจิกสารพัด เช่น ฝาถังน้ำมันเปิดไม่ได้มากกว่า 3 ครั้ง ในแต่ละครั้งก็มีปัญหาคือน้ำมันจะหมดแต่ฝาเปิดไม่ได้ เขาบอกว่าถ้าเราแงะเองนั่นคือหมดประกัน ก็เลยต้องรอ บางทีติดวันเสาร์ – อาทิตย์ ซึ่งศูนย์ปิด ต้องเปิดโรงแรมนอนรอก็ทำมาแล้ว เพื่อให้ศูนย์เปิดฝาถังให้โดยไม่มีค่าชดเชยใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีคำตอบใดๆ ทั้งสิ้น และหลังจากนั้นก็เกิดอาการล่าสุดที่รับไม่ได้เลยก็คือ จอดซ่อมอีก 18 วัน สาเหตุเกิดจากเทอร์โบแตก ต้องยกเครื่องออกทั้งหมดเลยและก็หมดวารันตีพอดี เพิ่งเข้าไปเช็คระยะ 100,000 กม. แล้วหมดพอดี ไฟหน้าก็มีอาการหนักกว่าตอนที่ไปเช็คระยะ 60,000 กม. คือวิ่งได้ที่ความเร็ว 20 รถกระชาก เร่งไม่ขึ้น พอช่วงถอนคันเร่งก็กระชาก เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนกลางคืน วันรุ่งขึ้นก็ต้องขับรถเข้าศูนย์เพราะว่าไม่มีบริการลากแล้วการดูแลของบริษัทต่อปัญหาที่เกิดขึ้นไม่มีการดูแลเลย เขาได้แต่ถามไถ่และให้เหตุผลประมาณว่า “เป็นอย่างนี้แหละรถเทคโนโลยีสูง รถต้นแบบเทคโนโลยีล้ำมันก็ต้องมีข้อผิดพลาดแบบนี้แหละ” เลยอยากถามกลับว่า ทำไมไม่ทดลองให้มันเสร็จก่อนค่อยออกมาขาย และลูกค้าตอบรับเยอะ ทำให้ผลิตอะไหล่ไม่ทัน ทำให้ต้องไปจ้างโรงงานอื่นผลิต ซึ่งมันไม่สามารถเช็คได้ทั่วถึงว่าโรงงานนั้นๆ ผลิตดีไหม แล้วบังเอิญเราไปเจอเทอร์โบที่ผลิตโรงงานนี้เลยพัง แต่มันไม่ใช่เรื่องที่เราต้องทราบ แล้วตั้งแต่บัดนั้นจนวันนี้ไม่มีความสบายใจในการที่จะขับรถเลย ต้องเลิกเปิดวิทยุเพื่อที่จะเงี่ยหูฟังว่า จะมีอะไรพังอีกไหม ไม่มีความสุขเลย  แล้วเราต้องเดินทางทุกวันด้วยทราบว่ามีการเก็บหลักฐานไว้ตลอดทุกเรื่องบันทึกไว้ตลอดทุกข้อมูล พยายามขอข้อมูลจากศูนย์ว่า ให้ช่วยออกเอกสารยืนยันมาหน่อยว่ามันได้เข้าซ่อมจริง เกิดอาการจริง เพราะว่ารถจะหมดวารันตีแล้ว ซึ่งตอนนี้ก็หมดไปแล้ว และถ้าจะขายต่อก็ไม่มีใครซื้อหรอก ทั้งๆ ที่เป็นรถใหม่ และข้อมูลมันทำให้เราไม่มีความสบายใจในการขับรถเลย ค่าอะไหล่แพงมาก เทอร์โบตัวหนึ่ง 5 – 6 หมื่นบาท ยังไม่รวมค่าแรงอีก แถมยังต้องจอดทิ้งไว้ทีละครึ่งเดือน นี่มันใช่หรือกับรถใหม่มั้ย แล้วที่เราเลือกยี่ห้อนี้เพราะมันดูแลง่าย เป็นเครื่องดีเซล และทุกครั้งที่เขาบอกต้องรอเขาจะพูดลักษณะคือ มีแต่คำพูดเท่านั้น เลยบอกให้เขาออกเอกสารมาให้เราว่าพบปัญหานี้จริง ให้ลงวันที่ด้วยและคุณขอเวลา เอกสารพวกนี้ก็ต้องขอและบางที่ไม่ยอมให้ด้วย ทั้งๆ ที่เราเป็นเจ้าของรถแต่ขอประวัติการซ่อมรถที่ศูนย์ก็ไม่ให้ตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มเพราะอะไร เข้ามาร่วมกลุ่มกับพวกพี่ๆ เขา เพราะว่าตอนแรกทางศูนย์บอกว่าเราต้องจ่ายเอง หลังจากนั้นเราก็ได้มารวบรวมข้อมูลว่า มันเป็นการเสียต่อเนื่องถึงจะได้สิทธินั้น แต่ถ้าคนที่ไม่ทราบก็ต้องซ่อมทีละ 5 – 6 หมื่น บ้าหรือเปล่า เราคือผู้บริโภคยังต้องผ่อนรถอยู่เลยทั้งๆ ที่การใช้งานของเราไม่ได้สมบุกสมบัน ออกรถมาไม่ถึงปีต้องเปลี่ยนโช้คหลังทั้งซ้ายขวา แล้วทางศูนย์ยังมาถามว่าเจ้าของรถน้ำหนักเท่าไร เลยตอบไปว่ามันเกี่ยวอะไรกันนี่มันรถยนต์ 7 ที่นั่งนะไม่ใช่รถมอเตอร์ไซค์ถึงมาถามว่าเราหนักเท่าไร แล้วก็ถามกลับว่าถามทำไม เขาตอบว่าโช้คพบการรั่วซึมของน้ำมัน นี่เลยทำให้รู้สึกว่าจะมั่นใจได้ไหม รถใหม่ป้ายแดงส่องกระจกหลังทุกวันๆ เริ่มรู้สึกว่าทำไมมองเห็นน้อยลง สรุปกระจกเสื่อม มันลามเข้ามาเหมือนกระจกหมดอายุเลย ทุกวันนี้เริ่มทยอยเสีย กระจกข้างปกติมันพับเก็บได้ ตอนนี้เก็บได้ข้าง ไม่ได้ข้าง บางทีเก็บไปไม่อ้าออก ซึ่งน่าจะเป็นที่มอเตอร์ ทุกอย่างทยอยเสีย แบตเตอรี่ก็ 2 ลูกแล้ว ลูกแรกก่อน 1 ปีแต่เขาบอกว่าด้วยความที่มันเป็น...มันเปลืองแบตฯ ก็ไม่เป็นไรเปลี่ยนที่ศูนย์ พอมาอีกทีให้เปลี่ยนอีกแล้ว คือมีแต่เรื่อง เพราะฉะนั้นเป็นเหตุผลให้เราต้องมาวันนี้เพราะมันเป็นแบบนี้ไง ไม่ใช่การมโนแต่มันเกินที่เราจะอดทนแล้วจริงๆ ทำไมจึงร่วมฟ้องคดี  มีความรู้สึกว่าเราเป็นผู้บริโภค เราก็กลัวนะเพราะเราไม่รู้เรื่องอะไรเลยมีแค่ข้อมูลความเป็นจริงแค่นั้น แต่อยากรู้เพราะว่าไม่ใช่แค่เราคนเดียวแล้วมันเป็นสิทธิของเราด้วย ถ้ามีการยื่นข้อเสนอมาแล้วไปตกลงนั่นก็อีกเรื่อง แต่นี่ไม่ใช่ หนำซ้ำยังฟ้องกลับอีก เดิมเราก็ไม่ได้เรียกร้องจะเอาค่าเสียหายหรืออะไรมาเยอะๆ แต่เราเป็นลูกค้าของเขานะ ซื้อด้วยความที่ชอบและตัดสินใจอย่างดีแต่ผลที่เราได้รับกลับลอยๆ ขึ้นมา และเขาก็ส่งหนังสือกลับมาว่าเสียจากปัจจัยภายนอก ถ้าลูกค้ามีความไม่สบายใจให้นำรถเข้ามาเช็คที่ศูนย์ได้ เนื่องจากว่ามันอาจมีความบกพร่องจากปัจจัยภายนอก เลยถามว่าปัจจัยภายนอกคืออะไร ต้องมีหิมะหรือเปล่า  ตอนนี้อยากให้คนอื่นๆ ที่มีปัญหาอย่างเดียวกัน มาแสดงตัวไม่ใช่อะไรก็ไม่เป็นไร และมูลค่าก็ไม่ใช่ 20 บาท แต่นี่มัน 890,000 บาท เงินเกือบล้านทั้งๆ ที่เรายินดีจ่ายแม้กระทั่งดอกเบี้ยค่างวดรถเราบวกไปแล้วในส่วนที่เรายินดีไม่ใช่ว่ารถต้นแบบแล้วเซลส์ให้ 50 % ถ้าแบบนั้นถือว่าเราก็ยินดีซื้อของเซลส์ แต่นี่เก็บเราเต็มและเราก็ยินดี เลยมีความรู้สึกว่าเราต้องสู้ ต้องลุกขึ้นมาเรียกร้อง ไม่ได้หวังว่าจะต้องชนะหรืออะไรแต่ว่าอยากให้รู้ว่าความถูกต้องมันต้องมี

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 203 ผู้ประกอบการขนมเปี๊ยะ ปั้นด้วยใจ

เริ่มศักราชใหม่ทุกคนมีสิทธิ์นำเรื่องราวดีๆ จุดเริ่มต้นที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 นิตยสารฉลาดซื้อได้จัดเวทีเชิญผู้ประกอบการที่ทางนิตยสารฉลาดซื้อเคยนำสินค้ามาทดสอบในเรื่อง สารกันบูด จากกลุ่มขนมและอาหารประเภทต่างๆ จำนวน 9 ราย และตัวแทนจากห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ในเวทีได้เชิญนักวิชาการจากสถาบันโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล มาให้ความรู้ในเรื่องของสารกันเสียและการใช้ที่ถูกวิธี และยังได้แลกเปลี่ยนกับผู้เข้าร่วมเสวนา ซึ่งผู้ประกอบการแจ้งว่าจะได้นำข้อมูลจากการทดสอบไปปรับปรุงและควบคุมวัตถุดิบในการผลิตของตน อย่างเช่น ขนมเปี๊ยะครูสมทรง ขนมเปี๊ยะสิงห์เพชร และขนมเปี๊ยะคุณหมู ถือเป็นความร่วมมือที่ผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากการยกระดับกระบวนการผลิตของผู้ประกอบการ ส่วนทางห้างค้าปลีกเอง ก็รับจะนำข้อเสนอและข้อมูลจากเวทีไปพัฒนาในเรื่องการจัดซื้อสินค้าเพื่อผลิตและจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคต่อไป ทุกคนมีสิทธิ์ฉบับบนี้จึงพาไปพบกับมุมมองของผู้ประกอบการรายเล็กๆ  3 เจ้า ที่มีมุมมองในการเลือกสรรสิ่งดีๆ ได้ด้วยมือของเราเองท่านแรกคุณวิมล ศิริวณิชย์วงศ์ จากขนมเปี๊ยะร้านหมู ซอยโปโล เล่าว่า “ พื้นเดิมของครอบครัวพี่จะทำอาหารทานเอง พ่อแม่ก็ทำให้ทานเองตั้งแต่ปู่ย่าเขาก็จะทำอาหารให้ทานเอง แล้วเราก็จะรู้วิธีการว่าจะทำอย่างไรให้อาหารอยู่ได้นานและเราก็จะรู้จักวิธีเลือกวัตถุดิบว่าอย่างไรถึงจะดี เขาจะสอนเราหมดเหมือนมันเป็นอะไรที่มันซึมอยู่ในสายเลือดก็ว่าได้ ทั้งครอบครัวเลยไม่ใช่เฉพาะแต่พี่หรอก คนในครอบครัวจะรู้สึกว่าการที่เราจะเป็นคนที่มีสุขภาพที่ดีนั้นต้องเริ่มจากการกิน และบวกกับความที่เราชอบทำอาหารก็คิดว่าถ้าเรารู้สึกอย่างไรก็อยากให้คนอื่นเค้ารู้สึกเหมือนเรา การควบคุมคุณภาพเลือกวัตถุดิบอย่างไรบ้างอย่างหนึ่งที่ต้องซื้อก็คือเรียกว่าต้องมาจากแหล่ง อย่างไข่เค็มที่เราใช้ก็ไม่ได้ซื้อทั่วๆ ไปจากท้องตลาด เราต้องมีเจ้าประจำซึ่งเรียกได้ว่าค้าขายกันมานาน ทุกอย่างเลยแม้กระทั่งแป้งสาลี ต้องผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรม ผ่าน อย. ทุกอย่างต้องมีใบกำกับเรียบร้อยซึ่งตรงนั้นก็จะเหมือนกับเรากรองมาแล้วส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญคือคุณภาพของวัตถุดิบ ต้องมีการผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรมมาทุกอย่าง จากข่าวที่ออกไปมีผลกระทบอย่างไรตอนแรกที่นักข่าวเขียนคือการที่พี่ใช้คำว่าไม่มีวัตถุกันเสียนั้นมันผิดนะ ไม่ถูกต้องเพราะว่าถ้าไม่มีแปลว่าต้องไม่เจอเลย แต่จากที่เคยฟังตัวสารเบนโซอิกไม่ได้เกิดจากวัตถุกันเสียแต่มันเกิดจากถั่วด้วยเพราะฉะนั้นอะไรคือข้อสรุปที่ให้เราเขียน พี่เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่แม้กระทั่งผู้ประกอบการแบบพี่เอง หลายๆ คนก็ไม่เข้าใจหรอกว่ามันผิดอย่างไร และถ้าพี่ไม่ไปฟังพี่ก็ยังไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่ตอนที่ข่าวออกไปส่วนหนึ่งลูกค้าเขาไม่เข้าใจนะ เขาอ่านข่าวปุ๊บหมดเลย 10 กว่าร้านที่เจอวัตถุกันเสีย เมื่อวันก่อนลูกค้ามาเขาบอกเขาไม่ได้ทานมาเกือบปีเลยเพราะแฟนเขาไม่ให้ซื้อแต่เขาก็มั่นใจว่าพี่ไม่ได้ใส่เพราะเขาซื้อไปถ้าวางทิ้งไว้ 10 วันขึ้นราหมดเลย คือพี่ไม่ได้ทำตรงนี้มาแค่ปีสองปี พี่ทำงานตรงนี้มาจะ 40 ปีแล้ว ถ้าเราไม่ได้ให้ความไว้วางใจกับลูกค้ามันคงยืนมาไม่ถึงตรงนี้ เพราะขายอยู่แต่ในร้านไม่เคยลงเฟสบุคหรืออะไรทั้งนั้น ไม่มีสื่อประชาสัมพันธ์ ตอนที่เป็นข่าวมีนักข่าวบอกว่าทำไมพี่ไม่ตอบโต้ พี่ก็บอกไปว่าไม่จำเป็นหรอกพี่คิดว่าลูกค้าเข้าใจนะ ถูกก็คือถูก วันหนึ่งลูกค้าก็จะกลับมาเหมือนเดิมและก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คนที่เป็นลูกค้ากลุ่มหนึ่ง ตอนที่เป็นข่าวเขาโทรมาหาเลย บอกว่าเขาเสียความรู้สึกมาก วันนั้นพี่ไม่ได้อยู่บ้านเลยไม่ได้ฟังข่าวก็ถามเขาว่าเสียความรู้สึกเรื่องอะไร เขาก็ถามว่าทำไมพี่ใส่วัตถุกันเสีย วันนั้นลูกค้าโทรมากันใหญ่เลย พี่ก็ถามว่าไปเอามาจากไหน เขาถึงบอกว่าข่าวออก พี่ก็งงและก็ไม่รู้เรื่อง ที่บ้านก็ไม่รู้เรื่อง แล้ววันต่อมาหนังสือพิมพ์ฉบับเล็กลงแล้วคนก็อ่านแค่ว่าพบสารกันเสียในขนมเปี๊ยะ คนอ่านแค่นี้ไม่ได้อ่านข้างในแต่ว่ามันมีแบรนด์ร้านเราอยู่ก็แสดงว่าอ๋อร้านนี้มีแน่นอน คือคนไทยเป็นแบบนี้เขาไม่อ่านทั้งหมด ถ้าเขาอ่านทั้งหมดเขาก็เข้าใจว่าข่าวมันก็เป็นตามเนื้อข่าว แต่พี่ก็ไม่มีอะไรก็ช่างมัน แต่ถามว่ากระทบไหมก็มีผลกระทบนะ ไม่เฉพาะแต่ร้านพี่นะร้านอื่นๆ ก็คงเหมือนกัน แต่พอเรามาคิดว่าเราทำผิดอย่างไร ซึ่งก็มีลูกค้ามาแนะนำนะว่าพี่ต้องเขียนอย่างนี้ๆ สรุปพี่บอกว่าเอาอย่างนี้พี่ไม่เขียนอะไรเลยพี่เขียนแค่ว่าเก็บในตู้เย็นแล้วกัน (หัวเราะ) คนที่เขาทำอาหารให้คนอื่นกินต้องคงคุณภาพของอาหารถูกที่สุดเลย ถ้าคุณเป็นคนรุ่นพี่คุณจะรู้ว่าเคยทานอะไรแล้วมันอร่อยแล้วเดี๋ยวนี้มันจะไม่เหมือนเดิม แต่คำพูดแบบนี้คูณจะไม่ได้ยินจากปากลูกค้าของพี่นะ แต่ถ้าของร้านพี่ทานเมื่อ 30 ปีที่แล้ววันนี้ก็ยังโอเคเหมือนเดิม คุณต้องคิดว่าพี่ต้องทำมันด้วยใจรักขนาดไหนมันถึงอยู่มาได้ ไม่ว่าข่าวจะว่าอย่างไรแต่พี่ก็ยังผ่านมาได้แต่ก็น้อยใจนะเพราะเราไม่สามารถไปบอกลูกค้าทุกคนที่ได้รับข่าวนี้ได้ บางคนเข้าใจแต่บางคนอาจจะเสียความรู้สึกไปเลยก็ได้ ว่าที่กินมาตั้งนานนี่ใส่วัตถุกันเสียเหรออยากฝากอะไรถึงผู้ผลิตวัตถุดิบสำหรับทำขนม เช่น บริษัทผลิตแป้ง,ถั่วกวนสำเร็จรูปเขาก็ต้องมีคุณธรรมนะ หมายถึงว่าเขาต้องไม่เติมวัตถุกันเสีย ต้องมีวิธีรักษาให้มันอยู่ได้นาน ต้องมีความซื่อสัตย์กับลูกค้า อย่างของพี่ก็เลือกตั้งแต่ถั่วเลยต้องเป็นถั่วเกรด 1 ที่ไม่มีกรวด หิน ซึ่งราคาจะแพงกว่า แต่พอล้างน้ำให้สะอาดแช่ไว้แล้วใช้ได้เลย แต่มันก็จะมีถั่วผ่านรังสี ถั่วพอผ่านรังสีแล้วมันจะเก็บได้นาน แต่มันก็จะมีอันตรายกับผู้บริโภค อย่างโรงถั่วที่เขาโม่ให้พี่พอเขากะเทาะเมล็ดออกจากฝักแล้วจะอยู่ได้แค่ 1 เดือนเท่านั้นเอง ไม่นานกว่านี้ซึ่งถั่วที่พี่สั่งมานั้นก็จะเก็บนานไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะมีแมลงอะไรต่ออะไร เราก็การันตีจากความรู้สึกได้ว่ามันไม่ใส่ยา เพราะถ้ามียาผ่านรังสีปุ๊บแมลงไม่มีแน่นอนคุณชุติกานจน์ กิตติสาเรศ และคุณนลพรรณ มั่นนุช พี่ดาและพี่อิ๋ว ร้านขนมเปี๊ยะสิงห์เพชร ซอยชินเขต ถนนงามวงศ์วาน เล่าประวัติก่อนเริ่มมาทำขนมเปี๊ยะขายว่าแต่เดิมนั้นขายน้ำ และขนมอยู่กับเตี่ย รับขนมของคนอื่นมาขายหลายยี่ห้อ จนวันหนึ่งก็มีความคิดว่าจะทำอะไรขายดี จึงได้ไปเรียนทำขนมปังแต่ก็ทำไม่ไหว จึงเปลี่ยนมาเรียนทำขนมเปี๊ยะ ด้วยความที่ชอบทานมาตั้งแต่เด็ก