ฉบับที่ 147 กานพลู ครบเครื่องเรื่องปากและฟัน

กานพลู เป็นชื่อของเครื่องเทศระดับเอบวก เป็นพืชประจำถิ่นเขตร้อนชื้นของเอเชียที่สร้างมูลค่ามหาศาลในตลาดโลกตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ในภาษาฝรั่งเรียก กานพลู ว่า clove รากศัพท์คำว่า clove มาจากภาษาละตินคำว่า clavus หมายถึงเล็บ ที่เรียกเช่นนั้นคงเพราะส่วนที่กานพลูถูกนำมาใช้ประโยชน์คือ ดอกตูมแห้ง ที่มีลักษณะคล้ายเล็บ ดอกแห้งมีสีน้ำตาลเข้ม กลิ่นหอมและรสเผ็ดร้อน เมื่อใช้เป็นเครื่องเทศ จะใช้เพื่อให้กลิ่นในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ซอส ซุป เครื่องแกง ผักดอง หรือเป็นส่วนผสมของเครื่องพะโล้ ใช้แต่งกลิ่นลูกกวาด ขนมเค้ก หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และยังนิยมแต่งกลิ่นอาหารกระป๋องและเนื้อสัตว์ เช่น ไส้กรอก แฮม เรื่องอาหารก็ว่ากันไป แต่สรรพคุณในทางยา โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับอนามัยในช่องปากต้องยกให้ กานพลูว่า ครบเครื่อง หากที่บ้านมีปลูกไว้สักต้นก็นับว่าคุ้ม หรือมีกานพลูแห้ง ซึ่งหาซื้อได้จากร้านยาจีนทั่วไปเก็บไว้บ้าง ก็ใช้แก้ไขปัญหาเรื่องปากแบบเร่งด่วนได้หลายประการ เมื่อประมาณ 200 กว่าปีก่อนคริสต์ศักราช ฮ่องเต้จีนจะใช้ดอกกานพลูอมเพื่อดับกลิ่นปาก และเมื่อกานพลูเข้ามาเผยแพร่ในยุโรปกานพลูก็จัดเป็นยาแก้ปวดฟัน ราวศตวรรษที่ 19 นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา สามารถกลั่นน้ำมันจากกานพลูได้ เรียกกันว่า clove oil ซึ่งถูกนำมาใช้ รักษาโรคเหงือกและใช้แก้ปวดฟัน ต่อมาน้ำมันกานพลู ก็เป็นที่แพร่หลาย ถ้าไปพลิกๆ ดูฉลากยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปาก บางทีจะเจอ clove oil เป็นสารออกฤทธิ์สำคัญอยู่ในผลิตภัณฑ์ การใช้กานพลูรักษาอาการปวดฟัน แบบง่ายๆ คือ กลั่นเอาน้ำมันจากดอกกานพลูใส่ฟัน หรือใช้ทั้งดอกเคี้ยวแล้วอมไว้ตรงบริเวณฟันที่ปวด เพื่อระงับอาการปวดฟัน หรือนำดอกกานพลูตำพอแหลก ผสมกับเหล้าขาวเพียงเล็กน้อยพอแฉะ ใช้สำลีจิ้มอุดฟันที่ปวด เพื่อระงับอาการชั่วคราว ก่อนไปพบทันตแพทย์ ถ้าจะใช้เพื่อดับกลิ่นปาก ให้อมดอกตูมไว้สัก 1 นาทีจะช่วยลดกลิ่นปากลงได้ กานพลูน้ำมันหอมระเหยสูงมาก หลักๆ คือ ยูจีนอล (eugenol) ซึ่งมีฤทธิ์ขับลมและแก้ท้องเสีย ใช้ดอกตูมแห้งของกานพลู 5 - 8 ดอก ชงน้ำเดือดดื่มเฉพาะส่วนน้ำเพื่อช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย ท้องอืดเฟ้อได้ ข้อห้ามสำหรับการใช้กานพลู ซึ่งเป็นยาที่มีฤทธิ์ไวคือ ห้ามในหญิงมีครรภ์  หญิงให้นมบุตร  เด็กเล็ก  ผู้ป่วยโรคตับไตและผู้ป่วยเบาหวาน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 146 ส้มป่อย ของดีปีใหม่ไทย

  พูดกันจริงๆ ประเพณีสงกรานต์ไม่ได้มีแค่เมืองไทย พี่น้องร่วมอนุภูมิภาคทั้งเขมร ลาว ไปจนถึงจีนตอนใต้ในสิบสองปันนา ต่างร่วมสาดน้ำดับร้อนเพื่อรับขวัญปีใหม่ด้วยกันทั้งสิ้น  และไม่น่าเชื่อว่าสมุนไพรชื่อ ส้มป่อย น่าจะได้เรียกชื่อสมุนไพรทางวัฒนธรรม ที่ให้คุณค่าทางจิตใจและสรรพคุณทางยา ที่นำมาใช้ในเทศกาลสำคัญเช่นนี้ด้วย จากโบราณจนยุค 3G ส้มป่อยกับสงกรานต์ยังคงคู่กัน และเหมือนภูมิปัญญาดั้งเดิมช่างชาญฉลาด ท่านแนะนำให้เก็บฝักส้มป่อยในเดือนห้า โบราณอาจโยงถึงความขลังและศักดิ์สิทธิ์ แต่ในมุมเภสัชของยาไทย เดือนแล้งแบบนี้ฝักส้มป่อยกำลังแก่จัด สรรพคุณทางยาเจ๋ง ! ดังนั้น วิธีที่สืบทอดมาให้นำฝักแก่ปิ้งไฟอ่อนๆ พอสุก มีกลิ่นหอมกอมเปรี้ยวๆ  แล้วนำมาหักเป็นชิ้นเล็กๆ สามารถนำมาต้มเป็นยาหรือมาแช่น้ำ จะได้น้ำส้มป่อยสีเหลืองอ่อน เพื่อประกอบพิธีกรรม โดยเฉพาะที่รดน้ำดำหัวในประเพณีมหาสงกรานต์นั่นเอง   หลายคนนึกไม่ออกมาส้มป่อยหน้าตาเป็นอย่างไร นึกว่าคือ “ส้ม” พันธุ์ใหม่มาจากจีนหรือ? ไม่ใช่แน่นอน ส้มป่อยมีชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า