ฉบับที่ 177 อยากขาวแบบสยอง ขอเชิญลองสบู่คลอรีน

 “ขาหนีบ ตัวโคตรดำ ต้องลอง ก้อนเดียวเอาอยู่ ขาวสะอาดอย่างปลอดภัย เด็กห้าขวบก็ยังใช้ได้” ข้อความโฆษณาสบู่ที่แชร์กันว่อนในอินเตอร์เน็ต กระตุ้นความสนใจของคนที่กระหายอยากผิวขาวได้มาก แต่ที่น่าสนใจคือ สบู่ชนิดนี้มันมีอะไรดีหรือ ผู้ขายถึงบอกว่าใช้แล้วขาวจริง และยังอ้างว่าปลอดภัยเมื่อนำมาใช้ในเด็กอีกด้วย ผมพยายามติดตามหาข้อมูลสบู่ชนิดนี้ในจังหวัด ก็ยังไม่พบว่ามีการขาย แต่เมื่อลองเข้าไปค้นในอินเตอร์เน็ตกลับพบว่า มีการโฆษณาสบู่ชนิดนี้มากมาย สบู่ชนิดนี้ใช้ชื่อว่า “สบู่คลอรีน”  ยิ่งสงสัยหนักขึ้นไปอีก เพราะเท่าที่ทราบคลอรีนเป็นสารเคมีที่ใช้ฆ่าเชื้อโรค และมีผลในการฟอกสี  ซึ่งปกติจะใช้กับสิ่งของ เช่น น้ำยาฟอกขาว แต่กับผิวหนังอันบอบบางของมนุษย์  ยังไม่เคยมีการนำมาให้ใช้ เพราะน่าจะเกิดอันตรายต่อผิวหนัง   หลังจากนั้นไม่กี่วัน  ก็เกิดกระแสที่ผู้คนพูดถึงกันมาในโลกอินเตอร์เน็ต มีการแชร์ขายทางออนไลน์กันมาก  จนในที่สุดทีมข่าวโทรทัศน์ช่อง 3 ได้นำสารคลอรีนไปให้อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ทดสอบ จึงพบค่าความเป็นกรด-ด่าง ของสารคลอรีนที่นำมาทดสอบนั้น ใกล้เคียงกับค่าความเป็นกรด-ด่าง ในสบู่คลอรีน ที่แชร์ขายในโลกออนไลน์  โดยมีค่าความเป็นกรดมากถึง 4.2  ซึ่งเป็นค่าที่สามารถกัดผิวคนให้ขาวได้ แต่ที่น่ากลัวคือ มันจะทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังและยังระคายเคืองกัดเยื่อบุตาอีกด้วย และในแง่วิชาการยังเป็นห่วงว่า หากใช้ต่อเนื่องไปนานๆ นี้คลอรีนอาจจะเร่งอนุมูลอิสระในร่างกายสะสมเป็นเวลานาน เสี่ยงเกิดโรคมะเร็งได้ ไม่ใช่แค่การทดลองทางวิทยาศาสตร์ในห้องแลบเท่านั้น  ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนังยังได้ออกมาเตือนว่า “โดยทั่วไปแล้วคลอรีนจะมีฤทธิ์กัดกร่อนมาก หากนำมาใช้กับผิวหนังก็จะเกิดระคายเคือง และหากมีความเข้มข้นสูงก็อาจเกิดแผลไหม้ได้ สารคลอรีนที่ผสมในสบู่คาดว่าจะเป็นสารแคลเซียมไฮโปคลอไรท์ ซึ่งมีฤทธิ์รุนแรงกว่าและมีการยืนยันว่าเป็นสารก่อมะเร็งในสัตว์ จึงแนะนำว่าไม่ควรใช้สบู่ดังกล่าว”   ข้อมูลมันเสี่ยงขนาดนี้ คงแทบไม่ต้องถามต่อเลยว่า ควรจะใช้ต่อหรือเลิกใช้กันดีกว่ากัน และก็คงไม่ต้องมาถามอีกว่า ในเด็กห้าขวบที่ผิวบอบบางกว่าผู้ใหญ่ ยังจะใช้ได้อย่างปลอดภัยอย่างที่โฆษณาหรือไม่ (หรือเด็กห้าขวบมันจำเป็นจะต้องให้ขาวไปขนาดไหนกันนี่) หากผู้คนยังกระหายความขาวไม่หยุดหย่อน เชื่อว่าอีกไม่นานก็คงจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาให้คนกระหายความขาวได้เสี่ยงกันอีก ท่องให้ขึ้นใจเลยนะครับ สบู่จัดเป็นเครื่องสำอางตามกฎหมาย จะต้องผลิตโดยไม่มีส่วนประกอบของสารอันตราย โดยผู้ผลิตจะต้องมายื่นเพื่อขอเลขรับแจ้งจากหน่วยงานสาธารณสุข และเมื่อได้รับตัวเลขดังกล่าวแล้วจะ ต้องนำไปแสดงบนฉลากด้วย หรือหากสบู่ชนิดใดมีส่วนประกอบที่เข้าข่ายเป็นยา ก็ต้องขอขึ้นทะเบียนเป็นยาด้วย ซึ่งก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายยาด้วยเช่นกัน  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 176 ออกซิเจนไม่ได้มีไว้แค่หายใจ (แต่มีไว้ให้เสียสตางค์ด้วย)

ผมได้รับโทรศัพท์สอบถามจากผู้บริโภครายหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า เขาได้รับการชักชวนจากเพื่อนสนิทซึ่งเป็นสมาชิกเครือข่ายขายตรงแห่งหนึ่ง แนะนำผลิตภัณฑ์เสริมออกซิเจน(เป็นของเหลวใส่ขวดประมาณ 30 มิลลิลิตร) ให้เขาลองนำไปรับประทาน  แต่ไม่ได้ให้ลองฟรีนะครับ ค่าลองครั้งนี้ราคา 2,500 บาท  โดยเพื่อนที่ขายให้เขาอ้างว่าผลิตภัณฑ์เสริมออกซิเจนนี้ จะสามารถเติมออกซิเจนให้กับร่างกายได้  หากรับประทานประจำแล้วจะไม่เป็นโรคมะเร็ง(เจ้าของแบรนด์เป็นบุคลากรทางการแพทย์นำเข้ามาจากอเมริกา) ผู้บริโภคท่านนี้เห็นท่าไม่น่าเป็นไปได้ (แต่ดันเสียเงินไปแล้ว) จึงโทรศัพท์มาสอบถาม ผมเข้าไปสืบค้นข้อมูลของผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ในอินเตอร์เน็ต โดยเริ่มจากเว็ปไซต์ของบริษัทที่จำหน่าย พบว่าเป็นบริษัทขายตรงแห่งหนึ่ง มีผลิตภัณฑ์หลายชนิดจำหน่าย รวมทั้งผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ด้วย เมื่ออ่านรายละเอียดก็บรรยายสรรพคุณไม่มาก บอกว่าช่วยในการเติมออกซิเจนให้ร่างกาย พร้อมเติมเต็มสารอาหาร 129 ชนิดที่ร่างกายต้องการ  เพราะการรับประทานอาหารในแต่ละวัน อาจได้สารอาหารไม่ครบ วิธีรับประทาน  ให้หยดผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ จำนวน 8 หยดลงในน้ำหรือน้ำผลไม้หนึ่งแก้ว ดื่มวันละ 2 – 3 ครั้ง ดูไปแล้วก็ไม่ได้โฆษณาสรรพคุณมหัศจรรย์ อย่างที่ผู้บริโภคสอบถามแต่เมื่อผมลองไปค้นข้อมูลในแหล่งต่างๆ ในอินเตอร์เน็ต กลับพบว่าผลิตภัณฑ์เสริมออกซิเจนชนิดนี้ มีการโฆษณาในที่อื่นๆ อีกมาก และโฆษณาอย่างเกินจริงมากกว่าในเว็บของบริษัทด้วยซ้ำ  เช่น บอกว่าเป็นการเพิ่มออกซิเจนให้ร่างกาย ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ทำให้เลือดมีสภาวะปกติ เหมาะมากสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดและโรคหัวใจ ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด โดยอ้างว่าเมื่อร่างกายมีออกซิเจนมากขึ้นก็จะแข็งแรงมากขึ้น  ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ชนิดนี้คือ  สารละลายแร่ธาตุ 27% กรดอะมิโน 8%  น้ำส้มสายชู หมักจากข้าว 6%  สารสกัดจากจมูกข้าวสาลี 4% มีการระบุเลข อย.ชัดเจน ซึ่งแสดงว่ามันเป็นอาหาร แต่ก็โอ้อวด บรรยายสรรพคุณซะเข้าข่ายยา แถมเป็นยาผีบอกที่ไม่มีหลักฐานอะไรพิสูจน์ด้วยซ้ำ อย่างนี้ก็ผิดกฎหมายแน่นอน ในยุคที่โลกเชื่อมโยงกันด้วยอินเตอร์เน็ต โอกาสที่ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายจะถึงตัวผู้บริโภคได้เร็วขึ้น ผู้บริโภค อย่าเพิ่งผลีผลามเชื่อข้อมูลที่เห็น  ให้ยึดหลวงพ่อเอ๊ะไว้ก่อน “เอ๊ะ!จริงหรือ?” , “เอ๊ะ!เป็นไปได้หรือ?”, “เอ๊ะ!หลอกฉันหรือ?”  หลังจากนั้นสติมันจะมา  แล้วรีบใช้ประโยชน์จากอินเตอร์เน็ตสืบค้นข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ต่อไปเลย และถ้าเจอพิรุธก็รีบใช้อินเตอร์เน็ตร้องทุกข์ไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาโดยด่วน อย.เขาให้ร้องทุกข์ได้ฟรีครับ ไม่ต้องเสียสตางค์ 2,500 บาทแบบผลิตภัณฑ์เสริมออกซิเจนด้วยครับ  ส่วนใครอยากได้ออกซิเจนเยอะๆ ขอแนะนำให้สูดหายใจเข้าให้ลึกๆ แค่นี้ก็ได้ออกซิเจนเต็มปอดครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 175 อ้างวัว อ้างควาย เพื่อขายของ

เมื่อกระแสรักสุขภาพกลับมาบูมอีกครั้ง  น้ำคลอโรฟิลล์ที่เลิกฮิตไปนาน  จึงกลับมาผงาดอีกครั้ง  คราวนี้เจาะตลาดคนรักสุขภาพ  เชียร์ให้พกเป็นขวดไว้ดื่มหลังออกกำลังกาย  มีทั้งชนิดผงละลายน้ำ  ชนิดเป็นของเหลวเข้มข้น  อ้างว่าเป็นคลอโรฟิลล์ บริสุทธิ์100% ให้ผู้ซื้อนำไปผสมกับน้ำ โดยใช้เพียง 1 มิลลิลิตรผสมกับน้ำ 1.5 ลิตร ดื่มก่อนเข้านอน และตอนตื่นนอนด้วยตัวเองขึ้นทะเบียนเป็นอาหาร ดันอยากจะโฆษณาจนตัวสั่นว่ารักษาโรคได้ แต่ก็เกรงว่าจะโดนจับ ก็เลยอ้อมๆ แอ้มๆ กระมิดกระเมี้ยนเลี่ยงว่า “คลอโรฟิลล์ไม่ใช่ยานะ ตัวเราเป็นสารอาหารที่ได้จากใบไม้” แล้วอ้างต่อไปว่า “คลอโรฟิลล์เป็นสารอาหารที่สมบูรณ์ที่สุด  ลองดูซิ ช้าง ม้า วัว ควาย สัตว์เหล่านี้กินหญ้ากับน้ำเท่านั้น ทำไมมันตัวใหญ่ แข็งแรงกล้ามเนื้อเป็นมัด เพราะหญ้าที่มันกิน คือคลอโรฟิลล์นั่นเอง” ที่เด็ดกว่านั้น ดันบอกอีกว่า “เคยเห็นหมาเห็นแมวกินหญ้าบ้างไหม เวลาหมาแมวมันป่วยมันถึงจะกินหญ้า เพื่อให้มันอาเจียนออกมา นั่นแหละ มันกินหญ้าเพื่อขับสารพิษออกมา และที่สำคัญ ในหญ้าก็มีคลอโรฟิลล์นั่นไง” ผมเห็นโฆษณาแบบนี้ก็ได้แต่อนาถใจ จะหลบเลี่ยงกฎหมาย แต่ดันใช้วิธี อ้างช้างม้าวัวควาย หมาๆ แมวๆไปเรื่อย ผมคิดว่าคงไม่มีใครหลงเชื่อ  ที่ไหนได้ มันดันเล่นแฝงอวดอ้างสรรพคุณต่ออีก คราวนี้มาเป็นชุด เช่น “คนเลือดจางเลือดน้อยไม่ต้องกลัว ดื่มคลอโรฟิลล์แล้วมันจะเปลี่ยนเป็นเม็ดเลือดได้ทันที ถ้าเวียนหัวเมื่อเริ่มดื่มใหม่ๆไม่ต้องตกใจ มันคืออาการที่คลอโรฟิลล์กำลังไปสร้างกระดูก ส่วนคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เบาหวาน โรคไต เลือดข้น เนื่องจากมีสารเคมีจากยาของโรงพยาบาลที่ได้รับมานาน ให้ดื่มน้ำคลอโรฟิลล์ขจัดไขมัน ขจัดน้ำตาล ขับพิษสารเคมีออกจากร่างกาย” ยังไม่หมด ยังอ้างไปถึงผลการรักษา อัมพฤกษ์ อัมพาต เกาต์ ไทรอยด์ ไซนัส สะเก็ดเงิน ต้อเนื้อ ต้อลม ฯลฯ จนหลายคนหลงเชื่อ บางคนเอาไปให้ทารกดื่มแทนนมแม่อีกด้วยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเคยออกมาเตือนประชาชนว่า อย่าตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อคำโฆษณาเชิญชวนที่เกินจริงเหล่านี้เพราะยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าได้ผลจริง  เคยมีการวิจัยพบว่าการบริโภคคลอโรฟิลล์อาจจะทำให้เกิดอาการแพ้ มีผื่นคัน ลิ้นเปลี่ยนสีเป็นเหลืองหรือดำ และยังทำให้สีของปัสสาวะและอุจจาระเปลี่ยนเป็นสีเขียวได้ หากรับประทานมากเกินวันละ 450 มิลลิกรัม ก็อาจจะทำให้ไตทำงานหนักและส่งผลระยะยาวในอนาคตได้ หนำซ้ำกุมารแพทย์ยังออกมาเตือนสำทับอีกว่า “โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี ที่อวัยวะภายในยังทำงานไม่เต็มที่ ห้ามกินเด็ดขาด เพราะอาจเป็นอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้”ผู้ประกอบการรายใดที่โฆษณาผลิตภัณฑ์เกินจริง โอ้อวดสรรพคุณ จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ใครพบเห็น รีบสะกิดเจ้าหน้าที่ดำเนินการเลยครับ อย่าปล่อยให้โฆษณาหลอกลวง ล้วงเงินจากกระเป๋าแถมเอาเราสุขภาพไปเสี่ยงอีกเลย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 174 สบู่มีไว้ถู หนูหนูอย่าถูกหลอก

หน่วยงานของผมเพิ่งจัดกิจกรรม อย.น้อย ปีนี้เราเน้นประเด็น “เชื่อมโยงเครือข่าย เตือนภัยสุขภาพ” เมื่องานเลิก อาจารย์ท่านหนึ่งเดินมาหาผม เปิดภาพจากสมาร์ทโฟนพร้อมให้ข้อมูลว่า “เดี๋ยวนี้เด็กๆ เขานิยมใช้สบู่ชนิดนี้ ซื้อทางเน็ตมาใช้กันมาก เห็นเด็กๆ บอกว่าใช้แล้วขาวจริงๆ” ผมตามไปค้นข้อมูลต่อในอินเตอร์เน็ต พบโฆษณาสบู่ชนิดนี้ (ซึ่งตั้งชื่อให้คล้ายผงซักฟอก โอโม่พลัส) ราคาก้อนละ 50 บาท ในภาพระบุข้อความว่า “ฟอกผิวขาวเนียนใส ขาวทะลุมิติ เป็นสบู่ 5 สี จาก ทับทิม (ผิวขาวใส ลดรอย)  องุ่น (คอลลาเจน ผิวเต่งตึง กระชับ) เลมอน กีวี่ (ต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดสิว) สับปะรด วิตามินซี (ผลัดเซลล์ผิว ขาวกระจ่างใส) และกลูต้าน้ำนม (ผิวขาวเนียนนุ่ม) ฟอกให้ทั่วตัว ทิ้งไว้ 3-5 นาที แล้วล้างออก ใช้เป็นประจำ เช้า-เย็น” ผมพยายามเอาหลักวิชาการมาตรวจสอบว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ถูสบู่แล้วผิวจะขาววอกอย่างที่โฆษณา แต่ยังไม่ทันไร ก็ดันไปพบโฆษณาสบู่อีกชนิดหนึ่ง“สบู่เซลลูไลท์ ลดไขมันส่วนเกิน ลดหน้าท้องเร่งด่วน ลดพุง ลดหุ่น ลดพุง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากสมุนไพรธรรมชาติ ช่วยสลายไขมัน บริเวณใต้ผิวหนัง  ปัญหาผิวเปลือกส้ม และยังช่วยกระชับสัดส่วน มีวิตามินอีเพิ่มความกระชับของผิว ลดเซลลูไลท์ได้ดีเมื่อใช้เป็นประจำและต่อเนื่อง เห็นผลแน่อน” โฆษณายังอ้างว่า สบู่ของตนเองผลิตจากสาหร่ายในทะเลน้ำลึก ผสมน้ำแร่ และพริกไทย ประสิทธิภาพล้ำหน้าด้วยเนื้อสบู่นาโน  ซึ่งจะเข้าแทรกซึมเพื่อขจัดไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิวให้มีขนาดเล็กลง ทำให้ชั้นผิวภายในเรียบเสมอกัน สาหร่ายจากทะเลลึกมีส่วนช่วยในการจับไขมัน และพริกไทยจะออกฤทธิ์ช่วยเผาผลาญได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่เกิดอาการแสบร้อนใดๆ สามารถแทรกซึมลงสู่ชั้นใต้ผิวหนังได้อย่างรวดเร็วขณะฟอก ตรงเข้าทำงานในการช่วย เผาผลาญและสลายไขมัน เซลล์ลูไลท์ ที่สะสมมานานให้สลายตัวได้อย่างรวดเร็ว กระตุ้นให้ไขมันมีการแตกตัวและกระจายตัวได้ดี โดยเฉพาะ หน้าท้อง จะเห็นผลได้ดีที่สุด ใช้ขณะอาบน้ำ ควรถูนวด วนๆ บริเวณที่ต้องการ ทิ้งไว้ 2 นาที แล้วจึงล้างออก (เอาล่ะซิ ทั้งสาหร่าย ทั้งพริกไทย และยังนาโนอีกเอากันเข้าไป แล้วยังบรรยายกลไกการทำงานแบบอ่านแล้วยังตะลึง) อันที่จริง เครื่องสำอางตามกฎหมาย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบ ต่อส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เพื่อความสะอาด ความสวยงาม ไม่สามารถอ้างว่า วินิจฉัย บำบัด บรรเทา รักษา หรือป้องกันโรค หรือความเจ็บป่วยได้ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ กฎหมายยังกำหนดให้ผู้ผลิตเครื่องสำอาง ต้องมาแจ้งเพื่อขออนุญาต และเมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ต้องแสดงเลขที่ใบรับแจ้งบนฉลากด้วย โดยเลขที่ใบรับแจ้ง จะประกอบด้วยตัวเลข 10 หลัก แต่ไอ้เจ้าสบู่ทั้งสองชนิดนี้ ตัวมันเองเป็นเครื่องสำอางแน่นอน แต่ดันแอบมาอวดอ้างสรรพคุณในลักษณะเป็นยา ผมพยายามเพ่งบนฉลากในรูปก็ไม่เห็นเลขที่ใบรับแจ้งบนฉลากแต่อย่างใด ซึ่งถ้าไม่ตรงตามที่กฎหมายกำหนด สบู่ทั้งสองชนิดนี้น่าจะผิดกฎหมายแน่นอน ผลิตภัณฑ์สุขภาพสมัยนี้ มันมีขายมากมายยังกับดอกเห็ด หากเราเชื่อมเครือข่ายผู้บริโภคได้ ก็จะเกิดเครือข่ายที่จะเป็นหูเป็นตา ช่วยเจ้าหน้าที่ในการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกต้อง ดังเช่น เครือข่าย คุณครูและ อย.น้อย ที่มาแจ้งข้อมูลเรื่องสบู่ให้ผมทราบไงครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 173 ยอมเตี้ยแบบฉลาด หรืออยากสูงแบบพลาดเสี่ยงภัย?

