ฉบับที่ 270 เทคโนโลยี “ฝากไข่” ช่วยคนมีลูกเมื่อพร้อม กับข้อที่ต้องศึกษา รู้ก่อนเสียเงินมหาศาล

        ด้วยความที่ต้องทำมาหากินเลี้ยงปากท้อง หรือไม่ว่าจะเป็นเหตุผลความจำเป็นอื่นๆ ที่ทำให้หลายครอบครัวมีลูกเมื่ออายุมากขึ้น ด้ายสภาพร่างกายที่อาจไม่สมบูรณ์ถึงเวลานั้นบางคนก็ไม่สามารถมีลูกได้ หรือบางคนก็มีลูกยากและเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายกับหญิงตั้งครรภ์ รวมถึงทารกในครรภ์ที่เสี่ยงเกิดมาไม่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือในการมีลูกมากขึ้น อย่างเช่น หลายๆ ครอบครัวที่พอมีเงินก็จะเลือกใช้วิธี “ฝากไข่” ไว้กับสถานพยาบาลที่ให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยากเอาไว้ก่อน เมื่อพร้อมจึงมาทำการผสมเทียมและฝังตัวอ่อนต่อไป         การกำกับดูแลสถานพยาบาลสำหรับผู้มีภาวะมีบุตรยาก         ปัจจุบันประเทศไทยถือว่ามีชื่อเสียงในเรื่องของการทำเด็กหลอดแก้ว จนแม้กระทั่งชาวต่างชาติที่มีปัญหาเรื่องมีบุตรยากก็เข้ามารับการรักษาในเมืองไทยจำนวนมากขึ้น เพราะมั่นใจในคุณภาพ มาตรฐานของสถานพยาบาลและบุคลากร ซึ่งในส่วนของสถานพยาบาลที่ให้การรักษาภาวะผู้มีบุตรยากนั้นจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.)        นพ. สุระ วิเศษศักดิ์ อธิบดีกรมสบส. อธิบายให้ฟังว่า การรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยเทคโนโลยีต่างๆ  แน่นอนว่ารวมไปถึงการเก็บไข่ ฝากไข่ กระทั่งสเปิร์มก็ตาม  ตลอดจนการตั้งครรภ์แทน (อุ้มบุญ) จะถูกกำกับด้วย พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558 ซึ่งจะมีการกำหนดมาตรฐานด้านต่างๆ ทั้งเรื่องผู้รับบริการที่จะมีการกำหนดถึงความเป็นสามี ภรรยาตามกฎหมาย ตลอดจนกำหนดมาตรฐานสถานพยาบาล และบุคลากรการแทพย์           สำหรับ “สถานพยาบาล” ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานฯ จะต้องจัดให้มี องค์ประกอบต่างๆ ตามมาตรฐาน ได้แก่ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด มีองค์ประกอบ ของบุคลากร ได้แก่ นักวิทยาศาสตร์เพาะเลี้ยงตัวอ่อน สูตินรีแพทย์ พยาบาล รวมทั้งมีสถานที่ เครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน เมื่อผ่านการตรวจสอบแล้ว สบส. จะออกหนังสือรับรองมาตรฐานฯ ให้ พร้อมทั้งจัดทำ โปรแกรม ICMART-IVE ซึ่งเป็นโปรแกรมคลังข้อมูลด้าน เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯของประเทศไทย (Big-DATA)         “ขณะนี้ประเทศไทยมีสถานพยาบาลที่ผ่านการรับรองมาตรฐานฯ ทั้งสิ้น 110 แห่ง ในจำนวนนี้เป็นสถานพยาบาลรัฐ 16 แห่ง และสถานพยาบาลเอกชน 94 แห่ง แบ่งเป็น โรงพยาบาลเอกชน 30 แห่ง และคลินิกเอกชน 64 แห่ง รองรับผู้รับบริการที่มีปัญหาภาวะมีบุตรยากทั้งคนไทยและต่างชาติ อัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์เฉลี่ยสูงถึง 46 % ให้บริการทำเด็กหลอดแก้วกว่า 20,000 รอบการรักษา มีการผสมเทียมกว่า 12,000 รอบการรักษา  สร้างรายได้ในบริการทางการแพทย์นี้กว่า 7,500 ล้านบาท”         ส่วนเรื่องการตั้งครรภ์แทนนั้น ยิ่งมีความเข้มงวดมาก โดยกำหมายกำหนดว่า ในกรณีที่ภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายไม่สามารถตั้งครรภ์เองได้จะสามารถขออนุญาตดำเนินการให้มี การตั้งครรภ์แทนเป็นรายๆได้ ตามบทบัญญัติ มาตรา 23 ซึ่งจะต้องดำเนินการในสถานพยาบาลที่ผ่านการรับรอง มาตรฐานการให้บริการด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ และโดยแพทย์ที่มีคุณสมบัติตามที่ กฎหมายกำหนด ซึ่งหากผ่านการอนุญาตดำเนินการให้มีการตั้งครรภแทน ทางกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จะออกหนังสืออนุญาตดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเป็นรายๆ ต่อไป           “นพ.สุระ” ย้ำว่า ประชาชนที่กำลังจะเข้ารับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์จะต้องทำในสถานพยาบาลที่ผ่านการรับรองมาตรฐานฯ  ต้องดำเนินการโดยแพทย์เฉพาะทางที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด และทำภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย และห้ามทำในเชิงพาณิชย์ หากฝ่าฝืนจะมีโทษตามกฎหมายทั้งแพทย์ นายหน้า คู่สมรส และหญิงที่ตั้งครรภ์แทน หากมีปัญหาในการรับบริการ หรือพบเห็นการทำผิดกฎหมายสามารถแจ้งที่สายด่วนกรม สบส. 1426  เรื่องต้องรู้ การตลาดกับบริการรับฝากไข่         แม้จะมีข้อกำหนดตามกฎหมายที่ชัดเจนในการให้บริการ แต่ที่ผ่านมาก็พบว่ามีปัญหาอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะการโฆษณาหรือนำเสนอข้อมูลที่ชวนให้เข้าใจผิด ตลอดจนสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ดังเช่นกรณีหนึ่งที่เข้ามาร้องเรียนต่อ “มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค” ก็เป็นปัญหาเริ่มตั้งแต่กระบวนการ “เก็บไข่ ฝากไข่” เลยด้วยซ้ำ และทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคก็ได้ เปิดเผยข้อมูลว่า มีผู้มาร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาการฝากไข่ โดยผู้ร้องให้ข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2564 ได้จ่ายเงินมัดจำจำนวน 100,000 บาท เพื่อตกลงซื้อแพ็คเกจฝากไข่ Oocyte Freezing Package ซึ่งราคาเต็มอยู่ที่ 189,000 บาท (หนึ่งแสนแปดหมื่นเก้าพันบาทถ้วน) กับโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ต่อมาวันที่ 19 มีนาคม 2565 เข้ารับการเก็บไข่ตามกระบวนการ พร้อมชำระเงินส่วนที่เหลือ รวมถึงค่ายาฮอร์โมนกระตุ้นเพิ่มเติมประมาณ 20,000 บาท  และวันที่ 21 มีนาคม 2565 โรงพยาบาลดังกล่าวได้นัดผู้ร้องเพื่อฟังผล และแจ้งว่าจะต้องชำระเงินเพิ่มอีก 40,000 บาท เพื่อแช่ไข่ที่โรงพยาบาลเป็นระยะเวลา 5 ปี ตามแพ็คเกจของโรงพยาบาลฯ แต่พยาบาลแจ้งแก่ผู้ร้องว่ายังไม่ต้องดำเนินการชำระเงิน ให้ผู้ร้องมาต่อสัญญาใหม่หลังจากสัญญาเดิมครบกำหนด เมื่อครบกำหนด 1 ปี         โรงพยาบาลฯ ส่งข้อความ ผู้ร้องเข้าใจว่าโรงพยาบาลติดต่อเพื่อให้เข้าไปดำเนินการต่อสัญญาตามใบนัด แต่ปรากฏว่าโรงพยาบาลแจ้งว่าศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากจะดำเนินการปิดศูนย์ฯ โดยทางโรงพยาบาลมีข้อเสนอดังนี้ 1. ให้ผู้ร้องย้ายไปฝากกับ “แพทย์ที่ดูแลผู้ร้อง” ซึ่งได้ย้ายไปทำหัตถการในคลินิกอื่น หรือ 2. ให้ฝากกับโรงพยาบาลในเครือของโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าว แต่ผู้ร้องจะต้องชำระค่าฝากปีแรก 20,000 บาท และปีถัดไปขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลในเครือกำหนด         ทั้งนี้ ผู้ร้องไม่ประสงค์ย้ายการฝากไข่ไปที่คลินิกอื่นเพราะเชื่อมั่นในชื่อเสียงของโรงพยาบาลจึงตัดสินใจเลือกฝากที่โรงพยาบาลเดิมตั้งแต่แรกแม้จะมีค่าใช่จ่ายที่สูงกว่า แต่การที่ให้ยายไปฝากไข่ที่โรงพยาบาลในเครือแล้วต้องจ่ายค่าฝากปีแรก 20,000 บาท ส่วนปีถัดไปขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลในเครือกำหนดนั้น ผู้ร้องมองว่าไม่เป็นธรรม เพราะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเพิ่มจากเดิมที่ได้ทำข้อตกลงกับโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายในการฝากแช่ไข่ 5 ปี จำนวน 40,000 บาท ไปอีกหลายเท่า ซ้ำในปีถัดไปโรงพยาบาลก็ไม่สามารถรับรองได้ว่าผู้ร้องจะต้องจ่ายเท่าไหร่  จึงร้องเรียนมายังมูลนิธิฯเพื่อขอความช่วยเหลือ         ภายหลังรับเรื่องร้องเรียน ทางมูลนิธิฯ ได้ทำหนังสือถึงผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวเมื่อเดือนเมษายน 2566 ซึ่งทางโรงพยาบาลฯ ก็ได้ทำหนังสือตอบกลับมาว่า โรงพยาบาลพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ร้อง โดยหากผู้ร้องประสงค์ย้ายไปฝากไข่กับสถานพยาบาลอีกแห่งจะคิดค่าใช้จ่ายในการฝากไข่ปีละ 20,000 บาท เป็นระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่เริ่มย้ายไข่ หากครบกำหนดระยะเวลา 5ปี ค่าใช้จ่ายจะเป็นไปตามที่สถานพยาบาลแห่งนั้นกำหนด แต่ผู้ร้องปฏิเสธข้อเสนอ        มูลนิธิฯ จึงทำหนังสือขอให้ทบทวนค่าใช้จ่ายในการย้ายไปฝากไข่ที่สถานพยาบาลแห่งใหม่ โดย 3 ปีแรกขอให้คิดค่าใช้จ่ายจำนวน 40,000 บาท และ ปีต่อๆไป ปีละ 15,000 อีก 2 ปี ทั้งนี้หากไม่สามารถตกลงกันได้ผู้ร้องขอใช้สิทธิทางศาลเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป แต่ปรากฏว่าทางโรงพยาบาลปฏิเสธข้อเสนอของมูลนิธิฯ ทำให้ทางฝั่งผู้ร้องมีการปรึกษาหารือกับทีมกฎหมายอยู่ระยะเวลาหนึ่ง สุดท้ายตัดสินใจย้ายไข่ไปฝากกับสถานพยาบาลแห่งอื่นแทน แต่ก็ยังติดปัญหาเรื่องน้ำยาการแช่ไข่ทำให้ไม่สามารถย้ายไปโรงพยาบาลปลายทางที่ผู้ร้องเลือกได้ ทำให้ผู้ร้องต้องเลือกข้อเสนอของโรงพยาบาลเอกชนดังที่ระบุไว้ในตอนต้น         ทั้งนี้ จะเห็นว่าเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น แม้ว่าจะไม่ใช่บกพร่องจากตัวผู้บริโภคเอง สุดท้ายต้องมาแบกรับค่าใช้จ่ายที่ไม่เป็นธรรม ดังนั้น มูลนิธิฯ จึงขอแนะนำผู้ที่มีความสนใจอยากฝากไข่ จะต้องศึกษาข้อมูลรายละเอียดให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจ  เก็บรวบรวมหลักฐานต่างๆ ไว้ เช่น ใบโฆษณา รายละเอียดคอร์ส หลักฐานการชำระเงิน ให้ครบถ้วนและที่สำคัญต้องมีสัญญา โดยสัญญาต้องมีความชัดเจน ระบุรายละเอียดข้อมูลครบถ้วน เช่น กรณีการยกเลิกสัญญา การย้ายโรงพยาบาล การคืนเงิน เป็นต้น         เทคโนโลยีเข้ามาช่วยส่งเสริมให้ผู้ที่อยากมีลูกสามารถมีลูกได้สมความตั้งใจ ทุกฝ่ายทั้งผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ และผู้กำกับดูแล ต่างอยู่บนพื้นฐานกฎหมาย แม่หวังแต่ประโยชน์หรือผลกำไรที่จะ “เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์” เชื่อว่า นอกจากจะเป็นการช่วยให้ครอบครัวมีความสมบูรณ์แล้ว ยังช่วยให้ประเทศชาติมีทรัพยากรมนุษย์ที่มีความสมบูรณ์เพิ่มขึ้น สู้กับวิกฤติเด็กเกิดน้อยในปัจจุบันได้ จากนั้นก็เข้ากระบวนการหล่อหลอมทางการศึกษา สังคม เพื่อสร้างคนที่มีคุณภาพเป็นกำลังหลักของประเทศต่อไปอ้างอิงจากบทความของเว็บของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา National Institutes of Healthhttps://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4554370/#:~:text=The%20most%20problematic%20aspects%20in,granted%20oocyte%20cryopreservation%20is%20a..................................................Ø ตรวจสอบรายชื่อสถานพยาบาลที่ให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ (ข้อมูล ณ วันที่ 22 มีนาคม 2566) สถานพยาบาลที่ให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ – กองสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ (moph.go.th)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 270 ไข่ฮ้างฮัง