จึงชอบที่จะทำขนมเปี๊ยะ แล้วนำความรู้ที่เรียนมาลองทำทานเองบ้าง ทิ้งบ้าง ให้เพื่อนช่วยชิมบ้าง และปรับปรุงสูตรให้เป็นสูตรของตนเองจนเพื่อนบอกว่าสูตรนี้อร่อยแล้ว จึงมาทำขาย โดยเริ่มไปตั้งบูธขายที่เดอะมอลล์ท่าพระ และเดอะมอลล์บางแค ก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี หลังจากข่าวเรื่องพบสารกันบูดในขนมเปี๊ยะออกไปเป็นอย่างไรบ้างแต่ข่าวที่ออกไปก็ส่งผลให้เราเป็นที่รู้จักมากขึ้น เพราะมีโทรศัพท์เข้ามาสอบถามว่าหาซื้อได้ที่ไหนบ้าง ทราบมาจากข่าวจึงอยากลองชิม เราคิดว่าวัตถุกันเสียน่าจะปนเปื้อนมากับแป้งที่ใช้ทำขนม  แต่แป้งที่เราใช้นั้นมีฉลาก อย. เพราะเราคิดว่าของที่มี อย. กำกับน่าจะสะอาดอยู่แล้ว เราจึงไม่ทราบจริงๆ ว่ามีสารปนเปื้อนอยู่ จากเรื่องนี้ก็ส่งผลกระทบทำให้ยอดขายตกลงไปนิดหน่อย เพราะผู้บริโภคอาจจะยังไม่กล้าซื้อไปทานแล้วมีวิธิแก้ไขอย่างไรเมื่อยอดขายตกลงไปแบบนี้ ได้คุยกับลูกค้าหรือไม่ลูกค้ามีทั้งที่หยุดซื้อขนมเราไปบ้าง และที่ยังซื้ออยู่บ้าง แม้จะซื้อน้อยลง แต่ยังมีลูกค้าที่ยังไว้ใจร้านเรา เพราะขนมเราทำครั้งละน้อยๆ พยายามทำใหม่ทุกวัน เราเน้นที่ความสดใหม่ เพราะร้านเราเพิ่มเริ่มต้น ต้องคงคุณภาพให้ได้  คือเมื่อทำเสร็จแล้วก็จัดส่งให้ลูกค้าทันที เพราะส่วนใหญ่เราจะทำขนมตามออเดอร์ลูกค้า เช่น ลูกค้าโทรมาสั่งจำนวน และนัดเวลาส่งขนมไว้ เราก็จะทำตามนั้น  แต่หากไม่ทันก็ต้องขอเลื่อนเวลาลูกค้าออกไป เพราะขนมของเราจะใช้เวลาในการทำค่อนข้างนานในการทำขนมให้อร่อย และคงคุณภาพไว้ต้องมีความสด ใหม่ เพราะขนมที่นำออกมาจากเตาใหม่ๆ จะกรอบ รสชาติจะหวาน หอม ละมุนในปาก แต่หากพักไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง แป้งขนมจะนิ่มและเย็นลิ้น  นี่เป็นคำบอกเล่าจากลูกค้าที่ติดใจในความอร่อยของขนมร้านเรา และขนมทางร้านเราไม่ได้ใส่วัตถุกันเสีย นี่จึงเป็นจุดขายของร้าน นอกจากนี้ที่ร้านเราจะซื้อแป้งทำขนมสัปดาห์ละ 1 ครั้ง แล้วทำขนมให้หมดภายในอาทิตย์นั้นๆเพราะหากซื้อมาเก็บไว้นานแป้งจะไม่สด พี่คิดว่าผู้ประกอบการท่านอื่นควรมีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคอย่างไรบ้างอย่างร้านเรา ของใหม่ก็คือของใหม่ที่เพิ่มทำออกมา เพราะเราทำตามออเดอร์ลูกค้า จะไม่ทำขนมเก็บไว้นาน และต้องการให้ผู้ประกอบการรายย่อยรักษาเรื่องนี้ไว้ ไม่โกหกลูกค้า ไม่นำของเก่าออกมาขาย แล้วบอกว่าเป็นของใหม่ คือให้เปรียบเหมือนเราทำรับประทานเอง และวัตถุดิบที่ทางร้านใช้ ทั้งแป้งทำขนม เกลือ สีผสมอาหาร จะใช้ยี่ห้อที่มีฉลาก อย. หลังจากที่กลับมาจากการอบรม เราได้กลับมาจัดโต๊ะใหม่ มีการใส่ถุงมือตลอดเวลาที่ทำขนม จากเดิมที่ใส่บ้าง ถอดบ้าง เพราะเราใช้ถุงมือแพทย์จะขาดง่าย  ก็ได้ปรับเปลี่ยนถุงมือใหม่เมื่อลูกค้าเสนอความคิดเห็น หรือมีคำติชมเข้ามา ได้นำมาปรับใช้กับที่ร้านหรือไม่มีค่ะ เช่นเริ่มแรกขนมที่ทำมาเป็นแป้งนิ่ม ซึ่งจะเสียง่าย จึงนำมาปรับสูตรไปเรื่อยๆ ตามที่ลูกค้าต้องการ ขนมก็จะเก็บไว้ได้นานขึ้นจากเดิมเก็บไว้ได้ 2-3 วัน เมื่อปรับปรุงสูตรใหม่จะเก็บไว้ได้ 4 วัน ฉลากที่ร้านจะเขียนแจ้งว่าควรเก็บไว้ในตู้เย็นทันที เพราะขนมเราไม่ได้ใส่วัตถุกันเสีย ขนมอยู่ในตู้เย็นได้ 2 สัปดาห์  รวมทั้งบอกกล่าวกับลูกค้าโดยตรงมากกว่า เช่น เมื่อลูกค้ามาซื้อขนมก็จะบอกกับลูกค้าทันทีว่าควรทานขนมให้หมดภายใน 3 วัน เหตุที่เราไม่ใส่วัตถุกันเสีย เพราะเราต้องการให้ลูกค้าได้ดูแลสุขภาพด้วยคุณครูสมทรง นาคศรีสังข์ ขนมเปี๊ยะครูสมทรง  อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐมสมัยก่อนตอนเริ่มทำขนมก็ช่วยกันทำกับลูกอีก 3 คน ในห้องแถว 1 ห้อง ลูกเรียนที่สาธิตเกษตร ส่วนครูเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการที่ ร.ร.อนุบาลกำแพงแสน ตอนเช้าก่อนไปส่งลูกเราก็ตั้งเตาถ่านนึ่งถั่วไว้หน้าบ้าน  ไฟก็ดับไปเอง พอกลับมาตอนเย็นก็จะนำถั่วมาบด นวดแป้ง ช่วยกันปั้นขนม ช่วยกันทำจนเสร็จ และนำไปส่งตอนเช้าโดย บรรจุถุงละ   5 ลูก  ขนมลูกจะลูกใหญ่มาก ขายถุงละ 20 บาท ซึ่งถ้าถุงไหนที่ขนมลูกไม่สวยเราก็จะนำไปให้ลูกๆ ทานที่ จะขายเฉพาะลูกสวยๆ จะเห็นว่าเราดูแลเรื่องคุณภาพมาตั้งแต่เริ่มแรก ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นจึงทำให้เราเครียดมากจากกิจการเล็กๆ มาจนถึงปัจจุบันที่เป็นที่รู้จักในทุกวันนี้ เราค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปตั้งแต่เริ่มทำมาก็เติบโตมาเรื่อยๆ แต่เมื่อมีคนเชิญให้ไปออกรายการทางช่อง 5 พอรายการออกอากาศก็มีคนโทรเข้ามาสั่งเป็นจำนวนมากจนเราทำไม่ทัน ตอนนั้นเหมือนเป็นการฆ่าตัวเองเลย เพราะทำไม่ทัน พอเราเร่งรีบขนมก็ไม่มีคุณภาพ รวมทั้งมีผู้ผลิตขนมเปี๊ยะเจ้าอื่นเกิดขึ้นมาอีกหลายราย จึงค่อยๆ เติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ ขนมของเราเน้นที่ความสดใหม่ จึงไม่คิดที่จะใส่สารกันบูด ครูจะเล่าถึงกลยุทธ์ที่เหตุใดครูจึงทำขนมที่ไม่ใส่สารกันบูด และก็ไม่มีความคิดที่จะใส่ด้วย เพราะหากเราทำขนมที่ขายหมดภายใน 3 วัน เราจะสามารถทำขนมได้ทุกวัน เพราะลูกค้าที่ซื้อไปจะต้องรับประทานให้หมดภายใน 3 วัน เพราะไม่เช่นนั้นขนมจะเสีย แต่หากเราใส่สารกันบูด หรือทำขนมที่อยู่ได้ 7 วัน หรือนานเป็นเดือน เราก็ไม่รู้ว่าขนมเราจะขายได้เมื่อไร แล้วขนมก็จะไม่อร่อยเหมือนขนมที่ทำสดใหม่ด้วย  ตอนที่มีข่าวว่าขนมของคุณครูใส่สารกันบูดมีอะไรเกิดขึ้นบ้างครูก็รู้สึกเสียใจ และโมโหเหมือนกัน เพราะขนมเราไม่ได้ใส่สารกันบูดจริงๆ คิดว่ามีคนกลั่นแกล้งเราหรือเปล่า เพราะช่วงนั้นมีทั้งข่าวโทรทัศน์ และข่าวหนังสือพิมพ์ออกมาจำนวนมาก ทำไมข่าวออกมาแบบไม่นึกถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับพนักงานของเรา เพราะโดยตัวเราเองนั้นไม่ทำอาชีพนี้ก็มีอาชีพอื่น แต่พนักงานของเราจะเดือดร้อน ดังนั้นเราจึงคิดหาวิธีแก้ไข เพราะเห็นในตอนท้ายข่าวว่าอาจปนเปื้อนมากับวัตถุดิบ จึงนำเรื่องมาปรึกษากับหลาน โดยให้นำวัตถุดิบทุกชนิด ทั้ง แป้งสาลี   ไข่  เกลือ  ทุกอย่างที่เราใช้ประกอบในการทำขนมไปตรวจหาสารปนเปื้อน ซึ่งผลปรากฏว่าพบอยู่ใน แป้งสาลีที่ใช้ทำขนม จึงติดต่อสอบถามไปที่บริษัทผู้ผลิตแป้ง เขาแจ้งว่าในตัวแป้งสาลีได้ใส่สารฟอกขาว  “ตอนแรกติดต่อขอให้ทางบริษัทผลิตแป้งที่ไม่ใส่สารให้เรา ได้รับคำตอบที่ไม่แน่นอนว่าต้องมีการสั่งซื้อในแต่ละครั้งจำนวนมากน้อยเพียงใด และคิดว่าเราเป็นธุรกิจเล็กๆ เขาจะทำให้เราหรือไม่  จึงติดต่อให้ทางบริษัทออกใบรับรองให้สำหรับวัตถุดิบที่เราใช้ทุกอย่างว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้าง แต่ต่อไปจะพยายามติดต่อกับทางบริษัทผู้ผลิตแป้งอีกครั้งว่าต้องสั่งผลิตในจำนวนเท่าไรที่จะไม่ต้องใส่สารฟอกขาวให้เราได้ คิดอย่างไรหากจะต้องมีการรวมกลุ่มกันของผู้ผลิตขนมเปี๊ยะในการสั่งแป้งเพื่อให้ได้สินค้าที่ได้มาตรฐานยังไม่เคยคุยเรื่องนี้กับผู้ผลิตรายอื่นเหมือนกัน แต่คิดว่าเรื่องนี้ต้องมีคนกลางช่วยประสานให้ผู้ผลิตขนมเปี๊ยะหลายรายมารวมตัวกันเพื่อสั่งแป้งสาลีกับผู้ผลิตรายเดียว น่าจะมีความเป็นไปได้สูงกว่าให้ครูเป็นผู้ประสานเอง ดังนั้นจึงขอให้ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเป็นคนกลางช่วยประสานกับกลุ่มผู้ผลิตขนมที่เขาต้องการแป้งสาลีที่ไม่ใส่สารให้ด้วยค่ะ อยากให้ไปสอบถามผู้ผลิตขนมเจ้าที่ไม่พบสารกันบูดว่าใช้แป้งชนิดใดเป็นส่วนผสม ให้เขาช่วยแนะนำเรา ซึ่งวิธีนี้ครูคิดว่าจะเป็นวิธีที่ง่ายกว่า ต้องลองดูก่อน  แต่อาจไม่ได้รวมกลุ่มเฉพาะผู้ผลิตขนมเปี๊ยะเท่านั้น แต่รวมถึงผู้ผลิตขนมชนิดอื่นที่ใช้แป้งสาลีเป็นวัตถุดิบในการผลิตขนม หรือให้บริษัทผู้ผลิตแป้งสาลีเสนอมาให้เราว่าบริษัทใดที่สามารถผลิตแป้งแล้วไม่ใส่สารกันเสียได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 202 ขาวอันตราย

เมื่อต้นเดือน พฤศจิกายน 2559  มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนจาก ผู้ร้องเรียนจำนวน 45 ราย ที่ได้รับความเสียหายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อเพอร์ลี่ จากบริษัท เมย์โรว จำกัด ของนางอมรรัตน์ ก่อเกียรติสิริกุล โดยผู้ร้องบางท่านได้ซื้อผลิตภัณฑ์มาใช้เองจนเห็นผลลัพธ์ว่ามี ผิวขาวขึ้นเป็นอย่างมาก ภายใน 1-2 เดือนแรก จึงแนะนำให้ผู้อื่นมาใช้บ้าง แต่เมื่อใช้ต่อไป จึงเริ่มมีอาการผิวหนังแตก คัน และปวดแสบบริเวณที่ใช้ผลิตภัณฑ์ โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่ซื้อผลิตภัณฑ์จากตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่ภาคใต้ เช่น จังหวัดสตูล สงขลา สุราษฎร์ธานี ปัตตานี นครศรีธรรมราช ชุมพร ตรัง กระบี่ นราธิวาส หรือบริเวณภาคกลาง เช่น กรุงเทพฯ กาญจนบุรี สมุทรปราการ และภาคอีสาน เช่น อุบลราชธานี เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่อันตราย ครั้งนี้เรามีตัวแทนผู้เสียหาย 2 ท่าน ที่พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวผ่านหน้ากระดาษเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้แก่ผู้บริโภคท่านอื่นศุภสุตา มาหนุ๊ สวัสดีค่ะ หนูชื่อ ศุภสุตา มาหนุ๊ ชื่อเล่นว่า ฝ้าย เป็นชาวจังหวัดนราธิวาส ใช้ครีมทาผิวขาว(ยี่ห้อเพิร์ลลี่) เพื่อนได้แนะนำว่าเพื่อนใช้มาก่อนบอกว่าใช้แล้วขาวขึ้น มีออร่า โดนแดดไม่ดำขึ้น และมีการโฆษณาทางสื่อออนไลน์ เฟซบุ๊ค หนูเลยได้ตัดสินใจซื้อ ปี 2558 ใช้แรกๆ ผิวเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นมาก ขาวขึ้นภายในเวลา 2 อาทิตย์ หนูใช้เป็นเซต ใน 1 เซตที่หนูใช้จะมี สบู่ โลชั่น เซรั่ม ดีดีครีม คราวนี้พอใช้ไปใช้มาผิวเริ่มแตกเป็นฝอยเล็กๆ ตอนนั้นหนูก็ไม่ได้คิดอะไรมากนึกว่าเพราะผิวขาวขึ้นเลยเห็นเส้นเลือดฝอยเล็กๆ (ใช้มาเป็นปีๆ ขนาดผิวเริ่มแตกยังใช้อยู่เพราะไม่คิดว่าผิวแตกเป็นผลมาจากครีมเพิร์ลลี่ หนูคิดว่าแตกเพราะหนูอ้วนมากกว่า แต่หนูก็ไม่ได้อ้วนหรือผอมลง) หนูก็ยังใช้อยู่เรื่อยๆ จนผิวเริ่มแตกใหญ่ ตอนนี้ทั้งคัน แสบ หนูคิดว่ามันคงไม่มีอะไรมั้ง(ปลอบใจตัวเอง) พอแม่เห็นแม่ตกใจ แม่เลยบอกว่าผิวเป็นอะไร ทำไมถึงได้แตกขนาดนี้ แม่เลยบอกว่าให้หนูหยุดใช้ครีมเพิร์ลลี่ หนูเลยหยุดใช้ ต่อมามีพี่ที่รู้จักได้แชร์ทางเฟซบุ๊คเรื่องของพี่วินัย เรื่องที่เขาผิวแตกจากใช้ครีมเพิร์ลลี่ หนูดูไป ฟังไป คือเรื่องมันคล้ายๆ ครีมที่หนูใช้เลย(วันที่ 24 สิงหาคม 59) เลยติดต่อพี่วินัยไป พี่เขาแนะนำให้ไปบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน พอวันที่ 5 กันยายน 59 พี่วินัย ญาติพี่วินัยและหนู ขึ้นไป กทม.เดินทางถึงวันที่ 6 กันยายน 59 เพื่อไปลงทะเบียนผู้ที่มีปัญหาผิวแตกลายจากการใช้ครีมเพิร์ลลี่ และให้ PNAC Care ศูนย์ประสานงานเยียวยาให้ช่วยเหลือ และไลฟ์สดกรณีครีมทาผิว พอวันที่ 9 กันยายน หนูไปออกรายการสถานีประชาชน ทางช่องไทยพีบีเอส และได้ให้สัมภาษณ์สกู๊ปพิเศษให้กับรายการรถปลดทุกข์ทางไทยรัฐทีวี 1 พฤศจิกายน ได้เริ่มไปหาหมอที่คลินิคเพื่อทำการรักษาและบอกได้ระบุว่าผิวแตกเกิดจากสเตียรอยด์6 พฤศจิกายน ไปโรงพยาบาลกรุงเทพ หาดใหญ่ ผลวินิจฉัยออกมาว่า ผิวแตกเกิดจากสเตียรอยด์ ไม่สามารถรักษาให้ได้ค่ารักษาทั้งหมดจะเป็นเท่าไร ก็ไม่สามารถระบุได้เพราะรักษายังไงก็ไม่มีวันหาย จนวันที่ 7 พฤศจิกายน ช่วงเช้า ไปร้องเรียน ที่สคบ.และไปแจ้งความ/บันทึกประจำวัน ที่ บก.ปคบ.