Acacia concinna (Willd.) D.C. เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย  มีหนามตามลำต้น กิ่ง ก้านและใบ  ลักษณะใบมองแล้วคล้ายขนนกสองชั้น เรียงสลับ ดอกช่อ ออกที่ซอกใบ เป็นช่อกลม กลีบดอกเป็นหลอด สีนวล ผลเป็นฝัก สีน้ำตาลดำ ผิวย่นขรุขระ ส้มป่อยเป็นพืชที่นำมาใช้ได้ทุกส่วน ตั้งแต่ต้น ใบ ดอก ผล ราก ฝัก เมล็ด และเหมือนธรรมชาติจัดสรร เมื่อฝักส้มป่อยแก่จัดในฤดูร้อน จึงเหมาะมากที่นำมาใช้ประโยชน์ในหน้าร้อนๆ แบบนี้ คือ นำมาใช้อาบน้ำได้ดียิ่งกว่าเข้าร้านสปาห้าดาว เพราะกลิ่นหอมเจือเปรี้ยวของส้มป่อยนั้น นอกจากเป็นอะโรม่าให้ร่างกายและจิตใจรู้สึกคลายเครียดแล้ว ส้มป่อยยังมีสรรพคุณชะล้างผิวพรรณให้สะอาด และช่วยแก้โรคผิวหนัง ผดผื่นคัน ที่ชอบเป็นกันในหน้าร้อน เพราะเหงื่อไหลไคลย้อยได้ง่ายจึงเป็นที่หมักหมมของแบคทีเรียได้ง่าย   ยิ่งกว่านั้นในวัฒนธรรมพื้นบ้านมีการนำเอาฝักส้มป่อยมาต้มบ้าง มาแช่น้ำบ้าง แล้วตีๆกับน้ำจะเกิดฟองแบบธรรมชาติ และน้ำส้มป่อยนี้เอง สาวๆ หนุ่มๆ ที่รักสวยรักงามนำมาใช้เป็นน้ำยาสระผมแก้อาการคันศีรษะ และแก้รังแกได้ดี ที่เป็นแบบนี้นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่อธิบายได้ว่า ฝักส้มป่อยยังมีสารพวกซาโปนิน (saponins) สารซาโปนินในฝักส้มป่อย เขาศึกษาพบว่าช่วยกระตุ้นให้ทีเซลล์ (T cells) ทำงานได้ดี ทีเซลล์มีส่วนช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันดีขึ้น   แต่ถ้าพี่น้องไทยเจอแดดจัด ทำให้มีอาการหวัดแดด มีเสมหะไอ ก็ขอแนะนำฝักส้มป่อยแก่จัดสัก 2 ฝัก มาปิ้งไฟพอหอม แล้วหักหรือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ  รินน้ำเดือดลงไป 1 แก้ว ทิ้งไว้สักครู่จนน้ำชาส้มป่อยออกเป็นสีเหลืองมีกลิ่นหอมอมเปรี้ยว นำมาจิบบ่อยๆ แก้ไอ ขับเสมหะ และแก้น้ำลายเหนียวคอได้เลย   จบท้ายแบบความภูมิปัญญาท้องถิ่น เชื่อว่าวันมหาสงกรานต์จะต้องมีพิธีกรรมที่สำคัญเพราะเชื่อว่าวันนั้นเป็นวันที่เศียรของท้าวกบิลพรหมจะขาดตกลงมาสู่พื้นพิภพ จึงต้องป้องกันเหตุร้ายและอัปมงคล โดยมีพิธีรดน้ำดำหัว เพื่อปัดเป่าสิ่งร้ายให้กลายเป็นดี ซึ่งสมุนไพรที่ขาดไม่ได้ คือ “ฝักส้มป่อย” นั้นเอง.

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 146 น้ำมหัศจรรย์ สั่นสะเทือนถึงโมเลกุล

  "พี่คะเวบนี้ ไปโฆษณากันโจ๋งครึ่มเลยค่ะ มีการอ้างถึงบุคลากรใน รพ.หลายคนด้วย แต่เท่าที่ทราบ น้ำชนิดนี้ อย.เคยออกมาประกาศเตือนผู้บริโภคไม่ให้หลงเชื่อ และสคบ.ยังเคยปรับฐานทำความผิดเรื่องการโฆษณาไปแล้วแล้วนี่ค่ะ หนูยังเจอข้อมูลที่ อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์เคยให้นักศึกษาฯ ค้นข้อมูล เกี่ยวกับเรื่องการวิจัยที่เขากล่าวอ้าง ก็ไม่เป็นจริงค่ะ” น้องเภสัชกรคนหนึ่งทางภาคเหนือ คงทนเห็นการโฆษณาขายเครื่องอะไรก็ไม่รู้ที่บอกว่าสามารถสั่นสะเทือนโมเลกุลของน้ำแล้วรักษาโรคได้ จึงแจ้งมาให้ผมช่วยเผยแพร่ข้อมูลเพื่อเตือนผู้บริโภค   ผมตามไปดูข้อมูลตามที่น้องแจ้งมา ก็พบข้อมูลโน้มน้าว เหมือนผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เคยมาเขียนเตือนผู้อ่านไปแล้ว ลองอ่านดูตามนี้เลยครับ   “ทำให้คนต่างจังหวัดรู้จักน้ำดื่มน้ำปรับโมเลกุลนี้มากขึ้น และได้บุญกุศลในการแนะนำให้เพื่อนร่วมงาน และผู้ป่วยอีกมากมายดื่มน้ำปรับโมเลกุล ดื่มแล้ว มีสุขภาพแข็งแรง หายจากอาการป่วยหลายท่าน”   หลังจากนั้นก็เป็นการบรรยายว่าน้ำชนิดนี้จะเกิดจากการใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าไปกระตุ้น จนการจัดเรียงโมเลกุลของน้ำเปลี่ยนไป ผู้ป่วย ทั้ง ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง ภูมิแพ้ มะเร็งลำไส้ เบาหวาน และอีกหลายต่อหลายโรค ได้ลองดื่มน้ำชนิดนี้แล้ว อาการดังกล่าวทุเลาและดีขึ้น บางรายก็หายจากโรค และยังลงท้ายว่า “สุดท้ายขอให้น้ำดื่ม