เครื่องเพิ่มความสูง แก้ปวดหลัง กระดูกทับเส้น ขาเรียว รักษาอาการหมอนรองกระดูกทับเส้น ซื้อวันนี้โปรโมชั่นฟรี สายรัด มูลค่า 1200 บาท ทั้งเซตยุคนี้ผู้คนหันมาออกกำลังกาย อุปกรณ์ออกกำลังกายประจำบ้านขายดีมากขึ้น วันหนึ่งผมได้รับเอกสารโฆษณาสินค้าชนิดนี้ส่งมาแนะนำถึงตัว ผู้จำหน่ายแนะนำว่ามันคืออุปกรณ์เพิ่มความสูง แถมยังบอกอีกว่าเป็นวิธีดีที่สุดสำหรับการเพิ่มความสูงให้ได้ภายใน 1 เดือน , 3 เดือน หรือ 6 เดือน โดยจะให้ผลสูงขึ้น ตั้งแต่ 2 เซนติเมตร ถึง 10 เซนติเมตร เครื่องนี้ใช้งานง่าย สามารถทำเองได้ที่บ้านเพียงวันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 10-15 นาที เป็นการเพิ่มส่วนสูงโดยไม่ต้องเสี่ยงเจ็บตัว หรือเสี่ยงใช้ยาราคาแพง หรือศัลยกรรมต่อกระดูกขา หรือเข้าคลินิก และยังแนะนำแบบขยี้ใจผมอีกว่า ถึงแม้จะอายุมากแล้วจนกระดูกปิด ก็ยังคงสามารถเพิ่มความสูงได้ (ชักสับสนว่าเหตุที่มาแนะนำผมน่ะ เพราะอายุมากหรือตัวเตี้ย หรือทั้งสองอย่างกันแน่..(ฮา)นอกจากเรื่องการเพิ่มความสูงแล้ว ในเอกสารยังแจ้งว่าอุปกรณ์นี้มีประโยชน์อีกหลายอย่าง เช่น ใช้ รักษา บรรเทาอาการปวดหลัง หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท โดยไม่ต้องผ่าตัด หรือดัดกระดูกที่โค้งงอให้เข้าที่ อ้างว่าปลอดภัย 100% เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงพยาบาล คลินิกเพิ่มความสูง และคลินิกจัดกระดูก นอกจากนี้ยังอ้างว่าจะทำให้ขาตรงเรียวเล็กขึ้น สวยขึ้น สูงขึ้น หายปวดหลัง หายปวดขา หายปวดคอ หรืออาการออฟฟิตซินโดรม โดยในเอกสารมีการแนะนำให้ผมตามเข้าไปดูวิดีโอที่เผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต เมื่อผมเข้าไปดู ก็พบว่าเป็นวีดีโอที่มีดาราชายวัยรุ่นมาบอกว่าตนเองก็ใช้จนสูงเพิ่มขึ้นถึง 10 เซนติเมตร และในวิดีโอมีบุคลากรมาแนะนำว่ากระดูกของคนเรานั้นจะมีลักษณะเป็นข้อๆ เรียงต่อกันไปเป็นจำนวนกว่า 30 ข้อต่อ ถ้าหากข้อต่อแต่ละข้อยืดออกเพียง 0.1 เซนติเมตรแล้ว กระดูกอ่อนที่อยู่ระหว่างข้อต่อกลายเป็นกระดูกจริงๆ เราจะสูงขึ้นได้มากถึงกว่า 3 เซนติเมตร เครื่องเพิ่มความสูงนี้สามารถช่วยได้ เพราะการยืดกระดูกซึ่งเหมือนกับการกระโดดเหยียดตัวอยู่ตลอดเวลาระหว่างใช้งานนั่นเอง ผมอ่านเอกสารและดูวิดีโอก็น่าจะเคลิ้ม แต่สติที่ยังมีทำให้ผมเริ่มพิจารณารายละเอียดต่างๆ ดูจากรูปร่างของอุปกรณ์แล้ว ก็เหมือนเครื่องออกกำลังกายทั่วๆ ไป ซึ่งไม่น่าจะมีผลต่อการเพิ่มความสูงในทุกวัยได้อย่างที่กล่าวอ้าง แต่ถ้าหากอุปกรณ์ชนิดนี้มีการใช้ในโรงพยาบาล คลินิกเพิ่มความสูง หรือคลินิกจัดกระดูกจริง อุปกรณ์ชนิดนี้ยิ่งน่าจะเข้าข่ายเครื่องมือแพทย์ด้วยซ้ำ ซึ่งผมดูในเอกสารแล้วก็ไม่มีการแจ้งว่าเป็นเครื่องมือแพทย์แต่อย่างใด นอกจากนี้ถ้ามีการใช้ในสถานที่ที่กล่าวอ้างจริง สถานที่ดังกล่าวจะมีบุคลากรที่มีความรู้เป็นผู้แนะนำควบคุมดูแลการใช้ การมาเร่ขายตรง โดยบอกว่าสามารถใช้ได้เองที่บ้าน น่าจะเกิดความเสี่ยงต่อร่างกายได้ โดยเฉพาะกระดูกสันหลัง สินค้าในยุคนี้มันมีอะไรแปลกๆ มาจำหน่ายเยอะ อย่าเพิ่งรีบหลงเชื่อนะครับ ให้เอ๊ะ!ไว้ก่อน แล้วลองพิจารณาด้วยเหตุผล จะได้ไม่หลงเป็นเหยื่อเสียทั้งเงินและเสี่ยงเสียสุขภาพนะครับ ตอนนี้ผมได้แจ้งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ตรวจสอบแล้ว 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 172 ไปทัวร์ อย่าเสียที

