ฉบับที่ 271 ความเคลื่อนไหวเดือนกันยายน 2566

เตือน! “อย่าซื้อขนมโรลออน” ที่ลักลอบนำเข้าไทย        3 กันยายน 2566 ภก.เลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้เปิดเผยว่า พบขนมบรรจุขวดที่มีหัวเป็นลูกกลิ้ง ที่เรียกโดยทั่วไปว่า “โรลออน” วางจำหน่ายใกล้โรงเรียน และช่องทางออนไลน์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนั้น เป็นผลิตภัณฑ์ที่ลักลอบนำเข้าไม่ได้รับอนุญาต สังเกต คือ ไม่มีฉลากภาษาไทย ไม่มีเลข อย. รวมถึงไม่ทราบส่วนประกอบหรือส่วนผสม และไม่มีผู้นำเข้า         ทางอย.จึงขอเตือนว่าไม่ควรซื้อมาบริโภค ซึ่งอาจทำให้มีความเสี่ยงได้รับอันตราย หรือใช้วัตถุกันเสีย สี วัตถุแต่งกลิ่นที่ไม่ได้รับอนุญาต พร้อมทั้งอาจมีสารปนเปื้อนจากการผลิตจากภาชนะบรรจุที่ไม่ได้มาตรฐาน อย่างไรก็ตาม ขนมที่ได้รับอนุญาตต้องมีฉลากภาษาไทยระบุข้อมูลให้ครบถ้วน  สำหรับ ผู้นำเข้าและจำหน่าย ขนมที่ไม่ขออนุญาตนำเข้ามีโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท  BTS ชี้แจงกรณีประตูรถไฟฟ้าขัดข้องไม่ยอมปิดขณะเดินทาง         จากกรณีที่มีดราม่าระบบรถไฟฟ้า BTS ขัดข้อง โดยได้มีผู้ใช้ติ๊กต๊อกบัญชี @star111042 ได้โพสต์คลิปประตูรถไฟฟ้า BTS เปิดขณะวิ่งอยู่ พร้อมแคปชันระบุว่า "เมื่อคนซวยๆ อย่างฉันมาขึ้นรถไฟฟ้า รถไฟฟ้าเลยซวยไปด้วย” ซึ่งเป็นคลิปวิดีโอที่มีประตูรถไฟฟ้าเปิดค้างไว้ ขณะเดินทางระหว่างสถานีบางจาก-สถานีปุณญวิถี หลังเกิดเหตุ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จึงได้ออกมาชี้แจงกรณีประตูรถไฟฟ้าบีทีเอสขัดข้อง ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากระบบความปลอดภัยมีสัญญาณแจ้งเตือนประตูรถไฟฟ้าขัดข้อง เจ้าหน้าที่ควบคุมรถไฟฟ้า (TC) จึงรีบติดต่อเจ้าหน้าที่ห้องศูนย์ควบคุม (CCR) และประสานเจ้าหน้าที่ไปยืนดูแลบริเวณประตูที่ขัดข้อง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้โดยสารเข้าใกล้ประตู พร้อมทั้ง ได้ดำเนินการแก้ไขประตูดังกล่าวที่สถานีถัดไป        อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบขบวนรถไฟฟ้าดังกล่าว และประตูที่ขัดข้องอย่างละเอียด เพื่อหามาตรการป้องกันเพิ่มเติม ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำขึ้นอีก อย่าซื้อ นมแม่แช่แข็งให้ลูกกิน         20 กันยายน 2566 เพจเฟซบุ๊ก Drama-addict ได้โพสต์เตือนกลุ่มเลี้ยงลูกกลุ่มหนึ่ง ที่มีการโพสต์ ซื้อ-ขาย นมแม่แช่แข็ง โดยมีการระบุข้อความว่า "มีคนไปโพสต์ในกลุ่มเลี้ยงลูกกลุ่มหนึ่ง บอกว่ามีนมแม่แช่แข็งเหลือ จะขาย คนก็แชร์ไปหลายพันละ อันนี้เตือนแม่ๆ ว่า นมแม่นี่ ของใครของมัน ไม่ควรเอานมแม่คนอื่นมาป้อนให้ลูกตัวเอง ถ้าไม่ผ่านการตรวจเชื้อ และผ่านธนาคารนมแม่มาแล้ว เพราะนมแม่ เป็นสารคัดหลั่งชนิดหนึ่งซึ่งมีโอกาสที่จะมีเชื้อต่างๆ จากแม่ที่ผลิตนมนั้น เช่น HIV ไวรัสตับบี ไวรัสตับซี EBV CMV herpes  ซึ่งหากเด็กติดเชื้อขึ้นมาเรื่องใหญ่” นอกจากนี้  ปกติหากนมแม่เหลือและอยากแบ่งปันให้คนอื่น  จะมีธนาคารนมแม่ ที่เขาจะตรวจสอบว่าแม่ติดเชื้อไหม นมปลอดภัย มีการใช้สารเสพติด แอลกอฮอล์ ยาต่างๆ หรือไม่ เพื่อให้เด็กที่กินนั้นปลอดภัย Bangkok Airways ประกาศ “ชั่งน้ำหนักผู้โดยสาร สัมภาระก่อนบิน”         17 กันยายน 2566 หลังจากที่สายการบินต่างชาติ เช่น เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ ได้มีการออกกฎชั่งน้ำหนักและสัมภาระผู้โดยสารก่อนขึ้นเครื่อง เพื่อสำรวจและนำมาคำนวณกำหนดการกระจายน้ำหนักบนเครื่องบิน ลดการใช้เชื้อเพลิงนั้น         ทางบางกอก แอร์เวย์ส สายการบิน ประเทศไทย ก็ได้ออกมาประชาสัมพันธ์ ถึงกรณีดังกล่าวอีกด้วย โดยระบุข้อความดังนี้ “เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบินพลเรือนสากล เรื่องการใช้ข้อมูลเกณฑ์น้ำหนักเฉลี่ยมาตรฐานสำหรับคำนวณน้ำหนักผู้โดยสารและสัมภาระถือขึ้นเครื่อง เพื่อให้ปริมาณน้ำหนักของเที่ยวบินอยู่ภายใต้ขอบเขตการกำหนดน้ำหนักอากาศยานสำหรับการวิ่งขึ้นสูงสุด (Maximum Take-Off Weight) และทำการบินได้ด้วยความปลอดภัย ตั้งแต่ 15 ก.ย. ถึง 31 ต.ค. 66 เป็นต้นไป บริษัทขออนุญาตเก็บข้อมูลโดยการชั่งน้ำหนักผู้โดยสารรวมสัมภาระถือขึ้นเครื่อง ณ บริเวณประตูทางออกขึ้นเครื่อง จึงขอความร่วมมือจากท่านผู้โดยสารชั่งน้ำหนัก นอกจากนี้  บริษัทขอยืนยันว่าข้อมูลจะถูกเก็บไว้เป็นความลับ และจะนำไปใช้เพื่อปรับปรุงข้อมูลเกณฑ์น้ำหนักเฉลี่ยมาตรฐานเท่านั้น มพบ.เผยผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบช่วงโควิดจะได้รับเงินคืนจาก “Thai Air Asia X”         หลังจาก วันที่ 31 สิงหาคม 66 ศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งเห็นชอบให้ฟื้นฟูกิจการ สายการบิน “ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์” รหัสเที่ยวบิน XJ บริการสายการบินราคาประหยัด เส้นทางไปต่างประเทศ หลังได้รับผลกระทบรุนแรงจากวิกฤตโควิด-19 จนเป็นเหตุให้ต้องหยุดทำการบินขนส่งผู้โดยสารมานานกว่า 2 ปี         15 กันยายน 2566 นางสาวณัฐวดี เต็งพานิชกุล นักกฎหมาย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า คำสั่งของศาลล้มละลายกลาง ที่เห็นชอบเเผนฟื้นฟูกิจการ “ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ (XJ)” มีผลครอบคลุมเจ้าหนี้ทุกคนที่เป็นผู้โดยสาร ทั้งผู้ที่ยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และผู้ที่ไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่างได้สิทธิรับคืนเงินทั้งหมด โดยไม่มีดอกเบี้ยตามข้อเรียกร้องทั้ง 2กรณี ส่วนที่ก่อนหน้านี้ มีผู้โดยสาร 11 คน พากันมายื่นร้องเรียนกับสภาองค์กรของผู้บริโภคให้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องแทนผู้บริโภค มูลค่าความเสียหายกว่า 4 แสนบาทนั้น ทางมูลนิธิฯ ได้รับมอบหมายเป็นตัวแทนให้ดำเนินการหาทนายฟ้องคดีที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เพื่อเรียกเงินคืนพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งทาง “ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ได้ยื่นคำร้องค้าน เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2565 ขอให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ จำหน่ายคดีที่ผู้บริโภคฟ้องเพราะศาลล้มละลายกลางอนุญาตให้ฟื้นฟูกิจการ ดังนั้น คดีอื่นๆ ที่มีการยื่นฟ้องหรือบังคับคดีจึงต้องหยุดชั่วคราวเพื่อรอการฟื้นฟูกิจการ อย่างไรก็ตาม ศาลมีข้อแม้ว่า หากสายการบินไม่จ่ายหนี้ตามสัญญา ก็จะเดินหน้าในกระบวนการทางศาลต่อไปได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 268 พ่อเลี้ยงเดี่ยว ไม่ได้จดรับรองบุตร อาจไม่ได้เงินค่าสินไหม

        คุณพ่อหลายคนอาจยังไม่รู้ว่า ลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จะเป็นสิทธิ์ของแม่ตามกฎหมายแต่เพียงผู้เดียว ส่วนพ่อต้อง “จดทะเบียนรับรองบุตร” ถึงจะมีสิทธิ์ในตัวลูก ซึ่งคุณชัยก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่เลิกกับเมียนานแล้ว และเลี้ยงลูกเองมาโดยไม่ได้จดทะเบียนรับรองบุตรตั้งแต่แรก ซึ่งเขาไม่คาดคิดว่าเรื่องนี้จะทำให้มีปัญหาทางข้อกฎหมายต่างๆ ที่ยุ่งยากตามมาในภายหลัง         เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อลูกชายวัย 14 ปีของเขาประสบอุบัติเหตุ จากการนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ไปกับเพื่อนแล้วรถเกิดเสียหลักวิ่งแหกโค้งกระแทกพื้นถนน ลูกชายเขาถูกนำส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาล หมอเอกซ์เรย์ พบกะโหลกแตก มีเลือดคั่งในสมอง ต้องผ่าตัดด่วน รักษาตัวได้เพียง 5 วัน จึงเสียชีวิต         ขณะที่หัวอกคนเป็นพ่อที่ต้องสูญเสียลูกไปกะทันหันนั้นกำลังเศร้า เขากลับต้องมาเครียดซ้ำอีก เมื่อไปยื่นเรียกค่าสินไหมทดแทนตาม พ.ร.บ. ผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งระบุไว้ว่า ถ้าเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรจะได้ 500,000 บาท เพื่อหวังนำมาเป็นค่าปลงศพลูกชาย แต่กลับพบว่าตนไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินส่วนนี้ ซึ่งคนที่จะมีสิทธิ์นี้ได้ก็คือแม่ของลูก โดยทางตำรวจได้ออกหมายเรียกตัวแม่ของลูกไปแล้ว แต่ก็ยังติดต่อไม่ได้ คุณชัยจึงโทรศัพท์มาขอคำปรึกษากับทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคว่า เขาควรทำอย่างไรจึงจะมีสิทธิ์รับค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ได้แนวทางการแก้ไขปัญหา        1. เมื่อผู้ร้อง(พ่อ)มีบุตรแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับภรรยาและไม่ได้จดรับรองบุตรที่เกิดมา ผู้ร้องจึงเป็นเหมือนบุคคลภายนอก ไม่เกี่ยวข้องกับบุตร ไม่สามารถรับค่าสินไหมตาม พ.ร.บ. ผู้ประสบภัยจากรถ จำนวน  500,000 บาทได้ แต่แม่ของลูกยังมีสิทธิ์ได้รับเงินตามกฎหมาย จึงตามแม่ให้มารับเงินดังกล่าวได้         2. หากติดต่อแม่ของลูกไม่ได้ สิทธิ์นี้ก็ต้องตกกับทายาทโดยธรรมในลำดับถัดไป คือผู้ที่มีสายสัมพันธ์ทางสายโลหิต ได้แก่ 2.1 ผู้สืบสันดาน 2.2 บิดามารดา 2.3 พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 2.4 พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน 2.5 ปู่ย่าตายาย 2.6 ลุงป้าน้าอา ถ้ายังมีอยู่ก็เรียกมารับค่าสินไหมตรงนี้ได้         3. แต่ถ้าไม่มี ผู้ร้องอาจจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอรับรองบุตรและให้ศาลตัดสินว่าผู้ร้องเป็นบิดาของบุตร ซึ่งผู้ร้องจะต้องหาเหตุผลรวมทั้งพยานหลักฐานเข้ามาประกอบให้ศาลเห็นว่า ผู้ร้องเป็นบิดาที่แท้จริง เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว ผู้ร้องจึงจะมีสิทธิ์ได้รับค่าสินไหมตาม พ.ร.บ. ผู้ประสบภัยจากรถ          ในกรณีนี้ หลังจากได้รับคำแนะนำไป คุณชัยได้ยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง และศาลมีคำพิพากษาว่า “ให้พ่อเป็นผู้ปกครองเด็กอย่างถูกต้องตามกฎหมาย” แล้ว เขากำลังเร่งขอคัดคำพิพากษาเพื่อนำไปยื่นต่อ “บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด” ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่ศาลมีคำพิพากษา เพื่อขอรับเงินค่าสินไหมในส่วนที่ได้ครึ่งหนึ่งคือ 250,000 บาท ส่วนแม่ของลูกยังติดต่อไม่ได้ ซึ่งหากเจอตัวแล้วแม่ทำหนังสือสละสิทธิ์เงินที่เหลืออีก 250,000 บาท คุณชัยก็จะได้เงินนี้ไปด้วย แต่ถ้ายังหาตัวแม่ไม่เจอ เงินส่วนนี้ก็จะเข้ากองทุนผู้ประสบภัยต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 261 ภูตแม่น้ำโขง : สิ่งที่มองไม่เห็น ใช่ว่าจะไม่มี

        เมื่อหลายปีก่อน ผู้เขียนมีโอกาสลงสนามเก็บข้อมูลพื้นที่วิจัยแถบภาคอีสาน และได้เข้าไปร่วมสังเกตการณ์บรรยากาศการประกอบพิธีกรรมเข้าทรงหมอผีพื้นบ้าน ในฐานะภูมิปัญญาท้องถิ่นที่รักษาโรคภัยไข้เจ็บของชาวบ้าน แม้วิถีชุมชนจะดูแปลกตาสำหรับนักวิจัยที่มาจากสังคมเมืองหลวง แต่หลายๆ ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ชวนให้รู้สึกได้ว่า “ไม่เชื่อแต่ก็ไม่กล้าจะลบหลู่”         ในครั้งนั้น ชุมชนหมู่บ้านที่เป็นสนามวิจัยก็ไม่ได้ปฏิเสธองค์ความรู้แพทย์แผนใหม่ เพราะชาวบ้านก็ยังคงไปรักษาหาหมอที่โรงพยาบาลกันเป็นเรื่องปกติ แต่คู่ขนานกันไป ชาวบ้านเองก็สำเหนียกว่า ความเชื่อผีดั้งเดิมเป็นอีกหนึ่งวิถีทางที่ผู้คนท้องถิ่นศรัทธา ในฐานะกลไกจัดการโรคภัยและสุขภาวะชุมชนด้วยเช่นกัน         จนกระทั่งได้มาเปิดดูละครโทรทัศน์เรื่อง “ภูตแม่น้ำโขง” ความทรงจำของการทำงาน ณ สนามวิจัยในท้องถิ่นอีสานเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ก็หวนกลับมาชวนให้ตั้งคำถามเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติดั้งเดิมกับชุดความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่กันอีกครั้ง         ละครได้ย้อนยุคไปเมื่อปีพุทธศักราช 2514 “อัคนี” แพทย์หนุ่มพระเอกของเรื่อง ได้เดินทางจากเมืองหลวงมาที่หมู่บ้านนางคอย ริมแม่น้ำโขง เพื่อมาสานต่องานวิจัยของ “หมอประเวศ” ผู้เป็นบิดา ที่ศึกษาค้นคว้าด้าน “จิตเวชศาสตร์วัฒนธรรม” หรือโรคทางจิตที่เกิดจากความเชื่อและสิ่งลี้ลับในท้องถิ่นชนบท และมาเป็นหมอคนใหม่ประจำสุขศาลาของหมู่บ้าน        การมาถึงหมู่บ้านอัน “ไกลปืนเที่ยง” ของหมออัคนี ทำให้เขาได้พบกับ “บัวผัน” สาวชาวบ้านซื่อใสจิตใจดี แต่มีหนี้กรรมที่พันผูกกันมาตั้งแต่ชาติภพก่อน โดยที่ในอีกด้านหนึ่ง ก็มีวิญญาณของ “เจ้าแม่ทอหูก” จุดเริ่มต้นของตำนานความเชื่อเรื่อง “ภูตแม่น้ำโขง” เป็นสตรีอีกหนึ่งนางที่ผูกตรึงตัวเองไว้ในสามเส้าแห่งบ่วงรักบ่วงกรรมดังกล่าวด้วย         ตั้งแต่เริ่มต้นเรื่องละคร บัวผันได้ถูกมนต์สะกดของเจ้าแม่ทอหูกล่อลวงให้ไปลิ้มรสไข่พญานาค เธอจึงตกอยู่ใต้อาณัติบัญชาของภูตแม่น้ำโขงมานับจากนั้น ในขณะเดียวกัน ทางฝ่ายของเจ้าแม่ทอหูกเอง เพื่อธำรงอำนาจและความเป็นอมตะ นางจึงต้องดื่มโลหิตของมนุษย์ จนทำให้มีหลากหลายชีวิตที่ถูกพรากมาเซ่นสังเวยยังใต้วังบาดาล         จะว่าไปแล้ว โดยแก่นของละครคือการให้คำอธิบายว่า กรรมมิใช่เพียงการกระทำที่เกิดขึ้นในชาตินี้เท่านั้น หากแต่เป็นผลของการกระทำตั้งแต่อดีตชาติ และวนเวียนเป็นวัฏฏะมาจนถึงปัจจุบันกาลด้วยเช่นกัน         การที่หมออัคนีได้มาพานพบกับทั้งบัวผันและวิญญาณเจ้าแม่ทอหูก ก็เป็นเพราะทั้งสามคนยังเวียนว่ายในสังสารวัฏของรักสามเส้าที่ผูกพันกันมาแต่ครั้งปางบรรพ์ หรือการที่ทั้งบัวผันและ “บุญเรือน” ผู้เป็นมารดาต้องมาเผชิญทุกข์กรรมมากมาย ก็มาจากกรรมเก่าที่สร้างไว้ในชาติอดีตนับเป็นพันปี รวมไปถึงการที่ชาวบ้านหลายชีวิตในหมู่บ้านนางคอยต้องประสบพบเจอกับเรื่องลึกลับมากมาย บ้างถูกผีสิง บ้างต้องตายลง ก็ล้วนมาแต่วิบากกรรมที่พวกเขาก่อและตกทอดมาจากชาติปางก่อน         แต่ทว่า ภายใต้แก่นเรื่องละครที่อธิบายถึงวัฏจักรแห่งกรรมเช่นนี้ ผู้ชมเองก็ได้เห็นการปะทะประสานกันระหว่างโลกทัศน์สองชุด ที่วิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นคุณค่าวิทยาการแห่งสังคมโลกสมัยใหม่ มาต่อสู้ต่อกรกับความเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติเร้นลับอันเป็นองค์ความรู้ตามวิถีชาวบ้านในสังคมดั้งเดิม         ด้วยเหตุนี้ นับแต่ก้าวแรกที่หมออัคนีได้เดินทางมาถึงหมู่บ้านนางคอย หมอผู้ยึดมั่นในชุดความรู้วิทยาศาสตร์การแพทย์แผนใหม่จึงได้สัมผัสเหตุการณ์อันแปลกประหลาด ซึ่งผิดแผกไปจากที่เขาคุ้นชินเมื่อครั้งอยู่ในเมืองกรุง แม้ชาวบ้านต่างก็คอยเตือนสติเขาอยู่เนืองๆ ว่า “ถ้าหมอมาอยู่ที่นี่ ในที่สุดหมอจะได้เห็นในสิ่งที่หมอไม่คิดว่าจะได้เห็น”         ดังนั้น ควบคู่ไปกับเรื่องราวความรักความแค้นที่วิญญาณอสูรใต้ลำน้ำโขงรอคอยที่จะได้ครองคู่กับชายคนรักมายาวนานนับพันปี เราจึงเห็นภาพของการแบทเทิลช่วงชิงชัยระหว่างความเชื่อท้องถิ่นตามวิถีชาวบ้านกับความคิดแบบวิทยาศาสตร์ซึ่งซัดสาดเข้ามาจากโลกภายนอก         ฉากที่ชาวบ้านเกิดอาการผีเข้าจนสติไม่สมประดี ก็ถูกพระเอกหนุ่มตีความว่าเป็นอาการของโรคลมชักและการเกิดอุปาทานหมู่ หรือที่ภาษาสมัยใหม่เรียกว่าอาการของโรคฮีสเตอเรีย หรือฉากที่ “ญาแม่คำแพง” หญิงสูงวัยผู้เป็นร่างทรงของ “เจ้านางแก้วพิมพา” ทำพิธีเสี่ยงทายรักษาโรคภัยไข้เจ็บของชาวบ้าน ด้วยการตั้งไข่ไก่บนดาบ หมออัคนีก็รำพึงแกมปรามาสว่าเป็นเพียง “มายากล” ที่เชื่อถือไม่ได้เลย         หรือกับเหตุการณ์ร้ายๆ ที่บัวผันและแม่เผชิญอยู่ทั้งเรื่อง ถึงขนาดที่นางบุญเรือนผู้มีอาการป่วยเรื้อรังมานานก็ยืนยันว่า เป็น “โรคเวรโรคกรรม” ที่เจ้ากรรมนายเวรจากชาติที่แล้วกลับมาทวงคืนหนี้กรรมเก่า แต่หมอหนุ่มอัคนีก็ตัดสินไปแล้วว่า นั่นเป็นความงมงาย เพราะเขาไม่เชื่อว่าผีมีอยู่จริง         สำหรับสังคมไทย วิทยาศาสตร์เป็นชุดความรู้ใหม่ที่ชนชั้นนำสยามรับเข้ามาเมื่อราวร้อยกว่าปีนี่เอง แต่ก่อนหน้านั้น ระบบความรู้ของไทยหยั่งรากมาจากไสยศาสตร์กับพุทธศาสนากันเป็นเวลาช้านาน หรืออีกนัยหนึ่ง ก่อนที่หมอวิทยาศาสตร์จะสถาปนาอำนาจขึ้นมาแบบที่เราเห็นๆ กันในปัจจุบัน ชาวบ้านในยุคดั้งเดิมต่างก็เคย “ฝากผีฝากไข้” ไว้กับองค์ความรู้สุขภาพพื้นบ้านและการทรงเจ้าเข้าผีกันจนเป็นวิถีปกติ         ดังนั้นแล้ว แม้จะมี “เหตุผลของวิทยาศาสตร์” แบบที่หมออัคนีใช้หักล้างผลักไสให้เรื่องวิญญาณภูตแม่น้ำโขงกลายเป็นเรื่องงมงายไร้สาระเพราะพิสูจน์จับต้องไม่ได้ แต่ทว่า “เหตุผลของชาวบ้าน” ก็ได้เข้ามาปะทะคัดง้างกับอหังการความรู้ที่พระเอกหนุ่มยึดมั่นถือมั่นอยู่ตลอดเวลา         แบบเดียวกับที่ “พ่อเฒ่าเชียงหล้า” แห่งหมู่บ้านนางคอย ก็เคยตั้งคำถามกับหมออัคนีว่า “ตั้งแต่หมอมาอยู่ที่นี่ มีอะไรที่วิทยาศาสตร์ให้คำตอบกับหมอได้บ้าง” และ “ในโลกนี้มีเรื่องราวหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์หาคำตอบไม่ได้ บางเรื่องก็ละเอียดเกินกว่าที่เราจะเข้าใจ”         จนท้ายที่สุดของเรื่อง เมื่อเจ้าแม่ทอหูกพยายามใช้มนต์สะกดพาหมออัคนีมาทำพิธีมฤตสัญชีวนี เพื่อให้เขากลายเป็นภูตผีครองคู่กับนางตลอดกาล หมอหนุ่มจึงเกิดตระหนักรู้ว่า แม้ความจริงทางวิทยาศาสตร์อาจรับรู้ผ่านอายตนะทางรูปรสกลิ่นเสียงและกายสัมผัสได้ก็ตาม แต่สิ่งเหนือธรรมชาติที่ชาวบ้านยึดถืออยู่ในสัมผัสที่หก ก็เป็นความจริงอีกชุดหนึ่งที่ดำรงคุณค่าเกินกว่าที่วิทยาศาสตร์จะหยั่งถึงได้จริงๆ         จากฉากเนื้อเรื่องละครที่ย้อนยุคไปเมื่อราวห้าสิบปีก่อน กับการนั่งดูละคร “ภูตแม่น้ำโขง” ในห้วงเวลาห้าทศวรรษให้หลัง แม้สังคมทุกวันนี้จะเจริญก้าวหน้าทันสมัยไปมากเพียงไร ละครก็ยังกระตุกต่อมความคิดให้เราระลึกได้ว่า ในขณะที่เรายอมรับวิทยาศาสตร์มาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิต แต่ตำนานความเชื่อเจ้าแม่ทอหูกที่ทอผ้าบรรเลงเพลงอยู่ใต้ลำน้ำโขง ก็มิอาจเจือจางลางเลือนไปเสียจากวิถีแห่งโลกสมัยใหม่ได้เลย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 249 แม่เบี้ย : จิตมนุษย์นี้ไซร้…อยู่ในเรือนไทยริมน้ำ

