ฉบับที่ 271 ความเคลื่อนไหวเดือนกันยายน 2566

เตือน! “อย่าซื้อขนมโรลออน” ที่ลักลอบนำเข้าไทย        3 กันยายน 2566 ภก.เลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้เปิดเผยว่า พบขนมบรรจุขวดที่มีหัวเป็นลูกกลิ้ง ที่เรียกโดยทั่วไปว่า “โรลออน” วางจำหน่ายใกล้โรงเรียน และช่องทางออนไลน์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนั้น เป็นผลิตภัณฑ์ที่ลักลอบนำเข้าไม่ได้รับอนุญาต สังเกต คือ ไม่มีฉลากภาษาไทย ไม่มีเลข อย. รวมถึงไม่ทราบส่วนประกอบหรือส่วนผสม และไม่มีผู้นำเข้า         ทางอย.จึงขอเตือนว่าไม่ควรซื้อมาบริโภค ซึ่งอาจทำให้มีความเสี่ยงได้รับอันตราย หรือใช้วัตถุกันเสีย สี วัตถุแต่งกลิ่นที่ไม่ได้รับอนุญาต พร้อมทั้งอาจมีสารปนเปื้อนจากการผลิตจากภาชนะบรรจุที่ไม่ได้มาตรฐาน อย่างไรก็ตาม ขนมที่ได้รับอนุญาตต้องมีฉลากภาษาไทยระบุข้อมูลให้ครบถ้วน  สำหรับ ผู้นำเข้าและจำหน่าย ขนมที่ไม่ขออนุญาตนำเข้ามีโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท  BTS ชี้แจงกรณีประตูรถไฟฟ้าขัดข้องไม่ยอมปิดขณะเดินทาง         จากกรณีที่มีดราม่าระบบรถไฟฟ้า BTS ขัดข้อง โดยได้มีผู้ใช้ติ๊กต๊อกบัญชี @star111042 ได้โพสต์คลิปประตูรถไฟฟ้า BTS เปิดขณะวิ่งอยู่ พร้อมแคปชันระบุว่า "เมื่อคนซวยๆ อย่างฉันมาขึ้นรถไฟฟ้า รถไฟฟ้าเลยซวยไปด้วย” ซึ่งเป็นคลิปวิดีโอที่มีประตูรถไฟฟ้าเปิดค้างไว้ ขณะเดินทางระหว่างสถานีบางจาก-สถานีปุณญวิถี หลังเกิดเหตุ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จึงได้ออกมาชี้แจงกรณีประตูรถไฟฟ้าบีทีเอสขัดข้อง ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากระบบความปลอดภัยมีสัญญาณแจ้งเตือนประตูรถไฟฟ้าขัดข้อง เจ้าหน้าที่ควบคุมรถไฟฟ้า (TC) จึงรีบติดต่อเจ้าหน้าที่ห้องศูนย์ควบคุม (CCR) และประสานเจ้าหน้าที่ไปยืนดูแลบริเวณประตูที่ขัดข้อง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้โดยสารเข้าใกล้ประตู พร้อมทั้ง ได้ดำเนินการแก้ไขประตูดังกล่าวที่สถานีถัดไป        อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบขบวนรถไฟฟ้าดังกล่าว และประตูที่ขัดข้องอย่างละเอียด เพื่อหามาตรการป้องกันเพิ่มเติม ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำขึ้นอีก อย่าซื้อ นมแม่แช่แข็งให้ลูกกิน         20 กันยายน 2566 เพจเฟซบุ๊ก Drama-addict ได้โพสต์เตือนกลุ่มเลี้ยงลูกกลุ่มหนึ่ง ที่มีการโพสต์ ซื้อ-ขาย นมแม่แช่แข็ง โดยมีการระบุข้อความว่า "มีคนไปโพสต์ในกลุ่มเลี้ยงลูกกลุ่มหนึ่ง บอกว่ามีนมแม่แช่แข็งเหลือ จะขาย คนก็แชร์ไปหลายพันละ อันนี้เตือนแม่ๆ ว่า นมแม่นี่ ของใครของมัน ไม่ควรเอานมแม่คนอื่นมาป้อนให้ลูกตัวเอง ถ้าไม่ผ่านการตรวจเชื้อ และผ่านธนาคารนมแม่มาแล้ว เพราะนมแม่ เป็นสารคัดหลั่งชนิดหนึ่งซึ่งมีโอกาสที่จะมีเชื้อต่างๆ จากแม่ที่ผลิตนมนั้น เช่น HIV ไวรัสตับบี ไวรัสตับซี EBV CMV herpes  ซึ่งหากเด็กติดเชื้อขึ้นมาเรื่องใหญ่” นอกจากนี้  ปกติหากนมแม่เหลือและอยากแบ่งปันให้คนอื่น  จะมีธนาคารนมแม่ ที่เขาจะตรวจสอบว่าแม่ติดเชื้อไหม นมปลอดภัย มีการใช้สารเสพติด แอลกอฮอล์ ยาต่างๆ หรือไม่ เพื่อให้เด็กที่กินนั้นปลอดภัย Bangkok Airways ประกาศ “ชั่งน้ำหนักผู้โดยสาร สัมภาระก่อนบิน”         17 กันยายน 2566 หลังจากที่สายการบินต่างชาติ เช่น เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ ได้มีการออกกฎชั่งน้ำหนักและสัมภาระผู้โดยสารก่อนขึ้นเครื่อง เพื่อสำรวจและนำมาคำนวณกำหนดการกระจายน้ำหนักบนเครื่องบิน ลดการใช้เชื้อเพลิงนั้น         ทางบางกอก แอร์เวย์ส สายการบิน ประเทศไทย ก็ได้ออกมาประชาสัมพันธ์ ถึงกรณีดังกล่าวอีกด้วย โดยระบุข้อความดังนี้ “เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบินพลเรือนสากล เรื่องการใช้ข้อมูลเกณฑ์น้ำหนักเฉลี่ยมาตรฐานสำหรับคำนวณน้ำหนักผู้โดยสารและสัมภาระถือขึ้นเครื่อง เพื่อให้ปริมาณน้ำหนักของเที่ยวบินอยู่ภายใต้ขอบเขตการกำหนดน้ำหนักอากาศยานสำหรับการวิ่งขึ้นสูงสุด (Maximum Take-Off Weight) และทำการบินได้ด้วยความปลอดภัย ตั้งแต่ 15 ก.ย. ถึง 31 ต.ค. 66 เป็นต้นไป บริษัทขออนุญาตเก็บข้อมูลโดยการชั่งน้ำหนักผู้โดยสารรวมสัมภาระถือขึ้นเครื่อง ณ บริเวณประตูทางออกขึ้นเครื่อง จึงขอความร่วมมือจากท่านผู้โดยสารชั่งน้ำหนัก นอกจากนี้  บริษัทขอยืนยันว่าข้อมูลจะถูกเก็บไว้เป็นความลับ และจะนำไปใช้เพื่อปรับปรุงข้อมูลเกณฑ์น้ำหนักเฉลี่ยมาตรฐานเท่านั้น มพบ.เผยผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบช่วงโควิดจะได้รับเงินคืนจาก “Thai Air Asia X”         หลังจาก วันที่ 31 สิงหาคม 66 ศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งเห็นชอบให้ฟื้นฟูกิจการ สายการบิน “ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์” รหัสเที่ยวบิน XJ บริการสายการบินราคาประหยัด เส้นทางไปต่างประเทศ หลังได้รับผลกระทบรุนแรงจากวิกฤตโควิด-19 จนเป็นเหตุให้ต้องหยุดทำการบินขนส่งผู้โดยสารมานานกว่า 2 ปี         15 กันยายน 2566 นางสาวณัฐวดี เต็งพานิชกุล นักกฎหมาย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า คำสั่งของศาลล้มละลายกลาง ที่เห็นชอบเเผนฟื้นฟูกิจการ “ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ (XJ)” มีผลครอบคลุมเจ้าหนี้ทุกคนที่เป็นผู้โดยสาร ทั้งผู้ที่ยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และผู้ที่ไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่างได้สิทธิรับคืนเงินทั้งหมด โดยไม่มีดอกเบี้ยตามข้อเรียกร้องทั้ง 2กรณี ส่วนที่ก่อนหน้านี้ มีผู้โดยสาร 11 คน พากันมายื่นร้องเรียนกับสภาองค์กรของผู้บริโภคให้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องแทนผู้บริโภค มูลค่าความเสียหายกว่า 4 แสนบาทนั้น ทางมูลนิธิฯ ได้รับมอบหมายเป็นตัวแทนให้ดำเนินการหาทนายฟ้องคดีที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เพื่อเรียกเงินคืนพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งทาง “ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ได้ยื่นคำร้องค้าน เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2565 ขอให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ จำหน่ายคดีที่ผู้บริโภคฟ้องเพราะศาลล้มละลายกลางอนุญาตให้ฟื้นฟูกิจการ ดังนั้น คดีอื่นๆ ที่มีการยื่นฟ้องหรือบังคับคดีจึงต้องหยุดชั่วคราวเพื่อรอการฟื้นฟูกิจการ อย่างไรก็ตาม ศาลมีข้อแม้ว่า หากสายการบินไม่จ่ายหนี้ตามสัญญา ก็จะเดินหน้าในกระบวนการทางศาลต่อไปได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 253 จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี : ไทยกับพม่ารักกันตรงไหน ให้เอาปากกามาวง

หากจะถามว่า แม่น้ำที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของไทยหรือสยามประเทศคือแม่น้ำอะไร ทุกคนก็คงตอบได้ทันทีว่า “แม่น้ำเจ้าพระยา” และหากจะถามบนข้อสงสัยเดียวกันว่า แล้วแม่น้ำสายหลักของพม่าหรือสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาคือแม่น้ำสายใด เราก็คงตอบได้เช่นกันว่า “แม่น้ำอิรวดี”ฃโดยหลักทางภูมิศาสตร์แล้ว แม่น้ำสองสายดังกล่าวไม่ได้มีเส้นทางที่จะไหลมาเชื่อมบรรจบกันได้เลย แต่หากพินิจพิจารณาในเชิงสังคมการเมืองแล้ว เส้นกั้นพรมแดนเกินกว่าสองพันกิโลเมตรระหว่างรัฐชาติ กลับมีสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมบางเส้นที่ผูกโยงข้ามตะเข็บชายแดนกันมาอย่างยาวนานด้วยเหตุฉะนั้น พลันทีช่องทีวีสาธารณะอย่างไทยพีบีเอสออกอากาศละครโทรทัศน์ที่ตั้งชื่อเรื่องแบบดูดีมีรสนิยมว่า “จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี” ผู้เขียนก็เริ่มสงสัยใคร่รู้ว่า สายสัมพันธ์ทางความคิดและความหมายที่ข้ามแว่นแคว้นแดนดินระหว่างไทยกับพม่าจะถูกตีความออกมาเยี่ยงไร                  โดยโครงที่วางไว้เป็นละครแนวโรแมนติกดรามาแบบข้ามภพชาตินี้ ผูกโยงเรื่องราวชีวิตของนางเอกสาว “นุชนาฏ” ผู้มีภูมิลำเนาอยู่พระนครศรีอยุธยา ได้เริ่มต้นงานใหม่เป็นผู้ช่วยเชฟประจำโรงแรมใจกลางกรุงย่างกุ้ง เป็นเหตุให้เธอได้มาพบเจอกับพระเอกหนุ่ม “ปกรณ์” หัวหน้าเอ็กเซ็กคูทีฟเชฟคนไทย ที่ทั้งแสนจะเจ้าระเบียบและโผงผางตรงไปตรงมา แต่ภายใต้ท่าทีขึงขังจริงจังนั้น เขาก็เป็นคนที่มุ่งมั่นในวิชาชีพการทำอาหารยิ่งนัก         และเหมือนกับชื่อเรื่อง “จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี” เมื่อตัวละครนุชนาฏผู้ที่หลุดไปจากบริบทของสังคมไทยที่หลอมตัวตนมาตั้งแต่เกิด และได้ไปพำนักอยู่ในนครย่างกุ้ง เธอก็ได้เริ่มเห็นอีกด้านหนึ่งของพม่าที่แตกต่างไปจากภาพจำของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งถูกกล่อมเกลาและติดตั้งจนเป็นสำนึกในโลกทัศน์ของคนไทย         แม้จะยังคงแบกเอาอคติต่อพม่าในฐานะภาพเหมารวมอันฝังตรึงในห้วงคำนึงแบบไทยๆ มาไว้ในความคิดของเธอตั้งแต่แรกก็ตาม แต่การที่นุชนาฏได้มาสัมผัสประสบการณ์ใหม่และเป็นประสบการณ์จริงจากประเทศเพื่อนบ้านนั้น ประสบการณ์ตามภาพจำที่เผชิญหน้ากับประสบการณ์ตรงจากของจริงจึงก่อเกิดเป็นคำถามมากมายในใจที่เธอเริ่มมองพม่าผิดแผกไปจากเดิม                  เริ่มต้นตั้งแต่ที่ปกรณ์ต้องประกอบอาหารเพื่อต้อนรับ “อูเทวฉ่วย” มหาเศรษฐีใหญ่ของพม่า ที่วางแผนจะเข้ามาเทคโอเวอร์กิจการโรงแรมที่เขาทำงานอยู่ และเมนูอาหารพื้นเมืองที่ต้องจัดเตรียมในครานี้ก็คือ “โมฮิงกา” ทั้งปกรณ์และนุชนาฏจึงต้องร่วมกันสืบเสาะค้นหาว่า ตำรับอาหารที่ชื่อโมฮิงกานั้นคืออันใด มีรสชาติเช่นไร และจะปรุงแต่งอย่างไรจึงจะสร้างความประทับใจให้กับนายทุนใหญ่ผู้นี้ได้         เพราะที่ผ่านมาคนไทยมีภาพจำที่หยั่งรากฝังลึกว่า พม่าเป็นศัตรูอันยิ่งใหญ่ของรัฐชาติสยามประเทศ ภาพที่ฝังลึกดังกล่าวนี้จึงเป็นยิ่งกว่ากำแพงที่สกัดไม่ให้เราปรารถนาจะก้าวข้ามเพื่อไปทำความรู้จักหรือเรียนรู้ความเป็นไปของผู้คนที่อาศัยอยู่ฝั่งตรงข้ามพรมแดนสมมติทางภูมิศาสตร์         ดังนั้นภาพที่ตัวละครเอกทั้งคู่ต้องดั้นด้นสืบค้นหาสูตรการปรุงโมฮิงกา ก็มีนัยที่เสียดสีในทีว่า เผลอๆ จะเป็นคนไทยนี่เองที่ไม่อยากข้องแวะ หรือแทบจะไม่รู้จักเสียเลยว่า วัฒนธรรมการกินการอยู่ของผู้คนที่แค่ข้ามฝั่งเส้นแบ่งภูมิศาสตร์ไปนั้น เขา “เป็นอยู่คือ” หรือใช้ชีวิตวัฒนธรรมกันอย่างไร         แล้วความซับซ้อนของโครงเรื่องก็เพิ่มระดับขึ้นไปอีก เมื่อนุชนาฏได้มาเดินเล่นที่ถนนพันโซดันในนครย่างกุ้งกับเพื่อนใหม่ชาวพม่าอย่าง “ซินซิน” และเธอได้มาสะดุดตากับหนังสือเก่าที่ตีพิมพ์วรรณกรรมเรื่อง “อิเหนา” ฉบับพม่า ความลึกลับของหนังสือโบราณนี้เองทำให้นุชนาฏได้หลุดเข้าไปอยู่ในโลกที่แปลกตาเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน         เพราะไม่ใช่แค่การได้แยกตัวเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ใหม่ที่ไม่คุ้นเคยเท่านั้น แต่การหลุดย้อนเข้าไปสู่ห้วงเวลาแห่งอดีตก็ทำให้นุชนาฏค้นพบว่า เมื่อชาติภพปางก่อนเธอคือ “ปิ่น” หญิงสาวชาวกรุงศรีอยุธยาหรือ “โยเดีย” ซึ่งถูกกวาดต้อนมาอยู่ที่อังวะ เมื่อสยามประเทศต้องเสียกรุงครั้งที่สองให้กับพม่า ปิ่นได้มาเป็นข้าหลวงประจำตำหนักของ “เจ้าฟ้ากุณฑล” และ “เจ้าฟ้ามงกุฏ” พระราชธิดาใน “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ” ที่พลัดถิ่นมาในเวลาเดียวกัน          การได้มาสวมบทบาทใหม่เป็นนางปิ่นผู้ข้ามภพชาติ ทำให้นุชนาฏได้ตระหนักในข้อเท็จจริงที่ว่า ความขัดแย้งในสนามทางการเมืองระหว่างไทยกับพม่าเมื่อครั้งอดีต (หรือแม้แต่สืบต่อมาจวบจนปัจจุบัน) ดูจะเป็นการต่อสู้ต่อรองผลประโยชน์เฉพาะในกลุ่มชนชั้นนำผู้ยึดครองอำนาจรัฐเอาไว้ หากทว่าในระดับของสามัญชนคนธรรมดาทั่วไปแล้ว ชีวิตทางสังคมวัฒนธรรมดูจะเป็นอีกด้านที่ผิดแผกแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง         ยิ่งเมื่อนุชนาฏในร่างของปิ่นได้มาเจอกับ “สะสะ” หรือที่ใครๆ ต่างเรียกกันว่า “หม่องสะ” ศิลปินลูกครึ่งมอญ-พม่า ผู้ทำหน้าที่สร้างสรรค์ละครหลวงในราชสำนักอังวะ และปลุกปั้นให้ปิ่นได้เป็นนางรำในโรงละครหลวง อันนำไปสู่การประสานนาฏยศิลป์ของสองวัฒนธรรมผ่านท่าร่ายรำที่ทั้งคู่ออกแสดงร่วมกันหน้าพระที่นั่ง ไปจนถึงการเพียรพยายามแปลบทนิพนธ์อิเหนามาเป็นภาษาพม่า ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวัฒนธรรมระหว่างกลุ่มคนตัวเล็กๆ ที่อยู่ในวังวนแห่งการช่วงชิงผลประโยชน์ของชนชั้นปกครองด้วยประสบการณ์ที่หลุดเข้าไปในอีกห้วงเวลาทางประวัติศาสตร์เช่นนี้ นุชนาฏจึงได้ทบทวนหวนคิดว่า แท้จริงแล้ว อคติความชิงชังที่ฝังอยู่ในโลกทัศน์ของคนไทยต่อประเทศเพื่อนบ้าน อาจจะถูกสร้างขึ้นบนสมรภูมิแห่งอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง หาใช่เป็นความขัดแย้งในพื้นที่สังคมพลเมืองแต่อย่างใด         “อันรักกันอยู่ไกลถึงสุดขอบฟ้า เหมือนชายคาเข้ามาเบียดดูเสียดสี อันชังกันนั้นใกล้สักองคุลี ก็เหมือนมีแนวป่ามาปิดบัง…” ดังนั้นเมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงปัจจุบัน ชนชั้นนำทางการเมืองก็ยังคงใช้วาทกรรมความชิงชังแบบเดิมมาปิดกั้นไม่ให้คนไทยสนใจใคร่รู้จักความจริงด้านอื่นของเพื่อนบ้านในอุษาคเนย์ จนนำไปสู่ภาพเหมารวมว่า พม่าก็ไม่ใช่อื่นใดนอกจากเป็นปรปักษ์หรือศัตรูในจินตกรรมความเป็นชาติของไทยเท่านั้น         เหมือนกับฉากเริ่มต้นเรื่องที่นุชนาฏตั้งแง่รังเกียจคำพูดของซินซินที่เรียก “อยุธยา” บ้านเกิดของเธอว่า “โยเดีย” อันเนื่องมาแต่ภาพจำที่ถูกกล่อมเกลาสลักฝังไว้ในหัวว่า คำเรียกโยเดียหมายถึงการปรามาสดูถูกคนไทยว่าเป็นพวกขี้แพ้ หากแต่ซินซินกลับให้คำอธิบายไปอีกทางหนึ่งว่า คำเรียกเช่นนี้หาใช่จะมีนัยว่าไทยเป็นศัตรูคู่ตรงข้ามแต่อย่างใด เพราะในมุมมองของคนพม่าแล้ว ศัตรูในจินตนาการที่ตัวใหญ่กว่า น่าจะเป็นชาติตะวันตกที่เคยฝากบาดแผลความทรงจำไว้ตั้งแต่ยุคลัทธิล่าอาณานิคม         จาก “เจ้าพระยา” สู่ “อิรวดี” ก่อนที่ฉากจบตัวละครจะออกจาก “อิรวดี” ย้อนกลับมาสู่ดินแดนราบลุ่มริมน้ำ “เจ้าพระยา” แต่สำหรับผู้ชมแล้ว จินตนาการแบบใหม่ที่ท้าทายภาพจำต่อประเทศเพื่อนบ้าน คงไม่มากก็น้อยที่น่าจะทำให้เราลองหันกลับมาอ่านบทนิพนธ์อิเหนาฉบับแปล ลองดูนาฏยกรรมพม่า หรือลองลิ้มรสเมนูโมฮิงกากันด้วยความรัก หาใช่ด้วยรสชาติความชิงชังเพียงเพราะไม่รู้จักหรือไม่อยากจะคุ้นเคย

อ่านเพิ่มเติม >

ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ สำรวจพบส้มไทยมีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐานทุกตัวอย่าง

