ฉบับที่ 142 ประโยชน์จากเกลือ ตอน 2

ดังได้ร่ายยาวย้อนยุคไว้ในคราวก่อนว่า เกลือไม่ได้เค็มอย่างเดียว เกลือยังเป็นยาสมุนไพรที่ดีถ้ารู้จักใช้  ซึ่งได้นำเอาความรู้ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท ที่พูดถึงเกลือเป็นยาไว้ 5 ประเภท คือ เกลือสินเธาว์ เกลือพิก เกลือฝ่อ เกลือสมุทรี และเกลือวิก ซึ่งได้สาธยายไว้แล้วถึงเกลือสินเธาว์ (ตามหาอ่านฉบับก่อน) แต่ขอกล่าวย้ำถึงวิธีเตรียมเกลือ ที่เป็นรากฐานในการปรุงยาจากเกลือที่เหลืออีก 4 ประเภทไว้ที่นี้อีกครั้ง คือ เอาเกลือสมุทรมาตำให้ละเอียด เอาน้ำใส่พอสมควร แล้วนำไปต้มด้วยหม้อหม้อดินให้แห้ง แล้วสุมไฟจนหม้อแดง แล้วนำเกลือที่ได้มาแบ่งเป็น 5 ส่วน แต่ละส่วนนำมาปรุงเป็นเกลือแต่ละประเภท มาถึงเกลือพิก(บ้างที่เขียนว่าเกลือพริก) นำเกลือที่เตรียมและแบ่งไว้แล้ว มากวนผสมกับน้ำผึ้ง ใช้ความอดทนหน่อย เพราะต้องกวนไปเรื่อยๆ ประมาณว่า 3 วัน เกลือกับน้ำผึ้งจะเข้ากันจนแห้ง เกลือพิกจะมีรสขมเผ็ด (จึงเรียกตามรสเผ็ดของพริก) มีสรรพคุณเด่น ช่วยให้ลำคอชุ่มชื่น ช่วยให้เสียงดีไม่แหบแห้ง เกลือฝ่อ นำเกลือที่เตรียมไว้แล้วเช่นกัน มากวนกับน้ำนมวัวและน้ำมันงา กวนไปเรื่อยๆ ประมาณ 3 วัน เกลือกวนจะแห้ง เกลือฝ่อมีรสยาสมุนไพร รสเค็มมัน สรรพคุณแต่โบราณว่าใช้บำรุงธาตุไฟ แก้กุมารพรรดึกหรือแก้อาการท้องผูกให้กับเด็ก แก้อาการมูกเลือดด้วย   เกลือสมุทรี นำเกลือที่เตรียมไว้ แต่เกลือชนิดนี้คนรุ่นใหม่อาจตั้งข้อรังเกียจเพราะตำราโบราณท่านให้เอากวนกับเยี่ยววัว โบราณท่านถือว่าเป็นการปรุงยา เมื่อกวนไป 3 วัน เกลือนี้มีรสหวาน ใช้แก้ท้องผูก แก้อาการระส่ำระสาย บำรุงธาตุทั้งสี่ บำรุงน้ำเหลือง เป็นต้น เกลือวิก ประเภทสุดท้าย นำเอาเกลือที่เตรียมไปกวนกับสุราให้แห้งใน 3 วันเช่นกัน เกลือนี้มีรสเค็มร้อน สรรพคุณ แก้อาการท้องมาน แก้ไส้พองท้องใหญ่ และช่วยให้ชุ่มชื้น  อย่างไรก็ตาม ความรู้ที่นำมาเล่าสู่กันฟังนี้ หลายคนรู้สึกว่าเข้าใจยากเพราะเป็นความรู้ที่สืบทอดมาและใช้ในภาษาโบราณ ขณะนี้ผู้รู้หลายท่านกำลังศึกษาเพื่อสื่อสารกับคนรุ่นปัจจุบัน หากมีความคืบหน้าจะนำมาเล่าสู่กันฟังต่อไป อย่างไรเสียเกลือแกงหรือเกลือสมุทรที่คุ้นเคยนั้น สามารถนำมาเป็นยาใกล้ตัวถ้ารู้จักใช้ เช่น แก้ตะคริว เพียงละลายน้ำเกลือดื่ม หรือก่อนลงว่ายน้ำถ้าได้ดื่มน้ำเกลือก็ช่วยป้องกันการเกิดตะคริวได้ แก้คลื่นไส้ และเมาสุรา ใช้เกลือ 1/2 ช้อนกาแฟต่อน้ำ 1 แก้ว ผสมกันแล้วดื่ม  แก้แผลปากเปื่อย หรือแผลร้อนในในปาก ให้ใส่เกลือบริเวณแผลแล้วอมไว้ ตอนแรกจะรู้สึกแสบ แต่ครั้งต่อไปจะดีขึ้น และแผลหายได้เร็ว  แก้เป็นลม หรืออ่อนเพลีย ใช้เกลือละลายกับน้ำร้อนหรือน้ำเย็นก็ได้ดื่ม ช่วยแก้อาการเป็นลม หน้ามืด วิงเวียน ตาลายได้ผลดี  และใช้ แก้เผ็ด (ไม่เกี่ยวกับบาดหมางใครแล้วเอาคืนนะ) แต่กินอาหารรสเผ็ดๆ จนรู้สึกแสบที่ปาก ให้ลองอมเกลือแล้วทิ้งไว้สักครู่ช่วยคลายเผ็ดและร้อนที่ปากได้ดี ขอย้ำว่าใช้เกลือเพื่อเป็นสมุนไพร ไม่แนะนำให้ใช้เกลือปรุงอาหารมากเกินไป เพราะเกลือมีผลต่อความดันโลหิต จึงควรใช้ด้วยความพอดี  ไม่ใช่เพราะ “เกลือ เค็ม แต่ดี” แต่ที่ถูกต้องคือ “เกลือ เค็ม ใช้แต่พอดี”.

