ฉบับที่ 272 กระแสต่างแดน

เงินไม่ถึง         ธนาคารกลางฮ่องกง (Hong Kong Monetary Authority) ประกาศคืนเงินให้กับผู้ซื้อ “ที่ทับกระดาษ” จากร้านขายสินค้าที่ระลึกของธนาคารเมื่อหกปีก่อน หลังพบว่าสิ่งที่อยู่ด้านในไม่เป็นไปตามที่แจ้งบนฉลาก         ของที่ระลึกดังกล่าวซึ่งอยู่ในรูปลักษณ์ของแก้วบรรจุธนบัตรมูลค่า 1,000 เหรียญฮ่องกงที่ถูกตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย วางจำหน่ายเมื่อต้นปี 2560 ในราคาชิ้นละ 100 เหรียญ (ประมาณ 450 บาท)         ฉลากและการประชาสัมพันธ์ของธนาคาร ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าที่ทับกระดาษคอลเล็คชันนี้ ทำขึ้นจากแบงก์พันเก่าจำนวน 138 ใบ รวมเป็นมูลค่า 138,000 เหรียญ         ล่าสุดธนาคารฯ ออกมายอมรับว่าได้ใส่กรวดเข้าไปเพื่อเพิ่มน้ำหนัก เท่ากับว่าในนั้นมีธนบัตรน้อยกว่าจำนวนที่แจ้ง ข้อมูลที่ให้ไว้จึงไม่ตรงตามความจริง ธนาคารฯ จึงขอแจ้งให้ผู้ที่ซื้อไปมาติดต่อขอรับเงินคืนได้         รายงานระบุว่าที่ทับกระดาษรุ่นดังกล่าวยังมีขายออนไลน์ในราคาระหว่าง 420 – 600 เหรียญ   เอาที่ไหนมาพูด        องค์กรผู้บริโภคสหภาพยุโรปร่วมกับ Consumentenbond องค์กรผู้บริโภคของเนเธอร์แลนด์  และองค์กรผู้บริโภคในอีก 12 ประเทศ  ยื่นขอให้มีการตรวจสอบคำกล่าวอ้างของบริษัทโคคาโคลา และบริษัทเนสท์เล่ เรื่องการรีไซเคิลขวดพลาสติก         เนื้อหาของข้อความที่เป็นปัญหาได้แก่ “100% ของขวดน้ำพลาสติกในยุโรปสามารถรีไซเคิลได้” และ “ขวดน้ำนี้ใช้วัสดุรีไซเคิล 100%”         นอกจากนั้นยังมีการใช้ภาพประกอบที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าขวดน้ำพลาสติกไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย         การกล่าวอ้างแบบข้างต้นถือว่าผิดระเบียบสหภาพยุโรป เพราะไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง         ปัจจุบันยุโรปมีอัตราการรีไซเคิลขวดพลาสติกอยู่ที่ร้อยละ 55 เท่านั้น ในขณะที่อัตราการนำกลับมาใช้ใหม่อยู่ที่ร้อยละ 30 และขยะบริเวณชายหาดของยุโรปส่วนใหญ่คือขวดน้ำพลาสติกนั่นเอง  ไม่หยุดบิน         สมาคมผู้ประกอบการสายการบินของสเปน ยืนยันว่าจะไม่ทำตามข้อเรียกร้องของรัฐบาลที่ต้องการให้ยกเลิกเส้นทางบินระยะใกล้ที่สามารถเดินทางด้วยรถไฟภายในเวลาไม่เกินสองชั่วโมงครึ่ง         โดยให้เหตุผลว่าจะยกเลิกก็ต่อเมื่อมีเส้นทางรถไฟความเร็วสูงที่ครอบคลุมเมืองหลัก รวมถึงมีรถไฟเชื่อมต่อกับสนามบินหลักอย่างเพียงพอ เช่น เส้นทางระหว่างเมืองมาดริดและบาราคัสควรจะมีรถไฟวันละ 8-10 เที่ยวต่อชั่วโมง ซึ่งในทางปฏิบัติยังต้องใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่าเจ็ดปี         การสำรวจโดยหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมพบว่า ร้อยละ 35 ของเที่ยวบินในสเปน (ที่ส่วนใหญ่ตั้งต้นจากเมืองมาดริด) สามารถถูกยกเลิกได้ และจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงร้อยละ 10         รัฐบาลสเปนเริ่มแผนลดเที่ยวบินระยะสั้น (ไม่เกินสี่ชั่วโมง) โดยนำรถไฟความเร็วสูงเข้ามาแทนที่ได้ระยะหนึ่งแล้ว หลังเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนเข้ามาร่วมทำกิจการรถไฟ และดูเหมือนรถไฟของ Iryo และ Ouigo จะมีผลประกอบการดีกว่ารถไฟของรัฐฯ อย่าง Renfe ด้วย  ลดกระดาษ         พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเดนมาร์กอนุญาตให้ประชาชนเข้าไปลงทะเบียนขอปิดบังข้อมูล “ที่อยู่สำหรับจัดส่งไปรษณีย์” กับกรมทะเบียนกลางได้ โดยคำขอดังกล่าวจะมีอายุครั้งละหนึ่งปี           การกระทำดังกล่าวจะทำให้กรมฯ ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลที่อยู่ของประชาชนให้กับเอกชนรายใดได้ และกฎหมายเดียวกันก็ห้ามผู้ประกอบการส่งข้อมูลดังกล่าวให้กับผู้อื่น รวมถึงไม่สามารถขอที่อยู่จากกรมฯ ได้ ยกเว้นกรณีติดตามทวงหนี้         ส่วนโบรชัวร์โฆษณาชนิดไม่ได้ระบุชื่อที่อยู่ผู้รับ เขาก็มีทางออกให้เช่นกัน ใครที่ไม่อยากได้กระดาษล้นตู้จดหมายก็สามารถลงทะเบียนเข้าโครงการ “ขอบใจ แต่ขอไม่รับ” แล้วจะได้รับสติ๊กเกอร์ประกาศิตมาติดตู้จดหมาย รับรองว่าใครเห็นก็ไม่กล้าแจก         แน่นอนว่าเรื่องนี้ดีต่อสิ่งแวดล้อม เพราะดีลลดราคาหรือโฆษณาต่างๆ ก็สามารถเข้าถึงลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ได้อยู่แล้ว   รวมกันเราอุ่น         ปัจจุบันมีห้องเช่าจำนวนไม่น้อยในฝรั่งเศสที่ยังใช้ระบบให้ความร้อนจากส่วนกลาง หมายความว่าผู้ “สั่งเปิด” ฮีตเตอร์ ได้คือเจ้าของตึกซึ่งมีหน้าที่ดูแลอาคารให้มีอุณหภูมิเหมาะกับการอยู่อาศัยนั่นเอง         หลักการคือถ้าอุณหภูมิต่ำกว่า 18 องศาเกินหนึ่งวัน ให้ถือว่าเข้าข่าย “หนาวเกินไป” และควรเปิดเครื่องทำความร้อน แม้กฎหมายจะไม่ระบุช่วงเวลาเปิดฮีตเตอร์ แต่ที่ปฏิบัติกันมาคือระหว่าง 15 ตุลาคม ถึง 15 เมษายน ของทุกปี         ใครที่รู้สึกหนาวก่อนนั้นก็สามารถยื่นคำร้องไปขอความเห็นชอบจากกลุ่มผู้เช่าได้ แต่ถ้าเพื่อนบ้านไม่หนาวด้วย หรือไม่อยากจ่ายค่าไฟเพิ่ม ก็ต้องทำใจ ใส่เสื้อหนาวเพิ่มหรือไปซื้อฮีตเตอร์มาใช้เอง         ฟังดูเป็นเรื่องทรมาน แต่วิธีนี้จะทำให้ทุกคนในตึกจ่ายค่าไฟน้อยลง เพราะการเปิดระบบให้ความร้อนตามเวลาที่ตกลงกันไว้กับบริษัทพลังงานจะได้อัตราค่าไฟที่ถูกกว่า และยังประหยัดพื้นที่วางฮีตเตอร์ ที่ผู้เช่าต้องจ่ายค่าซ่อมบำรุงโดยไม่มีคนร่วมแชร์ด้วย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 269 สำรวจฉลากอาหารกึ่งสำเร็จรูปชนิด ก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บและเส้นหมี่

        อาหารที่เรียกว่า กึ่งสำเร็จรูป คนไทยส่วนใหญ่จะรู้จัก “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” มากที่สุด เพราะคุ้นชินและมีความนิยมมากเมื่อมองจากมูลค่าการตลาดของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งสูงถึงสองหมื่นล้านบาทในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม “อาหารกึ่งสำเร็จรูป” ไม่ได้มีเพียงแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้นยังมีชนิดอื่นๆ ด้วย เช่น โจ๊ก ข้าวต้มหรือซุป กึ่งสำเร็จรูป ที่วางจำหน่ายทั่วไป         ทั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และ โจ๊ก ข้าวต้ม กึ่งสำเร็จรูป นั้น “ฉลาดซื้อ” เคยสำรวจฉลากอยู่บ่อยครั้งเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการพิจารณาเลือกซื้อให้กับผู้อ่าน แต่สำหรับคราวนี้เราเลือกหยิบ “อาหารกึ่งสำเร็จรูป” อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อก่อนด้วยเทคโนโลยีการผลิตและความนิยมอาจจะทำให้มีผู้ผลิตไม่มากนัก ยากจะฝ่ากระแสของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้ แต่ด้วยยุคสมัยที่ก้าวหน้าทั้งการผลิตและช่องทางการจำหน่าย ปัจจุบันเราจะพบ “อาหารกึ่งสำเร็จรูป” ชนิด ก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บ เส้นหมี่ (หมี่โคราช) วางจำหน่ายในตลาดมากขึ้น โดยบางยี่ห้อก็สามารถทำยอดขายจากผลิตภัณฑ์ก๋วยเตี๋ยวกึ่งสำเร็จรูปได้ถึงปีละ 100 ล้านซอง