        สภาองค์กรของผู้บริโภค ไทยแพน ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ สำรวจพบส้มไทยมีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐานทุกตัวอย่าง ตอกย้ำปัญหาส้มพิษยังไม่ถูกแก้ไข เสนออาจต้องปรับเปลี่ยนระบบการผลิตใหม่        สภาองค์กรของผู้บริโภค นิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (ไทยแพน) เฝ้าระวังสถานการณ์ปัญหาสารเคมีเกษตรตกค้างในส้มและน้ำส้มในภาชนะบรรจุปิดสนิท แบ่งเป็นส้มจำนวน 60 ตัวอย่างและน้ำส้ม 10 ตัวอย่าง พบว่า ส้มที่มาจากการปลูกในประเทศจำนวน 41 ตัวอย่าง มีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน ทุกตัวอย่าง (100%) ส่วนส้มที่มาจากการนำเข้า 19 ตัวอย่าง พบสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน 16 ตัวอย่าง (84.21%) มีเพียง 3 ตัวอย่างที่มีปริมาณสารพิษตกค้างอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน สำหรับน้ำส้มในภาชนะบรรจุปิดสนิท พบ 50% ของกลุ่มตัวอย่างมีการตกค้างของสารพิษ         วันนี้ (10 มีนาคม 2565) ในงานแถลงข่าวผลการตรวจสารเคมีเกษตรตกค้างในส้มและน้ำส้ม นางสาวทัศนีย์ แน่นอุดร รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) และบรรณาธิการนิตยสารฉลาดซื้อ กล่าวว่า ส้มเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมในการบริโภค แต่ส้มก็เป็นผลไม้ที่มีโรคและศัตรูพืชมาก ทำให้การเพาะปลูกต้องใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเพื่อป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืชมากชนิดตามไปด้วย ปัญหาที่ตามมาคือ ทุกครั้งที่มีการสำรวจการตกค้างของสารพิษในส้มในหลายปีที่ผ่านมา จะพบการตกค้างของสารพิษเกินค่ามาตรฐานมาโดยตลอด ทั้งจากการติดตามเฝ้าระวังของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ไทยแพน หรือจากผลการทดสอบของศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อเอง และทุกครั้งที่มีการสะท้อนสถานการณ์ปัญหาก็จะมีการเคลื่อนไหวหลายอย่างทั้งจากหน่วยงานราชการ เกษตรกร ผู้จำหน่าย ผู้บริโภค ดังนั้นเพื่อจะติดตามว่า ส้มไทยปลอดภัยต่อการบริโภคมากน้อยแค่ไหน มพบ.และไทยแพน  จึงได้รับการสนับสนุนจากสภาองค์กรของผู้บริโภค ให้ทำการสำรวจสารพิษตกค้างในส้มและน้ำส้มที่จำหน่ายในประเทศไทยอีกครั้ง           การสุ่มเก็บตัวอย่างส้ม คณะทำงานเลือกช่วงเวลาระหว่างวันที่ 3-10 มกราคม 2565 จากแหล่งผลิตทั้งในและต่างประเทศ โดยครอบคลุมช่องทางจำหน่ายในปัจจุบัน ได้แก่ ตลาดค้าส่ง ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ และช่องทางออนไลน์  เป็นตัวอย่างส้ม 60 ตัวอย่าง และน้ำส้มบรรจุในภาชนะปิดสนิท 10 ตัวอย่าง รวมเป็น 70 ตัวอย่าง   สำหรับส้ม เน้นเก็บตัวอย่างส้มให้ครอบคลุมสายพันธุ์ส้มที่จำหน่ายในช่วงเวลา ซึ่งจำแนกเป็นสายพันธุ์ทางการค้าได้ทั้งสิ้น 13 สายพันธุ์ ได้แก่ ส้มสายน้ำผึ้ง 18 ตัวอย่าง ส้มเขียวหวาน 12 ตัวอย่าง ส้มโชกุน 9 ตัวอย่าง ส้มแมนดาริน 8 ตัวอย่าง ส้มสีทอง 3 ตัวอย่าง ส้มนาเวล 2 ตัวอย่าง ส้มเมอร์คอท 2 ตัวอย่าง ส้มซาถัง 2 ตัวอย่าง ส้มกัมควอท 1 ตัวอย่าง ส้มซันคิสท์ 1 ตัวอย่าง ส้มเอินชู 1 ตัวอย่าง และส้มเช้ง 1 ตัวอย่าง และหากจำแนกตามแหล่งผลิตจะเป็นส้มนำเข้า 19 ตัวอย่าง ส้มที่ปลูกในประเทศไทย 41 ตัวอย่าง ทั้งนี้ 12 ตัวอย่างใน 41 ตัวอย่างที่ปลูกในประเทศ เป็นตัวอย่างที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP (Good Agriculture Practices) 11 ตัวอย่าง และ ThaiGAP 1 ตัวอย่าง และตัวอย่างน้ำส้มบรรจุในภาชนะปิดสนิท 10 ตัวอย่าง ได้แก่ Aro, Tipco, Chabaa, UFC, Malee, DoiKham, Sunfresh, Harvey Fresh, Green Garden และ Smile         ทั้ง 70 ตัวอย่าง ส่งวิเคราะห์สารพิษตกค้างแบบ multi-residue analysis ครอบคลุมสารพิษตกค้างจำนวน 567 รายการ ที่ห้องปฏิบัติการ TÜV SÜD ITALY ประเทศอิตาลี ซึ่งได้รับการรับรอง ISO/IEC 17025จากรายงานผลการวิเคราะห์ พบว่า รายการวิเคราะห์ ชนิดและปริมาณค่าสารพิษตกค้าง สามารถเข้าดูรายละเอียดได้ที่ https://thaipan.org/action/2519  และสามารถดาวน์โหลด ผลทดสอบส้ม        1.    ส้มทั้ง 60 ตัวอย่าง พบสารพิษตกค้างในทุกตัวอย่าง เมื่อเปรียบเทียบกับค่าปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุดกำหนดไว้ใน ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 387 พ.ศ. 2560 เรื่อง อาหารที่มีสารพิษตกค้าง และประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 419) พ.ศ. 2563 ออกตามความในพระราชบัญญัติ อาหาร พ.ศ. 2522 เรื่อง อาหารที่มีสารพิษตกค้าง (ฉบับที่ 3) พบว่า มีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน 57 ตัวอย่าง หรือ คิดเป็น 95% ของกลุ่มตัวอย่าง  และพบว่า 5% หรือ 3 ตัวอย่าง มีสารพิษตกค้างแต่ไม่เกินค่ามาตรฐาน ได้แก่ ส้มเขียวหวาน จากบิ๊กซี บางใหญ่ , Holy Fresh ส้มพันธุ์ เมอร์คอท จากกูเมต์มาร์เก็ต และ เป็นส้มเช้ง ร้านเจ๊อ้อย 201 ผลไม้ ตลาดไท ซึ่งทั้งสามตัวอย่างเป็นส้มนำเข้าจากต่างประเทศ        2.    จากตัวอย่างน้ำส้มในภาชนะปิดสนิท 10 ตัวอย่าง มี 5 ตัวอย่างที่ไม่พบสารพิษตกค้าง ได้แก่  น้ำส้มโชกุน ตรา Tipco, น้ำส้ม 100% ตรา UFC,  น้ำส้มเขียวหวาน 100% ตรามาลี (ส้มจากแม่สิน) และน้ำส้มนำเข้า ตรา Sunfresh และ Harvey Fresh อีก 5 ตัวอย่างที่พบสารพิษตกค้าง ได้แก่ น้ำส้มเขียวหวานพร้อมเกล็ดส้ม 100% ตราARO , น้ำส้มสายน้ำผึ้ง 100% ตรา CHABAA, น้ำส้ม 98% ตราดอยคำ, น้ำส้มพร้อมเนื้อส้ม 100% ตรากรีนการ์เด้น และ น้ำส้มเขียวหวาน 100% ตรา SMILE ทั้งนี้จากการตรวจสอบประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 356 เรื่อง เครื่องดื่มในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท  พบว่าไม่มีการกำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับสารพิษตกค้างไว้ จึงไม่มีค่ามาตรฐานสำหรับเปรียบเทียบกับปริมาณสารพิษตกค้างที่พบ         ด้านนางสาวปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืชหรือไทยแพน ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมจากรายงานผลการวิเคราะห์ว่า หากจำแนกตามแหล่งผลิต จะพบว่า ตัวอย่างส้มที่มาจากการปลูกในประเทศ 41 ตัวอย่าง พบสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐานทุกตัวอย่าง หรือคิดเป็น 100% ในขณะที่ส้มนำเข้า 19 ตัวอย่าง พบสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน 16 ตัวอย่าง หรือคิดเป็น 84.21% อีก 3 ตัวอย่างมีปริมาณสารพิษตกค้างอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน         สำหรับกลุ่มตัวอย่างส้มที่ปลูกในประเทศ 41 ตัวอย่าง สามารถจำแนกตามชื่อเรียกสายพันธุ์ทางการค้าได้ ดังนี้ สายน้ำผึ้ง 18 ตัวอย่าง เขียวหวาน 9 ตัวอย่าง โชกุน 9 ตัวอย่าง ส้มสีทอง 3 ตัวอย่าง ส้มน้ำตาล 1 ตัวอย่าง และส้มเขียวหวาน 1 ตัวอย่าง ซึ่งทุกตัวอย่างพบสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน  โดยในจำนวนนี้เป็นผลผลิตที่มาจากแปลง GAP (Good Agriculture Practices) ที่ได้รับรองโดยกระทรวงเกษตรฯ 11 ตัวอย่าง เป็นผลผลิตที่มีมาจากแปลงที่มีการรับรอง ThaiGAP โดยสถาบันส่งเสริมคุณภาพเกษตรไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย 1 ตัวอย่าง และไม่ระบุการรับรองมาตรฐานใดๆ 29 ตัวอย่าง ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างส้มนำเข้า 19 ตัวอย่าง สามารถจำแนกตามชื่อเรียกสายพันธุ์ทางการค้าได้ ดังนี้ แมนดาริน 5 ตัวอย่าง ส้มไต้หวัน 3 ตัวอย่าง เมอร์คอท 2 ตัวอย่าง นาเวล 2 ตัวอย่าง ส้มซาถัง 2 ตัวอย่าง เอินชู 1 ตัวอย่าง กัมควอท/กิมจ๊อ 1 ตัวอย่าง ซันคิสต์ 1 ตัวอย่าง ส้มเช้ง 1 ตัวอย่าง สายน้ำผึ้ง 1 ตัวอย่าง มีเพียงส้มสายน้ำผึ้ง 1 ตัวอย่าง ส้มเช้ง 1 ตัวอย่าง และส้มเมอร์คอท 1 ตัวอย่าง ที่พบสารพิษตกค้างอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน อีก 16 ตัวอย่าง พบสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน         สำหรับชนิดสารพิษตกค้างที่พบจากตัวอย่างส้มทั้งหมดรวม 48 ชนิด เป็นสารกำจัดแมลง 31 ชนิด สารกำจัดโรคพืช 13 ชนิด และสารกำจัดไร 4 ชนิด มีรายละเอียดดังนี้        1. สารกำจัดแมลงที่พบตกค้างมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ Imidacloprid, Ethion และ Profenofos โดยพบในส้ม 56, 52 และ 49 ตัวอย่าง หรือคิดเป็น 93.33%, 86.67% และ 81.67% ตามลำดับ        2. ในขณะที่สามอันดับแรกของสารป้องกันและกำจัดโรคพืชคือ Benomyl/Carbendazim, Hexaconazole และ Prochloraz โดยพบใน 48, 42 และ 31 ตัวอย่าง หรือคิดเป็น 80.0%, 70.0% และ 51.67% ตามลำดับ        3. สารกำจัดไรที่พบตกค้างมากที่สุด คือ Propargite พบใน 31 ตัวอย่าง หรือคิดเป็น 51.67%         4. พบการตกค้างของ Chlorpyrifos-ethyl ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 (ยกเลิกการใช้แล้ว) 50% ของกลุ่มตัวอย่าง โดยตกค้างในส้มที่ผลิตในประเทศ 22 ตัวอย่าง และส้มนำเข้า 8 ตัวอย่าง         “กรณีที่พบการตกค้างของสารคลอร์ไพริฟอสที่แบนแล้วในตัวอย่างส้มที่ปลูกในประเทศ อาจเป็นไปได้ที่จะมีสารที่ค้างอยู่เป็นสต็อกของเกษตรกรหลังจากมีการแบนอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เกิดขึ้นจากการลักลอบนำเข้า ซึ่งเรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่จะต้องดำเนินการ” นางสาวปรกชลกล่าว         นางสาวทัศนีย์ กล่าวเสริมว่า หากดูจากรายงานผลการวิเคราะห์ในครั้งนี้ มันยังคงสะท้อนสถานการณ์ปัญหาการตกค้างของสารพิษในส้มว่าไม่ได้ดีขึ้น ส้มเกือบทุกตัวอย่างที่สุ่มมามีการตกค้างของสารพิษเกินค่ามาตรฐาน ดังนั้นคงจะต้องขอให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องตลอดจนผู้มีส่วนในห่วงโซ่ของการผลิตส้ม ได้โปรดช่วยกันหาทางเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน หรืออาจจะต้องถึงขั้นเปลี่ยนระบบการผลิตครั้งใหญ่หรือไม่         นายโสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิ สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่าการเฝ้าระวัง ทดสอบสินค้าและบริการเป็นอำนาจหนึ่งของสภาองค์กรของผู้บริโภค ซึ่งกำหนดให้สภาฯ มีฐานะเป็นผู้แทนผู้บริโภค และมีอำนาจดำเนินการเพื่อการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภค  การสนับสนุนการทดสอบเรื่องส้มในครั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้ผู้บริโภคได้มีข้อมูลที่เพียงพอต่อการตัดสินใจบริโภคสินค้าหรือบริการ และหลีกเลี่ยงสินค้าหรือบริการที่ไม่ปลอดภัยหรืออาจกระทบต่อสุขภาพอนามัยของผู้บริโภค ทั้งนี้ ตนเองมองว่า กระทรวงสาธารณสุขควรดำเนินการเฝ้าระวังสารเคมีตกค้างในน้ำส้มและผลิตภัณฑ์น้ำผักผลไม้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะจนมั่นใจว่าไม่มีการตรวจพบสารตกค้าง และประกาศให้ผู้บริโภครับทราบข้อมูลทุกครั้ง อีกทั้งต้องการเสนอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควบคุมการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในการผลิตพืชอาหารอย่างเข้มงวดเพื่อให้เกิดความปลอดภัยจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชตั้งแต่ต้นทางของการผลิตอาหาร         สรุปข้อเสนอจากรายงานการสำรวจสารพิษตกค้างในส้มและน้ำส้มที่จำหน่ายในประเทศไทยข้อเสนอต่อภาครัฐ        1.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์             • ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ลักลอบนำเข้า ครอบครอง หรือมีไว้จำหน่ายของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะสารเคมีที่ประเทศไทยยกเลิกการใช้หรือไม่อนุญาตให้มีการขึ้นทะเบียนแล้ว             • ปฏิรูประบบการรับรอง GAP  เพื่อให้มั่นใจว่าผลผลิตหรือสินค้าที่ได้รับการรับรองจะไม่ตรวจพบการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างเกินมาตรฐาน             • ส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรรมอินทรีย์เพื่อให้เป็นทางเลือกในการผลิตของเกษตรกรและผู้บริโภค         2.กระทรวงสาธารณสุข             • เพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์สารพิษตกค้างในผักผลไม้ที่ด่านนำเข้า            • พัฒนากลไกเฝ้าระวังสารพิษตกค้างในระดับพื้นที่และประเทศ โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน             • ควรยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภคในกรณีน้ำส้มหรือน้ำผลไม้ในภาชนะบรรจุปิดสนิท รวมถึงประเมินความเสี่ยงจากการบริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้ป่วยข้อเสนอต่อภาคเอกชน ผู้จัดจำหน่าย        1. ซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก ตลอดจนร้านสะดวกซื้อ ซึ่งเป็นแหล่งจัดจำหน่ายส้มขนาดใหญ่ควรสนับสนุนข้อมูลเรื่องที่มาของส้ม ที่นำมาจำหน่ายอย่างโปร่งใส  (Traceability) เพื่อเป็นเครื่องมือให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบแหล่งผลิต สารเคมีที่ใช้ การเก็บเกี่ยว การบรรจุ ฯลฯ ได้อย่างสะดวกด้วยเทคโนโลยีเช่นการสแกนคิวอาร์โค้ด             2. ผู้ผลิตที่นำส้มมาแปรรูป ควรคำนึงถึงแหล่งที่มาตลอดจนการคัดเลือกวัตถุดิบอย่างเป็นระบบเพื่อลดปัญหาการปนเปื้อนสารพิษตกค้างในผลิตภัณฑ์         ทางเลือกและการแก้ปัญหาของผู้บริโภค             • เลือกการสนับสนุนส้มที่ผลิตโดยวิธีการที่ไม่ใช้สารเคมี หรือผลผลิตที่ทราบที่มาและเชื่อถือได้ว่ามาจากระบวนการผลิตที่ปลอดภัย             • ล้างส้มทุกครั้งที่บริโภค แม้ไม่สามารถลดปริมาณของสารเคมีที่ตกค้างได้ทั้งหมด เพราะมีสารเคมีประมาณครึ่งหนึ่งที่ดูดซึมไปสู่เนื้อส้มได้ แต่ก็เป็นการลดปริมาณของสารเคมีได้ระดับหนึ่ง            • ร่วมกันเรียกร้องให้ผู้บริหารกระทรวงเกษตร หน่วยงานของรัฐ และภาคเอกชน ดำเนินการให้มีการปฏิรูปการผลิต การจัดจำหน่าย และกลไกการกำกับดูแลสารเคมีกำจัดศัตรูพืชให้มีความปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภคมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 246 คิดอย่างไร ประเทศไทยจะเป็นมหานครระบบรางติดอันดับโลก

        ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมท่านหนึ่งประกาศชัดว่า ในปี 2566 ประเทศไทยจะเป็นมหานครระบบรางติดอันดับโลก !!! และไม่ใช่ติดอันดับโลกธรรมดา แต่เป็นอันดับสามของโลกเสียด้วย         สอดคล้องกับที่ไอเอ็มดี (International Institute for Management Development: IMD) ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาด้านการบริหารธุรกิจ และมีหน่วยงานในสังกัด คือ สถาบัน IMD World Competitiveness Center ที่เป็นหน่วยงานในระดับนานาชาติ ได้เผยแพร่ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันระบบรางทั่วโลกว่า ภายในปี 2566 หรืออีก 3 ปีข้างหน้าต่อจากนี้   กรุงเทพมหานครจะกลายเป็นมหานครระบบรางที่มีระยะทางยาวเป็นอันดับ 3 ของโลกระยะทาง 560 กิโลเมตร ทำให้ยิ่งตอกย้ำถึงภาพความสะดวกสบายของกรุงเทพมหานครที่เป็นเมืองของรถไฟฟ้าขึ้นมาทันที         แต่เดี๋ยวก่อน มองให้พ้นจากภาพสวยหรู เมื่อหันกลับมาดูความจริงที่ประเทศไทย คำถามก็ผุดขึ้นมากมาย แล้วตอนนี้รถไฟฟ้าที่เปิดใช้บริการทุกสายมีระยะทางกี่กิโลเมตรแล้ว         ข้อมูล ณ ธันวาคม 2563 ประเทศไทยมีรถไฟฟ้าวิ่งให้บริการผ่านกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นระยะทางยาวทั้งหมด 168 กิโลเมตร หรืออยู่ในอันดับที่ 25 ของโลก         ขณะที่อันดับ 1 และ 2 ของโลกอยู่ที่ประเทศจีน คือ กรุงปักกิ่ง 690.5 กิโลเมตร และเมืองเซี่ยงไฮ้ 676  กิโลเมตร อันดับ 3 อยู่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ 540.9 กิโลเมตร และอันดับ  4 อยู่ที่เมืองกวางโจว ประเทศจีนอีกเช่นกันที่ 531.1 กิโลเมตร ซึ่งจากข้อมูลนี้ 168 กิโลเมตรของประเทศไทยยังห่างจากเป้าหมายอันดับ 3 ที่ 560 กิโลเมตรอยู่มากเลยทีเดียว  (ดังนั้นน่าจะต้องเก็บคำคุยโวไว้ก่อนเพราะการที่ประเทศไทยจะเป็น HUB หรือเป็นมหานครระบบรางอย่างที่คิดในอีกสามปีข้างหน้าดูท่าจะยากเย็น)          แต่การที่ประเทศไทยวางแผนให้กรุงเทพมหานครมุ่งสู่การเป็นเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยระบบรางนั้นไม่ใช่เรื่องผิด เพราะทุกวันนี้ระบบรางโดยเฉพาะรถไฟฟ้ากลายเป็นพาหนะที่อำนวยความสะดวกขนคนเดินทางได้ครั้งละจำนวนมาก ส่งผลดีให้เกิดกับคุณภาพชีวิต ทำให้ระบบเศรษฐกิจมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และต่อไปในอนาคต (ไม่รู้อีกกี่ปี) เมื่อรถไฟฟ้าทุกสายสร้างเสร็จสิ้น กรุงเทพมหานครจะมีรถไฟฟ้าหลากสีมากกว่า 10 สาย วิ่งให้บริการเต็มรูปแบบครอบคลุมทุกทิศทางจากชานเมืองมุ่งเข้ากรุงเทพชั้นใน ทำให้หลายคนมีความหวังว่า เมื่อประชาชนใช้ขนส่งสาธารณะประเภทรถไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ปัญหาการจราจรรถติด การใช้รถยนต์ส่วนบุคคล และมลภาวะทางอากาศที่เป็นพิษจะลดน้อยลงตามไปด้วย         ดังนั้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้จึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่ผ่านมารัฐบาลจึงมุ่งเน้นขับเคลื่อนนโยบายตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) ที่รวมงานทุกด้านเอาไว้  ซึ่งในแผนยุทธศาสตร์ชาติจะมีแผนย่อยเพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทําแผนต่างๆ ให้สอดคล้องและบูรณาการกัน โดยมีประเด็นโครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ และดิจิทัล อยู่ในด้านที่ 7 จากทั้งหมด 23 ด้าน ตามกรอบที่กําหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี           แล้วโครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ และดิจิทัล เกี่ยวอะไรกับมหานครระบบรางที่บอกไป แน่นอนว่าการพัฒนาประเทศต้องบูรณาการหลายด้าน ซึ่งแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 7 โครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ และดิจิทัล มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งที่ถือเป็นรากฐานสำคัญของการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และให้ความสำคัญด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศในระยะ 20 ปีข้างหน้าให้บรรลุเป้าหมาย         โดยในแผนแม่บท ประเด็นที่ 7 นี้ยังแบ่งออกเป็น 10 เป้าหมายระดับแผนแม่บทย่อยอีก เช่น ต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของในประเทศและต่างประเทศ การเพิ่มขึ้นของการขนส่งสินค้าทางราง การใช้พลังงานทดแทน ก๊าซธรรมชาติ และพลังงานไฟฟ้า การปรับปรุงและพัฒนาระบบไฟฟ้าของประเทศ ความสามารถในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของครัวเรือน ตลอดจนการเพิ่มสัดส่วนการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงเมืองหลักในภูมิภาค และการลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน         สำหรับประเด็นการเพิ่มสัดส่วนการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีเป้าหมายย่อยที่กำหนดไว้ 4 ระยะในเวลา 20 ปี คือ 1) ปี 2561-2565 ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 30  2) ปี 2566-2570 ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 3) ปี 2571-2575 ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 และ 4) ปี 2576-2580 ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ขณะที่สัดส่วนในส่วนภูมิภาคอยู่ที่ ร้อยละ 5 10 และ 20 ตามลำดับ         แต่เมื่อกลับมาดูข้อมูลเปรียบเทียบการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะพบว่า โอกาสที่ตัวชี้วัดเป้าหมายนี้จะทำได้มีโอกาสค่อนข้างน้อย หรืออาจจะเรียกได้ว่าต่ำกว่าค่าเป้าหมายขั้นวิกฤต สาเหตุสำคัญเพราะรัฐมีข้อมูลไม่เพียงพอ เนื่องจากขาดการพัฒนานโยบายอย่างต่อเนื่องที่จะทำให้ระบบขนส่งสาธารณะดำรงอยู่และเป็นหัวใจหลักของการเดินทางสำหรับประชาชนได้ เพราะข้อมูลสัดส่วนการใช้ขนส่งสาธารณะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปี 2560 – 2562 อยู่ที่ร้อยละ 20.62 , 17.90 และ 19.42 ตามลำดับ ซึ่งจากข้อมูลนี้ก็นับว่ายังมีความห่างจากเป้าหมายร้อยละ 30 ในปี 2565 อยู่พอสมควร และสำหรับข้อมูลในเมืองภูมิภาค ปัจจุบันยังไม่มีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวไว้ เห็นได้ชัดเจนว่าหลายปีที่ผ่านมาระบบขนส่งสาธารณะเป็นเรื่องที่ถูกปล่อยปละละเลย และยิ่งสถานการณ์โควิด 19 ในปัจจุบันที่ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภทแทบล่มสลาย ยิ่งทำให้การเพิ่มสัดส่วนการใช้ขนส่งสาธารณะทำได้ยากกว่าเดิมอีกด้วย         แล้วการเพิ่มสัดส่วนการใช้ขนส่งสาธารณะในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และเมืองในภูมิภาค กับการเป็นมหานครระบบรางของประเทศไทยเกี่ยวพันกันอย่างไร ฉบับหน้าเรามาค้นคำตอบกันต่อนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 244 รู้เท่าทันน้ำกระชายขาวป้องกันและรักษาโควิด-19