        “จิตมนุษย์นี้ไซร้” คืออะไรกันแน่? แม้นว่าความข้อนี้ดูจะตอบได้อย่าง “ยากแท้หยั่งถึง” แต่มนุษย์เราก็ยังมุ่งหมายที่จะเข้าถึงปริศนาธรรมอันยากหยั่งจะควานหาคำตอบนี้อยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างของศาสตร์ความรู้ด้าน “จิตวิทยา” สมัยใหม่ ที่ก่อกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ก็เป็นความพยายามของการแสวงหาคำตอบว่า จิตของมนุษย์คืออะไร ดำรงอยู่ที่ไหน และมีกระบวนการทำงานอย่างไร         นักจิตวิทยาบางคนได้ใช้หลักการทดลองกับหนูตะเภาหรือสิงสาราสัตว์ต่างๆ ในห้องแล็บ ก่อนจะให้ข้อสรุปว่า จิตของคนเราเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกมา ตามแต่ว่าจะมีสิ่งเร้าใดมากระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองบางอย่าง ในขณะเดียวกับที่นักจิตวิทยาบางรายกลับเห็นว่า จิตคือการเรียนรู้ของมนุษย์ต่อโลกรอบตัว จนเกิดเป็นความเข้าใจที่สลักฝังไว้เป็น “กล่องดำ” ในคลังความคิดของคนเรา         อย่างไรก็ดี ถ้าเรานำคำถามเดียวกันนี้ไปขอคำตอบจากคุณปู่ซิกมันด์ ฟรอยด์ บิดาผู้ให้กำเนิดทฤษฎีจิตวิเคราะห์ คุณปู่ฟรอยด์ก็จะอธิบายว่า จิตของมนุษย์นั้นเป็นด้านที่เราไม่สำเหนียกรู้ตัว เป็นส่วนที่ไร้สำนึก ทว่าหลบเร้นเป็นแรงขับที่อาจจะรอวันปะทุไม่ต่างจากภูเขาไฟที่คุกรุ่นอยู่ใต้มหาสมุทร         เพื่อจำลองให้เห็นว่า “พระสมุทรสุดลึกล้น คณนา…” และจิตของคนเราก็ดำดิ่งฝังลึกอยู่ใต้ห้วงมหรรณพเฉกเช่นนี้ เราอาจต้องไปลองส่องดูความเป็นไปของตัวละครต่างๆ ณ เรือนไทยริมน้ำที่สุพรรณบุรีในละครโทรทัศน์เรื่อง “แม่เบี้ย” หรือที่ใครต่อใครตั้งสมญาให้ว่าเป็น “เรือนบาป”         เรือนไทยริมน้ำที่ฉากหน้าดูสวยงามแปลกตาหลังนี้ มีอีกด้านที่เป็นอดีตอันลี้ลับดำมืดหลบเร้นอยู่ ทายาทรุ่นปัจจุบันของเรือนดังกล่าวเป็นหญิงสาวสวยลึกลับผู้มีนามว่า “เมขลา” ซึ่งแม้จะมีชีวิตที่ดูรักสันโดษ แต่ความงามของนางก็ดึงดูดชายหนุ่มมากหน้าหลายตาให้แวะเวียนมาเยือนเรือนไม้โบราณของเธอ         แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อตัดภาพมาที่คอนโดฯ หรูหราใจกลางป่าคอนกรีตของกรุงเทพมหานคร เมขลากลับดำเนินชีวิตผกผันแตกต่างไปจากที่เคย “เป็นอยู่คือ” ในเรือนไทยริมน้ำชนบท เธอเป็นเซเลบเจ้าของบริษัททัวร์ที่มีชื่อเสียงในวงสังคม และมักจะพานักท่องเที่ยวมาเยือนเรือนไทยโบราณซึ่งเธอถือมรดกครอบครองอยู่         หากเรือนไทยริมน้ำเป็นประดุจแบบจำลองแห่งจิตของมนุษย์ เรือนโบราณที่ตั้งเด่นตระหง่านนี้เองก็ยังเป็นที่อยู่อาศัยของงูเห่าสีดำมะเมื่อมตัวใหญ่ อสรพิษตัวยักษ์ทำหน้าที่ปกป้องและพร้อมจะคร่าชีวิตใครก็ตามที่ไม่หวังดีต่อเมขลาและทุกคนที่อาศัยอยู่ในเรือนริมน้ำ จนชาวบ้านต่างโจษจันกันว่า งูใหญ่ที่มักแผ่แม่เบี้ยพังพานตัวนี้เป็น “งูผี” บ้าง หรือเป็น “งูเจ้า” บ้าง “งูเจ้าที่” บ้าง         จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อ “ชนะชล” หนุ่มใหญ่คุณพ่อลูกสอง ได้ขอให้ “ภาคภูมิ” เลขานุการส่วนตัวของเขาช่วยหาเรือนไทยโบราณริมน้ำสักหลัง เพื่อเอาไว้เป็นสถานที่พักผ่อนเงียบๆ เมื่อว่างจากภาระงาน ภาคภูมิจึงได้ติดต่อให้ชนะชลเข้าร่วมคณะทัวร์ของเมขลา อันเป็นจุดเริ่มต้นที่พระเอกหนุ่มได้จมดิ่งสู่ห้วงแห่งจิตที่อยู่ในหลืบลึกของบ้านเรือนไทย และเผชิญหน้ากับความลับของงูเห่าตัวใหญ่ตัวนั้น         ตามทัศนะของคุณปู่ฟรอยด์ เพราะจิตเป็นสนามสัประยุทธ์กำลังกันระหว่างด้านดิบๆ ของสัญชาตญาณที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวคนเรา กับอีกด้านที่เป็นกฎระเบียบศีลธรรมของสังคมที่เข้ามากำกับปิดกั้นมิให้ความปรารถนาดิบๆ เหล่านั้นได้เผยอตัวออกมา การช่วงชิงชัยระหว่างสองด้านที่อยู่ในจิตของมนุษย์นี้เองถือเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างอัตตาหรือตัวตนของปัจเจกบุคคล         ดังนั้น เมื่อชนะชลได้เดินทางมาถึงเรือนโบราณหลังนี้ ความทรงจำบางอย่างที่หลบเร้นอยู่ในจิตของเขาตั้งแต่วัยเยาว์ก็เริ่มเผยตัวตนออกมา นอกจากเรือนไม้หลังเดียวกันนี้จะปรากฏเป็นฉากหลังในความฝันหรือห้วงจิตไร้สำนึกของเขาอยู่เป็นเนืองๆ แล้ว ในจิตนิวรณ์แห่งฝันอีกเช่นกัน ที่เขาเห็นภาพตัวเองกำลังจมดิ่งอยู่ใต้ผืนน้ำ อันเป็นบาดแผลเจ็บปวดที่ชนะชลเคยเกือบเสียชีวิตกลางสายน้ำมาตั้งแต่วัยเด็ก         ขณะเดียวกัน พลันที่ชนะชลได้มาพบกับเมขลาเป็นครั้งแรก อารมณ์และจิตปฏิพัทธ์ต่อหญิงสาวก็ปะทุขึ้น แม้ชนะชลจะแต่งงานอยู่กินกับ “ไหมแก้ว” ผู้หญิงที่มีหน้ามีตาในแวดวงสังคมชั้นสูง และมีลูกด้วยกันสองคน ไม่ต่างจากภาพอุดมคติครอบครัวที่สังคมได้กำหนดคาดหวังเอาไว้ แต่อีกด้านหนึ่งศีลธรรมครอบครัวก็คอยย้ำเตือนให้เขาต้องกักกั้นเก็บกดความปรารถนาทางเพศรสที่มีต่อนางเอกสาว ไม่ให้สำแดงตนออกมา         ทุกครั้งที่ได้มาเยือนเรือนไทยด้วยจิตผูกพันถวิลหาในตัวเมขลา ชนะชลก็สัมผัสได้ว่า มีสายตาของงูเห่าตัวใหญ่คอยจับจ้องมองการกระทำของเขาอยู่ ยิ่งเมื่อเส้นศีลธรรมระหว่างหนุ่มใหญ่กับหญิงสาวจะถูกล่วงละเมิดขึ้นคราใด งูเจ้าที่ก็ไม่เพียงปรากฏตัวออกมา หากแต่มุ่งมาดจะเข้ามาฉกทำร้ายชนะชลทุกครั้งครา         งูเห่าที่คอยแผ่แม่เบี้ยหลอกหลอนตัวนี้ จึงไม่ต่างจากกรอบศีลธรรมทางสังคมที่คอยกระตุกเตือน “ความรู้สึกผิด” ของตัวละคร เหมือนกับคำสรรพนามแบบเคารพที่เมขลาเรียกงูใหญ่ว่า “คุณ” อันมีนัยประหนึ่งญาติผู้ใหญ่ที่คอยว่ากล่าวตักเตือนไม่ให้ด้านดิบได้เข้าครอบงำตัวตนของปัจเจกบุคคล         แต่ก็เหมือนที่คุณปู่ฟรอยด์ได้กล่าวไว้ แม้จะปิดกั้นเก็บกดไว้ด้วยความรู้สึกผิดเพียงไร แต่ทว่า ในห้วงลึกของจิตนั้น ด้านดิบหรือ “ดำฤษณา” แห่งตัวละครก็ดูจะเกินหักห้ามข่มจิตใจเอาไว้ได้ ดังนั้น เมื่อกลับจากเรือนไทยริมน้ำ ชนะชลก็ได้แต่ฝันซ้ำๆ ถึงเรือนไม้โบราณ และในฉากฝันนั้น เมขลาในชุดไทยก็จะคอยกระทุ้งแรงปรารถนาและกามารมณ์ของเขา ไม่ต่างจากเมขลาเองก็ร้อนรุ่มและพยายามขัดขืนผลักไส หรือแม้แต่แสดงอาการเกรี้ยวกราดต่อ “คุณ” หรืองูเห่าเจ้าที่ให้ออกไปจากชีวิตของทั้งเขาและเธอ         จนเมื่อมาถึงขีดสุด มนุษย์เราก็พร้อมจะสลัดม่านประเพณีปฏิบัติที่เกาะกุมจิตแห่งตน แม้งูเห่าตัวใหญ่จะออกมาเตือนเป็นระยะๆ แต่ความปรารถนาดิบของพระเอกหนุ่มก็ทำให้เขา “รู้ว่าเสี่ยงแต่ยังต้องขอลอง” ท้าทายกับอสรพิษร้ายผู้ลึกลับและน่ากลัว         ดังภาพอีโรติกต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในท้องเรื่องละคร ไม่ว่าจะเป็นฉากที่ชายหนุ่มหญิงสาวชวนกั้นคั้นกะทิสด (ซึ่งดูหวือหวาต่างออกไปจากภาพจำของฉากขูดมะพร้าวในตำนาน) ฉากร่วมรักหลับนอนบนเตียงไม้ และล้ำเส้นศีลธรรมที่สังคมเรียกว่า “ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี” ไปจนถึงฉากที่ชนะชลยอมก้มกราบไหมแก้วผู้เป็นภรรยา เพราะศิโรราบต่อแรงขับแห่งอารมณ์ดิบๆ ซึ่งเขาเองกลับทึกทักไปว่า นั่นเป็นเพราะ “พรหมลิขิต”         จนมาถึงฉากจบ หลังจากได้เห็นสรรพชีวิตที่สูญเสียท่ามกลางวังวนแห่ง “เรือนบาป” และเรียนรู้วัตรวิถีแห่งจิตมนุษย์กันแล้ว ชนะชลผู้มีชื่อแปลว่าชัยชนะเหนือสายน้ำ ก็เลือกจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับ “คุณ” และยอมพ่ายแพ้ดิ่งดำสู่ใต้ท้องน้ำ เช่นเดียวกับเมขลาที่เลือกจะกำจัด “คุณ” ให้หายไปจากชีวิต และเดินดำดิ่งสายน้ำสู่ห้วงแห่งดำฤษณาไปกับชนะชล ก่อนจะทิ้งปริศนาของงูเห่าตัวใหญ่และเรือนไทยริมน้ำไว้อีกครา เพื่อรอคอยมนุษย์รายถัดไปให้มาเรียนรู้และเข้าใจการดำรงอยู่แห่งจิตที่ช่าง “ยากแท้หยั่งถึง” จริงๆ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 247 กระแสต่างแดน

ต้องมีสักวัน        ตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นไป สหภาพยุโรปจะถือเอาวันที่ 23 กันยายนเป็น “วันออกานิก” เพื่อส่งเสริมและสร้างความตระหนักรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ รวมถึงให้ความสำคัญกับเกษตรกรที่เลือกแนวทางนี้         รัฐสภายุโรป คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป และคณะกรรมาธิการยุโรป เลือกวันดังกล่าวซึ่งเป็นวันที่กลางวันยาวเท่ากับกลางคืน (วันอิควิน็อกซ์ฤดูใบไม้ร่วงหรือวันศารทวิษุวัต) เพื่อสื่อถึง “สมดุล” ระหว่างการทำเกษตรและการรักษาสิ่งแวดล้อม          โปรเจคฟาร์มทูฟอร์ก (Farm2Fork) ของสหภาพยุโรป ตั้งเป้าว่าภายในปี 2030 ร้อยละ 25 ของพื้นที่เกษตรในกลุ่มประเทศสมาชิกจะทำการเกษตรแบบออกานิก         ปัจจุบันออสเตรียล้ำหน้าไปแล้ว ด้วยพื้นที่เกษตรออกานิกร้อยละ 26 ส่วนที่ใกล้เป้าหมายได้แก่ สวีเดนและเอสโตเนีย (ร้อยละ 20) ตามด้วยอิตาลี ลัตเวีย และสาธารณรัฐเชค (ร้อยละ 15)         ในขณะที่ประเทศอื่นๆ อย่าง บัลกาเรีย โรมาเนีย โปแลนด์ มอลต้า เนเธอร์แลนด์ และไอร์แลนด์ ยังต้องเร่งมืออีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไอร์แลนด์ที่มีพื้นที่เกษตรอินทรีย์เพียงร้อยละ 2  เมื่อวัคซีนมา ฉันจะไป         ปีที่แล้วร้อยละ 90 ของบริษัทประกันในอเมริกา ยกเว้นการร่วมจ่ายสำหรับผู้เอาประกันที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากป่วยด้วยโรคโควิด-19         ถือเป็นการลดภาระให้กับผู้บริโภคที่อาจต้องจ่ายเองถึง 1,300 เหรียญ (ประมาณ 44,000 บาท) หากอาการไม่รุนแรง หรืออาจมากถึง 50,000 เหรียญ (ประมาณ 1.7 ล้านเหรียญ) กรณีที่ป่วยหนักจนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและพักฟื้นในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน         แต่หลังจากสิ้นเดือนตุลาคมปีนี้ บริษัทเหล่านี้จะกลับมาใช้นโยบายร่วมจ่ายเหมือนเดิม เนื่องจากอเมริกามีการจัดฉีดวัคซีนให้ประชากรอย่างทั่วถึง ทำให้ทุกคนมีโอกาสที่จะป้องกันตัวเองจากการป่วยหนัก         เรื่องนี้อาจเป็นสิ่งจูงใจให้คนที่ยังลังเล “ไม่อยากเสี่ยง” หรือไม่ต้องการรับวัคซีนโควิด-19 ยอมไปรับวัคซีนกันมากขึ้น เพื่อป้องกันการป่วยหนักหากได้รับเชื้อ รวมถึงภาระค่าใช้จ่ายสูงลิ่วที่ตามมาด้วย ไม่มีสิทธิเก็บ         ลูกหนี้เงินกู้ซื้อบ้านและสินเชื่อส่วนบุคคลจำนวน 150,000 คนในนิวซีแลนด์รวมตัวกันยื่นฟ้องคดีแบบกลุ่ม ขอให้ธนาคาร ASB และ ANZ คืนค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยที่เรียกเก็บไป         ตามกฎหมายนิวซีแลนด์ ธนาคารไม่สามารถเรียกเก็บดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมได้ หากไม่ได้ชี้แจงข้อตกลงและเงื่อนไขให้ผู้บริโภคทราบ         ก่อนหน้านี้ทั้งสองธนาคารได้ทำข้อตกลงยอมรับผิดกับคณะกรรมการการค้า ในข้อหาไม่ให้ข้อมูลกับผู้บริโภค โดย ANZ ตกลงจ่ายค่าปรับ 35 ล้านเหรียญ (ประมาณ 847 ล้านบาท) สำหรับความผิดระหว่าง 30 พฤษภาคม 2015 ถึง 25 พฤษภาคม  2016 ในขณะที่ ASB ตกลงจ่าย 8.1 ล้านเหรียญ (ประมาณ 189 ล้านบาท) สำหรับความผิดระหว่าง 6 มิถุนายน 2015 ถึง 18 มิถุนายน 2019         อย่างไรก็ตาม ทนายความที่ทำคดีนี้กล่าวว่าผู้บริโภคยังมีสิทธิตามกฎหมายสัญญาเงินกู้และสินเชื่อผู้บริโภค ที่จะเรียกร้องขอเงินที่ธนาคารเก็บเป็นค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ยในช่วงดังกล่าว รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านเหรียญคืนด้วย  นิสัยใหม่         ข้อมูลการใช้เงินของผู้คนในเมืองซิดนีย์และเมลเบิร์นของออสเตรเลีย ระบุว่าสิ่งที่คนเหล่านี้ “เปย์” หนักขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญในช่วงล็อกดาวน์ปีนี้คือการพนันออนไลน์         การตรวจสอบข้อมูลการโอนเงินรายสัปดาห์โดยบริษัท Accenture และ illion  พบว่าปีนี้การเล่นพนันออนไลน์เพิ่มขึ้นจากระดับปกติร้อยละ 329 มากกว่าปีที่แล้วที่ร้อยละ 215 ทั้งนี้เพราะการพนันยุคนี้กลายเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้มือ รวมกับการที่ผู้คนอยู่บ้านนานจนเบื่อ แถมยังมีเงินเหลือใช้เพราะไม่ได้ไปเที่ยว         อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่าวมองว่าการใช้จ่ายดังกล่าวยังอยู่ในระดับของความบันเทิงที่หาได้ง่ายในช่วงล็อกดาวน์ แต่จะถึงขั้นเสพติดจนน่าวิตกหรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป          การสั่งอาหารผ่านบริการเดลิเวรี่ปีนี้เพิ่มขึ้นจากปกติถึงร้อยละ 203 เช่นกัน (จากสถิติร้อยละ 132 ในช่วงล็อกดาวน์ปีที่แล้ว) สินค้าอีกสองประเภทที่ผู้คนสองเมืองนี้นิยมซื้อมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญคืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง      สะอาดพอไหม        ในวิดีโอแนะนำ “ปารีสโอลิมปิก 2024” ฝรั่งเศสได้เปิดเผยต่อชาวโลกว่าจะจัดแข่งขันไตรกรีฑาในส่วนของการว่ายน้ำ ในแม่น้ำแซนบริเวณใต้สะพานเจน่า (Pont d’ lena) โดยมีฉากหลังเป็นหอไอเฟิล ทำให้หลายคนเกิดความสงสัยว่า แม่น้ำแซนสะอาดพอที่จะลงว่ายได้แล้วหรือ         ประชากรกว่าร้อยละ 30 ของประเทศตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้แม่น้ำแซน ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำสายหลัก 4 สายของฝรั่งเศส จึงเป็นความท้าทายของทุกรัฐบาลที่จะทำให้แม่น้ำนี้ใสสะอาดปราศจากมลพิษ         ปริมาณแบคทีเรียในแม่น้ำอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ไม่เป็นปัญหา ที่ต้องแก้ไขคือการปนเปื้อนของสารเคมีการเกษตร โดยเฉพาะไนเตรต ขณะเดียวกันยังมีเศษพลาสติกปะปนโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บริเวณปากแม่น้ำ เนื่องจาก 2 ใน 5 ของโรงงานผลิตพลาสติกรายใหญ่ของประเทศตั้งอยู่บนแม่น้ำสายนี้         แต่อาเธอร์ เจอร์เมน (ลูกชายของแอนน์ ฮิลกาโก นายกเทศมนตรีเมืองปารีส) ที่ลงว่ายในแม่น้ำแซนเป็นระยะทางรวม 800 เมตร โดยใช้เวลารวม 50 วัน พร้อมอุปกรณ์ทดสอบคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ บอกว่าตัวเขาไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ไม่เป็นสิวและไม่ปวดท้อง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 225 ด้ายแดง : เพราะเหรียญนั้นมีสองด้านเสมอ

                ธรรมชาติของเหรียญก็ต้องมีสองด้านเสมอ แต่ปัญหาก็คือ ถ้ามีเหรียญหนึ่งอันวางอยู่ คนเราก็มักจะมองเห็นเพียงด้านหนึ่งของ “หัว” หรือ “ก้อย” ที่หงายขึ้น โดยอาจจะหลงลืมไปว่า ยังมีอีกด้านของเหรียญที่คว่ำไว้โดยที่เรามองไม่เห็น เฉกเช่นเดียวกับโลกทัศน์หรือวิธีคิดของคนเราที่มีต่อโลก ก็เป็นประดุจดังเหรียญสองด้าน ซึ่งหากเราเลือกพลิกด้านหนึ่งของเหรียญหรือโลกทัศน์บางอย่างมามองดูโลกรอบตัวแล้ว เราก็มักไม่สำเหนียกว่า ยังมีเหรียญอีกด้านที่มองต่างมุมกันออกไป         ละครโทรทัศน์เรื่อง “ด้ายแดง” ก็คือ บทพิสูจน์การมีอยู่ของเหรียญที่มีสองด้านในความคิดของสังคมเช่นกัน โดยเริ่มต้นเปิดฉากขึ้นที่คฤหาสน์จีนหลังใหญ่ของตระกูลมหามงคล กับภาพของตัวละคร “เหม่ยอิง” คุณนายใหญ่ของบ้านที่นั่งถักทอ “ด้ายแดง” เพื่อเอาไว้มอบให้เป็นสิริมงคลแก่ “หลงเว่ย” ผู้เป็นบุตรชาย         เสียงก้องในห้วงคำนึงของเหม่ยอิงที่มีสีหน้าอิ่มเอิบ ในขณะที่ผูกสานเส้นด้ายสีแดงไว้ให้ลูกชาย เป็นคำพูดที่กล่าวขึ้นว่า “คนจีนเรามีคำพูดว่า ด้ายในมือแม่ไม่มีวันหมด เพราะคนเป็นแม่ต้องปะชุนเสื้อผ้าให้ลูกไปจนวันตาย แต่จริงๆ แล้ว ความหมายของคำๆ นี้มันลึกซึ้งกว่านั้น ในเมื่อเกิดมาเป็นแม่ลูกกันแล้ว แม่ก็ต้องปกป้องดูแลลูก ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ความรักของแม่ก็เหมือนเส้นด้ายที่ยืดยาวไม่มีวันหมดสิ้น...ตลอดกาล...”         การเปิดฉากด้วยภาพเช่นนี้อาจตีความเป็นความหมายสองนัย โดยนัยหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่า เส้นเรื่องหลักของละครได้ผูกรัดให้เราเห็นความสัมพันธ์ที่มารดาจะถักร้อยให้กับบุตรชายด้วยความรักแบบไม่มีวันสิ้นสุด        แต่โดยอีกนัยหนึ่งนั้น เบื้องหลังของคฤหาสน์จีนหลังใหญ่ซึ่งมีม่านประเพณีปฏิบัติกันมาช้านาน ก็บ่งบอกด้วยว่า ขณะที่แม่ผูกทอความสัมพันธ์มายังลูกชายนั้น ระบบค่านิยมที่สลักฝังอยู่ในพรมแดนของบ้าน ก็คืออีกตัวแปรหนึ่งที่เข้ามากำกับชีวิตของหลงเว่ยภายใต้เส้นด้ายสีแดงที่ร้อยรัดข้อมือของเขาไว้ด้วยเช่นกัน         ตามท้องเรื่องเดิมนั้น ตระกูลมหามงคลมี “เจ้าสัวหม่า” เป็นประมุขใหญ่ของบ้าน โดยมีภรรยาสองคนคือ “เลี่ยงจิน” ภรรยาหลวงหรือเป็นคุณนายใหญ่ที่คนในครอบครัวจีนรับรู้โดยทั่วไป กับตัวของเหม่ยอิงที่มีสถานภาพเป็นคุณนายรอง         ด้วยความเชื่อตามจารีตเดิมของครอบครัวจีนขนาดใหญ่นั้น มักยึดมั่นยึดติดกับเรื่องดวงชะตาที่กำหนดชีวิตของปัจเจกบุคคล ฉะนั้น เมื่อซินแส “สินอู่” ได้ทำนายดวงชะตาของหลงเว่ยว่าจะชงกับพี่ชายต่างมารดา และคำทำนายนั้นก็เกิดเป็นจริงขึ้นมา เพราะ “เทียนอี้” ลูกชายคนโตเสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของหลงเว่ย เจ้าสัวหม่าจึงส่งหลงเว่ยไปเรียนที่ฮ่องกงเพื่อให้ห่างไกลบ้านมหามงคล         ต่อมา เมื่อเจ้าสัวหม่าและคุณนายใหญ่เลี่ยงจินได้ถึงแก่กรรมลง เหม่ยอิงจึงได้ขึ้นครองเป็นคุณนายใหญ่แห่งบ้านมหามงคลแทน แต่เพราะผู้หญิงที่ไม่เคยถือครองอำนาจมาก่อน ต้องก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่ในฐานะผู้นำของบ้าน คุณนายใหญ่คนใหม่ก็ต้องพบว่า ขนบธรรมเนียมที่ตระกูลมหามงคลและแม้แต่ตัวเธอเองยึดมั่นอยู่นั้น ต้องฝ่าแรงคลื่นพายุแห่งความเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาปะทะถาโถมระลอกแล้วระลอกเล่าเพียงใด             โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหลงเว่ยถูกเรียกตัวกลับมาเพื่อให้สืบทอดกิจการของตระกูล พลันที่เขาและ “ซูซี่” ภรรยาชาวฮ่องกงที่กำลังตั้งท้องอยู่ ได้ย่างเหยียบเข้ามาในคฤหาสน์หลังใหญ่ สงครามระหว่างตัวแทนแห่งม่านประเพณีอย่างเหม่ยอิง กับโลกทัศน์แบบเสรีนิยมหัวก้าวหน้าของซูซี่ ก็ได้เริ่มต้นฉากสัประยุทธ์ขึ้นทันที         แม้ว่าจริงๆ แล้ว บ้านมหามงคลจะปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นระลอกๆ ตั้งแต่ตัวเรือนของบ้านที่ออกแบบให้ผสมผสานสไตล์ตะวันตก ตัวละครชายที่เลือกสวมเครื่องแต่งกายในชุดสากล หรือการพูดภาษาไทยโดยไม่ติดสำเนียงจีนแบบดั้งเดิม เหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นว่า ความเป็นจีนเองก็มีมุมที่ปรับปรนปรับเปลี่ยนตลอดเวลาอยู่แล้ว         แต่เมื่อต้องมาเผชิญคลื่นลมระลอกใหม่ๆ อย่างตัวละครซูซี่ผู้ “ไม่แคร์เวิร์ลด์” หรือมิได้ใส่ใจกับประเพณีปฏิบัติโบร่ำโบราณเท่าใดนัก ตั้งแต่การเมินเฉยต่อธรรมเนียมกินข้าวร่วมโต๊ะ การแต่งตัวที่ไม่ยึดติดขนบจารีตเดิม อากัปกิริยาสมัยใหม่ที่แสดงออกได้แม้แต่ในที่สาธารณะ ไปจนถึงการแต่งงานอยู่กินกันก่อนจะเข้าพิธียกน้ำชาให้ญาติผู้ใหญ่ แบบแผนปฏิบัติที่ขัดกับศีลาจารวัตรเดิมๆ ย่อมเป็นสิ่งที่เหม่ยอิงมิอาจยอมรับได้          และแน่นอน บททดสอบความแข็งแกร่งของวัฒนธรรมจีนที่สายอนุรักษนิยมสุดขั้วยึดมั่นมากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นแรงปะทะที่มีต่อความเชื่อในโชคชะตา ที่ฝังรากเอาไว้ในธรรมเนียมนิยมหลักของครอบครัวจีน ดังคำที่เหม่ยอิงพูดอยู่เสมอว่า “คนคำนวณ ไม่สู้ฟ้าลิขิต”         ดังนั้น อีกครั้งเมื่อซินแสสินอู่ได้ทำนายว่า ลูกในท้องของซูซี่จะเป็นกาลกิณีต่อหลงเว่ยผู้เป็นพ่อ เหม่ยอิงจึงทำทุกวิถีทางเพื่อขจัดลูกของซูซี่ และนำหลานในไส้ไปทิ้งศาลเจ้าให้ไกลจากบ้านมหามงคล เหมือนกับที่เธอพูดกับ “อาจู” สาวใช้คนสนิทว่า “ถ้าคนหนึ่งจะมา แล้วอีกคนจะไป คนที่จะไปต้องไม่ใช่ลูกฉัน”         จากนั้น ปฏิบัติการผลักไสให้ซูซี่ทิ้งหลงเว่ยกลับฮ่องกง และยัดเยียดให้ “เพ่ยเพ่ย” หญิงสาวอีกคนมาเป็นภรรยาของหลงเว่ยจึงอุบัติขึ้น โดยที่ทั้งหลงเว่ยและเพ่ยเพ่ยหาได้ยินยอมพร้อมใจแต่อย่างใดไม่        ระบบคิดแบบอนุรักษนิยมที่คอยจะจับวางใครต่อใครให้มาเป็นหมากเบี้ยบนกระดาน จึงไม่ต่างจากภาพที่คุณนายเหม่ยอิงหยิบเอาเส้นด้ายสีแดงมาถักทอร้อยรัดข้อมือบุตรชายเอาไว้ด้วยความรัก แต่ในท้ายที่สุด กลับนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่เพ่ยเพ่ยเองได้กระทำอัตวินาตกรรม และหลงเว่ยก็รู้ความจริงว่า มารดาของตนอยู่เบื้องหลังการจับชีวิตเขาร้อยไว้ด้วยกฎเกณฑ์ทางประเพณีแบบไม่ให้ดิ้นหลุดได้เลย         ฉากที่หลงเว่ยกระชากด้ายแดงจนขาด เพื่อสลัดตนออกจากความขัดแย้งสองแพร่งของอุดมคติแบบอนุรักษนิยมและอุดมการณ์แบบเสรีนิยม จึงไม่ต่างจากประโยคที่เขากล่าวกับมารดาว่า “เลิกทำเพื่อผมเสียที ผมไม่ต้องการให้แม่มาดูแลปกป้องผมอีกแล้ว ความรักความห่วงใยของแม่มันรัดคอจนผมหายใจไม่ออกแล้ว สักวันผมคงจะต้องตายด้วยความหวังดีของแม่...”         จนมาถึงในเจนเนอเรชั่นรุ่นถัดมา ชะตากรรมของ “หลิงหลิง” หลานสาวในไส้ที่ถูกทิ้งไว้ที่ศาลเจ้าตั้งแต่แรกคลอด กับ “ป่อป้อ” ลูกติดท้องของเพ่ยเพ่ยก่อนแต่งงานมาเป็นสะใภ้เหม่ยอิง ก็ยิ่งสำทับภาพปัจเจกบุคคลที่ต้องมาอยู่กลางสนามรบของโลกทัศน์ความคิดที่สุดขั้ว ไม่ต่างจากที่รุ่นพ่อและแม่เคยเผชิญมาอีกเช่นกัน        จากรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่เช่นนี้ ตราบใดที่ “เหรียญสองด้าน” ของขั้วความคิดที่แตกต่าง ไม่ยอมลดทอนมิจฉาทิฐิลงเสียบ้าง ยังเป็นอนุรักษนิยมที่เพิกเฉยต่อโลกที่เปลี่ยนแปลง หรือเป็นเสรีนิยมที่ไม่ไยดีต่อธรรมเนียมปฏิบัติเดิมกันเลย บทสรุปของด้ายแดงที่ถูกสะบั้นขาดออกไปด้วยมือของหลงเว่ย ก็คงคุ้นๆ คล้ายๆ กับภาพสังคมการเมืองแบบที่เราก็เห็นอยู่ตรงหน้าทุกวัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 225 เพจสมุทรสงครามจัดการตนเอง