        มีคลิปหนึ่งที่ถูกโพสต์ลง TikTok มีเนื้อหาประมาณว่า เมื่อคุณแม่ซื้อไข่ฮ้างฮังมาแต่ยังไม่ได้กินเพราะไม่อยู่บ้าน 3 วันในหน้าร้อน เมื่อกลับมาบ้านต้องตกใจเมื่อเปิดประตูบ้านมาเจอลูกเจี๊ยบกว่าสิบตัววิ่งอยู่ในบ้าน ในขณะที่บางตัวกำลังฟักออกจากไข่         ผู้เขียนขอสารภาพว่า ไม่เคยได้ยินคำว่าไข่ฮ้างฮัง หรือที่บางคนให้ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตว่า อาจเรียกว่า ไข่ฮ้างรังหรือไข่ค้างรัง จึงเข้าค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมแล้วพบข้อมูลประมาณว่า ไข่ฮ้างฮัง คือไข่ที่ฟักยังไม่สำเร็จแต่ถึงเวลาแล้วที่แม่ไก่บ้านต้องไปเลี้ยงลูกเจี๊ยบส่วนใหญ่ที่ออกจากไข่ก่อน (ปรกติแล้วแม่ไก่ฟักไข่ประมาณ 21 วัน) จึงต้องทิ้งรังไปตามวิถีชีวิตธรรมชาติของแม่ไก่ที่ต้องพาลูกไปหากิน ส่วนไข่ที่เหลือยังฟักไม่สำเร็จผู้เลี้ยงไก่มักนำไปบริโภค โดยไข่ฮ้างฮังแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ไข่ตัว คือไข่มีเชื้อที่เริ่มเจริญเป็นตัวอ่อน และตายในระยะใดระยะหนึ่ง ไม่สามารถฟักเป็นตัวออกมาจากไข่เป็นลูกเจี๊ยบได้และ ไข่ข้าว คือไข่ที่ไม่มีเชื้อ ไม่มีการเจริญเป็นตัวอ่อน แต่ได้รับการฟักทำให้สภาพของเนื้อไข่เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากความร้อนจากการฟักของแม่ไก่ทำให้ไข่ข้าวแตกต่างจากไข่ไก่สดทั่วไป (ข้อมูลนี้ผู้เขียนยังสงสัยอยู่ว่ามันเป็นอย่างนี้จริงหรือ)         อย่างไรก็ดีมีกระทู้หนึ่งใน pantip.com (ในเดือนเมษายน 2566) เรื่อง ลักษณะไข่แบบนี้ไข่เน่าหรือไข่ค้างรัง ให้ข้อมูลต่างออกไปบางส่วนประมาณว่า ไข่ข้าวคือ ไข่ที่ถูกผสมด้วยน้ำเชื้อของไก่ตัวผู้แล้วถูกฟักแต่ยังไม่เป็นลูกเจี๊ยบคนก็เอามากินก่อน หรือคนเลี้ยงไก่เขาเจตนาทำให้เป็นไข่ข้าวเพื่อขาย (น่าจะได้ราคากว่าขายไข่ต้ม) ส่วนไข่ฮ้างฮังเป็นไข่ที่ผสมน้ำเชื้อแล้วแต่แม่ไก่กกไข่ฟักยังไม่เสร็จก็ทิ้งรังไปดูลูกเจี๊ยบตัวอื่น ตัวอ่อนในไข่ใบนั้นก็ตายกลายเป็นไข่ฮ้างฮัง หรือคนเลี้ยงไก่เขาเจตนาทำให้เป็นไข่ฮ้างฮังเพื่อขาย         หลังจากได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับไข่ฮ้างฮังแล้วก็นึกย้อนหลังไปเมื่อราว 60 ปีก่อน สมัยยังเด็กเคยเห็นรถเข็นขายไข่ต้มซึ่งมีไข่ต้มลักษณะหนึ่งที่ส่วนไข่แดงกลายเป็นลูกเจี๊ยบขนขึ้นเล็กน้อยแล้ว จึงถามแม่ของผู้เขียนว่า มันคืออะไร แม่ได้อธิบายว่าเขาเรียกว่า ไข่ข้าว ซึ่งคนที่ซื้อกินนั้นเชื่อว่า กินแล้วสมรรถภาพทางเพศจะดีขึ้น ซึ่งผู้เขียนฟังแล้วก็เก็บข้อมูลไว้ในสมองเฉยๆ จนมาได้ดูข่าวที่กล่าวถึงข้างต้นจึงรำลึกได้ แต่ก็ยังมีประเด็นที่เป็นคำถามเพราะสงสัยอยู่ว่า คนไทยกินไข่ฮ้างฮังทำไม เหมือนฝรั่งที่กินหรือไม่         คำตอบแรกนั้นมีในอินเทอร์เน็ตว่า เพราะชอบกลิ่นและรส ส่วนเหตุที่มีคำถามถึงฝรั่งนั้นก็เพราะนึกได้ว่า สมัยเรียนที่สหรัฐอเมริกานั้นมีโอกาสได้อ่านบทความในนิตยสาร PlayBoy (ซึ่งเพื่อนในหอพักซื้อมาอ่านแล้ววางไว้ในห้องนั่งเล่น) มีบทความหนึ่งเกี่ยวกับฝรั่งแถวสแกนดิเนเวียนิยมกินลูกไก่ที่ยังอยู่ในเปลือกไข่เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะทางเพศหรือ Libido ดังนั้นผู้เขียนจึงลองค้นหาข้อมูลทางวิชาการในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับงานวิจัยไข่ที่มีลักษณะของไข่ฮ้างฮังว่ามีหรือไม่ ซึ่งพบว่ามีไม่มากนักและที่น่าสนใจคือบทความเรื่อง Fibroblast growth factor (FGF) identification of a fertilized chicken egg whites and their effects on stem cells regeneration in the pancreas of hyperglycemia mice ในวารสาร Der Pharma Chemica ของปี 2016 ซึ่งบทความนี้เป็นผลการวิจัยของชาวอินโดนีเชียที่ให้ข้อมูลว่า สาร Fibroblast Growth Factor ที่สกัดได้จากตัวอ่อนในไข่ที่ถูกฟักแต่ยังไม่ออกเป็นตัวสามารถกระตุ้นให้เซลล์ต้นกำเนิดของตับอ่อนที่นำออกมาจากหนูที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (เพราะได้รับสาร alloxan ซึ่งทำลายเซลล์ที่สร้างอินซูลินของตับอ่อน) พัฒนาไปเป็นเซลล์ที่หลั่งอินซูลินได้ ส่งผลให้มีการตั้งความหวังว่า สารสกัดจากไข่ที่มีตัวอ่อนนั้นน่าจะถูกใช้ช่วยกระตุ้นเซลล์ต้นกำเนิดในอวัยวะต่างๆ พัฒนาไปทำงานทดแทนเซลล์เดิมซึ่งหมดความสามารถ         สิ่งที่น่าสนใจคือ เว็บ https://synergisticnutrition.com มีบทความเรื่อง Fertilized & Incubated Chicken Eggs and Fibroblast Growth Factors ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการที่ไข่ซึ่งได้รับการปฏิสนธิแล้วถูกฟักนาน 9 วันขึ้นไปนั้นมีปัจจัยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ (fibroblast growth factors) ซึ่งเดิมทีนั้นในปี 1929 มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งได้ตั้งสมมุติฐานแล้วทำวิจัยเพื่อพิสูจน์ว่า ปัจจัยสำคัญในไข่ดังกล่าวอาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง แต่น่าเสียดายที่ผู้ศึกษาได้ตายไปในปี 1943 ทุกอย่างจึงถูกลืม จนผ่านไปเกือบ 50 ปีต่อมา ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยไข่ระดับแนวหน้าของนอร์เวย์กลุ่มหนึ่งได้ตั้งสมมุติฐานว่า ไข่ไก่ที่ได้รับการผสมพันธุ์แล้วถูกฟักนั้นมีองค์ประกอบหนึ่งเป็นของผสมของกรดอะมิโน เปปไทด์ และโปรตีนขนาดเล็กรวมกันที่น่าจะช่วยให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค เพราะไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิและถูกฟัก 9 วันนั้นมีสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ (ของลูกไก่) สารสำคัญต่าง ๆ ที่คิดกันว่าเป็นปัจจัยต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ไฟโบรบลาสต์นั้นน่าจะมีความสามารถในลักษณะการสั่งให้เกิดการดูดซับกรดอะมิโน เปปไทด์ และสารอาหารเพื่อกระตุ้นเซลล์ต้นกำเนิดให้เปลี่ยนเป็นเซลล์ของอวัยวะ กล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อสมองและอื่น ๆ ของตัวอ่อน สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับของผสมที่ช่วยให้ลูกไก่เจริญได้ระหว่างฟักนั้น บทความเรื่อง Basic Fibroblast Growth Factor in the Chick Embryo: Immunolocalization to Striated Muscle Cells and their Precursors ในวารสาร The Journal of Cell Biology ของปี 1989 ให้ข้อมูลว่า สารจำเป็นต่อการเจริญของตัวอ่อนในไข่ไก่นั้นเริ่มปรากฏขึ้นราววันที่ 2 ของการฟักและจะเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วในวันที่ 11 ของการฟักไข่         เซลล์ต้นกำเนิดนั้นมีอยู่ทั่วร่างกายมนุษย์และสัตว์ชั้นสูงแม้จะโตเติมที่แล้ว โดยเป็นเซลล์ที่รอการกระตุ้นที่เหมาะสมเพื่อรับสารอาหารสำหรับแปลงเซลล์เหล่านั้นให้เป็นเซลล์ใหม่ที่ทำงานได้เหมือนเซลล์ที่เสียหายไปในเนื้อเยื่อของอวัยวะนั้น ๆ ดังนั้นจึงเป็นความหวังว่า องค์ประกอบที่สกัดได้จากไข่ไก่ที่ผ่านการปฏิสนธิและถูกฟักแล้วระยะหนึ่งอาจช่วยให้เกิดเซลล์ใหม่มาแทนเซลล์ที่เสื่อมไปของสมอง หัวใจ ตับอ่อน ไต ต่อมหมวกไต เยื่อบุลำไส้ หรือเนื้อเยื่ออื่นๆ ซึ่งอาจรวมถึงเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ของร่างกาย เพื่อฟื้นคืนชีพการทำงานของอวัยวะและกระตุ้นความต้องการทางเพศให้กลับคืนมา         คำถามที่น่าสนใจต่อไปคือ มีงานวิจัยเกี่ยวกับสินค้าที่มีองค์ประกอบในลักษณะเดียวกันกับไข่ฮ้างฮังบ้างหรือไม่ คำตอบคือ มีสินค้าซึ่งอ้างว่าเพิ่มสมรรถนะทางเพศของชาย โดยสินค้านั้นมีส่วนประกอบเป็นสารสกัดจากไข่ที่ปฏิสนธิแล้วและฟักได้ระยะหนึ่ง ผู้เขียนพบว่ามีบทความของนักวิจัยชาวนอร์เวย์เรื่อง Sexual Desire in Men: Effects of Oral Ingestion of a Product Derived from Fertilized Eggs ในวารสาร Journal of International Medical Research ของปี 1997 ให้ข้อมูลว่า ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ที่อ้างว่าให้ผลต่อความรู้สึกทางเพศหรือ Libido (Libid, Libbido, Erosom และ Ardorare เป็นชื่อที่ใช้ในการทำตลาด) มีส่วนประกอบที่ได้มาจากไข่ไก่ที่ได้รับการปฏิสนธิและฟักช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ถูกนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาความต้องการทางเพศที่ลดลงในผู้ชาย ผลลัพธ์ที่ได้จากการทดลองที่มีกลุ่มควบคุมด้วยยาหลอกแบบ double-blind cross-over บ่งชี้ว่า ในระยะเวลา 2 สัปดาห์ของการศึกษาพบว่า 58% ของผู้เข้าร่วมการศึกษาชาวนอร์เวย์ที่มีความต้องการทางเพศต่ำลง มีความรู้สึกดีขึ้นตามที่ได้ประเมินโดยใช้ Visual Analog Scale ซึ่งข้อมูลที่ได้รับจากผู้บริโภคชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่สำคัญต่อความถี่ของการมีเพศสัมพันธ์ ความมั่นใจในตนเองที่เพิ่มขึ้น ระดับความสุขที่ได้รับ และความแข็งแกร่งในความเป็นชาย นอกจากนี้ยังมีอีกการศึกษาในชายสวีเดนที่แยกศึกษาต่างหากพบว่า 84% ของผู้ชาย 31 คน รายงานความต้องการทางเพศที่เพิ่มขึ้นในช่วง 3 สัปดาห์หลังกิน Libido โดยต้องใช้เวลา 1 - 2 สัปดาห์ของการกิน Libido 3 กรัมต่อวันๆ ละสองครั้งก่อนที่จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจน         ผู้เขียนได้เข้าไปดูข้อมูลในเว็บ https://www.pdr.net ซึ่งเป็นเว็บที่ให้ข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ดูว่าเชื่อถือได้ เพราะเป็นแหล่งที่พิมพ์หนังสือ Physicians' Desk Reference (ปัจจุบันให้ข้อมูลฟรีบางส่วนแบบ online) ซึ่งแพทย์ส่วนใหญ่รู้จักดี ได้มีบทความเรื่อง Laminine (dietary supplement) - Full Prescribing Information ได้ให้ข้อมูลว่า ผลิตภัณฑ์ Laminine (ตั้งชื่อล้อกับคำว่า laminin ซึ่งเป็นไกลโคโปรตีนทำหน้าที่เป็นโครงสร้างรากฐานเครือข่ายโปรตีนที่อยู่ระหว่างเซลล์ของอวัยวะส่วนใหญ่ของสัตว์ทุกชนิด) ได้ติดฉลากบนสินค้าว่า มีสารสกัดจากไข่ไก่ที่ปฏิสนธิพร้อมด้วยส่วนผสมของโปรตีนที่เว็บไม่ได้ให้ความชัดเจนว่าคืออะไร เพื่อให้มีกรดอะมิโนที่จำเป็นทั้งหมดและกล่าวอ้างว่า ผลิตภัณฑ์นี้มีเปปไทด์ที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพกระตุ้นเซลล์ต้นกำเนิดให้พัฒนาเพื่อซ่อมแซมเซลล์ชราที่เสียสภาพได้         สำหรับคำถามที่ว่า การกินไข่ข้าวหรือไข่ฮ้างฮังของคนไทยนั้นจะได้ผลเหมือนการที่ฝรั่งกินผลิตภัณฑ์ที่กล่าวถึงข้างต้นหรือไม่นั้น คำตอบง่ายๆ คือ คงต่างกัน เพราะไข่ข้าวที่ขายตามรถเข็นนั้นถูกปิ้งด้วยความร้อน ดังนั้นสาร Basic Fibroblast Growth Factor ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นโปรตีนคงเสียสภาพไปหมด ในขณะที่ส่วนสกัดที่ได้จากไข่ข้าวของฝรั่งนั้นผลิตด้วยวิธีการสกัดทางชีวเคมีในห้องปฏิบัติการแล้วทำให้แห้งด้วยวิธี  freez-drying ดังนั้นส่วนสกัดที่ได้จึงน่าจะยังคงสภาพการทำงานอยู่ในระดับหนึ่ง โดยสรุปแล้วคนไทยที่กินไข่ฮ้างฮังแล้วรู้สึกอร่อยก็คงกินไปโดยไม่ต้องหวังอะไร อีกทั้งสินค้าของฝรั่งที่อาจมีขายออนไลน์นั้นก็อย่าได้หวังอะไรนัก เพราะการโฆษณานั้นเป็นการให้ข้อมูลบางส่วนที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ค้าสินค้านั้นเท่านั้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 263 ใบไม้มีโปรตีนสูงกว่านมหรือไข่..ได้หรือ

        เวลาผู้บริโภคได้รับข้อมูลถึงการมีโปรตีนปริมาณสูงในส่วนของพืชที่เป็นอาหารชนิดใหม่ (novel food) นั้น สำหรับผู้ซึ่งไม่ได้ศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ที่เคยเรียนวิชาเคมีทางอาหารที่มีการใช้ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์องค์ประกอบของอาหาร อาจจำเป็นต้องรับฟังโดยดุษฎี แต่ถ้าเป็นผู้ที่ผ่านวิชาดังกล่าวอาจฉุกใจว่า ปริมาณโปรตีนในตัวอย่างนั้นอาจไม่ใช่โปรตีนจริงก็ได้         กรณีตัวอย่างที่อาจเป็นปัญหานั้นได้แก่ การอ้างว่าใบของพืชชนิดหนึ่งมีโปรตีนสูงกว่านมหรือไข่ ซึ่งปรากฏในบางรายการโทรทัศน์บ้าง Youtube บ้าง หรือสื่อช่องทางอื่นๆ ซึ่งผู้รับข่าวสารจำต้องตั้งหลักคิดให้ดีแล้วถามตัวเองว่า ผู้ให้ข้อมูลได้ข้อมูลมาได้อย่างไร         ในความเป็นจริงแล้วตัวอย่างนั้นๆ ต้องถูกนำไปตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการของหน่วยราชการหรือเอกชนที่ได้มาตรฐานตามกระบวนการของ ISO ซึ่งผู้รับข้อมูลควรสอบถามผู้ให้ข้อมูลว่า ใครเป็นผู้วิเคราะห์ปริมาณโปรตีนให้และควรมีเอกสารรับรองเป็นเรื่องเป็นราวจึงจะเชื่อได้ในระดับหนึ่ง         ทำไมจึงควรเชื่อได้แค่ในระดับหนึ่งนั้นมีคำอธิบายว่า ในการวิเคราะห์ปริมาณโปรตีนของสิ่งที่เป็นอาหารมนุษย์นั้น ถ้าสิ่งนั้นดูไม่น่าเป็นอาหารที่มีคุณค่า เช่น ใบปาล์ม ผู้รับข้อมูลต้องใช้วิจารณญาณว่า ข้อมูลนั้นอาจเป็น “ความเข้าใจผิด” เนื่องจากการวิเคราะห์หาปริมาณโปรตีนเป็นเรื่องที่ต้องมีความเข้าใจในการแปรผลที่ถูกต้อง มิเช่นนั้นผลที่นำมาพูดอาจผิดพลาด เพราะผลการวิเคราะห์ที่ได้อาจไม่ได้หมายถึงโปรตีนจริงโปรตีนในพืช        เป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่า ใบไม้จากพืชบางชนิดนั้นพอนับได้ว่าเป็นแหล่งของโปรตีนที่มนุษย์กินได้ ในหนังสือชื่อ Handbook of Hydrocolloids (Second edition) ซึ่งเป็น Series in Food Science, Technology and Nutrition พิมพ์โดย Woodhead Publishing Limited ในเมือง Oxford สหราชอาณาจักร ในปี 2009 มีบทที่ 15 เป็นเรื่องของ Vegetable protein isolates ซึ่งให้ข้อมูลว่า ใบไม้มีการสังเคราะห์โปรตีนเป็นกิจกรรมหนึ่งที่สำคัญ ดังนั้นอาหารสัตว์บางชนิดจึงใช้โปรตีนเข้มข้นจากใบไม้ (leaf protein concentrate) บางชนิดเป็นองค์ประกอบสำคัญ ส่งผลให้ใบไม้ดังกล่าวดูมีอนาคตในการเป็นอาหารเสริมโปรตีนที่มีคุณค่าสำหรับมนุษย์ องค์การอนามัยโลกจึงเสนอให้มนุษย์บริโภคโปรตีนที่สกัดจากใบไม้เป็นครั้งแรกในราวปี 1960 แต่ไม่ประสบความสำเร็จนักเนื่องจากโปรตีนที่สกัดได้จากใบไม้มักมีรสขม เหม็นเขียว และสีออกเขียวเข้ม สำหรับงานวิจัยส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับโปรตีนในใบไม้มักเป็นการศึกษาใบอัลฟาฟา (alfalfa) ใบถั่วฟาบา ใบถั่วลันเตา ผักโขม (amaranth) พืชน้ำเช่น แหน (duckweed) ซึ่งมักแสดงผลว่า โปรตีนที่ศึกษามีกรดอะมิโนจำเป็นคือ เมไธโอนีน (methionine) ในปริมาณต่ำ และมักมีสารพิษทางโภชนาการคือ สารไฟเตต สารไซยาโนเจนิกไกลโคไซด์ หรือสารแทนนิน เป็นองค์ประกอบตามธรรมชาติ         ประเด็นสำคัญที่ผู้รับข้อมูลควรทราบคือ การหาปริมาณโปรตีนในตัวอย่างนั้นใช้วิธีการใด เพราะโดยปรกติแล้วการหาปริมาณโปรตีนในตัวอย่างอาหารซึ่งมีความหลากหลายนั้นมักใช้วิธี เจลดาห์ล (Kjeldahl method) เป็นหลัก ยกเว้นในบางกรณีใช้วิธีวัดการหักเหแสง (refractive index measurement) เพื่อหาปริมาณโปรตีนในนมสดซึ่งต้องการความรวดเร็ว เนื่องจากนมต้องได้รับการแปรรูปก่อนการเสียสภาพโดยพื้นฐานแล้วกระบวนการวิเคราะห์โดยวิธีเจลดาห์ลนั้น เป็นการวิเคราะห์จำนวนอะตอมไนโตรเจน โดยไม่สามารถแยกแยะได้ว่า ไนโตรเจนนั้นอยู่ในโมเลกุลอะไร และที่สำคัญองค์ประกอบตามธรรมชาติของพืช เช่น ใบพืช นั้นมีสารธรรมชาติมากมายหลายชนิด (ที่ไม่ใช่โปรตีน) มีอะตอมไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบระดับโมเลกุล         นักวิทยาศาสตร์ด้านเคมีทางอาหารแบ่งสารประกอบในอาหารที่มีไนโตรเจนออกเป็น 2 ประเภทคือ protein nitrogen และ non-protein nitrogen ดังนั้นในการวิเคราะห์หาปริมาณโปรตีนในตัวอย่างอาหารด้วยวิธีเจลดาห์ลแล้วได้ผลเป็นปริมาณไนโตรเจนโดยรวมนั้นจะต้องเอาค่า conversion factor ที่ได้มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าเหมาะสมสำหรับอาหารแต่ละอย่างมาคูณค่าไนโตรเจนออกมาเป็นค่าปริมาณโปรตีน โดยค่า conversion factor สำหรับอาหารแต่ละชนิดที่นักวิเคราะห์รู้กันว่า ได้มีการทำวิจัยเชิงลึกแล้วว่าช่วยให้ได้ค่าโปรตีนจริงในอาหารแต่ละชนิดเป็นเท่าใด เช่น 6.38 สำหรับเนื้อสัตว์ ไข่และข้าวโพด, 6.25 สำหรับข้าวฟ่าง, 5.83 สำหรับข้าวเจ้า, 5.4 สำหรับผลิตภัณฑ์ธัญญพืช, 5.6 สำหรับปลาและกุ้ง, 4.59 สำหรับสาหร่ายสีแดง เป็นต้น ซึ่งรายละเอียดที่ทันสมัยขึ้นนั้นสามารถดูได้จากบทความเรื่อง Calculation of Nitrogen-to-Protein Conversion Factors: A Review with a Focus on Soy Protein ในวารสาร Journal of the American Oil Chemists' Society ของปี 2019 หรือจาก Official Methods of Analysis of AOAC INTERNATIONAL, 21st Edition (2019)         ปัญหาที่มักเกิดเกี่ยวกับการระบุถึงปริมาณโปรตีนในตัวอย่างอาหารใหม่ เช่น ใบไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งดูแล้วไม่น่ามีใครสนใจทำวิจัยหา conversion factor เฉพาะไว้ ผู้ทำการวิเคราะห์จำต้องใช้ค่า conversion factor ทั่วไป คือ 6.25 ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า มีโอกาสผิดพลาดได้         ตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำเอาโอกาสผิดพลาดดังกล่าวไปหาประโยชน์คือ กรณีของนมด้อยคุณค่าที่ถูกเติมสารเมลามีน (melamine) ในประเทศจีน ซึ่งเมลามีนเป็นสารที่มี อะตอมไนโตรเจนในโมเลกุลสูง โดยสูตรเคมีของเมลามีนโมโนเมอร์คือ C3H6N6  ดังนั้นเมื่อมีการเติมเมลามีนลงในนมที่มีโปรตีนต่ำแล้ว เมื่อมีการวิเคราะห์ปริมาณโปรตีนในนมด้วยวิธีเจลดาห์ลนั้นอาจทำให้แปลความว่า นมที่ถูกปลอมแปลงมีปริมาณโปรตีนสูงเหมือนนมธรรมดา เพราะมีการใช้ conversion factors ของนมสดมาคูณค่าไนโตรเจนที่วิเคราะห์ได้ออกมาแล้วแปรผลเป็นปริมาณของโปรตีน         ดังนั้นจากการที่มีรายการโทรทัศน์บางรายการซึ่งเผยแพร่บนสื่อต่างๆ กล่าวถึงใบไม้ของพืชบางชนิด เช่น ใบปาล์ม ใบว่าน ว่ามีโปรตีนสูงนั้น ข้อมูลดังกล่าวอาจไม่ถูกต้องนัก เพราะในการวิเคราะห์หาปริมาณโปรตีนในตัวอย่างที่เป็นอาหารใหม่ด้วยวิธีเจลดาห์ลนั้นจำต้องใช้ค่า conversion factor ทั่วไปคือ 6.25 เป็นตัวคูณเพื่อให้ได้ปริมาณโปรตีนออกมา ซึ่งน่าจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้เพราะยังไม่เคยมีการวิเคราะห์ว่า ใบไม้นั้นมีโปรตีน         ในการประเมิณคุณภาพของโปรตีนในตัวอย่างอาหารนั้น AOAC หรือ Association of Official Agricultural Chemists (ซึ่งเป็นองค์กรที่นักเคมีทางอาหารเชื่อถือ) ได้กำหนดไว้หลายวิธี แต่วิธีที่นิยมใช้กันในการประเมินเพราะสะดวกและเร็วที่สุดพร้อมทั้งมีความน่าเชื่อถือได้ในระดับหนึ่งนั้นคือ PER (Protein Efficiency Ratio หรือ อัตราส่วนประสิทธิภาพโปรตีน)         หลักการของ PER โดยย่อนั้นเป็นการใช้สัตว์ทดลองที่ได้มาตรฐาน (laboratory animals) เช่น หนู rat หรือหนู mouse ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหมือนคน (แต่อาจใช้ไก่หรือปลาที่มีการเพาะพันธุ์จนเป็นมาตรฐานแล้วได้เช่นกัน) โดยแบ่งสัตว์ออกเป็นกลุ่ม ๆ ให้มีน้ำหนักเฉลี่ยของสัตว์ทั้งหมดใกล้เคียงกัน จากนั้นกำหนดให้กลุ่มหนึ่งกินอาหารมาตรฐานที่สัตว์นั้นกินแล้วเจริญเติบโตได้ดีที่สุด ซึ่งมีไข่หรือเคซีนที่เป็นโปรตีนในนมเป็นแหล่งโปรตีน และอีกกลุ่มกินอาหารที่มีการแทนที่โปรตีนในอาหารทั้งหมดด้วยตัวอย่าง (เช่น ใบไม้) ที่สนใจศึกษา (ถ้าจะให้ละเอียดรอบคอบกว่าจำต้องมีกลุ่มที่สามที่เป็น pair fed control ด้วย) โดยเมื่อคำนวณค่าพลังงานรวมของอาหารที่ทดสอบแล้วต้องประมาณเดียวกันกับค่าพลังงานรวมของอาหารมาตฐานในลักษณะที่เรียกว่า isocaloric diet        ในการศึกษาต้องทำการจดน้ำหนักสัตว์และน้ำหนักอาหารที่สัตว์กินทุกวัน (เมื่อเก็บไว้ยืนยันการว่าการเจริญเติบโตเป็นปรกติ) และเมื่อสิ้นสุดการทดลอง เช่น 4 สัปดาห์ สัตว์ทดลองแต่ละตัวต้องถูกชั่งน้ำหนักแล้วหารด้วยน้ำหนักโปรตีนที่คำนวณจากน้ำหนักที่สัตว์กินอาหารรวมทั้งสิ้น ผลที่ได้คือ ค่า PER.