        ช่วงนี้คงไม่มีอะไรร้อนแรงเท่าน้ำกระชายขาวเพื่อการป้องกันและรักษาโควิด-19 มีการเผยแพร่ผลงานวิจัยของมหิดลว่า กระชาย (ขาว) สามารถป้องกันโควิด-19 ได้ จึงมีการเชียร์ให้กินกระชายและดื่มน้ำกระชายเพื่อป้องกันและรักษาโควิด-19 อย่างอย่างครึกโครมไม่แพ้ฟ้าทะลายโจร เรามารู้เท่าทันกันเถอะ กระชายขาวคืออะไร        กระชายขาวที่เรียกกันนี้ ก็คือกระชายหรือกระชายเหลือง กระชายเป็นพืชสมุนไพรที่คนไทยรู้จักดี และนำมาปรุงเป็นอาหาร เป็นส่วนผสมสำคัญในแกงป่าเพราะมีคุณสมบัติในการช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ได้ดี หรือใช้เป็นผักจิ้มได้โดยตรง         กระชาย มีสรรพคุณทางยามากมายจนได้ชื่อในวงการแพทย์แผนไทยว่าเป็น "โสมไทย" เนื่องจากกระชายกับโสมมีสรรพคุณในการบำรุงกำลังและเสริมสมรรถภาพทางเพศ ทั้งกระชายและโสมต่างสะสมอาหารที่ใช้เป็นยาอยู่ใต้ดิน และสามารถเรืองแสงในที่มืดได้เหมือนกันด้วย และเนื่องจากโสมมีรูปร่างคล้ายกับคน จึงเรียกโสมว่า "โสมคน" และเรียกกระชายว่า "นมกระชาย" เนื่องจากมีลักษณะคล้ายคลึงกับนมผู้หญิง   งานวิจัยที่ยืนยันสรรพคุณในการป้องกันโควิด-19         มีการตีพิมพ์งานวิจัยในวารสาร PubMed [1]     ว่า มีการศึกษาสมุนไพรไทย 122 ผลิตภัณฑ์ พบว่า สารสกัดกระชายและสารประกอบเคมีจากพืช panduratin A มีฤทธิ์ยับยั้ง SARS-CoV-2 การรักษาการติดเชื้อ  SARS-CoV-2  ด้วยสารสกัด  B. rotunda และ panduratin A ยับยั้งการติดเชื้อได้เป็นอย่างดี         โครงการวิจัยต้านเชื้อไวรัสโคโรนาจากสมุนไพรไทย เป็นความร่วมมือระหว่าง คณะวิทยาศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กับ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ หรือ TCELS ขณะนี้งานวิจัยกระชายขาวอยู่ในขั้นตอนการศึกษาวิจัยในคน การพัฒนาสารสกัดกระชายขาวเพื่อใช้เป็นยาสำหรับโรค COVID-19 จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี กระชายในท้องตลาดราคาสูงขึ้นมาก         จากการค้นพบสรรพคุณของกระชายดังกล่าว ทำให้ราคาหัวกระชายขาวเพิ่มสูงขึ้น จากปกติราคากิโลกรัมละ 30 บาท ราคาพุ่งขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 80 – 100 บาททีเดียว และบางตลาดถึงกับไม่พอขายเลย น้ำกระชายสามารถป้องกันและรักษาโควิด-19 ได้จริงหรือไม่        เป็นความชาญฉลาดของพ่อค้าแม่ขาย เพื่อให้สะดวกสำหรับผู้บริโภค ก็มีการนำกระชายมาทำเป็นน้ำกระชายดื่ม และใช้ความเชื่อเดิมว่า สารสกัดกระชายสามารถรักษาโควิด-19 ได้ การดื่มน้ำกระชายก็น่าจะมีผลในการรักษาและป้องกันโควิด-19 ได้เช่นเดียวกัน         น้ำกระชาย กระชายสามารถยับยั้ง รักษาโควิด-19 ในคนได้หรือไม่นั้น งานวิจัยยังไปไม่ถึงระดับนั้น อยู่ระหว่างการวิจัยในคนอยู่         เมื่อรักษาโควิด-19 ในหลอดทดลองได้ ก็น่าจะรักษาในคนได้เหมือนกัน         ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะกระบวนการที่คนกินยาหรือสมุนไพรเข้าไป จะต้องผ่านการย่อยและดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด และค่อยไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย การย่อยและดูดซึมอาจทำให้ยาหรือสมุนไพรเปลี่ยนสภาพ และมีสรรพคุณเปลี่ยนไปจนไม่สามารถยับยั้งเชื้อไวรัสโควิด-19 เหมือนในหลอดทดลองก็ได้         สรุป  การกินกระชาย น้ำกระชาย อาจไม่สามารถยับยั้ง รักษา โควิด-19 ได้เหมือนในหลอดทดลอง แต่ก็ไม่มีอันตรายเพราะคนไทยกินกระชายเป็นอาหารตามปกติอยู่แล้ว และยังช่วยรักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้[1] Sci Rep. 2020 Nov 17;10(1):19963. doi: 10.1038/s41598-020-77003-3

อ่านเพิ่มเติม >


ฉบับที่ 232 New Normal กับไทยชนะ & แอปพลิเคชั่นจองคิว

        หลังจากที่รัฐบาลประกาศผ่อนปรนช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ทำให้ร้านค้าและผู้ประกอบการสามารถทยอยเปิดกิจการได้เป็นปกติ เพียงแต่ต้องปฏิบัติตามกฎและมาตรการต่างๆ ที่ภาครัฐประกาศออกมาอย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมและเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ขึ้นอีก จึงทำให้เห็นว่ารัฐบาลและผู้ประกอบการต้องเพิ่มแนวทางที่สามารถตอบโจทย์มาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม หรือ Social distancing ภายในพื้นที่ร้านค้า ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในรูปแบบ New Normal        สิ่งแรกที่เห็นได้ชัดเจนจากมาตรการของรัฐ ที่ให้ร้านค้าและผู้ประกอบการต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ไทยชนะ.com เพื่อรับคิวอาร์โค้ดมาติดที่ร้าน ซึ่งจะช่วยเก็บข้อมูลผู้ใช้บริการและกำหนดจำนวนผู้เข้ารับบริการเพื่อลดความแออัดของผู้ใช้บริการในลักษณะการเช็คอินและเช็คเอาท์         โดยร้านค้าและผู้ประกอบการจะมีมาตรการเฝ้าระวังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อคัดกรองคนและลดความแออัดของผู้ใช้บริการ อยู่ 2 รูปแบบ คือ การลงทะเบียนโดยการกรอกชื่อนามสกุลและเบอร์โทรลงในแผ่นกระดาษ และการลงทะเบียนผ่าน QR Code ไทยชนะ ดังนั้น New Normal สำหรับผู้ใช้บริการอย่างเรา ก็ต้องปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัดเช่นกัน          การลงทะเบียนผ่าน QR Code ไทยชนะ ให้สแกน QR Code ไทยชนะที่ร้านค้าและผู้ประกอบการได้จัดเตรียมไว้ผ่านกล้องโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน จะปรากฎให้เลือกเมนู “เช็คอินร้าน” และเมนู “เช็คเอาท์/ประเมินร้าน” ผู้ใช้บริการเพียงทำหน้าที่กดเช็คอินเมื่อเข้าร้าน และกดเช็คเอาท์พร้อมประเมินร้านเมื่อออกจากร้าน แต่สำหรับผู้ใช้บริการที่เพิ่งใช้สแกน QR Code ไทยชนะครั้งแรก จะต้องกดรับข้อตกลงและความยินยอม และกรอกหมายเลขโทรศัพท์ก่อนทำการเช็คอิน         ไม่เพียงแต่การลงทะเบียนผ่าน QR Code ไทยชนะเท่านั้นที่มีใช้อยู่ในขณะนี้ แต่ร้านค้าและผู้ประกอบการหลายแห่งได้มีแอปพลิเคชั่นและเว็บไซต์เพื่อใช้ลงทะเบียนในการเข้าใช้บริการโดยตรง วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถกดจองคิวในระบบก่อนที่จะมีการเข้าใช้บริการจริง เปรียบเสมือนเป็นการนัดหมายล่วงหน้า ซึ่งเป็นการช่วยลดความแออัดและจำกัดผู้ใช้บริการตามกฎและมาตรการต่างๆ ที่ภาครัฐประกาศออกมา        การใช้แอปพลิเคชั่นและเว็บไซต์ในการจองคิวเข้าใช้บริการต่างๆ เช่น การจองคิวทำบัตรประชาชน การจองคิวทำใบขับขี่ออนไลน์ การจองคิวทำพาสปอร์ต การจองคิวชมภาพยนตร์ การจองคิวเข้าบริการฟิตเนส การจองคิวทำฟัน การจองคิวขึ้นเขาคำชะโนด ฯลฯ รวมถึงการปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิต New Normal ในรูปแบบใหม่ อย่างการเข้าคอร์สฟิตเนสออนไลน์ การเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ เป็นต้น         การปรับหาวิถีการดำรงชีวิตแบบใหม่ด้วยการใช้เทคโนโลยีมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อให้ประชาชนในประเทศไทยปลอดภัยจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ควบคู่ไปกับความพยายามฟื้นฟูธุรกิจและผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเดินต่อไปข้างหน้าให้ได้ ทุกคนต้องช่วยกันนะคะ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 228 เมื่อนวดไทย เป็นมรดกของโลก

“เมื่อปลายปี 2019 คณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐบาลเพื่อการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโก มีมติประกาศให้นวดไทยติด 1 ใน 15 มรดกโลกทางวัฒนธรรมของยูเนสโกประจำปี 2019 ซึ่งจัดประชุมครั้งที่ 14 ขึ้นที่โบโกตา ประเทศโคลอมเบีย มติของยูเนสโกให้ขึ้นบัญชี "นวดไทย" (Nuad Thai, traditional Thai massage) เป็นตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity) พร้อมกับมรดกวัฒนธรรมฯ จากประเทศอื่นๆ อีก 14 ประเทศ” ฉลาดซื้อจึงขอร่วมแสดงความยินดีกับเรื่องนี้ ด้วยการพา ดร. ภก.ยงศักดิ์ ตันติปิฎก หัวหน้าหน่วยวิจัยระบบภูมิปัญญาสุขภาพ สำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ เล่าถึงความดีงามของนวดไทย ว่าทำไมยูเนสโกเห็นว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลก ทำไมยูเนสโกจึงเลือก “นวดไทย”         ทำไมยูเนสโกเขาคิดเรื่องว่าเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม หรือมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้   ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญอันหนึ่ง ก็คือว่าในโลกของยุคสมัยใหม่มันมีลักษณะการจดสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ ของสิทธิ์ต่างๆ ในหลายลักษณะมากที่เขาเรียกว่าทรัพย์สินทางปัญญา แล้วก็การแสดงความเป็นเจ้าของมันก็ทำให้เกิดผลกระทบกับสิ่งที่เป็นวัฒนธรรม ซึ่งมีการสร้างสรรค์โดยมนุษย์ในอดีตที่ผ่านมาเยอะแยะ เพราะว่าถ้าเมื่อไรผูกขาดความเป็นเจ้าของโดยใครคนใดคนหนึ่งจะกระทบคนอื่นที่เขาเคยใช้ประโยชน์ อันนี้เป็นเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้ต้องคิดถึงว่า แล้วจะปกป้องคุ้มครองสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมเหล่านี้ เป็นความรู้เป็นการปฏิบัติที่คนเคยทำกันมาแล้วสืบทอดกันมาได้อย่างไร ไม่ให้ถูกฉกฉวยเอาไปเป็นจดสิทธิบัตรของที่โน่น ที่นี่ ที่นั่น จดสิทธิความเป็นเจ้าของ ของใครคนใดคนหนึ่ง อันนี้ก็เรียกว่าเป็นภัยคุกคามต่อเรื่องวัฒนธรรมของมนุษย์         เพราะฉะนั้นเขาก็เลยคิดว่ายูเนสโกควรมีบทบาทในการทำเรื่องนี้โดยการขึ้นทะเบียน ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า List Type ผมอยากจะแปลเป็นภาษาไทยว่าเป็นการประกาศจารึกไว้ว่า นี่มันเป็นสมบัติของมนุษยชาติ เพราะฉะนั้นเขาก็ใช้อนุสัญญาฉบับนี้เพื่อที่จะทำให้ประเทศต่างๆ มาทำเรื่องนี้ด้วยกัน เพราะฉะนั้น หัวใจของการที่ได้ขึ้นจารึกว่าเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมหรือมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ขึ้นไปเป็นของประเทศนั้นประเทศนี้คนอื่นห้ามมาใช้ มันจะคนละ concept  คนละวิธีคิดกับเรื่องของสิทธิบัตรคนละเรื่องกันเลย มันไม่ใช่การแสดงความเป็นเจ้าของ แต่มันเป็นการแสดงว่าเป็นของมนุษยชาติที่โลกนี้มนุษย์ควรจะต้องช่วยกันดูแล ช่วยกันคุ้มครองอย่าให้มันสูญหาย ต้องช่วยกันดูแล concept ตรงนี้ ต้องเข้าใจกันให้ชัด เพราะว่าผมได้มีโอกาสไปคุยกับราชการบางส่วนที่พอเห็นว่า  นวดไทยขึ้นยูเนสโกแล้วอยากจะโหนกระแส โดยไม่เข้าใจ concept ของเขา แล้วก็จะบอกว่าถ้าเราได้ขึ้นยูเนสโกอย่างนี้เราก็จะไปขอจดสิทธิบัตรได้ไหม เพราะนี่เขารับรองเป็นมรดกโลกแล้ว ผมบอกไปว่าคนละเรื่องกัน ความต่างของนวดไทยกับนวดแบบอื่นๆ         ขอบเขตของนวดไทยไม่ใช่แค่นวดภาคกลางแต่หมายถึงนวดพื้นบ้านด้วย นวดพื้นบ้านที่อยู่ตามภูมิภาคต่างๆ มันมีภูมิปัญญาของเขาเกิดขึ้นมาเอง สัดส่วนของร่างกายในแต่ละภาคจะมีชื่อเรียกของเขา กระบวนการนวดรักษาแตกต่างกัน  ฤาษีดัดตนกับนวดไทยก็ไม่รวมกัน         คือเราบรรยายในเอกสารที่เราเสนอยูเนสโกว่า เรื่องของนวดไทยเราเป็นทั้งศาสตร์เป็นทั้งศิลปะในการดูแลสุขภาพของคนไทยที่ไม่ใช้ยา โดยใช้มือผสมกับกาลเวลา โดยมีตัวทฤษฎีที่เป็นหลักการสำคัญก็คือเรื่องของเส้นโดยเฉพาะเส้นประธาน 10 ในส่วนของตรรกะอาจจะมีส่วนที่ใกล้กับราชสำนัก(นวดแบบหนึ่ง) ก็จะมีองค์ความรู้ที่เป็นระบบมากหน่อย ก็จะมีเรื่องของเส้นประธาน 10 อย่างชัดเจน   ในส่วนที่แตกต่างกันไปตามหัวเมือง concept เรื่องเส้นกับลมก็ยังมีอยู่อย่างชัดเจน ไม่ต่างกัน แล้วก็เรื่องของธาตุที่เข้ามาเกี่ยวข้องคือ ธาตุทั้ง 4 คือเขาจะอยู่บนๆ เพียงแต่ว่าความลึกความละเอียดมันอาจจะมีความแตกต่างกัน แต่สุดท้ายก็ concept เดียวกันคือเรื่องเส้น เรื่องลม เรื่องธาตุที่จะมาจัดการกับความเจ็บป่วยโดยใช้มือกับส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่เน้นใช้ยา         แล้วก็เราก็พยายามทำให้กระจ่างบอกว่า concept เรื่องเส้นประธานของเราก็ไม่ได้เหมือนกับทางจีนทางอินเดียเสียทีเดียว มันก็มีความแตกต่างกัน มีบางคนชอบพูดว่าเราเอามาจากอินเดียพอเราไปดูอินเดียก็ไม่เห็นมี นวดจีนก็เป็นอีกแบบก็มีเส้นลมปราณของเขา ซึ่งเราก็เคยเชิญอาจารย์จากปักกิ่งมา เขาก็มาสาธิตวิธีการนวดของเขาแลกเปลี่ยนกับของเรามันก็มีความแตกต่างอย่างชัดเจน ทฤษฎีเส้นประธาน 10 ของเราของเขาก็ไม่มี เขามี 12 14 เส้นของเขา ส่วนของอินเดียเขาก็มีจักรกะต่างๆ ซึ่งเป็นตำแหน่งของพลังงาน แต่ก็มีแนวดีที่คล้ายของเรา แนวอินทารา   แต่ก็ไม่ใช่ตรงกันเสียทีเดียวชื่ออาจจะพ้องกันสามเส้นสี่เส้นก็แล้วแต่ แต่ว่าทิศทางหรือการนำมาใช้ก็คนละเรื่องกัน พูดง่ายๆ คือคนละศาสตร์กัน         แต่ว่าของบางอย่างมันก็อาจจะมีบางอย่างที่คล้ายคลึงกันได้ เพราะมันก็อยู่บนร่างกายมนุษย์เหมือนกัน ซึ่งตรงนี้เราก็พยายามจะทำให้ชัดเจนว่ามันก็เป็นลักษณะที่มีความเฉพาะของไทยเรามีความเฉพาะเจาะจงพอสมควรเพื่อป้องกันว่าจะมีคนอ้างว่า เช่นนวดไทยเป็นของอินเดียเราไปเสนอได้อย่างไร อันนี้เพื่อจะเคลียร์ประเด็นพวกนี้ ต่อไปนี้เราจะไม่พูดว่านวดไทยมาจากอินเดียเพราะมันไม่มีหลักฐาน นวดไทยมาจากจีนมันไม่มีหลักฐาน พูดไปโดยไม่มีหลักฐานมันไม่เกิดผลดีอะไร เราควรจะพูดจากสิ่งที่ปรากฏแล้วเราก็อาจจะสันนิษฐานว่ามันมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันในลักษณะไหน อาจจะเกิดการแลกเปลี่ยนกัน มันเป็นเรื่องปกติของวัฒนธรรมที่เวลาคนไปมาหาสู่กันก็แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน แต่จะบอกว่าอันนี้มาจากที่นั่นที่นี่โดยตรงมันพูดยาก ยกเว้นบางเรื่องชัดๆ อย่างเช่น พุทธศาสนามาจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอยู่ที่อินเดียตอนเหนือถึงแม้กระนั้นก็ตามก็ยังมีคนเถียงอยู่นะว่าไม่จริงหรอกอันนี้ก็ว่ากันไป วัฒนธรรมมันเป็นสิ่งที่สืบทอดกันมายาวนานใช้เวลา การจะพูดอะไรควรจะพูดจากหลักฐานที่มีอยู่พูดเกินเลยหลักฐานมันสร้างปัญหา แล้วอีกประเด็นหนึ่งก็คือว่า จริงๆ การทำงานชิ้นนี้ไม่ได้ต้องการแสดงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ เราต้องการบอกว่าของเหล่านี้มีคุณค่าต่อมนุษย์เท่านั้นเอง การนวดมีอันตรายไหม          คนที่นวด นวดไปทำไม นวดไปเพื่ออะไร จากที่ไหนคุณภาพเชื่อถือได้ไม่ได้อย่างไรตอนนี้เป็นปัญหาใหญ่ซึ่งราชการเขาก็พยายามทำอยู่ บางอย่างเช่น ทำให้นวดทั่วๆ ไปมีสถานที่ ที่ด้รับการรับรองแล้วคนนวดก็ผ่านการอบรมมาในระดับที่เขาพอยอมรับได้ แต่ว่านวดพวกนี้เป็นนวดที่ไม่ได้เน้นการรักษาโรคเป็นการนวดเพื่อผ่อนคลายเพื่อความสบาย แต่ว่าประชาชนที่ไปนวดบางทีเขาก็คาดหวังว่านวดแล้วมันก็ต้องแก้โน่นแก้นี่ให้เขาได้ เพราะฉะนั้นเขาก็ไปบางทีหมอก็อาจจะต้องทำในสิ่งที่เกินความสามารถของเขา บางทีก็ทำในสิ่งที่มันอาจจะยิ่งซ้ำเติมเพราะว่าความรู้กับประสบการณ์ก็อาจจะยังน้อยแต่ว่าไปทำในเรื่องที่เกินขีดความสามารถของตัวเอง แล้วก็อาจจะไปทำในสิ่งที่เป็นอันตรายเกิดขึ้น อันนี้มันก็ทำให้เกิดผลเสียโดยรวม         ในช่วงสักสองสามปีที่ผ่านมามันจะเจอเคสที่นวดแล้วเป็นอันตราย ซึ่งมันก็ปนๆ กันตอนนี้คนนวดอย่างที่ว่ามันหลากหลายมากเราก็ไม่รู้ว่าพวกไหนเป็นพวกไหน แต่ตอนนี้สิ่งที่ราชการเขาพยายามทำคือ ตะล่อมให้เข้าไปอยู่ในที่ทางที่เขาดูแลได้ นอกจากนั้นก็ถือว่าผิดกฎหมาย แต่ว่าที่ผิดกฎหมายที่ทำกันอยู่เยอะแยะที่ไม่ได้ขออนุญาตตามกฎหมาย  ก็ยังมีอยู่เยอะแยะแล้วก็อาจจะทำดีบ้างไม่ดีบ้างปนๆ เราก็ไม่รู้ไม่สามารถประกันอะไรได้ทั้งนั้น อาจจะมีคนมีฝีมืออยู่ในนั้นก็มี มีคนที่ตั้งตัวมาแล้วก็ทำในจุดในสิ่งที่อาจจะเกิดอันตรายร้ายแรงก็ได้ก็ไม่มีใครรู้ อันนี้ก็เป็นปัญหาที่ประชาชนเองก็ต้องระวัง แล้วก็อย่าคิดว่าการนวดมันจะเกิดผลดี ถ้านวดโดยคนที่ไม่มีความชำนาญมันก็เกิดผลเสียแล้วก็ในบางกรณีก็อาจจะเกิดอันตรายที่ร้ายแรงได้ โดยเฉพาะการนวดในข้อห้ามต่างๆ ที่ไม่ให้นวดกัน มันก็มีนะข้อห้ามในการนวดมันก็มีอยู่ ไปนวดก็เกิดอันตรายอาจจะถึงแก่ชีวิตได้ ตำแหน่งบางแห่งของร่างกายเราก็ไม่ให้นวดเพราะว่ามันมีความเสี่ยง เช่นอาจจะไปทำให้เกิดการบาดเจ็บของเส้นประสาท อาจจะทำให้เกิดอัมพาตตามมาก็ได้ ในบางที่ ในบางท่า แล้วก็อาจจะถึงแก่ชีวิตด้วยซ้ำในบางตำแหน่งเช่นไปกดประตูลมตรงท้อง โดยที่ไม่รู้ว่าผู้ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดโป่งพองในท้องกดไปก็หลอดเลือดแตกทันทีเลย มันก็อันตรายพวกนี้ถ้าคนที่เขาเรียนมาเยอะพอเขาจะรู้ข้อระวังพวกนี้แล้วเขาจะต้องมีวิธีตรวจหรือต้องซักประวัติสอบถามจนแน่ใจว่าไม่เข้าข่ายที่จะเกิดอันตรายได้เขาถึงจะทำ         เพราะฉะนั้นการนวดมันก็มีสองด้านเรื่องความปลอดภัยก็เป็นเรื่องที่ต้องระวังมากๆ คนที่อบรมมาน้อยเรียนมาน้อยหรือว่าเรียนแบบงูๆ ปลาๆ ก็อาจจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้ก็กล้าทำในสิ่งที่ไม่ควรทำเพราะรู้น้อย หรือถ้าคนที่เรียนมากรู้มากขึ้นเขาก็จะรู้ข้อจำกัดตัวเองว่าทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราต้องเข้าใจประชาชนที่จะไปใช้บริการเองก็ต้องเข้าใจว่าหมอมีหลากหลายมาก เรียนมาหลากหลายมากบางคนก็รู้น้อยบางคนก็อาจจะรู้มากมีประสบการณ์มากมันต้องพิจารณาให้ดีก็ไม่ง่ายที่จะไปพิจารณาว่าใครเป็นคนที่มีความรู้มีประสบการณ์ก็ไม่ได้ง่ายซะทีเดียว ขึ้นอยู่กับว่าตัวเราต้องช่างสังเกต เราจะสังเกตหมอนวดอย่างไร         ตอนนี้คือถ้าหากว่าไม่แน่ใจก็ต้องยังไม่เสี่ยงที่จะไปนวดกับคนที่เรายังไม่รู้จักไม่แน่ใจ อย่าคิดว่านวดมันมีแต่ผลดีอาจจะเกิดผลเสียแทรกซ้อนได้ ถ้าทำโดยคนที่ไม่รู้ ถ้าเราไม่แน่ใจก็อย่าให้เขานวด ส่วนหนึ่งมันจะมีการนวดที่อยู่ในคลินิกหรือในสถานพยาบาลอันนี้ก็จะถือว่าน่าเชื่อถือได้มากที่สุดแล้ว เพราะว่าการที่เขามีคลินิกเปิดคลินิกได้มันก็ต้องผ่านการรับรองโดยราชการต้องมาอนุญาตแล้วก็เขาต้องมีใบประกอบวิชาชีพ คนที่มีใบประกอบวิชาชีพต้องมีความรับผิดชอบสูงกว่าคนที่ไม่มี เพราะว่าถ้าเขาทำอะไรผิดพลาดเขาก็จะถูกถอนใบอนุญาตได้คือตัดอาชีพเขาเลย แล้วคนที่จะมาเปิดคลินิกรักษาโดยมากโดยส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่แน่ใจว่าตัวเองมีฝีมือพอสมควร   มีความรู้พอสมควรที่จะทำแล้วมีคนมาหาแล้วก็อยู่ได้อยู่รอด เพราะว่าการเปิดสถานพยาบาลหรือคลินิกมันต้องลงทุนมันมีค่าใช้จ่าย ถ้าไม่แน่ใจก็ไม่กล้าเปิด แต่ถ้าร้านนวดเล็กๆ นวดในที่ไม่ต้องอะไรมากมายก็การลงทุนก็อาจจะไม่เยอะก็ตั้งตัวขึ้นมาแล้วก็นวดๆ ไป นวดไทยมีบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพหรือยัง         มีอยู่หลายตัวอย่างที่เขาทำๆ กันอยู่หลายที่แล้วเขาก็ทำกับชุมชนแล้ว รพ.สต ก็ไปสนับสนุนให้เขาอยู่ได้แล้วก็ดูแลกัน ก็มีพ่อหมอมาช่วยกันผลัดเปลี่ยนกันมาช่วยดูแลชาวบ้านช่วยกันดูแลผู้ป่วยอาจจะใช้สถานที่ในศาลาประชาคมของหมู่บ้าน บางที่เขาก็ใช้อย่างนั้นแต่ว่าก็ต้องมีการจัดการเพราะว่ามันก็ต้องมีคนมาช่วยจัดการถึงจะไปได้ แล้วก็บางทีก็ต้องหาเงินหาทุนมาสนับสนุนสิ่งของเครื่องใช้บางอย่างจะให้ชาวบ้านลงทุนเองทั้งหมดก็จะทำยาก เท่าที่ผมไปเห็นมาแล้วก็ราชการก็ลงมาสนับสนุนแล้วก็ช่วยดู ส่วนของเจ้าหน้าที่  ที่เป็นทางฝ่ายสาธารณสุขเขาก็จะเข้าใจในเรื่องสิ่งที่จะต้องระมัดระวังสิ่งที่อาจจะเกิดผลแทรกซ้อน ก็จะช่วยกันดูแลช่วยกันควบคุมดูแลกำกับกันให้อยู่ในกรอบไม่สร้างปัญหา ถ้าเกิดว่าทำอะไรที่มันล่อแหลมเกินไปอันตรายเกินไปก็ต้องคอยเตือนๆ กันว่าท่านี้นวดแบบนี้มันอาจจะเสี่ยงเกินไป มีคนช่วยกันดูก็จะทำให้มันลดปัญหาลงไปได้ ปัจจุบันมีการจัดระเบียบการควบคุมราคา เรื่องความปลอดภัยในการใช้บริการไหม         คือเราเสนอให้หน่วยงานรับผิดชอบจะต้องดูแลเรื่องนี้ให้เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งเขาก็พยายามทำอยู่พยายามอยู่แต่ว่าเนื่องจากเรื่องการนวดมันกว้างขวางมันแพร่หลายมากก็เห็นใจว่ามันไม่ได้ง่าย แต่ว่าคนที่จะทำได้ก็คือราชการเพราะมีกลไกมีมือไม้ทุกจังหวัดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าก็ต้องช่วยกันสอดส่องดูแลห้ามปรามกัน เพราะว่าถ้าทางราชการไม่ไปห้ามปรามไม่ไปดูแล  มีคนหนึ่งทำได้โดยผิดกฎหมายคนอื่นก็ทำตามเขาอ้างว่าคนนั้นก็ทำได้ฉันก็ทำบ้าง อันนี้ราชการเองก็ต้องคอยกวดขันห้ามปรามอาจจะต้องถึงขั้นจับกุมในบางกรณีเพื่อให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย กฎหมายมันมีอยู่เรื่องพวกนี้แต่ว่าเราจะบังคับใช้กฎหมายพวกนี้มากน้อยแค่ไหน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 226 ความเคลื่อนไหวเดือนธันวาคม 2562

