ฉบับที่ 242 โซฟาซิปแตก ซ่อมแล้วไม่เหมือนซ่อม

        สินค้าหลายอย่างที่ชิ้นใหญ่ๆ ถ้าเกิดถึงคราวต้องซ่อมแซม มักจะสร้างความกังวลให้เราได้มาก เพราะมันยากต่อการเคลื่อนย้าย แล้วทีนี้เมื่อส่งซ่อมไปแล้วเมื่อได้ของกลับมา แต่พบว่า “อ้าว ร้านซ่อมไม่ตรงจุด” เราจะสามารถทำอะไรได้บ้างนะ         สายชล หนุ่มผู้รักการจัดบ้าน เขามักจะจัดบ้านปรับเปลี่ยนหรือเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้านบ่อยๆ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ บางทีก็ย้ายมุมโน้น ขยับมุมนี้อยู่เป็นประจำ บางครั้งเขาก็จะเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ใหม่ๆ เพื่อให้เข้ากับรูปแบบหรือมุมที่เขาจัด ซึ่งล่าสุดธีมที่เขาต้องการคือ ทำให้บ้านดูอบอุ่นขึ้น จึงเลือกซื้อโซฟา 2 ตัวติดกันเป็นรูปตัวแอล (L) ยี่ห้อหนึ่ง จากร้านเฟอร์นิเจอร์ดัง ซึ่งราคาเต็มคือ 55,000 บาท แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงโปรโมชั่นลดราคาเหลือ 36,000 บาทพอดี ทำให้ตัดสินใจไม่ยาก ซื้อทันทีเมื่อโซฟามาส่งสายชลก็ดีใจอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน เพราะเผอิญเขาเห็นว่าซิปด้านหลังโซฟาแตก จึงโทรศัพท์แจ้งร้านเฟอร์นิเจอร์เพื่อให้มารับไปซ่อม แต่ร้านบอกว่าเกินระยะเวลา 6 เดือนแล้ว จะต้องจ่ายค่าบริการ 500 บาท ซึ่งเขาก็ยินดีนะ ไม่ว่ากัน บอกให้ร้านค้ามารับโซฟาไปซ่อม พร้อมทั้งโอนเงินค่าบริการไปให้ด้วย ร้านค้ามารับเฟอร์นิเจอร์ไปและใช้ระยะเวลาในการซ่อมอยู่หลายวัน บ้านก็ดูโล่งๆ ไปนิด         และเมื่อทางร้านนำโซฟากลับมาส่ง สายชลดีใจได้แป๊บเดียว เขาก็พบปัญหาเดิม คือซิปโซฟายังแตกอยู่ ไม่สามารถรูดขึ้นรูดลงได้ เหมือนไม่ได้ซ่อมอะไรให้เลย เขาจึงแจ้งร้านค้าให้มารับไปซ่อมอีกรอบหนึ่ง แต่คราวนี้เขาสงสัยว่าถ้าเขาไม่พอใจที่ร้านซ่อมมาให้เป็นรอบที่ 2 เขาสามารถทำอะไรได้บ้างไหม แนวทางการแก้ไขปัญหา        กรณีสินค้าที่ส่งซ่อมได้รับการแก้ไขแล้ว เมื่อพนักงานนำกลับมาส่งให้แล้ว ผู้บริโภคควรตรวจสอบดูให้ละเอียดก่อนรับสินค้าว่ามันได้รับการแก้ไขตรงจุดหรือไม่ น่าพอใจหรือไม่ ถ้าไม่พอใจผู้ร้องสามารถคุยกับทางร้านค้าว่าสามารถจะเยียวยาผู้ร้องอย่างไรได้บ้าง เช่น ซื้อตัวใหม่โดยจ่ายเงินเพิ่มได้หรือไม่ หรือขอเงินคืนบางส่วนได้หรือไม่ หรือซ่อมใหม่ต้องไม่เสียค่าบริการเพิ่มอีก ซึ่งทางคุณสายชลอาจไม่ได้ระวังตรงนี้ในครั้งแรก แต่เมื่อสินค้านำกลับมาส่งครั้งที่สอง ควรตรวจดูให้ละเอียดว่าเป็นได้ตามที่ตั้งใจหรือไม่  ซึ่งต่อมาได้รับแจ้งจากคุณสายชลว่า ในครั้งที่สองนี้ เมื่อได้รับโซฟาคืนกลับมาแล้ว ผู้ร้องพอใจกับการซ่อมครั้งนี้ เพราะว่าร้านได้เปลี่ยนซิปใหม่ให้ทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณสายชลโอเคมาก เป็นอันว่าจบด้วยดี         อย่างไรก็ตามอยากฝากกับผู้บริโภคว่า เมื่อสินค้าที่ซื้อหรือซ่อมถูกนำมาส่งที่บ้าน ขณะรับสินค้าจากพนักงาน สิ่งแรกที่ผู้บริโภคควรทำคือตรวจเช็คสินค้าว่า มีตำหนิ มีรอยชำรุด เสียหายหรือเปล่า ถ้ามีควรรีบแจ้งทางร้านค้าทันที เพราะว่าถ้าไม่รีบแจ้งร้านค้าอาจจะอ้างได้ว่าความชำรุดนั้นเกิดจากผู้บริโภคเอง และไม่ยอมรับผิดชอบ จึงควรตรวจสอบให้ดีและเลือกซื้อสินค้าจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือ มีระบบบริการหลังการขายที่ดี

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 126 กระแสต่างแดน

  โชคดีที่ไม่ร้อนเงินเขาว่ากันว่าหน้าร้อนที่สหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ (ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกันยายน) อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 40 ถึง 50 องศาเซลเซียส ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่แปลกสำหรับประเทศที่ตั้งอยู่ในแถบตะวันออกกลาง  แต่ที่เป็นประเด็นก็เพราะผู้คนที่นี่เขาออกจะมีฐานะล่ำซำกันอยู่สักหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนที่อาศัยอยู่ในศูนย์กลางการค้าอย่างเมืองดูไบ ซึ่งประชากรประมาณ 2 ล้านคนของเขาไม่ยี่หระกับบิลค่าไฟฟ้าที่แพงลิบลิ่ว  คนส่วนใหญ่ในเมืองนี้นิยมเปิดเครื่องปรับอากาศที่บ้านไว้ตลอด 24 ชั่วโมง แม้ว่าตัวเองจะออกไปทำงานหรือไปทำธุระที่อื่น รวมๆ แล้วค่าเฉลี่ยการใช้พลังงานต่อหัวของคนที่ประเทศนี้เลยสูงติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก สูงกว่าการบริโภคไฟฟ้าต่อหัวของสเปนซึ่งมีประชากรถึง 47 ล้านคน ถึง 3 เท่า และสถิติการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหัวก็สูงกว่าคนอเมริกัน 2 เท่า เรียกว่า ร้อยละ 70 ของจากพลังงานที่ผลิตได้ถูกใช้ไปกับการทำความเย็นนี่เอง และเมื่อมีการบริโภคไฟฟ้าในเมืองดูไบสูงขนาดนั้น ไฟฟ้าในเขตอื่นๆ ของประเทศจึงอยู่ในภาวะติดๆ ดับๆ รัฐบาลเขาจึงออกมารณรงค์ให้เลิกพฤติกรรมดังกล่าว แต่ข่าวบอกว่ายังไม่ประสบผล คงจำกันได้ว่าตึกที่สูงที่สุดในโลกอย่างตึกเบิร์จ คาลิฟะห์ หรือที่เราเรียกกันว่าตึกดูไบเบิร์จ ก็อยู่ที่เมืองดูไบด้วย ตึกนี้ตึกเดียวก็ใช้ไฟฟ้าประมาณ 1 ใน 10 ของกำลังผลิตของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว นอกจากร้านรวงหรือสำนักงานต่างๆ แล้ว ในตัวตึกยังมีเนินสำหรับเล่นสกี ที่มีพื้นที่รวมกันทั้งหมดเท่ากับ 3 สนามฟุตบอล และต้องทำอุณหภูมิที่ – 8 องศาเซลเซียสตลอดเวลา