        อาจารย์บัณฑิต ป้านสวาท เขาทำงานพัฒนาชุมชน ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ได้อย่างเข้มข้น เป็นทั้งผู้ก่อตั้งและดูแล เพจสมุทรสงครามจัดการตนเอง และ เพจแม่กลองพานิชย์ ซึ่งเป็นสองเพจดังที่ไม่มีใครในสมุทรสงครามไม่รู้จัก การทำงานผ่านทางเฟซบุ๊คของเพจสมุทรสงครามจัดการตนเองและแม่กลองพานิชย์นั้นเป็นตัวอย่างของสังคมออนไลน์ดีๆ ที่เรียนรู้และพัฒนาการอยู่ร่วมกันของผู้คนในชุมชนออนไลน์เล็กๆ นี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความหวังดี ที่ฉลาดซื้อนำมาฝากกันในวันที่ลมหนาวเริ่มมาเยือน ที่มาของสมุทรสงครามจัดการตนเอง        จริงๆ แล้วสมุทรสงครามจัดการตนเอง “มันไม่ได้ทำแค่เรื่องคุ้มครองผู้บริโภคอย่างเดียว” อย่างชื่อที่มันบอกไปคือสมุทรสงคราม คนสมุทรสงคราม  เราจะจัดการในเรื่องของตัวเราเอง ในพื้นที่ของเราเอง ฉะนั้นคือเรื่องความทุกข์ร้อนปัญหาอะไรต่างๆ ก็เอาเข้ามาคุยกันในกลุ่ม โดยกลุ่มนี้ก็จะเป็นกลุ่มโซเชียลเน็ตเวิร์ค  ผมเคยมีประสบการณ์ในการที่ถูกกระทำ ถูกเอารัดเอาเปรียบ แล้วก็อาศัยพึ่งพาหน่วยงานบางหน่วยงานของรัฐไม่ได้ อย่างนี้เราก็เลยมีความรู้สึกว่าถ้าอย่างนี้เราจะทำให้มันเกิดการแก้ไขปัญหาได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าหน่วยงานทั้งหมดไม่ดี เพียงแต่ว่ามีบางหน่วยงานเขาอาจจะทำงานไม่เต็มที่          เมื่อคิดว่าส่วนใหญ่แล้วสื่อจะเป็นส่วนที่ช่วยในการกระตุ้นกระบวนการให้มันเป็นไปในแนวทางที่ควรจะเป็น เราก็เลยมองว่า ณ ช่วงนั้นเมื่อ 7 ปีที่แล้วมันมีอะไรที่จะสามารถช่วยได้บ้าง แล้วด้วยตัวของเราเองที่เราเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่ได้มีเงินทองมากมายที่จะทำสื่อ เราก็มีความรู้สึกว่า Facebook ง่ายที่สุด คือง่ายสุด ถูกสุด  ผมเชื่อว่าถ้าสังคมมันไม่ได้ฟอนแฟะ คนเขาจะต้องตัดสินใจจากข้อมูลข้อเท็จจริง เช่น เรื่องของการจอดรถในที่ห้ามจอด เมื่อก่อนจะมีปัญหามากเลยในตลาดแม่กลองเราก็ใช้วิธีการว่าเชิญชวนกัน ถ้าใครพบเห็นรถจอดในที่ห้ามจอด จอดผิดกฎจราจร ช่วงหลังๆ จะมีเรื่องรถทัวร์ที่มาเที่ยวในตลาดแม่กลองแล้วชอบจอดส่งนักท่องเที่ยวในที่ห้ามจอด เราก็เลยมีการพูดคุยกันว่าถ้าใครเจอช่วยถ่ายรูปเอามาลง  แต่ไม่ด่า แต่บอกว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ หลักการคือ หนึ่งใช้ความจริงมาพูด ก็คือข้อมูลข้อเท็จจริงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพ คลิป หรือเสียง อะไรก็แล้วแต่ได้หมด ก็คือเอามาวางแต่ต้องให้ข้อมูล หมายความว่าถ้ามีแค่ภาพ คุณต้องอธิบายให้ฟังได้ นอกจากไม่ด่าแล้ว ก็ต้องไม่หมิ่นประมาทใคร เพราะในช่วงแรกๆ เลยมันมีการหมิ่นประมาทกันบ่อย        ตอนที่เริ่มทำแรกๆ ก็จะไม่ค่อยมีคนสนใจ “กฎ” เท่าไหร่ แต่พอสักระยะหนึ่งจะมีคนนำข้อมูลเหล่านี้มาวางลงเรื่อยๆ เริ่มมีคนเยอะขึ้นภาพเหล่านี้มันก็จะแสดงไปด้วยตัวมันเอง พอแสดง คนก็วิพากษ์วิจารณ์หมายถึงว่าหน่วยงานน่าจะมาทำอย่างนั้นอย่างนี้นะ คอมเม้นท์ด่า(หมิ่นประมาท) ก็มาก  ก็จะมีคนมาแจ้ง Admin ก็คือผม ผมก็ไปจัดการเตือนแล้วก็ลบข้อความ ถ้ายังมีอีกก็อัญเชิญออก อีกอย่างหนึ่งที่บอกว่าตรงนี้เราไม่ใช่แค่ว่าเราบอกเขาเฉยๆ เราทำเป็นกติกาของกลุ่มเลย ข้อตกลงร่วมกันของกลุ่ม ถ้าคุณมีความเห็นแบบไม่ว่าใคร เดี๋ยวผมส่งลิงค์ข้อตกลงให้ดู เป็นประกาศของกลุ่มเลย ถ้าส่งไปให้ดูอาจะรู้สึกว่าทำไมมันยาวจัง แต่ข้อตกลงเหล่านี้เกิดจากปัญหาที่เกิดขึ้นในกลุ่ม มีคนเป็นสมาชิกประมาณกี่คนในเพจ        เนื่องจากจังหวัดเราเล็ก เราจะมีสมาชิกอยู่ประมาณ 34,000 ราย ถ้าจำไม่ผิด จังหวัดอื่นเขามีกลุ่มที่ใหญ่กว่านี้เขามีกลุ่มละเป็นแสนเลย แต่ว่าเรามองว่าเราไม่เอาใจใครนะ แต่ว่าเราเอาเรื่องที่เป็นประโยชน์มาคุยกัน เรื่องที่เป็นสาระที่เป็นประโยชน์เป็นเรื่องของการพัฒนาข้อเสนอแนะในส่วนของพื้นที่ แล้วก็เรื่องที่เป็นปัญหาที่ควรจะต้องแก้ อันนี้คือสมุทรสงครามจัดการตนเองดำเนินการมา 7 ปี ปีนี้ขึ้นปีที่ 8 อย่างที่เราบอกคือ กลุ่มเราคุยกันเรื่องส่วนรวม  ตอนนี้มี Admin อยู่ประมาณ 14 – 15 คน เนื่องจากว่าทีแรกผมคิดคนเดียวทำขึ้นมา พอทำขึ้นมาระยะหนึ่งเขาเรียกว่าธรรมชาติของกลุ่มมันทำให้เกิดการแก้ไขปัญหา ทำให้เกิดการขับเคลื่อนอะไรหลายๆ เรื่องได้ คนที่เขารู้สึกว่าเขาเข้าใจการทำงานของผม เริ่มเข้ามาช่วย มาช่วยเก็บข้อมูลทำนั่นทำนี่ มันก็เลยกลายเป็นว่าพอมีคนเข้ามาช่วย เราก็ได้ Admin เพิ่ม คือจริงๆ แล้วคนเป็นหมื่นๆ ผมควบคุมดูแลคนเดียวไม่ได้ ก็ได้จิตอาสาที่เป็นน้องๆ หลายคนเข้าร่วม เนื่องจากว่าเขาเห็นว่าสิ่งนี้มันเป็นประโยชน์กับจังหวัดกับพื้นที่ แล้วเพจแม่กลองพานิชย์เริ่มต้นอย่างไร        อย่างที่บอกคือสมุทรสงครามจัดการตนเองดำเนินการมาสักพักหนึ่งเริ่มมีคนโพสต์ขายของเยอะขึ้น เราก็คิดกันในทีม Admin ว่าจะทำอย่างไรดี ก็เลยตัดสินใจยอมเหนื่อยอีกหน่อยหนึ่งไปสร้างกลุ่มอีกกลุ่มหนึ่งให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้(พวกขายของ) ชื่อว่ากลุ่มแม่กลองพานิชย์ ก็คือเป็นกลุ่มขายของ คุณก็ไปขายเลยที่นี่ ทีแรกคนก็ยังไม่เยอะก็ไม่เท่าไหร่ เพราะว่าเขาต้องการขายของต้องการอะไรหลายๆ อย่าง พอเราตักเตือนนิดหน่อยที่ไม่เหมาะสมก็มาหาว่าเราอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าอย่างนั้นไม่เตือนแล้ว วิธีการคือทำกติกาเหมือนสมุทรสงครามจัดการตนเองเลย แล้วกติกาของแม่กลองพานิชย์หนักหนากว่าสมุทรสงครามจัดการตนเองอีกในรายละเอียด เพราะว่าประสบการณ์มันค่อยๆ เกิด         ก็คือคนก็อยากจะขายแบบเสรี มาโฆษณาร้านขายเหล้า ร้านดนตรี ซึ่งโดยส่วนตัวของทีม Admin เราก็ไม่ตกลงแล้ว เราไม่อยากให้เรื่องพวกนี้มันสื่อออกไป อย่างกรณีของกฎหมายทางภาครัฐ ก็ไม่ให้โฆษณาขายเหล้าเบียร์อยู่แล้ว ประเด็นหนึ่งที่เราถือเป็นหลัก คือเรื่องของโพสต์ทั้งหมดจะต้องไม่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหล้า เบียร์ อบายมุข 4  เรื่องการค้าบริการทางเพศ เรื่องของสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิ์ เราจะพยายามกรองให้  ได้มากที่สุด  “แต่ว่าบางทีเอาตรงๆ เราก็ไม่รู้ว่าอันไหนผิดก็มีนะก็ต้องปล่อยไป”  ยกตัวอย่างได้ไหม        ยกตัวอย่างเช่น รีเทนเนอร์ที่จัดฟันแฟชั่น ทีแรกเราก็ไม่รู้ว่ามันผิด แต่ว่าพอสักระยะหนึ่งมานั่งนึกดูพวกจัดฟันส่วนใหญ่เป็นทันตแพทย์ เราก็เลยใช้วิธีการปรึกษากับทางทันตแพทย์ในจังหวัด คุณหมอมานะชัย (ทพ.มานะชัย ทองยัง) ใช้วิธีการปรึกษาเราก็รู้ว่า อันนี้มันเป็นเครื่องมือหรือวัสดุทางการแพทย์ ถ้าไม่ใช่หมอฟันหรือเจ้าหน้าที่ที่ได้รับใบประกาศเฉพาะทางที่ทำตัวรีเทนเนอร์อันนี้ได้ ถือว่าผิดกฎหมาย เราก็เริ่มศึกษาพวกนี้ แล้วมันก็จะมีหลายๆ อย่างตามเข้ามาเช่น น้ำหอมฟีโรโมน ซึ่งเราว่าไม่เหมาะแล้ว หลังๆ มาตัวระเบียบกติกาต้องเป๊ะ คือใช้กฎหมายมาจับเป็นหลัก เช่นของที่มีบรรจุภัณฑ์เป็นของกิน ที่บรรจุภัณฑ์มันก็ต้องมีเลข อย.(เลขสารบบอาหาร) มีมาตรฐานที่ชัดเจนแสดงในการโพสต์ขายด้วย เรื่องยาลดความอ้วนห้ามเลย นมฟู รูฟิต นกเขาแข็ง คุณไม่ต้องหวังที่จะเข้ามาโพสต์ขายในเพจนี้          อีกส่วนหนึ่งที่เราพยายามคัดกรองคือ  เพจแม่กลองพานิชย์ จะมีระบบเลขสมาชิก ไม่ใช่เก็บเงินนะ อย่างที่บอกเรื่องพวกนี้มันเกิดมาจากลักษณะของการเป็นจิตอาสา หนึ่งคือเรามองว่าจัดการปัญหาส่วนรวมโดยมีบทเรียนส่วนหนึ่งจาก เพจสมุทรสงครามจัดการตนเอง แล้วก็มาเรื่องการค้าขายธุรกิจชุมชนที่เป็นแม่กลองพานิชย์ แต่ว่ามันก็ควรจะต้องให้เป็นตลาดสีขาว เราควรเป็นตัวอย่างของตลาดสีขาว มันก็เลยกลายเป็นว่ามีกติกาแล้วก็ของหลายๆ อย่างขายไม่ได้ ระบบเลขสมาชิกนี้เกิดขึ้นเพื่อที่ไม่ให้ผู้ขายเอาเปรียบผู้ซื้อและไม่ให้ผู้ซื้อเอาเปรียบผู้ขาย เพราะว่าในเมื่อคุณเป็นผู้ขาย คุณใช้เฟซอย่างเดียวไม่มีตัวตนก็ได้ จริงไหม เราไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เพราะฉะนั้นเราเลยตั้งกติกา        ทีม Admin ยอมเหนื่อยหน่อย คนที่เข้ามาที่นี่เขาจะต้องกรอกแบบฟอร์มใน Google Form เข้ามา ชื่อ ที่อยู่ ที่อยู่ปัจจุบัน ภูมิลำเนาเดิม เบอร์โทรศัพท์ ID Line E-mail สินค้าที่ขาย ถ้ามีหน้าร้าน หน้าร้านชื่ออะไรประมาณนี้ แล้วก็ต้องมีการส่งรูปหน้าตรงมาด้วย สิ่งหนึ่งที่เราไม่เอาคือเลขบัตรประชาชนเราไม่อยากมีปัญหา แต่ตรงนี้ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะส่งข้อมูลจริงมา ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาจะส่งไหม แต่อย่างน้อยก็เป็นการให้ได้ข้อมูลมากที่สุด มันก็เป็นการป้องกันอย่างหนึ่งว่า ถ้าเขาไม่ได้จงใจมาหลอกใครจริงๆ เขาก็จะส่งข้อมูลจริงๆ มา อันนี้ก็เป็นการป้องกันระดับหนึ่ง หลังจากที่ผู้ขายได้เลขสมาชิกไปแล้วเขาก็จะโพสต์ขายได้ มันก็จะมีกติกาเพิ่มว่าห้ามโพสต์เกินสามรูป ห้ามโพสต์เกินหนึ่งครั้งต่อวันแบบนี้ หนึ่งคือเพื่อไม่ให้โพสต์ในกลุ่มมากเกินไป เพราะว่ากลุ่มนี้จะมีสมาชิกอยู่ประมาณ 35,000 คน ผู้ขายตอนนี้ปัจจุบันที่เราออกเลขไปแล้วมีอยู่ 6,000 กว่าๆ เฉพาะผู้ขาย ทีนี้ถ้าสมมติว่าวันหนึ่งมี 6,000 แล้วผู้ขายแค่โพสต์พันเดียวใครจะไปดูในโพสต์ บางคนโพสต์วันละสามสี่ครั้ง คือจำกัดไว้ว่าคนละหนึ่งโพสต์ต่อวันประมาณนั้น            สำหรับการดูแลผู้ซื้อ เราจะมีการเก็บข้อมูลเพื่อเวลาที่ผู้ขายเขาเอาเปรียบลูกค้า หรือสั่งแล้วไม่ไปส่ง หรือส่งของไปแล้วของบูด ของใช้ไม่ได้ พอลูกค้ารายงานกลับมาทาง Admin ก็สามารถให้ข้อมูลที่เป็นส่วนตัวผู้ขายได้ ถ้าเป็นลักษณะของการฉ้อโกงหรือเอาเปรียบผู้บริโภค เราก็จะให้ข้อมูลเขาเพื่อไปแจ้งกับ สคบ. หรือไปแจ้งตำรวจก็ได้ ซึ่งแล้วแต่รูปแบบว่าโดนเอาเปรียบแบบไหน นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง          ไม่ใช่แค่ดูแลคนซื้อ เราก็ดูแลคนขายด้วย คือมีวิธีป้องกันไม่ให้ผู้ซื้อเอาเปรียบผู้ขาย อย่างนี้นะ สมมติว่าคนขายเขาส่งของไปแล้ว เกิดคนสั่งซื้อไม่อยู่ไม่รับของ หรือว่าเกิดความเสียหายกับผู้ขาย อันนี้เราก็จะมีกระบวนการ การเตือน การห้ามโพสต์ การแบนอะไรพวกนี้อยู่ คือให้มันเป็นตลาดที่มีความยุติธรรมกันระหว่างทั้งคู่ เราแค่คอยช่วยกำกับดูแลให้ประมาณนั้น  แล้วก็เป็นตลาดฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ที่ผ่านมามีปัญหามากน้อยแค่ไหนสำหรับทั้งสองเพจที่ดูแลอยู่        ส่วนใหญ่ถ้าจะเกี่ยวกับผู้บริโภคก็จะเป็นแม่กลองพานิชย์ ส่วนหนึ่งที่เราเจอปัญหาก็คือคนจะพยายามขายของประเภทที่ผิดกติกา เช่นพวกผลิตภัณฑ์สุขภาพ เมื่อก่อนช่วงแรกๆ ที่เรายังไม่สามารถกั๊กโค๊ดไว้ได้ ช่วงแรกๆ ที่ Facebook ออกมา ถึงจะทำเป็นกลุ่มขายของก็จริง แต่ว่าจะยังตั้งค่าไม่ได้ ใครโพสต์มันก็จะลงในกลุ่มเลยแต่ว่าช่วงหลังๆ มันสามารถกันได้   เมื่อก่อนมันจะมีกลุ่มคนพวกนี้ พวกขายยาลดความอ้วน ผลิตภัณฑ์สุขภาพทุกอย่าง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ถึงมี อย. เราก็ไม่ให้ลงขายนะ เพราะว่าเราไม่สามารถรู้ได้ว่าถึงจะมี อย. แต่ไม่รู้ว่าเขาจะใส่อะไรที่ไม่ถูกต้องไปหรือเปล่า สูตรที่แจ้งไปเป็นแบบนี้  แต่เวลาคุณทำจริงทำอีกแบบหนึ่งก็ได้เรากันไว้ก่อน คือมันไม่ใช่ของจำเป็นที่คนจะต้องกินก็ได้ เราห้ามเลย อีกส่วนหนึ่งก็คือพวกอาวุธพวกปืนเราก็ไม่ให้ บางคนเสนอขายมีดพับบัตรเครดิต  ซึ่งเป็นลักษณะมีดที่เป็นอาวุธเราก็ไม่ให้ขาย ส่วนของคุ้มครองผู้บริโภคอย่างที่ว่าคือเรามีกติกาเพื่อป้องกันการโกงกัน สิ่งที่ได้รับจากการทำเพจทั้งสอง        เมื่อก่อนผมทำโดยวัตถุประสงค์หลักคือ ผมไม่ได้รับความยุติธรรมจากหน่วยงานรัฐหรือว่าจากสังคม เหมือนมองโลกในแง่ร้าย สมัยก่อนนะ แต่เมื่อเรามีจุดเปลี่ยนบางจุด ผมได้เข้าร่วมการอบรมในเรื่องของจังหวัดจัดการตนเอง ซึ่งอาจจะไม่เหมือนกับที่ใครหลายๆ คนเข้าใจนะ  บางคนจะเข้าใจว่าหลักคิดของจังหวัดจัดการตนเองคือการเลือกตั้งผู้ว่า การแบ่งแยกการปกครองมาอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่ หลักการคือมันเป็นการจัดการตนเองของภาคประชาชน ของคนในพื้นที่นั้นๆ อันนั้นคือจุดเปลี่ยนของผมที่ผมได้ไปรับรู้ข้อมูล        สมุทรสงครามจัดการตนเองก็คือ เรามีหน้าที่ไปดึงจิตอาสามาจากบุคคลทั่วไปที่เขาอยู่ในชุมชนนี้ให้ออกมาช่วยกัน เราอาจจะดึงไม่ได้ทุกคน แต่เรากระตุ้นด้วยวิธีการผลักดันขับเคลื่อนเอาภาพมาแสดงให้เห็น แล้วหลังจากนั้นไปสักระยะหนึ่งมีการติดตามผล เราทำให้เห็นผลลัพธ์ด้วย ก็คือเราก็เอาภาพผลปลายทางมาลงให้ด้วย เราไม่ได้ลงเพื่อหน่วยงานรัฐ แต่เราลงเพื่อให้คนเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เป็นผลของการที่เรารู้จักสิทธิของตนเอง รู้จักคุณค่าในความเป็นมนุษย์ของตนเองที่มีสิทธิเท่าเทียมกับคนอื่น เราทำไปแบบนี้แล้วผลที่ได้มันเป็นอย่างไร อันนี้คือที่เราพยายามดึงสิ่งเหล่านี้ออกมาจากหลายๆ คนซึ่งหลายๆ คนเขาคิดว่าเขาไม่มีนะ แต่บางคนเขาก็สามารถฉุดดึงออกมาได้ก็ถือว่าโอเคนะ ร้อยคนดึงได้สักสองสามคน สร้างกระบวนการให้เขาขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ออกมาจากตัวเขาเองได้ก็ถือว่าโอเคแล้วครับ..................................Fb : เพจสมุทรสงครามจัดการตนเองเป็นกลุ่มที่ใช้การนำเสนอประเด็นปัญหา การพัฒนาชุมชน และมุมมองด้านสังคม วัฒนธรรม โดยใช้กระบวนการปรึกษาพูดคุย ร่วมเสนอแนะแง่มุมต่างๆ ในการแก้ปัญหา และพัฒนาด้วยข้อเท็จจริง เมื่อได้ข้อสรุปก็ช่วยกันผลักดันไปสู่การปฏิบัติของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนในท้องถิ่นด้วย ซึ่งที่ผ่านมีหลายปัญหาในจังหวัดได้ถูกแก้ไขและเกิดการพัฒนาหลายอย่างด้วยกระบวนการเหล่านี้ด้วย  Fb : แม่กลองพานิชย์เป็นกลุ่มที่ช่วยให้เกิดช่องทางการค้าขายสินค้าและบริการของชุมชน ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทำให้ผู้ขายและผู้ซื้อได้พบกันง่ายขึ้น ผู้ขายในชุมชนสามารถทำการตลาดได้ง่าย โดยมีโทรศัพท์มือถือ(สมาร์ทโฟน) เพียงเครื่องเดียวก็สามารถของสินค้าและบริการของตนเองได้ โดยกลุ่มแม่กลองพานิชย์มีกติกาที่ชัดเจน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย มีกลุ่มจิตอาสาเป็นผู้ควบดูแลกลุ่มไม่ให้เกิดความวุ่นวาย หรือการละเมิดกฎหมาย(พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550) 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 199 คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว หัวใจฟรุ้งฟริ้ง : ก็เพราะแม่เป็นยิ่งกว่าแมวเก้าชีวิต