สี่ล้อแดงเชียงใหม่ปรับตัว เริ่มใช้แอปฯ ต้นปี 2563        หลังกระทรวงคมนาคม เตรียมเสนอ ครม.พิจารณาออกกฎหมายรองรับแกร็ป ซึ่งคาดว่าจะประกาศใช้ในเดือนมีนาคม 2563 ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการสี่ล้อแดงในจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีอยู่ทั้งหมด 2,465 คัน ขณะที่สี่ล้อแดงเชียงใหม่ ก็เตรียมพร้อมปรับตัว โดยในต้นเดือน ม.ค.63 สหกรณ์นครลานนาเดินรถ เตรียมเปิดใช้แอปพลิเคชัน CM TAXI ที่ร่วมพัฒนาโดย กระทรวงพลังงานและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยแอปฯ มีการใช้งานทุกอย่างเหมือนกับ Grab มีการแสดงระยะทาง อัตราค่าโดยสาร และข้อมูลรถที่จะให้บริการ เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจ ในขณะที่ผู้ใช้เฟสบุ๊คบางรายแสดงความเห็นว่า นอกจากการทำแอปฯ แล้วอยากให้ปรับปรุงเรื่องการให้บริการและการคิดราคาค่าโดยสารด้วย สสส. ชวนเลิกบุหรี่ ผ่าน อสม.        สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวที “ชวน ช่วย เลิกบุหรี่” เพื่อให้เกิดพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านแนวคิดและกระบวนการทำงานระหว่างภาคีเครือข่ายที่มีส่วนในการขับเคลื่อน พร้อมประกาศเจตนารมณ์ “ปักหมุด หยุดสูบ” ร่วมสร้างสังคมปลอดบุหรี่ และสร้างการมีส่วนร่วมในการสร้างปัจจัยเอื้อต่อการลด ละ เลิกสูบบุหรี่ในพื้นที่สาธารณะ         โดยข้อมูลจากระบบบัตรทอง ประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการปี 2560 พบว่ามีผู้ป่วยที่ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลด้วยโรคจากบุหรี่ถึง 553,611 ครั้ง คิดเป็นค่ารักษาพยาบาลรวม 21,389 ล้านบาท แต่ละครั้งต้องนอนรักษาที่โรงพยาบาลเฉลี่ย 7 วัน โดยเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในแต่ละครั้งเฉลี่ย 38,638 บาท หรือ 6,806 บาทต่อวันสสส. จึงสนับสนุนโครงการจัดความรู้และสื่อสารการขับเคลื่อนงานตามพันธกิจชวนและช่วยเลิกบุหรี่ ดำเนินการในพื้นที่ 12 จังหวัด ผ่านอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน “อสม.” โดยมีโรงพยาบาล โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เป็นแกนกลางสนับสนุนให้เครือข่ายและ อสม. ทำหน้าที่ชวนและช่วยคนในชุมชนให้เลิกสูบบุหรี่ตามบริบท วิถีชีวิต สภาพสังคม และวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่​ผู้สูงอายุไทยยังรู้สึกว่าดูแลตนเองได้        ข้อมูลจากการสำรวจสุขภาพประชากรไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 5 โดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ได้สัมภาษณ์กลุ่มผู้สูงอายุในประเด็นการดูแลตนเองว่า “จำเป็นต้องมีคนดูแลปรนนิบัติในงานกิจวัตรประจำวันหรือไม่” โดยคำตอบจากกลุ่มผู้สูงอายุ 60 - 69 ปี ร้อยละ 94 บอกว่าสามารถดูแลตนเองได้ ซึ่งสัดส่วนของคำตอบนี้ ลดลงตามอายุที่มากขึ้น ในกลุ่มผู้สูงอายุวัย 80 ปีขึ้นไป เหลือร้อยละ 76.2 ในผู้ชาย และร้อยละ 58.4 ในผู้หญิง         นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้สูงอายุชายร้อยละ 90.9 และผู้หญิงร้อยละ 84.6 ตอบว่าไม่ต้องการผู้ดูแล และส่วนที่ต้องการและมีผู้ดูแลมีร้อยละ 7.4 ในเพศชาย และ 13.4 ในเพศหญิง         ส่วนกลุ่มที่ต้องการ แต่ไม่มีผู้ดูแล มีร้อยละ 1.7 - 2.1 เมื่อจำแนกตามอายุและเพศ โดยกลุ่มอายุ 60 - 69 ปี ที่ไม่ต้องการผู้ดูแล มีสูงถึงร้อยละ 94.6 ในเพศชาย และ 93.4 ในเพศหญิง ซึ่งอาจอธิบายได้ว่ากลุ่มนี้ยังแข็งแรงและช่วยตัวเองได้        ส่วนคำถามที่ว่า ‘ใครเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุ’ ผู้สูงอายุที่ตอบว่ามีผู้ดูแลในชีวิตประจำวันซึ่งอาจมีมากกว่าหนี่งคน คือ บุตรสาวมีสัดส่วนสูงสุด (ร้อยละ 45.1) รองลงมาคือ คู่สมรส (ร้อยละ 28.1) บุตรชาย (ร้อยละ 18.4) และหลาน (ร้อยละ 6.2) สรุปได้ว่าเป็นผู้ดูแลในระบบครอบครัว และดูเหมือนว่าผู้ดูแลจากระบบบริการ เช่น ผู้ช่วยพยาบาล หรือ ผู้ดูแลรับจ้าง ยังไม่มีบทบาทมากนัก         อย่างไรก็ตาม แม้จะเชื่อมั่นว่าดูแลตัวเองได้ แต่จากสถิติระบุผู้สูงอายุ ‘พลัดตก-หกล้ม' ต้องเข้ารับบริการทางแพทย์ฉุกเฉินเฉลี่ย 140 ครั้ง/วัน เสียชีวิตเฉลี่ย 3 คน/วัน พบรอบ 3 ปี รับบริการทางแพทย์ฉุกเฉินถึง 141,895 ราย แม้ลักษณะบ้านที่ปลอดภัยสำหรับผู้สูงอายุควรเป็น ‘บ้านชั้นเดียว’ แต่ผู้สูงอายุกลับอยู่ 'บ้านหรือตึกสองชั้นขึ้นไป' มากที่สุดที่ 44% ต้องใช้บันไดขึ้นลงทุกวัน 48.8% ต้องเดินบนพื้นที่ลื่น 31.7% มีผู้สูงอายุเพียง 24.6% เท่านั้นระบุว่าอยู่บ้านที่ดัดแปลงให้เหมาะสมกับตนเอง เด็กไทยเล่นเกมส์ออนไลน์เกินวันละ 8 ชั่วโมง        สมาคมวิทยุและสื่อเพื่อเด็กและเยาวชน (สสดย.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และหน่วยงานอื่นๆ จัดเสวนาเรื่อง “เปิดวิถีออนไลน์...เด็กไทยกับภัยใกล้ตัว” โดยได้นำผลการวิจัยเชิงสำรวจ หัวข้อ "สถานการณ์การเล่นเกมส์ออนไลน์ของเด็กไทย" ประจำปี 2562 ซึ่งสำรวจนักเรียนระดับมัธยมศึกษา, ปวช. และ ปวส. รวม 3,056 คน จากทั่วประเทศใน เดือน ก.ย. – ต.ค.62 พบว่า เด็กส่วนใหญ่ 2,730 คน หรือ ร้อยละ 89.33 เคยเล่นเกมส์ออนไลน์ โดยเล่นเกมเกือบทุกวัน ร้อยละ 64.66 เฉลี่ย 3-5 ชั่วโมง หากเป็นเด็กในพื้นที่ กทม. ร้อยละ 8.1 จะใช้เวลาเล่นเกมส์มากกว่า 8 ชั่วโมงในวันหยุด         โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้เด็กเล่นเกมส์ออนไลน์มากที่สุด คือ เพื่อนชักชวน รองลงมาคือ ข้อมูลจากสื่อออนไลน์ นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่าเกมส์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของเด็กไทย คือ ROV ร้อยละ 51.38 รองลงมา คือ PUBG MOBILE ร้อยละ 18.21 และ Free Fire ร้อยละ 15.53         ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายกับเกมส์ออนไลน์ พบว่าในจำนวนผู้ที่ตอบว่า เคยเสียเงินในการเล่นเกมออนไลน์ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25.13 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดนั้น พบว่าร้อยละ 30.9 ในจำนวนดังกล่าว ใช้จ่ายมากกว่า 500 บาทต่อเดือน         ทั้งนี้ ยังพบว่า เด็กต้องเผชิญกับการกลั่นแกล้งรังแกออนไลน์ในหลายรูปแบบ จนอาจนำไปสู่การทำร้ายตนเองและผู้อื่นทั้งทางร่างกาย ทางจิตใจ และทางสังคม จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการสร้างความฉลาดทางดิจิทัลให้กับเด็กและเยาวชน เพื่อให้เท่าทันต่อกระบวนการกลั่นแกล้งทางออนไลน์ เช่น สอนให้เด็กจัดการตัวตนและรับผิดชอบต่อการกระทำบนโลกออนไลน์ สอนให้ใช้เวลาออนไลน์อย่างพอเหมาะ ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ การงาน และชีวิตด้านอื่น สอนให้ยืดหยุ่น เข้มแข็ง รับมือกับการกลั่นแกล้งได้ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร้อง ‘ศาลปกครองสูงสุด’ ระงับขึ้นค่าทางด่วน        เมื่อ 20 ธ.ค.62 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พร้อมเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุด ขอให้ไต่สวนฉุกเฉิน ระงับการขึ้นเงินค่าผ่านทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมือง - โทลล์เวย์) ที่เตรียมจะปรับขึ้นในวันที่ 22 ธ.ค.62 ซึ่งยังเป็นคดีที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด หากยังคงปล่อยให้ขึ้นราคาค่าผ่านทาง จะส่งผลกระทบก่อให้เกิดความเดือดร้อนและความเสียหายต่อประชาชน และขอให้ศาลกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนคำพิพากษาจะถึงที่สุด         โดย นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า มูลนิธิฯ รู้สึกผิดหวังที่กรมทางหลวงไม่ยอมทำอะไร หลังจากที่มีคำพิพากษาศาลปกครองกลางเมื่อปี 2558 ที่ให้มีการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับเรื่องสัมปทาน ซึ่งความเป็นจริงแล้วขณะนี้ประชาชนควรจะได้รับสิทธิในการใช้ทางดังกล่าวโดยที่ไม่ต้องเสียเงิน เนื่องจากสัญญาสัมปทานได้สิ้นสุดไปตั้งแต่ปี 2557        แต่ด้วยทางบริษัทฯ ได้มีการทำตัวเลขขาดทุนที่เกินจริง ทำให้มีการขยายอายุสัญญาสัมปทานออกไปอีก 20 ปี ซึ่งจะสิ้นสุดในปี 2577 และยังมอบอำนาจให้เอกชนสามารถปรับขึ้นค่าผ่านทางได้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตหน่วยงานใด ตนจึงฝากถึงนายกรัฐมนตรีให้รีบลงมาดำเนินการในเรื่องดังกล่าว อีกทั้งกรมทางหลวงควรรักษาผลประโยชน์ของประชาชนที่ใช้ทางให้มากกว่านี้ อีกทั้งเพื่อรักษาสิทธิและคุ้มครองสิทธิของประชาชนทุกคนด้วย        อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ศาลมีคำสั่งไม่รับคำขอบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนพิพากษา โดยศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ความเดือดร้อนเสียหายดังกล่าว มิใช่เป็นความเดือดร้อนเสียหายที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ หรือยากแก่การเยียวยาแก่ไข เนื่องจากยังมีทางหลวงแผ่นดิน สายวิภาวดีรังสิต และพหลโยธิน อยู่ใต้ทางยกระดับ ที่สามารถใช้จร ไปมาได้ ผู้ฟ้องคดี จึงมีโอกาสเลือกที่จะใช้เส้นทางอื่น ที่ไม่ต้องชำระค่าบริการผ่านทางตามที่กล่าวแทนทางด่วนยกระดับอุตราภิมุข ช่วงดินแดง-ดอนเมือง-อนุสรณ์สถาน ทั้งขาออกและขาเข้าที่ต้องชำระค่าผ่านทางดังกล่าวได้ อีกทั้งยังมีการเปิดให้บริการขนส่งมวลชน ในเส้นทางใกล้เคียง และที่จะเปิดให้บริการในเส้นทางเดียวกัน เพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้ที่สามารถใช้บริการเป็นทางเลือกในการให้บริการได้         ดังนั้น คำร้องขอให้ศาลกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาโดยขอให้หยุดเก็บเงินค่าผ่านงส่วนที่เพิ่มขึ้นตามสัญญาสัมปทานดังกล่าว ก่อนพิพากษาจนกว่าคดีจะถึงที่สุดนั้น จึงยังไม่มีเหตุเพียงพอ ตามมาตรา 66 ของพระราชบัญญัติจัดตังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง. พ.ศ. 2542 จึงมีคำสั่งไม่รับคำขอให้ศาลกำหนดมาตราการ หรือวิธีการคุ้มครองบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 224 รู้เท่าทันสมุนไพรฟิวชั่น

รู้เท่าทันสมุนไพรฟิวชั่น        เดี๋ยวนี้มีการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพกันทางสื่อต่างๆ อย่างมากมาย ผลิตภัณฑ์สุขภาพส่วนใหญ่ก็เป็นผลิตภัณฑ์หน้าเดิมๆ แต่นำมาปรับรูปโฉมใหม่ เพราะผลิตภัณฑ์สุขภาพก็มีอายุความนิยมสั้นเหมือนสินค้าทั่วไป จึงต้องนำมาปรับเปลี่ยนเพื่อให้ดูเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ จะได้เพิ่มยอดขายและขายต่อไปได้อีกระยะเวลาหนึ่ง ที่กำลังมาแรงมากคือ การนำสมุนไพรหลายๆ ตัวมาผสมรวมกัน หรือที่เราเรียกกันว่า ฟิวชั่น นั่นเอง มารู้เท่าทันสมุนไพรฟิวชั่นกันเถอะ นึกว่ามีแต่อาหารฟิวชั่น         เมื่อพูดถึงการฟิวชั่น หลายคนจะคิดถึงอาหารฟิวชั่น บางคนคิดถึงการฟิวชั่นดนตรี การฟิวชั่นเป็นการนำสิ่งต่างๆ ที่ต่างวัฒนธรรม ต่างรูปแบบ มาหลอมรวมกันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ รูปแบบการใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ต้องการความแปลกใหม่ และความสร้างสรรค์ การฟิวชั่นจึงตอบสนองวิถีชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดีและรวดเร็ว         ในสมัยก่อนเราก็มีการนำวัฒนธรรมอาหาร ดนตรี การแพทย์ของที่อื่น มาปรับใช้กับวิถีชีวิตคน แต่ก็ผ่านการเลือก รับ ปรับ ใช้ และประยุกต์ให้เหมาะสมกับบริบทสังคมไทย เช่นอาหารหลายอย่างของต่างประเทศก็ถูกปรับเปลี่ยนรูปร่าง รสชาติ ให้เข้ากับคนไทย การแพทย์ดั้งเดิมจากอินเดียที่ผ่านมาทางพระพุทธศาสนาก็ผสมผสานกับการแพทย์พื้นบ้านจนกลายเป็นการแพทย์แผนไทย           ตำรับยาไทยเป็นสมุนไพรฟิวชั่นหรือไม่                      ความจริงแล้วตำรับยาสมุนไพรของไทยก็เป็นการฟิวชั่นสมุนไพรมานานหลายร้อยปี โดยใช้หลักการตั้งตำรับยาตามการแพทย์แผนไทย โดยเน้นเรื่องยาหลัก ยารอง รสของยา ตามสมุฏฐานการแพทย์แผนไทย สมุนไพรบางตัวที่เป็นสมุนไพรต่างประเทศ ก็มีการปรับเอาสมุนไพรภายในประเทศที่มีสรรพคุณเหมือนกันมาทดแทน และเมื่อนำมาใช้รักษาโรคกับคนไทย ก็เก็บประสบการณ์การใช้ ผลที่เกิดขึ้น นำมาปรับใช้ให้เหมาะกับธาตุสมุฏฐานของคนไทย เหมาะกับอุตุสมุฏฐานของประเทศไทย ซึ่งต้องใช้เวลานับชั่วอายุคน สมุนไพรฟิวชั่นที่โฆษณาเป็นการเลือก รับ ปรับ ใช้สมุนไพรให้เหมาะกับสังคมไทยหรือไม่        การนำสมุนไพรหลายๆ ตัวมาผสมกันเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรต่างๆ ที่มีการโฆษณาขายกันนั้น มีมากมายหลายชนิด เช่น นำสมุนไพรที่มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ผสมกับสมุนไพรที่มีสรรพคุณต้านการเสื่อม ต้านการอักเสบ ต้านมะเร็ง เป็นต้น มาผสมรวมกัน โดยเชื่อว่า เนื่องจากมีสมุนไพรหลายตัว แต่ละตัวมีสรรพคุณต่างๆ นานา ดังนั้นเมื่อนำมารวมกัน จึงมีสรรพคุณแบบครอบจักรวาล รักษาได้เกือบทุกโรค เหมือนกับสมุนไพรที่พ่อค้าเร่ชอบอวดอ้างว่า “กินก็ได้ ทาก็ได้ อาบได้ก็ดี”         การผสมสมุนไพรหลายๆ ตัวเข้าด้วยกัน โดยเชื่อว่าจะได้มีสรรพคุณหลากหลาย เป็นความคิดแบบวิทยาศาสตร์ ที่แยกส่วนสิ่งต่างๆ ออกจากกัน และเมื่อนำมารวมกันก็เป็นการรวมสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน รวมสรรพคุณต่างๆ ของสมุนไพร ที่จริงแล้วกล่าวได้ว่า เป็นความคิดแบบธุรกิจการขายสินค้ามากกว่า การแพทย์อื่นๆ มีสมุนไพรฟิวชั่นหรือไม่         การแพทย์ดั้งเดิมของจีน อินเดีย ต่างก็มีตำรับยาสมุนไพรจำนวนมาก แต่การฟิวชั่นใช้หลักทฤษฎีทางการแพทย์ดั้งเดิม ซึ่งยึดหลักร้อน เย็น รสของยา เป็นหลัก ไม่ใช่เอายาสมุนไพรแต่ละตัวมารวมกันตามสรรพคุณ         สรุป     สมุนไพรฟิวชั่นที่โฆษณากันทั่วไปนั้น เป็นการฟิวชั่นที่ไม่ได้ใช้องค์ความรู้การแพทย์ดั้งเดิม จึงไม่สามารถเชื่อได้ว่าจะมีสรรพคุณต่างๆ ตามโฆษณา