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 141 น้ำไป แล้งมา มารู้จักใช้ประโยขน์จาก เกลือ ดีกว่า

หายลุ้น หายใจได้ทั่วท้อง เพราะฟ้าฝนไม่หนักเท่าปีกลาย ภาคกลางโดยเฉพาะชาวกรุงเทพฯ (กลัวน้ำ) รอดพ้นภัยพิบัติจากน้ำไปได้อีกปี ที่หนักกว่ากำลังมาคือ น้ำแล้งในพื้นที่เกษตรกรรม เหมือนเพลงที่ขับขานว่า “น้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง....” เมื่อทำท่าแล้งผืนดินแห้ง เลยนึกถึงประโยชน์จากเกลือเค็มๆ ขึ้นมาว่ามีประโยชน์อย่างไร ? โดยเฉพาะในมุมยาสมุนไพร เกลือมีประโยชน์เหลือหลาย แม้ว่าวงการสุขภาพในปัจจุบันพบว่า การบริโภคเกลือ(อาหารรสเค็มๆ) มีความสัมพันธ์กับความดันโลหิตสูงในร่างกาย แต่เกลือที่จะแนะนำต่อไปนี้ ไม่ใช่นำมาปรุงอาหารกินกันทุกมื้อทุกวัน จึงไม่ต้องกลัวความดันโลหิตกำเริบ อันดับแรก ความรู้เชยๆ ดูโบร้านโบราณแต่ใช้ดีข้ามกาลเวลา คือ เกลือเป็นยาสีฟัน รักษาเหงือและฟันอย่างดี ไม่เชื่อก็ต้องร้องเรียกให้ อย.(คณะกรรมการอาหารและยา) สั่งให้ยาสีฟันยี่ห้อหนึ่งหยุดโฆษณา แต่ใครที่เคยลองแปรงฟันด้วยเกลือย่อมรู้ดีว่าฟันสะอาด แม้ว่าไม่มีฟองและรสกลิ่นหอมชื่นใจก็ตาม ยิ่งใครเคยลองยาสีฟันผงข่อยผสมเกลือ ยิ่งรู้ดีว่ายาสีฟันโบราณนั้นรักษาเหงือกและฟันดีจริงๆ   ที่อยากแนะนำในที่นี้ คือ สรรพคุณเกลือในตำรายาไทย โดยเฉพาะตำราสรรพคุณยาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท ซึ่งท่านได้รับการยกย่องจากยูเนสโกเมื่อ ปี 2541 ให้เป็นบุคลสำคัญของโลก ตำราที่ท่านเขียนถึงประโยชน์และโทษของสมุนไพรไทย ไว้ 166 ชนิด ถือเป็นตำราสมุนไพรเล่มแรกของไทยที่ เขียนแบบเอกสารทางวิชาการ แจกแจง และวิเคราะห์ส่วนต่างๆ ของพืชสมุนไพรแต่ละชนิด ในตำรับยาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท พูดถึงเกลือที่ใช้เป็นยามี 5 ประเภท คือ เกลือสินเธาว์ เกลือพิก เกลือฝ่อ เกลือสมุทรี และเกลือวิก (อ่านแล้วมึนตึ้บไหมหละ) ไม่ต้องตกใจ เกลือแต่ละชนิดเกิดจากการปรุงที่แตกต่างกัน เริ่มจากให้เอาเกลือสมุทรมาตำให้ละเอียด เอาน้ำใส่พอสมควร แล้วนำไปต้มด้วยหม้อหม้อดินให้แห้ง แล้วสุมไฟจนหม้อแดง แล้วนำเกลือที่ได้มาแบ่งเป็น 5 ส่วน แต่ละส่วนนำมาปรุงเป็นเกลือแต่ละประเภท ประเภทแรก เกลือสินเธาว์ ได้จากเกลือที่เตรียมไว้ 1 ส่วนแล้วมาผสมน้ำนมวัว 1 ส่วน นำไปเคี่ยวไปจนแห้งประมาณ 3 วัน เกลือสินเธาว์ ที่ใช้เวลาปรุงเป็นยานี้ ใช้แก้โรค 3 อาการ คือ 1) พรรดึก (อ่านว่า พันระดึก) หมายถึงอาการท้องผูกมาก มีอุจจาระเป็นก้อนแข็งคล้ายขี้แพะ ใครท้องผูกขั้นรุนแรงลองใช้ระบายท้องดู 2) แก้ระส่ำระสาย หมายถึงอาการที่เกิดจากการหมุนเวียนของโลหิตไม่ปกติ ทำให้เกิดความผิดปกติของลมในร่างกายทำให้เกิดอาการระส่ำระสาย และ 3) แก้ตรีโทษ คือ โรคที่เกิดจากปิตตะ วาตะและเสมหะร่วมกัน ใครเป็นตรีโทษมีทั้งอาการเบาไปจนหนัก คือ ธาตุในร่างกายแปรปรวนขาดสมดุลมาก ตำราโบราณท่านก็ว่าไว้ให้ใช้เกลือสินเธาว์ได้ และเกลือประเภทนี้ยังใช้แก้นิ่วด้วย น่าเสียดายหน้ากระดาษหมด โปรดกลืนน้ำลายคอยเกลือเค็มๆ ฉบับต่อไป.  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 141 ชุดอุปกรณ์นั่งๆ นอนๆ ทับเงินทับทอง

ชุดอุปกรณ์มหัศจรรย์เสียเงินเสียทองแห่งชาติชุดนี้ พบจากบ้านผู้ป่วยรายหนึ่งในอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ผู้ป่วยรายนี้หมดเงินไปแสนกว่าบาท กว่าจะได้อุปกรณ์ชุดนี้มารนั่งๆ นอนๆ ทับมัน ผู้ป่วยเล่าให้ฟังว่า เริ่มแรกตนได้ไปสมัครเป็นสมาชิกของศูนย์สุขภาพสุขภาพวีเก็น  ซึ่งอยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง หลังจากสมัครสมาชิกแล้ว ตนก็ได้สิทธิเข้าไปใช้บริการกับอุปกรณ์เหล่านี้ หลังจากรับบริการไป 2-3 ครั้ง ทางศูนย์ฯ ก็จะแนะนำให้ตนซื้ออุปกรณ์ดังกล่าว ไว้ใช้ที่บ้านจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมามารอคิวรับบริการ อุปกรณ์ที่ผู้ป่วยรายนี้ซื้อมามี 2 – 3 ชิ้น ราคาแสนกว่าบาท อุปกรณ์ชิ้นแรก เรียกว่าเก้าอี้แร่ ราคาประมาณ 20,000 