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานนิยามศัพท์เอาไว้ว่า “ผู้หญิง” หมายถึง “เพศที่ออกลูกได้” และเพราะภายใต้การกำหนดนิยามว่าเป็น “เพศที่ออกลูกได้” ดังกล่าว ก็ดูเหมือนว่า จะมีระบบวิธีคิดหลายประการที่ซุกซ่อนอยู่ในนั้น ตั้งแต่ระบบคิดที่ว่า ถึงแม้ผู้หญิงจะ “ออกลูกได้” แต่ก็ต้องอาศัยผู้ชายในการ “ผลิตลูก” ออกมา หรือถ้าผู้หญิงเป็นเพศที่ “ออกลูกได้” แล้ว หน้าที่ทางสังคมของการเลี้ยงดูกุลบุตรกุลธิดาก็จะถูกมอบหมายเอาไว้ให้กับผู้หญิงเป็นลำดับแรก ไปจนถึงระบบคุณค่าที่อธิบายว่า ถ้าจะเป็นผู้หญิงที่ดีและเป็นที่พึงปรารถนาของสังคมแล้วไซร้ ต้องพยายามสรรค์สร้างครอบครัวแบบ “พ่อแม่ลูก” จนเกิดขึ้นเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบให้จงได้ และเพราะคุณค่าความเป็น “ครอบครัวสมบูรณ์แบบพ่อแม่ลูก” ได้ถูกอุปโลกน์เอาไว้เช่นนี้เอง จึงกลายเป็นกรอบที่สังคมไทยใช้กำหนดผู้หญิงเอาไว้ไม่ให้คิดเป็นอื่น นั่นหมายความว่า หากผู้หญิงคนใดที่ริจะหย่าร้างหรือมิอาจประคับประคองชีวิตครอบครัวให้เป็นไปตามมาตรวัดดังกล่าวได้ เธอก็จะถูกตีตราว่าผิดพลาดใน “ความเป็นเพศหญิง” ตามที่สังคมได้ออกแบบไว้ จะมีตัวอย่างก็คือกรณีของ “มุลิลา” (หรือ “มู่ลี่”) ที่ดูจะเป็นตัวแทนของผู้หญิงคนหนึ่งที่ลุกขึ้นมาท้าทายบรรทัดฐานของสังคมเสียใหม่ว่า แม้แต่สิ่งที่เรียกว่า “ความเป็นแม่” ก็ใช่ว่าสังคมจะเข้ามากำหนดได้เบ็ดเสร็จสมบูรณ์ 100% เพราะด้วยสองมือของผู้หญิงที่สร้างโลกอยู่นั้น ก็สามารถออกแบบ “ความเป็นแม่” แบบที่เธอมีอำนาจเลือกเองได้เช่นกัน  มุลิลาคือตัวละครผู้หญิงวัย 30 ต้นๆ เป็นนักการตลาดในบริษัทธุรกิจใหญ่แห่งหนึ่ง ที่ดูเหมือนหน้าที่การงานน่าจะรุ่งเรืองก้าวหน้าไปได้อีกไกลเมื่อเทียบกับผู้หญิงคนอื่นที่อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน แต่ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามาโรมรันพันตู กลับทำให้ชีวิตครอบครัวและชีวิตการงานของเธอต้องเป็นทั้ง “unlucky in love” และ “unlucky in game” ไปพร้อมๆ กัน  เปิดฉากเริ่มเรื่องของละครออกมา มุลิลาที่แต่งงานอยู่กินกับ “พงศ์พิศุทธิ์” และมีลูกชายวัย 5 ขวบคือ “น้องปลื้ม” ต้องเผชิญกับสถานการณ์ปัญหาชีวิตถาโถม เพราะด้านหนึ่งชีวิตแต่งงานก็ไม่มีความสุขนัก ชีวิตครอบครัวที่เธอต้องดูแลงานทุกอยู่ในบ้านแบบ “ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ” ไปจนถึงชีวิตการงานที่เพราะเธอต้องดูแลลูกและครอบครัว จนไม่มีเวลาให้กับภาระงานนอกบ้านได้อย่างเต็มที่ วันเดียวกับที่มุลิลาถูกให้ออกจากงานประจำ เพราะเงินเดือนสูงแต่เวลาทำงานถูกเจียดไปดูแลลูกชายคนเดียว เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอก็เข้ามาเห็นภาพของสามีกำลังฟีเจอริ่งอยู่กับผู้หญิงคนอื่นอยู่ มุลิลาจึงตัดสินใจหย่าร้างกับพงศ์พิศุทธิ์ และก้าวเข้าสู่สถานภาพใหม่ของ “ซิงเกิ้ลมัม” นับจากนั้นเป็นต้นมา แม้ว่าสายตาสังคมจะตำหนิติฉินว่า เธอมีวัตรปฏิบัติเบี่ยงเบนไปจากมาตรวัดบรรทัดฐานที่ผู้หญิงดีๆ พึงกระทำกัน แต่ “คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว” อย่างมุลิลา ก็เห็นว่าเธอยังคงมี “หัวใจฟรุ้งฟริ้ง” แม้จะยืนอยู่นอกขนบที่สังคมพยายามขีดเส้นยัดเยียดเอาไว้ให้ เหมือนกับภาพในฉากต้นเรื่องหลังจากเธอตัดสินใจจะมารับสถานภาพ “คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว” ที่มุลิลาพูดกับตัวเองและหันมาทางกล้องเพื่อพูดกับผู้ชมไปพร้อมๆ กันว่า “ฉันชื่อมุลิลา...มุลิลาแปลว่าแมว” และหาก “แมวมีเก้าชีวิต” การหย่าร้างและลุกขึ้นมายืนหยัดเลี้ยงลูกน้อยด้วยตนเอง ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเธอถึงกับพังพาบสิ้นสุดลงแต่อย่างใด เมื่อต้องมาสวมบทบาทใหม่เป็น “ซิงเกิ้ลมัม” เพราะเป็นบทบาทที่เบี่ยงเบนไปจากจารีตปฏิบัติของสังคม มุลิลาจึงถูกบททดสอบมากมาย เพื่อจะให้เธอตั้งคำถามกับตัวเองว่า จะทนทายาทอยู่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวได้นานเพียงใด เริ่มต้นจาก “บุปผา” มารดาของมุลิลาเอง ที่แม้จะเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมาก่อน แต่มิไยก็พยายามหน่วงรั้งพูดกรอกหูลูกสาวให้กลับไปคืนดีกับสามีตลอดเวลา หรือ “บริสุทธิ์” อดีตแม่สามีที่วางแผนทุกทางเพื่อช่วงชิงน้องปลื้มกลับมาอยู่ในความดูแลของพงศ์พิศุทธิ์ บททดสอบถัดมา เมื่อต้องเลี้ยงดูลูกน้อยเพียงลำพัง เงื่อนไขทางเศรษฐกิจก็บีบให้คุณแม่ต้องออกทำงาน และมาเผชิญกับความอิจฉาริษยาของเพื่อนร่วมงานใหม่ ไม่ว่าจะเป็น “ตรีดาว” “พราวฟ้า” “รักชนก” และ “แพตตี้” ที่ร่วมกันใช้เหตุผลความเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเพื่อขจัดมุลิลาออกไปจากสนามแข่งขันในที่ทำงาน แต่อย่างไรก็ดี บททดสอบสุดท้าทายของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวก็คงหนีไม่พ้นการเข้ามาของผู้ชายหลายคนในชีวิตของมุลิลา นอกจากพงศ์พิศุทธิ์สามีเก่าที่ปรารถนาจะกลับมาใช้ชีวิตคู่กันอีกครั้งแล้ว ยังมี “ชิษณุ” ซีอีโอหนุ่มใหญ่เจ้าของบริษัทที่เธอทำงานอยู่ กับ “อัศวิน” ชายหนุ่มรุ่นกะเตาะลูกชายเจ้าของร้านซาลาเปา ที่ดูจะเข้ากันได้ดีกับน้องปลื้มลูกชายของเธอ ชายคนแรกที่อายุเสมอกันคือคนที่เลิกร้างไป ชายคนที่สองอายุมากกว่าแต่ก็มีสถานะเป็นเจ้านายของเธอ และชายคนสุดท้ายที่อายุน้อยกว่าแต่ก็ริมาหลงรักคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวรุ่นพี่ สามตัวเลือกของชายที่ต่างวัยกันได้กลายมาเป็นข้อสอบปรนัยให้มุลิลาเลือกตัดสินใจว่า จะกากบาทไปที่คำตอบข้อใดกัน เพราะเชื่อมั่นว่าผู้หญิงมีศักยภาพที่จะเป็นยิ่งกว่า “แมวเก้าชีวิต” เมื่อมุลิลาพบว่า ภาระงานและปัญหารุมเร้าจากตัวเลือกผู้ชายทั้งสามคน ได้บั่นทอนเวลาที่เธอจะมีให้ลูกน้อยมากเกินไป ในที่สุด มุลิลาก็ตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อมาทำกิจการเล็กๆ ส่วนตัว ควบคู่ไปกับการยืนหยัดในบทบาท “คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว” ด้วย “หัวใจฟรุ้งฟริ้ง” ต่อไป และที่สำคัญ ในท่ามกลางปัญหาที่คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวต้องเผชิญอยู่นั้น ละครได้ชี้ให้เห็นอีกด้านของความหวังด้วยว่า สำหรับผู้หญิงแล้ว “you will never walk alone” ด้วยเหตุนี้ มุลิลาจึงมีบรรดาเพื่อนๆ ทั้งเพื่อนผู้หญิงอย่าง “ต้องตา” เพื่อนผู้ชายอย่าง “พี่ยักษ์” และเพื่อนเพศที่สามอย่าง “ดอลลี่” ที่คอยเป็นกำลังใจและเป็นกองหนุนอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา สำหรับบรรดา “ซิงเกิ้ลมัม” ทั้งหลายนั้น กฎเกณฑ์ของสังคมอาจมิใช่กฎของธรรมชาติที่แปรเปลี่ยนไม่ได้ ตราบใดที่ผู้หญิงยังมีตัวเลือก ยังรู้จักคิดที่จะเลือก และตัดสินใจลงมือเลือกได้ตามที่ต้องการ ตราบนั้น แม้ผู้หญิงจะเลือกยืนอยู่นอกอาณัติของกฎสังคม แต่ก็เป็นการเลือกยืนอยู่ได้ด้วย “หัวใจฟรุ้งฟริ้ง” นั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 199 มาตรการเพื่อลดความเสี่ยงจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากอุปกรณ์การสื่อสาร

การใช้มือถือ สมาร์ตโฟน และแทบเบล็ต ซึ่งเป็นอุปกรณ์การสื่อสารของผู้คนในยุคนี้ แม้จะทำให้มีความสะดวกสบาย และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคมก็ตาม แต่ประเด็นเรื่องความเสี่ยงต่อสุขภาพก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ และยังหาข้อสรุปทางวิชาการไม่ได้ ในฐานะผู้บริโภคที่มีความจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์การสื่อสาร จึงควรมีมาตรการในการลดอัตราการรับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า(Specific Adsorption Rate: SAR) เพื่อป้องกันตัวตัวเองจากความเสี่ยงดังกล่าวตรวจสอบค่า SAR จากอุปกรณ์การสื่อสารของเราตามข้อแนะนำจากอียู ควรเลือกซื้อเลือกใช้อุปกรณ์สื่อสารที่มีค่า SAR ไม่เกิน 2 วัตต์ต่อกิโลกรัม (น้ำหนักตัวมนุษย์) กรณีของหน่วยงานภาครัฐเยอรมนีที่กำกับดูแลเรื่องนี้ คือ Bundesamt fÜr Strahlenschutz (The federal office for radiation protection) ได้เผยแพร่ฐานข้อมูลให้กับประชาชนทั่วไป ได้ทราบถึงค่า SAR ของ อุปกรณ์สื่อสารกว่า 2800 รุ่น ซึ่งเราสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ตามเว็บไซต์ นี้ http://www.bfs.de/SiteGlobals/Forms/Suche/BfS/EN/SARsuche_Formular.htmlนอกจากนี้ มีเพียงมือถือเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น ที่ได้รับผลิตภัณฑ์ฉลากฟ้า (Blauer Engel) ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะมีค่า SAR ต่ำมาก (ยี่ห้อ Fairphone 2)ใช้และพกพาอุปกรณ์สื่อสารเท่าที่จำเป็นหลักการนี้คือ ระยะห่างระหว่างอุปกรณ์สื่อสารและร่างกายมนุษย์ยิ่งห่างยิ่งมีความเสี่ยงน้อย ถ้าเพิ่มระยะห่างเป็น 2 เท่า อัตราการดูดซับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะลดลงถึง 4 เท่า ดังนั้น ไม่ควรพกพาอุปกรณ์การสื่อสารไว้ในห้องนอน และการใช้งานอุปกรณ์การสื่อสาร ก็ใช้เท่าที่จำเป็น และควรใช้อุปกรณ์สื่อสารบริเวณที่มีสัญญาณดี เพราะจะส่งคลื่นออกมาน้อยกว่าบริเวณที่สัญญาณไม่ดีมาตรการการเฝ้าระวังเป็นเรื่องจำเป็นรูปแสดงผลการวัดค่า SAR ของโทรศัพท์มือถือรุ่นต่างๆ ในปี 2008 ของ องค์กรภาคประชาสังคม เยอรมนี Stiftungwarentestนอกเหนือจากการทำงานด้านเฝ้าระวังของภาครัฐแล้ว ในประเด็นการเฝ้าระวังผลกระทบจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากอุปการณ์สื่อสารของภาคประชาสังคมก็เป็นเรื่องที่จำเป็น กรณีของเยอรมนีที่บทบาทของภาคประชาสังคมที่มีความเข้มแข็งทั้งทางด้านการเมือง ทางวิชาการ และการได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ ได้ตรวจติดตาม การปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของอุปกรณ์การสื่อสารเป็นระยะๆ ตัวอย่างคือ การแสดงผลของค่า SAR ที่ได้จากการทดสอบทั้งการทดสอบที่ออกแบบขึ้นเอง ในปี 2008 ภายใต้การดูแลของนักวิชาการ ได้ทำให้ข้อกังวลของประชาชนในเรื่องนี้ ลดลงไป แต่อย่างไรก็ตามนักวิชาการทางด้านสุขภาพ และภาคประชาสังคม ก็ติดตามประเด็นนี้อย่างใกล้ชิดและสื่อสารกับสังคมอย่างสม่ำเสมอ(แหล่งข้อมูล: วารสาร Test ฉบับที่ 8/2017)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 198 กฎหมายคุ้มครองแม่และเด็กแรกเกิดจากอิทธิพลของบริษัทนมผง

การตลาดที่ได้ผลดีที่สุดของบริษัทนมผง คือการเปลี่ยนให้บุคลากรทางด้านสาธารณสุขกลายมาเป็นตัวแทนขายของบริษัทนม มีรายงานในประเทศไทยระบุว่า แม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมผสม ร้อยละ 81.8 จะเลือกยี่ห้อนมตามที่ได้รับแจก(ตัวอย่าง)และคำแนะนำจากบุคลากรสาธารณสุข ภาพจำในหลายๆ ปีที่ผ่านมา รูปแบบกิจกรรมการตลาดของบริษัทนมผงมีการบันทึกไว้หลากหลาย กล่าวคือ เป็นการตลาดแบบจู่โจมเข้าถึงเนื้อตัวคุณแม่ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อกับหญิงที่ตั้งครรภ์โดยตรงของตัวแทนขายสินค้า(ส่วนหนึ่งก็เป็นบุคลากรทางสาธารณสุข) หรือการแจกนมผงฟรีที่โรงพยาบาลให้แม่นำกลับไปเลี้ยงลูกที่บ้าน หรือการให้ข้อมูลที่เกินความเป็นจริงต่างๆ เพื่อโน้มน้าวให้คุณแม่เชื่อว่า นมผงเทียบเท่านมแม่ หรือดีกว่าเพราะเพิ่มเติมสารอาหารที่จะทำให้พัฒนาการของเด็กดียิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังเกี่ยวโยงไปถึงการที่บริษัทนมบริจาคสิ่งต่างๆ ให้กับสถานพยาบาล ทั้งในรูปแบบ การจัดกิจกรรมให้ความรู้กับแม่ การให้ค่าตอบแทนพิเศษแก่บุคลากรที่ช่วยแนะนำสินค้า การนำผลิตภัณฑ์แจกให้กับแม่ถึงเตียงนอนพักฟื้น ฯลฯ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกถกเถียงกันมาอย่างยาวนานในประเทศไทย เหตุเพราะการกระทำดังกล่าวนั้น ผิดจริยธรรม อีกทั้งเข้าข่ายละเมิดสิทธิของแม่และเด็กทารกในการเข้าถึงสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดสำหรับเด็กแรกเกิด ซึ่งก็คือ การได้รับน้ำนมแม่อันทรงคุณค่า เช่นเดียวกันกับภาคธุรกิจ ผู้ที่เห็นคุณค่าของการส่งเสริมให้คุณแม่ทั้งหลายใช้น้ำนมของตัวเองเลี้ยงดูทารกก็ได้พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะผลักดันให้เกิดกติกา ที่จะสามารถลดทอนอิทธิพลทางการตลาดของบริษัทนมผงลง โดยเฉพาะการทำตลาดแบบถึงเนื้อตัวและการห้ามโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบผ่านสื่อทุกชนิด ซึ่งลำพังกติกาเดิมที่เรียกว่า โค้ดนมแม่ หรือ  หลักเกณฑ์ว่าด้วยการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ที่ประเทศไทยได้ประกาศใช้มาตั้งแต่ ปี 2551นั้น ไม่อาจต้านทานพลังจากภาคธุรกิจได้ จึงมีแนวคิดที่จะนำกลไกที่เป็นกฎหมายหรือพระราชบัญญัติมาใช้จัดการปัญหา และในวันที่ 9 กันยายน 2560 นี้ จะเป็นวันแรกที่ พระราชบัญญัติการควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ.2560  จะมีผลบังคับใช้ ขอเล่าถึงความยากของการผลักดัน พ.ร.บ.นี้สักเล็กน้อย เนื่องเพราะมีผลประโยชน์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องมหาศาล ทำให้การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ถูกคัดค้านจากหลายฝ่าย แน่นอนว่าส่วนหนึ่งย่อมมาจากภาคธุรกิจผู้ผลิตนมผง แต่ที่น่าตั้งคำถามที่สุดว่ามาคัดค้านเพื่ออะไร กลับเป็นบรรดาองค์กรวิชาชีพบางแห่ง ที่ให้ข้อมูลและคัดค้านจน ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ รวนไปหลายรอบ อย่างไรก็ตามแม้จะใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่ในที่สุด พ.ร.บ.นี้ก็ผ่านออกมาจนได้ ทำให้ต่อไปนี้การทำตลาดที่ละเมิดสิทธิอย่างรุนแรงดังที่ผ่านมา จะต้องถูกควบคุมด้วยกฎหมายและมีบทลงโทษเป็นการเฉพาะ  กฎหมายฉบับนี้ ไม่ได้ห้ามการขายนมผง ผู้บริโภคจะยังสามารถหาซื้อนมผงได้จากร้านค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายยา ฯลฯ แต่สิ่งที่กฎหมายห้ามคือ ห้ามบริษัททำการส่งเสริมการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์นมสำหรับเด็กอายุ 0-3 ปี ซึ่งหมายความว่า • ห้ามโฆษณาตามสื่อต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ ป้ายโฆษณา นิตยสาร อินเตอร์เน็ต• ห้ามแจกตัวอย่างนมผง เช่น การแจกตัวอย่างนมผงให้แม่หลังคลอด หรือเมื่อไปแจ้งเกิด • ห้ามการส่งเสริมการขาย เช่น แจกของขวัญ หรือสิ่งจูงใจต่างๆ ให้แก่หญิงตั้งครรภ์ แม่และครอบครัวของทารกและเด็กเล็ก การลดราคา การขายพ่วง• ห้ามติดต่อกับแม่ เพื่อสนับสนุนให้ใช้ผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เช่น การให้ Call center โทรศัพท์ไปหาแม่หลังคลอด การจัดอีเวนท์ต่างๆนอกจากนี้ กฎหมายจะมีผลในการห้ามให้ของขวัญหรือสิ่งจูงใจอื่นๆ แก่บุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขด้วย  ในส่วนของตัวผลิตภัณฑ์ กฎหมายจะให้ความสำคัญกับการโฆษณาเพื่อคุมการส่งเสริมการตลาดของผลิตภัณฑ์ถึง 3 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะเหตุผลว่า นมแม่มีประโยชน์ต่างๆ ต่อเด็กมากว่าแค่ในช่วง 6 เดือนแรกหรือปีแรก และเด็กควรได้รับนมแม่อย่างต่อเนื่องควบคู่กับอาหารตามวัยจนอายุ 2 ปีหรือนานกว่านั้นเท่านั้น แต่ยังมีเหตุผลสำคัญด้านตลาดด้วย คือการป้องกันการส่งเสริมการขายแบบข้ามชนิด(Cross promotion) ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่บริษัทใช้ในการหลบเลี่ยงกฎเกณฑ์ที่มีอยู่เดิม ที่ผ่านมา แม้ว่าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) จะได้ห้ามการโฆษณานมผงสำหรับทารก แต่ยังไม่มีการห้ามโฆษณานมสำหรับเด็ก 1 ปีขึ้นไป หรือที่เราเห็นในท้องตลาดว่าคือ “นมสูตร 3” ซึ่งกลายเป็นช่องโหว่สำคัญ ให้บริษัทต่างๆ ทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์นี้ โดยทำให้รูปลักษณ์บรรจุภัณฑ์ของทุกๆ สูตรให้คล้ายกัน และใช้ชื่อยี่ห้อที่คล้ายกันมาก มีการใช้สโลแกน สัญลักษณ์ และแมสคอตเดียวกัน และใช้เลข 1-2-3 บนกล่องเพื่อแสดงให้ว่ามีความเกี่ยวข้องกัน เพราะตั้งใจเพื่อให้การส่งเสริมการตลาดของนมสูตร 3 ส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจว่าโฆษณานมสูตร 1 และ 2 ไปด้วย  แต่เมื่อกฎหมายฉบับใหม่นี้มีผลบังคับใช้ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับเด็กต่ำกว่า 3 ขวบ จะถูกห้ามโฆษณาผ่านสื่อทุกชนิด  ผลิตภัณฑ์ที่จะถูกควบคุมการส่งเสริมการตลาดตามกฎหมายนี้ ประกอบด้วย 1.อาหารสำหรับทารก (อาหารสำหรับเด็กอายุ 0-12 เดือน) 2.อาหารสำหรับเด็กเล็ก(อาหารที่ใช้สำหรับเด็กอายุ 1-3 แต่จะต้องมีประกาศรองรับก่อน ส่วนนี้กรมอนามัยจะเป็นผู้จัดทำประกาศดังกล่าว) และ 3. อาหารเสริมสำหรับทารก ดังนั้นจึงขอฝากถึงบรรดาคุณแม่หรือผู้ที่ใกล้ชิด ให้ตระหนักและช่วยกันเฝ้าระวัง สอดส่องกิจกรรมการทำตลาดนมผง ที่อาจเข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อดูแลลูกหลานของเราให้ได้รับการเลี้ยงดูด้วยนมแม่ ซึ่งเป็นอาหารอันแสนวิเศษสุดบนโลกใบนี้สำหรับเด็กแรกเกิดทุกคน  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 191 ระวังเสาสัญญาณโทรศัพท์ในชุมชน

แม้เสาสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่จะเป็นอุปกรณ์สำคัญ ที่ช่วยนำพาสัญญาณไปสู่โทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย แต่ในปี 2555 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่า มีความเป็นไปได้ที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเสาสัญญาณดังกล่าว อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งสมอนอกจากนี้ยังมีงานวิจัยถึงผลกระทบต่อผู้อาศัยในบริเวณใกล้เสาสัญญาณการสื่อสารว่า ภายในรัศมี 400 เมตร ผู้อาศัยส่วนใหญ่มีอาการคล้ายกัน ได้แก่ ปัญหาทางสุขภาวะ เช่น มีอาการ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ความจำเสื่อม ขาดสมาธิ วิงเวียน สั่นกระตุก เศร้าสลด สายตาพร่ามัว รวมทั้งพบอัตราความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเพิ่มสูงกว่า 3 - 4 เท่าตัว ทำให้หลายประเทศรวมทั้งในประเทศไทยมีนโยบายต่างๆ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามเรากลับพบว่าในบางพื้นที่ได้มีการติดตั้งเสาสัญญาณ โดยไม่คำนึงถึงอันตรายของผู้อยู่อาศัย ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชุมชนของผู้ร้องรายนี้ คุณสุชัยร้องเรียนมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิว่า ในชุมชนของเขามีการติดตั้งเสาสัญญาณโทรศัพท์ โดยขัดกับนโยบายป้องกันการเกิดอันตราย เพราะเสาดังกล่าวอยู่ห่างจากบ้านของเขาที่อยู่ติดกับโรงพยาบาลชุมชนเพียง 20 เมตร ซึ่งตามหลักการติดตั้งเสาสัญญาณ ต้องอยู่ห่างจากชุมชนเกิน 2 กิโลเมตรและควรอยู่บนเนินสูง รวมทั้งขอบของลำคลื่นหลัก (main beam) ที่ระดับพื้นดินต้องอยู่ห่างจากสถานที่กลุ่มผู้อ่อนแอ เช่น สถานศึกษา โรงพยาบาล สถานเลี้ยงเด็ก บ้านพักฟื้นคนชรา ไม่น้อยกว่า 100 เมตร เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายในระยะยาวได้ ดังนั้นคุณสุชัยจึงขอคำปรึกษาถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยต้องการให้มีการย้ายเสาสัญญาณดังกล่าวออกจากชุมชนแนวทางการแก้ไขปัญหาศูนย์ฯ แนะนำให้ผู้ร้องตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมที่ อบต. ว่า ก่อนหน้านี้ได้มีการขออนุญาตจากผู้ประกอบการหรือทำประชาพิจารณ์ ในการติดตั้งเสาสัญญาณดังกล่าวหรือไม่ โดยหากพบว่าไม่มีการดำเนินการเหล่านั้น สามารถล่ารายชื่อของคนในชุมชนที่ไม่ต้องการให้มีการติดตั้งเสาสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่ดังกล่าว และทำหนังสือส่งถึง กสทช. เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบปัญหา หรือโทรศัพท์ร้องเรียนโดยตรงต่อ กสทช. ได้ที่สายด่วน 1300 นอกจากนี้สามารถทำหนังสือถึงผู้ประกอบการให้ชี้แจงข้อสงสัยได้ด้วย ทั้งนี้ภายหลังการดำเนินการ พบว่า กสทช. ได้เข้ามาเจรจากับผู้ประกอบการ และขอให้ถอนการติดตั้งเสาสัญญาณโทรศัพท์ดังกล่าวออกจากชุมชนไป ตามหลักการติดตั้งเสาส่งสัญญาณในประเทศไทย ซึ่งผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ดังนี้ 1. การขออนุญาตตั้งสถานีวิทยุคมนาคม และใบอนุญาตให้ใช้เครื่องวิทยุคมนาคม ตรวจสอบจาก กสทช. ตามมาตรา 11 แห่ง พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2498 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.25352. การขออนุญาตก่อสร้างหรือต่อเติมอาคารในจุดติดตั้งเสาส่งสัญญาณ ตรวจสอบจากหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 (กฎกระทรวงกำหนดสิ่งที่สร้างขึ้นอย่างอื่นเป็นอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ.2544 ข้อ 4)3. ขั้นตอนการชี้แจงทำความเข้าใจต่อประชาชน ตรวจสอบจาก กสทช. ประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์และมาตรการกำกับดูแลความปลอดภัยต่อสุขภาพของมนุษย์จากการใช้เครื่องวิทยุคมนาคม ข้อ 12.54. ตรวจสอบการดำเนินการเรื่อง การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเสาส่งสัญญาณ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยต่อสุขภาพของมนุษย์ จากการใช้เครื่องวิทยุคมนาคม เนื่องจากผู้ได้รับใบอนุญาตจะต้องส่งรายงานประเมินระดับความแรงของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และต้องมีระดับความแรงของคลื่นที่ได้มาตรฐานตาม ประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรฐานความปลอดภัยต่อสุขภาพของมนุษย์จากการใช้เครื่องวิทยุคมนาคม และประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และมาตรการกำกับดูแลความปลอดภัยต่อสุขภาพของมนุษย์จากการใช้เครื่องวิทยุคมนาคม ข้อ 10 และ 11

