ฉบับที่ 254 ความเคลื่อนไหวเดือนเมษายน 2565

นายกฯ สั่งปฏิรูปรถเมล์ไทย         5 เมษายน นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญและติดตามความคืบหน้าของโครงการจัดหารถโดยสารพลังงานสะอาดเพื่อมาให้บริการประชาชนในกรุงเทพฯ ซึ่งทางกระทรวงคมนาคมคาดการณ์ว่า “จะสามารถให้บริการได้ภายในเดือนสิงหาคม 2565”  โดยการปฏิรูปรถเมล์ครั้งนี้ ต้องการให้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะยกระดับมาตรฐานบริการรถโดยสารประจำทาง ซึ่งกรมการขนส่งทางบก จะมีการประเมินผลการประกอบการด้วยดัชนีชี้วัด 12 ข้อ ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ รถโดยสารใหม่จะต้องมี GPS  CCTV หรือระบบ E-Ticket เก็บข้อมูลผู้โดยสาร ใช้บริการมากน้อยแค่ไหน ช่วงเวลาไหนผู้โดยสารแน่นหรือคนน้อย หรือช่วงไหนรถติด โดยข้อมูลจะถูกนำมาประมวลผลและวิเคราะห์ด้วยระบบ AI ทำให้สามารถปรับปรุงแก้ไขปัญหาการให้บริการได้อย่างรวดเร็ว โฟม-พลาสติกใช้ครั้งเดียว ห้ามนำเข้าอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช         ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เรื่อง ห้ามนำภาชนะที่ทำด้วยโฟมและบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้ง นำเข้าเขตอุทยานแห่งชาติ  ทั้งนี้เพื่อเป็นการสงวน อนุรักษ์ คุ้มครองดูแลรักษา ทรัพยากรธรรมชาติ ป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อปะการัง ระบบนิเวศ และเป็นการควบคุมลดปริมาณขยะในอุทยานแห่งชาติ จึงมีประกาศ ดังนี้         ห้ามนำภาชนะที่ทำด้วยโฟม และบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดใช้ครั้งเดียว ได้แก่ พลาสติกหูหิ้ว ความหนาน้อยกว่า 36 ไมครอน กล่องบรรจุอาหารพลาสติก แก้วพลาสติก (แบบบางใช้ครั้งเดียว) หลอดพลาสติก และช้อน-ส้อมพลาสติก เข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติ หากผู้ใดฝ่าฝืนมีความผิดตามมาตรา 20 ประกอบมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติ อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท (มีผล 6 เมษายน 2565 เป็นต้นไป)  ตำรวจสอบสวนกลางเตือนภัย “มิจฉาชีพ แอบอ้างเป็นบริษัทเงินกู้”         ตำรวจสอบสอบสวนกลาง ได้โพสต์เตือนภัย โดยมีข้อความระบุว่า ปัจจุบันเราจะพบเห็นกลุ่มมิจฉาชีพหลากหลายกลุ่มใช้กลลวงต่างๆ หลอกลวงประชาชน เพื่อให้ได้ไปซึ่งข้อมูลส่วนตัวต่างๆ รวมไปถึงทรัพย์สินของมีค่าของประชาชน ตำรวจสอบสวนกลางจึงขอประชาสัมพันธ์เตือนภัยให้ทราบถึงรูปแบบหนึ่งของมิจฉาชีพที่จะแอบอ้างเป็นบริษัทให้บริการเงินกู้ หลอกเอาข้อมูลส่วนตัวของท่านไป เพื่อนำไปใช้ในการถอนเงินในบัญชี ซึ่งมิจฉาชีพจะติดต่อผ่านช่องทาง SMS Line Facebook หรืออื่นๆ และแอบอ้างเป็นบริษัทให้บริการเงินกู้ หลอกลวงให้โอนค่าธรรมค้ำประกัน หลอกเอาข้อมูลส่วนตัว เลขหน้า-หลังบัตรประชาชน เลขหน้า-หลังบัตรเครดิต  วันเดือนปีเกิด หลังจากนั้นนำข้อมูลไปใช้เพื่อถอนเงินในบัญชี เพื่อความปลอดภัยเราควรตรวบสอบข้อมูลให้แน่ใจ ว่าบริษัทบริการเงินกู้นั้นได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจอย่างถูกต้องหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้ที่ https://bit.ly/3rW26VF   (เว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศ) หากพลาดโอนเงินให้มิจฉาชีพสามารถแจ้งความได้ที่สถานีตำรวจในท้องที่ หรือติดต่อได้ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โทร.1599 กรมอนามัยเผยคนไทยบริโภคน้ำตาลสูงเสี่ยงโรค NCDs          นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากข้อมูลสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย พบว่าปัจจุบันคนไทยกินน้ำตาลมากถึงวันละ 25 ช้อนชา มากกว่าปริมาณที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ คือไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา ซึ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs มากยิ่งขึ้น         สอดคล้องกับข้อมูลการศึกษาเครื่องดื่มที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ต่อพฤติกรรมการบริโภคของประชาชน โดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ปี 2562 ที่ระบุว่า โดยเฉลี่ยคนไทยดื่มเครื่องดื่มผสมน้ำตาล 3 แก้วต่อวัน โดยเฉพาะเด็กอายุ 6-14 ปี ซึ่งคือกลุ่มที่ดื่มเครื่องดื่มผสมน้ำตาลเฉลี่ยต่อสัปดาห์มากที่สุด  ทั้งนี้เครื่องดื่มผสมน้ำตาลที่ขายทั่วไปนั้น พบว่ามีปริมาณน้ำตาลสูงถึง 9-19 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร แต่ปริมาณที่เหมาะสมจริงๆ แล้วคือไม่ควรมีน้ำตาลเกินกว่า 6 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร อย่างไรก็ตามการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินน้ำตาลของคนไทย สามารถเปลี่ยนได้ โดยเริ่มจากการลดการดื่มเครื่องดื่มผสมน้ำตาลมาเป็นดื่มน้ำเปล่า 6-8 แก้วต่อวันแทน  