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 255 ซื้อไข่จากห้างใหญ่มาพบว่า เน่ายกแผง

        “เราจะ​ไม่​ซื้อ​อาหาร​ตาม​ร้าน​ค้า​ทั่วๆ​ ไป​ที่​ไม่ได้มาตรฐาน​ความ​ปลอด​ภัย​ค่ะ และเรา​ก็เชื่อ​มั่น​​เสมอ​ว่าจะ​ได้สินค้า​ที่ดี​จากห้างนี้ค่ะ”         คุณแพรวคิดแบบนี้มาตลอดตั้งแต่ก่อนที่จะมา​เป็นสมาชิก​ของห้างค้าปลีกแห่งนี้ซะอีก จนกระทั่งความไว้เนื้อเชื่อใจนี้เองที่ทำให้เธอต้องซื้อ”ไข่เน่ายกแผง” กลับมาบ้าน         คุณแพรวเล่าให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายพิทักษ์สิทธิ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคฟังว่า  ครอบครัว​เธอ​เป็น​ลูกค้า​ประจําที่ห้างค้าปลีกใหญ่ในกรุงเทพฯ​ นี้ โดยทุกอาทิตย์จะต้องไปจับจ่ายซื้อ​ของ​สดของแห้งเข้า​บ้าน​ วันเกิดเหตุนั้นเธอหยิบไข่ 1 แผง มี 30 ฟอง ใส่รถเข็นรวมไปกับของอื่นๆ โดยไม่ได้พิเคราะห์อะไรมากเพราะ​​เชื่อ​ใจ​ใน​มาตรฐาน​ด้าน​ความ​สด​ ใหม่​ สะ​อาด​ ใน​สินค้า​​ห้างนี้อยู่แล้ว ​ก็เลยไม่ได้ตรวจ​เช็กอะไรมากนัก ​แต่เมื่อกลับถึงบ้านพอเปิดฝาครอบแผงไข่ออกมาก็ได้กลิ่นเหม็นมาก แล้วก็ต้องผงะตกใจกับกองทัพ​หนอน​ไต่​ยั้วเยี้ย​อยู่ในไข่เน่าแผงนั้น เธอจึงรีบนำไปทิ้ง จนลืมดูวันหมดอายุที่ติดอยู่บนฝาครอบนั้นไปด้วย           ถึงจะเสียความมั่นใจไปบ้าง แต่คุณแพรวคิดว่าต้องมีความรับผิดชอบจากผู้ขายนะ เธอจึงรีบโทรศัพท์​ไปตามเบอร์ของ​สาขา​ที่​ให้​ไว้​บน​ใบ​เสร็จทันที แต่...ไม่มีใครรับสาย ก็เลยไปค้นหาเฟซบุ๊ก​ของห้างใหญ่​สาขาที่ประสบปัญหา​นี้​ เจอแล้ว ทักแล้ว แต่...ไม่มี​แอด​มิ​นเพจ​ทํางาน ​ในที่สุดเธอก็ขวนขวายจนหาเบอร์ติด​ต่อเพื่อร้องเรียนได้ที่ 1756 ซึ่งพนักงานคอลเซนเตอร์​ได้รับ​เรื่อง​​ไว้และแจ้งคุณแพรวว่า “จะประสาน​ไป​ที่​สา​ขาให้นะคะ​ คุณลูกค้ารอเลยค่ะจะ​มี​เจ้าหน้าที่​ติดต่อ​กลับ​แน่นอน” ทว่าสิ่งที่ได้ในวันนั้นคือความเงียบจากห้าง เหลือเพียงความเดือดเนื้อร้อนใจของคุณแพรวเท่านั้น​ ​         อย่างไรก็ตามในวันรุ่งขึ้น​ พนักงาน​ประจําสาขาห้างค้าปลีกนี้​ติดต่อ​​มาบอกว่า ไข่แผงนั้นน่า​จะหลุด QC ​ให้เธอนําไข่มา​เปลี่ยน​คืน​หรือ​จะ​รับ​เงิน​คืน​ก็​ได้ แต่คุณแพรว​แจ้ง​​ไป​ว่า​ไม่สะดวก​ เพราะเธอเพิ่งกลับจากขับรถออกไปซื้อไข่จากห้างอื่นมาเอง พนักงาน​เลย​บอก​ว่า​ถ้างั้นวัน​ไหนเธอจะ​เข้า​มา​ให้โทร.​แจ้ง​ก่อน​แล้ว​จะชดเชยให้เธอด้วยไข่แผงใหม่กลับ​ไป​         คุณแพรวจึงเขียนเล่าเรื่องนี้มาในเฟซบุ๊กของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อขอคำปรึกษา   แนวทางการแก้ไขปัญหา         ในกรณีนี้คือสินค้า​ที่​ซื้อ​มาอาจหมด​อายุ​หรือ​มี​สิ่ง​แปลก​ปลอม​ สิ่งแรกที่ต้องทำคือถ่าย​รูปตัวสินค้าและฉลาก​(​เน้นวัน​ผลิต​-วัน​หมด​อายุ)​ ​เก็บ​บรรจุ​ภัณฑ์ของ​สินค้า​และ​ใบ​เสร็จ​จาก​ร้าน​ที่​ซื้อ​ไว้เป็น​หลักฐาน​ (ถ่าย​สําเนา​​เก็บ​ไว้​ด้วย​) จากนั้นติดต่อ​ร้าน​ที่​ซื้อ​มา​และ​แจ้งว่าเราต้องการ​ให้​เขา​ดําเนิน​การ​อย่าง​ไร​ เพื่อ​แก้ไข​ปัญหา​พร้อม​ชด​เชย​ เยียวยาความ​เสีย​หาย​ที่​เกิด​ขึ้น​ เช่น ขอ​เปลี่ยน​สิน​ค้า ขอ​เงิน​คืน ขอให้จ่าย​ค่า​เสีย​เวลา​ ค่า​ขาด​ประ​โยชน์​ และ​ค่า​ใช้จ่าย​ใน​การ​ติดต่อ​กับ​ผู้ประกอบ​การ แนะนำให้​ทําเป็นหนังสือ​ชี้แจง​เหตุ​ของ​สิ่ง​ผิด​ปกติ​และควรขอให้แสดงคำ​ขอโทษ​ต่อผู้​เสีย​หาย​และ​สา​ธารณะ​ เป็น​ต้น แต่หาก​ตกลงกันไม่ได้​ ให้​ทําหนังสือ​ยื่น​กับ​ผู้ประกอบ​การ​ เล่า​สรุป​ปัญหา​ที่​พบ​ พร้อม​ข้อ​เรียก​ร้อง​ โดย​ส่ง​ถึง “​เจ้าของ​ร้าน​ค้า” หรือกรณีนี้คือผู้บริหารห้างค้าปลีกดังกล่าว ซึ่งขณะนี้คุณแพรวกำลังพิจารณาว่าตนเองต้องการให้ทางห้างชดเชยอย่างไรเพื่อส่งเป็นข้อเสนอกลับไป         จากกรณีนี้ขอแนะนำว่า แม้มั่นใจกันมากแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่ซื้อสินค้า ผู้บริโภคก็ควรพิจารณาสินค้าให้ถี่ถ้วน โดยเฉพาะสิ่งที่สามารถมองเห็นหรือจับสังเกตได้ง่าย ถ้าพบเจอขณะซื้อสินค้าควรรีบแจ้งให้ทางร้านค้าดำเนินการจัดเก็บออกไปจากชั้นวาง แต่หากเผลอซื้อมาแล้ว ผู้บริโภคต้อง​เก็บ​ใบเสร็จรับ​เงิน​ไว้ เผื่อใช้​เป็น​หลัก​ฐาน​ยืนยัน​การ​ซื้อ​และ​ระบุตัว​ตนได้ว่า​เป็น​ผู้​เสีย​หาย ซึ่งทางร้านค้าก็ยากจะปฏิเสธความรับผิดชอบ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 250 กระแสต่างแดน

ทำบุญวิถีใหม่           ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ผู้คนจากประเทศพัฒนาแล้วจำนวนไม่น้อยนิยม “ทำบุญ” ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสด้วยการบริจาคแพะให้กับผู้คนในประเทศยากจน โดยหวังว่าพวกเขาจะได้ใช้ประโยชน์จากมันในการสร้างรายได้ให้ครอบครัวด้วยสนนราคาเพียงตัวละ 12.50 ปอนด์ (ประมาณ 600 บาท) ที่ผ่านมาจึงมีแพะจำนวนมากหลั่งไหลเข้าสู่พื้นที่กันดาร แถมแพะยังให้ลูกได้ถึงปีละหกตัว เรียกว่าลงทุนน้อยแต่ได้ผลมากแต่ล่าสุด เจน กูดดอลล์ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังออกมาเปิดเผยว่า การเลี้ยงแพะนั้นต้องใช้น้ำมาก ทำให้พื้นที่ๆ แห้งแล้งอยู่แล้วเสี่ยงที่จะแล้งกว่าเดิม ยังไม่นับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ประกอบกับไม่มีสัตว์แพทย์ที่จะดูแลรักษาแพะที่ป่วย โอกาสที่พวกมันจะอยู่รอดจนโตเต็มวัยจึงมีน้อยเธอแนะนำว่า หากต้องการช่วยเหลือผู้คนเหล่านี้อย่างยั่งยืน ให้นำเงินไปสมทบทุนโครงการศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์พืช โครงการปรับปรุงคุณภาพดิน หรือโครงการทำระบบชลประทาน จะดีกว่า ผลกระทบมาไกล         งานสำรวจโดยสถาบันสิ่งแวดล้อมศึกษาแห่งญี่ปุ่น ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกียวโต และมหาวิทยาลัยคิวชู พบว่า การบริโภคโดยคนญี่ปุ่นส่งผลให้มีผู้คนในประเทศต้นทางที่ผลิตสินค้า เช่น จีน อินเดีย และอินโดนีเซีย เสียชิวิตก่อนวัยอันควรถึง 42,000 คนต่อปีในจำนวนนี้มีทั้งผู้ใหญ่ที่อายุเฉลี่ย 70 ปี และยังมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบถึง 1,000 คนทีมวิจัยใช้วิธีคำนวณจากข้อมูลประชากร ข้อมูลการปล่อย PM 2.5 จากโรงไฟฟ้าถ่านหินและโรงงานที่ผลิตสินค้า และจำนวนผู้เสียชีวิตจากห้าโรคร้ายที่มีความเกี่ยวข้องกับมลภาวะดังกล่าว เช่น โรคหลอดเลือดสมอง และโรคติดเชื้อบางชนิดนักวิจัยเสนอให้ผู้ประกอบการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับมลพิษที่ตนเองสร้างขึ้น ทั้งในประเทศตัวเองและที่อื่นๆ ตลอดช่วงอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ รวมถึงแผนการบริหารจัดการมลพิษดังกล่าว เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเลือกสนับสนุนผู้ผลิตที่รับผิดชอบต่อสังคมได้ การขายเชิงรุก           วิธีการขายแบบ “ตีหัวเข้าร้าน” ดูจะไม่จำกัดอยู่ในแวดวงฟิตเนสหรือศัลยกรรมความงามเท่านั้นล่าสุดองค์กรผู้บริโภคฮ่องกงเปิดเผยว่ามีเรื่องร้องเรียนจากผู้ที่ “ได้รับบริการทางการแพทย์โดยไม่จำเป็น” เพราะถูกชักชวนแกมกดดันถึง 71 เรื่อง ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้เทคนิคการขายแบบนี้เริ่มจากการสร้างความวิตกด้วยการบอกความรุนแรงของอาการเกินจริง จากนั้นก็เสนอบริการที่ “ค่อนข้างแพง” แต่ “จำเป็น” ว่าแล้วก็กดดันให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้องซื้อบริการผู้ร้องรายหนึ่งซึ่งเป็นชายวัย 30 กว่า เสียเงินไป 150,000 เหรียญ (ประมาณ 650,000 บาท) เริ่มจากการเดินเข้าไปถามราคาบริการตรวจสุขภาพ เขาถูก “ต้อน” อยู่ 2 ชั่วโมง ในที่สุดก็เสียค่าถอนฟันไป 10,000 เหรียญ ตามด้วยค่าบริการนวดจัดกระดูกอีก 29,080 เหรียญ และอื่นๆ อีก เช่น ค่าตรวจลำไส้ ค่าอาหารเสริม เป็นต้นข่าวระบุว่าเขาได้เงินคืนเต็มจำนวน แต่ยังไม่ได้บอกว่าอุตสาหกรรมการแพทย์จะจัดการกับพฤติกรรมนี้อย่างไร ไข่ต้องมีข้อมูล           ตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2022 เป็นต้นไป ไต้หวันกำหนดให้ไข่สดแต่ละฟองที่ผ่านการล้างและบรรจุลงกล่องต้องมีข้อมูลฟาร์มที่เลี้ยง โรงงานล้างบรรจุ วันที่บรรจุ รวมถึงรูปแบบการเลี้ยง บนเปลือกด้วยสภาเกษตรของไต้หวันระบุว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของแนวปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยทางอาหาร ที่จะทำให้การตรวจสอบย้อนกลับและการแจ้งเตือนเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็ว กรณีที่เกิดปัญหาขึ้นในส่วนของผู้บริโภค ข้อกำหนดดังกล่าวจะทำให้ไข่ไก่ขนาดแพ็ค 10 ฟอง มีราคาเพิ่มขึ้น 1 เหรียญไต้หวัน ส่วนทางด้านผู้ผลิต หากฝ่าฝืน จะต้องจ่ายค่าปรับระหว่าง 6,000 ถึง 30,000 เหรียญไต้หวันผลิตไข่ไก่ได้เฉลี่ยวันละ 22 ล้านฟอง ร้อยละ 65 เป็นแบบล้างและบรรจุกล่องการพิมพ์รหัสลงบนเปลือกไข่เป็นสิ่งที่มีมานานแล้ว สหภาพยุโรปกำหนดให้พิมพ์ “รหัสผู้ผลิต” มาตั้งแต่ปี 2004 เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเลือกได้ว่าจะรับประทานไข่จากฟาร์มที่เลี้ยงด้วยวิธีใด เช่น ปล่อยอิสระ เลี้ยงในกรง หรือเลี้ยงแบบออกานิก  จุดขายใหม่           สหภาพยุโรปเคาะแล้ว ในปี 2022 เขาจะทุ่มงบประมาณ 185.9 ล้านยูโร ในการส่งเสริมสินค้าเกษตรของประเทศสมาชิก ให้กับผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำจากพืช พูดง่ายๆ คือเขาต้องการจูงใจผู้ผลิตให้หันมาเลือกแนวทางสายเขียวกันมากขึ้นด้วยการสร้างความต้องการในตลาดให้กับอาหารที่ทำจากพืชนั่นเองนอกจากนี้ยัง “ตีตรา” เนื้อแดงและเนื้อสัตว์แปรรูปที่เคยเป็นดาวเด่นมานานว่าเป็น “อาหารที่ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง” ด้วยเรื่องนี้ถูกใจสายสิ่งแวดล้อมที่ต้องการเห็นการลดการใช้น้ำและพลังงานมหาศาลในการเลี้ยงสัตว์เพื่อการค้า รวมถึงสายวีแกนที่อยากเห็นความเป็นมิตรต่อสัตว์โลกแต่แผนนี้ก็ขัดใจอุตสาหกรรมปศุสัตว์ที่ออกมาโต้ว่า การจะทำอาหารที่ผลิตจากพืชล้วนๆ ให้ถูกปากผู้บริโภค ก็ต้องผ่าน “การสร้าง” หรือการ “การแปรรูป” อย่างเข้มข้นเช่นกันผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่าสิ่งที่โลกต้องการอย่างเร่งด่วนคือ นวัตกรรมอาหาร และการหาสมดุลระหว่างการผลิตพืชและสัตว์ให้ได้นั่นเอง    

อ่านเพิ่มเติม >


ฉบับที่ 232 การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ป้องกัน COVID-19 ได้จริงหรือไม่