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 148 พ่อแม่รังแกฉัน

ชื่อเรื่องในฉบับนี้ผู้เขียนตั้งตามชื่อเรื่องสั้นที่แต่งโดยพระยาอุปกิตศิลปสาร ซึ่งกล่าวถึงเด็กชายคนหนึ่งมีพ่อแม่เป็นเศรษฐีและรักเขามาก ทำอะไรพ่อแม่ก็ชม แม้เรียนหนังสือพ่อแม่ก็หาครูที่ตามใจลูกมาสอนจนสุดท้ายลูกก็ไม่มีความรู้ มรดกที่พ่อแม่ให้ไว้ก็ถูกใช้เรียบจนกลายเป็นยาจก แต่เพราะบุญยังพอมีจึงมีคนช่วยสั่งสอนวิชาให้หากินได้ สุดท้ายก็สำนึกว่าที่ผ่านมานั้น พ่อแม่รังแกตนด้วยความรัก (ซึ่งปัจจุบันพ่อแม่แบบนี้มีมากจริง ๆ) อย่างไรก็ดีถ้าค้นคำว่า พ่อแม่รังแกฉัน ใน google จะไปตรงกับบทความที่ท่าน ว.วชิรเมธี เขียนไว้ เมื่อ 29 มกราคม 2552 ณ.สถาบันวุมุตตยาลัย โดยเป็นบทความแนะนำการเลี้ยงดูลูกในเชิงว่า อย่าทำอะไรที่จะทำให้ลูกเลว 14 ข้อ ซึ่งมีข้อที่ 12 กล่าวว่า “พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนให้ลูกรู้จักสมบัติของผู้ดี ผลก็คือ เขากลายเป็นคนหยาบกระด้างทั้งทางกาย ทางใจ ใจคอโหดหินทมิฬชาติ ขาดความสุภาพอ่อนน้อม ขาดสัมมาคารวะ ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักประมาณตน ครองตน ครองคน ครองงานไม่เป็น ไม่เห็นคุณค่าของระเบียบประเพณี กฎหมาย จรรยาจารีตของสังคม ไม่เคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนของเพื่อนมนุษย์” จากข้อแนะนำของท่าน ว. นี้ผู้เขียนขออภิปรายต่อว่า อะไรที่เป็นความรักของพ่อแม่ที่มีต่อเด็กมีแล้วทำให้เด็กมีพฤติกรรมไม่ดี โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของฝรั่ง สมัยยังเล็กผู้ใหญ่มักสอนผู้เขียนว่า อย่าเอาขนมหวานให้หมากินเพราะมันจะดุ ซึ่งผู้เขียนก็พยายามหาคำอธิบายว่าเพราะอะไร คำอธิบายหนึ่งที่อาจเป็นไปได้คือ หมามันคงติดใจขนม หลังจากนั้นมันก็คงพยายามขอเรากิน พอไม่ได้กินมันอาจเกิดอารมณ์แบบว่า ของขึ้น เลยแสดงออกซึ่งอาการที่เราเรียกว่า ดุ ออกมา   มาถึงวันนี้หลังจากใช้เวลาหาคำตอบในเรื่องนี้มาตลอดชีวิต ผู้เขียนก็ได้อ่านบทความกึ่งวิชาการที่ชื่อว่า “Could sweets every day as kids make adults aggressive” ในเว็บ www.foodnavigator.com ซึ่งให้ข้อมูลว่า มีการศึกษาโดย Dr. Simon C. Moore และคณะ (Cardiff University, สหราชอาณาจักร) ที่ตีพิมพ์ผลงานวิจัยในชื่อเรื่องว่า Confectionery consumption in childhood and adult violence ในวารสาร British Journal of Psychiatry เดือนตุลาคม ปี 2009 สรุปว่า การกินขนมหวานทุกวันตั้งแต่สมัยที่เป็นเด็กนั้นส่งผลให้เมื่อโตแล้วกลายเป็นคนมุทะลุดุดัน (aggressive) ผลงาน Dr. Moore และคณะเริ่มการศึกษาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 (เข้าใจว่าคงนานราว 30 ปี) โดยใช้อาสาสมัคร 17,415 คน ที่มีอายุตั้งแต่ 5, 10, 16, 26, 30, 34 และ 42 ปี แล้วพบว่า ร้อยละ 69 ของอาสาสมัครที่เข้าร่วมอยู่ในการศึกษาแล้วก่อเหตุรุนแรงในชุมชนเมื่ออายุ 34 ปีนั้น ตอนอายุ 10 ปี เริ่มกินขนมหวาน (confectionary) ติดต่อมาทุกวัน เมื่อเทียบกับคนในยุคเดียวกันวัยเดียวกันที่เป็นคนสุภาพเรียบร้อย (ซึ่งคงไม่ค่อยได้กินขนม) จากการศึกษานี้ได้บ่งชี้ว่า การกินขนมทำให้เด็กนิสัยเสีย เพราะผู้ใหญ่มักเอาขนมเป็นปัจจัยในการควบคุมพฤติกรรมเกเรของเด็ก คล้ายเป็นการซื้อความเกเรของเด็กโดยไม่สอนเด็กว่า ความเกเรนั้นเป็นสิ่งที่เลวร้าย เด็กจึงคงพฤติกรรมดังกล่าวไว้เพราะหวังกินขนมอีก ดังนั้นเมื่อโตขึ้นนิสัยเกเรเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการจึงติดตัวเมื่อเป็นผู้ใหญ่ อีกปัจจัยหนึ่งที่ Dr. Moore และคณะสนใจคือ สารเจือปนในอาหารในขนมอาจเป็นสาเหตุของความเกเรของเด็ก โดยผู้วิจัยได้อ้างถึงงานวิจัยชื่อ Food additives and hyperactive behaviour in 3-year-old and 8/9-year-old children in the community: a randomised, double-blinded, placebo-controlled trial ซึ่งทำวิจัยโดย Dr. D. McCann และคณะ ตีพิมพ์ในวารสาร Lancet เมื่อปี ค.ศ. 2007 โดย ผู้วิจัยได้ทำการหาความสัมพันธ์ระหว่างระดับการบริโภคสารเจือปนในอาหารต่อความเกเรของเด็ก แล้วสรุปผลการศึกษาว่า สีสังเคราะห์และ/หรือสารกันบูดคือ โซเดียมเบ็นโซเอท (เป็นสารกันบูดที่นิยมใช้ในบ้านเรามากที่สุดชนิดหนึ่ง) ในขนมที่เด็กกินนั้นอาจกระตุ้นอารมณ์ในการ”วีน”ต่อผู้อื่น ดังนั้นผู้เขียนจึงคิดว่า น่าจะถึงเวลาแล้วที่หน่วยราชการเช่น กระทรวงที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาสังคมและดูแลวัฒนาธรรมไทยออกมามองดูว่า เด็กของเรากินอะไรกันบ้าง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กซึ่งยังเป็นไม้อ่อน (น่าจะพอ) ดัดได้ การกินขนมนั้นเป็นเหมือนรางวัลที่ผู้ใหญ่ให้แก่เด็ก ส่วนความใส่ใจในการเลือกซื้อขนมให้เด็กกินนั้นเป็นความเมตตากรุณาที่ผู้ใหญ่น่าจะมีต่อเด็ก สำหรับตัวผู้เขียนซึ่งเป็นอาจารย์ในสาขาที่ศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์และความปลอดภัยของอาหาร นั้น มีโอกาสควบคุมการทำวิจัยเพื่อเขียนวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาหลายคนที่ศึกษาเกี่ยวกับขนมไทย จึงคิดว่าน่าจะนำผลการศึกษาบางเรื่องที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟัง จากข้อมูลเดิมที่เคยทำวิจัยมาก่อนว่า กล้วยนั้นมีประโยชน์ในด้านการต้านสารก่อมะเร็ง (โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้า) จึงมีนักศึกษาคนหนึ่งทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการใช้แป้งข้าวกล้องงอก เพื่อทำเป็นขนมกล้วยเพราะคิดว่า จะได้ขนมกล้วยที่ดีมาก ๆ กลับปรากฏว่าแป้งจากข้าวกล้องงอกไม่ช่วยให้ขนมกล้วยนั้นมีฤทธิ์ต้านสารก่อมะเร็งดีขึ้น แต่สรุปได้ว่า ขนมกล้วยนั้นสามารถต้านสารก่อมะเร็งได้ด้วยตัวกล้วยเอง งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสภาวิจัยแห่งชาติ เพื่อศึกษาเกี่ยวกับขนมไทยหลายชนิดซึ่งบริโภคกันมาแต่โบราณ ซึ่งผลการศึกษาเป็นไปอย่างที่คิดกันแต่แรกก็คือ ขนมไทยซึ่งมักทำลายสุขภาพเพราะประกอบด้วยแป้งและน้ำตาลเป็นหลัก มีคุณประโยชน์ในการต้านสารพิษนั้นค่อนข้างน้อยมาก อย่างไรก็ดีเราสามารถทำให้ขนมไทยกลายเป็นขนมที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพได้ไม่ยากนัก โดยการเติมสารสกัดจากสมุนไพรไทยบางชนิด (เช่น น้ำสกัดจากฝาง ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ใช้ทำน้ำยาอุทัย น้ำสกัดจากพืช ผัก ผลไม้ เช่น ใบเตย หัวผักกาดแดง สีจากข้าวเหนียวดำ น้ำดอกอัญชัน เป็นต้น) ลงไปในขนมไทยที่ไม่มีสี เช่น ขนมถ้วยฟู ขนมน้ำดอกไม้ หรือแม้แต่ขนมที่มีสีอยู่แล้วเช่น เปียกปูน ขนมชั้น บัวลอย ลูกชุบ วุ้นต่าง ๆ ฯลฯ นั้นถ้าพยายามใช้สีธรรมชาติ เราจะได้ขนมไทยที่มีทั้งความหอมอร่อยพร้อมไปกับประโยชน์ในการต้านสารพิษมากมายหลายชนิด (ที่เกิดขึ้นในการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนสูง) ในชีวิตประจำวันของเรา ดังนั้นถ้าเราจะเริ่มใส่ใจให้เด็กได้กินขนมที่ดี มีคุณค่าทางโภชนาการและวัฒนธรรมบ้าง โอกาสที่เราจะได้เห็นคนที่มีความประพฤติดีเดินตามถนนมากกว่าคนประพฤติก้าวร้าวเดินในสภา คงไม่ถึงกับสิ้นหวังดังที่ผู้เขียนกำลังเป็นในปัจจุบันนี้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 162 เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทำให้หน้าอกหย่อนยานจริงหรือไม่

เต้านมหรือหน้าอก เป็นอวัยวะที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้หญิง ใครมีหน้าอกเต่งตึงได้รูปสวย แน่นอนว่าจะภูมิใจเป็นพิเศษ แต่ถ้าใครมีน้อยหรือว่าเริ่มจะหย่อนคล้อย ก็ดูจะเดือดเนื้อร้อนใจอยู่ จนหลายคนต้องพึ่งพามีดหมอทำศัลยกรรมให้สวยสมใจ สาเหตุแห่งความไม่เที่ยงของเต้านมนั้น มีหลายประการ แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่า หลายคนยังมีความเชื่อว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้น อาจเป็นสาเหตุให้หน้าอกหย่อนคล้อยลงได้ ซึ่งนับเป็นมายาคติที่เป็นอุปสรรคหนึ่งในการรณรงค์เรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ระดับนานาชาติกันเลย  ความเชื่อนี้เกิดจากความไม่รู้ จนทำให้เกิดความกลัวไปก่อน ดังนั้นคราวนี้เราจะมาคุยเรื่อง “เต้า” กันล่ะนะ จะได้เลิกเชื่อผิดๆ กันเสียที ถ้าคุณผู้หญิงท่านใดเชื่อว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะทำให้เต้านมหย่อนยาน ขอบอกเลยว่า คุณต้องตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการไม่พยายามมีลูกไปเลยถึงจะถูกต้อง เพราะสาเหตุที่ทำให้เต้านมขยายตัวและเปลี่ยนรูปร่าง คือการที่คุณตั้งครรภ์ ไม่เกี่ยวกับการให้นม เพราะไม่ว่าคุณจะให้ลูกดูดนมจากเต้าหรือไม่ เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะเต้านมที่ขยายตัวเต็มที่ในช่วงของการตั้งครรภ์(และให้นม) ก็จะค่อยๆ ฟุบลงไปเอง สิ่งนี้มันเป็นไปตามกลไกธรรมชาติ ผลการวิจัย* พบว่า การให้นมลูกไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้นมยานแต่อย่างใด แต่สาเหตุที่แท้จริงคือ ขนาดของหน้าอกที่ขยายและการบีบตัวของต่อมน้ำนมขณะตั้งครรภ์ต่างหากที่ส่งผลให้เต้านมมีการเปลี่ยนแปลง   ผลการวิจัยสรุปไว้ว่า ปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้หน้าอกหย่อนคล้อย ได้แก่ 1. อายุ เวลาที่ผ่านเลยไปทำให้คอลลาเจนและอีลาสติน ที่ช่วยพยุงให้หน้าอกเต่งตึง จะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ 2. น้ำหนักตัวที่ลดลงแบบฮวบฮาบ มากกว่า 50 ปอนด์ (ประมาณ 20 กก.) ไขมันที่สูญเสียไปอย่างรวดเร็ว คือไขมันช่วงเต้านมที่จะหายไปเป็นอันดับแรก 3. ค่า BMI สูง (น้ำหนักไม่สมดุลกับส่วนสูง) 4. หน้าอกใหญ่ จะหย่อนคล้อยไวกว่าหน้าอกเล็ก อันนี้เป็นผลจากแรงโน้มถ่วงของโลก 5. การตั้งครรภ์ ยิ่งมีลูกหลายคนยิ่งเพิ่มโอกาสที่ทำให้หน้าอกเกิดการเปลี่ยนแปลงได้มาก(ยืดๆ ยุบๆ) ให้นึกถึงสภาพของถุงเท้าที่ถอดเข้าถอดออกบ่อยๆ ย่อมย้วยเป็นธรรมดา 6. มีประวัติสูบบุหรี่ สารเคมีบางอย่างในบุหรี่ไปทำลายอีลาสตินในผิว ส่งผลให้หน้าอกคล้อยลง   นมแม่ดีที่สุด เมื่อคิดจะมีลูกแล้ว การให้นมลูกเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้หญิงควรจะคำนึงถึงเป็นอันดับแรก เพื่อสุขภาพที่ดีของลูก การดูแลเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องหน้าอกคล้อยได้ส่วนหนึ่ง ดังนั้นอย่าไปมัวกังวลว่าให้นมลูกแล้วหน้าอกจะหย่อนคล้อย ซึ่งมันไม่เป็นความจริง ได้โปรดรับทราบทั้งคุณพ่อและคุณแม่นะคะ   --------------------------------------------------------------------------------------------------------- เรื่องจริงของหน้าอก 1.หน้าอกของคุณผู้หญิงแทบไม่ต้องบำรุงรักษาอะไรเลย มันจะยังคงมีสุขภาพดีและเซ็กซี่ได้โดยแค่อย่าไปยุ่งกับมันมากเท่านั้น 2.การออกกำลังกายจะช่วยกระชับหน้าอกของคุณ แต่ไม่ช่วยทำให้ใหญ่ขึ้น 3.หน้าอกไม่ชอบจ็อกกิ้ง! ดังนั้นควรสวมสปอร์ตบรา หรือควรเลี่ยงไปออกกำลังกายด้วยวิธีอื่น เช่น เดินเร็วหรือแอโรบิก 4.หน้าอกข้างซ้ายของผู้หญิงมักจะมีขนาดใหญ่กว่าข้างขวา เหมือนกับมือ เท้า น้อยมากที่จะเจอผู้หญิงที่มีขนาดหน้าอกสองข้างเท่ากันเป๊ะ 5.หน้าอกของผู้หญิงมีสิทธิขยายได้จนถึงอายุ 20 กว่าๆ แต่มันจะขยายได้เร็วที่สุดในช่วงเป็นวัยรุ่น และเมื่อมันขยายเต็มที่ที่ควรจะเป็นแล้ว มันก็จะไม่ขยายใหญ่ขึ้นอีก ยกเว้นแต่คุณจะอ้วนขึ้น ท้อง หรือ รับประทานฮอร์โมน   *ที่มา http://www.phdinparenting.com/2010/04/04/sagging-breasts-whats-to-blame/

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 165 Code นมสิ่งสำคัญในการปกป้องสุขภาพเด็กไทย

Code นม หรือ หลักเกณฑ์สากลว่าด้วยการตลาดอาหารทดแทนนมแม่ (International Code of Marketing of Breast  Milk Substiututes ) ณ ปัจจุบันหลักเกณฑ์นี้ยังไม่มีกฎหมายเป็นข้อบังคับ จึงทำให้เกิดปัญหาความเข้าใจผิดต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และส่งผลให้สถิติการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของประเทศไทยอยู่ภาวะที่ต่ำมากในเอเชีย นั่นหมายถึงสุขภาพของเด็กไทยที่จะต้องเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพในอนาคต นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล ที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข และอดีตเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา  กล่าวว่า  Code นม ที่ประเทศต่างๆ ได้มีมติรับรองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524  เป็นกฎเกณฑ์ปกป้องสุขภาพเด็ก เพื่อให้เด็กได้กินนมแม่  ซึ่งถือเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก และเพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อจำเป็นต้องใช้อาหารอื่นแทนนมแม่ แม่จะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนผ่านวิธีการตลาดที่เหมาะสม สำหรับประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศ เรื่อง “หลักเกณฑ์สากลว่าด้วยเรื่องการตลาดอาหารทดแทนนมแม่ตั้งแต่ พ.ศ. 2524  แต่ด้วยประเทศไทยไม่มีกฎหมายเพื่อบังคับใช้อย่างจริงจัง  ทำให้ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายอาหารทารกและเด็กเล็ก ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงนี้ มีหลักฐานจากหลายประเทศแสดงให้เห็นว่า การตรากฎหมายเพื่อควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็กนั้น มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมปัจจัยที่เอื้อต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่  อย่างเช่นการวิจัยในประเทศฟิลิปปินส์ พบว่า การออกกฎหมายควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็กในปี 1986 ส่งผลให้มีการแจกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ในโรงพยาบาลลดลง จากร้อยละ 57.5  ในปี ค.ศ. 1986 เหลือเพียงร้อยละ 2.8 ในปี ค.ศ. 1988  ประเทศไทยของเราน่าเป็นห่วงมากว่า ถึงแม้เราจะประกาศใช้หลักเกณฑ์ว่าด้วยการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องมานานถึง 30 ปีแล้ว แต่เราไม่สามารถป้องกันหรือบังคับใช้ได้ เพราะไม่มีการลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืน การมีหลักเกณฑ์จึงไม่สามารถควบคุมการส่งเสริมการตลาดที่ดำเนินการอยู่ได้ ในทัศนะของ ดร.บวรสรรค์ เจี่ยดำรง นักวิชาการนิเทศศาสตร์อิสระ ผู้ติดตามการส่งเสริมการตลาดของอุตสาหกรรมนมผงในประเทศไทย เห็นว่า มีกลยุทธ์ในหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ การโฆษณาในสื่อโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อโฆษณาอื่นๆ  มีการแจกตัวอย่างผลิตภัณฑ์เป็นของขวัญฟรีแก่แม่  การใช้ข้อความ รูป หรือสัญลักษณ์บนฉลากผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เข้าใจว่าสร้างพัฒนาการที่ดีให้กับเด็ก และมีสารอาหารที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ  การอบรมคุณแม่ตั้งครรภ์ผ่านสถานประกอบการ หรือผ่านกิจกรรมในโรงพยาบาล  การทำตลาดผ่านสื่อ Call Center  จดหมาย หรือ SMS  เพื่อติดต่อกับแม่และครอบครัวโดยตรง  การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ผ่านโรงพยาบาลและคลินิก ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งแจกของขวัญให้กับบุคลากรในโรงพยาบาล “เครื่องมือส่งเสริมการตลาดเหล่านี้ ได้สร้างมายาคตินมผงเท่ากับนมแม่ ชวนให้แม่เชื่อผิดๆ ว่านมผงมีสารอาหารเทียบเท่านมแม่ ภายใต้กรอบความเชื่อที่ผิดๆ เช่นนี้จะมีผลต่อการตัดสินใจเลือกทางเลือกในการเลี้ยงลูกด้วยนมผงร่วมกับนมแม่ ซึ่งเป็นกลยุทธ์อันแยบยลที่อุตสาหกรรมนมผงใช้ในการขัดขวางการผลิตน้ำนมของแม่  เมื่อแม่ไม่ได้ให้นมลูก กระบวนการผลิตน้ำนมก็ไม่ได้ถูกกระตุ้น  ทำให้น้ำนมแม่ก็แห้งไปจากอกแม่  แม่จึงเข้าใจว่าน้ำนมไม่พอ ในที่สุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนก็ไม่สำเร็จ” เมื่อทารกไม่ได้กินนมแม่หรือได้รับนมแม่ไม่เพียงพอในช่วง 6 เดือนแรก ทารกก็สูญเสียสิทธิที่จะได้รับสารอาหารที่ดีสุดในชีวิตไป ซึ่งทารกที่ไม่ได้กินนมแม่หรือกินไม่เพียงพอก็เสี่ยงที่จะเป็นโรคภูมิแพ้ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยพบเด็กวัยแรกเกิด-5 ปี ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้สูงถึง 6 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่แม่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อนมผงเลี้ยงลูกสูงถึงปีละกว่า 7 หมื่นบาท นี่ยังไม่รวมค่ารักษาพยาบาลโรคภูมิแพ้อีกปีละเกือบ 7 หมื่นบาท ขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุขมีต้นทุนค่ารักษาพยาบาลปีละกว่า 7,500 ล้านบาท ท่ามกลางความเสียหายต่อสุขภาพทารกและระบบสาธารณสุขของประเทศ การดำเนินธุรกิจที่ไร้จริยธรรมทำให้อุตสาหกรรมนมผงได้กำไรต่อปีกว่าพันล้านบาท ทางด้านเครือข่ายคุณแม่ออนไลน์ ซึ่งเกิดจากการรวมกลุ่มคุณแม่ ที่มีความตระหนักร่วมกันไม่ต้องการให้การตลาดนมผงมาสร้างมายาคติ หรือความเชื่อที่ผิดๆ ให้กับคุณแม่ทั้งหลาย โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีฐานะการเงินที่ไม่ดี เพราะนมมีคุณค่าที่สุดที่จะเลี้ยงลูกของตนเอง  จากคุณแม่ไม่กี่คนที่เชื่อมั่น และต้องการเห็นเด็กๆ คนอื่น มีความเท่าเทียมในการเติบโตอย่างมีสุขภาพ จึงเริ่มต้นแนะนำให้ความรู้กับคุณแม่มือใหม่ด้วยสื่อออนไลน์เพราะเข้าถึงคนได้ง่าย จากเว็บไซต์ และปัจจุบันยังอาสาทำงานให้ความรู้คุณแม่เท่าทันการตลาด ล่าสุดเข้าเพื่อความรวดเร็วและเข้าถึงผู้คนได้ง่ายและขยายผลได้ดี ปัจจุบันจึงเป็นเฟสบุ๊ค “นมแม่ แบบแฮปปี้” พญ.ศศินุช รุจนเวช  ตัวแทนเครือข่ายคุณแม่ออนไลน์ ยังเล่าให้ฟังว่า ตนเองไม่ใช่กุมารแพทย์ เหมือนกับคุณแม่ทั่วไป ที่กังวลกับการมีลูก ตอนที่มีลูกก็มีปัญหาน้ำนมไม่มี แต่ได้รับการดูแลจากโรงพยาบาลที่เข้ามาสนับสนุนนมแม่ จึงเริ่มสนใจเข้าใจเรื่องเหล่านี้ และเริ่มต้นจากแม่ๆ มาเริ่มพูดคุยแชร์เรื่องเหล่านี้ร่วมกัน  จึงเกิดความต้องการอยากให้คุณแม่ทุกคนให้นมแม่สำเร็จ เห็นลูกเราแข็งแรง แต่เด็กอื่นๆ ที่กินนมผง กินนมแม่น้อย มีความเจ็บป่วยมากกว่า มีสุขภาพไม่แข็งแรง จึงทำให้สนใจเรื่องการตลาด และข้อเท็จจริงก็คือคนส่วนใหญ่สามารถให้นมแม่ได้สำเร็จอยู่แล้ว แต่พอมีการตลาดเข้ามาก็ไปขัดขวางให้คุณแม่เข้าใจเรื่องนี้ผิดๆ  เราเป็นห่วงว่าอัตราการให้นมแม่ของประเทศไทยน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชีย อย่างคุณแม่ในทีมที่แข็งขันท่านหนึ่ง ที่มีสามีเป็นแพทย์ก็ได้ศึกษาหาข้อมูลตรงนี้มาเผยแพร่ พวกเราช่วยกันทำงานนี้ทั้งทางตรงและทางอ้อม คุยกับคนใกล้ตัว แล้วก็เจอปัญหาที่โดนคนรอบข้างกดดันเพราะอิทธิพลของการโฆษณา หลายคนเจอว่าทำไมไม่ให้ลูกกินนมผง มีสารดีๆ อยู่ในนมผงเยอะนะ  เราจึงเห็นว่านี่คือผลของอิทธิพลการโฆษณา ทำให้คนรอบข้างไม่เข้าใจและส่งผลต่อแม่ที่อยากให้ลูกทานนมแม่ ประเทศไทยจึงควรขจัด “มายาคติ” เหล่านี้ จึงอยากฝากคุณแม่ทุกท่านให้ลูกได้กินนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน และอยากให้มีเครือข่ายกว้างขวางช่วยกันเผยแพร่ความรู้ ถ้าเครือข่ายเราเข้มแข็งการป้องกันเด็กทารกจะดีขึ้น และท้ายที่สุดหวังว่าจะมีการสนับสนุนให้มีกฎหมายที่ช่วยคุ้มครองสุขภาพเด็กไทยจากอิทธิพลของการตลาดนมผง   ข้อมูลจาก เวทีชี้แจงกับสื่อมวลชน ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2557 ในประเด็น “ความสำคัญของ Code นม เพื่อปกป้องสุขภาพเด็กไทย”  ที่ โรงแรมแรมเอเชีย  จัดโดยโครงการสื่อสารเพื่อสนับสนุนนมแม่ฯ  ได้รับการสนับสนุน โดย องค์การยูนิเซฟ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 117 ซื้อนมแถมมอด

เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2553 ที่ผ่านมา มีคุณพ่อ คุณแม่ลูกอ่อนวัยขวบเศษคู่หนึ่ง ได้เข้ามาร้องเรียนกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคสองสามีภรรยาคู่นี้ให้รายละเอียดว่า ในเย็นย่ำวันหนึ่งของปลายเดือนธันวาคม 2552 ตนได้ไปซื้อนมผงสำหรับทารกและเด็กเล็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนถึง 3 ปียี่ห้อซิมิแลค เกน แอดวานซ์ ขนาดบรรจุ 900 กรัม จำนวน 2 กระป๋อง ราคากระป๋องละ 341 บาทกับห้างสรรพสินค้าโลตัส สาขาปทุมธานี เหตุที่ซื้อเพราะเคยเห็นโฆษณาจึงตัดสินใจเลือกให้ลูกกินตั้งแต่วัย 6 เดือนเช้าตรู่ของสองวันต่อมา หลังจากนมกระป๋องเดิมที่มีอยู่หมด คุณพ่อคุณแม่จึงได้เปิดหนึ่งในกระป๋องนมที่ซื้อมาใหม่เพื่อเตรียมชงนมให้ลูกกิน แต่ต้องตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเปิดกระป๋องนม เพราะพบเนื้อนมในกระป๋องมีสีน้ำตาลเข้มทั้งหมดแทนที่จะเป็นสีขาวเหลืองอย่างที่คุ้นเคย แต่สิ่งที่สร้างความขยะแขยงไปกว่านั้นคือ มีตัวแมลงเล็กๆ คล้ายตัวมอดเดินไต่ยั้วเยี้ยปะปนอยู่ในเนื้อนมเต็มไปหมด เห็นสภาพเนื้อนมอย่างนั้นแล้วจึงรีบนำฝากระป๋องนมปิดนมกระป๋องนั้นทันที แล้วคว้านมผงอีกกระป๋องที่เหลืออยู่มาเปิดตรวจสอบเช่นกัน โชคดีไม่พบความผิดปกติใดๆ แม้จะคลางแคลงใจว่าจะมีอะไรอยู่ในกระป๋องนมที่เหลืออยู่หรือไม่ แต่ไม่มีทางเลือกเนื่องจากยังเช้าตรู่มากและนมหมดไม่เหลืออยู่ในบ้านเลย จึงจำเป็นต้องใช้นมในกระป๋องที่เหลืออยู่นั้นชงนมให้ลูกกิน วันนั้นพ่อแม่ลูกอ่อนทั้งสองก็อยู่ไม่สุข เห็นแต่ภาพแมลงยั้วเยี้ยในกระป๋องนมเต็มไปหมด จึงได้นำนมกระป๋องที่เกิดปัญหามาตรวจสอบกันอย่างละเอียดอีกครั้ง จึงพบว่าบริเวณปากกระป๋องนมมีการบุบ ซึ่งในตอนที่ซื้อมานั้นไม่สังเกตเห็นเพราะห้างสรรพสินค้าจะมีการใส่ที่ครอบป้องกันการขโมยไว้บริเวณปากกระป๋อง และในวันที่ซื้อเท่าที่เห็นบนชั้นวางสินค้าก็เหลือนมยี่ห้อนี้เพียง 2 กระป๋องเท่านั้น เมื่อได้รายละเอียดคร่าวๆ แล้ว จึงโทรศัพท์ไปที่คอลเซนเตอร์ของบริษัทผู้นำเข้านมคือ บริษัท แอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส จำกัด เพื่อขอให้นำนมไปตรวจว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น ซึ่งต่อมาบริษัทแสดงความรับผิดชอบโดยแจ้งว่าจะเปลี่ยนนมกระป๋องใหม่มาให้ และมอบกระเช้าของขวัญเพื่อเป็นการแสดงน้ำใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมรับตัวอย่างนมไปตรวจ ในวันเดียวกันได้มีการร้องเรียนไปที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปทุมธานีซึ่งเป็นที่ตั้งของห้างสรรพสินค้าแห่งนั้น และยังได้ร้องเรียนไปที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) อีกด้วย ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 บริษัทแอ๊บบอตได้มีจดหมายยืนยันถึงกระบวนการผลิตนมที่มีมาตรฐานและมีการตรวจสอบคุณภาพการผลิตอย่างสม่ำเสมอ และได้กล่าวถึงกรณีเกี่ยวกับกระป๋องที่บุบว่า ผลิตภัณฑ์รุ่นนี้พบว่ามีมาตรฐานคุณภาพสูงในขณะที่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยสินค้าเพื่อจำหน่ายจากโรงงาน อาจเป็นไปได้ที่กระป๋องถูกทำให้เสียหายระหว่างขนส่ง หรือขณะเก็บรักษาก่อนจำหน่าย หรือหลังจำหน่าย หลังได้รับจดหมายพ่อแม่ลูกอ่อน เห็นว่ายังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนว่ามีแมลงเข้าไปอยู่ในกระป๋องนมได้อย่างไร ก็เฝ้ารอติดตามผลการร้องเรียนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่อยมา ส่วนนมที่ชงให้ลูกกินนั้นได้เปลี่ยนยี่ห้อใหม่หลังเกิดปัญหาไม่นาน แนวทางแก้ไขปัญหา หลังจากที่ร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ปลายปี 2552 ไม่เห็นความคืบหน้า พ่อแม่ลูกอ่อนสองท่านนี้เห็นข่าวมูลนิธิฯ ตึกถูกไฟไหม้ จึงได้นำปัญหานี้มาร้องเรียนกับมูลนิธิฯ ที่สำนักงานชั่วคราว อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2553 ในเดือนเดียวกัน มูลนิธิฯ จึงได้นัดผู้แทนของห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส คือ บริษัท เอก-ชัย ดริสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัดและบริษัทแอ๊บบอต เข้าร่วมการเจรจาไกล่เกลี่ยกับผู้บริโภค และได้ส่งตัวอย่างนมผงไปที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 7 อุบลราชธานี เพื่อทำการตรวจสอบผลการเจรจาไกล่เกลี่ยผู้ประกอบธุรกิจทั้งสองได้มีโอกาสชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้บริโภคและรับที่จะนำข้อมูลจากปัญหาที่เกิดขึ้นไปพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการประกอบการให้ดียิ่งขึ้นต่อไป พร้อมจ่ายเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้บริโภคร่วมกันเป็นเงินทั้งสิ้น 50,000 บาท โดยแบ่งจ่ายบริษัทละ 25,000 บาทส่วนผลการตรวจสอบศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 7 ได้ความว่า แมลงที่พบในนมผงที่ส่งมาตรวจสอบนั้น เป็นแมลงชนิดเดียวกัน มีชื่อเรียกเป็นภาษาไทยว่า มอดแป้ง เป็นแมลงในวงศ์ Tenebrionidae อันดับ Coleoptera ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Tribolium spp.มอดแป้งเป็นแมลงขนาดเล็ก มีสีน้ำตาลแดง มักพบตามบริเวณที่แห้ง นอกจากนี้อาจพบในผลิตภัณฑ์อาหารแห้งที่เก็บรักษาไว้ มอดแป้งเป็นศัตรูในโรงเก็บ และพบทำลายผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากเมล็ดธัญพืช...ในส่วนนี้ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงได้ตั้งขอสันนิษฐานว่า การที่ปากกระป๋องมีรอยบุบก่อนจะถึงมือผู้บริโภคอาจทำให้เกิดการฉีกขาดของแผ่นวัสดุที่ปิดกั้นบริเวณปากกระป๋องเป็นรูรั่วที่เล็กมาก ทำให้มอดแป้งที่อาจเกาะกินอยู่กับสินค้าผลิตภัณฑ์ประเภทธัญพืชซึ่งเก็บรักษาอยู่ในที่เดียวกันหรือใกล้เคียง น่าจะเล็ดลอดเข้าไปอยู่อาศัยทำมาหากินกับนมผงที่กระป๋องมีรอยบุบนี้ได้ และหากพนักงานของผู้ประกอบธุรกิจไม่ตรวจสอบให้ดีและคัดแยกออกไป นมกระป๋องนี้จึงถึงมือผู้บริโภคในท้ายที่สุดได้อย่างไรก็ดีขอขอบพระคุณผู้ประกอบธุรกิจทั้งสองที่ได้ตระหนักและให้ความสำคัญต่อสิทธิของผู้บริโภค นับเป็นเยี่ยงอย่างที่ดีและน่ายกย่องที่ผู้ประกอบธุรกิจอื่นๆ จะได้นำไปปฏิบัติต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 102 แม่บ้านดวงอับ ถูกแบงค์ฟ้องหนี้บัตรเครดิต

แทบเป็นลมล้มทั้งยืนเมื่อเห็นหมายศาลส่งมาถึงบ้านแจ้งให้ไปศาลในวันที่ 17 สิงหาคม 2552 และให้ชำระหนี้บัตรเครดิตให้กับธนาคารกรุงเทพ เป็นเงินสามหมื่นกว่าบาท“ได้รับเงินแค่เดือนละ 4-5 พันบาท จะเอาปัญญาที่ไหนไปใช้เงินเขา ที่สำคัญยังไม่รู้เลยว่าเคยไปทำบัตรเครดิตใบนี้ไว้ตอนไหน”คุณชิดชนก แม่บ้านทำความสะอาดอยู่ที่สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(สปก.) โอดครวญ“ก็เคยได้รับจดหมายทวงหนี้จากธนาคารมาก่อนเหมือนกัน เขาบอกว่าเราได้รับอนุมัติให้ใช้บัตรเครดิตของธนาคาร และก็มียอดหนี้แจ้งมาในจดหมาย เรากับสามีก็งงๆ เพราะบัตรเครดิตสักใบก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยใช้แล้วจะมีหนี้ได้อย่างไร ไม่มีความรู้ทางข้อกฎหมายด้วยว่าจะต้องทำยังไงต่อไป คิดในแง่ดีไปว่าเขาอาจจะส่งผิดก็ไม่ได้สนใจอะไร”เมื่อไม่มีการทักท้วงใดๆ ออกไป ในที่สุดหมายฟ้องคดีจึงมาเกาะที่หน้าประตูบ้านทันที คราวนี้ทั้งบ้านเหมือนร้อนเป็นไฟอยู่เฉยกันไม่ได้ ต้องมานั่งตรวจเอกสารต่างๆ ที่แนบมากับหมายฟ้อง ก็มาสะดุดกับลายเซ็นชื่อของตัวเองในใบสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิต“ไม่ใช่ลายเซ็นของเราแน่นอน” คุณชิดชนกยืนยัน”“คนอื่นอาจจะดูเหมือนมาก แต่เราเห็นแล้วบอกเลยว่าไม่ใช่ ส่วนรายละเอียดอย่างอื่น เช่น ยอมรับว่าชื่อ-นามสกุลเป็นของเรา เลขบัตรประชาชนก็เป็นของเรา แต่ที่อยู่บ้าน เบอร์โทรศัพท์ ไม่ใช่ เป็นบ้านใครเบอร์โทรศัพท์ใครก็ไม่รู้ มาดูชื่อสถานที่ทำงานก็ไม่ใช่บริษัทที่เราทำงานให้อยู่ แถมแจ้งรายได้ถึง 3 แสนบาทต่อปีอีก มันไม่ใช่ตัวเราเลยน่ะ เงินเดือนเราแค่ 4-5 พันเท่านั้น” หลังจากนั้นคุณชิดชนกจึงหอบหลักฐานประจำตัว หลักฐานตามสำนวนฟ้องคดีที่ได้รับมาโดยไม่ต้องการวิ่งไปหาธนาคารกรุงเทพ เพื่อปฏิเสธภาระหนี้ดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 2552 แต่ด้วยความร้อนใจที่วันนัดของศาลใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คุณชิดชนกจึงดิ้นรนไปร้องทุกข์กับสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสและมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคที่ได้รับเรื่องในเวลาต่อมาแนวทางแก้ไขปัญหา สำหรับผู้บริโภคที่โดนแจ็คพอตมีหนี้บัตรเครดิตทั้งที่ตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าของบัตรหรือใช้บัตร ให้ใช้หลักทักท้วงและปฏิเสธโดยทันที ดังนี้ครับ1.เมื่อผู้บริโภคตรวจสอบพบว่าตนไม่ได้เป็นผู้เข้าทำสัญญาขอใช้บัตรเครดิตกับธนาคาร หรือไม่ได้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือบริการตามที่มีใบแจ้งหนี้มา ให้ทำหนังสือปฏิเสธสัญญาหรือรายการใช้จ่ายดังกล่าวโดยทันทีและส่งเป็นจดหมายลงทะเบียนตอบรับถึงธนาคารโดยทันที(การโทรไปที่ศูนย์บริการของผู้ประกอบธุรกิจมีข้อดีคือสะดวก ง่าย แต่ผู้บริโภคจะไม่มีหลักฐานไว้ยืนยันในภายหลัง)2.ถือเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต หรือธนาคารที่จะเป็นผู้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานประกอบการทำสัญญาว่ามีผู้ปลอมแปลงเอกสารและใช้เอกสารมาทำสัญญาหรือไม่3. หนี้ที่เกิดขึ้นถือเป็นหนี้เสียของธนาคารที่ธนาคารจะต้องติดตามดำเนินคดีเองกับผู้กระทำผิด มิใช่ผู้บริโภคในส่วนผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาของคุณชิดชนกได้รับการชี้แจงจากธนาคารกรุงเทพว่าหลังคุณชิดชนกมาแจ้งเรื่อง ธนาคารจึงได้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานการขอทำบัตรเครดิตและยอมรับว่าเป็นเอกสารที่ไม่เกี่ยวข้องกับคุณชิดชนกแต่ที่ช้าไปบ้างก็เพราะธนาคารต้องใช้เวลาตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ให้แน่ใจโดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 3 อาทิตย์ ท้ายที่สุดธนาคารยินยอมที่จะถอนฟ้องคุณชิดชนกในวันที่ศาลนัดโดยทันที แต่เพื่อความปลอดภัย... มูลนิธิฯ จึงได้จัดส่งเจ้าหน้าที่พร้อมทนายไปเป็นพี่เลี้ยงในวันขึ้นศาลด้วย หากธนาคารเกิดเปลี่ยนใจคุณชิดชนกจะสามารถต่อสู้คดีได้ทันที

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 102 “เตาแม่เหล็กไฟฟ้า คุ้มค่าแค่ไหน”

“เสน่ห์ปลายจวักผัวรักจนตาย” สุภาษิตไทยโบราณที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการทำกับข้าวเข้าครัวของฝ่ายหญิงที่ใช้เป็นสิ่ง ผูกมัดใจฝ่ายชายให้อยู่กับบ้านกินกับเรือน ไม่ให้หนีไปหากิ๊กที่อื่นหรือมีข้ออ้างไปหาอาหารกินนอกบ้าน เรื่องดังกล่าวถือเป็นวัฒนธรรมที่ ยกให้ผู้หญิงเป็นใหญ่หรือเป็นคนสำคัญในบ้าน คล้ายกับวัฒนธรรมของชาวอิตาเลี่ยนที่คุณย่าหรือคุณยายมีหน้าที่ทำอาหารเลี้ยงคนใน ครอบครัวและเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในบ้าน เพราะเป็นผู้ที่รักษาความลับในการทำพาสต้าให้คนในครอบครัว รับประทานอย่างเอร็ดอร่อย และเมื่อลูกสะใภ้หรือลูกสาวได้รับการถ่ายทอดเคล็ดลับการทำอาหารจากคุณย่าหรือคุณยายแล้วก็จะเป็นแม่ ครัวประจำบ้านแทนทันที เมื่อนั้นความสำคัญในครอบครัวก็จะตกมาอยู่ที่ลูกสาวหรือลูกสะใภ้ต่อไป   ปัจจุบันการจะทำอาหารรับประทานกินเองในครอบครัวนั้น ถูกจำกัดด้วยสภาพที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ที่ต้องอาศัย อยู่ในอาคารชุด ทำให้มีข้อจำกัดในการทำอาหารรับประทานเองในที่พักอาศัย เนื่องจากอาคารชุดบางแห่งห้ามใช้เตาแก๊สในการประกอบอาหาร ทำให้ “เตาไฟฟ้า” เป็นทางเลือกหนึ่งในการหุงต้มอาหาร ซึ่งเตาไฟฟ้ามีข้อดีหลายอย่าง แต่ใช้เวลานานในการให้ความร้อนเมื่อเทียบกับเตาแก๊ส ในปัจจุบันเทคโนโลยีเกี่ยวกับเตาไฟฟ้าเพื่อใช้ประกอบอาหารก้าวหน้าไปมาก “เตาแม่เหล็กไฟฟ้า” ถือได้ว่าเป็นทางเลือกใหม่ใน การปรุงอาหาร ซึ่งปัจจุบันมีสินค้าให้เลือกใช้หลากหลายยี่ห้อที่วางขายอยู่ในท้องตลาด การทดสอบนี้เป็นแนวทางที่ช่วยให้ผู้บริโภคที่สนใจจะซื้อเตาแม่เหล็กไฟฟ้าได้ทราบถึงข้อมูลเบื้องต้นในการเลือกซื้อเตาไฟฟ้าให้ตรงกับความต้องการและงบประมาณที่กำหนด ฉลาดซื้อร่วมกับเครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ได้สุ่มซื้อเตาแม่เหล็กไฟฟ้า จำนวน 15 ยี่ห้อ 16 รุ่น จากห้างสรรพสินค้า และไฮเปอร์มาร์เก็ตในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ราคาตั้งแต่ 999 บาท ถึง 6,000 บาท โดยทดสอบเปรียบเทียบในเรื่องการใช้พลังงาน การใช้งาน และการปล่อยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Elektrosmog) แสดงผลตามตาราง  การทดสอบการใช้พลังงานทดสอบโดยต้มน้ำปริมาตร 1.5 ลิตร เปิดฝา จับเวลา และวัดพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ตั้งแต่เริ่มต้มจนกระทั่งน้ำเดือด ผลจากการทดสอบสามารถแบ่งเตาแม่เหล็กไฟฟ้าออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่กินไฟน้อย ได้แก่ เตายี่ห้อ VZIO, House Worth, Orchid, Nicole, Electrolux และ Toshiba กลุ่มที่กินไฟปานกลาง ได้แก่ AJ, Midea, Hanabishi, Imarflex รุ่น IF-830, Imarflex รุ่น IF- 863, OTTO, Zebra Head, Fagor และ Mamaru กลุ่มที่กินไฟมาก ได้แก่ Oxygen การทดสอบการปล่อยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Electrosmog)สนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากเตาแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถวัดได้โดยใช้เครื่องมือวัดค่าสนามแม่เหล็กแบบดิจิตอล ยี่ห้อ Gigahertz Solution รุ่น ME 3030 B ระหว่างช่วงความถี่ 16 เฮิตร์ซ ถึง 2000 เฮิตร์ซ โดยวางเครื่องมือวัดให้มีระยะห่างจากเตาแม่เหล็กไฟฟ้า 50 เซนติเมตร และเปิดเตาไฟฟ้าที่กำลังสูงสุด จากการทดสอบสามารถอ่านค่าความเข้มสนามแม่เหล็กได้สูงสุด 2000 นาโนเทสลา (nT) สำหรับเตาแม่เหล็กไฟฟ้าที่ให้ค่าความเข้มสนามแม่เหล็กมากกว่า 2000 นาโนเทสลา (nT) เครื่องมือวัดฯ ไม่สามารถประเมินในเรื่องความปลอดภัยได้ อย่างไรก็ตาม สถาบัน T?V Rheinland หน่วยงานอิสระที่ทำการทดสอบทางด้านเทคนิคของประเทศเยอรมนี ได้ให้คำแนะนำว่า ค่าความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าไม่ควรเกินกว่า 200 นาโนเทสลา (nT) การใช้งาน การใช้งานของเตาแม่เหล็กไฟฟ้าพิจารณาจากคู่มือการใช้งาน และแผงหน้าปัด คู่มือการใช้งาน ในการจัดทำคู่มือการใช้งานของผลิตภัณฑ์ สามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย คู่มือการใช้งานได้ดีมาก ได้แก่ Toshiba ซึ่งเป็นคู่มือการใช้งานที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ ตัวหนังสือมีขนาดใหญ่ อ่านง่าย สบายตา มีภาพประกอบคำอธิบายชัดเจน คู่มือการใช้งานได้ดี ได้แก่ House Worth, AJ, Zebra Head และ Mamaru ขนาดตัวหนังสือที่ใช้อธิบายมีขนาดใหญ่ อ่านง่าย แต่มีภาพประกอบน้อย คู่มือการใช้งานได้พอใช้ ได้แก่ ยี่ห้อ Electrolux, Fagor, Imaflex รุ่น IF 830 และรุ่น IF 863, Midea และ Hanabishi ตัวหนังสือขนาดใหญ่ มีภาพประกอบน้อย และมีข้อมูลในการใช้งานน้อย คู่มือการใช้งานที่ต้องปรับปรุง ได้แก่ VZiO, Orchid, OTTO, Nicole, และ Oxygen โดยเฉพาะยี่ห้อ VZiO ไม่มีคู่มือที่แปลเป็นภาษาไทย แผงหน้าปัด แผงหน้าปัดควบคุมของผลิตภัณฑ์ แบ่งตามลักษณะการใช้งานออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบสัมผัส (Touch screen) ได้แก่ เตาแม่เหล็กไฟฟ้า ยี่ห้อ Electrolux, House Worth, VZIO, OTTO, Fagor, Zebra Head และ Toshiba แบบปุ่มกด ได้แก่ Orchid, Nicole, AJ, Midea, Hanabishi, Imaflex รุ่น IF 830 และ รุ่น IF 863, Mamaru และ Oxygen แผงหน้าปัดถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญในการใช้งาน เพราะต้องสื่อสารด้วยสัญลักษณ์หรือภาษาที่เข้าใจง่าย ตัวหนังสือ ต้องมีขนาดใหญ่ เห็นได้ชัดเจน บางยี่ห้อ ปุ่มกดหรือผิวสัมผัส มีขนาดเล็ก ทำให้ไม่สะดวกในการใช้งาน โดยเฉพาะผู้ใช้งานสูงอายุ ที่มีความสามารถในการมองเห็นและการได้ยินค่อนข้างจำกัด จากการทดสอบเตาแม่เหล็กไฟฟ้าทุกรุ่น พบว่า ปุ่มกดหรือผิวสัมผัสจะมีเสียงสัญญาณ เพื่อยืนยันการกดใช้งาน นอกจากนี้ยังมีสัญญาณไฟเพื่อบอกการทำงานของเตาด้วย ตัวอย่างแผงหน้าปัดที่เหมาะสมกับผู้ใช้งาน ที่มีขนาดใหญ่ ภาพและตัวหนังสือ ชัดเจน และมีภาษาไทยประกอบ คือ Hanabishi, Zebra Head และ AJ ดูรูปที่ภาคผนวก 1 แผงหน้าปัดที่ไม่มีภาษาไทยประกอบคือ Imaflex รุ่น IF- 863, Toshiba, VZiO, Orchid, Nicole, Oxygen, Midea, OTTO, Fagor, และ Electrolux ซึ่ง แผงหน้าปัดมีการใช้สัญลักษณ์ เพียงอย่างเดียวทำให้ผู้ใช้งานสับสนได้ ดูรูปที่ภาคผนวก 2 แผงหน้าปัด ที่มีภาพและตัวหนังสือขนาดเล็ก แป้นกดขนาดเล็ก คือ Imaflex รุ่น IF 830, House Worth, Mamaru ดูรูปที่ภาคผนวก 3ความปลอดภัยเตาแม่เหล็กไฟฟ้าขณะทำงานจะมีการสร้างสนามแม่เหล็กส่งผ่านมายังกระทะสแตนเลส (ใช้ได้เฉพาะโลหะที่มีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็ก หรือแม่เหล็กถาวรดูดติดเท่านั้น) ขึ้นมาด้านบน ซึ่งมีน้ำหรือน้ำมันอยู่ และย้อนกลับไปยังเตาแม่เหล็กไฟฟ้า สนามแม่เหล็กนี้เองที่เป็นตัวสร้างความร้อนให้เกิดขึ้นที่ก้นภาชนะ และถ่ายเทความร้อนให้กับน้ำหรือน้ำมันในกระทะสแตนเลส ในขณะที่ตัวกระทะด้านบนยังมีความเย็นอยู่และจะร้อนขึ้นจากการถ่ายเทความร้อนมาจากก้นภาชนะขึ้นมา บริเวณแผ่นส่งความร้อนตรงที่ไม่ได้มีภาชนะวาง จะไม่เกิดการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็ก จึงไม่เกิดความร้อน เพราะฉะนั้นบริเวณรอบๆ ภาชนะ จึงไม่ได้เกิดความร้อน ซึ่งเป็นข้อดีประการหนึ่งของเตาแม่เหล็กไฟฟ้าที่ป้องกันอันตรายจากความร้อนของหัวเตา เตาแม่เหล็กไฟฟ้าไม่สามารถใช้ได้กับภาชนะที่ไม่มีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็ก หม้อหรือภาชนะที่เป็นอลูมิเนียม หรือกระเบื้อง หรือแก้วไม่สามารถใช้อุ่นหรือปรุงอาหารด้วยเตาแม่เหล็กไฟฟ้าได้ ดังนั้นหากเราต้องการอุ่นอาหารด้วยหม้ออลูมิเนียมแล้วเตาแม่เหล็กไฟฟ้าดังกล่าวไม่ทำงาน ก็ไม่ได้หมายความว่าเตาแม่เหล็กไฟฟ้าชำรุดแต่ประการใด เตาแม่เหล็กไฟฟ้าขณะที่กำลังทำงานอยู่จะมีการสั่น ซึ่งสามารถทำให้กระทะหรือหม้อมีการเคลื่อนที่ได้ และถ้าโต๊ะหรือที่วางเตาแม่เหล็กไฟฟ้าไม่ได้ระนาบ กระทะหรือหม้ออาจจะพลิกหรือตกจากเตาได้ ดังรูปที่ 1  รูปที่ 1 ความเสี่ยงจากการใช้เตาแม่เหล็กไฟฟ้าบนโต๊ะที่ ไม่ได้ระนาบ ผลข้างเคียงจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าสำหรับเรื่องความปลอดภัยหรือความเสี่ยงของมนุษย์ภายใต้สภาวะสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความเข้มข้นสูงนั้น มีผลข้างเคียงต่อสุขภาพของผู้บริโภคหรือไม่ ซึ่งประเด็นดังกล่าวยังเป็นข้อถกเถียงกันของนักวิชาการฝ่ายที่ทำงานให้กับบริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า และฝ่ายที่ทำงานในด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จนถึงปัจจุบันนี้ ในยุโรปเองก็ยังไม่มีข้อสรุปในการออกเป็นกฎหมายบังคับ และยังไม่มีงานวิจัยใด ที่สามารถบ่งชี้ถึงผลข้างเคียงต่อผู้บริโภค เพราะการพิสูจน์เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ซับซ้อนมาก แต่ในฐานะผู้บริโภคเราควรตระหนักถึงความเสี่ยงที่เกิดจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งอาจจะส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์ในด้านลบหากอยู่ภายใต้ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กสูงๆ เป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ pace maker ไม่ควรที่จะเข้ามาอยู่ใกล้กับเตาแม่เหล็กไฟฟ้าขณะเครื่องทำงาน เพราะสนามแม่เหล็กอาจจะไปรบกวนการทำงานของเครื่อง pace maker หรือไปหยุดการทำงานของเครื่อง pace maker ได้เช่นกัน ซึ่งประเด็นเรื่อง electrosmog เป็นเรื่องที่น่าสนใจ จะหาโอกาสมาเล่าถึงในโอกาสต่อไป เตาแม่เหล็กไฟฟ้ากับการประหยัดพลังงานหลักการโดยทั่วไปในการหุงต้มในเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมคือ ความร้อนที่เกิดจากการใช้ก๊าซธรรมชาติ จะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าความร้อนที่เกิดจากการใช้ไฟฟ้า เพราะการใช้พลังงานปฐมภูมิ (เช่น ก๊าซธรรมชาติ) มีประสิทธิภาพดีกว่าพลังงานความร้อนที่เกิดจากการใช้ไฟฟ้าที่มีการสูญเสียพลังงานโดยรวมมากกว่า แต่ในด้านความปลอดภัยโดยเฉพาะการหุงต้มในอาคารชุด จำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าแทนการใช้ก๊าซธรรมชาติ เมื่อเปรียบเทียบการใช้พลังงานของเตาหุงต้มประเภทต่างๆ คือ เตาไฟฟ้า ที่ทำจากเหล็กหล่อ (Cast iron hot plate) เตาอินฟราเรด เตาอินฟราเรดพร้อมเซนเซอร์ เตาฮาโลเจน และเตาแม่เหล็กไฟฟ้า (Induction hot plate) จากรูปสามารถสรุปได้ดังนี้ รูปที่ 2 แผนภูมิแสดงการใช้พลังงานในการทดสอบของ เตาไฟฟ้าประเภทต่างๆ [1] จากผลการทดสอบเปรียบเทียบการต้มน้ำปริมาตร 1.5 ลิตร เตาอินดัคชันใช้พลังงานในการต้มน้อยที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับเตาชนิดอื่นๆ นอกจากนี้ในการอุ่นอาหารและรักษาอุณหภูมิอุ่น นาน 45 นาที เตาอินดัคชันใช้พลังงานน้อยที่สุดเช่นกัน ประเภทของเตาไฟฟ้า  รูปที่ 3 รูปแสดงประเภทของเตาไฟฟ้า [2] เตาไฟฟ้าสามารถแบ่งประเภทตามลักษณะแผ่นส่งความร้อนออกเป็น 2 ประเภทคือ1. เตาไฟฟ้าแบบธรรมดา แผ่นส่งความร้อนเป็นเหล็กหล่อใช้พลังงานไฟฟ้าในการทำให้เตาเกิดความร้อน มีราคาถูกกว่าเตาไฟฟ้าแบบอื่น (รูปประกอบ 3ก)2. เตาไฟฟ้าแบบแผ่นส่งความร้อนทำจากเซรามิก เตาประเภทนี้สามารถจำแนกพลังงานที่ทำให้เกิดความร้อน ได้ 4 ประเภท คือ 2.1 เตาอินฟราเรด (Infrared hot plate) เป็นเตาที่ให้ความร้อนโดยใช้รังสีอินฟราเรด (รูปประกอบ 3ข) 2.2 เตาฮาโลเจน (Halogen hot plate) เป็นเตาที่ให้ความร้อนโดยขดลวด ภายใต้บรรยากาศก๊าซเฉื่อย) (รูปประกอบ 3ข) 2.3 เตาอินดัคชัน (Induction hot plate) (รูปประกอบ 3 ค) เป็นเตาที่ใช้หลักการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดจากการเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานความร้อน ซึ่งความร้อนดังกล่าวจะเกิดบริเวณก้นภาชนะที่เป็นวัสดุประเภทเฟอโรแมกเนติก (Ferromagnetic- วัสดุที่สามารถใช้แม่เหล็กดูดแล้วติด เช่น เหล็กเหนียว และเหล็กหล่อ) โดยบริเวณอื่นของภาชนะไม่เกิดความร้อนจากการเหนี่ยวนำ แต่เกิดจากการนำความร้อนจากก้นภาชนะ สำหรับบริเวณด้านนอกที่ก้นหม้อหรือกระทะ ไม่ได้สัมผัสกับเตาจะไม่เกิดความร้อนเช่นกัน ทำให้สามารถใช้มือสัมผัสได้ หรือถ้าเราเปิดเตาแต่ไม่ได้วางภาชนะลงไปก็จะไม่เกิดความร้อนขึ้น ถือได้ว่าเตาแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์การทำอาหารที่ค่อนข้างปลอดภัย โดยการให้ความร้อนแบบนี้เรียกว่า (cold cooking) 2.4 เตาแก๊ส ความร้อนได้จากการเผาไหม้ของก๊าซธรรมชาติ (รูปประกอบ 3 ง) ซึ่งการให้ความร้อนของเตาทั้งสามประเภทนี้ หากเราปล่อยให้ความร้อนสูงเกินไปจะทำให้แผ่นส่งความร้อนไหม้ได้ (Overheating) ภาชนะที่เหมาะสมกับเตาอินดัคชันภาชนะที่เหมาะสมที่ใช้กับเตาอินดัคชันต้องเป็นวัสดุที่สามารถดูดติดกับแม่เหล็กได้ และขนาดของภาชนะควรมีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ต่ำกว่า 12 เซนติเมตร ก้นของภาชนะต้องแบนราบ เพราะหากก้นของภาชนะมีลักษณะโค้งเว้าจะทำให้พลิกคว่ำได้ง่าย ในกรณีที่ภาชนะมีขาตั้ง ระยะห่างระหว่างก้นของภาชนะกับแผ่นนำความร้อนไม่ควรจะสูงเกินกว่า 2 มิลลิเมตร การบำรุงรักษาเตาแม่เหล็กไฟฟ้าหลังจากใช้งานเสร็จแล้วควรตั้งเตาทิ้งไว้สักพัก ให้เย็นตัวลง หลังจากนั้นใช้ผ้าหรือฟองน้ำชุบนน้ำหมาดๆ เช็ดให้สะอาด หากมีคราบน้ำมันติดอยู่ ควรใช้ผ้าหรือฟองน้ำชุบน้ำยาล้างจาน เช็ดคราบสกปรกออก และขณะทำความสะอาดควรถอดปลั๊กไฟออกทุกครั้ง เนื่องจากแผ่นเตาเป็นวัสดุที่ทำจากแก้ว หรือเซรามิก จึงมีความเปราะ เวลาตั้งภาชนะ ไม่ควรกระแทกลงบนเตา และไม่ควรใช้โลหะหรือฝอยขัดหม้อขัดที่ผิวเตา หากผิวเตาแตกชำรุดไม่ควรใช้งานต่อ สรุปผลการทดสอบผลการทดสอบนี้พบว่า เตาแม่เหล็กไฟฟ้าหลายยี่ห้อประหยัดพลังงาน แต่ประเด็นเรื่องการจัดทำคู่มือการใช้งานเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานนั้น พบว่ามีหลายยี่ห้อที่ยังต้องปรับปรุงและให้ความสำคัญในประเด็นนี้เพิ่มมากขึ้น สำหรับแผงหน้าปัดควบคุมการใช้งานควรมีภาษาไทยประกอบ ซึ่งบางยี่ห้อไม่ได้คำนึงถึงประเด็นนี้เลย การให้คะแนนผลิตภัณฑ์ที่น่าใช้งาน แบ่งตามเกณฑ์ดังนี้ เกณฑ์การประเมินดังกล่าวผู้บริโภคสามารถใช้เป็นแนวทางเบื้องต้นในการตัดสินใจเลือกซื้อเตาแม่เหล็กไฟฟ้าได้ เอกสารอ้างอิง1 วารสาร Test ฉบับที่ 8 ปี 20042 เอกสาร Eco Top Ten for stove and hot plate,Institute for Applied Ecology, 2008 ภาคผนวก รูปที่ 1: ตัวอย่างแผง หน้าปัดเตาแม่เหล็ก ไฟฟ้า ที่มีปุ่มกดมีขนาด ใหญ่ เห็นได้ชัดเจน มี ภาษาไทยประกอบ เข้าใจง่าย รูปที่ 2: ตัวอย่างแผง หน้าปัดเตาแม่เหล็ก ไฟฟ้า ที่ไม่ มีภาษาไทย ประกอบ เน้นการใช้ สัญลักษณ์ เข้าใจยาก ไม่สะดวกในการใช้งาน รูปที่ 3: ตัวอย่างแผง หน้าปัดเตาแม่เหล็ก ไฟฟ้า ที่มีปุ่มกดและตัว อักษรขนาดเล็ก ไม่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 137 กระแสต่างแดน