เพื่อทำให้เกิดหิมะ นอกจากนี้ยังมีลานสเก็ตขนาดมาตรฐานโอลิมปิกที่ต้องทำความเย็นไว้รองรับผู้คนที่มาเยี่ยมเยือนวันละกว่า 150,000 คนด้วย ปัจจุบัน ร้อยละ 85 ของกระแสไฟฟ้าที่ใช้ในประเทศนี้มาจากก๊าซธรรมชาติ (ที่เหลือมาจากน้ำมัน) แต่เขากำลังมีแผนจะสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์กำลังผลิต 1,400 เมกะวัตต์ ทั้งหมด 4 เตา บนชายฝั่งของเมืองอาบูดาบีซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ และคาดว่าเตาแรกจะเริ่มใช้งานได้ในอีก 6 ปีข้างหน้า   ลุ้นโชครับลุคใหม่เกิดกระแสฮือฮากันไปทั่วในหมู่นักท่องราตรีเมืองผู้ดี เมื่อคลินิกศัลยกรรมแห่งหนึ่งประกาศจัดงานลุ้นรับบริการศัลยกรรมความงามมูลค่า 4,000 ปอนด์ (ประมาณ 200,000 บาท) ฟรี   งานที่ว่า ใช้ชื่องานว่า “My Big Fat Plastic Surgery” นี้เขาวางแผนจะจัดเดือนละครั้ง หมุนเวียนไปตามไนต์คลับในเมืองต่างๆ ทั่วสหราชอาณาจักร โดยเริ่มจากลอนดอนเป็นเมืองแรกแล้วก็ได้รับเสียงตอบรับท่วมท้น  แต่เมื่อข่าวนี้รู้ไปถึงหูของสมาคมศัลยกรรมเพื่อความงามของอังกฤษเข้า ทางสมาคมฯ ก็รีบออกมาสกัดดาวรุ่งว่าการจัดงานอย่างนั้นไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะการพึ่งมีดหมอเพื่อความงามนั้นเป็นสิ่งที่ควรจะผ่านการวางแผนไตร่ตรองมาอย่างถี่ถ้วน ไม่สมควรนำมาเป็นของรางวัลจากการจับฉลากลุ้นผู้โชคดี เพราะคนที่ได้รางวัลอาจจะไม่ได้มี “จุดบกพร่อง” อย่างแท้จริง อาจเพียงแค่ต้องการจะรักษาสิทธิก็ได้ ไหนๆ ก็ฟรีแล้ว   เพราะเพียงแค่เสียค่าบัตรผ่านประตูเข้าไนต์คลับ (ราคา 25 ปอนด์หรือประมาณ 1,200 บาท) คุณจะได้รับสิทธิร่วมลุ้นรับศัลยกรรมความงามฟรีโดยอัตโนมัติ และผู้โชคดีจะต้องปรากฏตัวขึ้นรับรางวัลทันที แต่ผู้จัดเขาบอกว่าไม่ได้เร่งรัดนะ แค่ให้ขึ้นไปรับรางวัลและถ่ายรูปเป็นหลักฐานเอาไว้ก่อน จากนั้นผู้โชคดีคนดังกล่าวก็จะมีเวลาไปขบคิดอีก 2 อาทิตย์ว่าจะให้หมอลงมีดอัพลุคตนเองที่ส่วนไหนดี ลาภจะได้ไม่กลายเป็นทุกขลาภไป  เรื่องนี้คงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันได้อีกพักใหญ่ เพราะข่าวบอกมาว่าการลุ้นรับโชคทำศัลยกรรมความงามฟรีนั้นกำลังเป็นที่นิยมมากในอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นในนิตยสาร ในอินเตอร์เน็ตก็นิยมให้คนมาร่วมสนุกด้วยวิธีนี้ หรือแม้แต่ “ล็อตเตอรี่ความงาม” ก็มีให้ซื้อกันแล้ว   โซฟา โซเฟคถ้าเราจะลงทุนซื้อของแบรนด์เนมทั้งที เราคงเลือกซื้อจากร้านที่ดูหรูหราน่าเชื่อถือกันหน่อย เพราะทางร้านเขาคงจะกลัวเสียชื่อจึงต้องคัดมาเฉพาะของแท้เท่านั้น …แต่มันจริงหรือ? ถ้าไปถามโทรทัศน์ CCTV ของประเทศจีนตอนนี้เขาคงจะตอบว่าไม่ เพราะเขาเพิ่งจะออกมาเปิดโปงร้านขายเฟอร์นิเจอร์ไฮโซแห่งหนึ่งว่า ในร้านนั้นมีทั้งเฟอร์นิเจอร์ที่นำเข้าจากอิตาลี และเฟอร์นิเจอร์ประทับตรา “นำเข้าจากอิตาลี” ที่ผลิตมาจากโรงงานแห่งหนึ่งทางภาคใต้ของจีนนี่เอง  ร้านที่ว่านั้นมีชื่อว่า ดาวินชี่ ซึ่งมีบริษัทแม่อยู่ที่สิงคโปร์ เป็นร้านที่เศรษฐีชาวจีนแผ่นดินใหญ่นิยมไปหาซื้อเฟอร์นิเจอร์แบรนด์หรู อย่างเวอซาเช่ หรือเฟนดิ ไปประดับบ้าน สนนราคาของสินค้าที่นี่เขาก็ไม่ธรรมดา ถ้าอยากได้เฟอร์นิเจอร์ชุดห้องนอนก็ต้องพกเงินไปประมาณ 100,000 เหรียญ (หรือประมาณ 3 ล้านบาท) ทีเดียว  มาดามดอริส พัว ซีอีโอของบริษัท ดาวินชี่ รีบออกมาแถลงข่าวทันที ว่าบริษัทถูกใส่ร้ายชัดๆ พูดไปก็ร้องไห้ไปน่าเห็นใจอย่างยิ่ง แต่วันเดียวกันนั้นเอง สถานีโทรทัศน์ CCTV ก็ออกข่าวการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ศุลกากรคนหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ ที่มีหลักฐานยืนยันว่าดาวินชี่ ไปเช่าโกดังเก็บเฟอร์นิเจอร์ไว้ในเขตการค้าเสรีไว่เกาเฉียว ในเซี่ยงไฮ้เอาไว้  ถ้าเก็บของที่ส่งเข้ามาจากต่างประเทศก็ไม่มีปัญหา แต่ที่เก็บอยู่นั้นมันเป็นเฟอร์นิเจอร์ “เมดอินไชน่า” ที่ถูกส่งมาพักเพื่อเปลี่ยนสถานภาพนั่นเอง  ในทางเทคนิคแล้ว สินค้าที่ถูกส่งไปเก็บในคลังที่เขตการค้าเสรีไว่เกาเฉียวนั้น ถ้ามันถูกเก็บไว้เกินหนึ่งวัน มันจะสามารถกลับออกมาพร้อมกับตราประทับว่าเป็นสินค้า “นำเข้า” ได้   กรุณางดกินตับอาหารเหลาเลื่องชื่อที่หลายคนใฝ่ฝันอยากลิ้มรสอย่าง ฟัวกราส์ ได้กลายเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมนีเข้าแล้ว เมื่อผู้จัดงานเทศกาลอาหารอานูกา ที่จะจัดขึ้นที่เมืองโคโลจน์ ทางตะวันตกของประเทศเยอรมนีในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ประกาศว่าปีนี้จะไม่มีการเสิร์ฟฟัวกราส์ (ที่เราเรียกกันว่า “ตับห่าน”) ในงานเด็ดขาด ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามข้อเรียกร้องของกลุ่มพิทักษ์สัตว์ที่ไม่เห็นด้วยกับการได้มาซึ่ง “ตับ” ที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติถึง 10 เท่า ด้วยกรรมวิธีที่ออกจะโหดร้ายไปหน่อย บรรดาเป็ดหรือห่านอับโชคพวกนี้จะถูกขังในกรงแคบๆ จนไม่สามารถขยับปีกได้ แล้วก็จะถูกบังคับ  ป้อนอาหารตลอดเวลา ผ่านทางหลอดให้อาหารที่สอดผ่านจงอยปากของพวกมันเข้าไปโดยตรงเพื่อให้ ตับของพวกมันโตไวๆ  แต่กระทรวงเกษตรของฝรั่งเศสเขารับไม่ได้ งานใหญ่ขนาดนี้จะไม่ให้นำเสนอตำรับอาหารเลื่องชื่อของตนเองได้อย่างไร ว่าแล้วรัฐมนตรีเกษตรของเขาจึงทำจดหมายไปขอร้องให้เยอรมนีทบทวนการตัดสินใจอีกครั้ง