และขอความร่วมมือจากภาคเอกชน ร้านเครื่องดื่ม ร้านกาแฟที่มีการจำหน่ายเครื่องดื่มผสมน้ำตาล ขอให้ช่วยกันในการคิดค้นหาเครื่องดื่มสูตรหวานน้อยจำหน่ายในร้าน เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนเลือกเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ ลดเสี่ยงการเกิดโรคเรื้อรัง ผู้บริโภคต้องการยกเลิกจองทัวร์ท่องเที่ยว “สามารถขอเงินคืนได้”          วันที่ 14 เมษายน 2565 นางนฤมล เมฆบรสุทธิ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายพิทักษ์สิทธิ์ผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้กล่าวว่า ช่วงเทศกาลสงกรานต์อาจมีผู้บริโภคที่จองทัวร์ท่องเที่ยวไว้ แต่ด้วยความที่ช่วงนี้สถานการณ์โควิด-19 มีแนวโน้มติดเชื้อสูงขึ้น ผู้บริโภคที่จองทัวร์สามารถใช้สิทธิของผู้บริโภคในการยกเลิกทัวร์ที่จองไว้ได้ ตามประกาศคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เรื่อง หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกำหนดอัตราการจ่ายเงินค่าบริการคืนให้แก่นักท่องเที่ยว พ.ศ. 2563 ในกรณีมีเหตุที่ทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางได้เฉพาะตัว ให้นักท่องเที่ยวแจ้งขอรับเงินค่าบริการคืนจากผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวต้องจ่ายเงินคืนในอัตรา ดังนี้  1. หากนักท่องเที่ยวแจ้งยกเลิกการเดินทางล่วงหน้าก่อน 30 วัน ให้คืนในอัตราร้อยละ 100 ของเงินค่าบริการ 2. ถ้านักท่องเที่ยวแจ้งยกเลิกการเดินทางล่วงหน้าก่อน 15 วัน ให้คืนในอัตราร้อยละ 50 ของเงินค่าบริการ 3. ถ้านักท่องเที่ยวแจ้งยกเลิกการเดินทางล่วงหน้าก่อนน้อยกว่า 15 วัน ไม่ต้องคืนเงินค่าบริการ กรณีมีเหตุให้ต้องยกเลิกนำเที่ยวตามที่ได้โฆษณาไว้ โดยไม่ใช่ความผิดผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว ให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวจ่ายค่าบริการคืนในอัตรา ร้อยละ 100 ขอเงินค่าบริการ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 220 ความเคลื่อนไหวเดือนมิถุนายน 2562

คนกรุงจ่ายค่ารถไฟฟ้าเฉลี่ย 28.30 บาท/เที่ยว        ผลการศึกษาจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เมื่อเปรียบเทียบต้นทุนการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะทางถนนและประเภทอื่นในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่า ผู้โดยสารไทยต้องควักเงินจ่ายค่าโดยสารระบบรถไฟฟ้าเฉลี่ยขั้นต่ำ 28.30 บาทต่อเที่ยว ซึ่งนับว่าแพงเกินไปกว่ากำลังซื้อของผู้มีรายได้น้อย ส่งผลให้ผู้ใช้บริการเป็นกลุ่มคนรายได้ปานกลางและรายได้สูง โดยอัตราค่าใช้จ่ายรถไฟฟ้าเฉลี่ยของคนกรุงอยู่ที่เดือนละ 1,000-1,200 บาท หรือคิดเป็นเงินกว่า 12,000 บาทต่อปี        ขณะที่ข้อสรุปค่าโดยสารต่อเที่ยวการเดินทาง พบว่า ไทยมีค่าโดยสารระบบรางสูงกว่าประเทศอื่น เทียบกับประเทศในภูมิภาค เช่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ รวมถึงไทยมีส่วนต่างค่าโดยสารระหว่างรถไฟฟ้ากับรถโดยสาร (รถเมล์) สูงที่สุด โดยค่าโดยสารต่อเที่ยวการเดินทางของไทยอยู่ที่ 2.14 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 67.10 บาท ทั้งนี้ เมื่อคิดค่าโดยสารเฉลี่ยต่อกิโลเมตรเดินทาง พบว่า ค่าโดยสารต่อ 1 กิโลเมตรของผู้โดยสารในไทยอยู่ที่ 0.478 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ หรือ 14.99 บาท สูงกว่าประเทศ อื่นๆ อย่างสิงคโปร์ ฮ่องกง และอังกฤษ  "เมื่อยล้าหมดไฟ” โรคที่ต้องได้รับการรักษา"        หลังองค์การอนามัยโลกกำหนดให้ภาวะเมื่อยล้าหมดไฟ(Burnout) เป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษาในทางการแพทย์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้แนะวิธีจัดการภาวะดังกล่าว หลักคือต้องจัดการสองด้าน ได้แก่ 1.ด้านการจัดการกับตัวเอง และ 2.การจัดการสภาพแวดล้อมในการทำงาน        1.ด้านการจัดการกับตัวเอง เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ นอนอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวัน, ผ่อนคลายอารมณ์ด้วยกิจกรรมอื่นๆ เช่น นอนดูหนัง ฟังเพลง หรือชอปปิ้ง เพื่อให้รางวัลกับตนเอง, พูดคุยขอคำปรึกษากับผู้อื่น ว่าคุณรู้สึกหมดแรงหรือเบื่อ หากมีอาการรุนแรงมากกว่าปกติ ต้องการความช่วยเหลือหรือสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้        2.คำแนะนำของ WHO ในการจัดการกับสิ่งแวดล้อมในการทำงาน โดยการปรับสิ่งแวดล้อมในการทำงานให้มีความรู้สึกทางบวกมากขึ้น ซึ่งต้องอาศัยวิสัยทัศน์และนโยบายของผู้บริหาร เช่น สร้างเป้าหมายเส้นทางอาชีพให้พนักงานอย่างชัดเจน สร้างการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของพนักงาน นโยบายดูแลสุขภาพกายและใจของพนักงาน เพื่อช่วยเหลือและดูแลอย่างเหมาะสม        ลักษณะอาการที่เข้าข่ายภาวะเมื่อยล้าหมดไฟที่เกิดขึ้นจากการทำงาน คือ 1.รู้สึกหมดไฟ เหนื่อยล้า พลังชีวิตหดหาย 2.