น้ำปรับโมเลกุล อยู่กับพวกเรา และขยายออกไปมากขึ้น”   ด้วยความที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ผมเลยลองไปสืบค้นเอกสารทางวิชาการที่อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ท่านหนึ่ง (ผศ. ดร. สุระรอง ชินวงศ์) ได้มอบหมายให้นักศึกษาค้นคว้า (นสภ. รัตติญากร วงศ์จุมปู) สรุปได้ความว่า เครื่องสั่นสะเทือนโมเลกุลที่ใช้ในการผลิตน้ำนี้ เป็นเทคโนโลยีที่มีผู้ให้ความสนใจ เนื่องจากมีการโฆษณาอ้างถึงประโยชน์จากการใช้น้ำที่ผ่านเครื่องมือนี้ ในการรักษาโรคต่างๆ อ้างว่าเครื่องนี้สามารถทำให้พันธะของโมเลกุลน้ำกว้างขึ้น และมีการบันทึกสัญญาณบางอย่างลงไปในน้ำ เมื่อน้ำชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายจะทำให้เซลล์ต่างๆ ทำงานดีขึ้น และยังมีการกล่าวถึงการทดลองใช้น้ำชนิดนี้ ซึ่งในเอกสารที่พบไปค้นมา สรุปชัดเจนว่า “ในประเด็นผลการรักษา ไม่ทราบว่าผู้ป่วยมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ และยังไม่มีผลงานวิจัยของหน่วยงานใดที่น่าเชื่อถือออกมารับรองว่า น้ำดังกล่าวมีคุณสมบัติจริงดังคำกล่าวอ้าง จากข้อมูลที่ค้น พบว่ามีเพียงข้อมูลการตีพิมพ์ของทางบริษัทเท่านั้น” ผู้อ่านลองอ่านอย่างมีวิจารณญาณและใช้สติคิดตามไปนะครับ มันจะมีน้ำอะไรที่มหัศจรรย์พันลึกสามารถรักษาโรคได้มากมายขนาดนี้ และถ้ารักษาโรคได้จริง ทำไมไม่มีการนำมาใช้อย่างเป็นทางการตามโรงพยาบาลให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย อย่างนี้ เราคงจะได้ข้อสรุปด้วยตนเองแล้วนะครับว่า เราจะยอมเสียเงินไปซื้อเครื่องมือนี้มาหรือไม่   ไปค้าขายทำกำไร 2 ต่อ คำถามตามมาคือ หากองค์กรกำกับฯ (กสทช.)  ละเลยไม่กำกับดูแลตามหน้าที่  ผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ จะลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิกันอย่างไร?  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 145 มะละกอ ยาระบายชั้นดีที่หนึ่ง

  มะละกอนี่ไม่ใช่พืชพื้นเมืองบ้านเรา เขามีถิ่นกำเนิดจากแถบอเมริกาใต้โน้น เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาไทยราวๆ กรุงศรีอยุธยาตอนปลาย แล้วแตกลูกหลานทิ้งไว้จนกลายเป็นเหมือนพืชพื้นเมือง มะละกอนั้นกินได้ทั้งผลดิบและสุก ผลดิบใช้ทำอาหารได้หลายชนิด โดยตัวที่ฮิตติดลมมากๆ ก็คือ ส้มตำ สุดยอดอาหารไทยยอดนิยมตลอดกาล ซึ่งสรรพคุณของเนื้อมะละกอดิบนั้นเป็นยาช่วยย่อยที่ดี ใครที่กินส้มตำก็จะไม่ค่อยพบอาการท้องอืด เฟ้อ ให้อึดอัดรำคาญ   แต่ที่อยากแนะนำคราวนี้คือ เนื้อมะละกอสุก ใครที่มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย แนะนำให้กินมะละกอสุกครับ มะละกอสุกนั้นรสชาติดี และมีประโยชน์มาก วิตามินซีก็สูง และยังมี “ไลโคพีน” สารต้านอนุมูลอิสระชื่อดังอยู่มากอีกด้วย เจ้าไลโคพีนนี้มีอยู่ในผลไม้ไม่กี่ชนิด ผลไม้ไทยที่มีไลโคพีนมากๆ ก็ได้แก่ ส้มสายน้ำผึ้ง แตงโมและมะละกอนี่แหละ โดยเฉพาะมะละกอสุกพันธุ์แขกดำ (ว่ากันว่าไลโคพีนอาจช่วยป้องกันมะเร็งได้หลายชนิด)   มะละกอนั้นเป็นผลไม้ที่ราคาไม่แพงและหารับประทานได้ง่าย คุณประโยชน์ต่างๆ ก็โดดเด่น โดยเฉพาะเรื่องระบายท้อง ถ้ากินมะละกอสุกได้บ่อย ยาถ่ายนี่แทบไม่ต้องไปพูดถึง เพราะมะละกอสุกเป็นยาระบายชั้นดีที่หนึ่งแล้ว  แต่แม้มีข้อดีมาก ก็มีข้อที่ต้องระวังกันบ้าง บางคนที่กินมะละกอสุกมากเกินไปเป็นระยะเวลานานๆ  ก็อาจเกิดภาวะผิวเหลืองขึ้นได้เหมือนกัน เพราะสารมีสีพวก carotenoid ที่มีมากในมะละกอมันเข้าไปสะสมในร่างกายมากเกินไป แต่ไม่ต้องกังวลมากเลิกกินสักพักภาวะนี้ก็หมดไป คนอีกกลุ่มที่อาจต้องระวังบ้างกับการกินมะละกอสุกก็คือ ผู้ป่วยโรคไต เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องจำกัดปริมาณน้ำ มะละกอสุกนั้นเห็นเนื้อแน่นๆ ก็จริง แต่มีน้ำอยู่ในปริมาณค่อนข้างมากคือ ใน 130 กรัมจะมีน้ำอยู่ถึงเกือบ 117 กรัมทีเดียว   สำหรับหน้าร้อนนี้ ถ้าเบื่อๆ กินมะละกอแบบธรรมดาๆ ขอเชิญชวนปั่นน้ำมะละกอกินครับ    สูตรคือ มะละกอสุก 1/2 ลูก น้ำผึ้ง 1/2 ถ้วย เกลือป่น 1/4 ช้อนชา และน้ำต้มสุก 3 ถ้วย วิธีทำ ปอกเปลือกมะละกอล้างให้หมดยาง ฝานเอาเมล็ดออก หั่นชิ้นเล็ก ๆ จากนั้นใส่เนื้อมะละกอสุกลงในโถปั่นใส่น้ำต้ม น้ำผึ้ง เกลือ ปั่นให้ละเอียด แล้วตักน้ำแข็งใส่แก้ว เทน้ำมะละกอใส่เสิร์ฟเย็น ๆ หรือจะแช่เย็นก็ได้ ช่วยคลายร้อนได้ดี