มิเช่นนั้นจะเขาจะบอยคอตด้วยการไม่เข้าร่วมพิธีเปิด แต่ทางรัฐบาลเยอรมนีตอบกลับไปว่าเรื่องนี้มันต้องแล้วแต่ผู้จัดงานเขา รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้  ความจริงแล้วปีนี้สหภาพยุโรปเริ่มใช้กฎเกณฑ์ในเรื่องการเลี้ยงเป็ดหรือห่านเพื่อเป็นวัตถุดิบของฟัวกราส์แล้ว แต่องค์กรพิทักษ์สัตว์เขาบอกว่ามีเพียงร้อยละ 15 ของฟาร์มในฝรั่งเศส (ซึ่งเป็นผู้ผลิตร้อยละ 75 ของฟัวกราส์ทั้งหมดในโลก) เท่านั้นที่เลี้ยงตามเกณฑ์ดังกล่าว หมายเหตุ ที่เรียกกันว่า “ตับห่าน” นั้นคงจะไม่ตรงความจริงเท่าไรนัก เพราะสถิตระบุว่าในการผลิตฟัวกราส์ ของฝรั่งเศสในแต่ละปีเขาจะใช้เป็ดประมาณ 37 ล้านตัว ในขณะที่ใช้ห่านเพียง 7 แสนตัวเท่านั้น  น้ำมันปาล์มต้อง (โปร่ง) ใสปาล์มน้ำมันก็เป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่ง ที่กลุ่มนักอนุรักษ์กำลังจับตาดูเป็นพิเศษ   คนออสเตรเลียกำลังลุ้นว่าร่างกฎหมายที่กำหนดให้มีการระบุลงว่าส่วนผสมในอาหารที่เรียกว่า “น้ำมันพืช” นั้นจริงๆ แล้วเป็นน้ำมันจากพืชชนิดใด จะผ่านการยอมรับโดยสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่  ผู้ที่รณรงค์ให้เกิดกฎหมายนี้บอกว่า คนออสซี่นั้นบริโภคน้ำมันปาล์มเฉลี่ยคนละ 10 กิโลกรัมในแต่ละปี โดยที่ตนเองไม่รู้เรื่องเลย เพราะในฉลากอาหารของออสเตรเลียขณะนี้ มีเพียงคำว่า “น้ำมันพืช” ทำให้ผู้บริโภคไม่มีข้อมูลในการเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการรับประทานน้ำมันปาล์มเพื่อเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม  ออสเตรเลียนำเข้าน้ำมันปาล์มปีละ 130,000 ตันจากมาเลเซียและอินโดนีเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตร้อยละ 85 ของน้ำมันปาล์มที่ใช้กันทั่วโลก (อันดับสามคือประเทศไทยเรานี่เอง) สองประเทศนี้จึงเป็นที่จับตามองของบรรดานักเคลื่อนไหวจากกรีนพีซ WWF (World Wildlife Fund) และแม้แต่องค์การสวนสัตว์วิคตอเรีย ในออสเตรเลีย เป็นพิเศษ  ทั้งนี้เพราะการเคลียร์พื้นที่เพื่อทำสวนปาล์มในอินโดนีเซียและมาเลเซียนั้นส่งผลกระทบต่อพื้นที่ป่าและสัตว์ป่าไม่น้อย  รายงานของสหประชาชาติเมื่อสี่ปีที่แล้วระบุว่า ร้อยละ 98 ของป่าฝนในมาเลเซียและอินโดนีเซีย จะหายไปภายในปี ค.ศ. 2022 โดยปัจจัยสำคัญได้แก่การผลิตน้ำมันปาล์ม ที่ทำให้พื้นที่ป่าขนาดประมาณ 300 สนามฟุตบอลหายไปทุกๆ หนึ่งชั่วโมง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 111 กระแสต่างแดน