กว่าบาท ลักษณะจะคล้ายๆ เก้าอี้นั่ง  มีรูปตรงกลาง ขนาดประมาณฝ่ามือ ทำงานโดยใช้ไฟฟ้าพอเสียบปลั๊กเก้าอี้ก็จะเริ่มสั่น พร้อมทั้งมีไอร้อนพวยพุ่งออกมาสัมผัสกับก้นน้อยๆ ของผู้นั่ง สามารถปรับระดับอุณหภูมิที่ความร้อนจะสัมผัสก้นได้ถึง 5 ระดับ ตามความทนทานของก้น (ฮา)   ผู้ขายบอกว่าอย่าตกใจ  มันคือไอของแร่ธาตุที่กำลังพวยพุ่งออกมาเพื่อรักษาอาการป่วย (เหมือนรังสีเฮ้ากวงทะลวงก้นชอบกล) นอกจากนี้สามารถปรับระดับความแรงของการสั่นได้ 3  ระดับและตั้งเวลาได้ 3 ช่วงตั้งแต่ 10  -  20  หรือ 30 นาที   ผู้ป่วยรายนี้บอกว่าเมื่อตนนั่งครั้งแรกรู้สึกเวียนศีรษะมาก เพราะเก้าอี้จะสั่นตลอดเวลาและเมื่อนั่งไปสักพักก็จะเริ่มรู้สึกร้อนก้น  ผู้ขายอธิบายว่า การที่เครื่องสั่น มันจะสะเทือนไปถึงเลือดในเส้นเลือดของผู้นั่งไปด้วย เสมือนเป็นการฟอกเลือด  นอกจากนี้ยังสามารถรักษาได้ทั้ง เบาหวาน  ความดันโลหิตสูง ริดสีดวงทวารหนัก  (อ้างว่าไอร้อนของแร่จะทำให้หัวของริดสีดวงแห้งและฝ่อไป) รักษาต่อมลูกหมากโต ป้องกันการเป็นมะเร็งปากมดลูก  แก้ปวด แนะนำให้นั่งนานมากที่สุดไม่เกิน 30 นาทีต่อครั้ง อุปกรณ์ชิ้นที่สองคือเตียงนวด ราคาประมาณ 103,000 บาท (ขอย้ำอีกครั้งว่าว่าแสนกว่าบาท)  เป็นเตียงต่อกับไฟฟ้า โฆษณาว่ารักษาอาการปวดหลัง ปวดเอว หมอนรองกระดูกทับเส้น และอุปกรณ์ชิ้นสุดท้ายคือ แผ่นประคบแร่ธาตุ โฆษณาว่าคลายเส้น แก้ปวด ราคา 30,000 บาท ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจะอนุญาตให้โฆษณาอย่างนี้ ใครเจอก็แจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาไปตรวจสอบให้หายสั่นซะทีนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 140 สะระแหน่ แก้ปวด

ใบอะไรเอ่ย...กลิ่นหอมคล้ายใบมะนาว แต่มีรสชาติคล้ายกับตะไคร้หอม คำตอบนั่นก็คือ ใบสะระแหน่ นี้นี่เอง ใบเล็กๆ เขียวเข้ม ขอบย่นๆ หยักๆ อยู่ในพล่า ยำ นั้น เห็นหลายคนชอบเขี่ยออกไปไม่ยอมกิน เห็นแล้วให้นึกเสียดาย เพราะสะระแหน่นั้นมีสรรพคุณที่ช่วยเพิ่มความหอมให้กับอาหาร นั่นเป็นเพราะว่า ใบสะระแหน่มีน้ำมันหอมระเหยมาก น้ำมันหอมระเหยของสะระแหน่นี้ ประกอบด้วยสารเมนทอล (Menthol) ไลโมนีน (Limonene) นีโอเมนทอล (Neomenthol) อยู่มาก จึงไม่เพียงช่วยให้อาหารมีความหอมยังช่วยดับกลิ่นปากได้ดีอีกด้วย   สารเมนทอล(รสเย็นซ่า) ในสะระแหน่มีคุณสมบัติเย็นจึงใช้รักษาอาการอ่อนเพลีย บรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน หลอดลมอักเสบ และหอบหืดได้ นอกจากนี้หลายสำนักวิจัยเรื่องสมุนไพรยังยกย่องให้สะระแหน่เป็นเจ้าแห่งการบรรเทาอาการปวดต่าง ๆ ทั้งปวดศีรษะ ปวดฟัน โดยดื่มน้ำต้มใบสะระแหน่ 5 กรัม กับน้ำ 1 ถ้วย ผสมเกลือเล็กน้อย วันละ 2 ครั้ง หรือปวดท้อง จากบิด ท้องร่วง อุจจาระเป็นเลือด โดยนำใบสะระแหน่ต้มดื่มแต่น้ำ เมนทอลของสะระแหน่นั้นเขาสรรเสริญกันว่าสุดยอด มีการนำใบสะระแหน่มาสกัดทำหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น นำไปผสมในยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก หมากฝรั่ง ลูกอม เจลอาบน้ำ สบู่ ยาแก้ไอ หรือแม้แต่ครีมลดการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ ทั้งนี้ก็เพราะเมนทอลในสะระแหน่นี่เอง ปัจจุบันได้มีการสกัดสารจากสะระแหน่ในรูปแบบของลูกอมสะระแหน่ไว้ใช้อม หรือที่เรียกว่า ลูกอมมินต์ ที่ทำให้เราทั้งรู้สึกสดชื่น และระงับเชื้อแบคทีเรียในปากได้ สะระแหน่ยังปลูกง่าย เป็นพืชสวนครัวที่แทบไม่ต้องดูแลอะไรมาก เคยได้ยินไหมที่เขาพูดเปรียบรถเก่าๆ ว่าน่าจะเอาไปปลูกสะระแหน่ได้แล้ว แสดงถึงความนิยมในเรื่องของการปลูกทั้งเป็นไม้ประดับและพืชสวนครัว พืชนี้ชอบน้ำชุ่ม คนโบราณจะปลูกไว้ใกล้ครัวและมักใช้น้ำคาวปลา(น้ำล้างปลา)รดสะระแหน่ เชื่อว่าจะทำให้แตกยอดและใบงาม สะระแหน่ขยายพันธุ์โดยใช้ไหลแยกไปปลูก(ปักชำ) ในบริเวณที่ต้องการได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร นอกจากหยิบจับใช้ทำอาหารแล้ว เวลาฉุกเฉินแมลงสัตว์กัดต่อย ขอให้รีบหยิบใบสะระแหน่มาขยี้หรือตำให้ละเอียดพอกบริเวณที่โดนกัด จะแก้พิษ บรรเทาอาการปวดแผลได้ผลชะงัดนัก รู้อย่างนี้แล้ว ถ้ามีสะระแหน่ประดับในจานอาหารขออย่าได้เขี่ยทิ้ง มันเสียของ จงกินมันเข้าไป และหากได้ไหลของต้นสะระแหน่ติดมือกลับมาบ้านก็ให้ปักชำทำเป็นพืชสวนครัวเสีย มีประโยชน์มากๆ เลย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 140 วิตามินสารพัดเรียว