ช่วงบ่ายไปร้องเรียนที่ กสทช. และ 18 พฤศจิกายน ไปออกรายการสถานีประชาชนครั้งที่ 2 (ทำกันทุกทางที่สามารถทำได้แล้ว)จำได้ว่าตอนนั้นก็พากันไปที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค 1 ครั้ง แต่จำไม่ได้ว่าไปวันที่เท่าไหร่ หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบไป เรื่องที่เคยดำเนินการต่างๆ ไป ก็เงียบเช่นกัน หนูคิดว่าคงไม่มีใครช่วยได้ แล้วจะหาที่รับผิดชอบจากไหน เครียด ท้อ จนวันหนึ่งมูลนิธิผู้บริโภคติดต่อเข้ามา ช่วยเหลือทุกอย่าง รู้สึกมีพลังเพิ่มขึ้น  ส่วนในเรื่องคดีหนูและเพื่อนๆ อีกจำนวนหนึ่งได้มอบอำนาจให้กับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคดำเนินคดีต่อสู้ให้ถึงที่สุด  ถ้าถามว่า อยากฝากอะไรกับใครบ้าง อยากบอกมากๆ เลยว่า ให้ผู้ผลิตคำนึงถึงความปลอดภัย คำนึงว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้ผลิตใช้เอง ใช้แล้วปลอดภัย ใช้แล้วไม่อันตรายไม่ใช่แค่โฆษณาเพื่อกระจายสินค้าออกจากสต็อก และต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพผู้ผลิตใช้ปลอดภัย ลูกค้าใช้ไม่เป็นอันตรายเพชราภรณ์ คงกลั่น เราซื้อมาสองแบบ ขวดแรกสูตรสีชมพู ราคาประมาณ 1,500 บาท อีกแบบเป็นสูตร ขาว x2 ราคาขวดละประมาณ 1,700 บาท ก็ใช้มาเรื่อย จนเกือบจะหมดขวดก็รู้สึกแสบๆ ที่ผิว คันๆ เป็นริ้วขาวๆ ทีแรกไม่รู้สึกอะไร คิดว่ามันทำปฏิกิริยา  เพราะเราเพิ่งเปลี่ยนครีม เราก็ใช้มาเรื่อย ก็เป็นรอยเป็นฝอยๆ  แล้วก็เจ็บแสบๆ เหมือนมดกัด แต่ยังฝืนใช้มาจนหมดขวด จนมันกลายเป็นรอยใหญ่กว่าเดิม แล้วก็ผิวแตกหมดทั้งตัวเลย เราก็เลยหยุดใช้ ไปหาหมอถามว่ามันเกิดจากสารอะไรกันแน่ หรือเป็นเพราะว่าฮอร์โมนเราปรับตัวหรือเปล่า หมอบอกว่าเกิดจากโลชั่น เป็นสารสเตียรอยด์ เราก็รักษาตามอาการ จนต้องมาหยุดไปหาหมอเรื่องเงิน ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น เรื่องค่าเดินทาง ค่ายา เราก็เลยซื้อยามาใช้เอง พวกยากันรอยแตกลาย ก็หมดไปเป็นหมื่นเลย เพราะพวกยาทาแก้แตกลายก็หลอดละ 280 บาทแล้ว บางยี่ห้อก็ขวดละ 300-400 บาท เราใช้อาทิตย์หนึ่งไม่ต่ำกว่าสามขวด เพราะว่าเราต้องทาทั้งตัว ตอนแรกเราทำงานสองคนกับแฟน พอเราเป็นแบบนี้ เราก็เลยไม่ได้ไปทำงาน 1 คือเราอายเพื่อน แฟนทำงานคนเดียวมันไม่มีรายได้เสริม มันก็เลยลำบาก เราก็รักษาตามอาการแบบที่เล่ามาเรื่อยๆ ส่วนเรื่องการร้องทุกข์ แรกๆ เราเห็นเพจหนึ่งเขารวบรวมเกี่ยวกับคนแปลก เราก็ไปกับเขา ไปร้องเรียนหลายที่แล้ว แล้วพอเรามาร้องเรียนที่เครือข่ายผู้บริโภคที่สงขลา เขาก็พามาร้องเรียนที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ที่กรุงเทพฯ  พอเรามาที่นี่เราก็เจอกับคนที่มีปัญหาเหมือนๆ กับเราหลายๆ คนมาฟ้องคดีร่วมกัน เขาก็ให้เราเตรียมเอกสาร เช่น ใบรับรองแพทย์ ซึ่งของเราเขาระบุเลยว่า เกิดจากสารสเตียรอยด์ โลชั่นมันกินเนื้อ อาการของเราเป็นมากกว่าคนอื่นเลย คนอื่นสามารถใส่เสื้อแขนสั้นได้ คนอื่นเขาเป็นที่ขา ส่วนเราเป็นที่แขนสองข้าง ถ้าถามว่าเลเซอร์ทั้งตัวหายไหม มันก็ไม่รู้ว่าหายหรือเปล่า คือ อยากให้ผู้ผลิตมารับผิดชอบเราด้วย เราไม่เคยใช้โลชั่นที่มันแพงแบบนี้มาก่อน เราใช้โลชั่นทั่วไป ตลาดทั่วไป ขวดละ 25 บาทเราใช้แบบนั้นมาตลอด มันก็ไม่มีปัญหาอะไร พอเราทำงานที่ดีๆ เราอยากผิวสวย เราไปซื้อของแพงมาใช้ เราคิดว่ามันไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร เราไม่ได้ซื้อของเถื่อนนะ แล้วมันมี อย.ข้างกล่อง มีเลขที่จดแจ้ง แล้วราคามันสูง มันก็ทำให้เราคิดว่ามันน่าจะดีนะตอนนี้ดำเนินการถึงขั้นตอนที่ศาลอุธรณ์แล้ว  จากนั้นก็จะไต่สวน แล้วก็ไกล่เกลี่ยว่าผู้ผลิตจะชดใช้ให้เราอย่างไร  ตอนนี้มูลนิธิฯ ขอยื่นคำร้องฟ้องแบบกลุ่ม แต่ศาลไม่รับ บอกว่าแต่ละคนมีอาการแพ้ไม่เหมือนกัน บางคนแพ้มาก ก็จะได้ค่าเสียหายมาก บางคนน้อยก็ควรจะได้เงินตามอาการที่เป็น จะรับค่าเสียหายมากไม่ได้ ต้องดูตามอาการ สิ่งที่เราอยากบอกมากๆ เลยคือ อยากให้คนที่ซื้อของมาใช้แล้วมีปัญหาแบบนี้ อยากให้คนที่มีปัญหาแบบพี่ เมื่อมีปัญหาให้รีบหยุดใช้ทันที ดูฉลากให้ดี ว่ามี อย.ไหม มีเลขจดแจ้งชัดเจนหรือไม่ ให้ตรวจสอบให้ดีๆ ลองประเมินดูก่อนว่าของที่เราซื้อมามันโฆษณาเกินจริงไหม  ถ้าหลงเชื่อก็อาจกลายเป็นเหยื่อแบบนี้  และเมื่อเกิดปัญหาขึ้นให้หยุดใช้ทันที แล้วเก็บตัวอย่างเอาไว้ ตอนนี้สินค้าตัวนี้ตามชุมชนยังมีอยู่ แต่ตามห้างไม่มีแล้วสำหรับผู้ผลิต อยากให้เขารับผิดชอบเราให้ถึงที่สุด ถ้าคุณเป็นแบบที่เราเป็นคุณจะรู้เลยว่าคุณจะเสียใจไปตลอดชีวิต แล้วถ้าคุณอยากทำสินค้าเกี่ยวกับความสวยความงามคุณอย่าโกหกคน คุณอย่าหลอกคนด้วยการเอาตัวยาโน้นมาผสม ตัวนี้มาผสม คุณต้องทำให้ดี แล้วของคุณจะขายดี ไม่ใช่คุณทำแบบนี้ แล้วเห็นไหมผู้เสียหายร้องเรียนเข้ามา พอเรื่องเราจบ ก็จะมีเรื่องคนอื่นอีก คือมันไม่จบไม่สิ้น แล้วประเทศไทยเราก็เหมือนกันพอเรื่องเราจบก็จะให้ขายต่อไปอีก แล้วมันก็ไม่จบ  -----------------------สถานการณ์การฟ้องคดี  วันที่ 18 พฤศจิกายน 2559  มูลนิธิฯ ได้เชิญผู้ประกอบการมาเจรจาไกล่เกลี่ยแต่ได้รับการปฏิเสธ  ตัวแทนผู้เสียหาย 4 ราย จึงเป็นโจทก์ฟ้องคดีนางอมรรัตน์   ก่อเกียรติศิริกุล    และศาลได้นัดไต่สวนคำร้องขอให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มในวันที่  18  ตุลาคม 2560 เวลา  13.00 น.  โดยมูลนิธิฯ และเครือข่ายทนายอาสา นายสิษฐวัศ   ภาคินสกุลพัฒน์  เป็นทนายผู้รับผิดชอบ วันที่ 9 - 10 พฤศจิกายน 2560  นัดไต่สวนคำร้องขอให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม  วันที่ 22 พฤศจิกายน 2560  ศาลมีคำสั่งไม่รับเป็นคดีกลุ่ม  ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการอุทธรณ์คำสั่ง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 201 บรรณารักษ์เคลื่อนที่!

คุณสุภาพร สนธิเณร บรรณารักษ์สาวแห่งจังหวัดสุพรรณบุรี เธอเป็นนักอ่านและแฟนฉลาดซื้อตัวยง แนะนำตัวเองพร้อมกับเล่าว่า ที่มาทำงานเป็นบรรณารักษ์ก็เพราะว่า “ส่วนตัวแล้วคิดว่าการอ่านเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน จำเป็นต้องอ่านหนังสือเพื่อการศึกษาหาความในรู้ด้านต่าง ๆ อยู่เสมอและการอ่านเป็นสิ่งที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพ เพราะสามารถนำความรู้ที่ได้จากการอ่านไปพัฒนางานของตนได้อีกทั้งการอ่านยังเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต  สามารถนำความรู้ไปใช่ในการดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุขอีกด้วยค่ะ” ใช้นิตยสารฉลาดซื้อในการทำงานอย่างไรใช้ในส่วนของการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ด้านการส่งเสริมการอ่านค่ะ เพราะเจี๊ยบทำงานเป็นบรรณารักษ์อยู่ที่ห้องสมุดประชาชนจังหวัดสุพรรณบุรี ก็จะต้องเป็นผู้ส่งเสริมการอ่าน ซึ่งฉลาดซื้อ จะมีเนื้อหาเรื่องราวข่าวสารที่มีประโยชน์ หลากหลาย เหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย เจี๊ยบก็จะคัดเลือกเรื่องที่เหมาะสมกับช่วง จังหวะ เวลา มาเผยแพร่ อาจจะเผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ ที่น่าสนใจ เช่น ทำเป็นหนังสือพิมพ์ฝาผนัง ไปไว้ตามบ้านหนังสือชุมชน ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนด้วยค่ะเรื่องที่ได้รับความสนใจเป็นเรื่องอะไรบ้างบางทีอาจเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ชาวบ้านอาจไม่รู้ เช่น สิทธิต่างๆ ที่ควรรู้ด้านสุขภาพ  เรื่องอุปโภคบริโภค เราก็ได้ข้อมูลสรุปจากฉลาดซื้อไปเผยแพร่ ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจและเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของชาวบ้านเป็นอย่างมากค่ะชาวบ้านที่ได้รับความรู้จากการเผยแพร่ของเรามีการตอบรับอย่างไรบ้างคะชาวบ้านก็รู้สึกยินดี ชอบ บอกว่าได้รับประโยชน์ เพราะบางเรื่องเขาก็ไม่เคยรู้มาก่อน และสามารถทำให้เขาเลือกกินเลือกใช้ได้อย่างถูกวิธีค่ะสถานที่จัดกิจกรรมเป็นที่ไหนบ้าง จะไปย่านชุมชนนะคะ ที่มีคนเยอะๆ บางทีก็ไปตลาดค่ะ เป็นกิจกรรมส่งเสริมการอ่านสำหรับชาวตลาด โดยการที่เราจะนำหนังสือ นิตยสารของทางฉลาดซื้อไปส่งเสริมการอ่าน โดยแจกให้พ่อค้าแม่ค้าได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ปลูกฝังนิสัยการรักการอ่าน ซึ่งจะได้รับความสนใจมาก โดยเฉพาะหนังสือ เลือกอย่างไรให้ถูกใจ เลือกอย่างไรให้ถูกปาก(รวมผลทดสอบ) ซึ่งจะตอบโจทย์ของพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนผู้มาซื้อของ ให้เขาได้สามารถเลือกสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง โดยอ่านและศึกษาจากหนังสือ และนิตยสารของทางฉลาดซื้อค่ะ กิจกรรมบรรณสัญจร ก็จะมีไปตามชุมชน โรงเรียน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล คือตามบ้านหนังสือชุมชน ก็จะนำหนังสือของทางฉลาดซื้อไปมอบให้เพื่อเพิ่มพูนความรู้และส่งเสริมการอ่านอย่างต่อเนื่องค่ะ ถ้าสมาชิกฉลาดซื้อของจังหวัดสุพรรณบุรีที่กำลังอ่านอยู่นี้ จะติดตามงานเผยแพร่งานกิจกรรมส่งเสริมการอ่านของเรา ก็จะมีช่องทางที่ติดตามคือ เฟซบุ๊ค ชื่อ ห้องสมุดประชาชนจังหวัดสุพรรณบุรี เพจ ชื่อ เพจ ห้องสมุดประชาชนจังหวัดสุพรรณบุรี และ ระบบเชื่อมโยงแหล่งการเรียนรู้ ห้องสมุดประชาชนจังหวัดสุพรรณบุรี อยากให้มาติดตามกันมากๆ คิดว่างานคุ้มครองผู้บริโภคมีความจำเป็นอย่างไรกับสังคมบ้านเรามีความจำเป็นและมีความสำคัญมาก เพราะงานคุ้มครองผู้บริโภค ช่วยปกป้องดูแลผู้บริโภค ให้ได้รับความปลอดภัย จากการบริโภคสินค้าและบริการ เพราะปัจจุบันนี้ มีผู้ผลิตที่ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค เราจึงต้องอาศัยงานคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อคุ้มครองไม่ให้เกิดการเสียเปรียบ และอาจตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาที่เกินจริง รวมถึงควบคุมสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานหรือเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ซื้อและผู้ขายค่ะ อย่างตัวเจี๊ยบเองมองว่าปัญหาที่ผู้บริโภคอย่างเราๆ เจอบ่อยและจำเป็นที่จะต้องแก้ไขด่วนคือ  การซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต ที่เรียกกันง่ายๆ ว่า Social นั่นล่ะค่ะ  คือซื้อสินค้ามาบางอันเราใส่ไม่ได้ ใช้ไม่ได้จริงๆ แล้วก็รุ่นและแบบก็ไม่ตรง กับที่เห็นบนเว็บ บางร้านก็ดีค่ะให้เปลี่ยนได้ แต่บางร้านก็ไม่ให้เปลี่ยน ซึ่งจริงๆ แล้ว มันน่าจะมีหลักเหมือนกับหน้าร้านที่เราเดินไปซื้อเอง ที่เราสามารถเปลี่ยนได้จะภายในกี่วันก็ว่าไป และก็มีอีกเรื่องที่เคยประสบด้วยตัวเองก็คือ เรื่องบัตรเครดิตค่ะ ตอนเราทำงานใหม่ๆ เงินเดือนเราพอที่จะทำบัตรเครดิตได้ ก็จะถูกชักชวนให้ทำบัตรเครดิต จากธนาคารต่างๆ และสุดท้ายก็มีหนี้บัตรเครดิตอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งตรงนี้มองว่าเป็นปัญหาในส่วนการกำกับดูแล อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บ แล้วก็การทวงถาม ตรงนี้สำคัญมากค่ะ แต่ทุกวันนี้ไม่รู้ปัญหาแบบนี้ยังมีอีกหรือเปล่านะคะ เพราะไม่ได้ใช้มานานมากแล้วเวลาถูกละเมิดสิทธิทำอย่างไรตอนแรกๆ  เจี๊ยบก็จะค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตก่อนค่ะ ว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้าง พออ่านไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคค่ะ เจี๊ยบโชคดีตรงที่มีเพื่อนทำงานด้านคุ้มครองผู้บริโภคพอดีค่ะ เลยสอบถาม พอได้ข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้นก็จะทำตามขั้นตอนในเรื่องที่เจอมาค่ะ  แต่หลายครั้งก็ใช้คำว่าช่างมัน แต่รู้สึกว่าการที่เรานิ่งเฉยต่อการถูกละเมิดสิทธิมันก็จะเหมือนกับว่าเราส่งเสริมให้มีการละเมิดสิทธิต่อไป หลายครั้งค่ะที่เราถูกละเมิดสิทธิ ก็จะคิดว่าแล้วคนอื่นละ เขาก็อาจจะโดนเหมือนเราแบบนี้ เลยอยากให้ทุกคนเข้มแข็ง เริ่มที่จะปกป้องสิทธิของตัวเอง เมื่อเราเริ่มแล้ว เรามีความรู้บ้างแล้ว เราก็สามารถแนะนำผู้อื่นได้ ซึ่งเจี๊ยบก็จะมีเพื่อนมาปรึกษาอยู่บ่อยครั้งค่ะ เจี๊ยบก็ให้คำแนะนำมาตลอด ซึ่งก็เป็นผลดี วันนี้เจี๊ยบก็ได้มาเล่าเรื่องราว ประสบการณ์ลงฉลาดซื้อ ก็สามารถทำให้เรื่องราวกระจายออกไปยังที่อื่นๆ คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่เพียงแค่เราคนเดียวหรือแค่คนใกล้ตัวเราเท่านั้น ถึงมันอาจจะเป็นเรื่องราวที่แตกต่างกัน เป็นข้อมูลที่ไม่น่าจะใช่เรื่องของคนอื่น แต่เจี๊ยบก็เชื่อว่า ต้องมีสักคน สักหนึ่งความคิด ที่เห็นว่าสิทธิผู้บริโภคนั้นสำคัญจะชักชวนให้คนใกล้ตัวลุกมาใช้สิทธิอย่างไรจะเล่าประสบการณ์รวมถึงแนวทางการแก้ไข และก็ให้เข้าไปดูเว็บไซต์ ให้ลองศึกษาถึงกรณีต่างๆ เพื่อให้คนใกล้ตัวได้เห็นถึงความสำคัญในสิทธิของตัวเอง ถ้าเราถูกละเมิดเราต้องปกป้อง เพื่อไม่ให้เราโดนเอารัดเอาเปรียบ เพราะเขาอาจไปทำแบบนี้กับคนอื่นๆ อีก เราต้องเต็มที่กับสิทธิของเรา

อ่านเพิ่มเติม >

รวมพลังฟ้องคดีแบบกลุ่ม ทำได้จริง!