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 221 ทำไมต้องลดหวาน กับทันตแพทย์หญิงมัณฑนา ฉวรรณกุล

        เมื่อนิตยสารฉลาดซื้อวิเคราะห์ปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มยอดฮิตอย่างชานมไข่มุก ผลการทดสอบทำให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ผู้บริโภคเครื่องดื่มสายหวานเป็นอย่างมาก ทันตแพทย์หญิงมัณฑนา ฉวรรณกุล รองผู้จัดการโครงการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ที่ทำงานรณรงค์เรื่องการลดการบริโภคน้ำตาลมายาวนาน เราลองมาติดตามคุณหมอดูว่าเห็นผลทดสอบชานมไข่มุกแล้วคิดอย่างไร เด็กไทยไม่กินหวานต้องทำงานหนักขึ้นอีกหรือไม่ โครงการเด็กไทยไม่กินหวาน ตอนนี้มีกิจกรรมอะไรบ้างคะ        ตอนนี้เป้าหมายจะไปอยู่ในกลุ่มของศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนที่ทำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2548 ที่เริ่มมีเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ทีนี้ก็จะมีเป้าหมายให้จังหวัดพื้นที่ในแต่ละพื้นที่ของจังหวัดในส่วนภูมิภาคที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งในแต่ละจังหวัดเราตั้งเป้าไว้ในแต่ละปีว่าจะทำในพื้นที่ไหน ศูนย์เด็กเล็กอะไร โรงเรียนอะไร ประเด็นหลักเน้นก็คือ จะเน้นเรื่องการบริโภคน้ำตาล ในส่วนนี้เองตอนนี้ก็จะเพิ่มเป็นประเด็นรณรงค์ในส่วนไม่ดื่มน้ำอัดลมเสร็จแล้ว คือทุกโรงเรียนไม่ดื่มน้ำอัดลมไม่มีจำหน่าย แล้วก็นมเป็นนมจืด         ในส่วนประเด็นต่อมาคือเรื่องการจัดการสภาพแวดล้อม มีประเด็นให้เน้นในเรื่องของโรงเรียน โรงอาหารอ่อนหวาน มีการบูรณาการร่วมกับทางอาหาร ในเรื่องของโรงอาหารอ่อนหวานโรงอาหารปลอดภัย ให้โรงเรียนหาผักปลอดภัย สารเคมีก็อาจจะยังมีอยู่บ้างแต่อยู่ในปริมาณที่ยอมรับได้ แล้วก็ถ้าที่ไหนสามารถมีการปลูกผักโดยไม่ใช้สารเคมีในโรงเรียนก็นำสิ่งเหล่านั้นมาปรุงอาหาร แล้วในส่วนนี้เองก็บูรณาการกับโรงอาหารที่จะไม่มีการจำหน่ายของว่างที่เป็นพิษเป็นภัย คือกินของว่างแบบไหนที่จะปลอดภัย ก็ไปกินตามฉลากเขียว เหลือง แดง ที่ทาง อย.น้อยกำหนดว่าเป็นพลังงาน เกลือ ไขมัน น้ำตาล ว่าควรมีเท่าไหร่ต่อวันต่อคน ซึ่งก็จะเน้นว่าในโรงอาหารต้องมีความรู้ตรงนี้เพื่อให้มันติดตา ทั้งเด็กที่จะได้ดูรับรู้ว่าของที่เราชอบกินนั้นมันไม่ควรกิน ซึ่งตอนนี้เป็นเรื่องที่พยายามเชิญชวนโรงเรียนให้เข้าโครงการนี้อยู่         เครือข่ายของเราที่ร่วมทำงานด้วยกันจะไปดำเนินการในโรงเรียนที่ยินดี มีความพร้อม เรายังทำได้ไม่ทุกโรง ในส่วนของบางจังหวัดที่เขาสนใจก็จะเอาตัวนี้ไปทำด้วย จริงๆ แล้วพยายามจะสื่อสารว่า มันควรทำทุกแห่งทั่วประเทศ ทุกโรงเรียนควรจะได้รับโอกาสนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนควรรู้ การรู้แล้วถ้าไม่เอื้อให้ทำได้ เขาก็จะมีพฤติกรรมเดิมๆ อย่างเช่นเครื่องดื่มมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราเน้นว่าให้ดื่มน้ำสมุนไพรแทน คือถ้าไม่ดื่มน้ำอัดลมแล้วจะดื่มอะไร ดื่มน้ำหวานน้ำสมุนไพรแทน ส่วนใหญ่เด็กก็จะพยายามทานน้ำสมุนไพร เราพบว่าน้ำสมุนไพรหวานเราเลยต้องมีเงื่อนไขว่าการจะให้ดื่มน้ำอื่นๆ ก็จะต้องมีน้ำตาลไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งน้ำตาลไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์มันก็ใช้วิธีคำนวณได้ถ้าเราทำเอง        มันก็มีที่บางโรงเรียนอาจจะไม่ทำเอง โรงเรียนก็ต้องควบคุมต้องบอกให้เขาพยายามทำรสชาติที่อ่อนหวาน ใช้ปริมาณน้ำตาลน้อยก็จะต้องมีเครื่องมือไปจับวัดและให้เขาปรับปรุงลดปริมาณน้ำตาลลง ในส่วนของโรงเรียนขนาดใหญ่ในพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ยังทำไม่ได้ก็ให้มีทางเลือก แทนที่จะบอกว่าไม่มีเลย ก็จะมีเครื่องดื่มประเภทอ่อนหวานกับเครื่องดื่มที่หวานปกติ ในตรงนี้ก็ต้องมีการสร้างแรงจูงใจสร้างความตระหนักให้กับนักเรียนหรือกลุ่มคนในนั้นว่าให้เลือกซื้อในส่วนนี้ด้วย เพราะมันจะมีปัญหาว่าถ้าเราไปเน้นให้เขาอ่อนหวานแต่คนบริโภคไม่นิยม ไม่นิยมอ่อนหวานเขาก็จำหน่ายไม่ได้สุดท้ายก็จะทำไม่สำเร็จ  ในเรื่องของการปรับพฤติกรรมปรับนิสัยมันต้องใช้เวลา เช่น อาหารในโรงเรียนที่ไม่วางน้ำตาลเอาไว้ นักเรียนก็จะมีปัญหาว่ารสชาติไม่อร่อยเพราะเคยชินกับรสหวาน แต่เมื่อทำไปเรื่อยๆ เด็กก็จะเคยชินตอนหลังก็คือสามารถทำได้สำเร็จ การปรับพฤติกรรมต้องใช้ความร่วมมือในส่วนไหน ทำงานตรงนี้กับพวกกลุ่มอย่างไรบ้าง        เราทำงานทั้งกลุ่มของครอบครัว กลุ่มของครอบครัว หมายความว่าบางทีเราก็จะมีกิจกรรมในกลุ่มของผู้ปกครองเด็กเล็กก่อนที่จะมาเข้าโรงเรียน มีการทำกิจกรรมฐานความรู้ อย่างของจังหวัดราชบุรีมีชมรมคนรักฟัน เรามีการทำกิจกรรมให้ความรู้ในเรื่องของการเลือกบริโภคทั้งเด็กทั้งผู้ปกครอง ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้มีการนำผู้ปกครองเด็กอนุบาลมาเข้าร่วมกิจกรรมแล้วก็สอนในเรื่องของการแปรงฟัน การใช้ไหมขัดฟัน สอนในเรื่องของสุขภาพช่องปาก ส่วนเรื่องการบริโภคนี่สำคัญมาก เพราะว่าหลายปีที่ผ่านมาฟันผุไม่ลดลงเลยและเด็กอ้วนมากขึ้น พบว่าการบริโภคน้ำตาลมากเกินบริโภคหวานทำให้เด็กฟันผุแล้วเด็กก็อ้วนด้วย การที่เราจะรณรงค์ให้สำเร็จก็ต้องร่วมด้วยช่วยกัน หากมัวแต่รณรงค์เรื่องแปรงฟันอย่างเดียว แต่เด็กยังมีพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูก กินขนมหวาน ดื่มเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลมากฟันเขาก็ผุอยู่ดี ให้รณรงค์อย่างไรฟันเขาก็ผุอยู่ดี ถ้าอย่างนี้แล้วก็ต้องดูแลเรื่องการบริโภคให้ถูกต้องเพื่อให้ฟันแข็งแรง แต่เรื่องกิจกรรมการแปรงฟันก็ต้องคงอยู่ เพราะในข้อเท็จจริงแล้วเราไม่สามารถห้ามให้เด็กบริโภคหลายๆ อย่างได้แต่เราสามารถบอกให้เขาเลือก อย่างน้อยค่อยๆ แทรกซึมในสิ่งที่เขาเลือกอาหารที่ปลอดภัยของว่างที่ควรกินได้ อันไหนที่ควรหลีกเลี่ยงแล้วก็แปรงฟัน เมื่อสร้างสุขนิสัยอันนี้เด็กก็จะเคยชินพอโตขึ้นเขาก็รู้แล้วว่าควรกินอาหารประเภทไหน กินน้ำตาลให้น้อยลงแล้วลิ้นก็จะปรับได้ เหมือนสมัยก่อนตัวเองกินกาแฟต้องใส่ครีมเทียม ซึ่งพบว่าครีมเทียมเป็นไขมันทรานส์ที่ไม่ควรกิน ปัจจุบันก็กินกาแฟเปล่าๆ ที่ไม่ต้องใส่แล้วก็กินกาแฟที่ไม่ต้องใส่น้ำตาลก็อร่อยได้เช่นกัน ซึ่งถ้าเป็นแต่ก่อนก็จะบอกว่าไม่ได้ไม่อร่อย ในส่วนของผู้ใหญ่เองต้องทำให้เป็นตัวอย่างไหมคะ         อย่างยิ่งเลยค่ะ ถ้าเราจะบอกเด็กว่าไม่ควร แต่ผู้ใหญ่ยังบอกว่าขอกินหน่อยค่ะอันนี้มันก็ไม่ได้ ก่อนอื่นเลยผู้ปกครองต้องลองฝึกที่ตัวเองก่อนไม่พยายามหาของที่เป็นอันตรายเข้าบ้าน อีกอันหนึ่งที่เราจะใช้ก็คือวิธีสำรวจตู้เย็น สำรวจตู้เย็นที่บ้านว่ามีของพวกนี้อยู่ไหมเรายังไปซื้อน้ำอัดลมประเภทไซค์บิ๊กที่บอกว่ามันประหยัด แต่ก่อนเราเชื่อว่ามีโปรโมชันเราก็จะซื้อในฐานะแม่บ้านว่ามันถูก แต่ลืมไปว่าการที่เราซื้อของถูกเหล่านี้ไว้ในบ้านมันก็หยิบกินง่าย แต่ถ้าเราไม่มีเด็กก็ไม่มีโอกาสที่จะกิน มันเป็นกลไกการตลาดที่จะทำให้พ่อบ้านแม่บ้านอยากจะซื้อเข้าบ้าน สมัยก่อนตัวหมอเองก็เป็น แต่พอเรารู้ว่ามันไม่ควรกินให้มันราคาถูกอย่างไรเราก็ไม่ซื้อ อันนี้จะลดความเสี่ยง  คือถ้าไม่ซื้อเข้าบ้านเด็กๆ ก็จะไม่มีโอกาสกินและก็ให้ซื้อของที่มีประโยชน์ผักผลไม้ให้ติดเป็นนิสัย แล้วเด็กๆ เขากินแต่ของพวกนี้เขาก็จะอิ่มท้อง คือลดโอกาสที่จะไปกินของที่ไม่มีประโยชน์ มันมีอีกวิธีคือการที่ทำให้เขาอิ่มด้วยของที่มีประโยชน์ก่อน เพราะถ้าให้กินของที่ไม่มีประโยชน์เขาก็จะกินได้อีก กลายเป็นว่าเขาจะอิ่มของที่ไม่มีประโยชน์ไปก่อนทำให้เขาสุขภาพไม่ดีจะเป็นเด็กอ้วนที่แบบไม่แข็งแรง กับเรื่องผลการทดสอบชานมไข่มุกที่ทางฉลาดซื้อเพิ่งแถลงข่าวไป         ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคที่ได้ทำการศึกษาและเผยแพร่ในนิตยสารฉลาดซื้อ ซึ่งเป็นตัวช่วยที่ดีมากที่ได้เผยแพร่เรื่องนี้ออกไป เพราะจริงๆ แล้วทางเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานพยายามรณรงค์เรื่องของการลดการบริโภคน้ำตาลมาโดยตลอด เราเริ่มทำงานกันมาตั้งแต่ปี 2548 แล้วก็ชวนเครือข่ายในระดับภูมิภาค เริ่มต้นมีแค่ 10 จังหวัด แล้วตอนนี้ก็มีรณรงค์เพิ่มเติมขึ้นมาเป็น 25 จังหวัด มีจังหวัดที่สนใจเข้าร่วมโดยที่ไม่ได้ขอทุนไปดำเนินการอีกประมาณ 30 กว่าจังหวัด ในส่วนที่เรารณรงค์กันเบื้องต้นเราเน้นเรื่องของน้ำอัดลม ลดปริมาณการบริโภคน้ำอัดลมเพราะว่า เท่าที่ศึกษากันมาก็มีปริมาณน้ำตาลที่สูงเกินในการบริโภค กลายเป็นว่าเราเน้นเรื่องน้ำอัดลม แต่มีน้ำอื่นมาแทน โดยเฉพาะพฤติกรรมการบริโภคปัจจุบันชานมไข่มุกเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตที่คนทุกวัยทานได้         ก่อนหน้านี้อาจจะมีชาเขียวที่น้ำตาลเยอะ กลายเป็นว่าพอชานมไข่มุกเป็นเครื่องดื่มยอดฮิต ซึ่งเห็นข้อมูลตรงนี้แล้วถ้าเราดื่มน้ำอัดลมสักกระป๋องเราก็กินอย่างอื่นดื่มอย่างอื่นไม่ได้แล้ว เพราะน้ำตาลเกิน กลายเป็นว่าตอนนี้ชานมไข่มุกแค่แก้วเดียวก็เกินไปถึงไหนๆ จะมีอยู่ก็แค่สองยี่ห้อที่อยู่ในปริมาณที่ไม่เกิน แต่ว่าตามองค์การอนามัยโลกกำหนดว่าคนเราจะสามารถบริโภคน้ำตาลต่อวันต่อคนแค่ 6 ช้อนชา จะสังเกตว่าขนาดชานมไข่มุกยี่ห้อที่มีปริมาณน้ำตาล 4 ช้อนชา แค่วันนั้นก็แทบจะเติมอย่างอื่นไม่ได้แล้ว โดยนิสัยคนไทยแล้วถ้าไปดู ก็ยังดื่มน้ำอัดลมกันอยู่ ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งน้ำอัดลมก็ยังครองแชมป์น้ำตาลสูง ยิ่งมาผสมกับการกินชานมด้วยก็ยิ่งไปกันใหญ่         ทุกวันนี้จะสังเกตว่าโรงพยาบาลทุกแห่งจะคนแน่นด้วยเป็นโรคทางระบบเลือด โรคเบาหวาน ความดัน หัวใจและหลอดเลือดโดยเฉพาะที่ทางเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานสนใจมาก คือปริมาณน้ำตาลที่มันไปเชื่อมโยงกับโรคฟันพุแล้วมันก็ไปถึงโรคอ้วน ทำไมส่วนใหญ่ทางเครือข่ายกลุ่มคนที่เข้ามารณรงค์จะเป็นหมอฟันที่ไปจับมือกับนักโภชนาการ งานส่งเสริมสุขภาพ ประเด็นนี้เราต้องช่วยกันเพราะว่าสุขภาพฟันก็เป็นส่วนหนึ่งของสุขภาพร่างกายเพราะถ้ามีปัญหาเรื่องฟันก็จะมีปัญหาเรื่องการบดเคี้ยว ทำให้ได้รับสารอาหารได้ไม่เต็มที่  ในเรื่องของประเด็นน้ำตาลนั้นส่งผลทั้งในเรื่องของฟันผุ แล้วก็ที่ห่วงใยไปถึงสุขภาพร่างกายด้วยคือโรคทางระบบ โรคเรื้อรัง โรคติดต่อที่มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต จากตรงนี้เราจะทำอย่างไร ให้คนได้รับรู้ ต้องขอบคุณนิตยสารฉลาดซื้อ แค่นี้คงไม่พอต้องอาศัยสื่อมวลชนช่วยเผยแพร่และกระตุ้น        สิ่งที่ทางเครือข่ายเริ่มพยายามจะรุกคืบก็คือ พยายามที่จะเชิญชวนร้านกาแฟ เราจะไปห้ามไม่ได้เพราะมันคือธุรกิจ จะบอกไม่ให้เขาขายคงเป็นไปไม่ได้ บอกไม่ให้คนกินก็คงยากเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราก็จะใช้วิธีการลดปริมาณขนาดที่จะให้ได้บริโภคต่อวัน คือในคนที่เลิกได้หันมาดื่มน้ำเปล่าแทนก็คือสุดยอดแล้ว ห่วงใยสุขภาพตัวเอง แต่ในเด็กกับกลุ่มคนที่อยากดื่ม เหมือนเราห้ามคนสูบบุหรี่เราก็ห้ามไม่ได้ ต้องอยู่ที่เขาตระหนักเอง คงต้องร่วมด้วยช่วยกันว่าทำอย่างไรจะสร้างความตระหนักให้สังคมรับรู้ว่าเราจะต้องไม่เอาสารพิษเหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย มันเปรียบเหมือนสารพิษนะคะ แต่ว่ามันเป็นสารให้ความหวานทำให้เรารู้สึกมีความสุขกินแล้วก็อิ่มอร่อย แต่ทำอย่างไรจะให้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นพิษภัยต่อร่างกาย แล้วแค่ต่อมื้อก็มากแล้ว ต่อวันเข้าไปอีกแล้วสะสมหลายๆ วัน ซึ่งอีกทางที่จะช่วยป้องกันก็คือเรากินเข้าไปเผาผลาญมันออกมันก็จะช่วยลดตรงนี้ได้ แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถจัดการเอาออกได้จากสิ่งที่เอาเข้าสู่ร่างกาย         ดังนั้นวิธีที่ไม่ให้ฝืนธรรมชาติคือ คิดว่าหลายๆ คนก็ยังรู้สึกว่ายังอยากจะกิน ยังอยากมีรสชาติของชีวิตอันนั้นคงอาจจะต้องเลือกไซด์ของการบริโภคให้เล็กลง ค่อยๆ ลดลงมาหรือเป็นไปได้ก็ไม่ไปบริโภคมัน อย่างที่บอกว่าเราพยายามที่จะไปเชิญชวนหรือหาแนวร่วมของร้านกาแฟ ร้านที่ขายเครื่องดื่มให้หันมาเป็นร้านกาแฟอ่อนหวาน ซึ่งก็จะมีเกณฑ์ให้เป็นไซต์เล็กขายเป็นแก้วเล็ก ซึ่งอาจจะขัดแย้งเพราะว่าส่วนใหญ่ร้านค้าก็อยากขายแก้วใหญ่ ในเรื่องของกำไร แต่ส่วนนี้ถ้าเราสามารถเชิญชวนร้านค้าที่เขาอยากมีกำไรแล้วก็รู้สึกว่าอยากช่วยสังคมต้องร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่ว่า ปริมาณตัวนี้ที่เขาใส่เข้าไปมันส่งผลต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง         อีกอันที่อยากเชิญชวนและให้เขารู้สึกว่าอยากเป็นแนวร่วมกับเราว่า การลดปริมาณน้ำตาลลง ลดเศรษฐกิจของเขา ลดต้นทุนของเขาถ้าเขาสามารถใส่น้ำตาลได้น้อยลงต้นทุนต่อแก้วก็น้อยลง แต่ปัญหาประเด็นที่เขาห่วงคือกลัวว่ารสชาติของเขาไม่เป็นที่ยอมรับ คือถ้าเขาลดปริมาณน้ำตาลหวานน้อยลง บางคนติดหวานก็จะไม่ซื้อเขา ซึ่งตรงนี้ต้องร่วมด้วยช่วยกันในหลายส่วนคือในเรื่องของพฤติกรรมของแต่ละคนก็สร้างนิสัยที่ให้บริโภคหวานน้อยลง ถ้าเราลดความหวานลง ผู้บริโภคก็เลือกที่จะบริโภคหวานน้อยเทรนด์นี้ก็จะมาแรง เป็นประเด็นที่อยากให้ร่วมด้วยช่วยกัน       ในส่วนของทางเครือข่ายเองก็ออกไปรณรงค์ในโรงเรียน เข้าไปเชิญชวนโรงเรียน ให้มีโรงเรียนมีโรงอาหารอ่อนหวาน ซึ่งจะคุมในเรื่องปริมาณสัญญาณไฟจราจรเขียวเหลืองแดง ปริมาณแคลอรี่ ปริมาณพลังงานน้ำตาล ไขมัน ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม พอควบคุมตัวนี้ได้สำคัญที่ตัวผู้บริโภคก็ต้องมีการหาแกนนำนักเรียน มีการให้ความรู้มีการบริโภคตามข้อแนะนำ สิ่งสำคัญคือต้องให้เขารับรู้ว่าควรที่จะบริโภคเท่าไหร่ การที่มาเผยแพร่ตรงนี้ให้กว้างขวางและให้รับรู้อยู่บ่อยๆ ก็จะช่วยได้เพราะบางทีเราก็จะจำไม่ได้ว่าควรเป็นเท่าไหร่กันแน่ ซึ่งในฉลากเราก็มีการรณรงค์เรื่องฉลากบริโภค ซึ่งพยายามสอนให้ความรู้ประชาชนและนักเรียน สิ่งสำคัญที่สุดเลยคือผู้ปกครอง ผู้ปกครองต้องมามีส่วนร่วมอย่างยิ่ง เพราะตอนนี้ที่เราทำสำเร็จคือทำกับโรงเรียน โรงเรียนก็บอกว่าน้ำอัดลมโรงเรียนไม่จำหน่ายแล้ว แต่รอบรั้วโรงเรียนยังมีอยู่ แล้วรอบรั้วโรงเรียนก็จำหน่ายน้ำเหล่านี้ ซึ่งชานมไข่มุกที่นำมาเผยแพร่ข้อมูลในวันนี้น่าตกใจมากเป็นที่นิยมมากด้วย แต่เราจะทำอย่างไร คือถ้าเขาขาย เราไม่บริโภคเขาก็ขายไม่ได้ เขาก็จะต้องปรับกลยุทธ์ที่จะปรับให้มีน้ำตาลน้อยลง ฝากสื่อมวลชนช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลตรงนี้ออกไป แล้วก็ช่วยกันเป็นต้นแบบในการบริโภคหวานให้น้อยลง ทั้งหวานมันเค็ม โรคทางระบบรักษาหายยากเป็นแล้วเป็นเลยมันไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่ว่าลดความรุนแรงได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 218 รู้เท่าทัน โรคตายคาเบาะหมอนวดไทย ตอนที่ 2