        มีการถามและแชร์กันว่า การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะช่วยป้องกัน COVID-19 ได้ รวมทั้งผู้ที่เคยฉีดวัคซีน BCG (วัคซีนป้องกันวัณโรค) ก็จะเป็นโควิด-19 น้อยกว่าผู้ที่ไม่เคยรับการฉีด จริงหรือไม่ เรามารู้เท่าทันกันเถอะ โควิด-19 เหมือนและต่างกับไข้หวัดใหญ่อย่างไร        อย่างแรก ทั้งโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ก่อโรคทางเดินหายใจเหมือนกัน มีอาการตั้งแต่ ไม่มีอาการอะไรเลย อาการเล็กน้อย จนกระทั่งรุนแรงและเสียชีวิต อย่างที่สอง ไวรัสทั้งสองชนิดติดต่อทางการสัมผัส ละอองของเหลวจากการไอ จาม         ไข้หวัดใหญ่จะมีระยะฟักตัวของเชื้อและเกิดอาการสั้นกว่าโควิด-19 (ระยะติดเชื้อและเกิดอาการของไข้หวัดใหญ่ ประมาณ 3 วัน ในขณะที่โควิด-19 ประมาณ 5-6 วัน) ซึ่งหมายความว่า ไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่กระจายเชื้อได้เร็วกว่า          นอกจากนี้ โควิด-19 มีอัตราการตายร้อยละ 1-5 ซึ่งมากกว่าไข้หวัดใหญ่ที่อัตราการตายน้อยกว่าร้อยละ 0.5 แต่ในช่วงฤดูหนาว ไข้หวัดใหญ่สามารถติดเชื้อในประชากรได้เป็นจำนวนมากถึง 1 ใน 3 ของประชากร วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ป้องกันโควิด-19 ได้หรือไม่        องค์การอนามัยโลกยืนยันว่า วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ไม่สามารถป้องกันโควิด-19 ได้ เนื่องจากเป็นไวรัสที่กลายพันธุ์ จึงต้องมีวัคซีนเฉพาะ         แต่ถึงแม้ว่า วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะไม่สามารถป้องกันโควิด-19 ได้ แต่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้มีการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพ เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อ ลดการตายและการอยู่ในโรงพยาบาลจากไข้หวัดใหญ่ หญิงตั้งครรภ์ เด็ก ผู้สูงอายุ มีโรคเรื้อรัง บุคลากรทางการแพทย์ การลดผู้ป่วยลงทำให้บุคลากรทางการแพทย์มีเวลาเหลือพอในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 วัคซีนบีซีจีลดการติดเชื้อโควิด-19 ได้จริงหรือไม่        องค์การอนามัยโลกยืนยันว่า ยังไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าวัคซีนบีซีจีป้องกันผู้คนจากการติดเชื้อโควิด-19โดยเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2563 องค์การอนามัยโลกได้ทบทวนฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สำคัญๆ และงานวิจัยทางคลินิก ที่นักวิจัยอ้างว่า ในประเทศที่มีการให้วัคซีนบีซีจีในเด็กแรกเกิด จะพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ต่ำกว่าประเทศที่ไม่ได้ให้วัคซีนบีซีจี ซึ่งพบว่า มีปัจจัยรบกวนที่มีอคติ ทำให้ผลการวิจัยไม่น่าเชื่อถือ การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเป็นประจำ ช่วยป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ได้หรือไม่         ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า การล้างจมูกเป็นประจำด้วยน้ำเกลือจะสามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ได้ แต่มีหลักฐานบ้างว่า การล้างจมูกดังกล่าวสามารถช่วยให้ผู้ที่เป็นไข้หวัดธรรมดาฟื้นตัวเร็วขึ้น แต่ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจได้ การกินกระเทียมช่วยป้องกันโควิด-19 ได้หรือไม่        แม้ว่ากระเทียมเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์และมีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ แต่ยังไม่มีหลักฐานว่า การกินกระเทียมจะช่วยป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ได้         สรุป  วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่และบีซีจี ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ได้ แต่การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างแน่นอน ป้องกันไม่ให้เราป่วยจากไข้หวัดใหญ่ และลดภาระงานของแพทย์ พยาบาล ในการดูแลผู้ป่วย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 224 จุด จุด จุด บนไข่ขาวของไข่เค็ม

ไข่เค็ม เป็นวิธีการถนอมอาหารชนิดหนึ่ง เพื่อให้เราเก็บไข่ไว้ทานได้นานขึ้น แต่ก่อนทานเราก็ควรสังเกตสักนิดว่าเนื้อไข่ขาวๆ นั้น มีสิ่งแปลกๆ ติดอยู่หรือไม่ อย่างเช่นผู้บริโภครายนี้        คุณภูผา อยากทานข้าวต้มกุ้ย จึงทำกับข้าวทานกับครอบครัว มื้อนั้นมีกับข้าวหลายอย่าง ทั้งผัดผักบุ้งไฟแดง ต้มจับฉ่าย ยำปลาสลิด กุนเชียงทอด ไข่เจียว ไข่เค็ม ซึ่งปัญหามาเกิดตรงกับข้าวอย่างสุดท้าย คือไข่เค็ม คุณภูผาได้ทานไข่แดงเค็ม และไข่ขาวไปนิดหน่อย และสังเกตเห็นว่าที่ไข่ขาวของไข่เค็มมีสิ่งแปลกๆ เมื่อนำมาดูใกล้ๆ พบว่า ไข่ขาวเค็มที่ทานเข้าไปนั้นขึ้นรา คุณภูผางงมากว่าไข่เค็มจะขึ้นราได้อย่างไร เพราะว่าเขาเพิ่งซื้อไข่เค็มจากห้างค้าส่งชื่อดังแห่งหนึ่งวันนี้เอง (วันที่ 4 กันยายน 2562)         กับข้าวจานไข่เค็มถูกเททิ้งไป หลังจากกินข้าวเสร็จจึงนำกล่องที่ใส่ไข่เค็มมาดูก็พบว่า ไข่เค็มหมดอายุตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2562 คุณภูผามีความกังวล เพราะว่าได้ทานไข่เค็มที่มีเชื้อราเข้าไปจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเขาบ้างหรือไม่ จึงมาขอคำปรึกษากับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แนวทางแก้ไขปัญหา        ศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ แจ้งผู้ร้องว่าการกระทำของห้างค้าส่งเป็นการจำหน่ายอาหารหมดอายุ ซึ่งความผิดตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 25 (4) ประกอบมาตรา 29 ซึ่งถือได้ว่าการจำหน่ายอาหารหมดอายุ เป็นอาหารที่ไม่ปลอดภัยในการบริโภค และบทลงโทษอยู่ในมาตรา 61 ระบุให้ระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ         และแนะนำวิธีการจัดการปัญหาเบื้องต้นดังนี้        1. ผู้ร้องถ่ายรูป(ฉลากโดยเฉพาะวันผลิต – วันหมดอายุและตัวสินค้า) พร้อมเก็บบรรจุภัณฑ์ของไข่เค็มและใบเสร็จจากห้างค้าส่งไว้เป็นหลักฐาน(ให้ถ่ายสำเนาใบเสร็จเก็บไว้ด้วย)        2. ผู้ร้องไปพบแพทย์ เพื่อตรวจร่างกาย โดยเล่าให้แพทย์ฟังว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เพื่อแพทย์จะได้แนะนำวิธีการตรวจและติดตามการรักษาได้อย่างถูก และขอใบรับรองแพทย์ที่ลงความเห็นเกี่ยวกับอาการ พร้อมเก็บใบเสร็จรับเงินค่ารักษาพยาบาลไว้เป็นหลักฐาน(กรณีรับประทานอาหารไปแล้ว)        3. ผู้ร้องนำหลักฐานทั้งหมดแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน เพื่อเป็นหลักฐาน        4. ผู้ร้องติดต่อไปยังห้างค้าส่งที่ผู้ร้องซื้อไข่เค็ม ให้ทราบเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหา พร้อมชดเชยเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยผู้ร้องต้องคิดว่าจะให้ห้างค้าส่งรับผิดชอบต่อผู้ร้องอย่างไร เช่น ขอเปลี่ยนสินค้า, ขอเงินคืน, จ่ายค่าเสียเวลา ค่าขาดประโยชน์ และค่าใช้จ่ายในการติดต่อกับผู้ประกอบการ, ทำหนังสือชี้แจงเหตุของสิ่งผิดปกติและขอโทษต่อผู้เสียหายและสาธารณะ เป็นต้น        5. ถ้าผู้ร้องไม่สามารถตกลงกับห้างค้าส่งได้ ให้ผู้ร้องทำหนังสือยื่นกับบริษัทเจ้าของห้างค้าส่ง โดยบรรยายสรุปปัญหาที่พบ พร้อมข้อเรียกร้อง และส่งไปยังประธานกรรมการบริหารหรือตำแหน่งอื่นที่เทียบเท่า เพื่อให้บริษัททราบและดำเนินการแก้ไขปัญหา          คุณภูผาได้ติดต่อกับทางห้างแล้ว ขณะนี้กำลังรอคำตอบอยู่ ว่าเรื่องจะจบลงตรงไหน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 220 ผลทดสอบปริมาณพลังงาน น้ำตาล และข้อมูลโภชนาการอื่นๆ ในเครื่องดื่ม “ ชานมไข่มุก ”

        ต้นกำเนิดของ  “ชานมไข่มุก” บับเบิลมิลค์ที หรือ ปัวป้ามิลค์ที (Bubble Tea / Boba Tea) มีที่มาจากร้านชา “ชุนฉุ่ยถัง” ในเมืองไทจง ประเทศไต้หวัน เมื่อปี 1980 ด้วยการนำไข่มุก (Bubble) หรือ เฟิ่นเหยิน (Fen Yuan) ซึ่งเป็นขนมดั้งเดิมของไต้หวัน ดัดแปลงใส่ลงไปในชานม จึงเกิดผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ขึ้นมา จนปัจจุบันกลายมาเป็นเครื่องดื่มประจำชาติของคนไต้หวัน และโด่งดังไปทั่วเอเชีย เช่น จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี ไทย และ แผ่ขยายไปยังภูมิภาคอื่นๆ เช่น อเมริกาเหนือ และยุโรป อีกด้วย         เม็ดไข่มุก (Tapioca Pearls) ทำจากแป้งมันสำปะหลัง (Tapioca Flour) ซึ่งอาจมีหลากสี เช่น สีดำ สีทอง สีเขียว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับส่วนผสมที่ใส่ลงไป โดยส่วนใหญ่ที่พบทั่วไปจะเป็นไข่มุกสีดำที่มาจากสีผสมอาหารสังเคราะห์ หรือ น้ำตาลทรายแดงและผงโกโก้        ปัจจุบันเราจะเห็นร้านชานมไข่มุกอยู่เกือบทุกที่ เนื่องจากรสชาติหวานหอมของชานม ที่ผสานกับเนื้อสัมผัสที่เหนียว นุ่ม หนึบ ของไข่มุกอย่างลงตัว ทำเอาคนไทยติดใจ จนร้านชานมไข่มุกหน้าใหม่ แข่งขันกันเปิดให้บริการเป็นจำนวนมาก ทั้งแบบแบรนด์ต่างชาติ แฟรนไชส์ และร้านท้องถิ่น ซึ่งราคาก็มีตั้งแต่ ระดับแมส แก้วละ 20 - 30 บาท ระดับพรีเมียมแมส แก้วละ 35 - 50 บาท ไปจนถึงระดับพรีเมียมแก้วละ 80 – 100 กว่าบาทเลยทีเดียว         จากรายงานการวิจัยตลาดของบริษัท Allied Analytics ในปี 2017 มูลค่าตลาดชานมไข่มุกทั่วโลกอยู่ที่ 1,954 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราวๆ 65,000 ล้านบาท) คาดว่าภายในปี 2023 จะมีมูลค่าแตะ 3,214 ล้านเหรียญ (ราว 100,000 ล้านบาท) ส่วนตลาดชานมไข่มุกในไทย จากการสำรวจของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจกสิกรไทย พบว่ามีมูลค่าราว 2,000 ล้านบาท โดยบริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดคือ โอชายะ Ochaya ที่มีสาขามากกว่า 360 สาขา มีรายได้ปี 2560 ที่ 148,202,491 บาท เมื่อเทียบจากปี 2558 แล้วถือว่าเติบโตมากกว่า 1 เท่าตัว (ที่มาข้อมูล: https://voicetv.co.th/read/B1eivkqFm)         ด้วยความนิยมดื่มชานมไข่มุกของคนไทย ฉลาดซื้อจึงหยิบเอาข้อมูลปริมาณพลังงานและน้ำตาลที่ได้จากการบริโภคชานมไข่มุกมาให้ผู้บริโภคได้ทราบกัน ซึ่งชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว ประกอบด้วย ชานม (ซึ่งอาจมีส่วนประกอบของนมผง ครีมเทียม หรือนมสด) แป้งมันสำปะหลัง น้ำตาล และวัตถุเจือปนอาหารชนิดต่างๆ         ฉลาดซื้อในโครงการเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ ได้สุ่มเก็บตัวอย่างชานมไข่มุกแบบสูตรปกติ จำนวน 25 ยี่ห้อ ตั้งแต่ระดับแมส พรีเมียมแมส และพรีเมียม ที่มีจำหน่ายในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ส่งตรวจวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ เช่น ปริมาณพลังงาน และน้ำตาลต่อแก้ว และ ตรวจวิเคราะห์ปริมาณสารกันบูดและโลหะหนักในเม็ดไข่มุก โดยผลการตรวจวิเคราะห์แสดงดังตารางต่อไปนี้ตารางที่ 1 แสดงข้อมูลผลทดสอบข้อมูลโภชนาการ ชานมไข่มุก (สูตรปกติ) 25 ยี่ห้อหมายเหตุ: * ปริมาณน้ำหนักต่อแก้ว (กรัม) ของชานมไข่มุก เป็นขนาดแก้วปกติของแต่ละยี่ห้อ (ไม่รวมน้ำแข็ง) ผลวิเคราะห์เฉพาะตัวอย่างที่ส่งตรวจเท่านั้นเก็บตัวอย่างเดือน พฤษภาคม 2562หมายเหตุ: * ปริมาณน้ำหนักต่อแก้ว (กรัม) ของชานมไข่มุก เป็นขนาดแก้วปกติของแต่ละยี่ห้อ (ไม่รวมน้ำแข็ง) ผลวิเคราะห์เฉพาะตัวอย่างที่ส่งตรวจเท่านั้นเก็บตัวอย่างเดือน พฤษภาคม 2562 ตารางที่ 2 เปรียบเทียบปริมาณพลังงานกับปริมาณข้าวสวย(ทัพพี) และ ปริมาณน้ำตาลเป็นช้อนชาหมายเหตุ: * ปริมาณน้ำหนักต่อแก้ว (กรัม) ของชานมไข่มุก เป็นขนาดแก้วปกติของแต่ละยี่ห้อ (ไม่รวมน้ำแข็ง) ** ** ข้าวสวย (ข้าวขาว) 1 ทัพพี ให้พลังงานเท่ากับ 80 กิโลแคลอรี (kcal) *** น้ำตาล 4 กรัม เท่ากับ 1 ช้อนชา *** น้ำตาล 4 กรัม เท่ากับ 1 ช้อนชาสรุปผลการทดสอบคุณค่าทางโภชนาการ (ปริมาณพลังงาน และ น้ำตาล) ของชานมไข่มุก     จากผลการทดสอบปริมาณพลังงานทั้งหมด พบว่า        ตัวอย่างชานมไข่มุกที่ให้พลังงานทั้งหมดต่อแก้ว น้อยที่สุด ได้แก่             - ชานมไข่มุก ยี่ห้อ KOI The’ (น้ำหนัก 173 กรัม / ไม่รวมน้ำแข็ง)             ให้ปริมาณพลังงานทั้งหมด 157 กิโลแคลอรี (kcal)             เทียบได้กับข้าวสวย ปริมาณ 1.96 ทัพพีและ     ตัวอย่างชานมไข่มุกที่ให้พลังงานทั้งหมดต่อแก้ว มากที่สุด ได้แก่            - ชานมไข่มุก ยี่ห้อ CoCo Fresh Tea & Juice (น้ำหนัก 699 กรัม / ไม่รวมน้ำแข็ง)              ให้ปริมาณพลังงานทั้งหมด 769 กิโลแคลอรี (kcal)             เทียบได้กับข้าวสวย ปริมาณ 9.61 ทัพพี จากผลการทดสอบปริมาณน้ำตาล พบว่า         ตัวอย่างชานมไข่มุกที่มีปริมาณน้ำตาล น้อยที่สุด ได้แก่             - ชานมไข่มุก ยี่ห้อ KOI The’ มีปริมาณน้ำตาล 16 กรัม            เทียบได้กับน้ำตาล จำนวน 4 ช้อนชาและ     ตัวอย่างชานมไข่มุกที่มีปริมาณน้ำตาล มากที่สุด ได้แก่            - ชานมไข่มุก ยี่ห้อ CoCo Fresh Tea & Juice มีปริมาณน้ำตาล 74 กรัม            เทียบได้กับน้ำตาล จำนวน 18.5 ช้อนชาโดยข้อสังเกตอื่นๆ มีดังนี้        - ปริมาณชานมไข่มุกเฉลี่ยต่อแก้ว จากทุกยี่ห้อ เท่ากับ 371 กรัม        - ชานมไข่มุก ที่มีราคาถูกที่สุด ได้แก่ ยี่ห้อ Cha…Ma  ราคาแก้วละ 23 บาท        และ ราคาแพงที่สุด ได้แก่ ยี่ห้อ Fire Tiger by Seoulcial Club ราคาแก้วละ 140 บาท                  ในแต่ละวัน เราควรได้รับพลังงานจากการบริโภคอาหาร ตั้งแต่ 1,600 – 2,400 กิโลแคลอรี (kcal) ในกลุ่มคนไทยที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป สำหรับในกลุ่มข้าวและแป้ง (เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ขนมจีน ขนมปัง) ควรได้รับวันละ 8 – 12 ทัพพี หญิงวัยทำงาน วัยทอง หรือผู้สูงอายุ กินวันละ 8 ทัพพี ชายวัยทำงาน 10 ทัพพี หรือหากต้องใช้พลังงานมากก็ 12 ทัพพี ซึ่งหากคิดพลังงานที่ควรได้รับ เท่ากับ 2,000 กิโลแคลอรี/วัน แบ่งเป็น 3 มื้ออาหาร เท่ากับมื้อละ 666 กิโลแคลอรี การดื่มชานมไข่มุก 1 แก้ว ก็อาจเท่ากับพลังงานที่ได้รับจากอาหาร 1 มื้อ ผลทดสอบปริมาณสารกันบูดและโลหะหนักในเม็ดไข่มุก         นอกจากการทดสอบคุณค่าทางโภชนาการในชานมไข่มุกแล้ว ฉลาดซื้อยังทดสอบวัตถุกันเสียและโลหะหนักในเม็ดไข่มุก ทั้ง 25 ตัวอย่างอีกด้วย โดยประเภทของวัตถุกันเสียที่ตรวจวิเคราะห์ ได้แก่ กรดเบนโซอิก (Benzoic Acid) และ กรดซอร์บิก (Sorbic Acid) ส่วนโลหะหนักที่ตรวจวิเคราะห์ คือ ตะกั่ว (Lead)         ซึ่งผลการตรวจวิเคราะห์ พบว่า ไม่พบโลหะหนักประเภทตะกั่ว (Lead) ในเม็ดไข่มุกทุกตัวอย่างส่วนผลการทดสอบสารกันบูดแสดงดังตารางต่อไปนี้ตารางที่ 3 ผลทดสอบสารกันบูดและโลหะหนักในเม็ดไข่มุก 25 ยี่ห้อ (เรียงลำดับตามปริมาณรวมของสารกันบูดจากน้อยไปมาก) สรุปผลการทดสอบสารกันบูดในเม็ดไข่มุก        จากผลการตรวจวิเคราะห์ พบว่า เม็ดไข่มุกทุกตัวอย่างตรวจพบสารกันบูดประเภทกรดซอร์บิก (Sorbic Acid) ในปริมาณที่แตกต่างกัน ส่วนกรดเบนโซอิก (Benzoic Acid) พบว่า ตรวจพบเกือบทุกตัวอย่าง ยกเว้น 3 ตัวอย่าง ได้แก่ 1) ยี่ห้อ The ALLEY  2) ยี่ห้อ CoCo Fresh Tea & Juice และ 3) KOI Thé  ที่ตรวจไม่พบกรดเบนโซอิก        ซึ่งหากรวมปริมาณสารกันบูดทั้งสองชนิดดังกล่าวแล้ว พบว่า         - ตัวอย่างเม็ดไข่มุกที่มีปริมาณสารกันบูดทั้งสองชนิด น้อยที่สุด ได้แก่                 ยี่ห้อ The ALLEY  มีปริมาณสารกันบูดรวม 58.39 มิลลิกรัม/กิโลกรัม        และ ตัวอย่างเม็ดไข่มุกที่มีปริมาณสารกันบูดทั้งสองชนิด มากที่สุด ได้แก่                 ยี่ห้อ BRIX Desert Bar  มีปริมาณสารกันบูดรวม 551.09 มิลลิกรัม/กิโลกรัม                  ทั้งนี้ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 389 พ.ศ. 2561 เรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร (ฉบับที่ 5) อนุญาตให้พบปริมาณสารกันบูดประเภทกรดเบนโซอิก และ กรดซอร์บิก ในกลุ่มขนมหวานที่มีธัญชาติและสตาร์ชเป็นส่วนประกอบหลัก สูงสุดได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม (โดยมีสัดส่วนของผลรวมไม่เกินหนึ่ง)         ซึ่งจากผลตรวจวิเคราะห์ พบว่า ไม่มีเม็ดไข่มุกยี่ห้อใดพบสารกันบูดในปริมาณที่เกินมาตรฐาน คำแนะนำในการบริโภค         รศ.ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศ  อาจารย์และประธานหลักสูตรปริญญาโท สาขาโภชนาการและการกำหนดอาหาร สถาบันโภชนาการ ม.มหิดล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้คำแนะนำในการบริโภคว่า ไม่ควรบริโภคชานมไข่มุก หรือ เครื่องดื่มประเภทเดียวกัน เช่น กาแฟเย็นมากกว่า 1 แก้วต่อวัน หากบริโภคชานมไข่มุกแล้ว เครื่องดื่มในมื้ออื่นๆ ควรเลือกเป็นน้ำเปล่า ที่สำคัญควรเลือกบริโภคชานมไข่มุกแก้วที่มีขนาดเล็กหน่อย เพราะจะให้ผลเสียต่อสุขภาพน้อยกว่า         การบริโภคชานมไข่มุกอาจทำให้เกิดพลังงานส่วนเกินมากกว่าที่ร่างกายเราใช้ไป หากสะสมจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น กรณีชานมไข่มุก เราจะได้น้ำตาล และแป้งจากเม็ดไข่มุก รวมถึงไขมันจากส่วนผสมที่เป็นนมหรือครีมเทียม ถ้าดูจากสัดส่วนจะเห็นว่าหนักในเรื่องน้ำตาล แป้ง และไขมัน ซึ่งถ้ากินชานมไข่มุกแทนมื้ออาหาร ก็จะทำให้ได้สารอาหารไม่ครบ แม้ว่าน้ำตาลจะให้พลังงาน แต่ไม่ได้ให้สารอาหารอื่นๆ ในขณะที่ถ้าเรากินข้าว ก็จะได้แร่ธาตุและวิตามิน หากเราบริโภคชานมไข่มุก อาจต้องไปลดปริมาณข้าวหรือแป้งในอาหารปกติลง เช่น เคยกินข้าว 3-4 ทัพพี ก็อาจลดเหลือแค่ 2 ทัพพี เพื่อไม่ได้เกิดพลังงานส่วนเกิน” แหล่งข้อมูลอ้างอิง:- สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล - wikipedia.org - คลิปวิดีโอ ThaiPBS “พิสูจน์ชานมไข่มุกร้านต้นตำรับที่ไต้หวัน : ดูให้รู้” - คลิปวิดีโอ ThaiPBS “ความยิ่งใหญ่อุตสาหกรรมชานมไข่มุก : ลงทุนทำกิน (3 มิ.ย. 62)” - ชาไข่มุก : ทำไมถึงกลับมาฮิต เกี่ยวโยงเศรษฐกิจ-การเมืองไต้หวันอย่างไร?     (https://voicetv.co.th/read/B1eivkqFm)  (https://voicetv.co.th/read/B1eivkqFm)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 214 ความเคลื่อนไหวเดือนธันวาคม 2561