อิทธิพลของค่านิยมต่างๆ ที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ทำให้ผู้หญิงหลายคนต้องตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาหลอกลวง ยิ่งในยุคหลังๆ ที่สังคมพยายามยัดเยียดค่านิยมว่า หากจะสวยอย่างแท้จริงก็จะต้องผอมเพรียวด้วย ยิ่งทำให้ผลิตภัณฑ์ที่พร้อมจะหลอกลวงต่างๆ ผุดขึ้นมามากมาย ผลิตภัณฑ์ที่นำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ คือผลิตภัณฑ์ “วิตามินสารพัดเรียว” วิตามินชนิดนี้มีการนำไปเสนอขายทางอินเตอร์เน็ต โดยหลังจากสั่งซื้อแล้ว จะส่งสินค้าให้ทางไปรษณีย์ เน้นกลุ่มวัยรุ่นที่ต้องการความเรียวทุกประเภท มีทั้ง วิตามินแขนเรียว วิตามินแขนเรียว วิตามินหน้าเรียว วิตามินลดหน้าท้อง ราคาเม็ดละประมาณ 8 บาท โดยแนะนำว่า “ให้รับประทานวันละ 1 - 2 เม็ด ก่อนอาหารมื้อแรก 30 นาที สำหรับลูกค้าท่านใดไม่เคยรับประทานยาลดน้ำหนักมาก่อนเลย ให้รับประทานวันละ 1 เม็ด แล้วดื่มน้ำตามเยอะๆ” มีผิดสังเกตตรงที่ในโฆษณานั้นย้ำว่าหลังทานยาอย่าลืมทานข้าวทุกมื้อ (ไม่รู้ว่ากลัวคนกินเกิดอาการผิดสำแดงอย่างไร?) นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่านำเข้ามาจากเกาหลี ทั้งผลิตภัณฑ์ Slimming  Diet ที่อ้างว่ารับประทานแผงเดียวลดได้ 5 กิโลกรัม และผลิตภัณฑ์ กลูต้าหิมะ Gluta 100000 Super   Whitening Snow ที่โฆษณาว่าจะทำให้ผิวขาวเนียนนุ่มดุจหิมะ ผิวขาวใสอมชมพู ขาวเปล่งประกายอย่างมีมีออร่า ลบริ้วรอย จุดด่างดำ จากสิวฝ้า กระ ช่วยเร่งให้ผิวขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ แถมยังอ้างว่าจะ Detox ตับ และป้องกันการเกิดมะเร็ง ทั้งๆที่ส่วนประกอบที่แสดงบนฉลากคือ แอล กลูต้าไธโอน (L-Glutathione 100000 mg) ซึ่งเคยมีรายงานว่ามีผู้ป่วยได้รับอันตรายต่อตับจากการใช้อย่างไม่ถูกต้องมาแล้ว และที่เสมอต้นเสมอปลายคือ ภาพจากโฆษณาเหล่านี้ไม่มีเลขทะเบียนยา หรืออาหารแต่อย่างใด แต่ฉลากที่แสดงเป็นภาษาไทยน่าจะเชื่อได้ว่าแอบลักลอบผลิตในประเทศนี่เอง ใครมีลูกหลานวัยรุ่น วัยที่รักสวยรักงาม รีบไปเตือน “อย่าไปเสี่ยงเรียวเชียวนะหนู” และใครทราบแหล่งผลิต แหล่งจำหน่าย ขอให้รีบแจ้งเบาะแสให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทราบด้วยนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 139 น้ำกัดเท้า

น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง ...... โอมเพี้ยง....ขออย่าให้คณะผู้บริหารจัดการน้ำไม่เป็นแบบคำพังเพยโบราณเลย....... ถ้าน้ำมาก็ขอให้น้อยกว่า 10 เท่าเมื่อเทียบปี 55 นะๆๆ แต่ถ้าน้ำนองในบางพื้นที่ ขอแนะนำสูตรยาแก้น้ำกัดเท้าที่ตกทอดมารุ่นต่อรุ่น ตั้งแต่สมัยสังคมไทยยังเป็นเมืองทำนาปลูกข้าวกว่า 80% จนตอนนี้หดหายไปเกือบครึ่ง หลบไปทำอย่างอื่นกันหมด แม้ยังทำเกษตรแต่ก็แห่ไปทำสวนยางสวนปาล์มกันมากมาย โบราณกาล ชาวนาเขาต้องยืนแช่น้ำในนาข้าวอยู่นานสองนาน ต้องเจอกับน้ำกัดเท้าเป็นประจำ ตำรับยานี้จึงทำง่ายสุดๆ และเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมขนานแท้ เพียงแค่นำสารส้มสะตุ และดินสอพองสะตุมาผสมกัน คำว่าสะตุ เป็นคำโบราณเกี่ยวกับการปรุงยาไทย หมายถึงไปทำให้สะอาดหรือดับพิษลดพิษจากตัวยาเสียก่อน วิธีทำ ให้นำสารส้มมาบดเป็นผงละเอียด นำไปใส่ในหม้อดิน แล้วนำไปตั้งไฟ สารส้มจะฟูขึ้น ปล่อยไว้จนฟูขาวสะอาดดี จึงนำลงจากเตาไฟ เรียกว่าสารส้มสะตุ สรรพคุณตามตำรายาไทยกล่าวว่า สารส้มช่วยสมานทั้งภายในภายนอก เฉพาะยาภายนอกช่วยแก้อาการคัน สมานแผล ห้ามเลือด ดินสอพองสะตุ ให้นำดินสอพองใส่กระทะ ตั้งไฟให้ร้อน คั่วดินสอพองให้สุกหรือผ่านความร้อนเพื่อทำให้สะอาดเช่นกัน ดินสอพองมีฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้อโรคอ่อนๆ และเป็นเหมือนแป้ง เมื่อทาผิวจะลดความชื้น แก้อาการคัน และไม่ให้เชื้อราลุกลามได้ง่ายนั่นเอง   ตำรับยาให้ใช้สารส้มสะตุและดินสอพองสะตุ อย่างละเท่าๆ กัน นำผสมกันใช้ทาที่แผล(หยดน้ำสะอาดเล็กน้อยเพื่อให้ผงยาเป็นยาเหลวทาง่ายขึ้น) ใช้วันละ 3-4 ครั้ง แต่ถ้าหาดินสอพองทำยาได้ยาก ก็ไม่ต้องใช้ ให้ใช้เฉพาะผงสารส้มสะตุละลายน้ำทาเลย ถ้าน้ำท่วมใหญ่มาอีกรอบ ขอให้บริจาคก้อนสารส้มกันบ้าง แล้วบรรดาอาสาสมัครแบ่งกลุ่มมาช่วยกันนั่งตำให้เป็นผง ตั้งเตาไฟใส่หม้อดินตามวิธีข้างต้น ปล่อยให้แห้งหาขวดใบเล็กๆ กรอกไว้แจกจ่าย แล้วแบ่งงานอาสาอีกกลุ่มช่วยกันทำฉลากและวิธีใช้ติดข้างขวด ใครๆ ก็ใช้ได้ถูกต้อง แต่ถ้าจวนเจียนไม่มีใครทำสะตุให้ ทำแบบสดๆ ก็สามารถใช้ได้ทันที ให้เอาก้อนสารส้มก้อนเล็กๆ ใส่ในช้อน แล้วเอาช้อนไปลนไฟเทียนไข สารส้มจะค่อยๆ ละลายเป็นน้ำ ใช้ก้านไม้พันสำลีจุ่มลงไปในน้ำสารส้ม แล้วเอามาทาที่น้ำกัดเท้า ทาบางๆ วันละ 3-4 ครั้ง ก็ช่วยบรรเทาอาการได้ดีไม่แพ้กัน อีกสูตรหนึ่งถ้าพื้นที่แห้งมีการปลูกต้นพลูไว้ ให้อาสาสมัครนอกแนวน้ำท่วมช่วยกันเอาใบพลูมาล้างให้สะอาด หั่นซอยเป็นชิ้นเล็ก แล้วใส่ครกตำให้ละเอียด ใส่ภาชนะหรือโหลแก้วแล้วเทเหล้าขาวหรือแอลกอฮอล์ให้ท่วมยา ปิดฝาแช่ทิ้งไว้ 1 คืน (อย่างน้อย 12 ชั่วโมง) กรอกเอาแต่น้ำยาบรรจุขวดเล็กๆ เวลาใช้ให้เอาสำลีชุบน้ำยาในพลูทาที่แผล วันละ 3-4 ครั้ง ใบพลู ซึ่งมีน้ำมันหอมระเหย มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้หลายชนิด ช่วยแก้อาการคัน และแก้กลาก เกลื้อน และโรคน้ำกัดเท้าที่มาจากเชื้อราได้ ขณะนี้มีการผลิตเป็น เจลพลู หรือเรียกโก้ๆ ว่าพลูจีนอล สรรพคุณไม่ด้อยกว่ายาแผนปัจจุบันเลย ใบพลูแน่กว่ายาต้านเชื้อราเฉยๆ เพราะใบพลูมีสรรพคุณลดอาการคันด้วย เนื่องจากน้ำมันหอมระเหยจากพลูมีฤทธิ์คล้ายยาชาเฉพาะที่ (ฤทธิ์อ่อนๆ) จึงช่วยแก้อาการคัน ถ้าต้องเดินลุยน้ำแช่น้ำ ควรล้างเท้าให้สะอาด และเช็ดเท้าให้แห้ง ช่วยลดการเกิดน้ำกัดเท้า แต่ถ้าเสียทีน้องน้ำแล้ว ให้ลองใช้ตำรายาโบราณสู้กับน้ำกัดเท้าดูนะ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 139 เรื่องหลอกนม…ผมทนไม่ได้

ก่อนนั้นเรื่อง “นม” เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดกล้าคุยกัน แต่ปัจจุบันนี้โลกมันเปลี่ยนไป “นม” จึงเปลี่ยนแปลง คนกล้าพูดถึงเรื่องนมกันมากขึ้น รวมทั้งสินค้าที่ผลิตมาจำหน่าย ก็ถือโอกาสเกาะกระแสนหากินไปด้วย ล่าสุดน้องเภสัชกรแจ้งข้อมูลมา เพื่อขอให้ช่วยปราบสินค้าที่สงสัยจะผิดกฎหมาย หลอกลวงขย่มนมของชาวบ้าน ผลิตภัณฑ์แรกเป็น ครีมนวดนม โฆษณาว่าใช้นวดกระชับทรวงอก สามารถขยายขนาดจาก 32 เป็น 36 รับประกันว่าได้ผลเมื่อใช้เป็นประจำต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ จำหน่าย 2 กระปุกในราคาเพียง 150 บาท แถมบอกอีกว่าปกติขายกันในราคา 290 บาทขึ้นไป(สงสัยกระปุกละข้าง) และคงหวังจะหากินให้ครบวงจรนมชาวบ้าน เลยมี ยาอกอึ๋ม จำหน่ายอีกด้วย โดยบอกว่า “เป็นฮอร์โมนอกอึ๋มแผงสีชมพูอ่อน(เป็นฮอร์โมนเพศหญิง 6 มิลลิกรัมต่อเม็ด) เหมาะสำหรับ ผู้หญิงที่หน้าอกเล็ก แบน หรือ ใหญ่แต่หย่อนคล้อย สาววัยทองหรือทำหมันเเล้ว หรือมีบุตรแล้วทำให้หน้าอกเหลว ไม่เต่งตึง กระชับ แม้กระทั่ง สาวประเภทสองที่ยังไม่ทำหน้าอก เพียงกินยาฮอร์โมน อาทิตย์ละ 2-3 เม็ด ก็สามารถทำให้หน้าอก กระชับ เต่งตึง และมีขนาดใหญ่ขึ้นได้ และนอกจากจะทำให้หน้าอกกระชับชูชันขึ้นแล้ว เนื้อนมจะเพิ่มขยายขึ้น ผิวก็ขาวผ่องเนียนขึ้น ยาอกอึ๋มนี้ ราคาแผงละ 150 บาท , 3แผงขึ้นไปแผงละ 140 บาท , 12 แผงขึ้นไป แผงละ 130 บาท”  ส่วนวิธีใช้ก็แนะนำแบบละเอียดยิบ “ครั้งแรกที่ทานเม็ดแรก ให้ทานหลังอาหารทันที เพื่อปรับสมดุลให้ร่างกายรู้จัก ส่วนเม็ดต่อๆ ไป ให้ทานก่อนนอนหรือทานพร้อมยาคุมได้เลย ฯลฯ ...