โซฟา ไม่โซกู้ดใครจะไปนึกว่าโซฟาหนังแท้ที่อุตส่าห์ทุ่มทุนไปซื้อมาไว้นั่งเล่นชิลๆ จะทำให้เราเป็นแผลพุพองเรื้อรังได้ เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นแล้วที่อังกฤษ ซึ่งมีผู้บริโภคหลายพันคนได้รับความเดือดร้อนจากการใช้โซฟามหาภัยที่ซื้อจากร้านเฟอร์นิเจอร์ชื่อดังอย่าง อาร์กอส หรือโฮมเบส เป็นต้น เรื่องก็มีอยู่ว่า โซฟาบางส่วนที่ขายในร้านเหล่านี้ผลิตโดยบริษัท Linkwise และ Eurosofa ในประเทศจีน ทั้งสองโรงงานนี้จะใส่สารไดเมทธิลฟูราเมท (หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า DMF) ไว้ในตัวโซฟาเพื่อป้องกันไม่ให้มันขึ้นราในขณะที่ถูกเก็บไว้ในโกดัง เมื่อโซฟาเหล่านี้เข้าไปอยู่ในห้องนั่งเล่นของผู้บริโภค สารดังกล่าวก็กลายสภาพเป็นก๊าซและระเหยออกมาในอากาศ ทำให้หายใจลำบากและรู้สึกระคายเคืองตา นอกจากนี้ยังสามารถทะลุผ่านเสื้อผ้าไปยังผิวหนังทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนไปจนถึงเป็นแผลเรื้อรังในบางรายด้วย ศาลอังกฤษตัดสินให้ร้านเฟอร์นิเจอร์เหล่านั้นจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้บริโภครายละ 1,200 ถึง 9,000 ปอนด์ (ประมาณ 35,000 – 260,000 บาท) แตกต่างกันไปตามความร้ายแรงของอาการเจ็บป่วย ขณะนี้โซฟาหนังมหาภัยขายออกไปแล้ว 100,000 ตัว นอกจากที่ฟ้องร้องและได้ค่าชดเชยไปแล้ว 2,000 ราย จะมีตามมาอีกประมาณ 2,500 ราย ข่าวเขาบอกว่าใครที่ซื้อไปแล้วให้นำกลับมารับเงินคืนหรือเปลี่ยนเป็นรุ่นอื่นได้ แต่น่าแปลกที่ยังไม่มีการประกาศเรียกคืนโซฟามหาภัยทั้งหมด ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- แชมป์รอสายองค์กรผู้บริโภคของนิวซีแลนด์ทำการสำรวจระยะเวลาที่ผู้บริโภคต้องรอสายเมื่อโทรเข้าไปที่ศูนย์บริการของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต(ทั้งหมด 10 เจ้า สำหรับรองรับประชากร 4 ล้านคนทั้งประเทศ) และพบว่าลูกค้าของเทลสตราเคลียร์ต้องรอนานที่สุด เขาพบว่าถ้าคุณโทรเข้าไปที่ศูนย์บริการของเทลสตราเคลียร์ ในวันอังคาร ช่วงเวลา 23:40 น. – 01:30 น. คุณจะใช้เวลารอสาย 30 นาที ถ้าเป็นวันพฤหัส ช่วงเวลา 18:30 น.– 20:00 น. คุณจะได้ถือสายรอ 58 นาที ซึ่งความจริงตัวเลขดังกล่าวนี้ต่ำกว่าที่ทางบริษัทเขาแจ้งเตือนไว้อีกนะ(บริษัทแจ้งไว้ว่าเวลารอสายของช่วงดังกล่าวอาจนานถึง 36 นาที และ 65 นาที ตามลำดับ) เขาแจ้งว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะปริมาณลูกค้าเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30 จนขณะนี้มีลูกค้ากว่า 300,000 รายที่ต้องให้บริการ(พูดเหมือนเป็นความผิดของลูกค้านะนี่)ด้วยความไม่พร้อมดังกล่าวจึงทำให้พนักงานที่ให้บริการเองก็เครียดไม่แพ้กัน หนุ่มสาวชาวกีวี่ที่อายุระหว่าง 17 – 29 ปี ที่ผ่านการฝึกเป็นเวลา 3 สัปดาห์ก่อนเริ่มปฏิบัติงาน