ศาลยกฟ้อง คดีมาสด้าฟ้องลูกค้ากว่า 84 ล้านบาทกรณี บจก.มาสด้า เซลล์ (ประเทศไทย) ฟ้องเรียกค่าเสียหายลูกค้ากว่า 84 ล้านบาท เมื่อต้นปี 2561 เหตุผู้ใช้รถมาสด้า 2 เครื่องยนต์ดีเซลที่พบปัญหาการใช้งานและออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบจากบริษัท โดยบริษัทมาสด้าให้เหตุผลการฟ้องคดีว่า ผู้เสียหายใช้สิทธิเกินส่วนที่ผู้บริโภคควรใช้ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ ชื่อเสียง และทำให้ยอดขายของบริษัทลดลงนั้น         เมื่อวันที่ 28 พ.ย.61  ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องคดี  ชี้ว่าการออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบของผู้เสียหาย เป็นการปกป้องสิทธิตามสิทธิผู้บริโภคโดยสุจริต เพราะรถมีความบกพร่องจริง และผู้เสียหายได้สอบถามไปยังผู้ผลิตแต่ไม่ได้รับคำตอบ จึงมีสิทธิเรียกร้องทวงถาม ซึ่งไม่ถือเป็นการใช้สิทธิเกินส่วนตามที่บริษัทอ้าง ด้าน นายภัทรกร ทีปบุญรัตน์ ผู้เสียหายที่ถูกฟ้อง ได้กล่าวฝากถึงผู้บริโภคทุกคนให้ตระหนักถึงสิทธิที่ตัวเองมีตามกฎหมาย และเมื่อเกิดความเสียหายก็ต้องได้รับการชดเชยเยียวยา3 โรค 1 ภัยสุขภาพสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังในปี 2562นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค  กล่าวว่า ภัยสุขภาพที่สำคัญในปี 2562 แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ การพยากรณ์โรคติดต่อ และการพยากรณ์โรคไม่ติดต่อและภัยสุขภาพ ดังนี้ โรคติดต่อที่สำคัญในปี 2562 มี 3 โรค ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่ โรคหัด และไข้เลือดออก ซึ่งไข้หวัดใหญ่คาดว่าจะมีผู้ป่วยสูงเกือบ 1.8 แสนราย ขอให้ประชาชนใช้มาตรการ “ปิด ล้าง เลี่ยง หยุด” ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ปิด คือ ปิดปาก ปิดจมูก เมื่อไอ จาม ล้าง คือ ล้างมือบ่อยๆ เมื่อสัมผัสสิ่งของ เลี่ยง คือ หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วย และ หยุด คือ เมื่อป่วยควรหยุดเรียน หยุดงาน หยุดกิจกรรมในสถานที่แออัดส่วนโรคหัด เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ผู้ปกครองควรพาเด็กเล็กไปรับวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน จำนวน 2 เข็ม เข็มแรกเมื่อเด็กอายุ 9 เดือน และเข็มที่สองเมื่ออายุ 2 ปีครึ่งกรณีโรคไข้เลือดออก ต้องร่วมกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โรคไม่ติดต่อและภัยสุขภาพ มี 1 เรื่อง คือ การบาดเจ็บจากการจราจรทางถนน เนื่องจากทุกปีประเทศไทยจะพบอุบัติเหตุจากการจราจรเกิดขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่างๆ จึงขอแนะนำให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร ไม่ขับรถเร็ว ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัย ผู้ขับขี่รถยนต์ใช้เข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง หากดื่มสุราแล้วไม่ควรขับรถ และง่วงต้องไม่ขับ ‘ออมสิน’ ชะลอฟ้อง - งดบังคับคดี ตุ๊กตุ๊ก โครงการสามล้อเอื้ออาทรเมื่อวันที่ 27 พ.ย.61 นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พร้อมผู้เสียหายจากการกู้สินเชื่อเพื่อซื้อสามล้อ ในโครงการสามล้อเอื้ออาทร กว่า 150 ราย เดินทางไปยังธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่ เพื่อเรียกร้องให้ถอนฟ้องคดีผู้เสียหายทุกรายที่ทำสัญญากู้ยืมเงินในลักษณะเดียวกัน และขอให้งดการบังคับคดีเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงของโครงการสินเชื่อดังกล่าวนายประเสริฐ กองจันทร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการธนาคารออมสิน สายงานบริหารหนี้และกฎหมาย กลุ่มปฏิบัติงาน ได้ตอบรับข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้เสียหาย โดยจะยื่นขอให้ศาลจำหน่ายคดีไว้ชั่วคราว และงดการบังคับคดี และได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเจ้าหน้าที่ของธนาคารฯ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการสามล้อเอื้ออาทร ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 45 วัน โดยได้นัดให้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและกลุ่มผู้เสียหาย มารับฟังคำตอบอีกครั้งในวันที่ 15 ม.ค.6213 เม.ย. 62 รพ.เอกชนยอมกางบัญชี "ราคายา-ค่ารักษา" ขึ้นเว็บไซต์          กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับโรงพยาบาลเอกชนกว่า 100 แห่งเตรียมเผยแพร่ราคายา-ค่ารักษาบนเว็บไซต์ รพ.และเว็บไซต์กลาง ในวันที่ 13 เม.ย. 2562 เพื่อให้ประชาชนได้เปรียบเทียบราคาก่อนตัดสินใจใช้บริการ พร้อมชี้ว่า รพ.เอกชนเผยแพร่ข้อมูลเรื่องราคาได้ แต่คงบังคับให้ลดราคาไม่ได้ เนื่องจากต้นทุนแต่ละแห่งไม่เท่ากัน สำหรับข้อมูลที่นำมาเผยแพร่จะต้องง่ายต่อความเข้าใจของประชาชน ไม่ใช่เป็นข้อความทางเทคนิค ซึ่งยาที่จะประกาศราคานั้น เบื้องต้น จะมีประมาณ 1,000 รายการ จากทั้งหมดกว่า 5,000 รายการ หวังเพื่อให้ประชาชนรับทราบราคายาและค่ารักษาและเกิดการเปรียบเทียบ ทำให้โรงพยาบาลเอกชนไม่กล้าคิดราคายาและค่ารักษาที่แพงเกินความเหมาะสม ยื่นฟ้อง ไทยพาณิชย์ เหตุคนร้ายโจรกรรมเงินฝากผ่านแอพฯ กว่า 2 ล้านบาทเมื่อ 15 พ.ย.61 นายเฉลิมพงษ์ กลับดี หัวหน้าศูนย์ทนายความเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค มพบ. และ น.ส.ธนิตา จิราพณิช อาชีพนักแสดงอิสระ ซึ่งเป็นผู้เสียหายสูญเงินกว่า 2 ล้านบาท จากการถูกโจรกรรมข้อมูลและเงินในบัญชีเงินฝาก เดินทางไปยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง รัชดาฯ โดยผู้เสียหายได้ยื่นฟ้อง ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด มหาชน (จำเลยที่ 1) และ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด (จำเลยที่ 2)        กรณีนี้ คนร้ายได้หลอกลวงเอาข้อมูลของผู้เสียหาย ได้แก่ หมายเลขบัตรประชาชน เลขบัญชีธนาคาร เพื่อใช้สมัครอินเทอร์เน็ตแบงค์กิ้งบนมือถือของคนร้าย และโจรกรรมเงินฝากในบัญชีออมทรัพย์ กองทุนเปิด SCBFP กองทุนเปิด WINR และกองทุนตราสารหนี้ที่ผู้เสียหายเปิดบัญชีไว้กับธนาคารไทยพาณิชย์ และบริษัท หลักทรัพย์จัดการรองทุน ไทยพาณิชย์ ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 8 วัน ตั้งแต่ 27 ธ.ค.60 - 4 ม.ค.61 รวมกว่า 50 ครั้ง นับรวมความเสียหายกว่า 2 ล้านบาท ซึ่งเมื่อผู้เสียหายทราบเรื่องก็ได้ติดตามทวงถามให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหาย แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงตัดสินใจยื่นฟ้องศาล โดย นายเฉลิมพงษ์ ให้ความเห็นว่า จำเลยไม่ได้ปฏิบัติตามที่กฎหมายและประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ให้เป็นไปอย่างครบถ้วนถูกต้อง ทั้งการตรวจสอบสิทธิในการเข้าถึงระบบสารสนเทศ การติดตามแจ้งเตือน การแจ้งข้อมูลการทำธุรกรรมไม่มีมาตรฐาน จนทำให้คนร้ายสามารถทำการโจรกรรมเงินในบัญชีและกองทุนของผู้เสียหายได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 212 ไข่จริงไข่ปลอม ?

“ไข่ขาวมีลักษณะผิดปกติคือ มีความหนืดมากและเป็นแผ่นยาว มีเยื่อผนังส่วนติดอยู่กับเปลือกไข่ และก่อนทอดสีของไข่แดงออกสีจางๆ  ต่อเมื่อทอดเป็นไข่ดาวจึงมีลักษณะปกติ”  ไข่จริงไข่ปลอม ?“ตลาดอรัญฯ ป่วน ตื่นไข่ปลอม ส่งตัวอย่างตรวจ” ไทยรัฐ“หนุ่มผงะไข่นกกระทาปลอม ทอดแล้วเหนียวเหมือนพลาสติก” Sanook“สาวโพสต์เตือน ไข่ต้มปลอม!”  LINE Todayข้อความข้างต้นคือพาดหัวข่าวในช่วงปีที่ผ่านมา ข่าวไข่ปลอมทำให้ผู้บริโภครู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก เพราะ “ไข่” เป็นอาหารประจำของทุกๆ บ้าน เราในฐานะผู้บริโภคก็พยายามเลือกซื้อไข่ที่มีแหล่งที่มาชัดเจนเพื่อจะได้มั่นใจว่าเป็นไข่จริงและปลอดภัยในการบริโภค แต่แล้วการเลือกไข่ที่มีแหล่งที่มาชัดเจน บรรจุภัณฑ์ (packaging) สวยงาม ซื้อจากร้านค้าในห้างใหญ่ กลับทำให้ผู้บริโภคท่านนี้สงสัยว่าไข่ที่ซื้อมาเป็นไข่ปลอมหรือไม่ หลายวันก่อนคุณภูผาผู้ร้องเจ้าประจำไปเดินเล่นพักผ่อนที่ห้างสรรพสินค้า ก่อนกลับบ้านได้แวะ ซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างนั้นเพื่อซื้ออาหาร หนึ่งในนั้นคือไข่ไก่ เบอร์ 1 จำนวน 1 แพค บรรจุ 10 ฟอง ตอนเลือกเขาเห็นว่าบรรจุภัณฑ์ของไข่มีลักษณะสวยงามแปลกไปจากผลิตภัณฑ์เจ้าอื่นบนชั้นวางเดียวกัน และราคาแพงกว่ายี่ห้ออื่น ก็คิดว่าน่าจะเป็นไข่ไก่ออร์แกนิคจึงซื้อมา เมื่อกลับถึงบ้านเขานำไข่ออกจากบรรจุภัณฑ์มาแช่ตู้เย็น หลังจากนั้นก็นำไข่มาประกอบอาหารตามปกติ ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร แต่ตอนไข่เหลืออยู่ 4 ฟอง คุณภูผานำมาทอดกับเนย 2 ฟอง กลับพบว่าไข่ขาวมีลักษณะผิดปกติคือ มีความหนืดมากและเป็นแผ่นยาว มีเยื่อผนังส่วนติดอยู่กับเปลือกไข่ และก่อนทอดสีของไข่แดงออกสีจางๆ  ต่อเมื่อทอดเป็นไข่ดาวจึงมีลักษณะปกติ อย่างไรก็ตาม คุณภูผาเสพข่าวสารมาพอสมควร และเห็นข่าวไข่ปลอมกำลังระบาด จึงรู้สึกกังวลใจว่าตัวเองโดนหลอกเสียแล้ว เริ่มไม่แน่ใจว่าไข่ที่เขาพบความผิดปกตินี้เป็นไข่ปลอมหรือไม่ เขาจึงนำเปลือกไข่ที่พบความผิดปกติและไข่ที่เหลืออีก 2 ฟองมาร้องเรียนที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพื่อให้ตรวจสอบและแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ระมัดระวังในการรับไข่มาจำหน่ายในห้างของตัวเอง แนวทางการแก้ปัญหา   การจำหน่ายอาหารปลอมเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 25 (2) ประกอบมาตรา 27 และบทลงโทษอยู่ในมาตรา 59 ระบุให้ระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงหนึ่งแสนบาท    กรณีไม่แน่ชัดว่าไข่เป็นของจริงหรือของปลอม ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคได้ส่งให้นักวิชาการทดสอบเปรียบเทียบระหว่างไข่ไก่ของผู้ร้องกับไข่ไก่ที่ซื้อมาจากตลาด ผลปรากฏว่าไข่มีลักษณะเป็นทรงวงรี สีขาวนวลออกเหลือง เมื่อตอกไข่เนื้อไข่มีลักษณะมีน้ำค้างของไข่หุ้มไว้ สีสม่ำเสมอ มีกลิ่นคาวไข่ เมื่อนำไปทอดมีลักษณะเหมือนกัน เผาเปลือกไข่ ไม่มีกลิ่นสารเคมี ซึ่งเป็นลักษณะของไข่ไก่จริง ต่อมาได้แจ้งให้ผู้ร้องทราบว่าไข่ของผู้ร้องไม่ใช่ไข่ปลอม เป็นไข่จริง ผู้ร้องเข้าใจและลดความกังวลลงอย่างมาก

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 210 มีอะไรอยู่ในไข่

ย่างเข้าเดือนหก ฝนก็ตกพรำๆ เข้าฤดูฝนแล้ว บรรยากาศชุ่มฉ่ำ อากาศแบบนี้ช่างน่านอนอยู่ใต้ผ้าห่มเหลือเกิน แต่อากาศแบบนี้ก็อาจมีผลกระทบกับอาหารที่เราต้องบริโภค มาดูกันว่าช่วงฝนตกแบบนี้ จะมีผลกระทบกับอาหารอย่างไรเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คุณภูผาเดินทางไปยังร้านมหาชัยซุปเปอร์กรุ๊ป สาขาขอนแก่น เพื่อซื้อของอุปโภคและบริโภคประจำเดือน โดยได้ซื้อไข่ไก่สดของเบทาโกร จำนวน 1 แพ็ค 10 ฟอง ฉลากระบุว่า วันที่บรรจุ 28/04/18 และควรบริโภคก่อน 19/05/18 แต่เมื่อคุณภูผานำไข่ออกมาประกอบอาหาร ก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติในไข่ พบจุดลักษณะสีดำคล้ายเชื้อราอยู่ในไข่ที่ตอกออกมา  จึงติดต่อไปยังฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ตามเบอร์โทรศัพท์ที่อยู่ข้างกล่อง พนักงานผู้รับสายแจ้งว่า จะให้เจ้าหน้าที่มารับสินค้าไปตรวจหาสาเหตุไข่เสียก่อนวันควรบริโภคที่กำหนด จึงร้องเรียนมายังมูลนิธิ เพื่อให้ติดตามเรื่องการตรวจพิสูจน์แนวทางการแก้ไขปัญหา            ศูนย์พิทักษ์ฯ ได้แจ้งผู้ร้องว่า หากร้านค้าและบ.เบทาโกร จำหน่ายไข่ไก่ที่เสียก่อนวันที่ควรบริโภคตามที่ระบุไว้ อาจเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 25 (1) ประกอบมาตรา 29 ซึ่งถือได้ว่าการจำหน่ายอาหารหมดอายุ เป็นอาหารที่ไม่ปลอดภัยในการบริโภค และบทลงโทษอยู่ในมาตรา 61 ระบุให้ระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ. อาหาร พ.ศ. 2522            เบื้องต้นผู้ร้องได้แจ้งไปยังบริษัทฯ เพื่อให้จัดการปัญหา และบริษัทฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่มารับไข่ไก่ไปตรวจแล้ว ศูนย์พิทักษ์ฯ จึงแนะนำคุณภูผาให้ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน และให้สอบถามไปยังบริษัทฯ ว่าต้องใช้ระยะเวลาในการตรวจพิสูจน์กี่วัน หากเกินระยะเวลาที่บริษัทแจ้ง ให้ผู้ร้องแจ้งกลับมายังศูนย์พิทักษ์ฯ อีกครั้ง เพื่อที่ศูนย์ฯ จะตามผลการตรวจกับบริษัทฯ ให้             หลังจากได้รับเรื่องร้องเรียนประมาณ 5 วัน ศูนย์พิทักษ์ฯ ได้ติดต่อไปยังผู้ร้องเพื่อสอบถามความคืบหน้า ได้ความว่า บริษัทฯ ชี้แจงต่อผู้ร้องว่า ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝนอาจทำให้เกิดเชื้อราก็เป็นได้ และนำสินค้ามาเปลี่ยนให้ใหม่ ซึ่งผู้ร้องไม่ได้ติดใจอะไรกับบริษัทอีก จึงขอยุติเรื่องร้องเรียน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 201 การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะทำให้เป็นโรคความจำเสื่อมจริงหรือ