                ในเมื่อการนวดไทยตามมาตรฐานวิชาชีพมีความปลอดภัย มีข้อห้าม ข้อควรระวังในการนวดแล้ว ทำไมถึงยังมีผู้ป่วยเสียชีวิตคาเบาะหมอนวดไทย เรามารู้เท่าทันต่อกันเถอะ การเสียชีวิตกะทันหัน        การเสียชีวิตกะทันหันไม่ได้เกิดกับหมอนวดไทยเท่านั้น ความจริงในโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนก็เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เกิดกรณีฟ้องร้อง เข้าใจผิดของญาติผู้ป่วยอยู่เสมอ เพราะคนไข้ก็ดูปกติ ไม่เจ็บป่วยรุนแรง หรือกรณีแม่ก่อนคลอด ระหว่างนอนรอคลอดแล้วเสียชีวิต ญาติอาจเข้าใจว่า โรงพยาบาลปล่อยให้คนไข้ตกเตียงเสียชีวิต ตกเลือดจนตาย หรือไม่ดูแลคนไข้          นอกจากนี้ ยังมีการเสียชีวิตกะทันหันในระหว่างการใช้ชีวิตตามปกติ หรือการออกกำลังกาย โดยที่ไม่มีอาการเตือนมาก่อนอยู่เสมอ สาเหตุของการเสียชีวิตกะทันหัน        การแพทย์ฉุกเฉินพบว่า สาเหตุการตายกะทันหันของคนนั้นเกิดจาก 5 สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจวายเฉียบพลัน เส้นเลือดในสมองแตก ลิ่มเลือดอุดกั้นในหลอดเลือดปอด และหลอดเลือดแดงใหญ่ฉีกขาด              ผู้เสียชีวิตกะทันหันร้อยละ 80 เสียชีวิตจากสาเหตุของหัวใจ        ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ  เป็นภาวะที่หัวใจเต้นผิดจังหวะจนหัวใจหยุดทำงาน ผู้ป่วยจำนวนมากจะไม่มีอาการผิดปกตินำมาก่อน บางรายอาจมีประวัติปวดหน้าอก หายใจไม่ออก หัวใจเต้นรัว ง่วงเหงาหาวนอน เป็นลม หัวใจเต้นผิดจังหวะที่รุนแรงเป็นสาเหตุที่พบบ่อยของการเสียชีวิตกะทันหัน การรักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้         หัวใจวายเฉียบพลัน  เป็นสาเหตุการเสียชีวิตกะทันหันที่พบบ่อยเช่นเดียวกัน แผ่นคราบในหลอดเลือดแดงหนาตัวขึ้น อาจหลุดไปอุดตันหลอดเลือดแดง ทำให้เลือดแดงที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจลดลง เกิดอาการปวดที่หน้าอก  เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมาก ทำให้เสียชีวิตกะทันหันได้         เส้นเลือดในสมองแตก  เส้นเลือดในสมองแตกหรือฉีกขาดเป็นสาเหตุการตายกะทันหันที่มักจะถูกมองข้าม สมองจะทนการขาดออกซิเจนได้ไม่นานเหมือนเนื้อเยื่ออื่นๆ ของร่างกาย ถ้าเลือดในสมองออกจำนวนมาก ผู้ป่วยจะเสียชีวิตรวดเร็วก่อนมาถึงโรงพยาบาล ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการผิดปกตินำมาก่อน แต่อาจมีอาการปวดศีรษะที่เลวลง ซึมลง ผู้ป่วยมักจะมีความดันโลหิตสูงมาก่อน         ลิ่มเลือดอุดกั้นในหลอดเลือดปอด  พบบ่อยในผู้ป่วยที่สูงอายุ มะเร็ง ผู้ป่วยที่เพิ่งรับการผ่าตัด ผู้ที่รับการรักษาด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน ผู้นอนติดเตียง และผู้ที่มีหลอดเลือดดำอุดตัน  ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดปอดเป็นสาเหตุการตายกะทันหันร้อยละ 15  ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจไม่ออก ปวดหน้าอก หัวใจเต้นเร็ว เป็นลม ความดันเลือดต่ำ กระวนกระวาย มือเล็บเขียว  การปฐมพยาบาลและการส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลจะช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ทันท่วงที         หลอดเลือดแดงใหญ่ฉีกขาด  การฉีกขาด การแตกของหลอดเลือดแดงใหญ่ทำให้เสียชีวิตกะทันหัน ผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ การไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดแดงใหญ่ที่ผิดปกติอาจก่อให้เกิดการโป่งของผนังหลอดเลือดแดง เมื่อโป่งพองช้าๆ เป็นเวลาหลายปี มีความเสี่ยงในการแตกของหลอดเลือดแดงได้             ดังนั้น การเสียชีวิตกะทันหันเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ในทุกขณะ โดยไม่เกี่ยวกับการนวดหรือการรักษาใดๆ ไม่ใช่โรคที่เกิดจากหมอทำ ไม่ว่าจะเป็นหมอนวดหรือหมอแผนปัจจุบัน                                        

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 217 โรคตายคาเบาะหมอนวดไทย ตอนที่ 1

เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวผู้รับบริการนวดที่ร้านนวดเพื่อสุขภาพแล้วเสียชีวิตคาเบาะ คาเตียงหมอนวด ผู้ตายยังเป็นหนุ่มแข็งแรง เป็นหญิงสาวตั้งท้อง ทำให้ผู้คนหวาดกลัวการนวดไทยว่า การนวดมีอันตรายถึงแก่ชีวิต  เรามารู้เท่าทันการนวดไทยกันเถอะ การนวดไทยคืออะไร        การนวดไทยนั้นเป็นศาสตร์และศิลปะด้านสุขภาพที่อยู่ในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวไทยมาหลายร้อยปี บันทึกของ มองสิเออร์ เดอ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาในกรุงสยาม พ.ศ. 2230-2231 กล่าวถึงการนวดสมัยนั้นว่า “ในกรุงสยามนั้นถ้าใครป่วยไข้ลง ก็จะเริ่มให้ยืดเส้นยืดสาย โดยให้ผู้มีความชำนาญในทางนี้ ขึ้นไปแล้วใช้เท้าเหยียบ กล่าวกันว่า หญิงมีครรภ์ก็มักใช้เด็กเหยียบเพื่อให้คลอดบุตรง่าย”         การนวดไทยเป็นการประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการนวดไทยต้องจบ “หลักสูตรวิชาชีพการนวดไทย (800 ชั่วโมง)”  และต้องฝึกประสบการณ์การนวดกับครูผู้รับมอบตัวศิษย์อย่างน้อย 2 ปี จึงจะมีสิทธิ์สอบความรู้จากสภาการแพทย์แผนไทยเป็นผู้ประกอบวิชาชีพ (หมอนวดไทย) ได้ หมอนวดไทยสามารถประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาลของรัฐและเอกชน หรือเปิด “คลินิกการนวดไทย”          ในปีพ.ศ. 2559 ได้มี พระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ กำหนดให้มี การนวดเพื่อสุขภาพ โดยผู้ให้บริการต้องผ่านการอบรมหลักสูตร “การนวดเพื่อสุขภาพ 150 ชั่วโมง” จึงจะให้บริการการนวดเพื่อสุขภาพในสถานประกอบการนวดเพื่อสุขภาพได้         ร้านนวดเพื่อสุขภาพที่เปิดกันอย่างกว้างขวาง จึงเป็นร้านนวดเพื่อสุขภาพ ผู้ให้บริการจบหลักสูตรการนวดเพื่อสุขภาพ 150 ชั่วโมง และทำการนวดเพื่อการผ่อนคลายเท่านั้น ไม่สามารถบำบัดรักษาอาการต่างๆ ได้เทียบเท่าหมอนวดไทย การนวดทำให้ผู้ถูกนวดตายได้หรือไม่         การนวดไทยนั้นใช้กรรมวิธี การตรวจ การวินิจฉัยและการบำบัดโรคด้วยการกด คลึง บีบ ทุบ สับ ประคบ เพื่อให้เส้นและลมกลับมาอยู่ในสภาพปกติ แรงที่เกิดขึ้นจากการนวดนั้น จะผ่านไปที่กล้ามเนื้อและเอ็นเป็นหลัก ไม่ได้กดที่กระดูก เส้นเลือด เส้นประสาท แม้จะมีการเปิดประตูลมที่ขาหนีบ ก็จะใช้ฝ่ามือกดด้วยแรงพอประมาณ ไม่เกิน 45 วินาที         แม้การตอกเส้นที่ตอกตามร่างกายโดยใช้ค้อนไม้ ตอกไปที่ท่อนไม้ผ่านตามจุดต่างๆ ของร่างกายผู้ถูกนวด เสียงดังโป้งป้าง หมอนวดก็จะยั้งไม้ไว้ ไม่ให้ตอกลงลึก เพียงแค่ใช้แรงสั่นสะเทือนจากไม้ที่ตอกส่งแรงไปตามแนวต่างๆ ของร่างกายเท่านั้น แรงสั่นสะเทือนจะไปกระตุ้นแนวเส้นต่างๆ ของร่างกายเพื่อให้ทางเดินของลมหรือพลังงานกลับเป็นปกติ         กรณีที่มีพระใช้การตอกเส้นรักษาผู้ป่วยอย่างรุนแรง การนวดกดปิดเส้นเลือดแดงที่คอจนหมดสติ และอีกมากมายที่รุนแรงนั้น ไม่ใช่มาตรฐานวิชาชีพการนวดไทยตามองค์ความรู้ของการนวดไทย ศาสตร์การนวดไทยที่แท้จริงนั้น เน้นความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นสำคัญ การนวดไทยจึงมีข้อห้ามในการนวดกรณีที่มีการติดเชื้อ กระดูกหัก การอักเสบที่รุนแรง ไม่นวดรักษาโรคและอาการที่ไม่หายด้วยการนวดไทยแล้วผู้ถูกนวดตายคาเบาะหมอนวดได้อย่างไร ติดตามฉบับหน้าครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 214 ความเคลื่อนไหวเดือนธันวาคม 2561

ศาลยกฟ้อง คดีมาสด้าฟ้องลูกค้ากว่า 84 ล้านบาทกรณี บจก.มาสด้า เซลล์ (ประเทศไทย) ฟ้องเรียกค่าเสียหายลูกค้ากว่า 84 ล้านบาท เมื่อต้นปี 2561 เหตุผู้ใช้รถมาสด้า 2 เครื่องยนต์ดีเซลที่พบปัญหาการใช้งานและออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบจากบริษัท โดยบริษัทมาสด้าให้เหตุผลการฟ้องคดีว่า ผู้เสียหายใช้สิทธิเกินส่วนที่ผู้บริโภคควรใช้ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ ชื่อเสียง และทำให้ยอดขายของบริษัทลดลงนั้น         เมื่อวันที่ 28 พ.ย.61  ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องคดี  ชี้ว่าการออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบของผู้เสียหาย เป็นการปกป้องสิทธิตามสิทธิผู้บริโภคโดยสุจริต เพราะรถมีความบกพร่องจริง และผู้เสียหายได้สอบถามไปยังผู้ผลิตแต่ไม่ได้รับคำตอบ จึงมีสิทธิเรียกร้องทวงถาม ซึ่งไม่ถือเป็นการใช้สิทธิเกินส่วนตามที่บริษัทอ้าง ด้าน นายภัทรกร ทีปบุญรัตน์ ผู้เสียหายที่ถูกฟ้อง ได้กล่าวฝากถึงผู้บริโภคทุกคนให้ตระหนักถึงสิทธิที่ตัวเองมีตามกฎหมาย และเมื่อเกิดความเสียหายก็ต้องได้รับการชดเชยเยียวยา3 โรค 1 ภัยสุขภาพสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังในปี 2562นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค  กล่าวว่า ภัยสุขภาพที่สำคัญในปี 2562 แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ การพยากรณ์โรคติดต่อ และการพยากรณ์โรคไม่ติดต่อและภัยสุขภาพ ดังนี้ โรคติดต่อที่สำคัญในปี 2562 มี 3 โรค ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่ โรคหัด และไข้เลือดออก ซึ่งไข้หวัดใหญ่คาดว่าจะมีผู้ป่วยสูงเกือบ 1.8 แสนราย ขอให้ประชาชนใช้มาตรการ “ปิด ล้าง เลี่ยง หยุด” ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ปิด คือ ปิดปาก ปิดจมูก เมื่อไอ จาม ล้าง คือ ล้างมือบ่อยๆ เมื่อสัมผัสสิ่งของ เลี่ยง คือ หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วย และ หยุด คือ เมื่อป่วยควรหยุดเรียน หยุดงาน หยุดกิจกรรมในสถานที่แออัดส่วนโรคหัด เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ผู้ปกครองควรพาเด็กเล็กไปรับวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน จำนวน 2 เข็ม เข็มแรกเมื่อเด็กอายุ 9 เดือน และเข็มที่สองเมื่ออายุ 2 ปีครึ่งกรณีโรคไข้เลือดออก ต้องร่วมกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โรคไม่ติดต่อและภัยสุขภาพ มี 1 เรื่อง คือ การบาดเจ็บจากการจราจรทางถนน เนื่องจากทุกปีประเทศไทยจะพบอุบัติเหตุจากการจราจรเกิดขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่างๆ จึงขอแนะนำให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร ไม่ขับรถเร็ว ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัย ผู้ขับขี่รถยนต์ใช้เข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง หากดื่มสุราแล้วไม่ควรขับรถ และง่วงต้องไม่ขับ ‘ออมสิน’ ชะลอฟ้อง - งดบังคับคดี ตุ๊กตุ๊ก โครงการสามล้อเอื้ออาทรเมื่อวันที่ 27 พ.ย.61 นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พร้อมผู้เสียหายจากการกู้สินเชื่อเพื่อซื้อสามล้อ ในโครงการสามล้อเอื้ออาทร กว่า 150 ราย เดินทางไปยังธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่ เพื่อเรียกร้องให้ถอนฟ้องคดีผู้เสียหายทุกรายที่ทำสัญญากู้ยืมเงินในลักษณะเดียวกัน และขอให้งดการบังคับคดีเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงของโครงการสินเชื่อดังกล่าวนายประเสริฐ กองจันทร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการธนาคารออมสิน สายงานบริหารหนี้และกฎหมาย กลุ่มปฏิบัติงาน ได้ตอบรับข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้เสียหาย โดยจะยื่นขอให้ศาลจำหน่ายคดีไว้ชั่วคราว และงดการบังคับคดี และได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเจ้าหน้าที่ของธนาคารฯ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการสามล้อเอื้ออาทร ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 45 วัน โดยได้นัดให้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและกลุ่มผู้เสียหาย มารับฟังคำตอบอีกครั้งในวันที่ 15 ม.ค.6213 เม.ย. 62 รพ.เอกชนยอมกางบัญชี "ราคายา-ค่ารักษา" ขึ้นเว็บไซต์          กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับโรงพยาบาลเอกชนกว่า 100 แห่งเตรียมเผยแพร่ราคายา-ค่ารักษาบนเว็บไซต์ รพ.และเว็บไซต์กลาง ในวันที่ 13 เม.ย. 2562 เพื่อให้ประชาชนได้เปรียบเทียบราคาก่อนตัดสินใจใช้บริการ พร้อมชี้ว่า รพ.เอกชนเผยแพร่ข้อมูลเรื่องราคาได้ แต่คงบังคับให้ลดราคาไม่ได้ เนื่องจากต้นทุนแต่ละแห่งไม่เท่ากัน สำหรับข้อมูลที่นำมาเผยแพร่จะต้องง่ายต่อความเข้าใจของประชาชน ไม่ใช่เป็นข้อความทางเทคนิค ซึ่งยาที่จะประกาศราคานั้น เบื้องต้น จะมีประมาณ 1,000 รายการ จากทั้งหมดกว่า 5,000 รายการ หวังเพื่อให้ประชาชนรับทราบราคายาและค่ารักษาและเกิดการเปรียบเทียบ ทำให้โรงพยาบาลเอกชนไม่กล้าคิดราคายาและค่ารักษาที่แพงเกินความเหมาะสม ยื่นฟ้อง ไทยพาณิชย์ เหตุคนร้ายโจรกรรมเงินฝากผ่านแอพฯ กว่า 2 ล้านบาทเมื่อ 15 พ.ย.61 นายเฉลิมพงษ์ กลับดี หัวหน้าศูนย์ทนายความเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค มพบ. และ น.ส.ธนิตา จิราพณิช อาชีพนักแสดงอิสระ ซึ่งเป็นผู้เสียหายสูญเงินกว่า 2 ล้านบาท จากการถูกโจรกรรมข้อมูลและเงินในบัญชีเงินฝาก เดินทางไปยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง รัชดาฯ โดยผู้เสียหายได้ยื่นฟ้อง ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด มหาชน (จำเลยที่ 1) และ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด (จำเลยที่ 2)        กรณีนี้ คนร้ายได้หลอกลวงเอาข้อมูลของผู้เสียหาย ได้แก่ หมายเลขบัตรประชาชน เลขบัญชีธนาคาร เพื่อใช้สมัครอินเทอร์เน็ตแบงค์กิ้งบนมือถือของคนร้าย และโจรกรรมเงินฝากในบัญชีออมทรัพย์ กองทุนเปิด SCBFP กองทุนเปิด WINR และกองทุนตราสารหนี้ที่ผู้เสียหายเปิดบัญชีไว้กับธนาคารไทยพาณิชย์ และบริษัท หลักทรัพย์จัดการรองทุน ไทยพาณิชย์ ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 8 วัน ตั้งแต่ 27 ธ.ค.60 - 4 ม.ค.61 รวมกว่า 50 ครั้ง นับรวมความเสียหายกว่า 2 ล้านบาท ซึ่งเมื่อผู้เสียหายทราบเรื่องก็ได้ติดตามทวงถามให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหาย แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงตัดสินใจยื่นฟ้องศาล โดย นายเฉลิมพงษ์ ให้ความเห็นว่า จำเลยไม่ได้ปฏิบัติตามที่กฎหมายและประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ให้เป็นไปอย่างครบถ้วนถูกต้อง ทั้งการตรวจสอบสิทธิในการเข้าถึงระบบสารสนเทศ การติดตามแจ้งเตือน การแจ้งข้อมูลการทำธุรกรรมไม่มีมาตรฐาน จนทำให้คนร้ายสามารถทำการโจรกรรมเงินในบัญชีและกองทุนของผู้เสียหายได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 204 ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์

เพราะการทำประกันชีวิตมีมากมายหลายแบบ ซึ่งมีลักษณะความคุ้มครองและผลประโยชน์แตกต่างกันออกไป ผู้บริโภคจึงควรศึกษารายละเอียดของประกันให้ดีก่อนตัดสินใจ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ร้องรายนี้คุณธนพรได้รับการเชิญชวนให้ทำประกัน จากพนักงานของบริษัทกรุงไทยแอกซ่าประกันชีวิต เธอจึงแจ้งความประสงค์ไปว่าต้องการทำประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ ซึ่งพนักงานได้ตอบกลับมาว่ามีประกันชีวิตที่มีลักษณะคล้ายการออมแบบที่เธอต้องการ โดยเมื่อครบ 5 ปีจะได้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ย และที่สำคัญที่สุดคือลดเบี้ยประกันปีแรกอีก 10,000 บาท ทั้งนี้นอกจากข้อมูลที่ได้กล่าวไปเบื้องต้นแล้ว พนักงานได้แจ้งรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเธอไม่ค่อยเข้าใจมากนัก แต่ก็ยินดีตกลงทำประกันดังกล่าว และตัดสินใจใช้บัตรเครดิตชำระค่าเบี้ยประกันไปจำนวน 40,000 บาทอย่างไรก็ตามเมื่อคุณธนพรถึงบ้าน และอ่านเอกสารการทำประกันที่ได้รับมากลับพบว่า ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่เธอต้องการ เพราะประกันดังกล่าวจะสามารถได้รับเงินออมต่อเมื่อผู้ทำประกันเสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น ในขณะที่เธอต้องการเพียงแค่ออมทรัพย์ไว้และได้รับเงินคืนพร้อมดอกเบี้ยในช่วงระยะเวลาที่กำหนด เพื่อเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายยามชราภาพ ดังนั้นเมื่อเหตุการณ์เป็นนี้ คุณธนพรจึงโทรศัพท์มายังศูนย์พิทักษ์สิทธิ์เพื่อขอคำปรึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาในกรณีนี้เมื่อผู้ร้องพบว่ากรมธรรม์ไม่ตรงกับที่พูดคุยเอาไว้ หรือไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการก็สามารถยกเลิกประกันได้ภายในกำหนดเวลาและได้เงินค่าเบี้ยประกันคืนทั้งหมด ตามประกาศของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ที่กำหนดให้บอกเลิกสัญญาภายได้ใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ผู้เอาประกันภัยได้รับกรมธรรม์ประกันภัยจากบริษัท หรือมากกว่า 15 วัน ขึ้นกับแบบกรมธรรม์ประกันภัยที่มีการเสนอขาย ซึ่งภายหลังศูนย์ฯ ได้ช่วยผู้ร้องทำจดหมายยกเลิกสัญญา และจดหมายปฏิเสธการชำระหนี้ของบัตรเครดิต และเมื่อได้รับเงินคืนเรียบร้อย ผู้ร้องก็ยินดียุติการร้องเรียน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 201 ไทยแลนด์ 4.0 หรือจะสู้ไทยลวง 4.0