จะต้องรับฟังคนโทรเข้ามาระบายอารมณ์ใส่แล้วก็ต้องรีบรับสายต่อไปทันทีโดยไม่มีเวลาผ่อนคลาย คิดไปคิดมาบริษัทประกาศว่าอาจจะต้องย้ายฐานศูนย์บริการไปยังเมืองมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งจะส่งผลให้พนักงานในนิวซีแลนด์ (ซึ่งบริษัทจ้างด้วยค่าตอบแทนชั่วโมงละ 20 เหรียญ หรือประมาณ 470บาท บวกกับโบนัสจากจำนวนครั้งที่รับสายและความรวดเร็วในการแก้ปัญหา) ต้องตกงานไม่ต่ำกว่า 120 คนนักวิเคราะห์บอกว่าบริการจะดีขึ้นหรือไม่ยังบอกไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ บริษัทจะประหยัดเงินได้หลายล้านเหรียญทีเดียว --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- อาหาร “ห้ามนำเข้า”โรงภาพยนตร์ในไต้หวันนั้นเป็นที่รู้กันดีว่าจริงจังกับการห้ามผู้บริโภคนำอาหาร(ที่ไม่ได้ซื้อจากหน้าโรง) เข้าไปรับประทาน ... อ่อ นึกว่าเป็นแต่ที่เมืองไทยเสียอีก แต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐบาลไต้หวันได้ออกประกาศห้ามโรงภาพยนตร์การกระทำดังกล่าว โรงไหนฝ่าฝืนจะถูกปรับประมาณ 60,000 ถึง 150,000 บาท โดยจะยอมให้ห้ามได้เฉพาะอาหารบางอย่าง เช่น อาหารที่ทำให้เกิดเสียงดังเวลารับประทาน และอาหารที่มีกลิ่นแรงเท่านั้น ส่วนอาหารอื่นๆ ถ้าคนดูต้องการจะนำอาหารอย่าง น้ำอัดลม กาแฟ ข้าวโพด หรือฮอทด็อก แม้จะไม่ได้ซื้อจากหน้าโรง ก็ให้สามารถนำเข้าไปได้ ทั้งนี้เขาเปิดช่องให้แต่ละโรงไปทำรายการอาหารห้ามนำเข้ากันเอาเอง ซึ่งจากการสำรวจโรงภาพยนตร์ 10 แห่งในกรุงไทเป โดยองค์กรผู้บริโภคของไต้หวันปรากฎว่าเกือบร้อยละ 80 ของโรงภาพยนตร์ที่สำรวจ มีข้อห้ามที่ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล เช่นห้ามนำเบอร์เกอร์เข้าไป โดยให้เหตุผลเรื่องกลิ่น แต่ในขณะเดียวกันที่หน้าโรงก็ขายฮอทด็อก(ซึ่งกลิ่นก็ไม่น่าจะต่างกัน) บางโรงมีข้อกำหนดไว้เฉพาะเจาะจงมากเช่น ขนมจีบทอด ข้าวกล่องเบนโตะ เครป ทุเรียน เม็ดแตงโม(ดูเหมือนว่าจะแล้วแต่ว่าพนักงานจะคิดอะไรได้) ในขณะที่บางแห่งก็ระบุไว้กว้างๆ ว่าห้ามนำ “อาหารร้อน” เข้าไป อย่างหลังนี่ก็ถือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคอยู่เหมือนกัน เพราะทำให้เข้าใจไปว่าห้ามนำอาหารจากภายนอกทั้งหมดแต่โรงหนังเขายังมีหมัดเด็ดไว้จัดการกับผู้ชมที่จะนำอาหารเข้าไปรับประทาน ด้วยการเก็บ “ค่าธรรมเนียมในการทำความสะอาด” อีกนะ เขาช่างมุ่งมั่นดีจริงๆ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------- จ่ายแพงกว่าทำไมมารค์แอนด์สเป็นเซอร์งานเข้า เมื่อองค์กรผู้บริโภคของอังกฤษออกมาแฉว่า กางเกงกำจัดเซลลูไลท์ของทางร้านซึ่งราคาตัวละ 29.50 ปอนด์ (ประมาณ 1,450 บาท)นั้นมีคุณสมบัติไม่แตกต่างไปจากกางเกงทั่วๆ ไปที่ใส่ให้รัดต้นขาเลย ทางร้านโฆษณาว่ากางเกงดังกล่าวสามารถกำจัดเซลลูไลท์บริเวณรอบเอวและต้นขาได้ ด้วยส่วนผสมจากอโลเวรา วิตามินอี และคาเฟอีน ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในครีมลดเซลลูไลท์ทั่วไปเชียวนะ เขาอ้างว่าคาเฟอีนจะทำให้ขาเรียวและกระชับ ในขณะที่วิตามินอีจะช่วยป้องกันริ้วรอยเหี่ยวย่น และอโลเวราจะทำให้ผิดเรียบเนียน โดยสารเหล่านี้จะถูกปล่อยออกมาจากฟองอากาศขนาดเล็กๆ บนตัวกางเกงในขณะที่ผู้สวมใส่เคลื่อนไหวร่างกาย ศัลยแพทย์และแพทย์ผิวหนังบอกกับกับนิตยสาร WHICH? ว่ากางเกงทั่วไปที่ใส่รัดต้นขาให้แน่น ก็ให้ผลไม่ต่างกัน เพราะการรัดของมันจะทำให้เซลลูไลท์ลดลงชั่วคราวด้วยการรีดของเหลวออกจากเนื้อเยื่อนั่นเอง และส่วนผสมสุดวิเศษสามอย่างที่ว่านั้น ก็ยังไม่แน่ว่าจะมีปริมาณมากพอที่จะให้ผลที่ต้องการหรือไม่ ----------------------------------------------------------------------------------------------------- ซองใหม่ ไม่ชวนสูบเดือนกรกฎาคม 2012 ออสเตรเลียจะเป็นประเทศแรกในโลกที่ ซองบุหรี่จะต้องดูเรียบๆ ไม่มีโลโก้ ไม่มีสีสันฉูดฉาด ดึงดูดใจอีกต่อไป นอกจากนี้ยังต้องมีคำเตือนตัวใหญ่ๆ ถึงอันตรายต่อสุขภาพ โดยยี่ห้อนั้นเขาให้พิมพ์ตัวเล็กๆ ไว้ด้านล่าง นายกรัฐมนตรี เควิน รัดด์ บอกว่านี่เป็นกฎหมายที่เข้มงวดที่สุดในโลก และบริษัทบุหรี่คงจะไม่ชอบแน่นอนแต่สงสัยจะเข้มไม่พอจึงต้องแถมด้วยการขึ้นภาษีอีกร้อยละ 25 ซึ่งจะทำให้บุหรี่ขนาดซองละ 30 มวนขึ้นราคาอีกซองละ 60 บาท งานนี้ค่ายบุหรี่ตอบโต้ทันทีด้วยการขู่ว่าจะฟ้องร้องแน่นอน โฆษกของผู้ผลิตบุหรี่อิมพีเรียล โทแบคโคบอกว่า “การใช้ซองเรียบๆ ก็เท่ากับเป็นการทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถแยกแยะยี่ห้อของเราออกจากยี่ห้ออื่นได้ ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการสูญเสียประโยชน์ของบริษัท” ส่วนร้านค้ารายย่อยบอกว่า การขึ้นราคาบุหรี่ก็จะส่งผลต่อธุรกิจของพวกเขา ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้คนหันไปซื้อจากตลาดมืดมากขึ้น ประธานกลุ่มร้านค้าปลีก IGA บอกว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นการทำร้ายคนออสซี่จำนวน 16 ล้านคนที่เลือกการใช้ชีวิตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย งานนี้ดูท่าว่ารัฐจะหนาว เพราะตามกฎหมายของออสเตรเลียนั้นบริษัทบุหรี่สามารถที่จะฟ้องร้องขอค่าชดเชยจากการถูกบังคับเปลี่ยนลักษณะของซองผลิตภัณฑ์ได้ และรัฐบาลจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้เป็นเงินถึงปีละ 3000 ล้านเหรียญ(ไม่ต่ำกว่า 86,000 ล้านบาท)

อ่านเพิ่มเติม >