หลายคนไม่กล้าฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เพราะกลัวว่าจะเกิดโรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ เนื่องจากมีเว็บไซต์ของการแพทย์ทางเลือกหลายเว็บไซต์จากต่างประเทศกล่าวถึงผลข้างเคียงที่เกิดจากการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ทำให้ผู้สูงอายุซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเป็นไข้หวัดใหญ่ยอมเป็นไข้หวัดใหญ่ดีกว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่คืออะไรวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นวัคซีนที่ใช้ฉีดปีละครั้ง และต้องฉีดทุกปี วัคซีนนี้ป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่กระทบต่อทางเดินหายใจส่วนบนเป็นหลัก ซึ่งมีอาการไข้ ไอ บวม และอาจเกิดอาการปอดอักเสบหรือที่เราเรียกกันทั่วไปว่า ปอดบวม  ทุกปีวัคซีนนี้ต้องคัดเชื้อที่คิดว่าจะเกิดการระบาดในปีนั้น และสามารถป้องกันเชื้อไข้หวัดได้ประมาณร้อยละ 70 เนื่องจากเชื้อไข้หวัดใหญ่มีมากกว่า 200 สายพันธุ์วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ก่อให้เกิดอัลไซเมอร์จริงหรือ สมาคมอัลไซเมอร์แห่งอเมริกา แถลงว่า ความเข้าใจเรื่องวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่(หรือสารเคมีในวัคซีน) ก่อความเสี่ยงในการเกิดอัลไซเมอร์นั้น เป็นความหลงเชื่อที่ผิด และไม่เป็นความจริง เหตุที่เชื่อนั้นเพราะ วัคซีนจะมีสารปรอทซึ่งเป็นสารกันเสื่อมของวัคซีนบางชนิด(วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นการฉีดแค่ครั้งเดียว จึงไม่ต้องใช้สารนี้)  หน่วยงานควบคุมและป้องกันโรค ได้ทำการวิจัยและพบว่า ปริมาณของปรอทนั้นมีปริมาณน้อย และไม่มีอันตรายมากไปกว่าการบวมและแดงเล็กน้อยเมื่อฉีดวัคซีนงานวิจัยกลับบอกผลตรงกันข้ามจากการทบทวนงานวิจัยในหลายๆ ที่ พบว่า งานวิจัยในวารสาร Canadian Medical Journal ปีค.ศ. 2001 มีการวิจัยในประชากร 4, ราย  392 รายที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัลไซเมอร์ มีความเสี่ยงลดลงสำหรับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เช่นเดียวกับผู้ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบและบาดทะยัก หรือโปลิโอ  งานวิจัยนี้ไม่ได้บ่งชี้ว่า วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ไม่ได้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดอัลไซเมอร์ หรือผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนมีแนวโน้มการเกิดอัลไซเมอร์มากกว่ารายงานอีกเรื่องในวารสาร JAMA ค.ศ. 2004 พบว่า การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ประจำปีสำหรับผู้สูงอายุ สัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลงในการตายจากสาเหตุต่างๆ ทุกประเภท  ซึ่งในวารสาร Pubmed ได้นำบทคัดย่อไปเผยแพร่ในวารสารงานวิจัยอีกชิ้นที่น่าสนใจคือ การศึกษาล่าสุดในไต้หวัน ปีค.ศ. 2016 เป็นการศึกษาในผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง จำนวน 11,943 ราย ในจำนวนนี้ มีผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ร้อยละ 48 และที่เหลืออีก 6,192 ราย ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่  พบว่า ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่มีการลดลงของการเกิดโรคความจำเสื่อมโดยสรุป ความเชื่อเรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะทำให้เกิดโรคความจำเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ นั้น ไม่พบหลักฐานทางวิชาการที่สนับสนุนความเชื่อดังกล่าว  ในทางตรงข้าม กลับพบว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่กลับมีความเสี่ยงและการเกิดโรคความจำเสื่อมและอัลไซเมอร์ลดลง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 199 กระแสต่างแดน

แพ็กสุดคุ้ม Ofcom องค์กรกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมของอังกฤษทำการสำรวจความเห็นของผู้บริโภคเพื่อจัดทำข้อเสนอที่จะช่วยให้การเลือกแพ็กเกจบริการบรอดแบนด์เป็นเรื่องง่ายขึ้นเขาพบว่า ร้อยละ 75 ของผู้บริโภคเลือกแพ็กเกจจากราคาเป็นหลัก แต่พวกเขาไม่แน่ใจว่าความเร็วอินเทอร์เน็ตหรือปริมาณข้อมูลที่ได้มานั้นคุ้มค่าคุ้มราคาหรือไม่  แม้ผู้บริโภคจะสามารถเปลี่ยนไปใช้บริการเจ้าอื่นได้เมื่อสิ้นสุดสัญญาโดยไม่ต้องเสียค่าปรับ แต่มีผู้บริโภคถึงร้อยละ 60 ที่ไม่ได้รับการแจ้งเตือนจากผู้ประกอบการก่อนวันหมดสัญญา นั่นหมายความว่าลูกค้าไม่ได้ใช้สิทธิเลือกอย่างเต็มที่ ทั้งๆ ที่มีผู้ให้บริการแข่งขันกันอยู่ในตลาดไม่ต่ำกว่า 10 ราย Ofcom จึงเสนอให้มีข้อบังคับเรื่องการแจ้งเตือนเหมือนกรณีของประกันรถยนต์ นอกจากนี้ยังเสนอให้ ผู้ประกอบการจ่ายค่าชดเชยกรณีที่ผู้บริโภคไม่สามารถใช้บริการได้เกินสองวันทำการ/ไม่สามารถเริ่มใช้บริการได้ในวันที่ตกลงกัน หรือถูกพนักงานนัดมาติดตั้งหรือแก้ไขโทรมายกเลิกนัดด้วย  ช่วยกันกิน ช่วยกันใช้ ขณะนี้ประชากรจิงโจ้ในออสเตรเลียมีมากจนน่าเป็นห่วง จาก 27 ล้านตัวในปี 2010 เพิ่มเป็น 45 ล้านตัวในปีที่แล้ว(ในขณะที่ประชากรออสซี่มีเพียง 25 ล้านคน) รัฐบาลจึงขอความร่วมมือให้มีการบริโภคเนื้อจิงโจ้ให้มากขึ้นที่แดนจิงโจ้นั้น ผู้ประกอบการสามารถขอสัมปทานในการฆ่าจิงโจ้เพื่อการค้าได้ แต่ที่ผ่านมาแทบจะไม่มีใครไปขอ เพราะไม่มีความต้องการของตลาดแถมราคาก็ถูกจนไม่น่าลงทุน  คนออสซี่ไม่นิยมบริโภคเนื้อจิงโจ้ เนื้อที่ผลิตได้ก็ถูกส่งออกแทบทั้งหมด ร้อยละ 70 ส่งไปรัสเซีย ที่เหลือใช้เป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ ส่วนหนังและขนของมันก็เป็นสินค้าส่งออกเช่นกัน แต่หางจิงโจ้ยังสามารถหาซื้อได้ในย่านไชน่าทาวน์ในเมืองซิดนีย์เพราะเป็นที่นิยมของลูกค้าเชื้อสายจีน กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการรณรงค์นี้บอกว่า ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าการลดจำนวนจิงโจ้จะทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นแต่อย่างใด ที่สำคัญคือจิงโจ้ปล่อยก๊าซมีเทนน้อยกว่าวัวด้วยซ้ำ  หนี้ซ้ำซ้อน วันนี้คนนอร์เวย์เป็นหนี้กันมากขึ้น ธนาคารแห่งชาติของนอร์เวย์เปิดเผยว่าตัวเลขคนเป็นหนี้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15 และมักจะมีเจ้าหนี้มากกว่าหนึ่งราย ทั้งหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อบ้าน  สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากแคมเปญการตลาดของสถาบันการเงินที่ส่งเสริมให้คนกู้เงินทั้งที่ไม่มีความจำเป็น ความหละหลวมในการตรวจสอบหนี้เดิมของลูกค้าที่ทำให้คนเป็นหนี้อยู่แล้วสามารถกู้เพิ่มได้ และการออกใบแจ้งหนี้ที่ให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน   ภาครัฐจึงแก้เกมด้วยการห้ามใช้ประเด็นต่อไปนี้ – “ยื่นของ่าย” “ได้รับอนุมัติเร็ว” หรือ “โอนเงินทันที” ในการโฆษณา นอกจากนี้ยังปรับปรุงฐานข้อมูลและกำหนดขั้นตอนการตรวจสอบใหม่เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ขอกู้ที่เป็นปัจจุบันมากขึ้น ส่วนใบแจ้งหนี้ในแต่ละเดือนนั้น เขากำหนดให้มีการแสดงหนี้ทั้งหมดให้จบภายในบิลเดียว ให้เห็นหนี้ที่ต้องชำระในเดือนนี้และหนี้ทั้งหมดด้วย หลังพายุสงบ เฮอริเคนฮาร์วีย์ ทำให้มีคนอพยพออกจากบ้านไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน ระหว่างนั้นพวกเขาต้องเผชิญความยากลำบากที่มากกว่าแค่ลมและฝนศูนย์รับเรื่องร้องเรียนในเท็กซัสได้รับเรื่องร้องเรียนเกือบ 2,000 เรื่อง ประมาณ 600 กว่าเรื่องเป็นการถูกผู้ประกอบการปั๊มน้ำมันถือโอกาสขึ้นราคา อีกไม่ต่ำกว่า 100 เรื่องคือการได้รับโทรศัพท์สายที่ไม่ต้องการ เช่น โทรมาขายประกัน ชวนบริจาค หรือขอข้อมูลเรื่องความเสียหาย นอกจากนี้ยังมีเรื่องของที่พักราคาแพง เช่นโรงแรมในเครือเบสต์เวสเทิร์น ที่ขึ้นค่าห้องพักจากคืนละไม่เกิน 150 เหรียญ(ประมาณ 5,000 บาท) เป็น 280 เหรียญ(ประมาณ 9,200 บาท) ข่าวบอกว่าขณะนี้โรงแรมประกาศคืนเงินให้ผู้เข้าพักแล้วไหนจะมีพวกหลอกลวงที่โทรมาชวนลงทุนในโครงการซ่อมแซมปรับปรุงอาคารที่เสียหายจากพายุ และศูนย์ฯ คาดการณ์ว่าอีกหนึ่งเดือนจะมีเรื่องร้องเรียนจากเจ้าของบ้านที่โดนผู้รับเหมาเชิดเงินค่าซ่อมบ้านหนีไปแน่นอนที่อเมริกามีทีมพิเศษดูแลจัดการเรื่องเหล่านี้ เพราะได้เรียนรู้จากเหตุการณ์พายุหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นคาทรินา ริต้า หรือวิลม่า  ได้เวลาเปลี่ยนโค้ด เหตุการณ์ไข่ไก่ปนเปื้อนยาฆ่าแมลงในยุโรปส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเกาหลีใต้ ที่ผู้คนไม่ค่อยคุ้นชินกับอาหารปนเปื้อนของสารเคมี ถึงขั้นเกิด egg phobia การสำรวจฟาร์มไก่ในประเทศจำนวนไม่ต่ำกว่า 1,200 ฟาร์ม พบว่ามีถึง 52 ฟาร์มที่มีไข่ไก่ปนเปื้อนเกินกำหนด ข่าวบอกว่าเขาไม่ได้ทำการสำรวจเลยตั้งแต่ปี 2010 ร้อนถึงกระทรวงความปลอดภัยของอาหารและยา ที่ตัดสินใจประกาศจะนำระบบโค้ดใหม่มาใช้กับไข่ไก่ในประเทศตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไปจากเดิมที่ระบุเพียงฟาร์มที่เลี้ยงและภูมิภาคที่ตั้งของฟาร์ม ผู้ประกอบการจะต้องแสดงวันที่ ที่ไก่ออกไข่ รหัสฟาร์ม และวิธีที่ใช้เลี้ยง(เลี้ยงแบบออกานิก/เลี้ยงด้วยระบบเปิด/เลี้ยงในโรงเลี้ยง/เลี้ยงในกรง) นักวิชาการบอกว่าเราอาจต้องกินไข่ไก่ถึง 126 ฟองในคราวเดียวจึงจะได้รับอันตรายเฉียบพลันจากฟิโพรนิล แต่ก็ต้องไม่ประมาทผลในระยะยาวเพราะคนส่วนใหญ่รับประทานไข่ทุกวัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 102 กระแสในประเทศ