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 145 อยากผิวขาว สาวกลับขาลาย

 ความอยากสวยอยากขาวของสาววัยรุ่นเป็นสิ่งที่ห้ามกันยากยิ่งนัก   ผลิตภัณฑ์ประเภททำให้ขาวโน้มน้าวว่าสวยจึงผุดขึ้นดั่งดอกเห็ด มีทั้งชนิดที่ได้รับอนุญาตและชนิดที่อันตราย ขายกระจัดกระจายปะปนกันไป ตาดีได้ตาร้ายเสี่ยงจริงๆ แม้ว่าเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานสาธารณสุข จะไล่จับผลิตภัณฑ์ที่แอบผสมสารห้ามใช้อันตราย แต่ก็ใช่ว่าจะง่ายเพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้มันไม่โง่ให้จับ แต่ฉลาดที่จะมุดลงใต้ดิน แอบลักลอบขายแบบบอกต่อๆ กันอย่างเงียบๆ   ผมได้ข่าวจากน้องเภสัชกรจากจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคกลาง เล่าให้ฟังว่า เธอสังเกตเห็นกลุ่มเด็กสาวมัธยมปลายหลายคน มักจะแวะไปซื้อยารักษาขาลายที่ร้านยาจากเภสัชกรบ่อยๆ และที่เหมือนๆ กันคือ บริเวณขาของเด็กสาวเหล่านี้มีลักษณะลายๆ เป็นเส้นๆ หลังจากสอบถามจึงได้ความว่า ขณะนี้มีพฤติกรรมหมู่ที่เลียนแบบกันแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กสาววัยรุ่นที่อยากจะขาวมากว่า จะมีการแนะนำต่อๆ กันแบบปากต่อปาก ให้ไปหาซื้อครีมที่ผสมสารอันตรายหลายๆ ชนิดที่แอบลักลอบขายมาเทรวมผสมกันเอง โดยผสมตามสูตรที่ผู้ขายแนะนำ ส่วนวิธีใช้ไม่ยาก อยากขาวตรงไหนให้ใช้ตรงนั้น สุดท้ายสาวน้อยที่อยากขาวเหล่านี้ เลยพากันชโลมทั้งตัว ทั้งแขน ทั้งขา   หลังจากใช้ติดต่อกันมา 4 เดือนผิวก็ขาวได้ดั่งใจ แต่พอเดือนที่ 6 หลายคนเริ่มมีอาการคัน มีผื่นขึ้นตามตัว บางคนมีอาการแดงตามผิวหนัง หนังบางจนเห็นเส้นเลือด แถมผิวหนังแตกลายตามเส้นเลือดอีกด้วย บางคนตกใจหยุดใช้ ปรากฏว่าผิวที่ไม่ได้เจอครีมกลับดำคล้ำขึ้นมาอีก จึงจำเป็นต้องใช้ครีมต่อเนื่องเสมือนทาสไม่มีวันเลิก   สุดท้ายเด็กเหล่านี้ทนไม่ไหวจึงมาขอคำปรึกษา พร้อมทั้งเอาสารพัดครีมที่ผสมมาให้ดูด้วย เภสัชกรท่านนี้จึงสวมวิญญาณนักคุ้มครองผู้บริโภค ใช้ชุดทดสอบของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ลองทดสอบดู จึงพบว่าครีมบางชนิดมีส่วนผสมของสารปรอทแอมโมเนีย ซึ่งเป็นสารอันตราย หากดูดซึมเข้ากระแสเลือดจะมีผลต่อไตและอวัยวะอื่นๆ อีกมาก แต่ที่ประหลาดใจคือ ครีมหลายชนิดที่ผู้ขายแนะนำให้ใช้กวนผสมนั้น มีหลากหลายมาก บางชนิดก็เป็นโลชั่นทั่วๆไ ป แต่บางชนิดก็ดันเป็นยาแก้เชื้อราอีก บางชนิดเป็นภาษาจีนด้วยซ้ำ สรุปว่า “สูตรอะไรไม่รู้ แต่พวกหนูๆ กล้าเสี่ยงค่ะ”   เด็กนักเรียนที่อยากผิวขาว แต่ดันขาลายกลุ่มนี้ เล่าให้ฟังว่า ครีมผสมเองแบบนี้กำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น ยิ่งใส่หลายชนิดผิวก็จะยิ่งขาวเร็ว ถ้าอยากขาวเร็วจะรู้กันว่า ให้ใส่ส่วนผสมอื่นๆ เพิ่มเติมเข้าไปอีก เช่น หักกระเปาะวิตามินซีชนิดฉีดเทผสมลงไป หรืออาจเอาวิตามินอีชนิดแคปซูล วิตามินเอชนิดแคปซูล ผสมเติมลงไปด้วย และยิ่งถ้ามีเซรั่มบำรุงผิว  เซรั่มผิวขาว  ก็เติมลงไปได้อีก สูตรใครสูตรมันอย่าได้แคร์ ...เฮ้อ   ไม่ว่าเด็กจะผิวขาวหรือผิวคล้ำ ต่างก็คืออนาคตของชาตินะครับ ช่วยกันดูแลให้เขาเติบโตแบบไม่เสี่ยงกันเถอะครับ ช่วยกันสอดส่องและแนะนำให้เขาอย่าไปหลงเชื่อจนเกิดพฤติกรรมเสี่ยงแบบนี้อีกเลย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 144 มะเขือเทศ ของเขาแรง !