สวรรค์ของคนเป็นแม่ กระแสต่างแดนฉบับนี้ พาคุณไปสำรวจสุขภาวะของบรรดาคุณแม่รอบโลก ผ่านรายงานว่าด้วยสุขภาวะของมารดาทั่วโลกประจำปี 2012 (Mother’s Index 2012) ที่องค์กร Save the Children เขาเก็บข้อมูลจาก 165 ประเทศทั่วโลก และมีการจัดอันดับให้คะแนนประเทศเหล่านั้นโดยแยกประเทศเหล่านั้นออกเป็น 3 กลุ่มก่อนจัดอันดับ ได้แก่ กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว 43 ประเทศ กลุ่มที่กำลังพัฒนา 80 ประเทศ และกลุ่มที่ยังต้องการการพัฒนาอีกมากอีก 42 ประเทศ ----- เกณฑ์การให้คะแนน สุขภาวะของเด็ก                                                 ร้อยละ 30 สุขภาพของสตรี                                                  ร้อยละ 20 สถานภาพทางการศึกษาของสตรี                          ร้อยละ 20 สถานภาพทางเศรษฐกิจของสตรี                           ร้อยละ 20 สถานภาพทางการเมืองของสตรี                            ร้อยละ 10 ---- 10 อันดับประเทศในกลุ่ม “พัฒนาแล้ว” ที่มีคุณภาพชีวิตของแม่และเด็กสูงที่สุด นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ สวีเดน นิวซีแลนด์ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ออสเตรเลีย เบลเยี่ยม ไอร์แลนด์ 10.  เนเธอร์แลนด์ ในกรณีที่คุณสงสัย สหรัฐอเมริกาได้อันดับที่ 25 ในขณะที่ญี่ปุ่นได้อันดับ 30  ส่วนสเปน แชมป์ฟุตบอลยูโรหมาดๆ นั้นได้อันดับที่ 16 ---- คุณแม่ชาวนอร์เวย์สามารถลาคลอดได้ถึง 9 เดือน โดยยังได้เงินเดือนเต็มจำนวน และถ้าลาเพิ่มอีก 10 สัปดาห์ก็ยังได้เงินเดือนร้อยละ 80 ที่สำคัญเมื่อกลับเข้าทำงานแล้วยังสามารถขอลาไปดูแลลูกระหว่างวันได้อีก และนั่นคงเป็นสาเหตุให้อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่นอร์เวย์สูงถึงร้อยละ 99 และร้อยละ 70 ของทารกที่นั้นยังได้กินนมแม่จนอายุ 3 เดือน ผู้หญิงชาวนอร์เวย์ได้รับการศึกษาเฉลี่ย 18 ปี และมีอายุขัยเฉลี่ย 83 ปี มากกว่าร้อยละ 80 ใช้วิธีการคุมกำเนิดสมัยใหม่เพื่อการวางแผนครอบครัว นอกจากนี้ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมือง และความเท่าเทียมทางรายได้ของสตรีชาวนอร์เวย์ก็สูงด้วยเช่นกัน ตรงกันข้ามกับสหรัฐอเมริกาที่ไม่มีข้อกำหนดให้นายจ้างจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานที่ใช้สิทธิลาคลอด ซึ่งเขากำหนดไว้ที่ 3 เดือน ซึ่งเป็นตัวเลขต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และนอกจากนี้อัตราการตายที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์สูงที่สุดในกลุ่มอีกด้วย ---- 10 อันดับประเทศในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ที่คุณภาพชีวิตของแม่และเด็กสูงสุด คิวบา อิสราเอล บาร์เบโดส อาร์เจนตินา ไซปรัส เกาหลีใต้ อุรุกวัย คาซัคสถาน มองโกเลีย 10.  บาฮามาส ประเทศไทยรั้งอันดับที่ 16 ของกลุ่ม ตามด้วยเวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ที่ได้อันดับ 20  41  52  และ59 ตามลำดับ บราซิลอยู่อันดับที่ 12  จีนอันดับที่ 14 ส่วนอินเดียตามมาห่างๆ ที่อันดับ 76 ---- 10 อันดับท้ายซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ยังต้องการการพัฒนา ที่แม่และเด็กยังมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดีเท่าที่ควรได้แก่ คองโก ซูดานใต้ ซูดาน ชาด เอริเทรีย มาลี กินี-บิสเซา เยเมน อัฟกานิสถาน 10.  ไนเจอร์ ประเทศกัมพูชา พม่า และลาวอยู่ในอันดับที่ 6  7 และ 11 ตามลำดับ ที่ประเทศไนเจอร์นั้น ผู้หญิง 1 ใน 30 คนมีโอกาสเสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวเนื่องกับการตั้งครรภ์ และเด็ก 1 ใน 7 คนจะเสียชีวิตก่อนอายุ 5 ปี โดยเฉลี่ยแล้วพวกเธอได้รับการศึกษาประมาณ 6 ปี และมีรายได้น้อยกว่าผู้ชายมากกว่าครึ่งหนึ่ง ---- นมแม่นานาชาติ ประเทศที่มีนโยบายส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยอดเยี่ยม ได้แก่ นอร์เวย์ สโลเวเนีย สวีเดน และลักเซมเบอร์ก ในขณะที่ออสเตรเลีย มอลต้า และสหรัฐฯ  เป็น 3 ประเทศที่ได้คะแนนต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ ที่มีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงแค่ร้อยละ 35 เท่านั้น ทั้งนี้มีงานวิจัยที่ระบุว่าอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่ต่ำเกินไปนั้น ทำให้รัฐบาลอเมริกันต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลอันเกิดจากการเจ็บป่วยของทารกถึง 13,000 ล้านเหรียญต่อปี   ในกลุ่มอาเซียนนั้น พม่า และกัมพูชาจัดอยู่ในกลุ่มที่ได้คะแนนระดับ “ดี” ในขณะที่ลาว ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียได้ระดับ “พอใช้” ส่วนเวียดนามอยู่ในระดับ “แย่” นอร์เวย์ได้มีการนำเนื้อหาในหลักเกณฑ์สากลว่าด้วยการตลาดอาหารเสริมและอาหารทดแทนนมแม่ (International Code of Marketing of Breast-milk Substitutes) มาบัญญัติเป็นกฎหมาย ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวมีสาระสำคัญคือการขอให้รัฐบาลของประเทศที่ร่วมลงนามนั้นมีนโยบายและมาตรการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และในขณะเดียวกันก็ห้ามการโฆษณานมผงหรือผลิตภัณฑ์ทดแทนนมแม่อื่นๆ ห้ามการแจกสินค้าตัวอย่างแก่ทั้งบรรดาคุณแม่และบุคลากรทางการแพทย์ และห้ามการใช้งบของระบบสุขภาพในการส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์นมผง เป็นต้น   ประเทศไทยของเราก็ลงนามยอมรับหลักเกณฑ์ดังกล่าวตั้งแต่ปี 2524 แล้ว แต่ดูเหมือนจะยังไม่ค่อยได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวมากนัก เพราะภาพคุณแม่หมาดๆ หิ้วตะกร้าผลิตภัณฑ์นมผงที่ได้รับแจกจากผู้ผลิตในวันที่ออกจากโรงพยาบาลก็มีให้เห็นกันบ่อยๆ ---- นมแม่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนแรกของทารก เพราะนมแม่สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย การเป็นโรคอ้วน โรคภูมิแพ้ หรือแม้แต่การตายเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ (SIDS: Sudden Infant Death Syndrome) ของทารกได้ และตัวคุณแม่เองก็มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่น้อยลงด้วย ไหนจะช่วยลดโลกร้อนได้อีก เพราะนมแม่ไม่ต้องใช้บรรจุภัณฑ์ ไม่สิ้นเปลืองทรัพยากรในการจัดเก็บ จัดส่ง หรือแช่เย็น และมาจากแหล่งพลังงานทดแทน เรียกว่าเป็นการแสดงความรับผิดชอบของคุณแม่ต่อสังคมด้วยนั่นเอง ----

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 137 คลอดเหมาจ่าย เลือกยังไงให้ถูกใจคุณแม่

ฉลาดซื้อฉบับนี้มาพร้อมกับบรรยากาศอบอุ่นไอรักรับช่วง “วันแม่” ด้วยข้อมูลดีๆ สำหรับคนที่กำลังเตรียมตัวจะเป็นคุณแม่ กับการเลือกใช้บริการ “แพ็คเก็จคลอดเหมาจ่าย”   แพ็คเก็จคลอดเหมาจ่ายสำคัญอย่างไร การคลอดแบบเหมาจ่าย ถือเป็นบริการที่ช่วยให้คุณแม่รู้สึกสบายใจคลายกังวลเรื่องการคลอด เพราะทางโรงพยาบาลจะรวบรวมการบริการที่จำเป็นสำหรับการคลอดมาไว้ในแพ็คเก็จ ที่สำคัญคือมีการระบุราคาเอาไว้ให้เรียบร้อย ทำให้คุณแม่สามารถวางแผนค่าใช้จ่ายได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งปัจจุบันเกือบทุกโรงพยาบาลมีให้บริการการคลอดแบบเหมาจ่าย (โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน) ซึ่งแน่นอนว่าทุกที่ต่างแข่งขันกันเรื่องบริการและราคา ฉลาดซื้อจึงอยากนำเสนอคำแนะนำง่ายๆ สำหรับคุณแม่มือใหม่ที่กำลังตัดสินใจเรื่องใช้บริการแพ็คเก็จคลอดเหมาจ่าย สิ่งที่คุณแม่ต้องได้รับจากบริการคลอดแบบเหมาจ่าย 1.แพทย์ ซึ่งต้องเป็น สูติแพทย์ กุมารแพทย์ และวิสัญญีแพทย์ กรณีผ่าตัดคลอดแล้วมีการใช้ยาสลบ ซึ่งในบางโรงพยาบาล เราสามารถเลือกแพทย์ที่จะทำการคลอดได้ด้วย   2.ยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ที่จำเป็นในการคลอด ซึ่งในส่วนนี้คุณแม่ต้องดูรายละเอียดให้ดี เพราะบางโรงพยาบาลก็จัดยาและเวชภัณฑ์เฉพาะที่ใช้ภายในห้องคลอดหรือเกี่ยวกับการคลอดเท่านั้น หากเป็นยาอื่นๆ เช่น ยาแก้ปวด ยาลดไข้ อาจจะมีการคิดราคาเพิ่มนอกเหนือจากราคาที่ระบุไว้ในแพ็คเก็จ 3.ห้องคลอด ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ที่คอยทำงานอยู่ในห้อง พยาบาล แพทย์ ผู้ช่วย อุปกรณ์ เครื่องไม้ เครื่องมือต่างๆ ซึ่งในบางโรงพยาบาลจะมีการพาคุณแม่ไปชมห้องคลอดก่อนการตัดสินใจเลือกใช้บริการ 4.ค่าห้องพักทั้งของคุณแม่และคุณลูก ซึ่งในแพ็คเก็จจะมีการแจ้งระยะเวลาเอาไว้ชัดเจน เช่น 2 หรือ 3 คืน หากพักเกิน ทางโรงพยาบาลจะคิดค่าบริการเพิ่มตามจำนวนวันที่เกินมา นอกจากนี้ด้วยความที่โรงพยาบาลเอกชนแข่งขันกันเรื่องบริการ การจัดทำห้องพิเศษต่างๆ ก็ถือเป็นเงื่อนไขอย่างหนึ่งที่ใช้จูงใจคุณแม่ที่อยากได้ความสะดวกสบาย ความมั่นใจ หรือความเป็นส่วนตัว เรียกว่าห้องพักโรงพยาบาลเอกชนเดี่ยวนี้ก็ไม่ต่างจากห้องพักตามโรงแรม 5 ดาว ซึ่งแน่นอนว่าความแตกต่างของห้องพักมีผลต่อความแตกต่างของราคา 5.การตรวจพื้นฐาน เช่น สุขภาพของคุณแม่ทั้งก่อนคลอดและหลังคลอด สุขภาพของลูกในท้องสภาวะการเต้นของหัวใจ ตรวจสุขของเด็กหลังคลอด ความผิดปกติทางสมอง การตรวจเลือด เพื่อหาระดับฮอร์โมนสัมพันธ์ธัยรอยด์ การตรวจหาเชื้อซิฟิลิส 6.การให้วัคซีนป้องกันโรคแก่ทารกแรกเกิด ซึ่งประกอบด้วย วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี วัคซีนป้องกันวัณโรค วิตามินเค รวมทั้งการยาหยอดตาเพื่อป้องกันตาอักเสบ และการตรวจคัดกรองการได้ยิน   แพ็กเก็จคลอดเหมาจ่าย ตารางแสดงตัวอย่างราคาแพ็คเก็จการคลอดของโรงพยาบาลต่างๆ โรงพยาบาล คลอดแบบธรรมชาติ ผ่าตัดคลอด ค่าคลอดธรรมชาติ จ่ายเพิ่มกรณีฉีดยาที่ไขสันหลัง (ลดการเจ็บปวด) เวลาที่ได้พักในโรงพยาบาล ค่าผ่าตัดคลอด เวลาที่ได้พักในโรงพยาบาล เกษมราษฎร์ บางแค   22,900 6,000 2 คืน 37,900 3 คืน ทักษิณ จ.สุราษฎร์ธานี 21,000 ตามค่าใช้จ่ายจริง 2 คืน 33,500 3 คืน บำรุงราษฎร์ 49,900 10,000 2 คืน 69,900 3 คืน ปิยะเวท 29,900 8,000 2 คืน 49,900 3 คืน พญาไท 37,000 6,000 2 คืน 51,000 3 คืน พระรามเก้า 39,000 6,000 2 คืน 59,000 3 คืน รามคำแหง 36,000   2 คืน 48,000 3 คืน ราษฎร์บูรณะ   20,000 4,000 2 คืน 34,000 3 คืน วิภาวดี 28,900 3,500 2 คืน 43,900 3 คืน นนทเวช 32,000 ตามค่าใช้จ่ายจริง 2 คืน 46,500 3 คืน ลาดพร้าว 29,900 ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม 2 คืน 39,900 3 คืน เวชธานี 36,900 10,000 2 คืน 49,900 3 คืน สมิตเวช สรีนครินทร์ 44,900 ตามค่าใช้จ่ายจริง 2 คืน 68,700 3 คืน หัวเฉียว 39,000 ตามค่าใช้จ่ายจริง 3 คืน 50,000 4 คืน รามาธิบดี 4,000 – 5,000 ตามค่าใช้จ่ายจริง 2 คืน 8,000 – 10,000 3 คืน   *สำรวจเมื่อเดือนมิถุนายน 2555 *ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงควรสอบถามไปยังโรงพยาบาลก่อนใช้บริการ *ตามค่าใช้จ่ายจริง คือค่าบริการมาตรฐานปกติของโรงพยาบาล ควรสอบถามราคาและเงื่อนไขก่อนใช้บริการ   รู้ไว้ก่อนใช้บริการคลอดแบบเหมาจ่าย -ราคาค่าบริการต่างๆ ที่ระบุไว้ในแพ็คเก็จ โรงพยาบาลอาจปรับเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า -คุณแม่ที่สามารถใช้บริการได้ต้องเป็นคุณแม่ที่มีสุขภาพแข็งแรง มีอายุครรภ์อย่างน้อย 36 สัปดาห์ ไม่มีภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ -คุณแม่ที่คลอดลูกแฝดหมดสิทธิใช้แพ็คเก็จ -ทางโรงพยาบาลมักจะขายพ่วงบริการอื่นๆ แถมไปกับแพ็คเก็จคลอด เช่น การทำหมัน ผ่าตัดไส้ติ่ง ซึ่งถ้าจะใช้บริการก็ต้องมีการจ่ายเพิ่มตามราคาที่แต่ละโรงพยาบาลกำหนด -หากหลังจากคลอดแล้วไม่ว่าจะแม่หรือเด็กเกิดภาวะแทรกซ้อนต้องได้รับการรักษาพยาบาลเพิ่มเติม ค่าบริการก็จะถูกบวกเพิ่มตามแต่อาการเจ็บป่วยและวิธีการรักษา ในบางโรงพยาบาลก็ใช้วิธีคิดค่าใช้จ่ายแยก เช่น หากในกรณีที่คลอดแล้วคุณแม่ปกติแต่ลูกมีภาวะแทรกซ้อน ก็ใช้วิธีคิดค่าบริการเฉพาะของแม่แล้วหักของลูกออก โดยจะนำไปคิดค่าใช้จ่ายรวมกับการรักษาพยาบาลในส่วนความผิดปกติที่เกิดขึ้นหลังคลอด -บางโรงพยาบาลมีการกำหนดเรื่องของเวลา เช่น หากคุณแม่เจาะจงเลือกคลอดบางช่วงเวลาก็ไม่สามารถใช้ราคาแพ็คเก็จได้ เช่น โรงพยาบาลนนทเวช แจ้งไว้ว่าหากคุณแม่คนไหนต้องการคลอดช่วง 21.00 - 07.00 น. จะไม่สามารถใช้แพ็คเก็จผ่าคลอดได้ ---------------------------------------------------------------------------------------   สิทธิที่เกี่ยวกับการคลอด สิทธิประกันสังคม สำหรับคุณแม่ที่ใช้สิทธิประกันสังคม จะได้รับเงินค่าคลอดบุตรจำนวน 13,000 บาท โดยสามารถใช้สิทธิได้ 2 ครั้ง (แต่ถ้าคุณพ่อก็ใช้ประกันสังคมเหมือนกันก็จะได้รับสิทธิเพิ่มอีก 2 ครั้ง) โดยสามารถฝากคลอดกับโรงพยาบาลใดก็ได้ นอกจากนี้คุณแม่คนใหม่ยังจะได้รับเงินชดเชยการหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร โดยจะได้รับในอัตรา 50% ของเงินเดือนเฉลี่ย 90 วัน สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ใช้สิทธิคลอดบุตรได้ 2 ครั้ง โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลที่แจ้งสิทธิไว้ โดยสามารถขอรับบริการด้านสุขภาพการตั้งครรภ์ทั้งก่อนและหลังคลอด สิทธิข้าราชการ นอกจากจะสามารถเบิกค่าคลอดในโรงพยาบาลของรัฐ และโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งได้แล้ว คุณแม่ยังมีสิทธิลาคลอดได้อีก 90 วัน และที่ตากต่างจากสิทธิ์อื่นๆ คือคุณพ่อที่เป็นข้าราชการยังสามารถลาไปช่วยคุณแม่เลี้ยงลูกได้ 15 วัน นอกจากนี้ใน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ได้กำหนดไว้ลูกจ้างหญิงสามารถลาคลอดได้ 90 วัน โดยยังได้รับค่าจ้าง 45 วัน How to คุณแม่มือใหม่ เพราะการตั้งครรภ์ถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในชีวิตของลูกผู้หญิง แม้จะเป็นเรื่องที่น่าดีใจแต่ก็มีเรื่องที่ทำให้คุณแม่มือใหม่ (หรือแม้แต่คุณแม่มืออาชีพที่เคยมีประสบการณ์มาแล้ว) ต้องหนักใจด้วยเช่นกัน กลัวไปสารพัดอย่าง ดังนั้นขอเอาใจคนใกล้เป็นแม่ หรือเตรียมตัวเป็นคุณแม่ ด้วยเรื่องราวที่ควรรู้เบื้องต้น ดังต่อไปนี้ 1.การฝากครรภ์ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสู่การเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นคุณแม่ ซึ่งในการฝากครรภ์กับสถานพยาบาลต่างๆ คุณหมอหรือแพทย์ที่ดูแลจะให้ทั้งคำแนะนำในการดูแลครรภ์ การดูแลคุณแม่ไม่ให้เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนทั้งทางร่างกายและจิตใจที่อาจส่งผลต่อสุขภาพครรภ์ ที่สำคัญคือการตรวจสุขภาพของคุณแม่ว่ามีภาวะเสี่ยงที่อาจเป็นอันตรายต่อลูกในท้องหรือแม้แต่ตัวคุณแม่เองหรือไม่ ซึ่งหากตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่ในระยะต้นก็อาจจะช่วยรักษาหรือหาทางแก้ไขที่อาจจะเกิดขึ้นได้ สำหรับระยะเวลาในการฝากครรภ์ที่เหมาะสม คือ ไปฝากครรภ์ทันทีเมื่อรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ โดยในช่วงอายุครรภ์ 7 เดือนแรก (28 สัปดาห์) จะต้องมีการนัดพบกับคุณหมอผู้ดูครรภ์อย่างน้อยทุกๆ 4 สัปดาห์ หรือเดือนละครั้ง ในช่วงเดือนที่ 8 ให้เพิ่มเป็น 2 อาทิตย์ต่อครั้ง พออายุครรภ์ครบ 9 เดือน ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากคุณหมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จนกว่าจะถึงกำหนดคลอด   2.เลือกสถานพยาบาล สิ่งที่คุณแม่มือใหม่ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญและน่าจะเป็นคำถามลำดับแรกๆ ในใจของหลายๆ คนก็คือ “การเลือกโรงพยาบาลสำหรับฝากครรภ์” ฉลาดซื้อมีคำแนะนำง่ายๆ ให้คุณแม่นำไปใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจเลือกโรงพยาบาลเพื่อการคลอด   -ดูที่ความสะดวกในการไปใช้บริการ แน่นอนว่าการคลอดลูกเป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญ คุณแม่ทุกคนอยากให้ลูกที่จะคลอดออกมาได้รับการบริการและดูแลอย่างดีที่สุด คุณแม่ส่วนใหญ่ก็อยากจะไปฝากครรภ์กับโรงพยาบาลชื่อดังเพราะมั่นใจเรื่องการบริการ แต่ก่อนเลือกก็อย่าลืมดูเรื่องความเหมาะสม โดยเฉพาะเรื่องการเดินทาง ถ้าหากการไปพบหมอแต่ละครั้งนำมาซึ่งความยากลำบาก ยิ่งเมื่อคุณแม่ท้องใหญ่ขึ้นการเดินเหินไปไหนมาไหนก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นหากจะเลือกโรงพยาบาลเพื่อฝากครรภ์ก็อย่าลืมช่างใจระหว่างโรงพยาบาลที่ไว้วางใจกับโรงพยาบาลที่เดินทางไปได้สะดวก เวลาที่เกิดเหตุฉุกเฉินคุณแม่จะได้ไปพบแพทย์ได้ทันท่วงที   -เปรียบเทียบค่าบริการ เรื่องของค่าบริการน่าจะเป็นเงื่อนไขในการตัดสินใจเรื่องแรกๆ ของหลายๆ คน ซึ่งถ้าหากจะเปรียบเทียบเรื่องของราคาให้เห็นภาพได้ง่ายที่สุด ก็ต้องแบ่งประเภทของโรงพยาบาลออกเป็น โรงพยาบาลของรัฐ กับ โรงพยาบาลของเอกชน ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องของราคาจะมีความแตกต่างกันมาก ในโรงพยาบาลของรัฐค่าบริการเรื่องการคลอดก็จะอยู่ในหลักพันบาทจนไปถึงหมื่นต้นๆ แต่หากเป็นของโรงพยาบาลเอกชนก็จะขยับสูงขึ้นไปถึงระดับหลายหมื่นบาท เรียกว่าแตกต่างกันค่อนข้างมาก แน่นอนว่าความแตกต่างของราคาก็ย่อมมีผลกับเรื่องของการให้บริการ ในโรงพยาบาลของรัฐซึ่งจะผู้มาใช้บริการมากกว่าในโรงพยาบาลเอกชน การเข้าไปใช้บริการก็อาจต้องมีการรอคิวอยู่บ้าง คุณหมอที่มาตรวจก็อาจมีการสลับสับเปลี่ยนกันไป เพราะคุณหมอในโรงพยาบาลรัฐมักไม่ใช่คุณหมอที่อยู่ประจำ แต่ก็สามารถติดต่อนัดเป็นพิเศษได้ แต่หากเป็นในโรงพยาบาลของเอกชนเราสามารถเลือกที่จะตรวจกับคุณหมอที่เราต้องการได้ สามารถเลือกห้องที่ต้องการได้ ไม่ต้องรอคิว ส่วนความเชื่อที่ว่าโรงพยาบาลของเอกชนรักษาดีกว่าโรงพยาบาลของรัฐนั้น อาจไม่จริงเสมอไป เพราะเดี๋ยวนี้ทั้งบุคลากรทางการแพทย์และเครื่องมือเครื่องไม้ต่างๆ ที่ใช้อยู่ในโรงพยาบาลก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก เพราะฉะนั้นราคาที่แพงกว่าอาจไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าจะได้รับการบริการทีดีกว่า เอาเป็นว่าขอให้เป็นเรื่องของความสบายใจ ใครที่พอจะมีเงินอยู่บ้างแล้วรู้สึกว่าการคลอดโรงพยาบาลเอกชนน่าจะอุ่นใจสบายใจกว่าก็คงไม่เป็นปัญหาที่จะเลือกใช้บริการ แต่ถ้าใครไม่มีทุนทรัพย์มากพอหรืออยากใช้เงินอยากประหยัดจะเลือกใช้บริการของโรงพยาบาลของรัฐก็ไม่ต้องกังวลใจ ขอแค่ให้ศึกษาเรื่องบริการต่างๆ ให้เข้าใจ คำนวณค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ เมื่อเลือกแล้วก็ขอให้ทำจิตใจให้สบาย ปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมอ ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เพียงแค่นี้ก็รับรองได้ว่าการคลอดก็จะเป็นไปอย่างปลอดภัยทั้งคุณแม่และลูกน้อย   -ศึกษารายละเอียดการให้บริการของแต่ละโรงพยาบาล ปัจจุบันนี้บรรดาโรงพยาบาลต่างๆ (โดยเฉพาะโรงพยาบาลของเอกชน) ได้จัดทำแพ็คเก็จการคลอดแบบเหมาจ่ายมาให้คุณแม่ได้เลือกใช้บริการ ซึ่งแน่นอนว่าจุดเด่นของโรงพยาบาลเอกชนก็คือเรื่องของการบริการ ดังนั้นหากคิดจะเลือกใช้บริการการคลอดแบบเหมาจ่ายกับโรงพยาบาลเอกชน คุณแม่ก็ต้องศึกษารายละเอียดบริการต่างๆ ที่จะได้รับให้ดี เพราะแต่ละที่ราคาไม่เท่ากัน (แถมราคาก็สูงมากด้วย) แม้บริการหลักๆ คือการทำคลอดเหมือนกัน แต่ในรายละเอียดปลีกย่อยอาจแตกต่างกัน เช่น ระยะเวลาในการพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ประเภทของห้องที่พัก บริการเสริมอื่นๆ ที่บางโรงพยาบาลอาจมีการเพิ่มเข้าไป อย่างการอบรมการเลี้ยงลูกให้กับคุณแม่ เทคนิคการให้นมแม่ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ให้กับทารก ฯลฯ เพราะฉะนั้นคุณแม่ควรศึกษาเปรียบเทียบดูหลายๆ โรงพยาบาล เพื่อให้ได้รับการบริการที่คุ้มค่าคุ้มราคา ตรงตามความต้องการของคุณแม่ มั่นใจและปลอดภัยมากที่สุด   -สอบถามข้อมูลจากคนที่มีประสบการณ์ เป็นธรรมดาที่คุณแม่ท้องแรกหรือคุณแม่มือใหม่ จะมีความกังวลใจเรื่องการคลอด การสอบถามพูดคุยกับผู้มีประสบการณ์ถือเป็นตัวช่วยที่ดีที่จะทำให้คุณแม่มือใหม่คลายความสงสัยและคลายความกังวลใจ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 108 มาเป็นแม่บ้านไร้สารกันเถอะค่ะ