มีความรู้สึกไม่อยากทำงาน ต้องการมีระยะห่างจากงานหรือมีทัศนคติเชิงลบต่องาน 3.ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ซึ่งลักษณะอาการดังกล่าวเป็นผลมาจากความเครียดในการทำงานหรือการทำงานไม่ประสบผลสำเร็จตามที่คาดการณ์ไว้ อาจทำให้เสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้าสูงขึ้น ประกันสังคมเตรียมแก้กฎหมายเก็บเงินสมทบแบบขั้นบันได        สำนักงานประกันสังคม เตรียมพิจารณาแก้กฎหมาย พ.ร.บ.ประกันสังคมอีกรอบ โดยให้เก็บเงินสมทบแบบขั้นบันได คือ ค่อยๆ ขยายเพดานเงินเดือนสูงสุดในการคำนวณเงินสมทบ คาดว่าภายในระยะเวลา 5 ปี จะสามารถเก็บเงินสมทบได้เดือนละ 1,000 บาท ตามเป้าหมาย        นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาได้แก้ไขร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม เพื่อให้มีการเก็บเงินสมทบเพิ่มโดยขยายเพดานจากเดือนละ 750 บาท เป็นเดือนละ 1,000 บาท เพื่อให้มีเงินไปเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านต่างๆ และทำให้เพิ่มเงินบำนาญหลังเกษียณ แต่หลังจากที่มีการนำไปรับฟังความเห็นมาแล้วพบว่า มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จึงยังไม่ได้เดินหน้าต่อ แต่ไม่ได้ล้มเลิก ขณะนี้กำลังพิจารณาเรื่องการเก็บเงินสมทบแบบขั้นบันได อย่างไรก็ตามอาจจะต้องดูนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานคนใหม่และรัฐบาลชุดใหม่อีกครั้งว่าเป็นไปในแนวทางเดียวกันหรือไม่        เหตุที่ต้องเก็บเงินสมทบเพิ่ม สปส.ระบุว่า “สปส.เริ่มเก็บเงินสมทบ 5% โดยคำนวณจากฐานเงินเดือนต่ำสุดที่ 1,650 บาท สูงสุดอยู่ที่ 15,000 บาท ทำให้มีการเก็บเงินสมทบสูงสุดอยู่ที่ 750 บาทต่อเดือน ซึ่งเก็บอัตรานี้มาตั้งแต่ปี 2533 ถึงปัจจุบันโดยไม่ได้เก็บเพิ่มเลย ขณะที่แต่ละปีมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ต่างๆ มากขึ้นรวมถึงสิทธิประโยชน์อีกหลายอย่างที่มีการเรียกร้องกันอยู่ นอกจากนี้ ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประกันสังคมเริ่มเข้าสู่ช่วงจ่ายเงินบำนาญให้ผู้ประกันตน มีการคาดการณ์ว่า หากไม่เก็บเพิ่มในปี 2579 จะทำให้เงินเข้ากองทุนน้อยกว่าเงินที่ต้องจ่ายออก กระทบกับเสถียรภาพของกองทุน"พาณิชย์"ส่งตำรวจดำเนินคดีโรงพยาบาลเอกชนโขกค่ารักษา-ค่ายา"        "พาณิชย์"ส่งตำรวจดำเนินคดีโรงพยาบาลเอกชน เคสคิดค่ารักษาพยาบาลอาการท้องเสีย 3 หมื่น และค่ายาแพงเกินจริงแล้ว ในข้อหาค้ากำไรเกินควร พร้อมเดินหน้าทำฐานข้อมูลราคาเวชภัณฑ์และบริการทางการแพทย์ หลังทำข้อมูลราคายาเสร็จแล้ว        ทางกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า เคสดังกล่าวผู้ป่วยมาด้วยอาการท้องเสีย การคิดราคาถึง 3 หมื่น เป็นการรักษาที่มากเกินกว่าความจำเป็น และมีการคิดราคาเกินสมควร และกรณีค่ายา เมื่อเปรียบเทียบกับราคาในบัญชียาที่อยู่ในบัญชีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิทุกที่ (UCEP) พบว่า มีการคิดราคาสูงเกินจริงมาก ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย จึงต้องส่งดำเนินคดี ส่วนที่กรณีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ออกมายืนยันว่าโรงพยาบาลเอกชนไม่ผิดนั้น ก็เป็นส่วนการดำเนินการของ สบส. เพราะกรมการค้าภายใน พิจารณาตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น        ขณะนี้กรมการค้าภายในยังได้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในวงการแพทย์ เช่น จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดทำฐานข้อมูลราคาเวชภัณฑ์ และบริการทางการแพทย์ให้เป็นระบบ ก่อนที่จะนำมาเผยแพร่บนเว็บไซต์ของกรมฯ ที่ www.dit.go.th เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบราคา และเปรียบเทียบราคาของโรงพยาบาลเอกชนแต่ละแห่งก่อนที่จะตัดสินใจเข้ารับการรักษาได้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ได้จัดทำฐานข้อมูลราคายาเสร็จสิ้น และพร้อมเผยแพร่บนเว็บไซต์ของกรมฯ แล้ว คาดว่าน่าจะทำให้แล้วเสร็จได้ภายใน 2-3 เดือน        สำหรับประชาชน ต่อไปหากพบว่าถูกคิดค่าใช้จ่ายในราคาสูงเกินจริง สูงกว่าที่มีการแจ้งราคาไว้กับกรมการค้าภายใน ก็สามารถร้องเรียนมาที่สายด่วน โทร 1569 หากตรวจสอบแล้วพบว่ามีคิดราคาสูงเกินจริง จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพ.ศ.2542 มีโทษจำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับห้างดังร่วมลดปัญหาขยะ งดแจกถุงพลาสติก และแพคเกจจิงโฟม        ขยะพลาสติกถือเป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกคนต้องร่วมกันแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะประเทศไทย ที่ติดอันดับประเทศที่ปล่อยขยะพลาสติกลงทะเลมากที่สุด เป็นอันดับ 6 ของโลก ด้วยปริมาณขยะพลาสติกกว่า 2 ล้านตันต่อปี ส่งผลให้ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้าต่างๆ เริ่มมีมาตรการในการช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และปริมาณขยะพลาสติกมากขึ้น        เริ่มที่ กลุ่มเซ็นทรัล ได้ผนึกกำลังกลุ่มธุรกิจในเครือ จัดแคมเปญ Central Love the Earth ‘Say No to Plastic Bags’ เพื่องดแจกถุงพลาสติกแก่ลูกค้าอย่างจริงจัง พร้อมประกาศเป็นห้างค้าปลีกรายแรกในไทยที่ปลอดถุงพลาสติกภายในปี 2562 โดยจะเริ่มปฏิบัติการนี้ในวันที่ 5 มิถุนายน 2562 นี้เป็นวันแรก พร้อมตั้งเป้าว่าปีนี้จะลดให้ได้กว่า 150 ล้านใบ        Tesco Lotus เริ่มรณรงค์งดแจกถุงพลาสติกแก่ลูกค้ามาแล้วตั้งแต่ปี 2553 โดยใช้วิธีการสร้างแรงจูงใจ ที่ว่าถ้าลูกค้าปฏิเสธไม่รับถุงพลาสติก หรือนำถุงผ้ามาชอปปิงเอง จะได้รับแต้มในคลับการ์ดเพิ่ม 20 แต้ม และได้มีการเพิ่มขึ้นจนในปัจจุบันเป็น 50 แต้ม และในปีนี้ก็ได้ประกาศยกเลิกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากโฟมทั้งหมด(100%) ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป        จากนโยบายของธุรกิจค้าปลีก อย่าง กลุ่มเซ็นทรัล ที่ตั้งเป้าจะลดการใช้ถุงพลาสติกให้ได้กว่า 150 ล้านใบ และเทสโก้ โลตัส ที่มีเป้าหมายลดแพคเกจจิ้งโฟม อีก 11.24 ล้านถาดในปีนี้ คาดว่าจะสามารถช่วยให้ประเทศไทยลดขยะพลาสติกและโฟมไปได้ถึง 161.24 ล้านชิ้นภายใน 1 ปี

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 196 มาส่องดูสารเคมีในโฟมล้างหน้ากัน

แม้หลายคนจะชื่นชอบการทำสะอาดผิวหน้าด้วยโฟมล้างหน้า เพราะรู้สึกว่าช่วยทำความสะอาดได้ดี ใช้งานง่ายและพกพาสะดวก แต่รู้ไหมว่า โฟมล้างหน้าก็สามารถสร้างความระคายเคืองให้ผิวหน้าได้เช่นกัน โดยอาจทำให้เกิดอาการแพ้ ผื่นแดงหรือเป็นสิว ซึ่งส่วนใหญ่มักมีสาเหตุจากส่วนประกอบบางชนิดที่อยู่ในโฟมนั่นเอง ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงอาสารวบรวม 31 ยี่ห้อโฟมล้างหน้ายอดนิยม จำนวน 34 ตัวอย่าง เพื่อมาตรวจสอบส่วนประกอบสำคัญบนฉลากที่สามารถส่งผลต่อการระคายเคืองผิวหน้าได้ว่าจะมีอะไรบ้าง ซึ่งผลทดสอบจะเป็นอย่างไร เราลองไปดูกันเลยผลการทดสอบจากโฟมล้างหน้า 34 ตัวอย่างที่นำมาทดสอบพบว่า ทุกยี่ห้อมีส่วนผสมที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวได้ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ดังนี้1.กลุ่มสารลดแรงตึงผิว ได้แก่ สารลดแรงตึงผิวประจุลบ คือ Sodium Lauryl Sulfate (SLS) และ Sodium Laureth Sulfate (SLES) และสารลดแรงตึงผิวสองประจุ ได้แก่ Cocamidopropyl Betaine สำหรับสารในกลุ่มนี้มีคุณสมบัติในการทำให้เกิดฟองและสามารถทำความสะอาดได้ดี ซึ่งสาร SLS จะมีความสามารถชำระล้างได้มากกว่าชนิดอื่น ทำให้อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ ผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายควรหลีกเลี่ยง2. กลุ่มสารที่เป็นส่วนประกอบของสบู่ ได้แก่ Potassium Hydroxide และ Sodium Hydroxideสาร 2 ชนิดนี้มีความเป็นด่างสูง ซึ่งอาจทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคืองได้   3. กรดไขมันและเกลือของกรดไขมัน ได้แก่ Potassium Myristate, Potassium Palmitate, Potassium Laurate, Potassium Oleate, Potassium Stearate, Stearate, Stearic acid, Palmitic acid, Lauric acid, Myristic acid สารในกลุ่มนี้เกิดจากการตกตะกอนกับสารในกลุ่มสบู่ ซึ่งอาจทำให้เกิดคราบไคลสบู่ตกค้างในรูขุมขน ส่งผลให้เกิดสิวอุดตันได้ง่าย 4. สารกลุ่มน้ำหอม คือ Perfume, Fragrance, Parfum อาจก่อให้เกิดอาการแพ้หรือคะคายเคืองในผู้ที่แพ้น้ำหอม 5. สารกลุ่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ Alcohol, Alcohol Denat, Benzyl Alcoholแอลกอฮอล์ประเภทนี้เป็นกลุ่มที่สร้างความระคายเคืองหรือกลุ่มที่ใช้ฆ่าเชื้อ โดยใช้เป็นส่วนผสมของยาทาผิว มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและเป็นสารกันบูดสารเคมีที่ผสมในโฟมล้างหน้าแน่นอนว่าโฟมล้างหน้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีจุดประสงค์เพื่อการชำระล้าง จึงจำเป็นต้องใส่สารเคมีที่สามารถขจัดสิ่งสกปรกบนผิวหน้าได้ อย่างไรก็ตามสารเคมีเหล่านั้นสามารถส่งผลต่อความระคายเคืองผิวได้เช่นกัน ซึ่งบางคนใช้แล้วอาจเกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้มาก ในขณะที่หลายคนอาจไม่เกิดอาการใดๆ เราจึงจำเป็นต้องตรวจสอบส่วนผสมหลักในโฟมล้างหน้าของแต่ละยี่ห้อก่อนใช้งาน เพื่อป้องกันอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นกับผิวหน้าของเรา ซึ่งมีดังนี้1. กลุ่มสารลดแรงตึงผิวสารลดแรงตึงผิว (Surfactant) เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเกือบทุกชนิด เพราะมีคุณสมบัติในการพาสิ่งสกปรกและไขมันให้หลุดออกได้ดีขึ้น ซึ่ง สารลดแรงตึงผิวที่สามารถสร้างความระคายเคืองให้กับผิวหน้าได้มากก็คือ สารลดแรงตึงผิวชนิดประจุลบ อย่าง Sodium lauryl sulfate (SLS) เพราะนอกจากจะให้ปริมาณฟองจำนวนมากแล้ว