“กฎหมายการฟ้องคดีแบบกลุ่ม” หรือ “Class Action” เป็นกฎหมายการฟ้องคดีฉบับใหม่ ที่เริ่มมีผลตั้งแต่เดือนเมษายน 2558  จุดเด่นของกฎหมายคือ การฟ้องคดีเพียงครั้งเดียว ด้วยโจทก์คนเดียว แต่สามารถสร้างผลประโยชน์ให้กับสังคมในวงกว้าง ช่วยให้ผู้เสียหายเกิดการรวมตัวกัน นอกจากจะช่วยลดภาระและขั้นตอนในการฟ้องคดีต่อกลุ่มผู้เสียหาย แล้วยังช่วยให้ศาลสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น ที่สำคัญการฟ้องคดีแบบกลุ่มยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงพลังของผู้บริโภคในการรวมกลุ่มกันเพื่อปกป้องสิทธิของตัวเองที่ชัดเจนที่สุดวิธีหนึ่ง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคสนับสนุนให้ผู้บริโภคได้ใช้สิทธิของตนเองอย่างเต็มที่ และเมื่อมีคดีระดับสาธารณะเกิดขึ้น ทางมูลนิธิฯ จึงเริ่มทดสอบกระบวนการฟ้องร้องแบบกลุ่ม โดยประเดิมด้วยคดีกระทะยี่ห้อโคเรียคิง...อันเป็นข่าวโด่งดังในระยะเวลาที่ผ่านมา และคราวนี้ฉลาดซื้อจะพาท่านไปติดตามความในใจของผู้บริโภค 4 ท่าน จากผู้ร่วมฟ้องทั้งสิ้น 74 ราย ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ตัดสินใจร่วมฟ้องในคดีนี้ เมื่อวันที่ 25 ก.ย.60 ศาลแพ่ง (ถนนรัชดาภิเษก) นัดไต่สวนคำร้องคดีแบบกลุ่ม กรณีมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกับผู้เสียหาย 74 ราย ยื่นคำฟ้องและคำร้องขอดำเนินคดีแบบกลุ่ม กับ บริษัท วิซาร์ด โซลูชั่น จำกัด เหตุจำหน่ายกระทะ (กระทะยี่ห้อโคเรียคิง รุ่นไดมอนด์ (Diamond Series) และรุ่นโกลด์ (Gold Series)) ที่มีคุณสมบัติไม่ตรงตามโฆษณา เรียกค่าเสียหายกว่า 1,650 ล้านบาท โดยทั้งสองฝ่ายขอเลื่อนนัดไต่สวนคดี พร้อมนัดเปิดเวทีเจรจาในวันที่ 13 พย.2560 ที่จะถึงนี้คุณนลินทิพย์ ศุภกุลกิตติวัฒน์ “จำได้จานแรกที่ทำคือผัดผักบุ้ง ผัดออกมาเหมือนต้นหญ้าเลย แห้งเหี่ยวกินไม่ได้เลย ก็ไม่มีความสุขหรอกแต่ทนๆ ใช้”คุณนลินทิพย์ เล่าว่า ตัวเองป่วยเป็นมะเร็งต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ จริงๆ ก่อนที่จะไปร้องเรียนที่มูลนิธิฯ ได้ติดต่อมาทางบริษัทโคเรียคิง บอกปัญหากับเขาไปแล้วแต่เขาไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีกลับมา แล้วพอดีกับได้ยินข่าวว่าทางมูลนิธิฯ จะมีการฟ้องรวมกลุ่มจึงตัดสินใจเข้าร่วมฟ้องร้องด้วยเพราะตัวเองตอนที่เห็นโฆษณาทางทีวี เห็นมาตั้งนานก็ยังไม่คิดตัดสินใจซื้อเพราะว่ายังไม่ค่อยเชื่อมั่น พอดูไปเรื่อยๆ มันเหมือนดูดซึมตัวเรา ด้วยความที่แต่เดิมเราใช้กระทะสแตนเลสก็รู้สึกว่ามันก็ล้างยากนะ ถ้าเราได้กระทะอย่างดี ล้างง่ายๆ มันน่าจะสะดวกกับเรา และด้วยความเชื่อมั่นในตัวคุณวู้ดดี้ ซึ่งเป็นพรีเซนเตอร์ เห็นเขาโฆษณากระทะเพื่อสุขภาพ ทำให้อยากซื้อสักใบหนึ่งแล้วราคาที่เขาว่า คิดแล้วมันก็รู้สึกไม่แพง มันคุ้มค่าก็เลยตัดสินใจซื้อ แต่พอซื้อมาแล้วในคู่มือบอกให้ใช้ไฟอย่างอ่อน ทีนี้ก็ทำอาหารไม่ได้เลย ส่วนใหญ่ไม่ได้ทอดเพราะว่าป่วย ส่วนใหญ่จะผัดแล้วใส่น้ำมันนิดหนึ่งอยู่แล้ว แต่ใช้เวลาผัดนานมากเลยเพราะเขาบอกให้ใช้ไฟอ่อน แล้วผัดเมื่อไรจะสุก จำได้จานแรกที่ทำคือผัดผักบุ้ง ผัดออกมาเหมือนต้นหญ้าเลย แห้งเหี่ยวกินไม่ได้เลย ก็ไม่มีความสุขหรอกแต่ทนๆ ใช้ จริงๆ คือเสียดายเพราะซื้อมาแล้วมันต้องใช้ แต่สุดท้ายก็ไม่ใช้ดีกว่ายอมเสียเงินแล้วก็เอาเก็บใส่กล่องได้อ่านคู่มือก่อนใช้ไหมก็อ่านคู่มือก่อน ทำตามขั้นตอนที่เขาบอกแล้วค่อยใช้ พอเจอปัญหาที่ว่าเมื่อเราล้างกระทะแล้ว ล้างด้วยฟองน้ำกับน้ำยาล้างจาน น้ำที่ล้างมันออกมาเป็นสีเทาๆ ดำๆ ก็นึกว่าเป็นครั้งแรกของการใช้แต่พอครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ทุกวันก็เป็นเหมือนกัน เราก็คิดว่าทำไมมันไม่หายสักที เลยรู้สึกกลัวว่าคงจะเกิดจากผิวกระทะมากกว่า แทนที่จะเป็นการดูแลสุขภาพกลายเป็นต้องกินสารพวกนี้เข้าไป ตายผ่อนส่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ จึงหยุดการใช้ใช้ไปประมาณ 10 กว่าครั้งได้ โทรไปถามเขาว่าขอใช้ไฟแรงกว่านี้ได้ไหมเพราะว่าไฟมันอ่อนเกินไปอาหารเราไม่สามารถทำได้นะ เขาก็ตอบมาว่า ถ้าใช้เตาแก๊สให้ใช้ไฟดวงในเพิ่มอีกนิดแล้วกัน ก็ลองเพิ่มแล้วเวลาทำอาหาร ตอนนั้นก็ลองทำราดหน้า เวลาผัดผักก็ใส่น้ำร้อนไม่ใส่น้ำเย็นนะ มันก็ยังไม่ค่อยยอมเดือด คิดอยู่ว่าจะโทรไปบอกเขาก็เปลี่ยนใจไม่ได้โทรแต่หลังจากนั้นทางบริษัทโทรกลับมาหาเราเพื่อขายสินค้าอีกว่าถ้าต้องการซื้อเพิ่มจะได้ราคาพิเศษ หรือมีเพื่อนสนใจจะซื้อเพิ่มจะได้ราคาพิเศษเหมือนกันโดยใช้ชื่อสมาชิกของเรา เราก็เลยแจ้งเขาไปว่าเราใช้แล้วมีปัญหานะ อาหารมันสุกช้าแล้วเวลาล้างกระทะก็มีปัญหาเป็นน้ำสีดำๆ ออกมา เขาก็รับฟังแล้วก็บอกว่าจะบอกผู้ใหญ่ให้นะคะ แล้วก็ไม่เคยติดต่อมาอีกเลย หลัวจากนั้นก็มีคนโทรมาอีกเป็นตัวแทนขายของอีก เราก็บอกปัญหาเขาไปเขาก็ตอบมาว่าเหรอคะ เดี๋ยวจะแจ้งผู้ใหญ่ให้ แต่ก็ไม่มีใครโทรตามเรื่องเราเลย ก็เงียบไปตลอด เราได้แต่ทำใจทำไมจึงตัดสินใจฟ้องคดีตอนเห็นเป็นข่าวขึ้นมาคนที่บ้านก็บอกกระทะแบบนี้ที่สิงคโปร์ใบละไม่เท่าไรเองนะ เราก็มาตามข่าวแล้วได้ยินว่ามีการรวมกลุ่มก็คิดว่าจะร่วมด้วยแต่ก่อนที่จะคิดตรงนี้ก็พอดี บริษัทก็โทรมาขายก่อนที่จะฟ้องแล้วก็เงียบหายไปอีกอยู่ดี เขาก็ไม่ได้จัดการอะไรให้เราเลย ถ้าตอนนั้นเขาใส่ใจเราที่เป็นลูกค้าสักนิดหนึ่ง สอบถามสักนิดเราก็อาจไม่ได้ฟ้องร้องกับเขา แต่นี่ทำให้มีความรู้สึกว่าเขาหวังแค่ขาย ไม่ได้ใส่ใจลูกค้า และเมื่อเราบอกปัญหาไปเขาก็ยังไม่ใส่ใจคิดว่าการรวมกลุ่มแบบนี้มีโอกาสจะชนะมากขึ้นไหมใช่ค่ะ คิดว่าอย่างนั้น เพราะมีความรู้สึกว่าคนขายเขาต้องขายตามที่เขาบอก เมื่อมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็เหมือนหลอกลวงผู้บริโภค อันนี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่มาเพราะเราอยากเรียกร้องความเป็นธรรม ไม่ใช่มาหลอกลวงเราแบบนี้ อีกหน่อยก็หลอกคนอื่นไปเรื่อยๆ เพราะเขาบอกว่าสินค้าเขาดีและเราก็ซื้อเพราะเราเชื่อว่าสินค้าดี----------------------------คุณวิไลพรรณ สกุลนาค“กระทะนี้เราตั้งใจมากที่จะซื้อให้บุพการีและบุตรที่เป็นที่รักและใกล้ชิดเรามากที่สุด แม่เราเป็นคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดสูงและลูกสาวก็กินอาหารคลีน”  เมื่อได้กระทะมา ก่อนใช้ล้างด้วยน้ำเปล่ากับฟองน้ำก่อนด้วยนะ แล้วก็ใช้งานตั้งแต่ครั้งแรกเลยไข่ไม่ล่อนอย่างที่เขาโฆษณา ลูกสาวบ่นเลยว่า แม่โดนหลอกแล้ว แล้วที่บ้านอยู่กัน 3 คน ทดลองกัน 3 คน 3 ครั้ง ประสิทธิภาพคือเหมือนเดิม พอล่าสุดเริ่มมีข่าวที่พูดถึงกันมากๆ เราจึงหยุดใช้ทันทีเพราะเห็นความเปลี่ยนแปลงของรูปกระทะ คุณภาพของกระทะรู้สึกว่า มันไม่เหมือนกับกระทะที่เราเคยใช้งานมานานถึง 20 ปี อย่างเช่น สีเริ่มเปลี่ยน ขนาดใช้แค่ 3 ครั้งนะคะ แล้วหัวน็อตเริ่มเป็นสนิม แล้วพอมีข่าวการผ่ากระทะหรืออะไรออกมาเราก็ติดตามข่าวเรื่อยๆ ไม่ว่าเรื่องมูลค่า ราคาของ การผลิต การขาย การผ่าพิสูจน์ว่าไม่ได้เป็นจริงอย่างคำโฆษณา ทุกสิ่งอย่างทำให้เราหมดความเชื่อมั่นศรัทธาในกระทะเจ้านี้ไปเลยทำให้มารวมตัวกับท่านอื่นร่วมฟ้องคดีค่ะ จริงๆ แล้วประเด็นที่ว่ามันเหมือนทำร้ายจิตใจเรา  กระทะนี้เราตั้งใจมากที่จะซื้อให้บุพการีและบุตรที่เป็นที่รักและใกล้ชิดเรามากที่สุด แม่เราเป็นโคเลสเตอรอลในเส้นเลือดสูงและลูกสาวก็กินอาหารคลีน  ตัวแม่จะเลือกทำอาหารเองในครัว ทุกคนในบ้านจะรักษาสุขอนามัยเป็นอย่างยิ่งในการบริโภคทุกอย่างเข้าไป ทีนี้การโฆษณาสินค้าบอกว่าการที่ไม่ใช้น้ำมันนั้น ก็คิดว่าลูกกับแม่เราน่าจะได้ประโยชน์มากสุดก็เลยเลือกซื้อ ด้วยเหตุผลที่ว่าราคาซื้อได้ ทีเดียวได้ 2 ต่อเลย ได้ดูแลสุขภาพแม่และลูกเบ็ดเสร็จในเวลาเดียวกัน มันพร้อม แต่ก็ไม่ใช่ พอฟังคำโฆษณาหรือสื่อแล้วเราซื้อเลยนะ ฟังอยู่เป็นเดือนจนมั่นใจว่าเอาดารามาขาย เขามีชื่อเสียง เขาไม่น่าจะมาหลอกลวง คงไม่กล้าเอาชื่อเสียงลงมาทำลายเล่น เราก็มั่นใจว่าเราควรจะซื้อ ใช้เวลา 1 เดือนบวกกับชื่อเสียงคนที่เป็นพรีเซนเตอร์ แล้วกลายเป็นแบบนี้ก็เลยทำให้รู้สึกว่าเรากำลังทำร้ายคนในครอบครัวหรือเปล่า แล้วเราไม่ได้รับความเป็นธรรมในลักษณะที่ว่าทำไมเขาขายเกินราคาจริงอย่างมากมายจากท้องตลาด แล้วมันไม่มีคุณภาพอย่างที่เขาโฆษณา นี่เลยทำให้ต้องมาร่วมฟ้องกลุ่มในวันนี้คิดอย่างไรกับการฟ้องกลุ่ม มันรู้สึกว่า ดูเหมือนมีพลังและประสิทธิภาพมากกว่า น่าจะทำให้ศาลรับฟ้องได้ง่ายขึ้นแล้วก็มันทำให้ไม่ยุ่งยากกับรายบุคคลเพราะบางคนอาจจะไม่สะดวกในการมาเดี่ยวๆ ในศาล การฟ้องกลุ่มก็เลยเป็นทางเลือกที่เหมือนว่าจะดีที่สุด คุณกัณฏารัตน์ เรืองวงษ์ศา“มาเพราะได้ยินข่าวการฟ้องกลุ่ม”ดูทีวีแล้วเห็นทางมูลนิธิฯ บอกให้ส่งรูป ส่งหลักฐานมาก็เลยให้ลูกชายถ่ายส่งให้เพราะเราทำเรื่องพวกนี้ไม่ค่อยเป็น ก็เลยได้มา คิดว่าฟ้องดีกว่า เพราะเราเคยติดต่อทางบริษัทฯ ไปแล้ว แล้วเขาก็บอกว่าเดี๋ยวต้องโทรไปตรงนี้ เราก็โทรไปเขาก็ให้โทรไปตรงนั้น เราก็โทรไปๆ มาๆ สายหลุดอีก ก็โทรไปหลายครั้งนะ จนโอนกันไปโอนกันมา จนรอนานไม่มีใครรับสายสักที จนสุดท้ายผู้หญิงคนหนึ่งรับสาย เราก็พูดให้เขาฟัง เขาก็บอกให้เราไปซื้อเบคกิ้งโซดามาล้าง เราก็ถามว่าเบคกิ้งโซดามันล้างออกแล้วเรากินเบคกิ้งโซดาเหรอ  ขนาดไอ้นี้ยังล้างออกแล้วเราไม่แย่เหรอถ้าเรากินเข้าไปอีก เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร ไม่อันตรายก็บอกให้เราทำตามนี้ แต่เราก็ไม่ได้ทำหรอก เลยตัดสินใจฟ้องบริษัทฯ จริงๆ ก็คือ สงสารผู้บริโภคท่านอื่นๆ ด้วยนะ คนที่ซื้อหลังๆ นี้ คืออาจจะต้องใช้เวลานานๆ แล้วมันจะเห็นว่ามีปัญหาจากการใช้งานกระทะนี้ คือถ้าใช้ไปแค่ 1 - 2 ครั้งยังไม่รู้หรอก แต่ถ้าคุณใช้เป็นประจำวันเป็นปกติมันจะเห็นเร็ว ของเราก็ใช้ไม่กี่เดือนเอง เดือนแรกก็เริ่มแล้วทำไปได้ไม่กี่ครั้งเองไม่ถึง 10 ครั้งด้วยซ้ำก็เริ่มติดกระทะ เริ่มหลายอย่างจนกระทั่งรู้สึกไม่ไหวแล้ว มันติดกระทะแล้วก็เริ่มแดงขึ้นๆ เราก็เลยเก็บ พอได้ยินข่าวว่าสามารถฟ้องร้องได้ จึงตัดสินใจว่าจะร่วมฟ้องคดีด้วย ------------------------------คุณณัชไม กิตติโรจนธรรมตอนที่ซื้อมี 1 แถม 1 แต่ราคาตอนนั้น 3,300 บาท รู้สึกจะเป็นรุ่นต้นๆ ของเขา จะไม่มีแถมอะไรต่ออะไร ซึ่งมาตอนหลังนั้นเริ่มถูกลง ราคาก็คงถูกลงด้วยและก็มีของแถมเป็นตะหลิวบ้างอะไรบ้าง สรุปว่าราคาถูกลงและฟังดูหลายๆ คนก็ซื้อได้ราคาถูกลงด้วย เราก็รู้สึกว่าความมาตรฐานของเขาไม่มี อยากจะขายเท่าไรก็ขาย ความนิยมเยอะก็ขายราคาสูง กระทะนี้ก็ดูโฆษณาก็รู้สึกว่าน่าใช้นะ ที่บ้านไม่ค่อยได้ทำอะไรทานเองมากนัก ปกติจะซื้อกับข้าวนอกบ้าน ก็คิดว่าได้กระทะมามันไม่ต้องใช้น้ำมันก็ดีนะ ทอดไข่ ผัดกับข้าวอะไรพวกนี้ จะได้ดีต่อสุขภาพก็ซื้อมาใช้ พอซื้อมาใช้รู้สึกว่าไม่ใช้น้ำมัน(อย่างโฆษณา) ไม่ได้แล้ว อาหารมันติดหนึบเลย สรุปก็คือตอนนั้นเอาปลามาทอดก็ต้องใส่น้ำมันสักนิดหนึ่ง แต่ไอ้ส่วนที่ติดมันก็ติดอยู่ พอใช้ไป 2 – 3 ครั้งมันเริ่มเป็นเหมือนสนิม ก็คิดว่านี่มันจะเป็นอะไรหรือเปล่าแต่ก็ด้วยความที่เราไม่ได้ทำกับข้าวเยอะ ส่วนมากจะซื้อกินเสียมากกว่าก็ไม่ได้สนใจตรงนั้นไป ถึงเวลาจะใช้ก็เอามาใช้ พอใช้ทีก็เป็นอย่างเดิมทุกที คิดอยู่นะว่าเสี่ยงไหมนี่แล้วไม่นานก็ได้ยินข่าวว่ากระทะชื่อดังโฆษณาไม่จริงตามที่เขาได้ทำโฆษณาไว้  เราก็เลยเริ่มกังวลว่าสงสัยเป็นจริงแล้วอย่างที่เรากลัวๆ ไว้ แสดงว่าที่เรากินไปที่หลุดๆ ลอกๆ มามันไม่ได้หายไปไหนมันคงอยู่ในอาหารเรานี้แหละ หลังจากนั้นก็เห็นทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเริ่มมาทำเรื่องชวนกันฟ้องร้องเป็นคดีแบบกลุ่ม เราก็เลยขอเข้าไปร่วมทำเรื่องกับเขาด้วย แต่จุดประสงค์ก็คือไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะมาชดใช้อะไรเรา แต่อยากจะสร้างภาพพจน์ให้ผู้บริโภคของเราแข็งแรงขึ้น ในหลายๆ เรื่องนั้น เช่นถ้าผู้บริโภคแข็งแรงการหลอกลวง อย่างเช่น เรื่องที่ดินก็คงไม่เกิดขึ้น ไม่กล้าโฆษณาเพื่อที่จะหวังหลอกลวง  โดยหลอกให้คนส่ง 5 ปี 10 ปี ซึ่งถ้าพวกเราแข็งแรงขึ้นนั้นคนที่จะทำอะไรเขาจะต้องคิดก่อนที่มาทำ ก็เลยคิดว่าเราน่าจะช่วยๆ กันคิดว่าการร่วมฟ้องฯ ครั้งนี้จะช่วยยกระดับสินค้าคิดเรื่องยกระดับผู้บริโภคให้แข็งแรงขึ้นมากกว่า อยากจะให้ใครได้ยินข่าวนี้อยากให้ช่วยๆ กันมาร่วมมือกัน ทำให้ฝ่ายผู้บริโภคแข็งแรง เพราะถ้าผู้บริโภคมีพลัง คิดว่าเขา(บริษัทฯ) น่าจะกลัวพลังตรงนี้ แล้วก่อนจะทำอะไรพวกบริษัทต่างๆ ที่ทำไม่ดีเขาจะได้คิดเยอะขึ้น และถ้าจะให้ดีนั้นถ้าเสียงดังไปถึงฝ่ายรัฐบาล ถ้ารัฐบาลสนับสนุนทำให้พวกเราโตขึ้นมันก็จะยิ่งทำให้ภาคประชาชนแข็งแรงขึ้นคดีอะไรบ้าง ที่สามารถฟ้องเป็นคดีแบบกลุ่ม1.คดีละเมิด2.คดีผิดสัญญา3.คดีเรียกร้องสิทธิตามกฎหมายต่างๆ เช่น กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม การคุ้มครองผู้บริโภค แรงงาน หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ การแข่งขันทางการค้าขั้นตอนและวิธีการดำเนินคดีแบบกลุ่มขั้นตอนการขออนุญาตโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลพร้อมกับคำฟ้องเริ่มคดีเพื่อขอให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม1.  โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลพร้อมกับคำฟ้องเริ่มคดีเพื่อขอให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม2.   โจทก์ต้องแสดงให้เห็นถึงเหตุผลที่ศาลจะอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม3.   คำฟ้องของโจทก์ต้องทำเป็นหนังสือและแสดงโดยชัดเจนถึงข้อหาหรือข้อบังคับ ที่ตัวโจทก์และสมาชิกกลุ่มทั้งหมดที่เข้าร่วมฟ้องได้รับความเสียหายอันเป็นเหตุผลที่ต้องดำเนินการฟ้องร้องต่อศาล และกรณีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงิน ต้องมีการระบุหลักการและวิธีคำนวณเพื่อชำระเงินให้แก่สมาชิกกลุ่มเท่าที่จะระบุได้ลงไปด้วย4.   ในการพิจารณาคำร้องขออนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม ศาลต้องจัดส่งสำเนาคำฟ้องไปให้จำเลยที่ถูกฟ้องด้วย จากนั้นศาลต้องฟังคู่ความทุกฝ่ายและมีการไต่สวนตามที่เห็นสมควร เพื่อเป็นข้อมูลพิจารณาว่าคดีนี้ศาลจะอนุญาตให้ใช้วิธีการฟ้องคดีแบบกลุ่มหรือไม่5.    เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม ศาลจะรับคำร้องนั้นไว้ดำเนินการพิจารณาตามขั้นตอนของศาลต่อไป โดยทนายความของโจทก์ก็ถือว่าเป็นทนายความของกลุ่มด้วย6.    ในกรณีที่ศาลไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม ให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปอย่างคดีสามัญ หรืออาจทำการขออุทธรณ์อีกครั้งภายใน 7 วันหลังจากศาลมีคำสั่งแรกออกมา โดยคำวินิจฉัยของศาล  อุทธรณ์ถือเป็นที่สิ้นสุดดาวโหลดกฎหมายได้ที่ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2558/A/028/1.PDFขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารออนไลน์ ฉบับที่ 173, สำนักงาน ไทยลอว์ คอนซัลต์, http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9580000040824