เชื่อว่าผู้อ่านวารสารฉลาดซื้อหลายท่านคงมีโอกาสไปเที่ยวต่างประเทศกับทัวร์ต่างๆ กันมาแล้ว นอกจากสถานที่น่าสนใจตามโปรแกรมทัวร์แล้ว ยังมีสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ทัวร์มักจะพาเราไปเยี่ยมชม(ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ขอร้องขอ หรือบางครั้งก็อาจจะร้องขอ คือร้องขอให้ตัดออกจากโปรแกรมไปเลย) สถานที่ที่ผมกำลังพูดถึงคือ ร้านขายผลิตภัณฑ์สุขภาพนั่นเอง เมื่อเราได้หลงตามเข้าไปแล้ว หลังเผชิญพิธีกรรมอันแยบยลสุดท้ายลูกทัวร์หลายคนก็กลายเป็นลูกเท คือมือไม้อ่อนเทเงินออกจากกระเป๋าเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์กันระนาว กว่าจะรู้ตัวสติกลับคืนร่าง ก็เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วพบว่าเงินในกระเป๋ามันพร่องแถมผลิตภัณฑ์ที่ซื้อมา ซึ่งก็งั้นๆ หาได้มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมสมดังคำโฆษณาไม่ ขอ ถือโอกาสนี้ “คืนสติให้คนทั้งชาติ” ไม่ให้เสียทรัพย์ช้ำทรวงโดยไม่จำเป็นดีกว่า1. เขาบอกว่า ร้านค้าสุดยอด : สถานที่แห่งนี้มักจะระบุในโปรแกรมทัวร์มาแล้ว โดยไกด์มักจะบอกว่าเป็นสถานที่บังคับของการท่องเที่ยวประเทศนั้นๆ และบางทีก็จะโน้มน้าวเพิ่มเติมให้ว่า สถานที่แห่งนี้รัฐบาลรับรองให้ด้วยนะ ไม่ใช่ร้านค้าแบกะดินกินพื้นที่ริมถนน ดังนั้นของที่มีจำหน่ายจะคุณภาพดีกว่าของริมถนน หรือในตลาด (คำว่าดีกว่าอาจหมายความว่าดีกว่าจริง แต่ไม่ได้หมายถึงมีคุณภาพสมดังคำโฆษณานะครับ)2. พนักงานฉอเลาะ พูดเพราะจับใจ : เมื่อเราโดนต้อนเข้าไปแบบต้อนหมู่แล้ว เราจะพบกับพนักงานขายใบหน้ายิ้มแย้ม ที่สำคัญคือส่วนใหญ่จะพูดภาษาไทยได้ มาทักทายกระจายรอยยิ้ม เชิญชวนให้เรารับฟังการแนะนำผลิตภัณฑ์ของเขา แถมบอกว่าไม่ซื้อไม่ว่าซะด้วย(ไม่ซื้อไม่ว่าน่ะทำจริง แต่จะมีพิธีกรรมอย่างอื่นให้เราระทวยดังต้องมนต์จนหลงซื้อในลำดับต่อไป)3. เทคนิคการขาย สลายสติ : ขั้นตอนนี้ จะเป็นพิธีกรรมสลายสติ สารพัดวิธีการที่พนักงานขายจะนำมาใช้กับเรา ตั้งแต่เอารูปหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์มาอธิบายแบบงูๆ ปลาๆ จับแพะชนแกะ บางทีก็เอาเครื่องมือสมัยใหม่มาประกอบด้วย เช่น ใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องข้อนิ้วดูเส้นเลือดฝอย แล้วโชว์ผ่านจอ ซักถามอาการและวินิจฉัยแบบทำนายว่า ถ้าเส้นเลือดเราเป็นแบบนี้จะมีความเสี่ยงโรคนั้นโรคนี้ขนาดไหน ซึ่งมักจะวินิจฉัยแบบหมูหมากาไก่ อย่างน้อยก็เฉียดกันบ้าง แถมบางครั้งพนักงานทำท่าห่วงใยจนแทบจะกรี๊ดตกอกตกใจแทนเราว่า แย่แล้ว สุขภาพเรากำลังจะแย่จงเร่งซื้อผลิตภัณฑ์เถิดจะเกิดผล เจอไม้นี้นักท่องเที่ยวบางคนก็เคลิ้มเชื่อไปเกือบทั้งตัวแล้ว 4. ไกด์เหลือทน เล่ห์กลผสมโรง : เคยไปบางทัวร์ที่ลูกทัวร์ล้วนมีสติ ไม่มีใครยอมควักสตางค์ซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพแม้พนักงานขายจะพูดจนปากเปียกปากแฉะแล้ว จนไกด์ถึงกับทนไม่ไหว กระโจนใส่ทันที อย่าคิดว่ามาช่วยเรียกสติเรานะ ส่วนใหญ่จะโน้มน้าวให้ซื้อด้วยซ้ำ(เพราะบางทีเขาจะได้เปอร์เซ็นต์หรือของกำนัลจากยอดขาย)5. อุปาทานหมู่ หรือจะสู้สติ : ลูกทัวร์ทั้งหลายพึงตั้งสติให้ดีนะครับ จากประสบการณ์ที่เคยเจอ กรณีที่ผู้ขายอ้างเครื่องหมายรับรองคุณภาพทั้งหลาย ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั้งนั้น หมายความว่า “มันไม่ใช่ยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ” คิดง่ายๆ ถ้าได้ผลจริงพลเมืองในประเทศนี้คงไม่เจ็บไม่ป่วย โรงพยาบาลคงเอาเข้าไปใช้เป็นยาในโรงพยาบาลกันแล้ว ... ยังไงตั้งสติให้ดีนะครับ ถ้าไม่ชัวร์ท่องไว้ในใจ “ไม่ควรเสี่ยงซื้อ” ไปทัวร์อย่าเสียทีนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 171 มายา ฮือฮา ทุเรียนเทศ

ทุเรียนเทศรักษามะเร็ง ได้ถึง 12 ชนิด ต่างประเทศยอมรับแล้ว ฯลฯ” ข้อความโฆษณาสรรพคุณมหัศจรรย์ของผลิตภัณฑ์ทุเรียนเทศทำนองเหล่านี้  เรามักพบเจออยู่เสมอๆ ในงานแสดงสินค้าต่างๆ ยิ่งเป็นงานใหญ่ ที่มีผลิตภัณฑ์มากมายหลายชนิดมาแสดง นอกจากจะสร้างความตื่นตาแล้ว มันยังเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ผลิตภัณฑ์อีกทางหนึ่งด้วย หันไปทางไหนก็มีผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่หน่วยงานคัดสรรมาออกร้านด้วยนี่นา ทุเรียนเทศ เป็นผลิตภัณฑ์ที่กำลังฮือฮาอย่างมาก มีการเผยแพร่สรรพคุณทางยาผ่านช่องทางต่างๆมากมาย