หลายคนไม่ชอบกินมะเขือเทศ โดยเฉพาะน้ำมะเขือเทศไม่แม้แต่จะดมกลิ่น แต่ก็มีคนจำนวนมากชอบกินแบบจับมะเขือเทศแช่ตู้เย็น พอได้ที่เอามาจิ้มเกลือน้อยๆ เคี้ยวกินสดๆ อร่อยฉ่ำเปรี้ยวๆ เค็มๆ และมีอีกหลายคนชอบน้ำมะเขือเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแบบเข้มข้น ดื่มแล้วได้เนื้อได้รสดี   ใครชอบก็ขอให้กินต่อไปอย่าได้หยุด ใครที่ไม่ค่อยชอบอยากให้ลองเปลี่ยนความคิด แล้วฝึกกินมะเขือเทศโดยเฉพาะน้ำมะเขือเทศเข้มข้น เพราะลูกสีแดงๆ ทรงกลมแป้นๆ นี้ เขามีดีเกินกว่าที่เราคิด   ดูมุมโภชนาการก่อน มะเขือเทศลูกย่อมจะมีปริมาณวิตามินซีเท่ากับกินส้มโอไปครึ่งลูกเลย  และมีวิตามินเอมากพอกับความต้องการของคนเราถึง 1 ใน 3 ที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน ยังมีวิตามินบี1 วิตามินบี2  ธาตุโปแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและแร่ธาตุอื่นๆ อีกหลายชนิด   แต่ที่โดดเด่นในการศึกษาวิจัยล่าสุดนั้นอยู่ที่ ในมะเขือเทศมี สารไลโคปีน (Lycopene) อยู่อย่างอุดมสมบูรณ์มาก และสารตัวนี้มีฤทธิ์ทำให้ลดสารก่อตัวที่ทำให้ต่อมลูกหมากโต สารก่อตัวที่ว่านี้เรียก PSA (prostate-specific antigen) ซึ่งเป็นสารที่บ่งบอกถึงภาวะต่อมลูกหมากโต ถ้าสาร PSA มีค่าสูงนั่นเป็นสัญญาณอันตรายที่จะนำไปสู่มะเร็งต่อมลูกหมากในไม่ช้า   ผู้ชายพออายุพ้น 45 ปีไปแล้ว ก็มีความเสี่ยงต่อภาวะต่อมลูกหมากโตกันถ้วนหน้า ที่นี้มาดูผลการศึกษาที่ทดลองในผู้ป่วยชายจำนวน 43 คน อายุระหว่าง 45-75 ปี มีระดับของ PSA 4-10 นาโนกรัม/มิลลิลิตร โดยผู้ป่วยทุกคนจะได้รับผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้น 50 กรัม/วัน เป็นเวลาติดต่อกัน 10 สัปดาห์ หรือสองเดือนครึ่ง ซึ่งได้เก็บข้อมูลระดับ PSA ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการได้รับผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้น   หลังการทดลองพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับผลดีมีถึง 88.3% โดยมีระดับ PSA ลดลงถึง 10.77% จึงสามารถสรุปได้ว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้นเพียง 50 กรัม/วัน เป็นเวลาสองเดือนครึ่งก็สามารถลดระดับ PSA ในผู้ป่วยต่อมลูกหมากโตได้ เมื่อช่วยได้แบบนี้ก็เท่ากับดูแล....ของคุณผู้ชายให้แข็งแรงดีอยู่ และลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย   มาถึงวิธีทำกินกันเลยดีกว่า ใช้ลูกมะเขือเทศสด 200 กรัม ปั่นให้ละเอียด (มะเขือเทศสด 200 กรัม มีค่าสารไลโคปีนใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้น 50 กรัม) ไม่ต้องเติมเกลือหรือสารแต่งรสใด ๆ  ดื่มก่อนอาหารเช้าวันละครั้งทุกเช้า โดยเฉพาะคุณผู้ชายที่ล่วงวัย 45 หรือ 50 ไปแล้วควรดื่มน้ำมะเขือเทศทุกเช้า จะช่วยให้จุดยุทธศาสตร์ของคุณผู้ชายห่างไกลจากต่อมลูกหมากโต   คุณสุภาพสตรีอย่าได้คิดว่าน้ำมะเขือเทศเป็นน้ำของคุณชาย แท้จริงการดื่มน้ำมะเขือเทศเหมาะกับทุกเพศทุกวัย ช่วยให้หัวใจมีสุขภาพดี เพราะในมะเขือเทศอุดมด้วยสารแอนโทไซยานีน (anthocyanin) ซึ่งมีฤทธิ์ป้องกันหลอดเลือดหัวใจตีบ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง ครอบครัวใดปั่นน้ำมะเขือเทศกินกันทั้งบ้าน จะห่างจากโรคร้ายมีความสุขกันทั้งบ้าน   ถ้าให้ดีสุดยอด ซื้อพืชผลที่มาจากสวนเกษตรอินทรีย์ กินแล้วได้สรรพคุณครบและห่างไกลสารเคมีอันตรายตกค้างด้วย.  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 144 อย่ามาทำเนียน