ส่วนเรื่องการอัพไซส์ ก็แล้วแต่คน จะนับเม็ดหรือกะจำนวนแผงให้ไม่ได้ กินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจในขนาดที่ต้องการ หน้าอกจะอัพไซส์ขึ้นไปเรื่อยๆ เอง บางคนทานเเผงเดียวก็อัพไซส์เลยเปลี่ยนคัพเลย บางคนก็แผงที่ 2-3 อยู่ที่ร่างกายตอบสนองช้าหรือไว การทานยาฮอร์โมนมันต้องใช้เวลา ไม่ใช่มันจะตู้มต้ามขึ้นมาทีเดียว เราไม่ได้ทำศัลยกรรม มันจะขึ้นเรื่อยๆ เองตามธรรมชาติ จะให้เเป๊บเดียวใหญ่เลยไม่ได้หรอก มันไม่สามารถ” (อ่านดูแบบนี้มันก็คือการอัดให้รับประทานฮอร์โมนแบบหน้ามืดตามัว ให้เกิดผลข้างเคียงของฮอร์โมนนั่นแหละครับ) ยังไม่หมดนะครับ เพราะผลิตภัณฑ์สุดท้าย คือ ครีมทาหัวนมชมพู (Nipple pink milk lipstick plus vitamin E) ในรูปแบบแท่ง สะดวกสบายในการใช้ ใช้เพื่อให้ผิวชมพู กระจ่างใส บริเวณหัวนม พร้อมมอยส์เจอไรเซอร์ ช่วยบำรุงผิวบริเวณหัวนมให้ชุ่มชื้น นุ่มนวลไม่แห้งแตก ราคาเปิดตัว 50 บาทเท่านั้น ใช้ได้นานเป็นเดือน เท่าที่ดูข้อมูลผลิตภัณฑ์ครีมนวดนมและยาอกอึ๋ม เข้าข่ายโฆษณาเป็นยาแน่นอน ถ้าไม่มีทะเบียนยาก็ผิดกฎหมายแน่ๆ แต่ถ้ามีทะเบียนยา ผมก็เชื่อว่าทาง อย.คงไม่อนุญาตแบบนี้แน่ๆ ส่วนครีมทาหัวนมชมพู หากไม่มีสารเคมีที่ห้ามและไม่มีผลต่อเซลล์เม็ดสี เพียงแค่เอาสีไปทาฉาบหัวนม ก็เป็นเครื่องสำอาง ซึ่งก็ต้องมาจดแจ้งอยู่ดี ใครเจอผลิตภัณฑ์เหล่านี้จำหน่าย แจ้งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบตามกฎหมายได้เลยครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 138 น้ำบัวบก บำรุงสมอง

สมัยหนึ่งน้ำใบบัวบกมีขายทั่วไปตามรถเข็นริมทาง แต่ปัจจุบันดูจะหาได้ยาก ซึ่งน่าเสียดายเพราะน้ำคั้นจากใบบัวบกนั้นมีสรรพคุณที่มากกว่าที่รู้กันทั่วไปว่า “แก้ช้ำใน” บัวบกเป็นพืชล้มลุกที่เลื้อยแผ่ลำต้นอยู่ทั่วไปบริเวณริมห้วยหนองหรือบริเวณชื้นแฉะ คนในภูมิภาคเอเชียคุ้นเคยกับใบบัวบกเป็นอย่างดี คนพม่ารู้จักการกินยำใบบัวบก คนมาเลเซียนิยมใช้ใบบัวบกผสมลงในเมนูสลัด  คนไทยเรากินใบบัวบกแบบสดๆ เป็นผักแกล้มน้ำพริกและเคียงผัดไท แพทย์พื้นบ้านและแพทย์สายตะวันออกนำใบบัวบกมาคั้นน้ำทั้งพอกทารักษาแผลสด แผลหนอง และดื่มกินแก้อาการฟกช้ำ เพราะบัวบกมีส่วนช่วยให้เลือดกระจายตัว อาการฟกช้ำจึงทุเลา และเนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาเย็นจึงช่วยแก้กระหายน้ำและบำรุงร่างกายได้ด้วย   การสืบค้นงานวิจัยเกี่ยวกับบัวบกพบว่า มีฤทธิ์บำรุงสมองเช่นเดียวกับแปะก๊วย คือ เพิ่มความสามารถในการจำ และการเรียนรู้ มีการจดสิทธิบัตรสารสกัดจากบัวบกในคุณสมบัติช่วยเพิ่มความสามารถในการจำ การทดลองในสัตว์ทดลอง พบว่า บัวบกทำให้ลูกหนูมีความจำและความสามารถในการเรียนรู้ดีขึ้น ส่วนการศึกษาในคนพบว่า เพิ่มความจำในผู้สูงอายุ โดยใช้สารสกัดบัวบก 750 มก. นาน 2 เดือน พบว่าความจำ การเรียนรู้ อารมณ์ของผู้สูงอายุดีขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่การศึกษาในระดับเซลล์ถึงกลไกการ ออกฤทธิ์บำรุงสมอง พบว่า บัวบกทำให้การหายใจในระดับเซลล์สมองดีขึ้น ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการเสื่อมของเซลล์สมอง คงสภาพปริมาณของสารสื่อประสาทและเสริมฤทธิ์การทำงานของสารสื่อประสาทและยัง ทำให้หลอดเลือดมีความแข็งแรงสามารถนำเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้ดีขึ้น ผลการศึกษาดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการใช้เป็นอาหารเพิ่มไอคิว ความฉลาด ความสามารถในการจำและการเรียนรู้ในเด็ก โดยเฉพาะเด็กพิเศษ เด็กสมาธิสั้น ส่วนคนทั่วไปบัวบกจะช่วยชะลออาการโรคสมองเสื่อมในวัยชราหรืออัลไซเมอร์ และช่วยคลายเครียด ทำให้มีสมาธิในการทำงาน ปัจจุบันในสหรัฐและหลายประเทศมีบัวบกแคปซูลจำหน่ายในสรรพคุณบำรุงสมอง ข้อควรระวัง คือ บัวบกเป็นยาเย็นและมีการสะสมได้ทำให้หนาว  ดังนั้นไม่ควรกินทีละเยอะๆ ทุกวัน  ถ้ากินสดๆ ทุกวันควรกินแต่น้อยๆ ประมาณ  3-6 ใบก็พอ คนที่อ่อนเพลียหรือร่างกายอ่อนแอมากไม่ควรกิน ถ้ากินแล้วมีอาการเวียนหัว ปวดหัว ใจสั่นหรือเต้นผิดปกติ หน้าแดง คันผิวหนัง ท้องร่วงคล้ายเป็นบิด