ตอนนี้ ไทยแลนด์ 4.0 กำลังฮิต แต่ผมว่าที่มาแรงกว่า คือ ไทยลวง 4.0 เพราะเป็นการลวงผู้บริโภคอย่างได้ผล โดยเฉพาะผู้บริโภคที่ไม่ค่อยเท่าทันคนลวง จะเผลอเป็นเหยื่อได้ง่าย มาลองดูกันว่าคนใกล้ตัวเราเคยเจอแบบนี้บ้างหรือเปล่า1. บูชาสาธุ : เทคนิคนี้ ผู้ขายสินค้าหลอกลวงจะอ้างอิงความเชื่อและศรัทธาของคนไทย พยายามทำให้ผลิตภัณฑ์ของตนดูศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเทคนิคแพรวพราว บางทีเจ้าของผลิตภัณฑ์จะยกยาหรือพระขรรค์ขึ้นเหนือหัว อ้างว่าเคารพครูบาอาจารย์ บางทีก็ท้าสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เล่นแบบนี้  ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ สุดท้ายก็ระทวยทรัพย์ไปจากกระเป๋าเพราะค่ายกครูยาแบบนี้ราคาไม่ถูก ส่วนใหญ่ก็หมดเป็นร้อยเป็นพัน บางรายหมดไปเกือบหมื่นก็มี2. อ้างอิงไปทั่ว : เทคนิคนี้จะใช้การอ้างอิงกับผู้ป่วยรายอื่น และแน่นอนจะต้องบอกว่าผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ดี เคยมีผู้ป่วยรายก่อนๆ นำไปรับประทานแล้วหาย อ้างว่าอัมพฤกษ์ อัมพาต ยังลุกขึ้นมาเดินได้ บางครั้งอ้างถึงขนาดว่าตาบอดยังกลับมามองเห็นได้  แต่ส่วนใหญ่ที่ว่าหายๆ พอขอดูตัวเป็นๆ กลับหายหัวไปหมด3. หวาดกลัวยาเคมี : เทคนิคนี้จะจับกระแสที่คนกลัวยาแผนปัจจุบัน อยากได้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ผู้ขายจะโน้มน้าวว่า ยาแผนปัจจุบันคือสารเคมี ควรหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่ตนจำหน่ายดีกว่า เพราะเป็นของจากธรรมชาติล้วนๆ (แต่คงลืมนึกไปว่า กว่าจะสกัดมาขายอย่างนี้  ก็ใช้สารเคมีสกัดมาเหมือนกัน) สุดท้ายเหยื่อก็เคลิ้มไปเรียบร้อย4. ส่งทุกที่ไปรษณีย์ไทย : เทคนิคนี้ ผู้ขายจะหาพื้นที่สื่อในโลกโซเชียล โฆษณาสรรพคุณมหัศจรรย์จนตะลึง และให้สั่งซื้อได้ทางไปรษณีย์ ซึ่งรวดเร็วถูกใจเหยื่อที่ใจร้อนอยากหายไวๆ แค่นี้ก็ขายได้แล้ว ไหนๆ ก็เจอไทยลวง 4.0  แล้ว ขอเสนอ คาถาปราบลวง 4.0 สู้กันซึ่งๆ หน้าไปเลย1. สู้บูชาสู้สาธุ : ค่ายกครูตามความเชื่อของคนไทยต้องไม่แพง ในชนบทเขายกกันไม่กี่บาท ถ้ายกเป็นร้อยเป็นพันน่ะ มันไม่ใช่ยกครูแล้ว มันทำท่าจะยกเค้าซะมากกว่า ถ้าแพง อย่าเพิ่งรีบเชื่อ2. สู้อ้างอิงไปทั่ว : ลองช่วยกันแอบดูว่า พวกคนขายที่อ้างอิงว่าผลิตภัณฑ์ของตนดีแบบมหัศจรรย์นั้น เวลาเจ็บป่วย เขาใช้ผลิตภัณฑ์ที่ขายรักษาตนเองหรือไม่ หรือแอบไปรักษาตัวที่ไหน เท่าที่เจอมา ส่วนใหญ่เวลาเจ็บป่วยก็หอบสังขารไปโรงพยาบาลกันทั้งนั้น ท่องไว้เลยว่า ถ้าผลิตภัณฑ์ดีจริง ทางโรงพยาบาลต้องเอาไว้ใช้เป็นยารักษาผู้ป่วยแล้ว ไม่ใช่ให้มาแอบขายโฆษณาโอเวอร์ๆ แบบนี้3. อย่าหวาดกลัวยาเคมี : ตั้งสติให้ดีครับ ยาเคมีกว่าจะออกมาใช้กับมนุษย์ได้ เขาต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยจนมั่นใจ แต่ยาก็เหมือนกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ บางคนอาจมีการแพ้ หรือมีผลข้างเคียงได้ บุคลากรสาธารณสุขเขามีหน้าที่ดูแลตรงนี้อยู่แล้ว  ส่วนผลิตภัณฑ์ที่มาหลอกขายราคาแพงๆ นั้น กว่าจะมาเป็นผลิตภัณฑ์ มันก็ต้องผ่านกระบวนการทางเคมีบ้างเหมือนกัน ไม่ใช่หยิบมาจากธรรมชาติมากินได้ทันที4. ส่งทุกที่แต่ส่งมาจากที่ไหน :  ปกติกฎหมายจะกำหนดให้ยาต้องจำหน่ายในสถานที่ที่ต้องได้รับอนุญาต เพื่อให้มีหลักแหล่งแน่นอน ตรวจสอบได้ ของที่ส่งมาแบบไม่มีหัวนอนปลายเท้า ชื่อผู้และสถานที่ส่งก็ไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า เราจะยอมเอาสุขภาพเราไปเสี่ยงหรือยังไงผู้บริโภคยุค 4.0 ตั้งสติกันให้ดีนะครับ ไม่ชอบมาพากลใช้คาถาปราบลวง 4.0 สู้กันเลย โชคดีนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 187 ไปรษณีย์ไทยในยุคโซเชียลมีเดีย

ยุคสมัยนี้การใช้โซเชียลมีเดียถูกกลมกลืนและผสมผสานเป็นเนื้อเดียวกันกับการใช้ชีวิตประจำวันของคนในสังคมโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงจากการอ่านข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์มาเป็นเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ออนไลน์ เว็บไซต์รวมข้อมูลข่าวสารต่างๆ หรือต้องการค้นหาข้อมูลใดที่อยากทราบก็สามารถใช้โซเชียลมีเดียบนสมาร์ทโฟนได้ทันที โดยไม่ต้องเข้าห้องสมุดเหมือนสมัยก่อน ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีความทันสมัยทำให้การใช้ชีวิตในสังคมมีความสะดวกสบายรวดเร็วเป็นอย่างมาก หลายบริการที่เกิดขึ้นผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ทำให้ลดขั้นตอนและระยะเวลาในการดำเนินชีวิต อย่างองค์กรหนึ่งที่ได้ก่อตั้งมาเมื่อปีพุทธศักราช 2423 นั่นคือ  ไปรษณีย์ไทย ได้พยายามพัฒนาให้เข้ากับยุคสมัยในปัจจุบัน ทำให้ไปรษณีย์ไทย ได้มีบริการสั่งอาหารที่ขึ้นชื่อในแต่ละจังหวัดจากทั่วประเทศ เพื่อจัดส่งผ่านบริการไปรษณีย์ไทย โดยสามารถเข้าไปสั่งผ่านหน้าเว็บไซต์ http://thailandpostmart.com หรือสามารถสั่งผ่านแอพพลิเคชั่น Post e-Mart ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีสินค้าของไปรษณีย์ไทยเองด้วย และเมื่อพูดถึงไปรษณีย์ไทย ก็ต้องพูดถึงการบริการส่งจดหมาย และพัสดุต่างๆ  ซึ่งการบริการของไปรษณีย์ไทยมีอยู่หลายรูปแบบ ทั้งการส่งแบบธรรมดา ส่งแบบลงทะเบียน เป็นต้น ผู้อ่านที่เคยใช้บริการและอยู่ในวัย 30 ปีขึ้นไป น่าจะได้สัมผัสกับการบริการไปรษณีย์แบบดั้งเดิม ก็คือ ต้องคาดการณ์เองว่าจดหมายที่ส่งไปหาผู้รับปลายทางนั้นจะเดินทางถึงเมื่อไร แต่ในปัจจุบันไปรษณีย์ไทยได้พัฒนาจนทำให้ผู้ส่งสามารถเช็คจดหมายหรือพัสดุว่าอยู่ที่ไหนและส่งไปถึงผู้รับหรือยัง ช่องทางการตรวจสอบมีทั้งทางเว็บไซต์ http://track.thailandpost.co.th/tracking/default.aspx  และแอพพลิเคชั่น Track & Trace  ซึ่งจะทำให้ทราบว่าอยู่ในขั้นตอนใด   ภายในแอพพลิเคชั่น Track & Trace  จะมีหมวดต่างๆ ได้แก่ หมวดการคำนวณอัตราค่าส่ง ค้นหาสาขาไปรษณีย์ไทย หมวดสถิติการใช้แอพพลิเคชั่น หมวดตรวจสอบเร่งด่วน เพื่อค้นหาหมายเลขพัสดุหมวดรายการสิ่งของ ในหมวดนี้จะเป็นการบันทึกจดหมายหรือพัสดุไว้ เพื่อให้แอพพลิเคชั่นแจ้งเตือนเมื่อจดหมายหรือพัสดุดำเนินการอยู่ในขั้นตอนไหน โดยจะมีการดำเนินงานของไปรษณีย์ 4 ขั้น ซึ่งในแต่ละขั้นจะมีสัญลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่นการแจ้งว่าอยู่ระหว่างทางนำส่ง กำลังนำจ่าย ถึงผู้รับปลายทาง หรือแม้กระทั่งแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นถ้าจดหมายหรือพัสดุไม่ถึงผู้รับปลายทาง  ทั้งนี้การตรวจสอบในกระบวนการดังกล่าว จะสามารถตรวจสอบได้เฉพาะจดหมายหรือพัสดุที่ลงทะเบียนเท่านั้นนะคะ โดยดูที่ใบเสร็จรับเงินจะมีหมายเลขการลงทะเบียนปรากฏไว้ ลองใช้บริการสักครั้งนะคะ เผื่อจะติดใจ...

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 164 เทียบตารางเวลารถไฟไทยบนปลายนิ้ว

ฉึกกะฉักๆ  ปู๊นๆ เสียงนี้เป็นที่คุ้นเคยกันทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเด็กเล็กจนไปถึงผู้ใหญ่  เสียง “ฉึกกะฉักๆ  ปู๊นๆ”  ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของรถไฟเหล็กไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลง  และในตำราเรียนในช่วงวัยเด็ก  ทุกคนต้องได้เรียนประวัติศาสตร์รถไฟไทยกันมาบ้าง ไม่มากก็น้อย หลายคนอาจจะยังไม่มีโอกาสได้ขึ้นรถไฟเหล็กของไทย แต่ก็มีหลายคนเช่นกันที่ต้องใช้รถไฟเป็นพาหนะในการเดินทางไปไหนมาไหน ทุกวันในช่วงเช้าและช่วงเย็น มีประชาชนไม่น้อยที่ต้องโดยสารรถไฟมาทำงาน เหมือนกับการใช้บริการรถสาธารณะในรูปแบบอื่นๆ  ฉบับที่ผ่านมาได้พูดถึงรถเมล์ที่ประชาชนต้องใช้โดยสารในชีวิตประจำวันไปแล้ว  ฉบับนี้จึงขอเอาใจผู้อ่านที่ใช้รถไฟเหล็กกันบ้าง ฉบับนี้มารู้จักกับแอพพลิเคชั่น Thai Railway กันบ้าง แอพพลิเคชั่นนี้จะเน้นเรื่องการบอกตารางเวลาแต่ละเส้นทางการเดินรถไฟ โดยสามารถค้นหาข้อมูลตารางเดินรถไฟในประเทศไทย  ค้นหาเส้นทางการเดินรถไฟของแต่ละภาคในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคชานเมือง และมีให้เลือกใช้ 2 ภาษา ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ภายในแอพพลิเคชั่นจะแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกจะเป็นตารางเวลา สามารถค้นหาโดยใส่ชื่อจุดหมายปลายทาง หรือหมายเลขขบวนรถ จากนั้นจะปรากฏเส้นทางที่ขบวนรถไฟจะผ่านในแต่ละสถานีว่าผ่านสถานีใดบ้าง และถึงสถานีนั้นๆ ในเวลากี่โมง นอกจากนั้นยังบอกว่าขบวนรถไฟสายนี้เป็นขบวนรถเร็ว รถด่วน หรือรถด่วนพิเศษ รถพิเศษชานเมือง รถท้องถิ่น อีกด้วย สังเกตได้จากกรอบสีตรงหมายเลขขบวนนั้นๆ ได้แก่ กรอบสีฟ้า หมายถึงรถด่วนพิเศษ กรอบสีแดง หมายถึงรถด่วน  กรอบสีเขียว หมายถึงรถเร็ว  กรอบสีเทาเข้ม หมายถึงรถธรรมดา  กรอบสีชมพู หมายถึงรถพิเศษชานเมือง  กรอบสีเทาอ่อน หมายถึงรถชานเมือง รถท้องถิ่น ส่วนที่สอง เส้นทางเดินรถ มีไว้เพื่อให้ค้นหาขบวนรถไฟโดยแบ่งออกเป็นแต่ละภาค เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในหาค้นหาได้ดียิ่งขึ้น และส่วนสุดท้ายเป็นส่วนของการค้นหาทั่วไป เมื่อค้นหาขบวนรถไฟที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว  สามารถจองตั๋วโดยสารรถไฟทางโทรศัพท์ผ่านสายด่วน 1690 โดยคลิกผ่านแอพพลิเคชั่น Thai Railway ได้เลย แบบนี้จะเลือกโดยสารรถไฟขบวนไหน มีแอพพลิเคชั่นนี้ก็สามารถทำให้รู้ตารางเวลาการเข้าออกสถานีต่างๆ ในแต่ละช่วงเวลาได้ ช่วยให้ใช้ชีวิตในการเดินทางง่ายขึ้นทีเดียว    

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 161 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนกรกฎาคม 2557 เด็กไทย...เหยื่อโฆษณาอาหาร มีเดียมอนิเตอร์ร่วมกับแผนงานวิจัยนโยบายอาหารและโภชนาการเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ ได้ศึกษาการโฆษณาอาหารและเครื่องดื่มในรายการสำหรับเด็ก ทางฟรีทีวี 4 ช่อง ได้แก่ ช่อง 3 5 7 และ 9 ช่วงปิดเทอมใหญ่ ระหว่างวันที่ 24 มี.ค. ถึง 4 เม.ย. 2557 พบว่า ร้อยละ 94 ของอาหารและเครื่องดื่มที่โฆษณาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการไม่เหมาะสม ส่วนใหญ่เป็นเครื่องดื่ม นม และขนมขบเคี้ยว ซึ่งโฆษณาที่เป็นปัญหามักใช้กลยุทธ์ต่างๆ ดึงดูดความสนใจของเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้พรีเซนเตอร์ที่เป็นดาราดัง ใช้การ์ตูน ทำให้อาหารมีขนาดใหญ่เกินความเป็นจริง กระตุ้นให้กินเกินความจำเป็น บ้างก็อ้างถึงขนาดว่ากินแทนอาหารมื้อหลักได้ ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ผู้อำนวยการโครงการมีเดียมอนิเตอร์ กล่าวว่า ปัจจุบันกฎหมายควบคุมการโฆษณาไม่ครอบคลุมการโฆษณาที่มีรูปแบบและเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก อย., กสทช. และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ควรเร่งออกข้อกำหนดในการควบคุมโฆษณาอาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการไม่เหมาะสม เพราะขณะนี้พบว่ามีเด็กไทยจำนวนไม่น้อยที่มีภาวะโภชนาการไม่เหมาะสมกับวัย เกิดภาวะอ้วน ขาดสารอาหาร และรุนแรงถึงขั้นเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังอย่าง เบาหวาน หัวใจ ไต ความดัน   ใช้ “ทิชชู” ซับน้ำมัน เสี่ยงอันตราย!!! จริงหรือ ใครที่ชอบใช้กระดาษทิชชูซับน้ำมันจากอาหาร ต้องระวังให้ดี เพราะกรมอนามัยได้ออกมาเตือนว่า ในกระดาษทิชชูมีสารโซเดียมไฮดรอกไซด์ซึ่งทำปฏิกิริยากับโปรตีนและไขมัน ทำให้มีฤทธิ์กัดกร่อน หากหายใจเข้าไปจะทำให้ระคายเคืองทางเดินหายใจ หากสัมผัสถูกผิวหนังจะระคายเคืองรุนแรง นอกจากนี้ยังมีสารก่อมะเร็ง หากกินเข้าไปก็อาจเป็นอันตรายกับกระเพาะอาหาร กระบวนการผลิตกระดาษทิชชู นิยมใช้กระดาษมาหมุนเวียนใหม่เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น นำกระดาษ A4 ที่ใช้แล้วมาผลิตกระดาษทิชชู ซึ่งการตีวัตถุดิบให้เป็นเนื้อเยื่อต้องใช้สารโซเดียมไฮดรอกไซด์ หรือ โซดาไฟ และเพื่อความขาวน่าใช้ จึงมีการใช้สารคลอรีนฟอกขาว ซึ่งมีสารไดออกซินเป็นส่วนประกอบ การใช้ทิชชูซับน้ำมันจากอาหาร กระดาษจะสัมผัสกับอาหารโดยตรง จึงควรเลือกใช้กระดาษที่ผลิตมาเพื่อใช้กับอาหารโดยเฉพาะ และต้องผ่านการรับรองตามมาตรฐานระดับสากล เช่น HACCP ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตที่มีมาตรการป้องกันอันตรายที่ผู้บริโภคอาจได้รับจากการบริโภคอาหาร แต่หลังจากที่มีข่าวดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ก็ได้มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่ง ได้ออกมาโต้แย้งในข้อมูลดังกล่าว ว่า กระดาษ อนามัยหรือกระดาษทิชชูนั้น ไม่ได้มีความน่ากลัวตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด และแทบจะไม่มีโซดาไฟ และสารไดออกซินอยู่เลย ดร.ภูวดี ตู้จินดา อธิบายผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว ว่า สารพิษที่เป็นข่าวอยู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นไดออกซินหรือโซเดียมไฮดร็อกไซด์ ไม่ได้เกิดขึ้น ใน "กระบวนการผลิตกระดาษ" แต่ถูกใช้ใน "กระบวนการฟอกเยื่อ" ดังนั้นการจะมีโซดาไฟปริมาณมากพอ ที่ก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพปนเปื้อนอยู่ในเยื่อกระดาษธรรมดาๆ นั้นว่าน้อยแล้ว สำหรับกระดาษทิชชูนั้นยิ่งน้อยกว่า อีกทั้งโรงงานฟอกเยื่อเกือบทั้งหมดในประเทศไทยใช้สาร "คลอรีนไดออกไซด์" ซึ่งอาจทำให้เกิดสารพิษที่เรียกสั้นๆ ว่า AOX แต่ไม่เกิด "ไดออกซิน" เมื่อ "เยื่อกระดาษ" ไม่มีโซดาไฟ และ(แทบ)ไม่มีไดออกซิน กระดาษทิชชูจึงแทบไม่มีไดออกซินด้วย   ปรากฏการณ์ “คุกกี้ รัน” ดูดเงินแสน ถือเป็นเรื่องระดับ Talk of the Town เมื่อจู่ๆ มีผู้บริโภคนับ 10 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กๆ และผู้ปกครอง พร้อมใจกันออกมาโวยว่าตัวเองถูกเรียกเก็บค่าบริการโทรศัพท์แพงจนน่าตกใจ บางรายถูกเรียกเก็บหลักแสนบาท ซึ่งเมื่อตรวจสอบดูก็พบว่าเป็นผลมาจากการเล่นเกมชื่อดังบนมือถือ อย่าง “คุกกี้ รัน” ซึ่งเงินจำนวนมหาศาลที่ถูกเรียกเก็บเกิดจากการซื้อของต่างๆ ที่อยู่ในเกม เด็กที่เล่นเกมไม่รู้ว่าเมื่อกดซื้อแล้วจะต้องเสียเงิน ทำให้ถูกเรียกเก็นเงินเป็นจำนวนมากรวมไปกับค่าบริการปกติ การแก้ปัญหา ทาง สคบ.ได้เชิญผู้เสียหายมาเจรจากับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ เพื่อร่วมกันเพื่อหาทางออก แม้เบื้องต้นทางผู้ให้บริการจะยอมยกเลิกการเรียกเก็บเงิน เพราะเห็นว่าเป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ใช้โทรศัพท์ แต่ดูแล้วมีโอกาสที่ปัญหาในลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นซ้ำ ทาง สคบ.จึงร่วมกับ กสทช. เตรียมปรับปรุงแก้ไขประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องให้ธุรกิจการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นธุรกิจควบคุมสัญญาโดยเพิ่มข้อกำหนดของสัญญาการให้บริการให้ชัดเจน เพื่อป้องกันปัญหาผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือถูกเรียกเก็บค่าใช้บริการเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งจะมีการจัดการปัญหาข้อความเอสเอ็มเอส ต่างๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการดูดวง ทายหวย หรือการโฆษณาต่างๆ ที่ส่งมาให้ผู้บริโภคโดยใช้กลยุทธ์บริการฟรี 7 วัน พอถึงวันที่ 8 ก็ต่ออายุอัตโนมัติและคิดเงินทันทีโดยที่ผู้ใช้มือถือไม่รู้ ซึ่งตามกฏหมาย สคบ.ก็มีการคุ้มครองผู้บริโภคในเรื่องของโฆษณาที่สร้างความรำคาญ มีโทษจำคุก ไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ   สคบ. เตรียมตั้ง “ศูนย์คุ้มครองผู้บริโภคแห่งชาติ” สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เตรียมจัดตั้งศูนย์คุ้มครองผู้บริโภคแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นการปรับโครงสร้างการทำงานของ สคบ.ครั้งใหญ่ เพราะจะเป็นการรวบรวมงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคของ 10 กระทรวงและ 20 กรม เข้ามารวมกันเพื่อแก้ไขปัญหาให้รวดเร็วมากขึ้น ตั้งกองทุนเยียวยาผู้บริโภค คอยทำหน้าที่จ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายให้ผู้บริโภคในช่วงที่คดีกำลังอยู่ในขั้นตอนการฟ้องร้อง โดยศูนย์ดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งตามแผนแม่บทการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งจากการที่ สคบ. ได้ประชุมร่วมกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เห็นชอบให้แก้ไขกฎหมายของ สคบ.ฉบับเดิมให้ครอบคลุมกับแผนดังกล่าว คาดว่าศูนย์นี้จะดำเนินงานได้ภายใน 3 - 6 เดือน โดยจะให้นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกที่นายกฯ มอบหมายมาเป็นประธานศูนย์ฯ หน้าที่ของหลักศูนย์ฯ จะรวบรวมงานที่ซ้ำซ้อนของแต่ละหน่วยงาน ที่มีข้อกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค มาเร่งแก้ไขในจุดเดียวลดขั้นตอนการดำเนินงานที่ล่าช้า พร้อมทั้งมีหน่วยงาน สคบ.ระดับภูมิภาครับเรื่องร้องเรียน และไกล่เกลี่ยให้จบภายในระดับภูมิภาค รวมถึงสร้างองค์ความรู้ และสร้างเครือข่ายระดับท้องถิ่น โดยเชื่อว่าหากมีศูนย์ดังกล่าวจะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าใจ เข้าถึง สคบ.มากขึ้น ปริมาณเรื่องร้องเรียนที่มีเข้ามาก็น่าจะเพิ่มขึ้นจากปีละแค่ 8,000-10,000 เรื่อง เป็น 100,000 เรื่อง   8 เครือข่ายองค์กรสุขภาพ ร้อง คสช.- ดีเอสไอ เอาผิดบอร์ดและ ผอ.องค์การเภสัช 8 เครือข่ายองค์กรสุขภาพ ประกอบด้วย ชมรมแพทย์ชนบท, ชมรมเภสัชชนบท, กลุ่มศึกษาปัญหายา, กลุ่มคนรักหลักประกัน, เครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ, สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค, มูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนา และมูลนิธิเภสัชชนบท ได้ยื่นหนังสือต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และสำนักงานกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ เพื่อให้พิจารณาปลดและตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ชุดที่มี นายแพทย์พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เป็นประธาน และนายแพทย์สุวัช เซียศิริวัฒนา ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม มีพฤติกรรมส่อทุจริต และทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐเป็นคดีพิเศษ โดยมี 2 ประเด็นที่ให้ดีเอสไอพิจารณารับเป็นคดีพิเศษ คือ ปัญหาการก่อสร้างโรงงานผลิตยาที่รังสิต ขององค์การเภสัชกรรมที่ ผอ. และบอร์ดยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้าง และมีการเอื้อแก่บริษัทที่เคยทิ้งงานและไม่ขึ้นบัญชีดำบริษัทที่ทิ้งงาน ทั้งที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเคยได้ทักท้วงมา นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งประเด็น คือเรื่องการก่อสร้างโรงงานวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งหลังจากบอร์ดปลด นายแพทย์วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการ องค์การเภสัชกรรมในขณะนั้นไปแล้ว กลับไม่มีการเร่งรัดเพื่อให้การก่อสร้างให้แล้วเสร็จโดยเร็วตรงกันข้ามกลับมีการดำเนินการล่าช้า ที่สำคัญขณะนี้โรงพยาบาลในต่างจังหวัดจำนวนมากเผชิญภาวะยาขาด สาเหตุจากการที่ ผอ.อภ. และบอร์ด อภ. แก้ไขปัญหาภาวะขาดทุนด้วยการสั่งงดผลิตยาจำเป็น เช่น ยาเบาหวาน ซึ่ง อภ. เป็นผู้ผลิตส่งให้โรงพยาบาลต่างๆ ของรัฐราว 80% ของที่ใช้กับคนไข้ในประเทศ นอกจากนี้ อภ. ยังขาดส่งยาไปยังกองทุนยาต้านไวรัสกว่า 400 ล้านบาท และมีแนวโน้มว่า หากไม่มีการแก้ปัญหาวัตถุดิบยา ต่อไปคนไข้อาจขาดยา นอกจากนี้ นพ.สุวัช ยังเสนอตัดงบเรื่องการทำงานวิจัย 45 ล้าน เพื่อแก้ปัญหาขาดทุน ถือเป็นการแก้ปัญหาโดยไม่คำนึงถึงอนาคตของ อภ.ที่ต้องให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 139 สังคมรีไซเคิล สังคมโลกใหม่ของคนทันสมัย