  ยุคนี้ข้อมูลข่าวสารมันไปเร็วยิ่งกว่าจรวด หากไม่กลั่นกรองดีๆ ผู้บริโภคก็จะถูกหลอกได้ ยิ่งระยะหลังๆ นี่การหลอกมันยิ่งแนบเนียนมาก จนบางทีเราก็ตามแทบไม่ทันเหมือนกัน   ยุคหนึ่งที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) บุกไปดำเนินคดีผลิตภัณฑ์ขายตรง น้ำผลไม้ยี่ห้ออินทราธิราช(นามสมมุติ) ลงข่าวใหญ่โตในหน้าหนังสือพิมพ์ เนื่องจากโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง ปรากฎว่าน้องเภสัชกรท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ผู้แทนขายตรงกลับฉวยโอกาสแจ้งลูกค้าว่าให้รีบซื้อน้ำผลไม้อินทราธิราชที่ตนขายไปตุนเยอะๆ เพราะของปลอมกำลังระบาด ส่วนผลิตภัณฑ์ที่เป็นข่าวถูกดำเนินคดีเป็นของปลอมไม่ใช่ของจริง (สุดยอดนักขายรางวัลฉวยโอกาสยอดเยี่ยม)   กลางเดือนธันวาคมปีที่แล้ว มีข่าวปรากฏทางสื่อมวลชนว่า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น พบการขายยา แคปซูลผงบุกกวางแดง ที่โฆษณาสรรพคุณช่วยในการลดน้ำหนัก แต่เมื่อนำตัวยาไปตรวจสอบพบว่า เลขทะเบียนยาเป็นของปลอม และยาชนิดนี้มีส่วนผสมของ ไซบูทรามีน ซึ่งมีฤทธิ์กดสมอง ที่ประเทศไทยยกเลิกไม่ให้ใช้มานานกว่า 10 ปีแล้ว (เนื่องจากอาจมีอาการข้างเคียงกับกลุ่มคนที่เป็นโรคหัวใจ เช่น ส่งผลให้หัวใจวายเฉียบพลัน และอาจเสียชีวิตได้) นอกจากนี้ยังพบการแอบอ้างจากผู้ขายผ่านทางเฟซบุ๊คว่า แคปซูลดังกล่าวมีเลขทะเบียนยาอย่างถูกต้อง เพราะผลิตและจำหน่ายโดยแพทย์จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีสรรพคุณช่วยในการลดน้ำหนัก แต่เมื่อได้สอบถามไปที่คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็ได้รับคำตอบว่าทาง มหาวิทยาลัยขอนแก่นไม่ได้เป็นผู้ผลิตยาดังกล่าว ซึ่งต่อมาทางผู้บริหารได้มีการแถลงข่าวชี้แจงไปแล้ว   หลังจากนั้น ผมกลับพบข้อมูลในเฟซบุ๊ค ที่ใช้ชื่อว่า “ผงบุกกวางแดง มข. ของแท้ 100% ตัวช่วยลดน้ำหนัก” โดยในเฟซบุ๊คนี้ ให้ข้อมูลว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นงานวิจัยส่วนตัวของอาจารย์ ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ของ มข. เป็นสมุนไพรล้วนๆ ไม่ใช่ยาลดความอ้วน คิดค้นสูตรโดยอาจารย์คณะแพทยศาสตร์ มข. ซ้ำยังบอกสำทับอีกว่าตนรับตรงมาจากเพื่อนที่เรียนปริญญาเอก คณะเทคนิคการแพทย์ ม.ขอนแก่น มั่นใจได้แน่ค่ะว่าเป็นของแท้ 100 % และรับรองโดยองค์การเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุข ปลอดภัย 100% มีเลขทะเบียนใบกำกับยา อย.58-1-05242-1-0001 ทะเบียนยา Reg. No. G 228/47 ปลอดภัย เห็นผลแน่นอน สุดยอดนักขายมือทองรุ่นใหม่ เพราะแค่ชื่อเฟซบุ๊คก็โฆษณาโต้งๆ แต่มาพลาดเอาง่ายๆ ตรงที่อ้างแบบงูๆปลาๆไม่รู้จริง เพราะผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งจะขึ้นทะเบียนทั้งเป็นอาหารและเป็นยาไม่ได้ครับ นี่เล่นโฆษณาว่ามีทั้ง เลข อย. (อาหาร) และทะเบียนยา...พลาดจุดที่หนึ่ง , และคนที่รับรองการขึ้นทะเบียนว่าปลอดภัยคือ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ไม่ใช่องค์การเภสัชกรรมครับ..พลาดจุดที่สอง และที่สำคัญ อย.ไม่อนุญาตให้โฆษณาโต้งๆ หลอกครับว่าลดน้ำหนัก..พลาดอีกแล้ว   ล่าสุด มีพนักงานมาขายเครื่องนวดกระชับสัดส่วนตามหน่วยงานราชการ แถมบอกว่าเครื่องมือนี้คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราช เป็นคนอนุญาตให้ขาย ผมเช็คไปแล้ว ก็ไม่ใช่ความจริงอีก เห็นมั้ยครับว่าการโฆษณาขายของมันแอบเนียนอ้างหน่วยงานทางสุขภาพกันไปใหญ่แล้ว   ยุคนี้เจอข่าวอะไรที่อ้างอิงหน่วยงานราชการ อย่าเพิ่งรีบเชื่อนะครับ หากไม่ชอบมาพากล รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบก่อนดีกว่าครับ จะได้ไม่ถูกหลอกให้เจ็บกระดองใจภายหลัง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 143 น้ำมะตูม

  เคยได้ยินคำว่า น้ำอัชบาล ไหม ใช่แล้วครับคำนี้มีที่ทางอยู่ในเรื่องราวของพุทธศาสนา เป็นเครื่องดื่มของพระสงฆ์ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ซึ่งสามารถฉันได้ทั้งวันโดยไม่ผิดพระวินัย น้ำอัชบาลทำจากพืชพรรณที่มีอยู่ในท้องถิ่นและมีฤทธิ์ทางสมุนไพร เมืองไทยเราพืชพรรณธรรมชาติเยอะแยะล้วนมีฤทธิ์ในทางสมุนไพรทั้งนั้น ครั้งนี้ขอเลือกมาหนึ่งชนิด เพราะเห็นว่าเริ่มจะหาดื่มยากแล้วนั่นคือน้ำมะตูมครับ มะตูมนั้นจัดเป็นไม้ระดับเทพเจ้าหรือไม้มงคล  มีความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมและพิธีมงคลของไทย ใช้ทัดหูในพิธีพราหมณ์ และใช้พรมน้ำมนต์ ตามความเชื่อที่ถ่ายทอดกันมาจากบรรพบุรุษ งานสมรสพระราชทานคู่บ่าวสาวก็จะมีใบมะตูมทัดหู การทำน้ำมนต์เพื่อสะเดาะเคราะห์ และการครอบครูก็จะใช้ใบมะตูมเป็นองค์ประกอบในพิธี ในอินเดียนั้นสามารถพบใบมะตูมและผลมะตูมได้ ตามร้านขายดอกไม้บูชา หรือตามโบสถ์ฮินดูต่างๆ ส่วนในไทยปัจจุบันตอนนี้อย่าว่าแต่ใบเลยครับ หาผลสดยังยาก ต้องเป็นแหล่งจริงๆ ถึงเจอ   ถึงหายากหน่อยแต่ถ้ารู้แหล่ง เราก็ยังสามารถหาได้ครับ พวกมะตูมแห้งยังหาได้ตามร้านยาจีน รวมถึงมะตูมเชื่อมก็ยังมีที่ตรอกมะตูมแถวถนนอรุณอัมรินทร์ ตรอกสะพานหัน  ส่วนในต่างจังหวัดก็น่าจะยังพอหาได้ตามตลาดใหญ่ๆ   วิธีทำน้ำมะตูมไม่ยากเลย ในกรณีได้มะตูมแห้งมา ใช้สัก 5-6 แว่น ต้มกับน้ำประมาณ 2 ถ้วยแก้ว เดือดแล้วเคี่ยวต่อไปเล็กน้อย ยกลงตั้งไว้ให้เย็นดื่มครั้งละ ครึ่งแก้วอาจเติมน้ำตาลนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติ แก้หวัด แก้หลอดลมอักเสบและคลายร้อนได้ดีมาก   สำหรับท่านที่ยังพอหาผลมะตูมสดได้ เลือกผลแก่ขูดเปลือกนอกออก(บางตำรับก็ว่าเผาไฟสักหน่อยก่อนขูดเปลือกจะดีมาก) ทุบพอร้าว ต้มกับน้ำ น้ำตาล กลายเป็นน้ำดื่มสมุนไพรชั้นดี กินได้ทั้งน้ำและเนื้อ แก้ลม บำรุงธาตุดีนัก ทั้งยังช่วยระบายอ่อนๆ ด้วย   มะตูมผลสุกมีกลิ่นเฉพาะตัว บางคนว่าหอมชื่นใจ แต่บางคนก็อาจไม่คุ้น สมัยก่อนมะตูมไม่เพียงแต่รอกินผลสุก ใบอ่อนนำมาจิ้มน้ำพริกกินอร่อยมาก ช่วยเจริญอาหารและแก้ท้องเสียเล็กๆ ได้ ตามธรรมชาติแล้ว มะตูมจะออกดอกประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม และให้ผลแก่ประมาณ ธันวาคม-กุมภาพันธ์ ซึ่งอยู่ในช่วงนี้พอดี เจอผลสุกหรือมะตูมเชื่อมที่ไหน ลองซื้อมากินนะครับ บางคนที่ทำขนมเก่งๆ เขาก็ใช้มะตูมเชื่อมทำเป็นขนมเค้กที่หน้าตาดีและอร่อยไม่แพ้เค้กอื่นเลย ส่วนผลสุกถ้าไม่ทำน้ำมะตูมกินแบบสดก็อร่อยไปอีกแบบ แถมมีประโยชน์ด้วย มีสารเพคติน (pectin) สารแทนนิน และสารฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระดีต่อสุขภาพโดยรวมครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 143 โฆษณาสระอกต้องฟู สระอูต้องฟิต มันผิดกฎหมาย

  วันหนึ่งพี่สาวนักรณรงค์เพื่อสังคมคนเก่ง ออกมาโวยวาย เพราะเธอได้รับอีเมล์โฆษณาผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งที่อวดอ้างสรรพคุณขยายทรวงอก กระชับช่องคลอด เธอบอกว่ามันโฆษณาบุกถึงอีเมล์ส่วนตัวอย่างนี้ ถือว่าละเมิดสิทธิมากเกินไปแล้ว วันต่อมาน้องสาวอีกคนหนึ่ง แจ้งข่าวมาว่า มีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่โฆษณาสรรพคุณทำนองเดียวกันกับข้างต้น ออกมาแข่งแล้ว   ผมจำได้ว่า ในอดีตเคยมีผลิตภัณฑ์กล่องสีชมพูชนิดหนึ่ง โฆษณาขายทางทีวีดาวเทียม โดยสรรพคุณที่เจ้าผลิตภัณฑ์ชนิดนี้อ้างอวดก็คือ ความสามารถในการทำให้ทรวงอกขยายและกระชับช่องคลอด โดยใช้คำโฆษณาที่ติดหูว่า “อกฟู รูฟิต” และต่อมาก็ถูกสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาไล่ตามจับไปลงโทษตามกฎหมาย เพราะตัวผลิตภัณฑ์นี้ขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่ดันโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณจนเกินจริง แถมบางครั้งยังโฆษณาจนเข้าข่ายเป็นผลิตภัณฑ์ยาด้วย แต่ชะรอยว่าอำนาจกฎหมายคงไล่ไม่ทัน เพราะเสียค่าปรับไม่กี่บาท   แต่เจ้าของผลิตภัณฑ์สามารถทำการโฆษณาทางทีวีดาวเทียมได้มากขนาดนั้น เงินค่าปรับที่เสียคงจิ๊บจ้อยเต็มที ต่อมาเจ้าของผลิตภัณฑ์ดันผิดใจกันเองเลยแตกออกมาเป็นสองค่าย ต่างคนต่างผลิต แต่ใช้ชื่อคล้ายๆ กัน ขายแข่งกัน ต่างฝ่ายต่างบอกว่าของตนของแท้ แต่ที่แน่ๆ ดันขายได้ทั้งคู่   ด้วยความสงสัยว่า ทำไมผลิตภัณฑ์พวกนี้มันถึงขายดิบขายดีกันอย่างนี้ ผมเลยเข้าอินเตอร์เน็ตวานอากู๋ Google ช่วยสืบค้นให้หน่อย เพียงแค่ผมพิมพ์คำว่า “อกฟู รูฟิต” ภาพและข้อมูลของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่โฆษณาว่าสามารถทำให้เป็นดังคำที่พิมพ์ ก็ปรากฏ “ฟู” ต่อสายตาผมหลายสิบชนิด มากมายจนผม “ฟิต” นับแทบไม่ถ้วน   