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 199 นพ.พูลชัย จิตอนันตวิทยา เมื่อ “วิถีเธอ” สู่วิถีของสังคมที่ยั่งยืน

ใครเดินทางผ่านบริเวณใต้ทางด่วนแยกสามเหลี่ยมดินแดง คงเคยเห็น”คลินิกทางด่วนเพื่อชุมชน บ้านกึ่งวิถี SHE ( เธอ)” ซึ่งที่นี่คือจุดเริ่มต้นของนวัตกรรมการนวดดัดจัดสรีระ สูตรเร่งรัด  10 นาที “เจ็บแต่จบ” หายเมื่อยล้าในเวลารวบรัด และฉลาดซื้อจะพาทุกท่าน ไปพูดคุยกับ นพ.พูลชัย จิตอนันตวิทยา ประธานฝ่ายการแพทย์วิสาหกิจสุขภาพชุมชน แพทย์ด้านโรคหัวใจ ผู้ก่อตั้งบ้านกึ่งวิถี SHE ( เธอ) และวิสาหกิจสุขภาพชุมชนแห่งแรกของประเทศ บ้านวิถีเธอเกิดขึ้นได้อย่างไรเดิมผมเป็นคุณหมออยู่ที่กระทรวงสาธารณสุข ทำงานเรื่องหลักประกันสุขภาพ ที่ สปสช. แต่ลาออกจาก สปสช. มานานแล้ว ในระยะ 10 ปีหลังนี้ ผมพบว่ามีคนไข้ที่ยังหนุ่มสาวไปพบผมด้วยความที่สงสัยว่าตัวเองจะเป็นโรคหัวใจ อาการที่มามีทั้งความดันสูง ปวดหัวเรื้อรัง กลางคืนนอนหลับไม่สนิท ปัสสาวะบ่อย ชาตามมือ แขนขา ก็สงสัยไปว่าตัวเองจะเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์หรือเปล่า ทั้งๆ ที่คนเหล่านี้บางคนก็ออกกำลังกายประจำ แต่ที่สังเกตคือ ส่วนใหญ่เลยเป็นคนที่ทำงานออฟฟิศหรือเป็นคนที่ขับรถนานๆ ตอนนั้นผมก็รักษาแบบหมอทั่วไป ให้ยาคลายกล้ามเนื้อ ให้ยาลดความดัน มันก็ดูจะคุมตัวเลขความดันได้แต่มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าเขามีความสุข เมื่อพูดคุยผมถึงเห็นว่า สาเหตุแท้จริงอาการต่างๆ น่าจะมาจากการทำงาน  คุณเคยกินยาแล้วรู้สึกง่วงๆ ทั้งวันไหม หรือทั้งๆ ที่ตัวเองจะต้องขับรถ มันจะรู้สึกเพลีย อาการพวกนี้ เกิดจากความเครียด เพราะเวลาเราเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่เอาไว้จัดการกับความเครียด ฮอร์โมนเหล่านี้จะทำให้ร่างกายเราสะสมพลังงานไว้ หัวใจจึงเต้นเร็ว ความดันเพิ่มสูงขึ้น กล้ามเนื้อตึงพร้อมที่จะกระโจนออกไปแต่มันไม่กระโจนไปไหนไง มันนั่งอยู่เฉยๆ อยู่กับที่ ผลก็คือกล้ามเนื้อมันแข็งอย่างต่อเนื่อง เมื่อมันแข็งอย่างต่อเนื่อง เช่น กล้ามเนื้อหน้าอกที่เวลาเรานั่งพิมพ์คีย์บอร์ดแล้วห่อไหล่เข้ามา การห่อไหล่ทำให้กล้ามเนื้อดึงกล้ามเนื้อที่สะบัก กล้ามเนื้อบ่า สะบักก็ต้องพยายามยึดดึงกลับ ผลก็คือหน้าดึงเข้า หลังก็พยายามดึงกลับ ทั้งสองอันสู้แรงกันเองโดยที่ไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหนเลย ดังนั้นแม้คนไข้ที่ได้ยาแล้วมันไม่ได้ทำให้เขามีความสุขนั้น ก็เพราะกล้ามเนื้อมันตึงแข็งไปหมดทั้งตัว ให้ก้มแตะพื้นยังไม่ได้เลย ห่างจากพื้นเป็นฟุตเลย พอผมเห็นแบบนี้ในฐานะที่เราเป็นหมอเลยมองว่า เราจะไม่ใช้ยานะ จึงปรับเปลี่ยนหันมารักษาด้วยการคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งก็ลงตัวที่การนวด กดจุด และแนะนำการจัดท่าทางการทำงานให้ถูกต้อง   เทคนิกของที่นี่คือ  ปลดปล่อยคำสั่งจากสมองโดยการกดที่จุดที่ผมได้แสดงไว้ที่ซอฟแวร์ที่เรียกว่า Trigger point หรือถ้าหากว่าจะใช้คำโดยทั่วไปจะใช้คำว่า ตะคริวจิ๋วๆ มันอยู่ในกล้ามเนื้อที่คอ ถ้าตะคริวใหญ่ๆ มันจะอยู่ที่น่องเป็นลูกๆ  เคยไหม? ตอนที่เรากำลังใกล้จะตื่นนอนอยู่ดีๆ เราฝันอะไรก็ไม่รู้แล้วเราเหยียดขาหรือพลิกตัว จะมีอาการแบบน่องมันเกร็ง ปวด แล้วเราจะสะดุ้งตื่นด้วยความปวดนั้น กล้ามเนื้อน่องจะขึ้นเป็นลูกเลย สิ่งนั้นเรียกว่า ตะคริว ซึ่งมันเกิดขึ้นจากคำสั่งของสมอง เราจึงต้องหากลไกหรือวิธีการบอกให้สมองสั่งให้มัน(กล้ามเนื้อ)ปล่อย เมื่อสักครู่ผมลองกดที่น่องคุณ นั่นเป็นวิธีการหนึ่งที่บอกให้สมองมันปล่อย เพราะสมองเวลามันโดนกดในจุดที่ใช่ แล้วมันเจ็บมากๆ มันจะบอกว่าไม่ได้แล้วนะ กล้ามเนื้อต้องคลายตัวไม่อย่างนั้นจะบาดเจ็บได้ ต้องใช้แรงกดเยอะไหมคะและแต่ละครั้งใช้เวลานานไหม  ถามว่าแรงที่กดเยอะไหมคือไม่เยอะ แต่ว่ามันเป็นจุดพิเศษ จุดที่กระตุ้นลงไปปุ๊บ สมองจะบอกว่าวิกฤติแล้วต้องเปลี่ยนคำสั่งมาที่กล้ามเนื้อให้กล้ามเนื้อคลาย แล้วเวลาสมองสั่งมามันไม่ได้สั่งเฉพาะกล้ามเนื้อน่อง มันสั่งตั้งแต่กล้ามเนื้อต้นขาลงไปเลย ตรงไหนที่ตอนกดแล้วมันเจ็บ มันร้าวระบม มันจะส่งคำสั่งทั้งชุดเหล่านั้นไปที่สมองและสมองก็เปลี่ยนคำสั่งทั้งชุดลงมาที่ขาทั้งข้าง จึงทำให้เราสามารถทำให้แขนขาโล่งได้ใน 10 นาที ตอนแรกหมอก็พัฒนาการนวดเหลือ 1 ชม. จากเมื่อก่อนทั่วไป 2 ชม. แต่หมอก็พยายามลดเวลาเพราะคนเราไม่ค่อยมีเวลาใช่ไหม จึงทำให้มันเหลือ 1 ชม. ก็ยังเจอว่า คนก็ยังไม่มีเวลาอีก  มีการต่อรองขอครึ่งชั่วโมง เพราะมีคนถามว่า เอาวิธีการของคุณหมอเข้าไปในออฟฟิศในโรงงานเขาได้ไหม แต่ถ้าต้องนวด 1 ชม. เจ้านายคงไม่ยอมเพราะเจ้านายจะรู้สึกว่าอู้งานไปนวดตั้ง 1 ชม. เราก็เลยบอกว่า เราไม่ใช่การนวดแต่เราเป็นการ Human maintenance เราก็ทำออกมาเหลือ 20 นาที ซึ่งก็เป็นที่ชื่นชมมากเหมือนว่าคุณหมอจะลดเวลาลงมาอีกให้เหลือ 10 นาที แล้วจะได้ผลจริงไหม เราเคยเข้าไปโรงงานขนาด 1,000 คน พอแต่ละคนใช้เวลา 20 นาที วันหนึ่งจะให้บริการได้แค่ 20 คน ถ้าเรา(ผู้ให้บริการ) ไป 5 คนก็ได้วันละ 100 คน ถ้าจะให้ครบเราต้องไปถึง 10 วัน บริษัทเขาก็รู้สึกว่า จัดมหกรรมสุขภาพ 10 วันมันนานเกิน เราก็เลยลดเวลาลงมาเหลือ 10 นาที พอ 10 นาทีก็เหลือแค่ 5 วัน อาทิตย์หนึ่งได้พอดี 1,000 คน นี่คือการเรียกร้องของผู้บริโภคทำให้หมอต้องใช้สมองให้มากขึ้น กลั่นกรองให้ชัดเจนว่ากล้ามเนื้อชุดไหนบ้าง ที่เป็นต้นเหตุหลักของความตึง ของความเครียดในร่างกายของคนที่ทำงานแล้วตึงเครียด การลดเวลาบำบัดลงมาเหลือ 10 นาทีได้นั้น เป้าหมายของเราอย่างหนึ่งก็คือ เพื่อคนใช้บริการจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนชุด เราเองก็ไม่ต้องเสียน้ำซักชุดอีก และก็คิดราคาให้ประหยัดลง ทีนี้พอได้แบบนี้แล้ว เราเชื่อว่าทำให้เรามีลูกค้าจำนวนมากขึ้นแล้วผู้ให้บริการจะเพียงพอกับความต้องการของลูกค้าไหม หมอจะเอาคนให้บริการมาจากไหน  นี่แหละคือที่เป็นจุดเด่นของสถานที่แห่งนี้  คือมีอยู่ปีหนึ่งที่ผมเคยเข้าไปตรวจสุขภาพในเรือนจำ   แล้วพบว่า มีนักโทษหญิงอยู่ในนั้นเยอะมากๆ เฉพาะที่ธัญบุรีมีอยู่ 2,000 กว่าคน ถ้าเป็นเรือนจำหญิงกลางมีอยู่ 5,000 กว่าคน ทั้งประเทศเรามีผู้ต้องขังหญิงอยู่ 40,000 กว่าคน ผมจึงมีความคิดว่า แล้วทำไมเราไม่เอาคนเหล่านี้มาทำงานเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งกับตัวเองและคนอื่น แต่ถ้าเป็นการไปให้บริการในที่ที่มันลึกลับซับซ้อนกั้นเป็นห้อง คนเหล่านี้อาจจะไม่เหมาะ เพราะคนที่ไปรับบริการก็อาจจะหวาดกลัว เพราะว่าบางคนก็มีรอยสักเต็มตัวเลย แต่ถ้าหากว่าบริการกลางแจ้งแค่ 10 นาทีตามวิธีของเรา ก็น่าจะได้ เราก็เลยไปสอนอาชีพให้กับผู้ต้องโทษตั้งแต่เขายังอยู่ในเรือนจำ พอเขาออกมาแล้วเราก็รับเขามาเป็นพนักงานของเรา  และจ้างเขาในอัตราเหมือนคนทั่วไปเลย ทุกคนโอเคไหมคะรวมถึงผู้รับบริการด้วย ผมคิดมากกว่าการจ้างงานนะ  คือพิเศษกว่าเรื่องค่าแรง เรามีบ้านให้อยู่ด้วย เราจัดที่พักพิงให้เพราะว่า หลายคนนั้นถ้าเขากลับไปบ้านของเขาเอง สภาพแวดล้อมที่บ้าน เพื่อนข้างบ้านที่ไม่ดีก็จะมาลากเอากลับไปให้เขาอยู่ในวงจรเดิม เมื่อเป็นแบบนี้พบว่า พวกเขามีความสุขมากเลย พ่อแม่เขาก็มีความสุขเพราะถ้าลูกเขากลับบ้านทีไรมีเรื่องทุกที เราจึงเรียกที่นี่ว่า บ้านกึ่งวิถี คุณออกมาจากเรือนจำคุณไม่มีอนาคตมาพักที่นี่ เรามีอาชีพที่ดีให้ ส่วนคนที่มารับบริการ  เคยนะพอบำบัดให้เสร็จแล้วยังจะยกมือไหว้ขอบใจเลย บอกว่ามันโล่งจริงๆ ความรู้สึกแบบนี้คือ ความสุข สิ่งที่มันเกิดขึ้นในสังคมไทย คือคนของเราให้บริการเสร็จคนส่วนใหญ่ก็ลุกมาขอบใจนะ บางคนก็ยกมือไหว้ คุณลองนึกถึงคนที่เมื่อก่อนเราอาจจะเรียกพวกเขาว่า คนขี้คุก การเรียกแบบนั้น ทำให้เขารู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนที่ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีคุณค่าอะไร ในชีวิตมีแต่เสียงด่าทอจากคนรอบข้าง แต่พอมีคนมายกมือไหว้ บอกขอบคุณ สิ่งเหล่านี้มันช่วยยกระดับคุณค่าจิตใจของเขาขึ้นมา ใครจะไปอยากทำไม่ดีอีก ในเมื่อสิ่งนี้ให้ความสุขกับพวกเขา  ตอนนี้เราก็มีอยู่ประมาณ 40 คนที่ทำงานกับเรา และยังมีอีกเป็นร้อยคนที่เราฝึกเขา แต่เขาไม่สะดวกที่จะมาอยู่ที่นี่ เขาก็อาจจะย้ายไปอยู่อีกที่หนึ่งแล้วเอาวิชานี้ไปหากินด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นสัมมาชีพ เป็นอาชีพที่ลงทุนน้อยมากแต่ต้องบริการด้วยใจที่ดี บริการที่ดีมันจะหล่อหลอมให้เขาเป็นคนที่จิตใจดีตอนนี้ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นพวกพนักงานบริษัทใช่ไหมคะ ครับ ส่วนหนึ่งก็เกิดขึ้นจากผู้บริหารของบริษัทเลยนะ ที่อยากเพิ่มประสิทธิภาพคนทำงาน ตอนปี 2016 องค์กรนานาชาติหรือ ILO-International Labour Organization ได้ออกรณรงค์ในวันความปลอดภัยของแรงงานทั่วโลกว่า วิกฤติจากความเครียดในที่ทำงาน หรือ Workplace Stress ทำให้เกิดโรคตามมาเยอะแยะทั้งความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคอ้วน ซึมเศร้า โรควิตกกังวล ติดสุรา ติดบุหรี่ ส่วนใหญ่มาจากความเครียด อย่างวันนี้พวกเราก็ไปกันที่ สาทรสแควร์ ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนได้รับการแนะนำจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เขาทำสิ่งที่เรียกว่า Human maintenance service เพื่อให้พนักงานคลายเครียด ซึ่งจะมีผลกับการทำงาน ได้งานดีขึ้น และยังจะได้สิ่งที่เรียกว่า CSR in Process ด้วย  ยกตัวอย่างวันนี้ ที่ทีมเราไปตั้งบูธ แล้วที่ตึกนั้นก็ให้คนมาลงทะเบียนขอรับบริการ Human maintenance service ฟรี เชื่อไหมแค่ 2 วันเท่านั้น ลือกันทั้งตึกว่า ตั้งแต่จัดกิจกรรมมากิจกรรมนี้ดีที่สุดตั้งแต่เคยจัดมา พนักงานชอบมาก มันคุ้ม คุ้มกับการที่เอาความโล่งสบายมาให้ ดีกว่าเลี้ยงอาหารอีก อย่างที่สอง CSR in Process บริษัทฯ ต่างๆ ก็ตระหนักรู้ได้ว่า การที่เขาช่วยให้คนที่เคยก้าวพลาดมีงานทำที่ดีแบบนี้นั้น มันทำให้ช่วยสังคมข้างนอกให้ลดปัญหายาเสพติดลงไปได้ด้วย(ส่วนใหญ่เคยต้องคดียาเสพติด) จำนวนคนที่คิดดี ทำดี กลายเป็นคนดีก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี สิ่งนี้ดีมากๆ คุณหมอเชื่อมั่นว่าทุกคนจะไม่กลับไปสู่วิถีชีวิตเดิมๆ คุณรู้ไหม คนที่เคยอบรมกับผม เมื่อออกมาเขาจะกลับไปทำ 2 เรื่อง คือขอไปเป็นครูสอนในเรือนจำ โดยเอาประสบการณ์นี้ไปเล่าให้คนที่ยังไม่เคยรู้ว่า มันมีสังคมให้โอกาสพวกเขาอย่างไร เราออกรายการเดินหน้าประเทศไทย ลองไปดูคลิปวันที่ 14 สิงหาคม 60 มีน้องๆ 3 คนที่เล่าว่าชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงอย่างไรกับการที่เขาได้โอกาสนี้จากสังคม ได้โอกาสจากการที่วิสาหกิจสุขภาพชุมชน ที่จัดการเพื่อสังคมเข้าไปช่วยเขา และถ้าหากมองภาพใหญ่ให้ออกสิ่งที่หมอทำนั้นเป็นเรื่องใหม่ หมอทำเหมือนที่พ่อสอน ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทำให้เราดูแล้วว่าพระองค์เห็นปัญหาภูเขาถูกรุกปลูกฝิ่น แทนที่จะไปจับเขา ก็ให้โอกาสกับให้อาชีพสุจริตแทน กลุ่มอดีตผู้ต้องโทษหญิงนี้เราก็เอาอาชีพที่ดีไปแก้ไขปัญหายาเสพติดเช่นเดียวกัน จะมีการสอนการนวดตัวเองสำหรับให้คนที่ทำงานแล้วเครียดดูแลตัวเองเป็นบ้างไหมตอนนี้เราเริ่มทำกับสำนักงานประกันสังคม แต่พบว่า จริงๆ มันดูเหมือนง่ายนะ แต่ท่าจุดบำบัดของเรานั้นมันต้องการการฝึกฝน ต้องมีความแข็งแรงของร่างกายมาก เมื่อกี้เห็นไหมตอนที่ผมยืดหลังรู้สึกไหมว่าคุณหมอต้องแข็งแรงมากๆ เลยถึงยืดหลังได้ ดังนั้นการเลียนแบบเลียนท่าได้บางท่า แต่เลียนผลคงได้ยาก เพราะฉะนั้นให้เรื่องเหล่านี้กลายเป็นอาชีพของคนด้อยโอกาสในสังคมดีกว่า แต่ผมอยากจะแนะนำเรื่องหนึ่งที่คิดว่า ช่วยได้มาก คือการเลือกเก้าอี้นั่งทำงานและท่าทางการนั่งทำงานจริงๆ แล้วท่าที่ดีในการใช้คีย์บอร์ด ก็คือท่าที่วางมือไว้เป็นปกติ แขน 90 องศา มือก็ไม่ควรที่จะหักมือ นั่งให้พอดี วางแขนให้พอดี คอมพิวเตอร์อยู่ระดับสายตา ไม่ใช่พิมพ์แล้วชะโงกหน้าไป คุณลองชะโงกหน้าไปคุณจะรู้เลยว่าคอมันตึง แต่ถ้านั่งปกติ แขนวางปกติสามารถเห็นงานที่หน้าจอได้ เก้าอี้ที่ดีปัจจุบันผมแนะนำเลยว่า เลิกเอาเก้าอี้มีล้อมาใช้ เก้าอี้ที่เป็นเก้าอี้ทรงแข็งมีเบาะรองบางๆ ก็พอ ไม่ต้องให้เอนหลังได้ ยิ่งเอนได้เราก็จะเลื้อย พอเลื้อยก็ต้องเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องแล้วก็ชะโงกไหล่ไป ผลักทั้งตัวล้อมันก็เลื่อน เราก็ต้องคอยพยุงล้อไว้ ดังนั้นสังเกตว่าหมอ นั่งเก้าอี้ที่ขาเป็นแบบนี้(ไม่มีล้อ) ความรู้สึกมันนั่งได้สบาย มั่นคง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 198 พีรพล อนุตรโสตถิ์ กับชัวร์ก่อนแชร์