“ป้าคะ รู้จักโรงงานรับซื้อของเก่าของวงษ์พาณิชย์ไหม” ฉันถามป้าขายก๋วยเตี๋ยว เพราะเหลือบไปเห็นกองขวดพลาสติก  กระดาษ กองอยู่หลังร้าน “ขับรถตรงไปแล้วก็เลี้ยวขวาข้างหน้า ขับไปเรื่อยเดี๋ยวก็เจอ โรงงานเขาใหญ่” ป้าว่าพลางทำก๋วยเตี๋ยวให้ลูกค้าต่อไป ........................ ทันทีที่เลี้ยวรถเข้าโรงงานคัดแยกขยะเพื่อรีไซเคิล วงษ์พาณิชย์  พบป้ายสีฟ้าโดดเด่นเขียนว่า “ศูนย์กระจายสินค้าวัสดุรีไซเคิลสี่แยกอินโดจีน” ประกบกับป้ายบอกทาง คุนหมิง หลวงพระบาง ปีนัง ย่างกุ้ง อยู่ข้างถนน ด่านแรกของวงษ์พาณิชย์เป็นจุดคัดแยกขยะรีไซเคิล ผลิตภัณฑ์ต่างๆ มีราคากลางบอกไว้ ทั้งกระดาษ พลาสติก  ขวด-แก้ว  เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์  โลหะ หลังรับซื้อแล้วก็จะถูกคัดแยกออกไปตามแผนกต่างๆ เศษเหล็ก  กระดาษ ขวดแก้ว อะลูมิเนียม โลหะ พลาสติก เครื่อง ใช้สำนักงาน-เครื่องใช้ไฟฟ้า เศษอาหาร และอื่นๆ เช่น เชื้อเพลิง พนักงานแต่งตัวด้วยเครื่องแบบสีเขียว ยืนเรียงกันตามสายพาน การคัดแยกพลาสติกดูจะมีพนักงานมากสุด  ด้านหลังพนักงานแต่ละคนจะมีสุ่มหงายอยู่  แต่ละคนมีสีพลาสติกของตัวเอง สีเขียว  สีฟ้า สีขาว ของใครมาก็หยิบใส่สุ่ม เต็มแล้วก็แบกไปเทในส่วนการจัดแยกสีไว้เพื่อนำไปเตรียมย่อย ล้าง และส่งโรงงานนำไปรีไซเคิลต่อไป ด้านกระดาษแยกเป็นกระดาษขาว  กระดาษลัง แล้วนำมาอัดเป็นก้อน ก้อนละ 1 ตัน ส่งขายให้กับโรงงานผลิตกระดาษ  เช่นกันกระป๋องอลูมิเนียม  ขวดเพ็ต ก็ถูกอัดเป็นก้อน เพื่อสะดวกในการขนส่ง ปัจจุบันวงษ์พาณิชย์มี 1,112 สาขาทั่วประเทศไทย ในประเทศลาว 4 สาขา ในประเทศมาเลเซีย 2 สาขา  ในประเทศพม่า 1 สาขา  กับประสบการณ์กว่า 37 ปี ในการบริหารจัดการโรงงานคัดแยกขยะเพื่อรีไซเคิล   พาคุณผู้อ่านไปชมข้างในโรงงานแล้ว เราไปคุยกับ ดร.สมไทย วงษ์เจริญ ประธาน กรรมการ โรงงานคัดแยกขยะเพื่อรีไซเคิล วงษ์พาณิชย์ กันดีกว่าค่ะ ในฐานะที่จัดการขยะมา 37 ปี เคยคิดที่จะเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการขยะไหม เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลไม่เคยคิด  ไม่เคยเลย คิดเพียงแค่จะช่วยรัฐได้อย่างไรเท่านั้นเอง  ทุกวันนี้ที่ทำอยู่ไม่ต้องการมีอำนาจอะไร ต้องการอย่างเดียวคือเป็นคนดี  ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนทำมาหากินอยู่ในสังคมได้  อันนี้เป็นแนวความคิดอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งก็มองว่าอาชีพการจัดการขยะอย่างเรานั้น  มันไปสร้างผลกระทบให้กับรัฐบาลระดับใหญ่ ระดับกลาง  ระดับเล็ก  ได้ประโยชน์มาก ข้อแรก มันไปลดขยะบ้านเมืองลงได้ 100 % อย่าง “โครงการขยะเหลือศูนย์” ในงบประมาณ 1 ปีของรัฐใช้เงินเป็นแสนล้านบาท ที่เสียไปกับการจัดการขยะนั่นคือ หนึ่งซื้อที่ดินฝังกลบ  สองทำบ่อฝังกลบ สามตั้งโรงงานเผาขยะ และต้องจัดการกับขยะ  สี่ซื้อรถขนขยะให้เทศบาล แล้วไหนจะต้องจัดการกับเรื่องร้องเรียนกับชาวบ้านอีก  โครงการของเราก็ไปกระทบกับสิ่งเหล่านี้  ถ้าหากว่ามีการส่งเสริมและพัฒนาให้อาชีพรีไซเคิลผงาดขึ้นมาได้เมื่อไร  หรือถ้าหากภาครัฐมีน้ำใจสนับสนุน  ผมเชื่อว่าประโยชน์จะตกไปสู่สังคม ประชาชน คณานับทีเดียว เหมือนทำบุญให้กับคนและโลกครั้งใหญ่  เพียงแค่มีน้ำใจให้กับวิถีรีไซเคิล สังคมรีไซเคิล นโยบายของทรัพยากรหมุนเวียน จะช่วยโลก และถึงวันยุติที่จะก้าวร้าวทำร้ายโลกลงได้แล้ว วัตถุดิบ แร่ต่างๆ มันไม่ตายนะ เราเองต่างหากที่คิดว่ามันตาย พอเราคิดแบบนี้มันก็จะทำให้เราตายไปด้วยเช่นกัน  แต่ก็ดีใจนะที่รัฐบาลใหญ่ๆ ของโลกให้ความสำคัญกับการดูแลโลกแล้ว ระบบการจัดการขยะในบ้านเรา วางระบบการทิ้งดี แต่พอเห็นรถขยะเทศบาลมาเก็บ ก็รวมกันไป... เพราะอะไรล่ะ  ยกตัวอย่างคนในกรุงเทพมหานคร ชาวบ้านพยายามจะแยกขยะ นักวิชาการก็ให้แยกขยะ มีการให้ความรู้ด้านการแยกขยะ ชาวบ้านก็พยายามแยกขยะแต่รถก็มาขนรวมกันไป  ความไม่พร้อมของใคร? ภาครัฐไม่พร้อมไง  ถูกไหม... เท่านั้นยังไม่พอ การเกิดศูนย์รีไซเคิลในกรุงเทพมหานครเกิดไม่ได้นะ  หลายเขตที่เข้าใจเรื่องรีไซเคิลก็เกิดได้  แต่สำนักงานเขตบางเขตไม่เข้าใจเรื่องรีไซเคิล  มาสั่งปิดโรงงานรีไซเคิลของวงษ์พาณิชย์ 3 เขตในกรุงเทพและดำเนินคดีอาญา และขึ้นศาล  ผมถามว่าแล้วชาวบ้านที่แยกขยะ จะเอาขยะที่แยกไปส่งตรงไหนล่ะ? ศูนย์รีไซเคิลถูกภาครัฐตั้งข้อหาว่าทำลายทัศนียภาพของเมือง  ผมบอกว่านั่นมันร้านค้าของเก่าโบราณที่ใช้ถนนเป็นโกดัง  ศูนย์รีไซเคิลยุคใหม่เขาทำระบบเป็นดีพาร์ทเม้นท์สโตร์กันแล้ว  มีการแยกหมวดหมู่สินค้า  การแต่งตัวของพนักงานสะอาด  มีวินัย มีหัวใจรักสิ่งแวดล้อม แต่ศูนย์อย่างนี้กลับถูกดำเนินคดีและขึ้นศาลอาญา เมื่อไรหนอประเทศไทยที่มีความคิดกว้างไกลด้านสิ่งแวดล้อมได้มาจุติและมาบริหารบ้านเมือง ให้เมตตาโลก แต่ก่อนรัฐบาลญี่ปุ่นก็เหมือนประเทศไทย ผลักดันศูนย์รีไซเคิลให้ออกไปนอกเมือง ปรากฏว่าขยะท่วมเมืองโตเกียว แต่ตอนนี้สนับสนุนให้ศูนย์รีไซเคิลเข้ามาเปิดในเมืองโตเกียวทำให้ขยะลดลงไป  ไม่ต้องขนขยะ  ซึ่งเป็นความชาญฉลาดของญี่ปุ่นที่รู้จักเปลี่ยนแปลง  ในบ้านเรารัฐบาลใหญ่ก็งานเยอะมากอาจจะมองไม่เห็นงานนี้ซึ่งมันสำคัญมาก ขยะในกรุงเทพวันหนึ่งมีขยะ 9,500 ตัน  ถ้าขนไปกองรวมกันที่สนามหลวง 4 วันเท่ากับตึก 4 ชั้นเลยนะ   ผู้บริโภคก็ต้องฉลาดที่จะซื้อของด้วย ไม่ใช่ซื้อแต่ของถูก แต่ไม่มีคุณภาพและของนั้นทำร้ายโลก เช่นแบตเตอรี่ที่มาจากจีน  ถูกจริง แต่ซื้อแล้วกลับเป็นสารพิษมาทำโลกอีก นั่นไม่ใช่ฉลาดซื้อ  ฉลาดซื้อต้องเมตตาโลกด้วยนะ ถ้าอย่างนั้นแล้วมีวิธีการทำให้คนเห็นขยะมีมูลค่า ได้อย่างไร คนที่จะคิดเรื่องมูลค่าของขยะ อาจจะพูดได้ว่า “คนทันสมัยเท่านั้นที่จะรู้คุณค่าของขยะ” ไม่ว่าเด็ก  วัยกลางวัน หรือผู้สูงวัย  คนเหล่านี้เป็นคนทันสมัยหรือเปล่า  ถ้าหากว่าเป็นคนทันสมัยละก็ ต้องรู้และเห็นคุณค่าของขยะ ทำอย่างไรคนเราถึงจะคิดและปฏิบัติได้จริงเป็นรูปธรรม  1) ก็ต้องเริ่มจากการให้ความรู้ ตั้งแต่ระดับประถมจนถึงมหาวิทยาลัย แทรกเนื้อหาเรื่องการรีไซเคิล หัวใจรีไซเคิล สังคมรีไซเคิล  2) สร้างแนวความคิดอีโคดีไซน์ (ผลิตภัณฑ์ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม) ต้องคิดเป็นว่าของแต่อย่าง แต่ละชิ้น ในการบริโภคในชีวิตประจำวัน  สิ่งของต่างๆ เกิดขึ้นบนพื้นฐานอีโคดีไซน์หรือเปล่า  วิศวกรแต่ละโรงงานรู้จักออกแบบสินค้า ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมไหม  สินค้าทุกคนสามารถนำไปเป็นทรัพยากรหมุนเวียนนำกลับมาใช้ใหม่ได้หรือไม่  ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นขยะอีกต่อไป  รัฐบาลจึงจะออกตราสัญลักษณ์ “ฉลากเขียว” ให้กับผลิตภัณฑ์นั้นๆ ว่าเป็นสินค้าที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และนำกลับมาใช้ใหม่ ห้างสรรพสินค้าใหญ่ในสหรัฐอเมริกาเริ่มโครงการนี้แล้ว  สินค้าที่จะเข้ามาในห้างฯ ทุกชิ้นต้องไม่เป็นวัตถุดิบที่ทำลายสิ่งแวดล้อม  ต้องเป็นสินค้าที่อยู่บนพื้นฐานอีโคดีไซน์เท่านั้นจึงจะเข้ามาขายให้ห้างฯ ได้ เห็นไหมเจ้าของห้างฯ ยังตระหนักเรื่องนี้แล้ว ที่น่าจับตามองอีกประเทศก็คือประเทศอังกฤษ  คนเริ่มมีความคิดเรื่องอีโคดีไซน์ทำให้เกิดกระแสว่า ห้างฯ ไหนรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมห้างฯ นั้นก็จะขายดี  ห้างฯ ไหนไม่รับผิดชอบก็จะขายตกไป หรือขายไม่ได้  ขาดทุนจนอาจจะต้องปิดกิจการในอนาคตก็ได้ พูดถึงฉลากเขียว บ้านเรามีการบังคับใช้หรือยังคะ สำนักงานจัดซื้อสีเขียวนานาชาติ  ที่เกิดขึ้นมาในปัจจุบันมีการประชุมใหญ่ให้ความรู้เรื่อง “หน่วยงานจัดซื้อสีเขียว” ของทุกๆ รัฐบาลใหญ่ในโลก  ไทยเราก็ไปร่วมประชุม แต่ก็ไม่รู้ว่าจะกำหนดเป็นนโยบายปฏิบัติกันเมื่อไร ถ้าหากว่าองค์กรภาคใหญ่ระดับรัฐบาล  กรม  กระทรวง  หรือสำนักงานต่างๆ  หน่วยงานจัดซื้อเขามีความรู้เรื่องการจัดซื้อสีเขียวนานาชาติ  มีการเข้ามาดูโรงงานรีไซเคิล และก่อนจะซื้อทุกครั้งต้องผ่านการเซ็นชื่อ อนุมัติว่า สินค้าที่จะซื้ออยู่ในมาตรฐานฉลากเขียว  อยู่ในการจัดซื้อสีเขียวได้ เป็นมาตรฐานที่ไม่ทำลายโลก วิศวกรผู้ออกแบบโรงงานทุกโรงงาน ก็ต้องมาเรียนรู้เรื่อง LCA (Life-cycle assessment) ต้องรู้ว่าตลอดวัฎจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ของเขา ต้องสะดวกต่อการรีไซเคิล ต้องลดการใช้ความร้อน ใช้พลังงานอย่างไร  ลดคาร์บอนไดออกไซด์อย่างไร ถึงจะเป็น LCA ได้ ต้องคิดถึงขนาดนี้จึงจะผลิตสินค้าสู่ตลาดผู้บริโภคได้ ผู้บริโภคก็ต้องฉลาดที่จะซื้อของด้วย ไม่ใช่ซื้อแต่ของถูก แต่ไม่มีคุณภาพและของนั้นทำร้ายโลก เช่นแบตเตอรี่ที่มาจากจีน  ถูกจริง แต่ซื้อแล้วกลับเป็นสารพิษมาทำโลกอีก นั่นไม่ใช่ฉลาดซื้อ  ฉลาดซื้อต้องเมตตาโลกด้วยนะ   ทีนี้พอมีการปลูกฝังให้ความรู้ความคิดแล้ว ประชาชนจะมีส่วนร่วมในการจัดการขยะได้บ้างไหม เพื่อช่วยภาครัฐ พูดถึงประชาชน  ประชาชนนี่ล่ะเป็นเครื่องมือที่ยิ่งใหญ่และสำคัญมาก ทำอย่างไรจะให้ประชาชนเป็นนักรีไซเคิล  เป็นนักจัดการขยะ  โรงงานจัดการขยะที่ทันสมัยที่สุดของโลกอยู่ที่ไหนรู้ไหม โรงงานจัดการขยะที่ทันสมัยที่สุดของโลก จริงๆ แล้วอยู่ทุกมือของประชาชน  และความรู้ที่อยู่ในตัวประชาชน เป็นโรงงานที่ไม่ต้องใช้งบประมาณใดๆเลย เพียงแต่ 1) ต้องฉลาดซื้อสินค้าที่จะเข้าบ้าน ของที่จะเข้าบ้านต้องรีไซเคิลได้  2) สามารถให้ความรู้ประชาชนในการจัดการแยกขยะรีไซเคิลได้สำเร็จ โดยใช้หลัก “มันมาอย่างไร ก็ให้มันไปอย่างนั้น” เช่นเราไปซื้อของห้างฯบิ๊กซี  โลตัส  แมคโคร หรือแม้แต่ 7 มันมาถุงเล็ก ใส่ถุงหิ้วมานะ มันมาถุงใหญ่ใส่ถุงหิ้วมานะ เราก็มาตอกตะปูไว้ข้างฝาบ้านเรา ถุงใหญ่  ถุงกลาง  ถุงเล็ก ตอก ไว้ แล้วก็เขียนป้ายติดไว้ถุงนี้กระดาษ  กก.ละ 5 บาท ถุงนี้กระป๋องอลูมิเนียม กก.ละ 38 บาท  ถุงนี้กระป๋องสังกะสี กระป๋องกาแฟ กก.ละ 4 บาท  ถุงนี้พลาสติก กก.ละ 20 บาท  ถุงนี้ขวดแก้ว  แล้วก็เขียนชื่อผู้ดูแลรับผิดชอบไว้ด้วยเลย อย่างลูกสาว  ลูกชายของเรา กรณีมีข้อสงสัยติดต่อที่เบอร์โทรศัพท์ นั่นไง เห็นไหมมีนักสิ่งแวดล้อมอยู่ในบ้านของเราแล้ว ทั้งกระป๋องเบียร์ น้ำอัดลม หมดแล้วเราก็เหยียบแบนๆ ใส่ถุงไว้ กล่องกระดาษทำให้แบนๆ มัดรวมกันไว้ ไม่เกะกะ พอได้เต็มถุงก็ใส่รถแท็กซี่ไปขายที่ศูนย์รีไซเคิล ไปทีหนึ่งก็ราวๆ 2,000 กว่าบาท ต่างจังหวัดไม่มีปัญหา แต่กทม.ก็จะรถติดนี่สิ กว่าจะไปถึงก็หมดไปกับค่ารถแท็กซี่  นี่ไงการไม่ยอมมีศูนย์รีไซเคิลในเมือง รัฐบาลมีนโยบายให้แยกขยะจากที่บ้าน แต่บางเขตก็มองเรื่องรีไซเคิลเป็นภาพลบ ก็ไม่รู้อย่างไรเหมือนกัน เคยได้ยินเรื่องธนาคารขยะ วงษ์พาณิชย์มีแนวคิดอะไรในการตั้งขึ้นมา วงษ์พาณิชย์ เป็นต้นกำเนิดธนาคารขยะ  เป็นคนคิดครั้งแรกของโลกที่ตั้งธนาคารขยะประวัติศาสตร์ขึ้นมาที่  ร.ร.เทศบาล 5 วัดพันปี ในปี 1999 ตอนนี้ในประเทศไทยเกิดธนาคารขยะกว่า 2,000 ธนาคาร  มีที่ลาว มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ที่ญี่ปุ่น ถึงสหรัฐอเมริกา ธนาคารขยะที่เกิดขึ้นตอนนั้น เป็นปีที่ฟองสบู่แตก ธนาคารต่างๆ ก็ปิดตัวลง เราก็เลยคิดตั้งธนาคารที่มั่นคงที่สุดในโลกขึ้น โดยไม่ใช่เงิน นั่นก็คือการตั้งธนาคารขยะ ไม่ต้องกลัวโจรที่ไหนมาปล้น  เป็นศูนย์การเรียนรู้ที่มีประโยชน์มาก อย่างคิดไม่ถึง พอตั้งธนาคารขึ้น 1) เราก็ให้เด็กบริหารจัดการ  มีการเลือกตั้ง ทำให้รู้จักการจัดการ รวมทั้งรู้จักประชาธิปไตย 2) ทำให้เด็กรู้จักการแยกขยะ และนำขยะมาแปลงเป็นเงิน ทำให้เด็กรู้จักการออม รู้จักสิ่งแวดล้อม 3) พอเด็กรู้วิธีการแยกขยะ ก็นำกลับไปบอกที่บ้านให้รู้จักแยกขยะ “ขวดน้ำปลา  กระดาษ ของหนู เป็นเงินค่าขนมของหนู” เด็กเอาไปบอกยายอายุ 70 ให้รู้วิธีการแยกขยะ ซึ่งยายเกิดมา 70 ปียังไม่รู้เลยว่าขยะเอามาขายได้  ให้เด็กเป็นครูให้กับที่บ้านด้วย การลงทุนธนาคารครั้งแรก เอาไม้มากั้นข้างฝา เอาสีเขียวที่ทากระดาษดำไปทาให้สวยๆ หน่อย แล้วติดป้ายว่า “ธนาคารขยะ” ถ้าภาครัฐสนับสนุนให้มีธนาคารขยะทุกโรงเรียน ทุกชุมชน สนับสนุนให้มีการรีไซเคิลขยะ รัฐก็จะไม่สิ้นเปลืองงบประมาณไปหาวิธีการจัดการขยะ  ไปซื้อที่ดินหาที่ทิ้งขยะ  เสียดายงบประมาณมาก ขยะมันไม่ตายนะ เอามันไปฝังที่ป่าช้า อย่าคิดว่ามันตายนะ เพียงแต่มันรอวันระเบิดขึ้นมา... “ขอบคุณนะครับที่มาเที่ยวบ้านคนเก็บขยะ” เจ้าสัวราชาขยะทองคำ กล่าวคำลาก่อนจะจากกัน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point