ประมลเหตุการณ์เดือนกรกฎาคม 255215 กรกฎาคม 2552จุดจบ “ลวดดัดฟันแฟชั่น” สคบ. สั่งห้ามขายแบบเด็ดขาด “ลวดดัดฟันแฟชั่น” หลังจากคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ คคบ. ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 36 ของกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ออกคำสั่งห้ามจำหน่ายลวดดัดฟันแฟชั่นเป็นการถาวรแล้ว พ่อค้า – แม้ค้าคนไหนยังฝืนขายลวดดัดฟันแฟชั่นถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย แจ้งจับได้ทันที มาตรา 36 ของกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ระบุว่าหากพบสินค้าใดต้องสงสัยว่าเป็นอันตราย คณะกรรมการผู้บริโภคสามารถสั่งให้ตรวจพิสูจน์สินค้านั้นได้ ซึ่งในกรณีของลวดดัดฟันแฟชั่นไม่มีผู้ประกอบการรายใดขอทดสอบหรือพิสูจน์สินค้า ซึ่งคณะกรรมการผู้บริโภคพิจารณาแล้วสินค้าดังกล่าวเป็นอันตราย จากคำยืนยันของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และกรมวิทยาศาสตร์บริการ หลังจากตรวจพบสารปนเปื้อนโลหะหนัก ทั้งตะกั่ว พลวง ซีลีเนียม โครเมียม และสารหนู รวมทั้งยังมีข้อมูลจาก อย.ว่าวัสดุที่ใช้ทำลวดดัดฟันไม่มีมาตรฐาน และลักษณะการนำมาคล้องที่ฟันด้วยลวดนั้นไม่แข็งแรงมีโอกาสล่วงหลุดลงคอจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ 17 กรกฎาคม 2552ทลายโรงงาน “ซีอิ้วปลอม” ส่งขายตลาดนัดกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี หรือ ปศท. ได้ออกกวาดล้างโรงงานผลิตซีอิ้วปลอมและน้ำปลาปลอม ซึ่งสามารถตรวจพบแหล่งผลิตได้ถึง 3 หลาย ในเขตทวีวัฒนาและบางขุนเทียน โดยเจ้าหน้าที่สามารถยึดได้ทั้งอุปกรณ์การผลิตและบรรจุขวดซีอิ้วขาว พร้อมกับซีอิ้วขาวปลอม น้ำปลาปลอม ฝาขวด ขวดเปล่า ฉลากปลอม รวมทั้งสิ้นกว่า 190,000 ชิ้น ซึ่งรวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 9 ล้านบาทการเข้าตรวจค้นจับกุมครั้งนี้เนื่องจากมีตัวแทนบริษัทหยั่นหว่อหยุ่น จำกัด เข้าแจ้งความว่า สินค้าของบริษัทถูกปลอมแปลงออกจำหน่ายตามตลาดนัดและพื้นที่ทั่วไปในราคาถูก สำหรับสินค้าที่ตรวจยึดมานั้นพบว่ามีการวางขายตามตลาดนัดในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งสินค้าปลอมเหล่านี้ไม่ได้คุณภาพ มีการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน ใช้วิธีการใส่เกลือ แต่งสี และปรุงแต่งรสขึ้นมา จากนั้นจะนำมากรอกใส่ขวดขาย หากซื้อมารับประทานอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย 23 กรกฎาคม 2552ชัวร์หรือมั่วนิ่ม? “ไข่ปลอมจากจีน” สร้างความตื่นตกใจให้กับผู้บริโภคไม่น้อย กับข่าวที่มีการพบไข่ไก่ปลอมวางจำหน่ายที่ประเทศจีน ซึ่งแม้จะมีการตรวจสอบยืนยันชัดเจนแล้วว่ายังไม่มีไข่ไก่ปลอมที่เป็นข่าววางขายในประเทศไทย แต่ อย. รับประกันมีการตรวจสอบเรื่องการลอบนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านตามแนวชายแดนอย่างเคร่งครัด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ยืนยันยังไม่มีการตรวจพบไข่ไก่ปลอมวางจำหน่ายในประเทศไทย เพียงแต่เป็นกระแสจากการเผยแพร่ภาพของไข่ปลอมส่งต่อกันทางอินเตอร์เน็ต อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.อาหารระบุไว้ชัดเจนว่าหากมีการปลอมอาหารและจำหน่ายเพื่อบริโภค ให้ถือเป็นอาหารปลอม มีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งในเนื้อข่าวจากจีนระบุว่าไข่ปลอมใช่เจลาตินเป็นส่วนผสมในการทำไข่ขาว ส่วนไข่แดง จะถูกย้อมสีด้วยเกลือหรือเอสเตอร์ของกรดทาร์ทาริค เอซิด ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมถ่ายรูปและฟอกหนัง ขณะที่เปลือกไข่ทำจาก แคลเซียม คาร์บอเนต และพาราฟินแวกซ์ผสมกับน้ำ ซึ่งนอกจากจะไม่มีคุณค่าทางโภชนาการเหมือนไข่จริงแล้ว ยังอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย 30 กรกฎาคม 2552โสมสกัด “เต็มพลัง” ห้ามดื่ม-ห้ามขาย ไม่มี อย.อย. ลงพื้นที่ภาคอีสาน จับกุมแหล่งผลิตเครื่องดื่มชื่อ “เต็มพลัง” ที่มีลักษณะเหมือนน้ำสมุนไพรแต่กลับมีรสชาติคล้ายผสมแอลกอฮอลล์ โดยบรรจุอยู่ในขวดขนาดเท่าขวดน้ำปลา ปิดปากขวดด้วยฝาเบียร์ที่ผ่านการใช้งานแล้ว ฉลากที่ขวดเขียนว่าเป็นสินค้าโอท็อปแต่ไม่ได้ระบุวันเดือนปีที่ผลิตหรือหมดอายุ   เมื่อนำมาตรวจสอบพบสารไซโปรเฮปตาดีน (Cyproheptadine) ซึ่งเป็นยาแก้แพ้ที่มีฤทธิ์ข้างเคียงกระตุ้นให้เจริญอาหาร โดยเครื่องดื่มดังกล่าวไม่มีใบอนุญาตผลิตยา และไม่มีการขอขึ้นทะเบียนตำรับยา แต่อวดอ้างในคำบรรยายสรรพคุณว่าให้พลังงานสูง แสดงให้เห็นว่าผู้ผลิตมีเจตนาผลิตเป็นยา ถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ยา ผู้ใดผลิตมีโทษทางกฎหมาย เตือนร้านค้าห้างวางจำหน่าย เพราะมีความผิดด้วยเช่นกัน โทรคมนาคมไทยยังมีปัญหา ต้องร่วมกันร้องเรียนเพื่อการพัฒนาปัจจุบันปัญหาด้านโทรคมนาคม ถือเป็นปัญหาที่สร้างความเดือดร้อนไม่พอใจให้กับผู้บริโภคจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง โทรศัพท์มือถือ บัตรเติมเงิน sms สัญญาณโทรศัพท์ รวมทั้งเรื่องของสัญญาณอินเตอร์เน็ต ซึ่งหน่วยงานที่คอยดูแลแก้ปัญหาในเรื่องนี้ให้กับเราก็คือ สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) องค์กรอิสระภายใต้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) โดย นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการ สบท. ได้เปิดเผยตัวเลขเรื่องร้องเรียนที่มีเข้ามาในหน่วยบริการประชาชนในช่วงเดือนมกราคม – มิถุนายน พ.ศ. 2552 มีจำนวนเรื่องร้องเรียนทั้งสิ้น 662 เรื่อง มากกว่าปี 2551 ทั้งปีที่มีการร้องเรียน 334 เรื่อง แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคตระหนักในสิทธิของตัวเองมากขึ้น ซึ่งเรื่องที่ถูกร้องเรียนเข้ามามากที่สุด คือเรื่องคุณภาพของการให้บริการ เช่น ความเร็วอินเตอร์เน็ตต่ำกว่าที่โฆษณา ใช้แล้วสัญญาณหลุดบ่อย และเรื่องปัญหาโทรศัพท์โทรข้ามเครือข่ายติดยาก รวมทั้งเรื่องการแก้ไขปัญหาล่าช้า จำนวน 146 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 22.1 ปัญหาอื่นๆ ที่ถูกร้องเรียนรองลงมามีดังนี้ การคิดค่าบริการผิดพลาด จำนวน 137 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 20.7 การเรียกเก็บเงิน 107 บาท ค่าต่อคู่สายโทรศัพท์หลังถูกตัดสัญญาณ จำนวน 78 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 11.8 และการกำหนดระยะเวลาใช้บริการโทรศัพท์แบบเติมเงินล่วงหน้า จำนวน 75 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 11.3 ซึ่งในจำนวนเรื่องร้องเรียน 662 เรื่อง ทาง สบท. ได้ดำเนินการแก้ไขลุล่วงไปแล้ว 272 เรื่อง สำหรับเรื่องที่ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องในระดับนโยบาย เช่น การคิดค่าบริการผิดพลาด การกำหนดระยะเวลาใช้โทรศัพท์แบบเติมเงินล่วงหน้า หรือแม้แต่เรื่องความปลอดภัยจากเสารับ-ส่งสัญญาณ ซึ่งต้องมีการหารือเพื่อวางแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนต่อไป หวังว่าการใส่ใจ เข้าใจ และตระหนักในสิทธิของผู้บริโภคที่เพิ่มมากขึ้น คงมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ผู้ประกอบการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น  ภาคประชาชน ค้านพ.ร.บ.ผู้ประสบภัยรถยนต์ แนะรัฐฯ ตั้งกองทุน-ยกเลิกประกันเอกชนมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สมาคมคนพิการ และมูลนิธิเมาไม่ขับ เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกกฎหมายผู้ประสบภัยจากรถ พร้อมแนะให้ตั้งกองทุนสินไหมผู้ประสบภัยจากรถแทน เพื่อแก้ปัญหาการบริหารงานซับซ้อน และลดภาระให้กับประชาชน   ตามที่คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. ได้เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพิ่มความคุ้มครองหลักในส่วนค่าสินไหม กรณีได้รับบาดเจ็บ สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพถาวร จากเดิม 15,000 บาท เป็น 35,000 บาท และกรณีเสียชีวิตก็เพิ่มค่าสินไหมจาก 1 แสนบาท เป็น 2 แสนบาท รวมถึงเพิ่มค่าชดเชยรายวันให้วันละ 200 บาท เป็นเวลาไม่เกิน 20 วันนั้น แม้มาตรการดังกล่าวดูเหมือนจะเอาใจใส่ผู้ประสบภัยรถยนต์ แต่ในความเป็นจริงเป็นการหลีกเลี่ยงที่จะแก้ปัญหาพื้นฐานของระบบ ซึ่งขาดการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ประชาชนไม่สามารถใช้สิทธิได้ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย   จากการสำรวจผู้ประสบภัยรถยนต์ ใน 48 จังหวัดพบว่า ผู้ประสบภัยรถยนต์มากกว่าร้อยละ 55 ไม่ได้ใช้สิทธิตามกฎหมายฉบับนี้ มีเพียงร้อยละ 42 ที่ใช้สิทธิ โดยผู้ประสบภัยเกือบทั้งหมดประสบปัญหาเมื่อใช้สิทธิ อาทิ การเบิกจ่ายยุ่งยากใช้เวลานาน บริษัทประกันบ่ายเบี่ยงไม่จ่ายค่าทดแทน ทำให้ผู้ประสบภัยต้องใช้สิทธิบัตรทองและประกันสังคมควบคู่ไปด้วยแทน ทั้งนี้ ในปี 2551 บริษัทประกันภัยเอกชน ใช้เงินเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการมากถึง 4,785 ล้านบาท หรือร้อยละ 47 ซึ่งมากกว่าการจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่มีเพียง 4,534 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุสำคัญน่าจะมาจากการจ่ายค่าตอบแทนผู้ขายประกัน หรือส่งเสริมการขายที่สูงถึงร้อยละ 45-50 ของค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ ทั้งที่เป็นการประกันแบบบังคับ และจากการบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพของ คปภ. ดังที่กล่าวมา ทำให้กลุ่มประชาชนรวมตัวกันออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกกฎหมายผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 แก้ไขปี พ.ศ. 2551 โดยให้ประชาชนที่ประสบอุบัติเหตุ รับการรักษาพยาบาลโดยใช้สิทธิตามระบบหลักประกันสุขภาพของตนเอง เพราะประชาชนทุกคนได้รับการคุ้มครองด้วยระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าอยู่แล้ว และให้ออกกฎหมายฉบับใหม่ เพื่อจัดตั้งกองทุนสินไหมผู้ประสบภัยจากรถ ที่คุ้มครองกรณีทุพพลภาพและเสียชีวิต โดยใช้งบประมาณในการบริหารกองทุนไม่เกินร้อยละ 5 ซึ่งจะทำให้ประชาชนจ่ายเบี้ยประกันตามกฎหมายจัดตั้งกองทุนฉบับใหม่ประมาณ 200 บาทสำหรับรถยนต์ และ 100 บาทสำหรับรถจักรยานยนต์ เป็นการช่วยลดภาระของประชาชน และทำให้ระบบโดยรวมมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากลดความซ้ำซ้อนของกองทุนประกันสุขภาพต่างๆ และกองทุนคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 171 น้ำพริกไข่ปู

เช้าวันหนึ่งในหน้าร้อน  ฝนตกกระหน่ำ  แปลกแต่จริงนะครับ อากาศเปลี่ยนแปลงไปมาตลอด   ต้นมันปู แตกยอดงามอยู่ข้างขอบสระเล็กๆ หลังบ้าน ผมเลยคิดว่า ฝนหยุดตกจะทำน้ำพริกรับประทานเป็นมื้อเย็นน่าจะดี    พอพูดถึงมันปู บางท่านอาจคิดถึงมันของตัวปู  แต่ไม่ใช่นะครับผม   มันปูนี้เป็นไม้พุ่ม ขนาดใหญ่ ต้นมีความสูงประมาณ 10 เมตร ใบยอดอ่อนของมันปูกินได้ จัดเป็นผักพื้นเมืองของภาคใต้เราครับ  การปลูกก็ง่ายมาก ผมตัดกิ่งมาจากบ้านคุณยายที่สงขลา แล้วมาปักชำที่บ้านผม จังหวัดเพชรบุรี  เพราะหลังได้กินเจ้าใบมันปูไปแล้ว ติดใจครับ  คนปักษ์ใต้บ้านเรานิยมใช้เป็นผักสดกินกับน้ำพริก หรือใช้เป็นเครื่องเคียงแกงเผ็ดและขนมจีน แต่กับส้มตำหรือยำต่างๆ ก็สุดยอดนะครับ ผมคนหนึ่งครับชอบมาก  วันนี้เลยถือโอกาสทำน้ำพริกไข่ปู เพื่อรับประทานกับยอดใบมันปู เพราะยิ่งเราตัดยอดบ่อยๆ ก็ยิ่งแตกยอดใหม่นะครับ    เดิมร้องเพลงที่มีเนื้อเพลงว่า “กินข้าวกับน้ำพริกซิจ้ะ ถึงได้สะได้สวย “ ผมว่าบางท่านเริ่มร้องตามด้วยแน่เลยครับ   จะทำน้ำพริกไข่ปู ก็ต้องไปตลาดหาไข่ปูมาให้ได้ก่อน   ผมมีร้านประจำในตลาด ราคาไข่ปูทะเล สนนราคา 750 บาท ครับวันนี้(ราคามีขึ้นมีลง 700-1200 บาท)  อย่าเพิ่งเปลี่ยนใจนะครับเพราะเห็นว่าราคาสูง แม่ค้าขายเป็นขีด(100 กรัม) ด้วยครับ   แต่ผมตั้งใจจะทำกินกันหลายๆ คน เลยจัดมา ½ กิโลกรัม    เครื่องปรุงอื่นๆ ก็มีกระเทียม ½ กิโลกรัม สนนราคา 50 บาท   หัวหอมแดง ½ กิโลกรัม ราคา 20 บาท  และตามด้วยพริกหอมสด 3 ขีด ขีดละ 20 บาท (ผมชอบกินเผ็ดๆ เลยขอเป็นพริกเยอะนิดนึง)  กรรมวิธีการปรุง      ขั้น ตอนง่ายๆ ครับ แกะกระเทียมเอาเปลือกออกแต่ไม่ต้องถึงกับเนียนเห็นเนื้อกลีบกะเทียม เพราะมีเปลือกหุ้มอยู่บ้างจะทำให้หอมมากขึ้น คุณย่าบอกไว้ครับ   ปอกหอมแดง  จากนั้น ตั้งกระทะไฟอ่อน ๆ  นำ กระเทียม หอมแดงและพริก คั่วให้สุก  จากนั้นนำมาตำให้ละเอียดในครกหิน   บางท่านมีเครื่องปั้นไฟฟ้าก็ดำเนินการได้เลยครับ     ขั้นตอน ที่ 2  การปรุงรสชาติ จากมะนาว น้ำตาล น้ำปลา   เปรี้ยวหวานเค็ม สามรสนี้เลยครับ ผมเลือกใช้น้ำตาลโตนดแท้ เพราะหอม หวานนุ่มๆ  มะนาวสด เพราะเวลาเราบีบมะนาว น้ำมันจากผิวมะนาวจะผสมลงไปด้วย  แค่นึกก็เริ่มเปรี้ยวปากครับ    น้ำปลาก็ต้องเลือกที่มีคุณภาพนะครับ อย่าลืมดูฉลากก่อนชื้อมาไว้ในครัวเรือน  ผมชอบเปรี้ยวนำ เลยขอใส่น้ำมะนาวมากหน่อย   นำส่วนที่ 1 ที่เราตำเสร็จแล้วมาเติมรสชาติตามความชอบของเราครับ  ขั้นตอน ที่ 3  สุดท้ายครับนำกระเทียมสัก 1 กำมือ มาโขลกในครกหินพอแตก จากนั้นตั้งกระทะไฟร้อนเต็มที่  เจียวกระเทียมจนเหลืองดูน่ามอง เอากระเทียมเจียวออกเหลือแต่น้ำมันไว้ จากนั้นนำไข่ปูลงไปผัดในน้ำมันกระเทียมเจียว  กลิ่นหอมๆ จะเริ่มให้ตัวเราและคนข้างๆ เริ่มหิว พร้อมกับเสียงพูดว่า อย่าลืมดูข้าวสวยที่หุงไว้ใกล้สุกยังครับ.... นำไข่ปูที่ผัดน้ำมันกระเทียมเจียวเรียบร้อย ผสมในตัวเครื่องน้ำพริก คลุกเคล้าให้เข้าที่  เราก็จะได้น้ำพริกไข่ปู รสชาติถูกปาก  ก่อนจัดสำรับ พร้อมข้าวสวย และผักสดต่างๆ นำกระเทียวเจียวโรยหน้าน้ำพริกไข่ปู และมีใบผักชีเล็กน้อย  ...  ได้เวลาแล้วครับ ใบมันปู ผักสด น้ำพริกไข่ปู พร้อมเสิร์ฟ ครับผม...  มื้อเย็นวันนี้รับแขกที่บ้าน 10 คนสบายๆ ... แถมฝากแม่เพื่อนได้อีก 2 ชุดเลยครับผม  ..คุณค่าอาหารครบถ้วนแน่แท้ครับ “กินข้าวกับน้ำพริกซิจ๊ะ ถึงได้สะได้สวย”    ปล. อย่าลืมตามหาต้นมันปูมาปลูกข้างบ้านนะครับ อร่อยจริงๆ  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 131 เมนูกุ้งฝอย : ไข่เจียว กับ กุ้งฝอยคลุกกะปิ

  ตั้งแต่หัวน้ำเริ่มลดลงหลังวันลอยกระทง กุ้งฝอยโผล่โฉมมาให้เห็นแบบยกขบวนมามากหน้าหลายตาอยู่หลายหน ทั้งในตลาดสด ตลาดนัด ทั้งรูปแบบปรุงเป็นอาหารแล้วและแบบสดๆ จะเพราะความคุ้นชินกับฐานทรัพยากรอาหารตัวนี้ที่มีติดตัวมาตั้งแต่จำความได้ ทั้งในแง่เหยื่อของปลาที่วิ่งไปซื้อในตลาดแทนการขุดไส้เดือนดิน – แมงกะชอน   และเหยื่อของคนในรูปตำรับอาหารต่างๆ ก็ไม่รู้ ไม่แน่ใจ ...  แต่จู่ๆ วันหนึ่งพลันนึกถึงว่าตัวเองกำลังกลายเป็นกุ้งซะงั้น  ประเภทกุ้งฝอยน้ำจืดที่คุ้นที่สุดนั่นแหละ อ่านข่าวเร่งพัฒนาแก้มลิงตามโครงการพระราชดำริ กว่า 3,000 แห่ง รับมือภัยน้ำท่วมที่จะมาในอนาคต , อิทธิพลลานิญาปี 55  และ ระบบปลูกข้าวใหม่ 3 รูปแบบ ตามนโยบาย ก.เกษตร ที่ยังดันทุรังผลักดันที่ต่อเนื่องจากปีที่แล้วแม้จะมีชาวนาในจังหวัดอยุธยาเข้าร่วมต่ำกว่าเป้ามโหฬาร และยิ่งมีตัวเลขต่ำลงอีกเมื่อนับพื้นที่นาที่ชาวนาทำจริงตามโครงการ แล้วอดไปได้ที่จะขับรถออกไปดูเวิ้งน้ำที่ยังเนืองนองในทุ่งต่างๆ รอบตัวอำเภอ ทำให้ฉันครุ่นคิดไปเองอีกแล้วว่า มันจะลดลงทันต้นมกราคมปีหน้าแล้วชาวนาเริ่มไถหว่านกันตั้งแต่ต้นปีอย่างที่รายงานข่าวสั้นในวิทยุประกาศนโยบายของกรมชลประทานไหม? ไม่รู้ว่าข้อมูลข่าวที่ไหลอวลอยู่ในหัว หรือยาที่ฉันเพิ่งอัพเข้าไปก่อนขับรถมาถึงทุ่งลาดชะโด ออกฤทธิ์  ฉันจอดรถแล้วลง เดินเซแถดๆ ไปที่ริมถนน 4เลนส์เส้นใหญ่ที่ใครๆ ก็ต้องบอกขอบคุณบรรหารที่สร้างและยกมันขึ้นสูงอีก 1.5 เมตร หลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2549  เพราะมันเป็นเส้นทางเดียวที่คนในตลาดผักไห่ใช้เดินทางไปสุพรรณ และที่ใกล้เคียงที่น้ำยังไม่ท่วมได้  แต่นโยบายกระทรวงเกษตรนี่ทำเอาฉันอยากเปลี่ยนคนบริหารจัง รวงข้าวฟางลอยที่เพิ่งหว่านเมื่อพฤษภาคมเพิ่งอยู่ในช่วงน้ำนม ไม่รู้ว่าปีนี้ผลผลิตจะเป็นอย่างไร จะแย่กว่าปีที่แล้วที่ได้แค่ 2 ขีด/ไร่ ไหม?  และหากน้ำไม่ลดลงจนแห้งกลางเดือนมกราคม ชาวนาที่นี่คงได้เกี่ยวข้าวกลางน้ำกันอีกรอบหรือเปล่า?  ข่าวเรื่องน้ำท่วม โครงการแก้มลิง  ลานิญา ปัญหา กส.ยึดเงินชาวนาลูกหนี้ในโครงการจำนำข้าว และชาวนาสุพรรณกับชาวนาอยุธยาจะปิดถนนประท้วงเรื่องเงินชดเชยน้ำท่วมเมื่อวานนี้ที่ ถนนสาย 340 ช่วง อ.สาลี จะมีอิทธิพลต่อแผนการขยายพื้นที่นาปรังปี 55 อีกกว่า 100 ไร่ ในทุ่งแห่งนี้ที่ฉันรับรู้มาเมื่อช่วงตอนน้ำขึ้นขั้นพีคหรือเปล่าหนอ? ดงดอกผักบุ้งที่อยู่ในช่วงอุ้มลูกอุ้มดอกบานล้อลมแข่งกับดอกพงพลิ้วสวยไม่มีคำตอบให้ แต่แดดแรงๆ และลมเย็นกรรโชกทำให้ฉันเย็นใจ ผักบุ้งรอดมาช่วงฤดูกาลการจ้างฉีดพ่นยาฆ่าหญ้าในเดือนสิงหาคมมาได้ฉันใด ชีวิตคนปลูกข้าวก็คงอยู่ในครรลองเดียวกันกับเหล่าสิ่งชีวิตในทุ่งแห่งนี้ฉันนั้น อา... หรือว่ายาที่อัพมาเมื่อกี้มันหมดฤทธิ์อีกแล้ว ฉันถึงกลับมานึกว่าตัวเองเป็นกุ้งฝอยอีกครั้งเมื่อนึกว่าต้องกลับมาปั่นต้นฉบับ กุ้งฝอยสด 2 ขีด 25 บาท ถูกใส่กระชอนล้างน้ำที่ไหลจากก๊อกอย่างเหม่อๆ  แม้เลยกำหนดส่งต้นฉบับไป 1 วัน ฉันยังเย็นใจได้กับการนั่งตัดกรีกุ้ง และเฉือนเอาส่วนขี้ที่อยู่ในหัวออกไปทีละตัว ทีละตัว จนครบทุกตัวแล้วจับใส่กระชอนล้างน้ำอีกรอบ ตอกไข่ 2 ใบใส่ชาม ฝานมะนาว 1 ซีกลงชามนั้น จนสะดุ้งเฮือก ... มือที่พลาดไปถูกไอกรดกำจัดเชื้อราหลังทำความสะอาดบ้านที่บางบัวทองเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทำเอาฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้งจากฤทธิ์ยาที่เพิ่งอัพเข้าไปใหม่ ฉันพยายามตื่นฝืนฤทธิ์ยา  ตั้งใจตีไข่ในชาม  แล้ว ใส่หอมแดงซอย กุ้งฝอย 2 – 3 ช้อน และน้ำปลา  แล้วตั้งกระทะใส่น้ำมัน เจียวไข่ กุ้งฝอยหัวขาดที่เหลือ 3 ใน 5 ส่วน จากที่เตรียมไว้ เอามาผัดกับเครื่องปรุง คล้ายๆ กับเมนูที่คนใต้ใช้ผัดสะตอกับน้ำพริกก้นถ้วย แต่หลายวันมานี่ฉันกินแต่น้ำพริกแมงดากับปลาช่อนย่าง เลยต้องเตรียม กระเทียมบุบ-สับ 1 หัว พริกขี้หนูสวนบุบ 4- 5 เม็ด  กะปิดี 1 ช้อนชาละลายน้ำและใส่น้ำตาลทรายสัก 1 ช้อนชา ใบมะกรูด 2 ใบ หั่นเส้น  ถั่วพู 2 ฝัก   และมะนาวอีก 2 ชิ้นที่เหลือจากเจียวไข่ ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันจนน้ำมันร้อน ใส่กระเทียมบุบลงไปผัดจนเหลืองหอม ใส่กุ้งฝอยหัวขาดผัดจนแดงระเรื่อแล้วใส่น้ำละลายกะปิกับน้ำตาลทราย  ผัดต่ออีกนิดจะยกลงใส่ถั่วพูหั่นแฉลบและพริกขี้หนูบุบ  ปิดเตา ตักใส่จาน ... ว้า! น้ำแห้งไปหน่อย มีแต่เนื้อๆ ถ่ายรูปจัดฉาก ชิม และเตรียมส่งงาน  แต่ไม่วายแว้บ... ดู FB อีกที เม้นท์ตอบ พรรคเพื่อนในแคมเปญฝ่ามืออากง...  ฮากับการไล่ไปอยู่ตปท.ของท่านแม่ทัพ  ฯ นาทีนี้ฉันก็นึกว่าตัวเองย้ายไปอยู่ที่เกาหลีเหนือเป็นวูบๆ ตามแรงของยาที่อัพเข้าไป ... มั้ง   ...เพลินกะจะโม้ถึงรสอร่อยที่เพิ่งกินให้เพื่อนฟัง ใบหน้าใจดีของหัวหน้ากองบก.ฉลาดซื้อก็ลอยเข้าไปได้ก็รีบละมาก่อน เฮ่อ!... นี่ฉันจะต้องผวานึกว่าเป็นกุ้งที่กินไปเมื่อกี้อีกกี่ครั้ง กว่าจะหมดฤทธิ์ยา  สวัสดีปี2555