เท่าที่ดูพบว่าบางผลิตภัณฑ์มีเลขทะเบียนตำรับอาหารแล้ว แต่หลายผลิตภัณฑ์ก็ไม่มีเลขทะเบียนอ้างว่านำมาจากเกาหลี  แต่ที่เหมือนกันคือ ต่างโฆษณาสรรพคุณ ในลักษณะที่มีประโยชน์ต่อสตรี “หน้าอกเต่งตึง หุ่นผอมเพรียวดั่งใจ สลายไขมันส่วนเกิน ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล กระชับช่องคลอด ไร้กลิ่น ขับน้ำคาวปลา ช่วยให้ประจำเดือนมาตรงตามปกติ รู้สึกถึงความเป็นสาวกลับมาอีกครั้ง ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเพศ ทำให้หน้าอกขยายใหญ่ขึ้น ลดการหย่อนยานของหน้าท้อง และทำให้ประจำเดือนมาปกติ” จากประสบการณ์ที่ทำงานคุ้มครองผู้บริโภคและมีหน้าที่ตามกฎหมายมานานหลายสิบปี ผมฟันธงได้เลยว่าแม้ผลิตภัณฑ์บางชนิดจะมีเลขทะเบียน อย.แล้ว แต่ การโฆษณาในทำนองโอ้อวดสรรพคุณเกินจริงแบบนี้ ผิดกฎหมายแน่นอน ถ้าดูจากส่วนประกอบก็มีแค่ส่วนผสมของสมุนไพรชนิดต่างๆ ถ้ามีสรรพคุณวิเศษดังที่อ้างจริงมันต้องมาขึ้นทะเบียนเป็นยาให้ได้ด้วยซ้ำ สรุปสั้นๆ ว่าโฆษณาแบบนี้ผิดกฎหมายแน่นอน ใครเห็นแจ้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาโดยด่วน เขามีสินบนนำจับด้วยนะเออ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 142 ตะเกียงรักษาโรค ทำอับโชคจนอาจหมดตัว

“ตะเกียงผีบ้า  ผีบอ อะไรจะมารักษาคนได้ พวกนี้หากินบนความทุกข์ของชาวบ้าน ไม่นานมันก็ฉิบหาย  เงินทองที่เสียไปไม่ได้เสียดงเสียดายมันหรอก ขอแค่ได้ลูกสาวกลับมาเป็นผู้เป็นคนเหมือนเดิมก็พอใจแล้ว” เสียงก่นด่าอย่างโกรธแค้นของของคุณลุงท่านหนึ่งในอำเภอโคกเจริญ ถูกถ่ายทอดผ่านมาทาง เภสัชกรภูริทัต ทองเพ็ชร เภสัชกรประจำโรงพยาบาลโคกเจริญ จังหวัดลพบุรี “ลุกสาวลุงแกไปทำงานย่านนวนคร ระหว่างนั้นได้หลงไปเข้าไปอบรมที่บริษัทย่านพระรามเก้าเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายขายตะเกียงบำบัดโรค หลังจากอบรมไม่นาน ก็กลับมาคะยั้นคะยอให้พ่อแม่เข้ารับการอบรมด้วย แต่เมื่อไม่สำเร็จ เธอกับเพื่อนก็พากันมาหาแกที่บ้าน พร้อมทั้งนำตะเกียงบำบัดโรคมาจุดให้แกและภรรยาทดลองดมควัน” “ตะเกียงนี้สามารถรักษาได้สารพัดโรค ทั้งมะเร็ง  เบาหวาน  ความดัน  โรคที่หมอโรงพยาบาลรักษาไม่หาย  ตะเกียงนี้เอาอยู่ เพื่อนลูกสาวบรรยายสรรพคุณ แต่หลังจากสูดดมควันไปชั่วครู่  ภรรยาของแกกลับเกิดอาการเวียนหัว และ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง  แกจึงรีบโทรติดต่อหลานชายซึ่งเป็นตำรวจในพื้นที่ให้มาดูว่าการกระทำแบบนี้เข้าข่ายหลอกลวงผิดกฎหมายหรือไม่ ทำให้เพื่อนของลูกสาววิ่งหลบหนีไป ส่วนลูกสาวแกยังยืนยันที่จะเอาเงิน 2 แสนบาทจากแกเพื่อไปซื้อตะเกียงบำบัดโรค และยังจะหาสมาชิกรายอื่นมาซื้ออีก” “ลุงแกเล่าว่า ลูกสาวบอกว่าหากหาสมาชิกใหม่มาซื้อตะเกียงบำบัดโรคราคา 2 แสนบาทนี้ได้สำเร็จ  จะได้เงินส่วนแบ่งจากบริษัท  46,000 บาท  สุดท้ายแกจะได้มีรถคันใหญ่ๆ  มีบ้านหลังใหญ่ๆ  ให้พ่อแม่ ได้อยู่อย่างสบาย” “สุดท้ายลูกสาวแกก็แอบขโมยโฉนดที่ดิน 1 ไร่ ไปขายและจำนอง ได้เงินมาประมาณ 2 แสนกว่าบาทและได้ให้บริษัทไปทั้งหมด แต่ผลที่ได้กลับได้ความสูญเสียตอบแทนกลับมา  ต้องคอยวิ่งหลอกผู้คนให้ซื้อตะเกียงบำบัดโรค  ไม่มีแม้เงินที่จะกินข้าว  ลูกสาวแกทนอยู่ในวังวนแชร์ตะเกียง อยู่ 6 เดือน ในที่สุดจึงตัดสินใจออกจากวังวนที่เลวร้ายนี้ และหมดหนทางที่จะเอาที่ดินกลับคืนมา นี่ยังมีคนในหมู่บ้านอีกประมาณ 10 กว่าราย ที่ถูกหลอกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้อย่างไม่มีวันถอนตัวได้  จนกว่าทรัพย์สมบัติจะหมด  ” “ยังมีอีกหลายรายนะครับ ที่อำเภอพิมาย โคราช ก็มีคนหลงเป็นเหยื่อแชร์ตะเกียงแบบนี้ เท่าที่ทราบเสียที่นา หมดเนื้อหมดตัว ไปตามๆ กัน” เภสัชกรภูริทัต เล่าเรื่องราวอย่างอ่อนใจ   บทเรียนแสนแพงของแชร์ตะเกียงบำบัดโรค คงไม่ใช่แค่การหลอกลวงขายผลิตภัณฑ์สุขภาพเท่านั้น มันเข้าข่ายการต้มตุ๋นคนซื่อๆ ให้หลงเป็นเหยื่ออย่างน่ากลัว ใครพบเห็นรีบแจ้งตำรวจจัดการได้เลยครับ

อ่านเพิ่มเติม >