 “ ชัวร์เหรอ? ” วลีบ่งบอกอารมณ์สงสัย ที่เขากล่าวท้ายประโยคเรื่องในกระแสที่ยังไม่มีข้อสรุป หรือเป็นข้อมูลที่ถูกส่งต่อๆ กันมา แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการสืบค้นหาความจริงที่เรามักได้ยินจนคุ้นชินในช่วงหนึ่งของข่าวภาคค่ำ สำนักข่าวไทย ของโย พีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวไทย อสมท. (ช่อง 9 MCOT HD) ผู้ผลิตรายการ "ชัวร์ก่อนแชร์” ซึ่งนอกจากนี้เขายังเป็นนักเขียนและคอลัมนิสต์ด้านไอที, บล็อกเกอร์และผู้ให้ข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย ภายใต้ชื่อ @YOWARE (โยแวร์)ที่เราจะพามารู้จักที่มาของ ชัวร์ก่อนแชร์ กันให้มากยิ่งขึ้นเป็นนักสื่อสารมวลชนแต่แรกใช่ไหมเรียนจบมาวิชาเอกสื่อสารมวลชน คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  ตอนเริ่มต้นทำงานในวงการสิ่งพิมพ์มาก่อน เริ่มงานทำหนังสือ หนังสือเล่ม นิตยสาร เคยทำนิตยสารคอมพิวเตอร์มาก่อน เขียนบทความคอมพิวเตอร์ แปลหนังสือคอมพิวเตอร์ เคยเขียนหนังสือคอมพิวเตอร์ ต่อมาก็อยากมาทำข่าว อยู่ที่สำนักข่าวไทยมาตั้งแต่ปี 2548 ระยะเวลา 12 ปี พอเป็นผู้สื่อข่าวก็ได้ทำข่าวไปประจำที่กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงศึกษาฯ และเป็นผู้ประกาศข่าวภาคสนามและในเวลาเดียวกันก็ยังทำงานด้านไอทีไปด้วย ก็คือจัดรายการวิทยุด้านไอทีที่นี่ และด้วยเป็นความชอบและความถนัดอยู่แล้ว ก็ได้ทำข่าวไอทีอยู่บ้างคือเนื่องจากว่าข่าวไอทีของสำนักข่าวไทยนั้นก็จะผสานไปกับข่าวทั่วๆ ไป เราก็เลยได้มีโอกาสไปทำข่าวไอทีอยู่บ้างเป็นระยะ ก็เป็นข่าวไอทีเชิงสังคมที่ทำผ่านมาและก็ทำแบบนี้มาเรื่อยๆ พอมียุคโซเชียลมีเดียเราก็เข้าไปอยู่ในโซเชียลมีเดีย เริ่มเขียนบล็อก ใช้งานทวิตเตอร์และก็พยายามติดตามอ่านโลกไอที ติดตามไอทีอยู่ตลอด บนโซเชียลมีเดียผมก็เป็นคนที่ชอบเขียนข้อมูลและให้ข้อมูลเรื่องของไอทีมากๆ แต่ช่วงการทำงานก็มาทำชัวร์ก่อนแชร์ตั้งแต่เริ่มก็ 2 ปีกว่า ตอนหลังก็ทำแต่ชัวร์ก่อนแชร์อย่างเดียวทำไมถึงคิดว่าการเช็คข้อมูลให้ชัวร์ก่อนแชร์เป็นเรื่องสำคัญถึงกับมาทำเป็นรายการโทรทัศน์ เป็นเพราะผลกระทบ แต่เดิมเราเห็นข้อมูลข่าวสารที่แชร์กันผิดๆ มันมีมาตั้งนานแล้ว จริงๆ มันมีตั้งแต่สมัยจดหมายลูกโซ่หรือการบอกกล่าวใครคนนั้น คนนี้บอกมาและพอมาถึงยุคอินเทอร์เน็ตเราก็เจอปัญหานี้ก่อนในยุคที่เป็นฟอร์เวิร์ดอีเมล์ตอนหลังก็มี MSN ที่เป็นช่องทางในการแชร์เรื่องผิดๆ กันมา  ซึ่งตอนฟอร์เวิร์ดอีเมล์ก็เดือดร้อนระดับหนึ่งเพราะยุคนั้นยังไม่มีอะไรให้ตรวจสอบง่ายๆ Google ก็ยังไม่มีแต่ก็ยังไม่กว้างมากเท่าไร เพราะคนยุคนั้นก็ยังใช้อินเทอร์เน็ตไม่เยอะเพราะฉะนั้นก็เหลือข่าวลือไม่เยอะ แต่พอยุคนี้เป็นยุคที่คนจำนวนเยอะเข้าสู่อินเทอร์เน็ตซึ่งประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือเทคโนโลยีมันพร้อม คนก็พร้อมและการเข้าถึงก็พร้อมหมายถึงเทคโนโลยีพร้อมคือมันเร็ว มันน่าสนใจ มันดึงดูด มันง่าย มีภาษาไทยและก็พกพาได้ อยู่ในมือถือ มันเล็กลง ราคาก็ถูกและอินเทอร์เน็ตก็ไปทั่วถึง นี่คือเทคโนโลยีพร้อม คนก็เข้าถึงด้วยเพียงแต่คนที่เข้าถึงนั้นไม่พร้อมเพราะว่าถ้านึกภาพสมัยก่อนเราเคยแนะนำว่าถ้าซื้อคอมพิวเตอร์หรือจะให้เด็กใช้อินเทอร์เน็ตเราจะมีคำแนะนำว่าให้หันคอมพิวเตอร์ออกมาข้างนอก อย่าหันเข้ากำแพงเพราะเราจะได้ดูว่าเด็กกำลังทำอะไร ระวังเด็กโดนหลอกหรือว่าพ่อแม่บางคนจะไม่ให้เด็กใช้อินเทอร์เน็ตเลยจนกว่าจะขึ้นมัธยมแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็คืออินเทอร์เน็ตหรือคอมพิวเตอร์มาอยู่ในรูปของสมาร์ทโฟนที่จริงๆ มันมีพลังสูงกว่าสมัยก่อนที่เราห้ามเด็กเล่นกันอีก มันมาพร้อมประสิทธิภาพ พร้อมการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เร็วด้วยและเข้าได้ทุกอย่าง แต่เผอิญมันไปตกอยู่ในมือคนที่ไม่เคยจับคอมพิวเตอร์มาก่อนในชีวิตเลยซึ่งน่าจะมีพอสมควร ถ้านึกถึงตอนที่อินเทอร์เน็ตเพิ่งเข้ามาตอนนั้นก็จะมีกลุ่มนักศึกษาที่จะได้ใช้อินเทอร์เน็ตแล้วพอขยายกว้างขึ้น ก็ขยายไปถึงกลุ่มคนทำงานและขยายไปที่นักเรียน   และตอนนี้มันถึงมาที่กลุ่มคนที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์เลย  กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ใหม่มากคือไม่รู้ว่าของบนดิจิทัลมันปลอมง่าย ภาพรีทัชมันง่ายเหลือเกิน ทำวิดีโอให้คนเชื่อ เรื่องวิดีโอสมัยก่อนจะมีคนสอนว่าถ้าแค่ภาพนิ่งอย่าไปเชื่อถ้าเป็นวิดีโอเชื่อได้เลย ปัจจุบันมันก็ไม่ใช่แล้ว วิดีโอก็ยังเชื่อไม่ค่อยได้อีกและถ้ามีวิดีโอแล้วมีแคปชั่นมันก็อาจไม่ได้เป็นแบบนั้นทั้งหมด ถึงมีคำอธิบายแต่คำอธิบายก็อาจจะคนละเรื่องกับวิดีโอนั้นก็ได้ มันมีความซับซ้อนขึ้นแต่คนที่เข้ามานั้นไม่มีความพร้อม ไม่มีความตระหนักรู้ในธรรมชาติของดิจิทัลมากพอ ทำให้โดนหลอกได้และเข้าใจผิดไปบ้างในข้อมูลข่าวสารที่เข้ามา พอเป็นอย่างนี้แล้วมันจึงเป็นภาพใหญ่ๆ ของผลกระทบ คือ สมัยก่อนข้อมูลข่าวสารมันไม่ได้กระทบต่อคนมากนักและคนที่เข้าไปใช้ข้อมูลพวกนี้ก็ไม่มาก มันอาจจะสร้างความเข้าใจผิดแต่ความเข้าใจผิดนั้นมันไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยยะสำคัญอะไรและก็จะมีข่าวลักษณะที่หน่วยงานต้องออกมาชี้แจ้งว่าข่าวนี้ไม่จริง ข่าวนั้นไม่จริงและก็มีปรากฏการณ์พวกที่สร้างข่าวปลอมเพื่อหาโฆษณา หาคนคลิกโฆษณา พวกสร้างข่าวปลอมก็สร้างเรื่องขึ้นมาพอเรื่องแพร่กระจายออกไปก็ต้องมีหน่วยงานออกมาชี้แจงว่าจริงบ้างไม่จริงบ้าง ดาราออกมาฟ้องซึ่งฟ้องไปก็จับใครไม่ได้เพราะใช้เทคโนโลยีในการซ่อนตัว แต่มันมีผู้เสียหายจากการเข้าใจใจผิดเกิดขึ้น พวกข่าวดาราตายอะไรพวกนี้ พอมันมีแบบนี้เกิดขึ้นนักข่าวเองก็มีสำนักงานข่าวไทย อสมท. ก็ทำข่าวแบบนี้บ่อย ผมเองก็ด้วยส่วนหนึ่ง เพราะตอนนั้นผมทำข่าวไอทีก็จะเหมือนว่าอะไรที่มันเกิดบนโลกโซเชียลมีเดียเขาก็จะให้เราทำ เราก็ทำแบบนั้นอยู่บ่อยๆ รวมทั้งนักข่าวในสายอื่นๆ ก็ต้องทำข่าวแนวนี้อยู่บ่อยๆ เราก็เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้ที่จะทำอะไรให้เป็นลักษณะหมวดหมู่เป็นเรื่องเป็นราว เป็นรายการฟอร์มขึ้นมา  การทำงานของชัวร์ก่อนแชร์ชัวร์ก่อนแชร์ เริ่มไอเดียตั้งแต่ปี 2557 และได้เริ่มออกอากาศจริงตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2558 ก็ออกเป็นชัวร์ก่อนแชร์ที่เป็นสกู๊ปสั้นๆ รายสัปดาห์ เน้นเอาเรื่องที่แชร์กันไม่จริงไปหาคำตอบมาว่าความจริงมันคืออะไรและเอามาอธิบายให้ประชาชนฟังบนหน้าจอทีวีในช่วงข่าวค่ำ เป็นสกู๊ปสั้นๆ เหมือนกับสกู๊ปข่าวและหลังจากนั้นกระแสตอบรับก็ดี มีคนชอบและทางผู้บริหารเองก็คิดว่ามันน่าสนใจและมีประโยชน์กับคนก็เลยเพิ่มความถี่ของรายการจากสัปดาห์ละครั้งเป็นสัปดาห์ละ 2 ครั้งคือเสาร์ อาทิตย์ จนประมาณเดือนเมษายน 2559 ก็เพิ่มจากเสาร์ อาทิตย์เป็น 7 วันก็คือมีชัวร์ก่อนแชร์ทุกวันตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา และเราก็เก็บข้อมูลเหล่านี้มาเรื่อยๆ เพื่อที่จะหาทางว่าเราจะทำให้คนเข้าใจมากขึ้นในประเด็นต่างๆ ซึ่งการทำเนื้อหาแบบชัวร์ก่อนแชร์ มันก็จะเป็นการต้องแก้ข้อมูลที่ไม่จริงที่มีเข้ามาเรื่อยๆ ไปทีละอันๆ และต้องไปหาคำตอบแต่ละอันมาสะสมไว้และทำเพื่อให้คนดูในปัจจุบันดูและคนดูในอนาคตได้ดู เพราะว่าธรรมชาติหนึ่งของเรื่องที่แชร์กันมันก็จะวนไปวนมา เราต้องการสร้างข้อมูลที่เข้าถึงได้สะดวก รวดเร็วให้กับคนดูทั้งปัจจุบันและอนาคตด้วยโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นฐานชัวร์ก่อนแชร์เกิดขึ้นมานอกจากมีคอนเทนต์ในโทรทัศน์เรายังเปิดช่องทางหนึ่งในการติดต่อสื่อสารกับประชาชนคือ ไลน์ของสำนักข่าวไทย (@TNAMCOT) ก็จะเป็นไลน์ที่ส่งข้อมูลเข้ามาถาม คือตอนที่สร้างชัวร์ก่อนแชร์ขึ้นมามันมีโจทย์หนึ่ง คือเรารู้ได้อย่างไรว่าคนแชร์อะไรกัน มันไม่เหมือนข่าวทั่วไป เช่น ข่าวอาชญากรรมเขาก็จะฟังวิทยุสื่อสารตำรวจหรือมีวงข่าวกู้ภัยเพื่อที่จะรู้ว่าเกิดอะไรที่ไหน ข่าวการเมืองเขาก็มีแจ้งหมายอะไรที่ไหนกัน แต่พอมันมาเป็นโซเชียลเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องไหนถูกแชร์ ยากมากที่จะรู้ให้ทั่ว ตอนแรกเลยคิดว่า อยากจะให้คนได้ส่งข้อมูลเข้ามาถามด้วยเพราะจริงๆ แล้วเราก็อยากจะให้ลำดับความสำคัญกับเรื่องที่คนกำลังได้รับแชร์มาแล้วสงสัยในเวลานั้นจริงๆ เราก็มีช่องทางนี้ขึ้นมาแล้วคนก็ส่งข้อมูลเข้ามาถาม เราก็ตอบกลับเข้าไป ทีนี้ส่วนคำถามตรงนี้เลยทำให้ได้ข้อมูลมาว่า เวลาที่คนที่ระดับผู้เชี่ยวชาญนั้น เวลาเขาไม่ตอบ เพราะเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ แต่จริงๆ มันมีคนเชื่อจริงๆ เวลาคนส่งเข้ามาถามผมก็จะคุยตอบกลับไป คนส่งเขาก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นผมมาตอบเอง แต่ผมอ่านเองเพราะผมต้องการจะรู้เพราะมันไม่มีระบบที่จะช่วยในเวลานั้น ไม่มีระบบอะไรเลยที่จะช่วยให้กระบวนการตรงนี้มันทำได้ง่ายกว่านั้น ง่ายที่สุดในตอนนั้น คือต้องอ่านเองและอ่านอย่างเดียวไม่ได้ด้วยต้องตอบด้วย เพราะว่าพออ่านปุ๊บมันจะขึ้นอ่านที่ฝั่งคนส่ง ถ้าอ่านไม่ตอบก็ดูไม่มีมารยาทอีก เราก็เลยอ่านเองตอบเองในช่วงประมาณ 2 ปีแรก บางทีเราก็คิดว่าเรื่องแค่นี้เขาเชื่อหรือ เราก็พิมพ์กลับเข้าไปถามเหมือนทดสอบว่า อยากรู้มุมมองความคิดเขาว่าตกลงเขาเชื่อจริงหรือว่าแค่ส่งมาขำๆ ก็ปรากฏว่าเราเจอคนที่เขาเชื่อจริงๆ จนเอาไปลองทำ บางคนส่งมาบอกว่าช่วยรีบตอบด้วยนะคะ เพราะว่ากำลังทุกข์ใจเพราะเป็นโรคมะเร็งอยู่อยากรักษา เห็นช่องทางที่เขาแชร์กันว่ารักษามะเร็งได้ก็อยากทำ เราก็เลยเห็นว่ามันมีคนที่เชื่อจริงๆ และเราไม่มองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ มันควรจะมองเป็นเรื่องที่จริงจัง อย่างน้อยคือ ให้ค้นหาในอินเทอร์เน็ตเขาจะต้องเจอคำตอบนั้นบ้าง พยายามทำให้มันมีความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ก็ตั้งใจแบบนั้นมาตลอด คือมันเหมือนการทำงานทีเดียว 2 – 3 อย่างไปด้วยตลอด คือในเชิงการสร้างคอนเทนต์ สร้างเนื้อหาก็คือหาคำตอบออกมาให้คนที่อยู่ในปัจจุบันดู และเวลาเดียวกันก็เอาคำตอบให้คนที่อยู่ในอนาคตดูด้วย  เพราะรู้ว่าเรื่องที่แชร์กันมันจะวนไปวนมา เพราะฉะนั้นระบบคอนเทนต์นี้มันควรจะต้องถูกจัดเก็บเข้าไปในระบบที่คนเข้าถึงง่ายอีกรอบด้วย ก็พยายามจะวางระบบตรงนี้ไว้ ก็ใช้เครื่องมือที่มีอยู่แล้วนี้ ไม่ได้ให้คนต้องโหลดแอฟฯ อะไรใหม่ เข้า Google พิมพ์คำว่าชัวร์ก่อนแชร์แล้วตามด้วยเรื่องที่สงสัยปัจจุบันทั้ง Google , Youtube , Facebook 3 อันนี้ถ้าค้นคำว่าชัวร์ก่อนแชร์แล้วพิมพ์เรื่องที่สงสัย เช่นชัวร์ก่อนแชร์เว้นวรรคตามด้วยมะเร็ง ก็จะเข้าไปถึงข้อมูลที่เขาสงสัยได้ง่ายขึ้นก็เป็นความตั้งใจส่วนใหญ่เป็นเรื่องแนวไหนประเด็นเรื่องข้อมูลข่าวสารที่แชร์กันในโลกออนไลน์ ส่วนใหญ่ของคนไทยจะเป็นเรื่องสุขภาพ เรื่องอะไรที่มันเกี่ยวโยงกับสุขภาพ เช่นทำแล้วสุขภาพจะดีขึ้นอย่างไร หรือจะรักษาโรคอย่างไร แต่ว่าโดยรวมๆ ส่วนใหญ่ 80 % ขึ้นไปของเรื่องที่แชร์กันเป็นเรื่องที่ไม่จริง เรื่องที่เก่าแล้ว ซึ่งอันนี้ผมละนักวิชาการคนอื่นๆ เช่น อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ เห็นด้วยว่ามันมีประมาณนี้แหละคือส่วนใหญ่ 80 - 90 % ของเรื่องที่แชร์กันไม่ใช่เรื่องจริง แล้วใน 80 - 90 % ที่เป็นเรื่องที่ไม่จริงนั้นก็เป็นเรื่องสุขภาพส่วนใหญ่ ในเรื่องสุขภาพมันก็จำแนกออกเป็นเรื่องคำแนะนำกับคำเตือน คำแนะนำก็อย่างเช่นทำแบบนี้ กินแบบนี้เพื่อที่จะได้ดีขึ้น แบบนี้ป้องกันโรคนี้ได้ คำเตือนก็คืออย่าทำแบบนี้ อย่ากินแบบนี้เพราะมันจะทำให้เป็นโรคนั้นโรคนี้ ซึ่งโรคที่เป็นโรคปลายทางมากที่สุดก็จะเป็นโรคมะเร็ง คำเตือนห้ามกินแบบนี้เพราะจะเป็นโรคมะเร็ง คำแนะนำให้ทำแบบนี้เพื่อจะรักษามะเร็ง มันเป็นโรคปลายทางที่ถูกพูดถึงมากที่สุดและเป็นโรคที่กระตุ้นให้เกิดการแชร์มากพอสมควร รองลงมาก็เบาหวาน ความดัน ไต อะไรพวกนั้น ส่วนใหญ่ที่คนไทยจะแชร์ๆ กันก็จะเป็นเรื่องพวกนี้หรือถ้าเป็นเรื่องใกล้ๆ ก็จะเป็นเรื่องอาหาร จริงๆ แล้วก็จัดอยู่ในหมวดสุขภาพเหมือนกันเพราะเวลาแชร์เรื่องอาหารอะไรสักอย่างสุดท้ายมันก็จะสะท้อนกลับไปที่เรื่องสุขภาพอีก เช่นแชร์เรื่องอาหารปลอมถ้ากินก็จะเป็นมะเร็ง ต่อจากอาหารเรื่องที่เหลือก็คละเคล้ากันไป เช่นเรื่องกฎหมาย เรื่องสถานการณ์บ้านเมือง เรื่องวิทยาศาสตร์ความเข้าใจทางเทคโนโลยี เตือนการใช้อินเทอร์เน็ต ใช้มือถือ ใช้ไลน์ สติ๊กเกอร์ไลน์ฟรีอะไรแบบนี้ ก็จะมีเรื่องพวกนี้แชร์กันมีทั้งเรื่องจริงบ้างไม่จริงบ้างเรื่องไหนที่รู้สึกสนุกที่สุดจนรู้สึกอยากทำต่อหรือเรื่องที่ยากที่สุดมันมีหลายเรื่องที่พยายามจะทำพิสูจน์ คือทุกเรื่องบางทีมันเป็นเรื่องของความเชื่อ ความลี้ลับที่ไม่มีใครเคยพิสูจน์ ถ้าเรื่องไหนพิสูจน์ได้ก็จะพยายามพิสูจน์ให้คนดูเห็นหน้าจอและใช้การได้เปรียบของการเป็นคอนเทนต์วิดีโอซึ่งมันทำให้คนดูเชื่อถือได้มากกว่า ก็พยายามใช้คอนเทนต์วิดีโอเพื่อให้คนเห็นภาพว่ามันไม่จริง อย่างเช่นมันมีเรื่องที่แชร์ว่าน้ำอัดลมผสมเครื่องดื่มชูกำลังแล้วก็ทำเป็นคลิปวิดีโอ มีคนเทน้ำสีดำกับของเหลวเทลงไปผสมกันแล้วคนๆ มันก็ฟูขึ้นมากลายเป็นฟองใหญ่ๆ ก็แชร์กันมาว่าให้ระวังอย่ากินน้ำอัดลมผสมเครื่องดื่มชูกำลังไม่อย่างนั้นตายแน่ๆ เพราะถ้ามันผสมกันเข้าไปในท้องมันก็จะออกมาเป็นแบบนี้ ก็เป็นเรื่องที่รู้สึกตื่นเต้นว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า  แต่ว่าเวลาเราหาคำตอบเรื่องนี้เราก็ต้องหาให้ได้ว่าใช่หรือไม่ใช่ ซึ่งมันง่ายมากแค่เอาน้ำอัดลมผสมเครื่องดื่มชูกำลังแล้วคนๆ ให้เข้ากันตามคลิปซึ่งก็ปรากฏว่ามันไม่ใช่ แต่เราก็ต้องไปหาคำตอบอีกว่าแล้วมันคืออะไร ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ขึ้นมาได้ สุดท้ายกรณีนี้คือได้ไปสัมภาษณ์อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีเรื่องโภชนาการก่อน คือนำน้ำอัดลมผสมเครื่องดื่มชูกำลังแล้วก็ทดลองว่ามันไม่เกิดอย่างที่แชร์กัน ในขณะเดียวกันก็ไปหาจนเจอว่ามันคือสารอะไร ซึ่งก็คือโพลียูรีเทนที่ช่างทั่วไปบางคนก็รู้อยู่แล้วว่ามันคือสารเคมี 2 ตัวคือโพลีและยูรีเทน ผมก็เพิ่งรู้จากการเรื่องนี้ คืออาจารย์ที่ ม.