สรรพคุณที่นำมากล่าวอ้างมีมากมาย ทั้งบำรุงหัวใจ ป้องกันความดันสูง และเป็นที่กล่าวถึงอย่างมากคือกำจัดเซลล์มะเร็ง โดยมีการอ้างอิงผลงานวิจัยจากต่างประเทศ ซึ่งบางสถาบันก็เป็นชื่อแปลกๆ ด้วยซ้ำ ล่าสุด ผมไปเดินในงานแสดงสินค้างานหนึ่ง พบว่ามีการเผยแพร่สรรพคุณของใบทุเรียนเทศว่า สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ดีกว่ายาเคมีบำบัด และมีผลิตภัณฑ์จากใบทุเรียนเทศวางจำหน่ายรูปแบบต่างๆ เช่น แคปซูล ชาชง รวมถึงแนะนำให้ใช้ชาชงใบทุเรียนเทศร่วมกับการรักษาด้วยเคมีบำบัด แต่ก่อนจะตัดสินใจเชื่อข้อมูลดังกล่าว สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ออกมาเตือนผู้บริโภคให้ตั้งสติก่อนนำมาบริโภคว่า มีงานวิจัยของต่างประเทศพบว่า ในใบของทุเรียนเทศมีสารแอนโนนาซิน ซึ่งเป็นสารที่มีพิษต่อเซลล์ประสาท และหากบริโภคปริมาณมากจะมีผลกระทบต่อการทำงานของไตได้ ขณะนี้สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กำลังรวบรวมใบทุเรียนเทศ มาศึกษาความเป็นพิษเบื้องต้นทางห้องปฏิบัติการ  เพราะการจะนำสมุนไพรทุเรียนเทศมาใช้บำบัดโรคมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ต้องผ่านกระบวนการศึกษาวิจัยให้ปลอดภัยเสียก่อน ไม่เช่นนั้นจะยิ่งเป็นผลเสียต่อผู้ป่วย การศึกษาวิจัยมีหลายขั้นตอน เช่น ศึกษากลไกออกฤทธิ์ต่อเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง การแยกสาระสำคัญที่ออกฤทธิ์ชนิดต่างๆ ในใบทุเรียนเทศ ตลอดจนการศึกษาด้านพิษวิทยาและความปลอดภัย อันที่จริงทุเรียนเทศ ไม่ใช่ผลไม้ที่น่ารังเกียจ มันเป็นผลไม้ที่สามารถรับประทานได้  มีการนำมาแปรรูปเป็นผลไม้กวน เยลลี ไอศกรีม ในบางประเทศ เช่น มาเลเซีย เวียดนามมีการนำไปทำเป็นน้ำผลไม้ ในเม็กซิโกและโคลัมเบีย ก็เป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานและใช้ทำขนมเช่นกัน  ในแง่สารอาหาร ทุเรียนเทศมีสารคาร์โบไฮเดรตมาก โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโทส วิตามินซี และวิตามินบี   ในผล ใบและเมล็ด พบว่ามันมีฤทธิ์ทางยา มีการใช้เป็นยาสมุนไพร  เช่น มาเลเซียใช้ผลใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร   และยังพบว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้น หากเราจะบริโภคทุเรียนเทศเป็นอาหารทั่วๆ ไป ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวล แต่การนำมาใช้โดยคาดหวังผลในการรักษาโรคมะเร็ง ยังไม่มีข้อมูลยืนยันและหากไม่ระมัดระวังอาจเกิดอันตรายเพิ่มขึ้นอีกด้วย  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 170 ลูกอมคลอโรฟีลแบบนี้ คุณย่าอย่ามายิ้ม

ร้านขายผลิตภัณฑ์สุขภาพ มักจะเป็นแหล่งที่ผู้ผลิตบางรายนำผลิตภัณฑ์สุขภาพที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง มาแอบแฝงวางปะปน เพื่อจำหน่ายแก่ผู้บริโภคที่ตื่นตัวในการดูแลสุขภาพ ดังเช่น ลูกอมที่หุ้มด้วยพลาสติกสีเขียว ที่ผมได้รับแจ้งข้อมูลจากเครือข่ายเภสัชกรที่ทำงานด้านคุ้มครองผู้บริโภคกลุ่มหนึ่ง หากเป็นลูกอมธรรมดาคงไม่เท่าไหร่ แต่ลูกอมชนิดนี้ที่แสดงฉลากว่า “ลูกอมสมุนไพรย่ายิ้ม” ดันโฆษณาชัดเจนว่า “ล้างพิษ ปรับสมดุล” มีเครื่องหมาย อย. โชว์อีกด้วย แถมมีข้อความ “ทาน ศีล ภาวนา” เติมเพิ่มมาจนดูน่าเลื่อมใสมากขึ้นไปอีก ผมไม่ทราบว่าย่ายิ้มเป็นชื่อคุณย่าของใคร หรือผู้ผลิตจะบอกใบ้เป็นความนัยว่าลูกอมสมุนไพรชนิดนี้มันมหัศจรรย์พันลึก สามารถล้างพิษ ปรับสมดุล ขนาดคุณย่ายังลุกขึ้นมายิ้มหรือเปล่า แต่ที่เป็นเรื่องราวให้ต้องมาเล่าเพื่อเฝ้าระวังกัน ก็เพราะลูกอมชนิดนี้แสดงฉลากแบบมีพิรุธ เพราะฉลากไม่ถูกต้อง คือไม่มีส่วนประกอบตามแบบที่กฎหมายกำหนด บอกแต่เพียงว่ามีส่วนประกอบของสมุนไพรชนิดต่างๆ รวมทั้งมีคลอโรฟีลด้วย เล่นเอางง เพราะเจ้าคลอโรฟีลมันไม่ใช่สมุนไพร ทำไมจู่ๆ มันโผล่มาอยู่ในกลุ่มสมุนไพรแบบผิดพวกอย่างนี้ และที่ต้องรีบมาเตือนเพราะ ฉลากลูกอม ห่อละ 35 บาทนี้ ยังโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง ด้วยการแสดงข้อความ “ล้างพิษ ปรับสมดุล สุขภาพดี อารมณ์ดี ผิวพรรณดี” วิธีรับประทานก็หลากหลายแบบ อมหรือเคี้ยวอย่างน้อยวันละห้าเม็ด แต่ถ้าไม่อยากอมก็ให้นำลูกอมสิบเม็ดใส่ในน้ำร้อนหนึ่งแก้ว คนให้ละลายแล้วดื่ม หรือ ใส่ในน้ำผลไม้ปั่น หนึ่งลิตรต่อลูกอมห้าเม็ด เพื่อสุขภาพและเพิ่มรสชาติ จากข้อมูลที่น้องๆ เภสัชกรเขาช่วยสืบค้นมาให้ ลูกอมเหล่านี้เท่าที่ทราบ เป็นลูกอมขิงธรรมดาๆ แต่จะมีผู้รับจากผู้ผลิตมาขายต่อ ทำฉลากกันเอง โดยเอาเลข อย.เดิมมาเติมข้อความให้เกี่ยวข้องกับสุขภาพ มีขายตามร้านที่ขายผลิตภัณฑ์สินค้าสุขภาพ หรือร้านชีวจิตหลายแห่ง เท่าที่ทราบ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาก็เคยออกมาเตือนผู้บริโภคมิให้หลงเชื่อ ส่วนรายนี้ทราบว่า เภสัชกรจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ได้ลงไปจัดการเรียบร้อยแล้ว อุตส่าห์เข้ามาหาผลิตภัณฑ์สุขภาพในร้านสุขภาพแล้ว ยังมาเจอผลิตภัณฑ์โอ้อวดสรรพคุณเกินจริงอีก ยังไงก็ฝากผู้อ่านช่วยกันเป็นหูเป็นตา และช่วยกันเตือนผู้บริโภคท่านอื่นๆ ด้วยนะครับ คุณย่าจะได้ยิ้มแบบถูกกฎหมายเสียที

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 169 น้ำกระเทียมทะลวงหลอดเลือด

งานวิจัยหลายชิ้นบอกว่า กระเทียมเป็นพืชสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ ปัจจุบันจึงมีการนำกระเทียมมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพมากมาย ส่วนมากจะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ ส่วนที่เป็นยาก็มีบ้าง มักขึ้นเป็นยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ แต่ผลิตภัณฑ์ที่เกริ่นมาแล้วคงต้องหลีกทางให้กับผลิตภัณฑ์กระเทียมชนิดใหม่ ที่กำลังมาแรงแซงโค้ง มันคือ ผลิตภัณฑ์น้ำกระเทียมทะลวงหลอดเลือด คงไม่ต่างจากผลิตภัณฑ์สุขภาพชนิดอื่นๆ ที่ขายกันเกร่อทางอินเตอร์เน็ต ผลิตภัณฑ์น้ำกระเทียมทะลวงหลอดเลือดที่กำลังพูดถึงนี้ เปิดเนื้อหาการโฆษณาด้วยการบอกว่า ปัจจุบันนี้ผู้คนต่างประสบชะตากรรมจากปัญหาไขมัน โคเลสเตอรอลที่สะสมในร่างกายมากมาย โดยเฉพาะ โคเลสเตอรอลที่สะสมในส่วนของหลอดเลือด หลังจากนั้นก็พร่ำพรรณนาถึงคุณประโยชน์ของกระเทียมที่มีต่อร่างกาย บางส่วนก็นำมาจากผลวิจัยที่เราเคยรับรู้ แต่บางอย่างก็มาจากการบอกต่อๆ มา ที่ยังไม่มีผลวิจัยใดๆ รองรับ ผมนับไปนับมาจนตาลาย นับได้เกือบถึงห้าสิบอย่าง และตบท้ายเข้าทางการขาย โดยบอกว่า ถึงกระเทียมจะมีประโยชน์ แต่เราก็ไม่ควรกินกระเทียมสดๆ เพราะร่างกายจะดึงประโยชน์ของกระเทียมออกมาได้น้อยมาก ควรหันมาดื่มผลิตภัณฑ์น้ำกระเทียมทะลวงหลอดดีกว่า เพราะผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ผลิตโดยนำกระเทียมมาบด แล้วบ่มกับน้ำส้มแอปเปิ้ลหมักที่เรียกว่า Apple cider และน้ำผึ้ง จนได้ผลิตภัณฑ์น้ำกระเทียม ที่เมื่อดื่มเข้าไปจะได้ประโยชน์กว่ากินกระเทียมหลายเท่า (ประมาณว่าร่างกายดึงประโยชน์ไม่ได้ แต่หากมีสตางค์ก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ดึงได้ดีกว่า..เอาล่ะซิ) นอกจากนี้ยังบอกต่ออีกว่า ผลิตภัณฑ์น้ำกระทียมนี้จะช่วยทำให้ร่างกายของเราสะอาดและปลอดโรคในทุกๆ วัน เมื่อดื่มติดต่อกันนานหนึ่งเดือนให้ไปตรวจโคเลสเตอรอลและไขมันในเลือด รับรองมันจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด ตัวผมเอง เป็นคนที่สนใจประโยชน์ของสมุนไพรที่มีต่อสุขภาพมานานแล้ว กระเทียมก็เป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์มากมาย แต่การนำมาผลิตให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพ ก็ต้องผ่านกระบวนการผลิตที่สามารถเก็บรักษาคุณภาพของกระเทียมให้ได้มากที่สุด และที่สำคัญคือ “ต้องไม่กล่าวอ้างสรรพคุณเกินจริง โดยเฉพาะสรรพคุณที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้” เหตุที่ผมต้องนำมาเตือนผู้อ่านทุกท่าน ก็เพราะผลิตภัณฑ์กระเทียมบางอย่างดันโอ้อวดสรรพคุณมากมายเกินจริง จนอาจทำให้ผู้บริโภคคาดหวังและหลงเชื่อไปใช้อย่างผิดๆ หากจะเลือกใช้ขอให้ดูให้ดีก่อนว่า ผลิตภัณฑ์กระเทียมที่จะใช้นั้นได้ขออนุญาตถูกต้องหรือเปล่า ถ้ามี อย.