ยังมีคุณสมบัติในการทำความสะอาดได้รุนแรงกว่าชนิดอื่น ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ในบางคน ดังนั้นหากมีผิวบอบบางแพ้ง่ายควรหลีกเลี่ยงอย่างไรก็ตามสำหรับสารลดแรงตึงผิวประจุลบอีกชนิดที่ชื่อคล้ายกัน คือ Sodium Laureth Sulfate (SLES) ถือว่ามีความอ่อนโยนและรุนแรงน้อยกว่าสาร SLS แต่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นเดียวกันหากผสมอยู่ในปริมาณที่มากเกินไป สำหรับสารลดแรงตึงผิวอีกประเภทหนึ่งที่มักผสมในโฟมล้างหน้าคือ Cocamidopropyl Betaine ซึ่งเป็นสารลดแรงตึงผิวสองประจุนั้น พบว่าทำให้เกิดการระคายเคืองน้อยที่สุดและทำให้เกิดฟองน้อย แต่หากใช้ในปริมาณมากเกินไปอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ เพราะความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารในผลิตภัณฑ์และระยะเวลาที่ผลิตภัณฑ์สัมผัสร่างกายส่วนในกรณีที่เคยมีกระแสข่าวว่า สบู่เหลวที่มีส่วนผสมของสาร SLS ไปผสมกับสารประกอบตระกูลเอมิน (amine) แล้วสามารถกลายเป็นสารก่อมะเร็งนั้น นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ความเห็นว่า มีความเป็นไปได้ยากที่จะเกิดสารก่อมะเร็งจากสารเคมีดังกล่าว เพราะการที่สาร SLS จะสามารถทำปฏิกิริยากับสารตระกูลเอมินแล้วเกิดเป็นสารไนโตรซามิน จะต้องมีองค์ประกอบหรือสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น ต้องมีอุณหภูมิที่สูงกว่า 100C นอกจากนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก็ได้มีการติดตามตรวจสอบส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้ปลอดภัยอยู่เสมอ โดยกำหนดให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ มีการใช้สารลดแรงตึงผิวในปริมาณที่เหมาะสม ---2. กลุ่มสารที่เป็นส่วนประกอบของสบู่เนื่องจากการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ควรเลือกให้มีความเป็นกรด – ด่างใกล้เคียงกับผิวหน้า แต่หลายคนอาจบังเอิญไปใช้โฟมล้างหน้าที่มีความเป็นด่างมากเกินไป ซึ่งก็คือ การใช้สบู่ที่มาในรูปแบบของโฟมล้างหน้านั่นเอง ซึ่งกลุ่มสารที่เป็นส่วนประกอบของสบู่ ได้แก่ Potassium Hydroxide และ Sodium Hydroxide รวมถึงเบสอื่นๆ ของมัน ได้แก่ Myristate, Palmitate, Laurate, Oleate, Stearate นอกจากนี้การใช้โฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของกรดไขมัน ซึ่งเกิดจากการตกตะกอนกับสารในกลุ่มสบู่ ได้แก่ Stearic acid, Palmitic acid, Lauric acid, Myristic acid อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้เล็กน้อยในคนที่ไวต่อสารเคมี รวมทั้งสามารถเป็นสาเหตุให้เกิดสิวอุดตันได้ด้วย เพราะมีการตกค้างของคราบไคลสบู่ในรูขุมขนได้ 3. สารในกลุ่มแอลกอฮอล์และน้ำหอมแอลกอฮอล์ในเครื่องสำอางสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ กลุ่มที่ดีต่อผิวและกลุ่มที่สร้างความระคายเคือง เราจึงควรหลีกเลี่ยงกลุ่มสารที่สร้างความระคายเคืองหรือกลุ่มที่ใช้ฆ่าเชื้อ ได้แก่ Alcohol Denat, Benzyl Alcohol เพราะสามารถทำให้เกิดการผิวระคายเคืองผิว รวมทั้งทำให้ผิวสูญเสียน้ำและแห้งขึ้น ซึ่งนำไปสู่อาการแพ้หรือระคายเคืองได้ ส่วนคนที่มีแนวโน้มแพ้น้ำหอมในเครื่องสำอางง่ายก็ควรหลีกเลี่ยง โฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของ Perfume, Fragrance หรือ Parfum เพราะอาจก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองได้ 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 195 เลิกใช้โฟมล้างหน้าที่ผสมเม็ดบีดส์กันเถอะ

เม็ดบีดส์ในโฟมล้างหน้าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าหรือโฟมล้างหน้าหลายยี่ห้อ มักนำเม็ดบีดส์มาเป็นส่วนประกอบ เพราะมีคุณสมบัติในการขัดหรือทำความสะอาดสิ่งสกปรกบนผิวได้เป็นอย่างดี ซึ่งแน่นอนว่าหลายคนชื่นชอบและเลือกใช้เป็นประจำ แต่รู้หรือไม่ว่าเม็ดบีดส์เหล่านั้นสามารถส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อมได้เม็ดบีดส์หรือไมโครบีดส์ (Micro beads) หรือไมโครพลาสติก เป็นเม็ดสครับที่เกิดจากกระบวนการทางเคมี โดยส่วนใหญ่ผลิตจากพลาสติก ซึ่งไม่สามารถย่อยสลายทางชีวภาพได้ และด้วยขนาดที่เล็กมาก (ตั้งแต่ 10 ไมครอน หรือ 0.00039 นิ้ว – 1 มิลลิเมตร หรือ 0.039 นิ้ว) ทำให้หลังการชะล้างเม็ดบีดส์จิ๋วเหล่านี้ก็จะหลุดรอดจากการบำบัดสิ่งปฏิกูล เข้าสู่ทะเลหรือมหาสมุทรนำไปสู่มลภาวะทางน้ำ ทั้งยังมีคุณสมบัติในการดูดซับและปล่อยสารพิษอันตรายร้ายแรง เช่น PCBs (Polychlorinated biphenyls) ซึ่งเป็นกลุ่มสารเคมีหลักในการผลิตวัสดุ เช่น กาว สี สารกันรั่วซึม พลาสติกหรือน้ำมันหล่อลื่น นอกจากนี้ยังสามารถปนเปื้อนในห่วงโซ่อาหารได้อีกเช่นกัน เนื่องจากสัตว์น้ำต่างๆ จะพากันกินเม็ดบีดส์เหล่านี้เข้าไปและกระจายต่อกันเป็นทอดๆ ซึ่งในที่สุดก็จะย้อนกลับมาเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ซึ่งเป็นผู้บริโภคลำดับสุดท้ายนั่นเอง