เทคโนฯ ธัญบุรีบอกมาพอรู้แล้วเราก็อยากพิสูจน์เองอีกเพราะเราพิสูจน์เองมันทำให้เราพูดได้อย่างหนักแน่นว่ามันใช่หรือไม่ใช่ บางทีเราต้องใช้เวลามากเลยกับการตามหาซื้อของ พอได้มาแล้วทำเพื่อที่จะพูดแค่ประโยคเดียวว่าใช่ แต่เป็นคำว่าใช่ที่เรารู้สึกมั่นใจที่จะพูดว่าใช่หรือไม่ใช่ พอใช้โพลียูรีเทนมาลองทำดูมันก็ขึ้นมาแบบนั้นจริงๆ ก็ทุกๆ เรื่องถ้าพิสูจน์ได้ ทดลองได้ก็จะพยายามหาทางพิสูจน์ เรื่องที่สนุกนอกจากเรื่องที่ได้ทดลองเอง อย่างเช่นแชร์กันว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมันเคลือบแว็กซ์ เราก็ติดต่อไปที่โรงงานเพื่อขอดูคือ ขอดูก็ไม่พอเพราะต้องเอามาให้คนดูในทีวีด้วย ขอดูว่าในกระบวนการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมันจะมีแว็กซ์อยู่ตรงไหนบ้าง ตอนนั้นก็ติดต่อไป ซึ่งเขาก็ให้ความร่วมมืออย่างดี เรื่องที่คนส่งเข้ามาให้ช่วยเช็คมากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไรหรือพอๆ กับเมื่อก่อน มีคนส่งเข้ามามากขึ้น หมายถึงคนที่ส่งมาและมาขอข้อมูลมีจำนวนมากขึ้น ในวันนั้นเริ่มจากศูนย์เมื่อเดือนมีนาคม 2558 ตอนนี้ เดือนกรกฎาคม 2560 มีประมาณ 70,000 คนที่อยู่ในไลน์แอด ก็อาจจะเป็นคนที่แอคทีฟอยู่ประมาณหนึ่ง คือมันยังไม่มีเครื่องมือนับ เราพยายามจะนับอยู่ว่าจริงๆ แล้วมีคนที่ส่งมาประจำกี่คน ส่งเรื่องอะไร พยายามจะหาทางนับตรงนี้อยู่ แต่ว่าเรารู้สึกได้ว่ามันมีจำนวนคนที่มากขึ้น ก็จะมี 2 แบบคือมาพร้อมคำถามใหม่กับอีกแบบคือมาพร้อมคำถามเก่าที่เราเคยทำไปแล้ว ส่วนใหญ่คือเรื่องที่แชร์ตอนนี้ ฐานข้อมูลของชัวร์ก่อนแชร์ คือตอบได้ไปส่วนใหญ่แล้ว มันจะมีคำตอบอยู่ในสิ่งที่ชัวร์ก่อนแชร์เคยทำไว้อยู่แล้วมีคำตอบอยู่พอควร แต่ว่ามันก็ยังตอบไม่หมด มีเรื่องที่เราบันทึกไว้แล้วรอคำตอบ รอการผลิตอีกจำนวนพอสมควร ถ้าจะแบ่งย่อยไปก็คือเรื่องที่รอคนมายืนยัน บางเรื่องไม่ได้เร่งด่วนหรือบางเรื่องที่มันซีเรียสมากๆ แล้วยังไม่มีคำตอบ บางทีมันก็ต้องรอคนมาตอบ เราก็ต้องรอคนที่ใช่จริงๆ ซึ่งเรายังเน้นไปที่การทำคำตอบสำหรับในวิดีโอที่ออกทีวีเป็นหลักเพราะมันมีความน่าเชื่อถือในตัวเองและมันเป็นแมส มันออกโทรทัศน์ อยากฝากอะไรถึงผู้บริโภคชัวร์ก่อนแชร์เป็นเหมือนทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเฉยๆ ไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาวเหมือนเวลาเราไปต่างประเทศแล้วเรามีคู่มือเล่มหนึ่งที่ทำให้เราพูดกับคนในประเทศนั้นได้โดยที่เราพูดภาษานั้นไม่ได้ เราก็ไม่ต้องการให้คนมายึดโยงชัวร์ก่อนแชร์ตลอดเวลา เราต้องการให้คนมีภูมิคุ้มกันระดับสูงในตัวเองที่จะป้องกันสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกใหม่ที่เขากำลังจะเข้าไป ทุกคนอย่างไรก็ต้องเข้าไปสู่โลกใหม่ที่เป็นโลกของเทคโนโลยีการสื่อสารที่ไร้พรมแดนและเป็นโลกที่ทุกอย่างสามารถปลอมขึ้นมาได้ สร้างได้ เขาต้องมีความเข้าใจมากเพียงพอ แต่ก็ไม่ต้องการให้เขาออกจากโลกพวกนี้เพราะว่าการที่เขาไม่สนใจใยดีกับโลกเทคโนโลยียุคใหม่มันก็ทำให้เขาเสียโอกาสอีกหลายอย่างเหมือนกัน เราก็อยากให้เขาเข้าไปอยู่ในนั้น แต่ในเวลาที่มันเป็นเวลาเฉพาะหน้าแบบนี้ที่ข้อมูลมันเยอะมาก นึกภาพคนที่เข้าไลน์ครั้งแรกแล้วไปพบกลุ่มเพื่อนแล้วก็เจอข้อมูลพวกนี้เยอะๆ แล้วเขาไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริงหรือไม่จริง และตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าจะแชร์หรือไม่แชร์ดี ก็เป็นสิ่งที่มันคาใจในชีวิตของเขาว่าจะแชร์หรือไม่แชร์ เรื่องไหนจริงเรื่องไหนไม่จริง ค้นก็ค้นไม่เป็นหรือค้นเป็นก็โดนผลการค้นหาหลอกอีก ค้นไปเจอเรื่องหลอกกัน 5 - 6 อันแล้วก็คิดว่ามันเป็นจริงเพราะค้นออกมาแล้วเจอเยอะ สิ่งที่เราอยากเห็นคือ ใช้ชัวร์ก่อนแชร์เป็นทางลัดในการสร้างภูมิคุ้มกันให้เขา 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 197 สุวรรณา มณีนพ แฟนฉลาดซื้อ

กว่า 24 ปี ที่นิตยสารฉลาดซื้อ ส่งความรู้ ความคิด ผ่านทางตัวหนังสือ สื่อสารกับผู้อ่านมาจำนวนไม่น้อย ตั้งแต่ยุคกระดาษเฟ้อ มาจนในปัจจุบันที่ร้านหนังสือ สำนักพิมพ์ หรือแม้แต่แผงหนังสือ ที่ทยอยปิดตัวบ้าง ลดขนาดกิจการลงบ้าง สายๆ วันหนึ่ง ฉลาดซื้อเราเผอิญไปพบกับเจ้าของแผงหนังสือเล็กๆ ตั้งอยู่ภายในโรงอาหารของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พี่สุวรรณา มณีนพ ที่เป็นมากกว่าคนขาย เธอเป็นอีกหนึ่งของพลังผู้บริโภคที่สนับสนุนให้งานคุ้มครองผู้บริโภคขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง เธอเล่าให้เราฟังว่า “พี่เป็นทั้งคนขายที่แผงนี้แลัวก็ทำธุรกิจสายส่งหนังสือด้วย ปัจจุบันเราส่งนิตยสารให้กับผู้อ่านในละแวกนี้ และส่งให้กับหน่วยงานราชการ บริเวณกระทรวงสาธารณสุข เช่นที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ตอนนี้คนซื้อหนังสือน้อยลงเพราะว่าเดี๋ยวนี้คนใช้เงินยาก จะใช้ซื้ออะไรแต่ละทีก็ต้องคิดนานหน่อย อย่างเมื่อก่อนร้านเราใหญ่กว่านี้ แต่เดี๋ยวนี้หนังสือก็ลดลง เลิกผลิตกันไปหลายเจ้า หายไปหลายเล่มเลย ที่ยังอยู่ก็ไม่รู้อยู่ได้อย่างไร ที่จริงโฆษณาก็ไม่ค่อยมี ดูจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ สำนักพิมพ์เขาก็เดือดร้อนเหมือนกัน นี่ขนาดเป็นเจ้ายักษ์ใหญ่ แต่ก่อนเราขายได้ถึง 500 ฉบับ ตอนนี้เหลือแค่ 300 ฉบับเอง ที่เราต้องส่งตามหน่วยงานราชการล่าสุดนิตยสารครัวก็ปิดไปอีกเล่มคิดว่าสถานการณ์การอ่านหนังสือเป็นอย่างไรเดี๋ยวนี้เด็กรุ่นใหม่ไม่ค่อยอ่านหนังสือนะ คนที่อ่านหนังสือคือคนที่อายุ 50 กว่าขึ้นไป ถ้าอายุน้อยกว่านี้เขาไม่อ่าน ก็ไม่รู้ว่าหนังสือจะอยู่ได้อีกกี่ปีเพราะตอนนี้ก็น้อยลงไปเยอะ ขนาดหน่วยงานราชการที่รับอยู่เป็นประจำก็ลดลงไปเกือบครึ่ง ก็ไม่รู้ว่าประหยัดงบหรือไม่มีคนอ่าน ได้ยินมาว่าเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงแต่คิดว่ามันน่าจะอยู่ตัวระดับนี้แล้ว ที่จะดีขึ้นคงไม่หวังเลยรู้จักฉลาดซื้อได้อย่างไรรู้จักฉลาดซื้อมาประมาณ 2 ปีได้แล้ว พอดีที่ที่เราส่งหนังสือพิมพ์ให้อยู่ เขาอยากได้ “ฉลาดซื้อ” ก็เลยต้องหาให้เขา จึงติดต่อไปที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเลย ให้ส่งหนังสือให้ทุกเดือน เดือนละ 10 เล่ม เอาไว้ส่งด้วย ขายที่แผงด้วยและก็อ่านเองด้วย อย่างที่แผงเราจะวางทั้งเล่มใหม่ เล่มเก่า เราจะวางไว้หลายๆ เล่ม วางดักไว้บนชั้นปนกับนิตยสารประเภทต่างๆ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้คนมีโอกาสเห็นมากขึ้น (ประมาณว่ามองตรงไหนก็เจอฉลาดซื้อ) ฉลาดซื้อมีประโยชน์อย่างไรบ้างดีนะ พี่ชอบอ่านตรงที่มีเปรียบเทียบสินค้า แต่ไม่ได้ฟันธงว่าห้ามใช้ แต่ให้เราคิดเอาเองว่าควรจะเลือกสิ่งไหน ทำให้มีความรู้ และสามารถแยกได้ว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดีอย่างไร แล้วก็ไม่ได้โชว์แต่ยี่ห้อดังๆ เขาสุ่มมาให้หลากหลายยี่ห้อ บางทียี่ห้อไม่ดังคนไม่ค่อยรู้จักแต่กลับดีกว่ายี่ห้อดังๆ ก็มีพอจะยกตัวอย่างให้ฟังได้ไหม เท่าที่อ่านมาแล้วได้นำไปใช้จริงๆ เช่นเรื่องอะไรบ้างที่อ่านแล้วนำข้อมูลที่ได้ไปซื้อตามหนังสือเลยก็จะมีพวกเรื่องของกินนะเพราะว่ามันเป็นเรื่องใกล้ตัว อย่างเช่นขนมเปี๊ยะเพราะเป็นคนชอบกินขนมเปี๊ยะ ก็ดูเรื่องถั่วกวนอะไรพวกนี้ เรื่องยาปฏิชีวนะในเนื้อหมู ไก่ทอดเกาหลี ก็จะสนใจพวกเรื่องเกี่ยวกับของกินมากกว่าเรื่องแนวอื่นๆ แต่ก็อ่านทั้งเล่มเคยคิดไหมว่าอย่างนี้ต่อไปเราจะกินอะไรไม่ได้เลย มีความกังวลบ้างไหมก็เคยคิดเหมือนกันแต่ก็รู้สึกว่าช่างมันเถอะ เพราะเราไม่ได้กินต่อเนื่องนานๆ แต่นานๆ กินที ก็จะใช้วิธีการเลือกกินเอา กินให้มีความหลากหลาย(สมกับเป็นแฟนฉลาดซื้อ)กับคนรอบๆ ข้างเคยได้ให้ความรู้อะไรกับสิ่งที่เราเคยอ่านมาบ้างไหมก็บอกนะ ว่าในหนังสือฉลาดซื้อบอกไว้ว่ากินอันนี้มีสารกันบูดเยอะไม่ดีนะ ไม่ดีอย่างไรๆ ซึ่งเขาก็ฟัง และอยากรู้ข้อเปรียบเทียบของเรื่องที่เราเล่าด้วยว่าดี ไม่ดีอย่างไรอ่านทั้งเล่มนี่ชอบคอลัมน์ไหนอีกบ้างจะดูเป็นเล่มๆ ไปเพราะปกติก็จะเปิดดูตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ถ้ามีเรื่องไหนที่สนใจก็จะอ่านรายละเอียดเยอะหน่อย เช่น บางเรื่องใกล้ตัวก็จะอ่านเยอะหน่อย นานหน่อย ของที่เลือกได้เราก็ต้องเลือกของที่มันดีๆ เราเลือกอ่านเรื่องที่สนใจเป็นเล่มๆ ไป อย่างพวกคอลัมน์ที่คนมาใช้สิทธิ(เสียงผู้บริโภค) พี่คิดว่า ดีนะ พี่ก็ชอบอ่านแล้วเคยได้ร้องเรียนหรือใช้สิทธิเรื่องอะไรบ้างไหม ยังไม่เคยร้องเรียนนะ เพราะเป็นคนประเภทยอมรับ ถ้าใครไม่ดีเราก็อย่าไปยุ่งกับเขา แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะไปร้องเรียน เช่น อย่างเราซื้อของ ถ้ายี่ห้อนี้ไม่ดีก็จะไม่ซื้อแล้วอะไรแบบนี้มากกว่า จะเป็นประมาณนั้น แล้วช่องทางอื่นๆ ในการเลือกรับข่าวสารต่าง จากไลน์หรือ เฟสบุ๊ค หลักๆ แล้วพี่จะเลิกเชื่อข่าวสารจากแหล่งที่มาที่เชื่อถือไม่ได้ แต่พี่ได้รับข่าวสารในแต่ละวันนี้เยอะมากเลยนะ แต่ส่วนใหญ่เชื่อถือไม่ค่อยได้ เวลาเราได้รับข่าวมาสักเรื่อง อ่านแล้วจะเชื่อถือไม่ได้เสียทีเดียว ต้องอ่านว่าส่งมาจากไหน พิสูจน์ทดสอบแล้วเป็นอย่างไร แล้วแต่ว่ามันเป็นข้อมูลแบบไหน อย่างเช่น ถ้าเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ เราก็ดูว่าที่มาของข้อมูลมาจากไหน ตัวเองมีไลน์ของกรมอนามัยอยู่นะ อันนี้ก็มีความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่งเลยนะกับเรื่องโฆษณาเกินจริงที่มีมากมายในปัจจุบันพวกโฆษณาสินค้าที่เขาบอกสรรพคุณเกินจริงอันนี้น่ากลัวจังเลย ตอนนี้คนไทยก็เชื่อโฆษณาจังเลย จะทำอย่างไรให้เขาระวังตัวให้มากๆ บางทีเห็นเค้าระดมโฆษณาในเฟสบุ๊คถี่ๆ นะ แค่นี้ก็ได้ผลแล้วส่วนที่เห็นมากๆ คือการขายของ ขายสินค้า ขายพวกเครื่องสำอางหรืออะไร ส่วนใหญ่เน้นไปเรื่องสุขภาพ บางทีก็เหมือนหลอกขายกันชัดๆ เลยอย่างที่เคยเห็นก็คือ พวกพลาสเตอร์ที่แปะส้นเท้าแล้วดูดซึมสารพิษอะไรแบบนี้ มันจะเป็นไปได้ยังไงอันนี้ ก็เห็นเขาโฆษณาอยู่ทุกวันนี้ เขาก็ขายได้นะ แต่พี่ก็เห็นมีคนมาเม้นท์ตอบอยู่นะ ซึ่งก็ทำให้เห็นว่ามีคนรู้ทันเขาอยู่นะ เป็นแฟนกันขนาดนี้อยากให้ฉลาดซื้อทดสอบเรื่องอะไรบ้างไหมคะ อยากให้ฉลาดซื้อให้ข้อมูลเรื่องยาให้มากๆ  พี่สังเกตว่า คนทั่วไปชอบคิดว่ายาเป็นของดี กินได้ไม่มีอันตราย อย่างยาแก้ปวด แก้ไข้ คือเห็นคนแค่เป็นหวัดนิดหน่อยก็จะกินยา โดยเฉพาะพวกที่โฆษณาเยอะๆ อยากให้แนะนำเรื่องการใช้ยาที่เหมาะสม อีกเรื่องก็สมุนไพร บางคนคิดว่าสมุนไพรกินแล้วไม่มีผลเสียต่อร่างกาย กินเข้าไปเถอะ กินติดต่อกันไปนานๆ เลยแบบนี้ ญาติพี่เอง ก็เป็นเขากินยาขมนี่แหละ กินติดต่อกันเป็นหลายๆ เดือนเลยนะ แก้ร้อนใน ซึ่งพี่ก็ว่าไม่ดีนะ กินติดต่อไปนานๆ แบบนี้ เพราะถ้าเราไม่เป็นอะไรจะไปกินมันทำไม ถ้าเรื่องทดสอบอยากให้ทำเรื่องครีมทาหน้า พวกเสริมสวยทั้งหลาย  ซึ่งเดี๋ยวนี้เห็นมีโฆษณาตามสื่อต่างๆ เยอะมาก ส่วนใหญ่เขาก็จะเอาดารามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เป็นห่วงคนที่ไม่ค่อยมีความรู้ เพราะเค้าจะเชื่ออย่างเดียว ไม่รู้ว่าจะไปหาข้อมูลจากทางไหน บางทีถ้าเรามีข้อมูล ข้อมูลจะช่วยเราได้เยอะ ในเรื่องของการตัดสินใจ อยากให้หน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้เข้ามาดูแล แล้วก็เรื่องซื้อรถมือสอง แล้วถูกพวกบริษัทการเงินเอาเปรียบ เช่น เวลาเขาผ่อนไม่ไหว เอารถไปคืน แต่เขาต้องผ่อนต่อ ไม่รู้ว่ามันติดอะไร เช่น ค้างส่งหรือเปล่า เลยอยากให้ฉลาดซื้อให้ความรู้เรื่องนี้ด้วย พี่รู้สึกว่าเหมือนสัญญาเขาเอาเปรียบด้วย อีกเรื่อง เรื่องการขายฝากที่ดิน ล่าสุดกลายเป็นยึดที่ ยึดบ้านเขาไปเลย เลยอยากให้เสนอข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการขายฝากที่ดินหรือการขายฝากทรัพย์นั้นผู้บริโภคจะต้องมีความรู้อย่างไรจึงจะไม่เสียเปรียบ อยากให้ให้ความรู้แบบนี้ด้วยค่ะ สุดท้ายก็อยากฝากว่า ฉลาดซื้อจริงๆ มีประโยชน์มากเลย น่าเสียดายที่คนสนใจน้อยไปหน่อย น่าเสียดายหนังสือดีๆ อยากให้อยู่นานๆ นะคะ 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 196 ปฏิบัติการทวงเงินคืน เมื่อคอนโดสร้างผิดแบบ