แสดงว่าเป็นผลิตภัณฑ์กระเทียมประเภทอาหาร ไม่สามารถมาหลอกว่ามีสรรพคุณในการรักษาโรคได้ แต่ถ้ามีทะเบียนยา แสดงว่าผลิตภัณฑ์กระเทียมนั้นเป็นยารักษาโรคได้ แต่สรรพคุณในการรักษาโรคก็ต้องตรงตามที่ขออนุญาตบนฉลากด้วย จะมาโอ้อวดร้อยแปดพันเก้าจนกระเทียมกลายเป็นยาวิเศษ อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้องนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 168 ถึงเขาแก่แล้ว ฉันก็จะลัก(ใครจะทำไม)

“ในโลกนี้ไม่มีใครอยากแก่ จะเป็นอย่างไรถ้าเราได้ค้นพบวิธี หยุดความแก่ชราได้จริง คำตอบ คือ สเต็มเซลล์” ข้อความโปรยหัวโฆษณาที่กระหน่ำส่งมาทางอีเมล์หลายอีเมล์ในช่วงเวลาไล่เรียงกันนี้ คงกระตุ้นต่อมกลัวแก่ของใครหลายต่อหลายคนได้บ้าง ยิ่งมันไม่ได้ส่งแค่ข้อความเดียวตามลำพัง แต่มันยังส่งอาวุธลับกระแทกต่อมกลัวแก่ซ้ำเข้าไปอีก ด้วยรูปใบหน้าที่เปรียบเทียบระหว่างผิวหนังที่เหี่ยวย่นตามวัยกับผิวหนังที่ดูราบเรียบขึ้นมาอย่าน่าอัศจรรย์(อันที่จริงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทำแบบนี้ได้นะครับ..ฮา) ยังไม่พอครับ เจ้าโฆษณานี้มันคงกลัวคนที่กลัวแก่จะไม่ใจอ่อน มันเลยงัดเอาไม้ตายที่เด็ดเสร็จทุกรายมากระทืบซ้ำ โดยการอ้างข้อมูลที่พยายามดูน่าเชื่อถือมากขึ้น “สเต็มเซลล์ เป็นสิ่งที่สามารถซ่อมแซมร่างกาย และสร้างเซลล์ขึ้นใหม่ ในขณะที่เราอายุมากขึ้นเซลล์จะเสื่อมสภาพลง และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับเซลล์ใหม่เข้าไปทดแทน และสิ่งที่จะเข้าไปทดแทนได้นั่นก็คือ สเต็มเซลล์ (ขึ้นต้นเหมือนจะเป็นวิชาการ แต่ทำไปทำมาเหมือนทำท่าจะขายของ ลองอ่านต่อไปอีก) ดังนั้น เราจึงได้คิดค้นและพัฒนา Growth Factor Complex Technology (เอาละเหวย ใช้ศัพท์หรู ดูดีมีความขลังเข้าไว้ มันน่าเชื่อถือดี) ซึ่งจะเข้าไปฟื้นฟูและชะลอกระบวนการแก่ชรา โดย ค้นหาสเต็มเซลล์ที่ดีที่สุดในร่างกายมนุษย์ ซึ่งจะพบได้ในชั้นไขมันของมนุษย์ ด้วยการใช้ไซรินจ์พิเศษ ในภาวะปลอดเชื้อ (มันเป็นยังไงเนี๊ย ไอ้ไซรินจ์หรือเข็มฉีดยาชนิดพิเศษเนี่ย) ดึงเอาเนื้อเยื่อไขมันและสเต็มเซลล์กลุ่มที่มีความแข็งแรงออกมา (อย่ากังวลครับว่ามันคืออะไร เพราะยิ่งสงสัย ก็จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือกับเทคโนโลยีนี้ที่พิเศษมากขึ้นไปอีก) จากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการคัดแยกสเต็มเซลล์อีกครั้ง ด้วยการปั่นแยกโดยเครื่องระบบหมุนเหวี่ยงจากศูนย์กลาง จากนั้นนำสเต็มเซลล์มาเพาะเลี้ยง และให้สารอาหารเพื่อการเจริญเติบโต ในขณะที่เซลล์กำลังเติบโต เซลล์จะแบ่งตัวมากขึ้น แบบทวีคูณ ในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อเติมเต็มให้กับช่องว่างระหว่างเซลล์ที่มีอยู่ ซึ่งคล้ายคลึงกับกระบวนการที่ร่างกายใช้รักษาอาการบาดเจ็บของตัวเอง” เป็นไงครับ ถ้าชาวบ้านทั่วๆ ไปอ่านแล้วคงทึ่งกับขั้นตอนอันแสนมหัศจรรย์ของเขา ที่สามารถไปแสวงหาและดึงเอาเจ้าสเต็มเซลล์สุดเจ๋งออกมาจนได้ แล้วก็เอามาทนุถนอมเลี้ยงและเร่งให้แพร่พันธุ์แบ่งตัวเยอะๆเพื่อมาซ่อมแซมร่างกาย แต่หากใครพอมีความรู้ร่ำเรียนมาทางวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง ก็คงได้แต่กุมขมับไปว่า อะไรมันจะมหัศจรรย์ได้ขนาดนั้นเชียวหรือ เพราะเท่าที่ทราบมายังไม่มีเครื่องสำอางใดที่ได้รับอนุญาตเรื่องสรรพคุณของสเต็มเซลล์แบบที่โฆษณานี้เลยนี่นา แล้วไอ้ที่มาป่าวประกาศปาวๆ นี้มันโอเวอร์หลอกลวงเกินจริงไปหรือเปล่า คิดให้ดีก่อนตัดสินใจนะครับ จะได้ไม่ต้องมาเสียอกเสียใจคร่ำครวญเพลง “ถึงเขาแก่แล้ว ฉันก็จะลัก(สตางค์) จากกระเป๋า” นะเออ  

อ่านเพิ่มเติม >