โดยหากเราได้รับเม็ดบีดส์เหล่านี้เข้าไปในร่างกายสม่ำเสมอ สามารถส่งผลให้ร่างกายอ่อนล้า คลื่นไส้อาเจียน แขนขาเปลือกตาบวมหรือเกิดความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ ระบบภูมิคุ้มกัน ทำลายระบบประสาทและมีแนวโน้มเป็นสารก่อมะเร็งได้ ทำให้หลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ประกาศห้ามจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลที่มีไมโครบีดส์เป็นส่วนประกอบแล้วอย่างไรก็ตามสำหรับในบ้านเรา แม้จะยังไม่มีกฎหมายห้ามผลิตหรือจำหน่ายเครื่องสำอางที่มีเม็ดบีดส์เป็นส่วนประกอบ แต่หลายองค์กรในประเทศก็ได้มีการตื่นตัวและเสนอให้หน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลโดยตรงอย่าง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เร่งออกมาตรการหรือข้อบังคับให้เลิกใช้เม็ดบีดส์ในการผลิตเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ชำระล้างทุกชนิดฉลาดซื้อฉบับนี้จึงอาสาช่วยเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมดังกล่าว ด้วยการสุ่มทดสอบผลิตภัณฑ์ล้างหน้าจำนวน 21 ยี่ห้อ 33 ตัวอย่างว่าเจ้าไหนจะมีเม็ดบีดส์เหล่านี้เป็นส่วนประกอบบ้าง เราลองไปดูกันเลย ข้อควรรู้เกี่ยวกับพลาสติกที่นิยมใช้ผลิตไมโครบีดส์ ชื่อเรียกของไมโครบีดส์ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาจแตกต่างกันไป ดังนี้ 1. Polyethylene (โพลีเอทิลีน)2. Polypropylene (โพลีโพรพิลีน)3. Polyethylene terephthalate (โพลีเอทิลีนเทเรพทาเลต)4. Polymethyl methacrylate (โพลีเมทิลเมทาไครเลต)5. *Acrylates (อะคริเลต)*จากการสำรวจและวิจัยของ CAP (Consumers Association of Penang) ประเทศมาเลเซีย ระบุว่าถ้าในผลิตภัณฑ์ เช่น ครีมอาบน้ำ โฟมล้างหน้า มีส่วนผสมของ Acrylates ก็หมายความว่ามีไมโครพลาสติกเป็นส่วนประกอบและส่วนผสมที่ยังเป็นคำถามว่าเข้าข่ายเป็นไมโครบีดส์หรือไม่ ได้แก่ • Alkyl methacrylates crosspolymer• Ammonium Acryloyldimethyltaurate / Carboxyethyl Acrylate Crosspolymer• Ammonium Acryloyldimethyltaurate/VP Copolymer• Cera Microcristallina• Dimethicone Crosspolymer• Dimethicone/vinyl dimethicone crosspolymer• Hydroxyethyl Acrylate/Sodium Acryloyldimethyl Taurate Copolymer• Lauryl Methacrylate/Glycol Dimethacrylate Cross polymer• Polyacrylamide• Polyquaternium-7, Styrene/Acrylates Copolymer• PPG-51/Smdi Copolymer• Sodium Acrylate/Acryloyldimethyl Taurate Copolymer• Sodium acrylates copolymer• Sodium polyacrylate• Styrene/Acrylates Copolymer• Taurate/Vp Copolymerที่มา Microplastics in personal care products . by Dr Sue Kinsey. Marine Conservation Societywww.masts.ac.uk/media/3443/sue_kinsey_mast2014mcs.pdf ฉลาดซื้อแนะการเลือกใช้สครับขัดผิวหน้าผู้บริโภคอย่างเราสามารถสวยแบบได้รักษ์โลกได้ ด้วยการร่วมมือกันเลิกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ส่วนประกอบของไมโครบีดส์ และหันมาเลือกใช้สครับที่ทำจากธรรมชาติอย่างเมล็ดของพืช เช่น ข้าวโอ๊ต เมล็ดแอปริคอท หรือแบบไทยๆ อย่างเกลือและมะขามเปียกแทน ผลการสำรวจจากตัวอย่างโฟมล้างหน้าที่นำมาตรวจสอบฉลากทั้งหมด 21 ยี่ห้อ 33 ตัวอย่าง พบว่ามี 9 ยี่ห้อ 12 ตัวอย่าง ที่ไม่มีส่วนผสมของไมโครบีดส์ ได้แก่ 1. ST.Ives Blemish control apricot scrub) 2. ETUDE HOUSE) Baking powder B.B. deep cleansing foam 3. SKINFOOD) Honey Flour Cleansing foam #Brightening 4. SMOOTH E Baby face scrub และ SMOOTH E สูตร White baby face scrub 5. NIVEA MEN Anti oil + white acne scrub 6. BIORE Pure smooth bright7. BIORE Facial foam deep detoxify8. BIORE Pore detox botanical beads 9. EUCERIN Dermo PURIFYER scrub10. BOOTS Tea tree & witch hazel with active charcoal deep cleaning facial scrub11. CLEAN & CLEAR Clear fairness cleanser ข้อสังเกต1. ยี่ห้อ Boots (บู๊ทส์) สูตร Tea tree & witch hazel with active charcoal deep cleaning facial scrub (ที ทรี แอนด์ วิช ฮาเซล วิธ แอคทีฟ ชาร์โคล ดีพ คลีนซิ่ง เฟเชียล สครับ) ระบุว่าผลิตในประเทศไทยโดย บริษัท เอส แอนด์ เจ เอนเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) แต่เลขที่จดแจ้งบนฉลาก คือ 10-2-5709283 ซึ่งจัดอยู่ในหมวดสินค้านำเข้า ขณะเดียวกันทาง บ.เอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ได้ชี้แจ้งมาว่า สินค้าตัวนี้ ผลิตเพื่อการส่งออก มีองค์ประกอบทุกตัว ทำตามข้อกำหนดของสำนักงานอาหารและยาของประเทศที่ส่งออก  และจดแจ้งเป็นสินค้าส่งออก ส่วนการนำเข้า มาจากลูกค้า จึงปรากฏเป็นตัวเลขตามที่อ้างถึงในนิตยสาร ถ้าตรวจสอบอย่างละเอียด ฉลากติดแนบกับขวดจะเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด และระบุว่า Made in Thailand เท่านั้น โดยไม่มีชื่อบริษัทผู้ผลิต ขณะที่นำเข้า จะต้องมีฉลากภาษาไทยติดทับ พร้อมเลขที่จดแจ้งการนำเข้า2. ยี่ห้อ Dr.Montri (ดร.มนตรี) สูตร Scrub&Oil control facial foam (สครับ แอนด์ ออยล์ คอนโทรล เฟเชียล โฟม) ระบุเลขที่จดแจ้งเกิน 10 หลัก คือ 10-1-5910003203ดาวน์โหลดตารางทดสอบแบบละเอียดได้ที่นี่