แสดงว่าแพ้ยาหรือกินยามากเกินไป ให้หยุดกินทันที คนที่ม้ามเย็นพร่องมีอาการท้องอืดแน่นเป็นประจำไม่ควรกิน ผู้ป่วยที่ได้รับยาเบาหวาน ยารักษาโคเลสเตอรอลไม่ควรกินเพราะจะทำให้ผลของยาลดลง คนที่กินยาแก้แพ้ ยากันชัก ยานอนหลับ ไม่ควรกิน เพราะจะไปเสริมฤทธิ์ทำให้ง่วงมากขึ้น และคนท้องหรือหญิงที่ให้นมบุตรไม่ควรกิน บัวบกซึ่งเป็นพืชพื้นบ้านหากินง่ายนี้ ได้รับการยกย่องให้เป็นยอดสมุนไพร เหมาะแก่การส่งเสริมให้เป็นอาหารบำรุงสมองน่าเสียดายที่คนไทยส่วนใหญ่มองไม่เห็นคุณค่า คิดแล้วก็ช้ำ คงต้องกินน้ำบัวบก แก้ช้ำในไปพลางๆ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 138 พวกคุณก็มีลูกแต่ใยมาทำร้ายลูกชาวบ้าน

เมื่อประมาณต้นเดือนเมษายน 2555 เจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี พร้อมตำรวจ ได้เข้าตรวจสอบ บริษัท โรงพยาบาลวีแคร์เมมโมเรียล จำกัด ที่มาตรวจสุขภาพประจำปีให้แก่นักศึกษา ในวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัด เนื่องจากได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนว่าอาจเป็นแก๊งหมอเถื่อน ผลการตรวจสอบพบว่าบริษัทนี้ได้ทำสัญญากับวิทยาลัย โดยได้ยื่นเอกสารเสนอราคาในนาม บริษัท โรงพยาบาลวีแคร์เมมโมเรียล จำกัด ทำให้วิทยาลัยเข้าใจผิดว่าได้รับอนุญาตประกอบกิจการและดำเนินการสถานพยาบาลจากกระทรวงสาธารณสุขแล้ว จากการสอบสวนพบสิ่งที่ผิดปกติมากมาย เช่น คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งรวมค่าตรวจร่างกายโดยแพทย์ ค่าตรวจเลือด ค่าเอ็กซ์เรย์ ค่าวัดสายตา ในราคาเพียง 50 บาท ซึ่งถือว่าต่ำอย่างผิดปกติ คาดว่าจะไม่ได้มีการตรวจจริง นอกจากนี้การตรวจเลือดก็จะเจาะเลือดใส่หลอดเปล่าที่ไม่มีน้ำยาและไม่มีการตรวจวิเคราะห์ทันที โดยอ้างว่าจะส่งไปตรวจภายหลัง แต่ก็ไม่มีการแช่เย็นใดๆ ทั้งสิ้น ในที่สุดเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาบริษัทและกรรมการบริษัทว่าประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนแพทย์โดนข้อหาดำเนินการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต และคนที่เจาะเลือดทั้ง 3 คน โดนข้อหาประกอบวิชาชีพเทคนิคการแพทย์โดยไม่ได้รับอนุญาต   ผ่านไปไม่นานก็มีข่าว ภก.คัมภีร์ ตันภูมิประเทศ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตาก เข้าแจ้งความต่อ พนักงานสอบสวน สภ.แม่สอด ว่า มีกลุ่มบุคคลอ้างเป็นแพทย์และพยาบาล ไปตรวจโลหิตให้นักศึกษาที่เป็นกลุ่มเสี่ยงยาเสพติดในวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัด หลังจากร่วมกันเข้าตรวจสอบ พบว่าไม่มีใบประกอบอาชีพเวชกรรม ผู้อำนวยการวิทยาลัยเล่าว่า ก่อนหน้านี้ได้ว่าจ้างให้กลุ่มบุคคลที่อ้างตัวเป็นแพทย์และพยาบาล มาตรวจสุขภาพและเจาะเลือดนักศึกษาวิทยาลัยอาชีพที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ซึ่งกลุ่มบุคคลดังกล่าวคิดค่าบริการหัวละ 75 บาท แต่เมื่อตรวจสุขภาพนักศึกษาไปกว่า 600 คน เริ่มเห็นความผิดสังเกต เนื่องจากใช้เข็มฉีดยา หรือเข็มอันเดียวกันเจาะเลือดนักศึกษาซ้ำกันจำนวนมากจึงไปแจ้งทางวิทยาลัยเพื่อนำไปสู่การตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ ต่อมาอีกไม่นาน ก็มีข่าวว่า นักศึกษาวิทยาลัยการอาชีพคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ แจ้งความจับหมอเถื่อน หลังพบข้อมูลทีมแพทย์ตรวจสุขภาพประจำปี อาจเป็นหมอเถื่อนที่ใช้เข็มเจาะเลือดซ้ำกัน นอกจากนี้ยังพบประวัติเคยถูกดำเนินคดี หมอเถื่อน ในพื้นที่ตากมาแล้ว และล่าสุด มีข่าวอีกว่าที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีการตรวจสุขภาพนักเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง จากการตรวจสอบทราบว่าสมาชิกในขบวนการทั้งหมด ไม่มีใครเป็นบุคลากรทางการแพทย์เลย คนที่วัดความดัน เจาะเลือด วัดสายตาประกอบแว่น ล้วนแต่เป็นลูกจ้างในบริษัท เด็กบางคนโดนเจาะเลือดจนแขนพรุนไปหมด ชายสองคนและหญิงหนึ่งคน กำลังทำทีว่าเป็นหมอ ตรวจสุขภาพนักเรียนซ้ำๆ กัน อ้าปาก กดลิ้น ส่องไฟฉาย ฟังปอด (แหล่งข่าวรายงานว่าบางทีเห็นแอบจับหน้าอกเด็กบ้างเป็นบางครั้งด้วยซ้ำ) ยังไงก็ขอให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์ และเป็นหูเป็นตา คอยสอดส่อง อย่าให้มีพวกมิจฉาชีพตระเวนไปหลอกลวงสถานศึกษาในจังหวัดอื่นๆ อีกนะครับ หนูๆ ก็เหมือนลูกหลานของเรา “รักพวกหนูๆ ต้องช่วยระวังอย่าให้ใครมาทำร้ายหนูๆ นะครับ”