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 179 รู้เท่าทันการกินไข่ไก่แช่น้ำส้มสายชู

ในขณะนี้มีการเผยแพร่และส่งต่อในเว็บไซต์มากมายว่า ให้กินไข่ไก่สดแช่ในน้ำส้มสายชู เพราะเป็นศาสตร์การแพทย์แผนจีนโบราณ  มีคุณค่าต่อร่างกายมากมาย  กระแสความตื่นตัวเรื่องนี้มาจากไหน  เราลองมารู้เท่าทันกันเป็นศาสตร์การแพทย์แผนจีนจริงหรือ    ความเชื่อเรื่องประโยชน์ของน้ำส้มสายชู ไม่เพียงแต่เป็นศาสตร์การแพทย์แผนจีนเท่านั้น  ศาสตร์การแพทย์ดั้งเดิมทุกชาติทุกภาษาล้วนเชื่อว่าน้ำส้มสายชูมีประโยชน์ต่อร่างกาย  ในคัมภีร์เน่ยจิงของจีนกล่าวว่า “น้ำส้มสายชูหมักจากข้าวมีรสขม เปรี้ยว  และอุ่น  เมื่อรสขมและเปรี้ยวรวมกัน จะทำหน้าที่ระบายหรือลุ  จึงใช้เป็นทั้งอาหารและยาในการบำบัดรักษาโรคต่างๆ ได้แก่ ทำให้การไหลเวียนของเลือดดี ไม่อุดตัน  บำรุงพลังชีวิตของตับ ขับสารพิษ และประโยชน์อื่นๆ     ไข่แช่ในน้ำส้มสายชู ยังใช้เป็นอาหารและเครื่องดื่มที่ให้พลังและความแข็งแรงสำหรับนักรบซามูไรของญี่ปุ่น  โปรตีน วิตามินในไข่ จะถูกดูดซึมได้เป็นอย่างดี  เปลือกไข่ไก่หนึ่งฟองประกอบด้วยแคลเซียม 1,800 มิลลิกรัม   (เทียบเท่ากับนมวัวสดยูเอชที รสจืด 1.6 ลิตร.....ผู้เขียน)  ซึ่งคนไทยควรกินแคลเซียมวันละ 800 มิลลิกรัม  นอกจากนี้ในไข่ไก่ยังอุดมด้วยวิตามินดี ซึ่งทำให้กระดูกแข็งแรงและอายุยืนยาว  ปัจจุบัน คนญี่ปุ่นก็ยังนิยมดื่มไข่ไก่ที่แช่ในน้ำส้มสายชูจนเปลือกไข่ละลาย และตอกไข่ผสมกับน้ำส้มสายชูที่แช่ไข่นั้น เพราะถือว่าเป็นเครื่องดื่มชูกำลัง     ในการแพทย์ดั้งเดิมอื่นๆ ต่างเชื่อว่า น้ำส้มสายชูมีประโยชน์และใช้รักษาอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ปวดศีรษะ เจ็บคอ อ้วน เป็นต้น   เครื่องดื่มเก่าแก่และยอดนิยมของชาวเวอร์มอนต์ ในอเมริกา ก็ใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล 2 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ละลายในน้ำ 1 ถ้วย  พบว่าช่วยปรับน้ำปัสสาวะให้กลับมาเป็นภาวะกรด (ค่ากรดด่างของปัสสาวะปกติ เท่ากับ 4.6-8) อะไรเกิดขึ้นเมื่อไข่ไก่แช่ในน้ำส้มสายชู    เมื่อนำไข่ไก่แช่ในน้ำส้มสายชู จะเห็นฟองอากาศเกิดขึ้นที่เปลือกไข่ทั้งฟอง  ฟองอากาศเกิดจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาเนื่องจากปฏิกิริยาเคมีระหว่างกรดน้ำส้ม (น้ำส้มสายชู) และแคลเซียมคาร์บอเนตที่เปลือกไข่  กรดน้ำส้มจะละลายแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกไข่  กลายเป็นไอออนของแคลเซียมละลายอยู่ในน้ำส้มสายชู  ส่วนคาร์บอเนตจะกลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ที่เห็นเป็นฟองอากาศ  เปลือกไข่จะค่อยๆ หายไปภายใน 24-48 ชั่วโมง เหลือแต่เยื่อหุ้มไข่ที่หุ้มไข่ขาวและไข่แดงไว้ข้างใน     ดังนั้นในน้ำส้มสายชูที่แช่ไข่จะมีไอออนของแคลเซียมละลายอยู่  ซึ่งเป็นแหล่งแคลเซียมที่สำคัญสำหรับร่างกาย  เมื่อฉีกเยื่อหุ้มไข่ออก ไข่ขาวและไข่แดงก็จะไปผสมกับน้ำส้มสายชูที่มีแคลเซียมของเปลือกไข่ละลายอยู่  เราจึงได้ประโยชน์ไข่ไก่สด  แคลเซียม  และน้ำส้มสายชู ไปพร้อมๆ กัน     นับเป็นความชาญฉลาดของบรรพบุรุษ และการแพทย์ดั้งเดิมที่ได้ค้นพบอาหารบำรุงร่างกาย    ประเทศไทยต้องเสียเงินมากมายในการซื้อยาเม็ดแคลเซียมเพื่อให้กับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์  ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน  และผู้สูงอายุ  นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้มีการกินนมวัวเพื่อให้ได้แคลเซียมจากนมวัว  เท่านี้ยังไม่พอ มีการใส่แคลเซียมลงในนมเพื่อให้เป็นไฮแคลเซียมอีกด้วย  ราคาก็สูงขึ้นตามค่าโฆษณา  แต่เรากลับละเลยภูมิปัญญาดั้งเดิมที่สามารถหาแหล่งแคลเซียมราคาถูก  และสามารถทำเองได้  ไม่ว่าจะจากอาหารพื้นบ้าน  สมุนไพรบางชนิด  รวมถึงแคลเซียมจากเปลือกไข่     เรื่องไข่แช่ในน้ำส้มสายชูเป็นตัวอย่างภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ดี   เราสามารถประยุกต์และพัฒนาการดึงแคลเซียมจากเปลือกไข่ในน้ำส้มอื่นๆ  น้ำมะนาว  น้ำมะขาม  และนำมาใช้เป็นน้ำส้มไฮแคลเซียม แข่งกับนมไฮแคลเซียมบ้าง     ที่สำคัญ ต้องล้างทำความสะอาดเปลือกไข่เป็นอย่างดี  เพื่อไม่ให้มีเชื้อโรคปนเปื้อนในน้ำส้มสายชู                                    

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 176 รู้เท่าทันวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่

เมื่อเร็วๆ นี้ มีการสอบถามกันจากเพื่อนๆ ทางไลน์และเฟสจำนวนมากว่า มีการชักชวนทางเว็บไซต์ให้ผู้สูงอายุไปฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เข็มละ 2,000 บาท ฉีดครั้งเดียวสามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้ตลอดชีวิต และมีการกล่าวอ้างให้ไปฉีดที่สภากาชาดไทย (ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวมีบริการฉีดวัคซีนประเภทต่างๆ จำนวนมาก)”  สามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้ตลอดชีวิตจริงหรือไม่  ถ้าจริงก็ยินดีที่จะเสียเงินเพราะคุ้มเนื่องจากไม่ต้องฉีดทุกปีเหมือนวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ฉีดให้ฟรีตามโรงพยาบาลต่างๆ       การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้จริงหรือไม่  ฉีดครั้งเดียวป้องกันได้ตลอดชีวิตจริงหรือไม่  เรามารู้เท่าทันวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่กันดีกว่า     จาการสืบค้นการทบทวนงานวิจัยใน PubMed และ Cochrane Library พบว่ามีการทบทวนประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่อย่างเป็นระบบ ดังนี้     ใน PubMed มีการตีพิมพ์บทความการทบทวนประสิทธิผลและประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่อย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์อภิมาณ(meta-analysis) โดยคัดกรองบทความ 5,707 บทความ พบบทความที่เกี่ยวข้อง 31 บทความ  พบว่า  ประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตาย (trivalent inactivated vaccine) แสดงผลใน 8 (67%) จาก 12 ฤดู (ผลรวมของประสิทธิผล 59% ในผู้ใหญ่อายุ 18-65 ปี และผลการป้องกันดังกล่าวจะลดลงอย่างมากหรือไม่มีผลเลยในบางฤดู  และยังไม่มีหลักฐานที่ดีพอในการป้องกันไข้หวัดใหญ่ในผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป  ประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็น (live attenuated influenza vaccine) แสดงผลใน 9 (75%) จาก 12 ฤดู  (ผลรวมของประสิทธิผล 83% ในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 7 ขวบ  ในเด็กที่อายุมากกว่านี้จะได้ผลน้อยลง  จึงจำเป็นที่จะต้องพัฒนาวัคซีนแบบใหม่ที่มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพที่รับรองแล้วในการลดการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตจากไช้หวัดใหญ่     ใน Cochrane Library ได้มีการทบทวนเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในงานวิจัยต่างๆ จำนวนมาก ทั้งในห้องสมุดคอเครน, MEDLINE (1966-2009) EMBASE (1974-2009)  และ Web of Science (1974-2009)  พบว่า  จากหลักฐานงานวิจัยต่างๆ ที่คัดกรองเข้ามาศึกษา 75 บทความ  บทความเหล่านี้มีคุณภาพการศึกษาที่ไม่ดีพอและไม่ยืนยันเกี่ยวกับความปลอดภัย ประสิทธิผล หรือประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นวัคซีนแบบเชื้อตายที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่  ในผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป   จึงควรที่จะมีการศึกษาแบบสุ่ม และมีกลุ่มควบคุม โดยทำการศึกษาในระยะเวลาหลายฤดู เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนและเชื่อถือได้     สรุปว่า ในขณะนี้ยังไม่หลักฐานทางการแพทย์หรือการวิจัยที่ดีพอ ที่จะยืนยัน นั่งยันได้ว่า วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายสามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่ในผู้สูงอายุได้อย่างจริงจัง ได้ผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  และในบางฤดูกาลกลับได้ผลน้อยหรือไม่ได้ผลเลย  ยกเว้นวัคซีนชนิดเชื้อเป็นจะได้ผลในเด็กเล็กก่อน 7 ขวบเท่านั้น  จึงควรที่ผู้สูงอายุจะกลับมาที่การดูแลสุขภาพตนเอง  ออกกำลังกายให้แข็งแรง  ป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่จากผู้อื่น จะเป็นสิ่งที่ได้ผลมากกว่าการฉีดวัคซีน    คงต้องเพิ่มอีกข้อในกาลามสูตรว่า อย่าเชื่อเพราะไลน์หรือเฟสส่งต่อกันมา (มา อนุสฺสเวน)  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 166 รู้เท่าทันวิตามินซีกับไข้หวัดธรรมดา

ฤดูหนาวเริ่มมาถึงแล้ว เด็กๆ ผู้สูงอายุ แม้กระทั่งคนหนุ่มสาวมีโอกาสที่จะเป็นไข้หวัดธรรมดาได้ง่าย  มีคนถามกันมากว่า การกินวิตามินซีขนาดสูงจะช่วยป้องกันและรักษาไข้หวัดธรรมดาได้หรือไม่  จึงลองสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ของ Cochrane (ซึ่งเป็นเครือข่ายอิสระของบุคลากรด้านสุขภาพ นักวิจัย ผู้ป่วยและอื่นๆ ที่ร่วมกันทำหลักฐานเชิงประจักษ์จากงานวิจัยต่างๆ เพื่อเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพ    Cochrane เป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ มีเครือข่ายกว่า 120 ประเทศที่ทำงานร่วมกันเพื่อผลิตสารสนเทศทางด้านสุขภาพที่เชื่อมั่นได้และเข้าถึง โดยปราศจากการสนับสนุนจากธุรกิจและองค์กรอื่นๆ ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน)  ในการทบทวนของ Cochrane เกี่ยวกับวิตามินซีในการป้องกันและรักษาไข้หวัดธรรมดา มีเนื้อหาที่น่าสนใจ จึงขอนำมาเสนอดังต่อไปนี้ ไข้หวัดธรรมดาเป็นสาเหตุสำคัญของการเจ็บป่วยที่ทำให้เด็กต้องขาดเรียน ผู้ใหญ่ต้องขาดงาน ที่สำคัญคือผู้สูงอายุนั้นอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจนถึงขั้นเสียชีวิตได้  มีไวรัสกว่า 200 ชนิดที่ทำให้เกิดไข้หวัดธรรมดา มีอาการต่างๆ ได้แก่ คัดจมูก น้ำมูกไหล เจ็บคอ ไอ และอาจมีอาการปวดศีรษะ ไข้ ตาแดง  อาการของไข้หวัดนั้นแตกต่างกันตามแต่ละคน และแต่ละชนิดของไข้หวัด  เนื่องจากไข้หวัดธรรมดานั้นเกิดจากเชื้อไวรัส การกินยาปฏิชีวนะจึงไม่เกิดประโยชน์ ดังนั้นจึงมีการหาวิธีการรักษาทางเลือกอื่นๆ อย่างมากมาย มีการนำวิตามินซีมาใช้ในการรักษาภาวะติดเชื้อทางเดินหายใจ ตั้งแต่มีการแยกสารวิตามินซีออกมาได้ในทศวรรษค.ศ. 1930  ต่อมาในทศวรรษค.ศ. 1970 เกิดความนิยมในการใช้วิตามินซีในการรักษาไข้หวัดธรรมดาอย่างมากมายเมื่อ ลีนัส พอลลิ่ง ซึ่งได้รับรางวัลโนเบิล สรุปผลจากการทดลองใช้วิตามินซีแบบมีกลุ่มควบคุมว่า วิตามินซีสามารถป้องกันและบรรเทาไข้หวัดธรรมดาได้  หลังจากนั้นมีการทำการศึกษาทดลองตามมากว่า 20 การศึกษา  วิตามินซีจึงถูกขายและใช้เป็นสารป้องกันและรักษาไข้หวัดอย่างแพร่หลาย   การทบทวนนี้จำกัดเฉพาะการศึกษาทดลองใช้วิตามินซีขนาด 0.2 กรัมต่อวัน หรือมากกว่าการกินวิตามินซีสม่ำเสมอไม่มีผลกระทบต่ออุบัติการณ์ของไข้หวัดธรรมดาในประชากรทั่วไป โดยทบทวนจากการศึกษาเปรียบเทียบจำนวน 29 รายงาน ครอบคลุมประชากร 11,306 ราย  อย่างไรก็ตาม การกินเสริมเป็นประจำมีผลพอควรแต่ชัดเจนในการลดระยะเวลาการเป็นไข้หวัดธรรมดา จากฐานการศึกษาเปรียบเทียบ 31 รายงานและมีการเกิดไข้หวัดธรรมดา 9,745 ครั้ง   การทดลอง 5 รายงาน ในประชากร 598 รายที่ออกกำลังกายระยะสั้นอย่างหนัก (ได้แก่ นักวิ่งมาราธอน นักเล่นสกี)  พบว่า วิตามินซีลดความเสี่ยงของไข้หวัดใหญ่ลงครึ่งหนึ่ง  แต่ไม่มีการรายงานเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวิตามินซี   การทดลองให้วิตามินซีในขนาดสูงเพื่อเป็นการรักษา โดยเริ่มให้เมื่อเกิดอาการ พบว่า ไม่มีผลกระทบที่ชัดเจนเกี่ยวกับระยะเวลาในการเป็น หรือความรุนแรงของไข้หวัดธรรมดา  อย่างไรก็ตาม มีการทำการทดลองเพียงสองสามรายงานเท่านั้น และไม่มีการศึกษาในเด็ก แม้ว่าผลกระทบในการป้องกันไข้หวัดธรรมดาในเด็กจะมีมากกว่าวัยอื่น  มีการทดลองขนาดใหญ่หนึ่งการทดลองในผู้ใหญ่ รายงานผลดีในการให้วิตามินซี 8 กรัมซึ่งเป็นขนาดในการรักษาเมื่อเริ่มเกิดอาการ  และมีการทดลอง 2 รายงานที่ให้กินวิตามินซีเสริมเพื่อการรักษาเป็นเวลา 5 วัน และพบว่าเกิดประโยฃน์  มีความจำเป็นที่จะต้องทำการทดลองเพิ่มขึ้นเพื่อตัดสินบทบาทในการรักษาไข้หวัดธรรมดาที่เป็นไปได้ของวิตามินซี ซึ่งจะต้องให้ทันทีเมื่อเกิดอาการ ดูเพิ่มเติมใน: http://summaries.cochrane.org/CD000980/ARI_vitamin-c-for-preventing-and-treating-the-common-cold#sthash.NdamaOV4.dpuf  

อ่านเพิ่มเติม >