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 165 กล่องโฟม เลิกได้ไหม

ทำดีต้องชม     ก่อนอื่นขอชื่นชมการทำงานของ อย.  ณ  ยุคสมัยนี้  ที่กล้าหาญ  ออกมาประกาศชื่อสินค้าไม่ปลอดภัยกว่า 20  รายการ  นับว่ามีกระบวนการพัฒนาการทำงานที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคได้ระดับหนึ่ง   แต่ปัญหาเรื่องอาหารปลอดภัย  ยังมีเรื่องราวอีกมากมาย ที่รอการแก้ไขทั้งการโฆษณาหลอกลวง ทั้งกระบวนการผลิต ที่ผู้ผลิตขาดความรู้ความเข้าใจและอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคโดยที่ผู้ผลิตเองก็มิได้ตั้งใจต้นเดือน พฤศจิกายน  2557  ผู้เขียนได้เดินทางไปร่วมประชุมกับเครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดหนึ่ง ที่อยู่ใกล้ๆกับกรุงเทพฯ  น้องๆ บอกว่า  วันนี้อาหารว่างเป็นขนมไทย(อุ้ยดีใจ..ของชอบของเราเลย) ถึงเวลาน้องๆ ก็เอาขนมมาเสิร์ฟ    เห็นแล้วว่าเป็นขนมตะโก้เผือกอยู่ในกล่องโฟม   ไม่ทันดูให้ละเอียดตักกินเลย   คำแรกถึงกับอึ้ง  เพราะขนมที่กินเข้าไป กลิ่นโฟมฉุนมาก  เลยก้มไปดูในกล่อง   บอกตรงๆ เห็นแล้วตกใจ  เพราะไม่ใช่ขนมชิ้นๆ ตักใส่กล่องมาอย่างที่เคยเห็น    แต่เป็นการเอาขนมใส่นึ่งมาในกล่องเลยเราเชื่อว่าแม่ค้าคงเน้นความสะดวกเป็นหลัก  คงไม่ทันนึกว่าทำเช่นนี้ จะเกิดอันตรายต่อคนกินอย่างไร     แต่เรื่องนี้ในฐานะคนทำงานด้านสิทธิผู้บริโภค  เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องออกมาเตือนกัน   ไม่อย่างนั้นจะเกิดวัฒนธรรมเลียนแบบ   และจะก่อให้เกิดอันตรายต่อคนกินในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ งานนี้บอกตรง   หากใครจะใช้สิทธิ ร้องเรียน  น่าลำบากมากในการเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาดูแล  เพราะไม่รู้หน่วยงานไหนกันแน่ที่ดูแลเรื่องนี้     ถ้าเป็นอาหาร(ในบรรจุภัณฑ์สำเร็จรูป มีหีบห่อ) ก็รู้อยู่ว่า   อย. ดูแล  แต่ถ้าเป็นบรรจุภัณฑ์(ที่เป็นโฟม) สมอ. และ สคบ. ดูแล   แต่พอเอาอาหารมาใส่กล่องโฟม  เลยยุ่งๆ ไม่รู้ใครกันแน่ที่ต้องดูแลเรื่องนี้  เอาเป็นว่าหน่วยงานไหนก็ได้ ช่วยออกมาส่งเสียงเตือนทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค   ถึงอันตราย  ที่เรามองเห็นแต่ “ไม่รู้” ให้ได้รู้เพื่อป้องกันต่อไป  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 145 กระแสต่างแดน

  จากเนื้อม้าถึงอาวุธ หลายคนรู้แล้วว่าการบริโภคเนื้อม้านั้นไม่ได้เป็นอันตราย แม้จะเป็นเนื้อจากม้าแข่งที่ถูกฉีดยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบมาเป็นประจำ(ผู้รู้เขาบอกว่าเราจะได้รับอันตรายต่อเมื่อเรารับประทานเบอร์เกอร์เนื้อม้าขนาด 250 กรัม เข้าไปไม่ต่ำกว่า 500 ก้อน) แต่คุณรู้แล้วหรือยังว่าธุรกิจจัดหาเนื้อม้านั้นมีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายค้าอาวุธด้วย บริษัทที่ส่งเนื้อให้กับผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปในยุโรปได้แก่ บริษัท Draap Trading ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในไซปรัส แต่จดทะเบียนที่หมู่เกาะบริติช เวอร์จิน แหล่งเลี่ยงภาษียอดฮิตของชาวโลก   Draap Trading รับซื้อเนื้อม้าจากโรงฆ่าสัตว์ 2 แห่งในโรมาเนีย แล้วนำมาขายให้กับ Spanghero บริษัทแปรรูปอาหารสัญชาติฝรั่งเศส(ซึ่งเป็นประเทศที่มีการบริโภคเนื้อม้าเป็นปกติ) บริษัทนี้ขายเนื้อสัตว์แปรรูปให้กับบริษัท Comigel ซึ่งจะผลิตอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งจากโรงงานในลักเซมเบอร์กเพื่อป้อนให้กับแบรนด์ต่างๆ ที่ส่งสินค้าให้กับซูเปอร์มาร์เก็ตในอังกฤษ Draap Trading ถูกเปิดโปงว่ามีความสัมพันธ์กับบริษัท Guardstand ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทค้าอาวุธ Ilex Ventures ที่มีความเกี่ยวโยงกับนายวิคเตอร์ บูท ชาวรัสเซียที่ถูกจับได้ในเมืองไทยและถูกส่งตัวไปดำเนินคดีที่สหรัฐฯ เมื่อสามปีก่อนนั่นเอง   บาหลีรับมือขยะเทศกาล เทศบาลเมืองเดนปาซาร์แห่งเกาะบาหลี เตรียมหน่วยฉุกเฉินไว้รับมือกับขยะกองโต ที่จะปรากฏตัวขึ้นในเทศกาลปีใหม่แบบฮินดู หรือที่เรียกอีกอย่างว่า เทศกาล “เข้าเงียบ” ในวันธรรมดาๆ เดนปาซาร์จะมีขยะประมาณ 2,500 ลูกบาศก์เมตร อาจมีมากกว่านั้นบ้างในช่วงเทศกาลทางศาสนา แต่งานไหนก็มีขยะไม่มากเท่าเทศกาลปีใหม่หรือวันนเยปิ ซึ่งปริมาณขยะจะเพิ่มเป็น 6,000 ลูกบาศก์เมตร เพราะทุกๆ พิธีกรรมในเทศกาลนี้ล้วนแล้วแต่มี “พร็อพ” มากมาย ตามความเชื่อดั้งเดิมของชาวบ้านที่นั่น ตั้งแต่บรรณาการที่เตรียมไว้ถวายเทพเจ้า ขบวนแห่ หรือแม้แต่หุ่นไม้ไผ่ที่เป็นตัวแทนของปีศาจที่จะต้องถูกเผาทิ้ง ในพิธีต่อสู้กับสิ่งชั่วร้าย ปิดท้ายด้วยงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์ของคนในครอบครัวที่จัดใหญ่ เทศบาลฯ บอกว่าเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงความเชื่อดั้งเดิมของผู้คน จะมีก็แค่ขอความร่วมมือจากชาวบ้านให้ลดการใช้พลาสติกลงบ้าง หน่วยสวาทพิฆาตขยะที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่กวาดถนน 600 คน และพนักงานเก็บขยะอีก 1,000 คน จึงต้องออกปฏิบัติการรักษาความสะอาดของถนน 113 สาย ไปอย่างเงียบๆ ในเทศกาลเข้าเงียบอีกเช่นเคย     มาช้าต้องรับผิดชอบ ร้อยละ 80 ของเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการเดินทางขนส่ง คือปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้โดยสารเครื่องบิน  เพราะกฎระเบียบเดิมที่ใช้มา 8 ปี นั้นได้สร้างความสับสนให้กับผู้โดยสารจนเป็นเหตุให้ถูกผู้ประกอบการเอาเปรียบอยู่บ่อยๆ สหภาพยุโรปเลยมีข้อเสนอใหม่ว่าด้วยการชดเชยและการดูแลผู้โดยสารในกรณีที่เที่ยวบินล่าช้าหรือถูกยกเลิกมาให้สมาชิกทั้ง 27 ประเทศได้โหวตกัน เช่น สายการบินต้องแจ้งผู้โดยสารให้ทราบว่าเกิดปัญหาขึ้น ภายใน 30 นาทีหลังจากเวลาออกเดินทางที่ได้กำหนดไว้ ผู้โดยสารของเที่ยวบินที่ล่าช้าตั้งแต่ 2 ชั่วโมงขึ้นไป จะต้องได้รับการช่วยเหลือดูแลที่สนามบิน รวมถึงการได้รับอาหารและเครื่องดื่ม(ไม่ว่าจะเป็นเที่ยวบินไกลหรือใกล้) ถ้าเที่ยวบินล่าช้าเกิน 5 ชั่วโมง ผู้โดยสารสามารถยกเลิกเที่ยวบิน และขอเงินคืนได้ ในกรณีของผู้โดยสารต่อเครื่องที่พลาดเที่ยวบินถัดไปเพราะเที่ยวบินขาแรกเกิดการล่าช้า สายการบินจะต้องรับผิดชอบหาเที่ยวบินใหม่ของสายการบินอื่นให้ ในกรณีที่ไม่สามารถหาเที่ยวบินของตนเองให้ได้ภายใน 12 ชั่วโมง นับจากเวลาออกเดินทางตามตารางเดิม นอกจากนี้สายการบินจะต้องจัดการกับเรื่องร้องเรียนของผู้โดยสาร ภายในเวลา 1 สัปดาห์นับแต่ได้รับแจ้ง แต่ในกรณีเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมอย่างภูเขาไฟระเบิดที่ไอซ์แลนด์เมื่อ 3 ปีก่อน ที่มีเที่ยวบินในยุโรปถูกยกเลิกไปกว่า 100,000 เที่ยวนั้น เขาเสนอจำกัดความรับผิดชอบของสายการบินในการจ่ายค่าที่พักให้กับผู้โดยสารเพียง 3 คืนเท่านั้น ไม่แน่ใจว่าหลังจากนั้นผู้โดยสารต้องไปเช็คอินเข้าพักที่สนามบินหรือเปล่า     น้ำพอมีแต่ยังไม่มั่นคง ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชียเขาประเมินแล้วว่าหมู่เฮาชาวเอเชียแปซิฟิกยังขาดสิ่งที่เรียกว่า “ความมั่นคงทางน้ำ” ทั้งๆ ที่ภูมิภาคนี้ก็เป็นยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจ ปัจจุบันอัตราการเข้าถึงน้ำดื่มสะอาดของเอเชียอยู่ที่ร้อยละ 91 แต่หลายๆ เมืองในประเทศจีนและเกาหลีใต้ยังไม่มีน้ำใช้ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยปริมาณน้ำที่จำกัดจึงต้องเปิด/ปิดเป็นเวลา แต่ก็ยังดีกว่าที่จาการ์ตาเมืองหลวงของอินโดนีเซียที่มีน้ำใช้วันละ 18 ชั่วโมง หรือเชนไนทางตอนใต้ของอินเดียที่มีน้ำใช้วันละ 4 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าจะดูเรื่องความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติเช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง ดินถล่ม พายุ ของประเทศในกลุ่มนี้แล้วต้องขอบอกว่ามีหลายประเทศที่น่าเป็นห่วง เช่น บังคลาเทศ ทาจิกิสถาน วานัวตู เนปาล กัมพูชา และลาว ในขณะที่ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ เขาเตรียมตัวพร้อมอย่างยิ่ง รายงานระบุว่าเกือบร้อยละ 50 ของจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยภัยที่เกี่ยวกับน้ำ และร้อยละ 90 ของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยที่สืบเนื่องจากน้ำก็คือประชากรที่อาศัยอยู่ในเอเชีย ร้อยละ 80 ของแหล่งน้ำในภูมิภาคนี้อยู่ในสภาพที่จัดว่าเลวร้าย ที่สำคัญคือความต้องการอาหารและพลังงานที่เพิ่มขึ้นจะทำให้มันยิ่งเลวร้ายไปกว่าเดิม     โฟมแอนด์เดอะซิตี้ นายกเทศมนตรีเมืองนิวยอร์ค ไมเคิล บลูมเบิร์ก กลับมาอีกแล้ว คราวนี้เขามาด้วยขอเสนอห้ามร้านอาหารใช้ภาชนะโฟมบรรจุอาหารให้กับลูกค้า เป็นที่รู้กันดีว่าอเมริกันชนนั้นเขานิยมโทรสั่งอาหารมารับประทาน จึงมีการใช้ภาชนะโฟมกันไม่น้อย แต่ละปีมีขยะโฟมเหล่านี้กว่า 20,000 ตัน ซึ่งนอกจากจะไม่ย่อยสลายแล้วยังกินเนื้อที่ในการฝังกลบด้วย เทศบาลต้องจ่ายค่ากำจัดมันในราคาตันละ 600 บาท บลูมเบิร์กจึงเสนอให้มีการใช้กฎหมายห้ามขาดไปเลยแบบเดียวกับการประกาศห้ามใช้สีที่มีสารตะกั่วสำหรับบ้านพักอาศัยเมื่อปี ค.ศ. 1960 คงจะมีแรงต้านแน่นอนเพราะภาชนะที่จะนำมาใช้แทนโฟมนั้นราคาแพงกว่าถึง 2 – 5 เท่า แต่หลายๆ เมืองเช่น ลอสแองเจลิส ซานฟรานซิสโก ซีแอตเทิล หรือพอร์ทแลนด์ เขาก็แบนการใช้โฟมแล้ว บลูมเบิร์กบอกว่าเราจะไม่ใช้มันต่อไปในเมื่อ “ไม่มีมันเราก็อยู่กันได้ ... ไม่มีมันเราอาจจะอายุยืนขึ้นด้วย”   //

อ่านเพิ่มเติม >