“ฉลาดซื้อ” ฉบับนี้นำเรื่องดีๆ มาฝากคุณผู้อ่านอีกแล้วค่ะ แต่ครั้งนี้เราขอเอาใจคุณแม่บ้านเป็นพิเศษ โดยเฉพาะบรรดาคุณแม่บ้านที่รักการทำความสะอาดบ้าน (และที่ทำเพราะหน้าที่) “ฉลาดซื้อ” อยากชวนคุณแม่บ้านทุกท่านมาลองคิดใหม่ทำใหม่ ด้วยการทำให้บ้านอันแสนอบอุ่นของทุกคนเป็นบ้านปลอดสาร(พิษ) สะอาดอย่างปลอดภัย แถมยังห่วงใยโลก สมกับเป็นแม่บ้านยุคใหม่หัวใจสีเขียว ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้านไร้สารพิษ สารเคมีใกล้ตัวไม่กลัวไม่ได้นะแค่พูดถึง “สารเคมี” ทุกคนก็คงรู้สึกไม่ดีกันแล้วใช่ไหมคะ คุณแม่บ้านหลายคนอาจจะคิดว่าสารเคมีแม้จะเป็นอะไรที่ดูน่ากลัวแต่ก็เป็นเรื่องไกลตัวคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ซึ่งถือเป็นความคิดที่ผิดค่ะ เพราะอันตรายจากสารเคมีอยู่ใกล้ตัวเรามากๆ มากขนาดที่เราทุกคนใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับสารเคมีในบ้านของเราเองตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้าจนถึงเวลาเข้านอน ซึ่งสารเคมีที่เราต้องสัมผัสพบเจอในชีวิตประจำวันของเราก็ไม่ได้มาจากที่ไหนไกลมาจากข้าวของเครื่องใช้หลายๆ อย่างรอบตัวเรา โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เราใช้ภายในบ้านนี่แหละ ทั้งผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างห้องน้ำ และอีกหลากหลายผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้านที่วางขายทั่วไปอยู่ในท้องตลาด ล้วนแล้วแต่มีสารเคมีเป็นส่วนผสมหลักทั้งนั้น สำรวจบ้านหาจุดเสี่ยงสารเคมี!!!ตอนนี้คุณแม่บ้านลองเดินสำรวจในบ้านของตัวเองดูนะคะ ลองดูซิว่าข้าวของเครื่องใช้ที่เราซื้อเข้าบ้านมีอะไรที่เป็นตัวนำสารเคมีเข้ามาบ้าง เริ่มจากบริเวณรอบๆ บ้านของคุณแม่บ้านก่อนเลยค่ะ หลายๆ บ้านคงจะใช้บริเวณด้านนอกของบ้านเป็นโซนซักล้าง ซึ่งที่นี่เราจะได้พบสารเคมีจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เราซื้อมาจากร้านค้า ทั้งผงซักฟอก น้ำยาซักผ้าขาว น้ำยาซักแห้ง น้ำยาปรับผ้านุ่ม หรือถ้าคุณแม่บ้านมีรถ ก็จะเจอสารเคมีได้อีกในน้ำยาทำความสะอาดรถยนต์ น้ำยาขัดเงา น้ำมันเครื่อง เข้ามาในบ้าน ที่ห้องรับแขกหรือห้องนั่งเล่น ในนี้จะมีสารเคมีที่เราคิดไม่ถึงซ่อนอยู่เยอะเลย ทั้งในพรมสังเคราะห์ ที่มักผลิตมาจากโพลียูริเทนโฟมซึ่งมีสารบางตัวที่อาจถูกปล่อยออกมาก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อระบบหายใจ นอกจากนี้อาจมีสารเคมีตกค้างจากน้ำยาทำความสะอาดพรมด้วย วอลเปเปอร์ ผ้าม่าน ผ้าปูโต๊ะ ที่ทำจากพลาสติกก็อาจปนเปื้อนอยู่ด้วยเหมือนกันค่ะ นี่ยังไม่พูดถึงบรรดาน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ รวมทั้งแร่ใยหินจากกระเบื้องที่อยู่เหนือศีรษะเรา มาต่อกันที่ห้องครัว ที่ที่เราใช้ปรุงอาหารรับประทาน ถ้ามีสารเคมีอยู่ด้วยแบบนี้น่ากลัวนะคะ แต่ว่ายังไงก็หนีไม่พ้นค่ะ เพราะในห้องนี้เราอาจเจอสารเคมีได้ทั้งใน เตาอบไมโครเวฟ เครื่องครัวเคลือบเทฟลอน รวมถึงในน้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดคราบสกปรก น้ำยาขจัดสิ่งอุดตันในท่อ และยาฆ่าหนูและแมลงต่างๆ ปิดท้ายที่ห้องน้ำ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าทั้ง สบู่ ยาสีฟัน แชมพู ครีมนวด โฟมล้างหน้า ล้วนแล้วมีส่วนผสมของสารเคมีทั้งนั้น แม้จะไม่อันตรายมาก แต่อาจมีบ้างบางคนที่แพ้ผลิตภัณฑ์บางตัวบางยี่ห้อ สารเคมีที่ต้องใช้อย่างระมัดระวังในห้องน้ำน่าจะเป็น น้ำยาขัดพื้นห้องน้ำ น้ำยาทำความสะอาดโถส้วม และน้ำยาฆ่าเชื้อโรค เพราะพวกนี้มักมีสารที่เป็นกรดซึ่งมีฤทธิ์รุนแรง คุณแม่บ้านที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้คงเคยสังเกตว่าเวลาหยดผลิตภัณฑ์พวกนี้ลงพื้นก็จะเกิดฟองขึ้นทันที ซึ่งเป็นฤทธิ์ของการกัดกร่อนของสารเคมี ขนาดพื้นปูนพื้นกระเบื้องยังขนาดนี้ ถ้าโดนตรงๆ กับผิวหนังของเราก็คงดูไม่จืดแน่ๆ นอกจากนี้ยังมีข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ภายในบ้านที่อาจเสี่ยงสารเคมี ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้พลาสติก ตู้ไม้อัด ยาทาเล็บและน้ำยาล้างเล็บ สเปรย์ใส่ผม ยาย้อมผม สีทาบ้าน ยาฉีดยุง ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของพีวีซี อย่าง ท่อน้ำ กระเบื้องยางปูพื้น ของเล่นเด็ก ฯลฯ แม้จะดูเยอะจนน่าตกใจ แต่เราสามารถหลีกเลี่ยงและลดการใช้สารเคมีในบ้านของเราได้ค่ะ อะไรที่เราไม่จำเป็นต้องใช้ก็อย่าซื้อหาเข้ามาเก็บไว้ในบ้าน คือใช้เท่าที่จำเป็น ใช้แต่พอดี อันไหนที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ และรู้สึกว่าอาจต้องเสี่ยงกับสารเคมีก็ต้องศึกษาข้อมูลวิธีการใช้ คำแนะนำ คำเตือนต่างๆ ให้ดี หรืออะไรที่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติทดแทนได้ อย่างน้ำยาทำความสะอาดบ้านต่างๆ ก็หามาใช้หรือถ้าทำใช้ได้เองก็ยิ่งดีค่ะ ซึ่งนอกจากจะดีกับสุขภาพของคุณแม่บ้านและคนในครอบครัว ยังดีต่อโลกของเราด้วยเพราะไม่มีสารเคมีตกค้างไปทำร้ายสิ่งแวดล้อม แถมยังถูกกว่าประหยัดกว่า และการลองทำผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากธรรมชาติด้วยตัวเอง อาจช่วยให้การทำความสะอาดบ้านเป็นงานที่สนุกมากขึ้นก็ได้ค่ะ คำแนะนำเพื่อทำให้บ้านปลอดสารพิษจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด1.ควรเก็บผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีส่วนผสมของสารเคมีให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และเป็นระบบ คือให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นชนิดเดียวกันหรือทำหน้าที่เหมือนกันเก็บไว้ด้วย เช่นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดเสื้อผ้าก็ไว้รวมกัน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำก็แยกกลุ่มออกมาให้ชัดเจน 2.ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดนอกเหนือจากหน้าที่ของมัน คือไม่เอาผงซักฟอกไปล้างจาน หรือเอาน้ำยาขัดพื้นห้องน้ำมาขัดพื้นห้องรับแขกหรือห้องครัว 3.ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่จะซื้อเข้ามาในบ้าน ต้องเลือกที่มีฉลากแสดงข้อมูลต่างๆ ชัดเจน วิธีการใช้ คำเตือนของอันตรายที่อาจจะได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และวิธีการรักษาอาการแพ้เบื้องต้นเมื่อได้รับสารพิษ 4.เมื่อคุณแม่บ้านอ่านข้อความวิธีการใช้และคำเตือนต่างๆ บนฉลากข้างผลิตภัณฑ์แล้ว ก็ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วยเช่นกัน ทั้งสวมเสื้อผ้ามิดชิด ไม่สัมผัสโดยตรง หรือใช้ผลิตภัณฑ์ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก 5.ควรเก็บผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดให้ห่างจากมือเด็กมากที่สุด 6.ซื้อผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแค่เท่าที่จำเป็นต้องใช้ ไม่ควรซื้อมาเก็บตุนไว้มากๆ เพราะแบบนั้นก็เท่ากับเป็นการเพิ่มความเสี่ยงสารเคมีให้กับตัวเอง 7.ลองหาผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เป็นธรรมชาติหรือมีอันตรายน้อยกว่ามาทดแทน อย่างเช่น ผงฟู หรือน้ำส้มสายชู ซึ่งมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดคราบสกปรกต่างๆ ได้ไม่แพ้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่วางขายอยู่ตามร้านค้าหรือซูเปอร์มาร์เก็ต-------------------------------------------------- ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใกล้ตัว ใช้แล้วไม่ต้องกลัวสารพิษ ผงฟู : ผู้พิชิตผงฟู หรือที่บางคนเรียก เบคกิ้งโซดา หรือในชื่ออย่างเป็นทางการว่า โซเดียมไบคาร์บอเนต นอกจากจะใช้ทำให้ขนมฟูดูน่ากินแล้ว ยังสามารถนำมาใช้ความสะอาดบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่างหาก เพราะความที่มีอนุภาคเล็กและมีรูปทรงผลึกอ่อนนุ่ม จึงดีต่อการใช้ขัดถูทำความสะอาด มีสรรพคุณปรับค่าความเป็นกรดด่างและฆ่าเชื้อโรค แถมยังช่วยดูดซับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย เรียกว่าเราสามารถนำผงฟูไปเป็นสูตรทำความสะอาดได้ตั้งแต่ เสื้อผ้า จานชาม พื้นบ้าน อุปกรณ์เครื่องครัว ขจัดกลิ่นตู้เสื้อผ้า รองเท้า ไปจนถึงใช้แทนยาสีฟันก็ยังได้ น้ำส้มสายชู : คุณค่าคู่ครัวไม่เพียงแค่ใช้ปรุงอาหารเท่านั้น แต่น้ำส้มสายชูยังเป็นผู้ช่วยชั้นดีในการทำความสะอาดคราบต่างๆ ได้ด้วย น้ำส้มสายชูมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งช่วยกัดกร่อนคราบหินปูนที่เกาะอยู่ตามพื้นห้องน้ำ พื้นกระเบื้อง หรือคราบสนิทอยู่เกาะอยู่ตามก๊อกน้ำ ฝักบัว หรือเครื่องครัวต่างๆ ทั้งแบบที่ทำจากอลูมิเนียม อย่าง กาต้มน้ำ ที่เมื่อใช้ไปนานๆ มักเกิดคราบจากตะกอน คราบเขม่า และเครื่องครัวที่เป็นแก้วหรือคริสตัล น้ำส้มสายชูก็สามารถทำความสะอาดให้กับมาใสปิ๊งเหมือนใหม่ได้ด้วย น้ำมะนาว : เราทำได้นอกจากจะเพิ่มความเปรี้ยวให้กับชีวิตแล้ว น้ำมะนาวยังเป็นน้ำยาขัดขาวสูตรธรรมชาติปลอดภัยไร้สารอีกต่างหาก น้ำมะนาวใช้ขัดทำความสะอาดได้ทั้งข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นทองเหลืองและทองแดง ช่วยขจัดคราบสนิมและคราบสกปรกจากอาหารที่ติดอยู่บนเสื้อผ้า และยังช่วยขจัดคราบกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ติดอยู่ตามอุปกรณ์ที่ใช้ในครัวอย่าง เขียงและมีด สบู่ : สู้ความสกปรกสบู่ที่เราใช้อาบน้ำมักจะเหลือค้างเป็นก้อนเล็กๆ เพราะมันเล็กจนจับไม่ถนัดมือเราจึงไม่ได้ใช้มันต่อ และเหมือนจะหมดประโยชน์ไปโดยปริยาย แต่สบู่ก้อนเล็กๆ เหล่านี้จะมีกลับมามีประโยชน์อีกครั้ง โดยการเก็บรวบรวมนำมาผสมกับน้ำร้อนใช้เป็นน้ำยาล้างจานได้ เพราะสบู่มีคุณสมบัติของสารลดแรงตึงผิวเหมือนกัน แต่มีความเข้มข้นน้อยกว่า ปลอดภัยกับผิวเรามากกว่า น้ำ : ทำได้หมดวัตถุดิบพื้นฐานสุดๆ ที่เราใช้ทำความสะอาดทุกๆ อย่าง ทั้ง ซักผ้า ล้างจาน ถูบ้าน ทำความสะอาดนู้นนี้ เราใช้น้ำช่วยในการชำระล้างคราบสกปรกต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าประสิทธิภาพของน้ำเปล่าๆ อาจไม่เข้มข้นพอที่จะขจัดคราบสกปรกบางอย่างชนิดที่เกาะติดแน่นมากๆ แต่บางครั้งแค่น้ำเปล่าธรรมดาบวกกับการออกแรงขัดถูนิดน้อย คราบสกปรกที่เราหวั่นใจก็อาจหลุดออกได้ง่ายๆ แบบที่เราอาจคาดไม่ถึง สูตรน้ำยาทำความสะอาดบ้านไร้สารพิษน้ำยาล้างห้องน้ำแม่บ้านหลายคนทราบดีอยู่แล้วว่า น้ำยาล้างห้องน้ำมีฤทธิ์รุนแรง ถึงขนาดกัดกร่อนคราบสกปรกต่างๆ ได้ง่ายๆ แบบที่ไม่ต้องเปลืองแรงขัด นั้นก็เพราะในน้ำยาล้างห้องน้ำมีส่วนผสมของกรดหลายชนิด ที่นิยมมากที่สุดก็คือ กรดเกลือ (hydrochloric acid) ซึ่งขนาดคราบสกปรกบนพื้นปูนหรือพื้นกระเบื้องยังขจัดออกได้ แล้วถ้าโดนเข้ากับผิวหนังของเราก็ไม่ต้องเดาว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ถ้าโดนผิวหนัง เข้าตา หรือหายใจสูดเอากลิ่นของมันเข้าไป ก็อาจเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้ -ใช้แอมโมเนียและน้ำส้มสายชูอย่างละครึ่งถ้วย ผสมกับผงฟู ¼ ถ้วย นำไปเทลงบนพื้นแล้วใช้แปรงขัดคราบสกปรกที่ติดอยู่ ใช้เป็นน้ำยาทำความสะอาดพื้นกระเบื้อง -ใช้น้ำส้มสายชูเทลงในโถส้วม ทิ้งไว้สักครู่แล้วใช้แปรงขัด ใช้ขจัดคราบสกปรกที่ติดอยู่ได้ -ใช้น้ำยาฟอกขาวกับน้ำมะนาว ¼ ถ้วย ผสมกับน้ำเปล่า 3 ถ้วย ใช้เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค สำหรับขัดตามอ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ ฝักบัว ผงซักฟอกไขข้อข้องใจสำหรับแม่บ้านที่ซักผ้าด้วยมือ ผงซักฟอกเป็นสารเคมีพวกกรดด่าง สารละลายอินทรีย์ และอาจมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยสลายสิ่งสกปรก เมื่อผิวหนังเราสัมผัสสารเหล่านี้เป็นเวลานานอาจเกิดผลเสียขึ้นได้ ทั้งผิวหนังขาดความชุ่มชื้น เกิดการอักเสบ ระคายเคือง ผิวแห้งและแตก อีกเรื่องที่อยากฝากเตือนคุณแม่บ้านคือ ไม่ควรนำผงซักฟอกไปล้างทำความสะอาดอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นล้างจานชาม หรือล้างมือ เพราะถ้ามีสารตกค้างเข้าสู่ร่างกาย อาจเกิดอาการท้องเสีย อาเจียน หรือถึงขั้นช็อคเลยก็ได้ ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-นำผงสบู่ที่ได้จากการสบู่ก้อนบริสุทธิ์ไม่มีส่วนผสมของสีและกลิ่นมาขูดให้เป็นผงประมาณ 1 ถ้วย ผสมกับน้ำ 3 ถ้วยที่ใส่หม้อตั้งไฟปานกลาง ใส่บอแรกซ์ 2 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันเสร็จแล้วทิ้งไว้ให้เย็น เป็นสบู่เหลวซักผ้า -นำผงสบู่ผสมน้ำร้อนอย่างละ 2 ถ้วย ทำให้ผงสบู่ละลายแล้วเติมแอลกอฮอล์ 1 ถ้วย น้ำมันยูคาลิปตัส 2 ช้อนโต๊ะ ใช้เป็นหัวเชื้อน้ำยาปรับผ้านุ่ม เวลาใช้ให้ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มนี้ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 10 ลิตร เมื่อปรับผ้านุ่มแล้วให้ซักด้วยน้ำอุ่นอีกหนึ่งครั้ง -ผงฟูช่วยทำให้ผ้านุ่มและขจัดกลิ่นเหม็นติดเสื้อผ้าได้ โดยการเทผงฟูประมาณ ½ ถ้วยลงในน้ำสุดท้ายของการซักผ้าน้ำยาล้างจานส่วนผสมหลักๆ ของน้ำยาล้างจานคือ สารสังเคราะห์ในกลุ่มสารลดแรงตึงผิว (surfactant) รวมทั้งยังผสมสารที่เป็นกรดซึ่งมีฤทธิ์ในการกัดกร่อนเพื่อทำหน้าที่กำจัดคราบไขมันและสิ่งสกปรก นอกจากนี้ยังมีการผสมสารต่างๆ อีกหลายชนิด สารที่ให้กลิ่นหอม สารฟอกสี ซึ่งสารสังเคราะห์เหล่านี้ถ้าได้รับในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้ผงสบู่ 1 ถ้วย ผสมน้ำตั้งไฟจนเดือดคนจนละลาย ผสมน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย ใช้เป็นน้ำยาล้างจาน -น้ำส้มสายชูและน้ำมะนาว ใช้เช็ดถูทำความสะอาดคราบบนภาชนะต่างๆ เช่น หม้อ กาต้มน้ำ และใช้ขัดคราบและกลิ่นบนเครื่องครัวที่ทำจากไม้ อย่าง เขียง ได้ด้วย น้ำยาเช็ดกระจกส่วนใหญ่จะผสมสารที่ชื่อว่า ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์ (isopropyl alcohol) ซึ่งเป็นของเหลวใส ไม่มีสี แต่ไวไฟ และมีกลิ่นฉุนมาก มีคุณสมบัติในการทำความสะอาด ซึ่งถ้าจะใช้ฆ่าเชื้อต้องใช้ที่ความเข้มข้นสูงถึง 60 – 70% หากเราหายใจเอาเจ้าสารนี้เขาไปในปริมาณมากๆ จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองคอและจมูก เป็นอันตรายกับระบบทางเดินหายใจ ปวดหัว วิงเวียน อาจถึงขั้นหมดสติ ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้น้ำส้มสายชูผสมกับน้ำในปริมาณเท่ากัน ชุบด้วยผ้านุ่มใช้เช็ดทำความสะอาดกระจก แต่หากใช้น้ำส้มสายชูเช็ดกระจกแล้วเกิดคราบ ให้ใช้แอลกฮอล์เช็ดที่กระจกก่อน -ใช้ผ้าเปียกถูกับสบู่ก้อน เช็ดบนกระจก ล้างออกแล้วเช็ดด้วยผ้าแห้ง ช่วยทำให้กระจกที่เป็นฝ้ามัวกลับมาใสเหมือนใหม่น้ำยาขัดเงาเฟอร์นิเจอร์ทำมาจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม แว็กซ์ และน้ำมัน ไม่ควรสูดดม สัมผัส หรือนำเข้าสู่ร่างกาย หากได้รับสารดังกล่าวเข้า อาจมีอาการวิงเวียน คลื่นไส้ แนะนำว่าเวลาใช้น้ำยาขัดเงาเฟอร์นิเจอร์ควรทำในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้น้ำมันพืช 1 ถ้วย ผสมกับน้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย ใช้ผ้าชุบเช็ดทำความสะอาด ซึ่งสูตรนี้ช่วยลบรอยขีดข่วนได้ด้วย -ใช้น้ำมันทานตะวัน ½ ถ้วย ผสมกับสบู่เหลวและน้ำอย่างละ ¼ ถ้วย ใช้เช็ดทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ไม้ -น้ำ 1 ถ้วย สบู่เหลว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู ½ ถ้วย ผสมเข้าด้วยกัน ใช้เช็ดทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์หนัง -น้ำมันจมูกข้าวสาลี ½ ถ้วย ผสมกับน้ำมันละหุ่ง ¼ ถ้วย ใช้เป็นสูตรผสมสำหรับเคลือบเงาเฟอร์นิเจอร์หนัง น้ำยาทำความสะอาดพรมส่วนประกอบของน้ำยาทำความสะอาดพรมคือ น้ำยาซักแห้ง และ แนพทาลีน (Naphthalene) ซึ่งเป็นสารเคมีที่อยู่ในลูกเหม็น อันตรายคงสารนี้ก็คือ เมื่อสูดดมเข้าไปมากๆ จะทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร นานเข้าก็จะไปทำร้ายปอด รวมทั้งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งด้วย ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้ผงฟูหรือเกลือป่น โรยทิ้งไว้บนพรม 1 – 2 ชั่วโมง แล้วดูดฝุ่นออก ช่วยในการดับกลิ่น - บริเวณที่เปื้อนคราบสกปรกให้ใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำสบู่หยดลงไป แล้วเช็ดเบาๆ ด้วยแปรงขนอ่อน เสร็จแล้วซับด้วยผ้าให้แห้ง ผลิตภัณฑ์กำจัดสิ่งอุดตันสารเคมีที่อยู่ในผลิตภัณฑ์กำจัดสิ่งอุดตันส่วนใหญ่คือ โซดาไฟ ซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง ถ้าถูกผิวหนังอาจเกิดการระคายเคือง เป็นแผลไหม้ ถ้าเข้าตาอาจรุนแรงถึงขั้นตาบอด ถ้าเข้าสู่ร่างกายโดยการสูดดมเข้าไปอาจทำให้ระบบทางเดินหายใจเสียหาย ถ้ากลืนหรือกินเข้าไปจะทำให้ ปาก คอ และช่องท้องเกิดแผลอย่างรุนแรง ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยลองใช้สูตรนี้-ใช้ผงฟู 3 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู ½ ถ้วยผสมในน้ำร้อนแล้วเทลงไปในท่อ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วเทน้ำตาม ช่วยทำให้ท่อระบายได้เร็วขึ้นและลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ -ถ้าท่อระบายน้ำตันให้ใส่เกลือลงในท่อ ½ ถ้วย แล้วเทน้ำเดือดตามลงไป ที่มา : บทความเรื่อง “แม่บ้านไร้สารพิษ”. คมสัน หุตะแพทย์, วารสารเกษตรกรรมธรรมชาติ ฉบับที่ 1/2552 “กรีนคอนซูเมอร์”. กรรณิกา พรมเสาร์. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค “10 วิธีทำความสะอาดด้วยวิธีธรรมชาติ” มูลนิธิสุขภาพไทย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point