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 137 ขิงซ่า เผ็ด แต่ดี

พี่น้องตระกูลขิงมีมากมาย จนบางครั้งเราไม่ทันรู้ว่าเขาคือเครือญาติเหล่าก่อเดียวกัน ขิง ข่า ขมิ้นชัน ขมิ้นขาว กระชาย ไพล ฯลฯ แม้แต่ดาหลาที่นิยมเป็นไม้ประดับก็ร่วมตระกูลขิง พืชวงศ์นี้จึงมีความสำคัญในด้านอาหาร เครื่องเทศ ยาสมุนไพร ไม้ประดับ ซึ่งถือว่าเป็นพืชเพื่อสุขภาพและเศรษฐกิจในปัจจุบันเลยทีเดียว ขอเริ่มที่ ขิง ชื่อพืชที่เป็นตัวแทนของวงศ์ตระกูลนี้ พบว่าไม่ใช่แค่คนไทย จีน แขก และชาวตะวันออกที่นิยมชมชอบใช้ขิงเท่านั้น แต่มีการศึกษาเรื่องขิงกันทั่วโลก ทั้งฝรั่งและชาวเกาะต่างๆ ก็ใช้ขิงกันเรื่อยมา ที่สำคัญยกย่องให้ขิงเป็นสมุนไพรหรือเครื่องเทศมหัศจรรย์เสียด้วย เพราะขิงใช้ประโยชน์ได้มากมายสารพัด แต่เรามาคุยกันเฉพาะที่เกี่ยวกับอาการไม่สบายที่มักมากับฝนในฤดูนี้ คือ อาการไอ ระคายคอ มีเสมหะ รวมถึงเป็นหวัด ซึ่งขิงสำแดงฤทธิ์ได้เพราะมีการศึกษาพบว่าในขิงจะมีกลุ่มสารที่เรียกว่า GINGEROL และ SHOGAOL ช่วยออกฤทธิ์พิชิตโรคนั่นเอง   ทุกคนที่เคยดื่มน้ำขิงย่อมรู้ซึ้งถึงรสเผ็ดร้อน ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ที่เป็นน้ำมันหอมระเหยที่มีสรรพคุณดีๆ มากมาย แต่ถ้ามองมุมหลักวิชาตำราไทยบอกว่า ขิงช่วยบำรุง“ธาตุอากาศ” ถอดความให้เด็กคนรุ่นใหม่ได้ว่า ฤทธิ์เผ็ดร้อนของขิง จะช่วยขยายช่องทางเดินของเลือดลมทั่วร่างกายนั่นเอง คนแต่โบราณจึงดื่มน้ำขิงเพิ่มความอบอุ่นภายในร่างกาย หรือช่วยขับเหงื่อให้ร้อนขับไล่ไข้หวัดได้อย่างดี วิธีกินที่ดีที่สุดต้องใช้ขิงสด ขิงผงสำเร็จรูปเป็นเพียงเครื่องดื่มยามว่าง ถ้าต้องการฤทธิ์ยาสมุนไพรควรปรุงจากเหง้าขิงสด ใช้ขิงแก่สด 1-2  เหง้าทุบพอแตก ต้มกับน้ำ เทใส่ถ้วยผสมน้ำตาลทรายแดงเล็กน้อย หรือนำขิงสดฝานเป็นแว่นๆ ถ้าใช้สดก็ 2-3 แว่น ชงกับน้ำร้อนปิดฝาทิ้งไว้พออุ่นๆ จึงนำมาดื่ม หรือนำขิงที่ฝานแล้วนำไปตากแดดให้แห้ง เก็บใส่ภาชนะไว้ เมื่อใช้นำขิงแห้ง 1 หยิบมือ มาชงกับน้ำร้อนๆ ปิดฝาทิ้งไว้ 10-15 นาที เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ และรอให้ยาอุ่น อาจผสมน้ำตาลทรายแดงแต่งรสได้เช่นกัน บางครั้งจะใช้วิธีต้มน้ำขิงโดยใส่น้ำตาลแดงหรือน้ำตาลอ้อยลงไปต้มพร้อมกันได้ เวลากินให้แบ่งมาดื่มกินตลอดวัน เป็นเครื่องดื่มร้อนๆ แทนน้ำชากาแฟ ในวันที่ไม่สบายจะช่วยให้หายไว แต่ถ้าใครที่ชอบรสจัดเผ็ดซ่าถึงใจ แนะให้ปอกเปลือกขิงสดออก ใช้ 1-2 เหง้านำไปปั่นคั้นเอาแต่น้ำ เวลาปั่นให้เติมน้ำสะอาดลงไปสัก ๑ แก้ว จะได้ปั่นง่ายและได้น้ำยาขิงออกมาง่าย น้ำคั้นขิงสด รสชาติเผ็ดและเข้มข้นมาก กินเปล่าๆ ไม่ได้ ให้เติมน้ำเปล่า น้ำส้ม น้ำมะนาว และน้ำผึ้งหรือน้ำตาล แต่งรสตามใจชอบและช่วยลดความเผ็ดร้อนของขิงสดลง ยานี้ใช้จิบกินตลอดวัน แก้ไข้หวัด และแก้ไอ เจ็บคอ ลดเสมหะได้ชะงัดนัก แม้ว่าไม่มีไข้ ไม่มีอาการไอใดๆ น้ำขิงที่แนะนำก็ควรทำดื่มในฤดูฝนเช่นนี้เป็นประจำ เพราะช่วยปรับสมดุลร่างกายรับมือกับอากาศเปลี่ยนและลมชื้นๆ จากฝนได้ นอกจากนี้ ขิงยังช่วยแก้อาการคลื่นเหียนอาเจียน และมีความปลอดภัยใช้กับหญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการอาเจียนจากการแพ้ท้องได้ ขิงยังช่วยลดอาการปวดข้อ หรือข้ออักเสบ ซึ่งขณะนี้เป็นกันมากในผู้สูงอายุ ช่วยการหมุนเวียนโลหิต ลดความดัน ลดโคเลสเตอรอลได้ แม้ขิงจะมีดีมากมาย แต่ในยามวิกฤติและรับมือภัยพิบัติที่ต้องเตรียมพร้อมเสมอ สรรพคุณเบสิกพื้นฐาน คือ ขิงกินแล้วช่วยย่อยอาหาร แก้อาการท้องอืดเฟ้อ เตรียมตากแห้งขิงเก็บไว้ ภัยไม่มาก็มีไว้ชงดื่มกินเล่นสบายใจได้ทั้งปี

อ่านเพิ่มเติม >