คุณทัศนีย์ ศิริการ ทำงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เธอวางแผนซื้อคอนโด เพื่อเก็บเป็นสินทรัพย์ และเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับตัวเธอเองและหลานๆ จุดเริ่มต้นเรื่องดูเหมือนจะราบเรียบ อะไรคือจุดหักเหที่ทำให้เธอได้ลุกขึ้นมาใช้สิทธิ เรื่องราวเป็นมาอย่างไร ถูกละเมิดสิทธิอะไรบ้างดิฉันไปซื้อคอนโดแห่งหนึ่ง ย่านอโศก ช่วงที่ไปซื้อตอนนั้นไม่ได้มีห้องตัวอย่างให้ดู แต่เราเป็นลูกค้าของบริษัทผู้สร้างคอนโดแห่งนี้มาก่อน แล้วเซลส์ก็โทรมาแจ้งว่ามีโครงการนี้นะ สนใจไหม ซึ่งตอนเราไปซื้อเป็นช่วงพรีเซลส์ ห้องตัวอย่างก็ยังไม่เสร็จ แต่สนใจเลยตกลงทำสัญญาไป ส่งค่างวดไป 29 งวด เป็นเงินประมาณ 9 แสนกว่าบาท ระยะเวลา 2 ปีกว่า พอส่งครบ 29 งวด คอนโดฯ ก็เสร็จเขาถึงนัดไปตรวจห้อง เดี๋ยวนี้คอนโดบริษัทที่เข้าตลาดหลักทรัพย์เขาจะขายแบบนี้กันทั้งนั้น คือตึกยังสร้างไม่เสร็จแต่ก็ขายก่อน ผ่อนดาวน์ไปเรื่อยๆ โครงการก็สร้างไปเรื่อยๆ พอวันไปตรวจห้องก็พบว่า ตรงที่เขาเขียนว่าเป็นระเบียง มันกลายเป็นหน้าต่าง ไม่มีประตูออกไประเบียง เหมือนทำไว้วางคอมเพรสเซอร์แอร์ฯ แค่นั้น แล้วก็วางตรงกลางเลยไม่ได้ชิดมุมใดมุมหนึ่งเพื่อที่เราจะได้ออกไปตากผ้าหรือทำอะไรได้เลย คือ เข้าใจใช่ไหม คนไทยเรามันมีความรู้สึกว่าต้องออกไปตากผ้าที่ระเบียงให้ลมโกรก คือบ้านเราไม่มีเครื่องอบผ้า แล้วในห้องก็ไม่มีเครื่องซักผ้า มันเป็นจุดที่ส่งซักก็ไม่สะดวก เพราะมันมีหลายอย่างที่เราส่งไม่ได้ ทั้งรองเท้า ชุดชั้นใน พรมเช็ดเท้า ซึ่งมันก็ตากในห้องไม่ได้อีก ก็กลายเป็นว่าระเบียงของเขาเป็นแค่ช่องหน้าต่างที่เป็นบานกระทุ้งแต่ออกไปข้างนอกไม่ได้ ตอนนั้นคิดว่าตอนซื้อเราดูไม่ละเอียดหรือเปล่า ก็กลับมาดูแปลนในสัญญาซื้อขาย ซึ่งในแปลนจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วก็มีส่วนที่ยื่นเป็นแง่งออกมา ซึ่งคอนโดที่อยู่ในปัจจุบันก็ออกแบบเป็นแง่งแบบนี้แต่มีประตูและก็ออกไประเบียงได้ เมื่อคิดจะหาที่ปรึกษา ตอนที่ยังไม่ได้เงินคืน พี่ก็โทรไปที่ สคบ. แล้วนะ แต่มันเป็นระบบฝากข้อความอัตโนมัติ พี่โทรไปก่อนหน้านี้ประมาณ 2 เดือนแล้ว ระบบอัตโนมัติก็ให้บอกชื่อ เบอร์โทร และเรื่องที่จะร้องเรียน โทรไป 2 ครั้ง เป็นฝากข้อความอัตโนมัติทั้ง 2 ครั้ง มันเหมือนช่วงนั้นเราไม่รู้จะทำอย่างไร ก็แค่อยากได้เงินคืน ระหว่างรอก็ลองโทรไปดูก็เจอแต่ระบบอัตโนมัติจึงทิ้งชื่อ เบอร์โทรไว้จนป่านนี้ยังไม่มีคนโทรกลับมาเลยพอเราเห็นแบบนี้ตอนแรกก็เลยโทรไปที่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) ซึ่งหาเบอร์โทรจากอินเตอร์เน็ตเจอเบอร์ที่ไม่ใช่ 1166 แต่เป็นเบอร์ขึ้นว่าทนายเดชา แล้วก็มีหลายๆ เบอร์ขึ้นมาก็โทรไปแล้วถามว่าใช่ สคบ. ไหม เขาก็บอกว่าจะโอนสายไปที่ทนายให้ พอคุยเขาก็บอกว่าให้ไปหาเขาแล้วจะทำจดหมายแจ้งโนติสโครงการให้แต่จ่ายเงินเขามา 5,000 บาท ก่อน ก็ไปจ่ายนะตอนนั้น เขาก็ทำจดหมายแจ้งโนติสมาให้เราทางไลน์ว่าข้อความตามนี้โอเคไหม ซึ่งตอนนั้นที่ไปคุยกับเขา เราก็รู้สึกแปลกๆ อยู่อย่างคือเขาไม่ค่อยให้คำแนะนำอะไรที่ละเอียดเลย เราก็คิดว่าเราควรจะถามใครอื่นดีที่เป็นผู้รู้ ก็พอดีมีเพื่อนที่เรียนนิติศาสตร์ที่ธรรมศาสตร์ เป็นเพื่อนสมัยอยู่ที่จันทบุรีด้วยกัน เพื่อนก็บอกให้มาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพราะเพื่อนก็ไม่ได้รู้รายละเอียดเรื่องพวกนี้มากเท่าไรเลยอยากให้มาคุยกับคนที่รู้ดีกว่า พอมาที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิ ของมูลนิธิฯ ก็เลยได้มาคุย ได้เอารูปที่เคยโฆษณามาให้ดูว่าตรงนี้มันเป็นระเบียงจริงหรือเปล่า เพราะถ้าดูจากในรูปมันอาจจะเป็นระเบียงหรือกันสาดก็ได้ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ แนะนำว่า ถ้าอยากทราบว่าเป็นอะไรกันแน่ให้ไปขอคัดพิมพ์เขียวที่เขตโยธาฯ เราก็ไป ซึ่งตอนแรกเจ้าหน้าที่เขาก็ไม่ให้ เขาบอกว่าอยู่ๆ จะมาขอคัดไม่ได้ต้องมีจดหมายคำร้องจากศาลมาขอ เพราะเขากลัวเราจะไปก็อปปี้แล้วสร้างโครงการอื่น กลัวเราจะเป็นหน้าม้าเอาพิมพ์เขียวเขาไปใช้ต่อ ก็ต้องอธิบายให้เขาฟังว่าเราเป็นผู้บริโภคจริงๆ มีเรื่องแบบนี้ๆ แล้วไม่ได้จะเอาพิมพ์เขียวไปทำอะไร แค่อยากได้เงินดาวน์คืนแค่นั้น เขาเลยยอมแต่ให้เราเขียนเป็นคำร้องไว้แล้วให้ไปรับวันหลัง เขาจะหาให้ พอถึงวันที่ไปรับพี่เจ้าหน้าที่เขาก็บอกว่า เขาโทรไปแจ้งกับทางโครงการคอนโดแล้วนะว่า ทำไมทำแบบนี้ คือ ในพิมพ์เขียวเขียนว่า เป็นระเบียงแล้วทำไมให้ออกไปข้างนอกไม่ได้ ทำแบบนี้มันเสียชื่อเสียงหมดอะไรประมาณนี้ แล้วก็ให้พิมพ์เขียวเรามา พอได้มาแล้วก็รู้ว่ามันเป็นระเบียงจริงๆ แต่เราก็ดูไม่เป็น เลยไปให้พี่ที่โยธาฯ ที่ห้วยขวางช่วยดูให้ เขาก็บอกว่า เอาจริงๆ เขาก็ไม่อยากจะว่าคนอาชีพเดียวกัน แต่ว่าคนที่เป็นคนอนุมัติพิมพ์เขียวนี้ดูไม่ละเอียดเพราะถ้าเขียนว่า เป็นระเบียงมันจะต้องออกไปใช้พื้นที่ตรงระเบียงได้ แต่กลายเป็นเขียนว่าระเบียงแต่ตรงนั้นเป็นหน้าต่าง คือมันขัดแย้งกันในตัว เขาบอกว่าคนอนุมัติดูไม่ละเอียด ตรงนั้นถ้าไม่เป็นระเบียงต้องเขียนเป็นกันสาดหรือไม่ก็ต้องทำเป็นประตูให้ออกไปได้ เพราะระเบียงจะต้องเป็นพื้นที่ที่เราออกไปใช้สอยได้ เขาพูดไว้แบบนี้เลยและพี่เขาก็โทรไปที่โครงการฯ เหมือนกัน แต่ทางโครงการฯ แจ้งว่าพื้นที่ตรงระเบียงเขาไม่ได้คิดเงินนะ พอดีเราเอาโฉนดติดไปด้วย เพราะก่อนหน้านี้ให้น้องที่เป็นเซลส์แฟกซ์โฉนดมาให้ก่อนแล้ว เพราะเราอยากรู้เหมือนกันว่า ตรงนี้คิดเงินเราไหม ปรากฏว่าก็คิด เลยเอาโฉนดมายืนยันกับพี่ที่เป็นโยธา  พี่เขาก็บอกว่าให้เราไปฟ้อง สคบ. เลย แต่เรื่องยังไม่ถึง สคบ. เพราะว่ามาที่มูลนิธิฯ ก่อน แล้วพอดีกับมีจดหมายจากบริษัทฯ ส่งมาแจ้งให้ไปโอนห้องวันที่ 31 มีนาคม เราก็เลยมาปรึกษาทางศูนย์พิทักษ์สิทธิว่าจะทำอย่างไรต่อไป ทางศูนย์จึงแนะนำให้ตอบจดหมายกลับไปว่า ทางเราไม่สามารถรับโอนได้ เนื่องจากคุณไม่ได้แก้ไขเรื่องระเบียงให้เรา คือก่อนหน้านั้นพอรู้ว่ามันไม่เป็นระเบียงก็ได้เขียนจดหมายไปแล้วว่าให้แก้ไขให้ภายใน 7 วันในส่วนที่ไม่เป็นระเบียง ถ้าไม่แก้ไขเราจะดำเนินการทางกฎหมายต่อไปแสดงว่าตอนแรกได้แจ้งทางโครงการไปแล้วว่าให้แก้ไขเป็นระเบียงให้ก่อน ยังไม่ได้เรียกร้องเงินคืน ใช่ คือให้แก้ไขภายใน 7 วัน ก็เขียนไปวันที่ 7 กุมภาพันธ์ แล้วประมาณต้นเดือนมีนาคม ทางบริษัทฯ ก็ส่งจดหมายมาให้เราไปโอนห้องวันที่ 31 มีนาคม เราก็เขียนไปว่า เราโอนไม่ได้เนื่องจากคุณไม่ได้แก้ไขในส่วนที่เราแจ้ง และเราก็ขอเงินคืนเนื่องจากคุณไม่ได้แก้ไข ถ้าไม่คืนเงินภายในกี่วัน เราจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป แล้วเมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมานี้ เราก็ไปที่สำนักงานที่ดินเพื่อแสดงตัวตามที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิแนะนำ ว่าให้เราไปแสดงตัวว่าเราเป็นเจ้าของห้องและไม่ได้ผิดนัด ก็ถามน้องคนที่เป็นคนของโครงการว่า พี่มาโอนห้องมีชื่อของพี่อยู่ในคิวไหม น้องบอกว่าไม่มี ก็เลยโทรปรึกษาศูนย์ฯ ว่าจะทำอย่างไรต่อ ทางศูนย์แนะให้เราไปขอบัตรคิวแล้วไปเข้าคิวเหมือนปกติ เสร็จแล้วน้องที่ให้คิวของสำนักงานเขต ก็บอกว่าถ้าเป็นแบบนี้ให้เราแจ้งเป็นผิดนัดไปเลยได้นะ น้องเขาก็เลยทำเป็นข้อร้องเรียนตามกฎหมายว่าผิดนัด บริษัทฯ ไม่ได้มาตามสัญญา เหมือนทางคอนโดฯ นัดเราเองแต่ไม่ได้มา  มีคนของโครงการคอนโดมิเนียมแห่งนี้ มานัดรับโอนกรรมสิทธิ์กับเจ้าของห้องอื่นๆ อีกหลายคน เพียงแต่ของเราไม่ได้อยู่ในระบบของเขา เข้าใจว่า เขาคงคิดว่าเราไม่มาแน่ๆ เพราะเราส่งจดหมายไปแล้วว่าไม่โอน แต่น้องที่รับทำบัตรคิวก็ทำเป็นผิดนัดให้ไว้ ก็ดี จะได้มีหลักฐานว่าเรามาจริง ซึ่งทางสำนักงานที่ดินก็ช่วยเหลือดีมาก เพราะจริงๆ เราไม่ได้ต้องการอะไรแค่อยากได้เงินคืน เพราะค่างวดที่จ่ายไปมันเป็นเงินเก็บจากเงินเดือนเรา เราก็ไม่ใช่คนรวยอะไร เป็นเงินจากน้ำพักน้ำแรง ก็อยากได้คืนแค่นั้น ซึ่งเราซื้อไว้ 2 ห้อง พอช่วงเดือนเมษายน ทางบริษัทฯ ก็ทำจดหมายมาให้โอนอีกห้องวันที่ 20 เมษายน เราก็ไปอีกก็เหมือนเดิมเลย คือไม่มีชื่อของเราอยู่ในคิว เราก็ทำเหมือนเดิม คือให้เจ้าหน้าที่ทำหนังสือว่าทางบริษัทฯ ผิดนัด ขณะที่รอทางที่ดินทำหนังสือผิดนัดอยู่ น้องที่เป็นพนักงานขายโครงการก็โทรมาว่า เรื่องของพี่ได้คุยกับเจ้านายแล้วและทางโครงการจะคืนเงินให้ทั้งหมด เลยถามว่าจะได้คืนภายในเมื่อไร เขาก็บอกว่าปกติระบบของเราจะจ่ายเช็คเดือนละ 2 ครั้ง คือ 15 วันจ่ายครั้งหนึ่ง ซึ่งเราก็ได้คืนเมื่อ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา เขาโอนเงินคืนเข้าบัญชีเลยทั้ง 2 ห้อง เราก็มาวิเคราะห์ว่า สาเหตุที่เขายอมคืนอาจจะเป็นเพราะว่าทางโยธาฯ โทรไปต่อว่ากับทางโครงการฯ แล้วมันเป็นจุดที่เขาผิดจริงๆ เพราะว่าโครงการฯ นี้เป็นโครงการแรกที่เขาร่วมทุนกับญี่ปุ่น และเป็นโครงการแรกที่ระเบียงออกไปข้างนอกไม่ได้ ก่อนหน้านั้นก็มีระเบียงที่ออกไปได้ปกติ โดยเขาพูดทำนองว่า เขาร่วมทุนกับญี่ปุ่นและที่ญี่ปุ่นมีการฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดตึกเยอะมาก เขาเลยไม่ทำที่ให้ออกไปตรงระเบียงได้  ข้อมูลนี้ทราบมาตอนไปตรวจห้องแล้วน้องที่พาไปตรวจห้องเขาบอกไว้ ซึ่งจริงๆ เราก็มานึกๆ มันก็คนละประเทศกันไหม มันจะใช้หลักการเดียวกันแบบนี้ไม่ได้ ญี่ปุ่นเขาอาจจะไม่ค่อยมีแดด เขาก็ต้องมีเครื่องอบผ้าหรือเปล่า แต่แดดบ้านเราแรงขนาดนี้ ก็ควรเอาผ้าไปตากแดดดีกว่า พี่ยังต้องตากผ้าอยู่ลักษณะห้องทุกห้องเป็นแบบนี้เหมือนกันหมดใช่ค่ะ แปลนเดียวกันเป็นแบบนี้หมด แต่ก็ไม่แน่ใจว่าห้องอื่นเขาคิดกันอย่างไร พี่ไม่ได้คุยกับคนอื่นเลย แต่ประเด็นของพี่ พี่ว่ามาถูกทางตรงเราไปขอพิมพ์เขียวแล้วพิมพ์เขียวมันขัดแย้งกันเอง ก็เลยเป็นข้อที่ถ้าเขาต่อสู้ คนที่อนุมัติพิมพ์เขียวก็จะมีปัญหาหลังจากโอนเงินคืนมาแล้ว มีคนโทรติดต่อเข้ามาอีกไหมไม่มีเลย โอนเงินมาก็จบไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลยอยากให้ฝากอะไรถึงคนที่กำลังจะซื้อคอนโดมีข้อควรระวังอะไรบ้างต้องถามเซลส์ให้ละเอียดว่า ห้องเป็นลักษณะอย่างไรแต่ถ้าเอาให้ชัวร์ๆ ก็คือไปดูห้องตัวอย่างก่อน รอห้องตัวอย่างเสร็จก่อน เพราะว่าตอนที่พี่ซื้อโครงการฯ นี้มันเป็นทำเลที่ดีมาก อยู่แถวถนนพระราม 9 ไปเส้นอโศก แล้วเราก็มีคอนโดฯ ที่ซื้อกับบริษัทฯ นี้มาก่อน แล้วไม่มีปัญหาอะไร คือเราก็มีความเชื่อมั่นระดับหนึ่ง แต่พอมาเจอแบบนี้ก็รู้สึกว่า ตัวเองไม่ละเอียดรอบคอบพอด้วยเหมือนกัน และสำคัญควรเก็บหลักฐานให้ดี เอกสารโบรชัวร์ ใบเสร็จต่างๆ พวกค่ามัดจำ รายละเอียดสัญญาจะซื้อจะขายก็เก็บไว้ทั้งหมดนะ เพราะว่าเวลามีปัญหาเรามีข้อมูลครบหมด ว่าเราซื้อเมื่อไร อย่างไร คือข้อมูลต้องพร้อม บทเรียนที่ได้จากการพยายามใช้สิทธิร้องเรียน เมื่อคิดจะหาที่ปรึกษา ตอนที่ยังไม่ได้เงินคืน พี่ก็โทรไปที่ สคบ. แล้วนะ แต่มันเป็นระบบฝากข้อความอัตโนมัติ พี่โทรไปก่อนหน้านี้ประมาณ 2 เดือนแล้ว ระบบอัตโนมัติก็ให้บอกชื่อ เบอร์โทร และเรื่องที่จะร้องเรียน โทรไป 2 ครั้ง เป็นฝากข้อความอัตโนมัติทั้ง 2 ครั้ง มันเหมือนช่วงนั้นเราไม่รู้จะทำอย่างไร ก็แค่อยากได้เงินคืน ระหว่างรอก็ลองโทรไปดูก็เจอแต่ระบบอัตโนมัติจึงทิ้งชื่อ เบอร์โทรไว้จนป่านนี้ยังไม่มีคนโทรกลับมาเลย โดยปกติคนเราก็จะนึกถึง สคบ. แต่พี่รู้สึกว่า สคบ. อาจจะดูแลไม่ทั่วถึงเพราะคนร้องเรียนเยอะ ทำให้มันล่าช้าและเราก็ไม่รู้ว่าพนักงานตรงนั้นอาจจะงานโหลด ทำให้มูลนิธิฯ เป็นทางเลือกที่ดีและช่วยเหลือพี่อย่างดี แต่เท่าที่คุยกับเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ คนที่มาร้องเรียนบางคนอาจจะคาดหวังให้มูลนิธิฯ ทำให้ทุกอย่าง ซึ่งมันก็คงไม่ได้เพราะคนก็มาร้องเรียนที่มูลนิธิฯ เยอะเหมือนกัน อย่างของพี่เวลาทำจดหมายก็ส่งให้ทางศูนย์ช่วยดูว่า การใช้คำตรงไหนต้องแก้ไขอะไรบ้าง ซึ่งทางศูนย์ฯ ก็ช่วยดูให้ตลอด แต่เป็นเรื่องของเรื่องตัวผู้บริโภคเองที่จะต้องลงมือปฏิบัติเอง ว่าร้องเรียนแล้วต้องทำตามคำแนะนำว่าควรไปที่ไหน อย่างไร ไม่ใช่ว่าโยนให้คนอื่นช่วยทำ แบบนั้นมันก็ไม่ใช่ เราเองต้องทำให้ถึงที่สุดก่อน ต้องช่วยเหลือตัวเองก่อน อย่างตอนที่ดูพิมพ์เขียวก็พยายามหาข้อมูลว่าเขียนว่า AW นี่หมายถึงอะไร ก็ได้ความรู้มาว่าถ้าเป็นประตูมันต้องเขียนว่า AD คือ Door แต่ในพิมพ์เขียวเขียนว่า AW น่าจะหมายถึงหน้าต่างก็คือ พยายามหาข้อมูลให้พร้อมที่สุดเพื่อมาสนับสนุนคำร้องของเราให้ได้เยอะที่สุด พอมาถูกทางแล้วเรื่องมันก็ไว อย่างพี่ตอนแรกก็คิดว่าเงินคงไม่ได้คืน ถ้าได้คงต้องรอเป็นปีแน่ๆ แต่กรณีของพี่ประมาณ 5 เดือนก็ได้เงินคืนแล้วซึ่งพี่ดีใจมากๆ

อ่านเพิ่มเติม >