เรียกว่ากำลังเป็นตลาดที่น่าจับตา         นิตยสารฉลาดซื้อ ร่วมกับโครงการสร้างเสริมความเข้มแข็งระบบเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สสส. จึงได้เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์อาหารกึ่งสำเร็จรูปประเภท ก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บ เส้นหมี่ (ผัดโคราช) และยำขนมจีน  จำนวนรวมทั้งสิ้น 19 ยี่ห้อ จากร้านค้าทั่วไป ร้านค้าปลีก ห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ ตลอดจนแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อนำมาสำรวจฉลากของผลิตภัณฑ์ทั้งในเรื่อง การแสดงฉลากทั่วไป การแสดงคุณค่าทางด้านโภชนาการและราคา เพื่อให้เป็นชุดข้อมูลสำหรับผู้บริโภคไว้เปรียบเทียบและพิจารณาเลือกซื้อได้อย่างถูกต้อง ตรงใจ     สรุปผลการสำรวจฉลากผลิตภัณฑ์อาหารกึ่งสำเร็จรูปชนิดก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บ เส้นหมี่และยำขนมจีน        1.     ทุกตัวอย่างทั้ง 19 ยี่ห้อ  มีเลขสารบบอาหาร (อย.)         2.     การแสดงฉลากโภชนาการ                 - ก๋วยจั๊บสำเร็จรูป แสดงฉลากโภชนาการ 5 ตัวอย่าง ไม่มีการแสดงฉลากโภชนาการ 2 ตัวอย่าง                - หมี่โคราช แสดงฉลากโภชนาการ 4 ตัวอย่าง ไม่มีการแสดงฉลากโภชนาการ 4 ตัวอย่าง                 - ยำขนมจีน แสดงฉลากโภชนการ 1 ตัวอย่าง ไม่มีการแสดงฉลากโภชนการ 1 ตัวอย่าง                 -  ก๋วยเตี๋ยวเรือ แสดงฉลากโภชนาการ  ตัวอย่าง         3.     ปริมาณโซเดียมพบว่า อาหารกึ่งสำเร็จรูปมีปริมาณโซเดียมค่อนข้างสูง                 - ก๋วยจั๊บในขนาดซองเล็กที่ปริมาณ 50-75 กรัม จะมีโซเดียมระหว่าง 1280 – 1730 มก.                - ผัดหมี่โคราชในหนึ่งหน่วยบริโภคที่ปริมาณ 100 กรัม จะมีโซเดียมระหว่าง 720 – 1330 มก.                - ยำขนมจีนในหนึ่งหน่วยบริโภคที่ปริมาณ 120 กรัม จะมีโซเดียม 1990 มก.                - ก๋วยเตี๋ยวเรือ ในหนึ่งหน่วยบริโภคที่ปริมาณ   กรัม จะมีโซเดียม    มก.        4.     มีเพียง ห้าดาว หมี่โคราชพร้อมน้ำผัดสำเร็จรูป สูตรต้นตำรับโคราช ระบุไม่เจือสีและวัตถุกันเสีย         5.     ราคาสินค้าอยู่ระหว่าง    บาท    ฉลาดซื้อแนะ        1.อาหารกึ่งสำเร็จรูปมีข้อดีที่เก็บรักษาได้นาน ราคาย่อมเยาและรสชาติที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตามจัดว่าเป็นอาหารที่มีปริมาณสารอาหารไม่มาก ปริมาณโปรตีนต่ำและมีโซเดียมสูงซึ่งเกิดจากการปรุงรสให้กลมกล่อม ดังนั้นไม่ควรรับประทานบ่อย และในการปรุงควรเพิ่มปริมาณเนื้อสัตว์ ผัก เพื่อเพิ่มคุณค่าของสารอาหาร         2.ผัดหมี่ มักจะมาในบรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่ ซึ่งในการทำหนึ่งครั้งอาจแบ่งกินได้ 3 – 4 คน หรือ 3 – 4 ครั้ง ดังนั้นควรเลี่ยงไม่รับประทานหมดห่อในครั้งเดียว ด้วยเสี่ยงต่อปริมาณโซเดียมที่สูงเกินไป         3.เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มี เลขสารบบอาหาร วันเดือนปี ผลิต/หมดอายุที่ชัดเจน และมีสถานที่ติดต่อหรือแหล่งผลิตแน่นอน        4.หากเปิดซองแล้วพบสภาพสินค้า ไม่สมบูรณ์ มีกลิ่นหืน ไม่ควรรับประทาน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 251 การดูแลผมแห้งเสียให้มีสุขภาพดี

        สุขภาพ “เส้นผม” ที่ดี เป็นเรื่องที่ทุกคนให้ความสำคัญ การมีผมสะอาด แข็งแรง สวยงามช่วยเสริมบุคลิกให้ดูดีขึ้นได้  หลายคนพยายามค้นหาวิธีการพิเศษหรือคิดสรรหาวิธีเสริมสวยต่างๆ เช่น การย้อมผม กัดสีผมหรือยืดผม มาช่วยเสริมความมั่นใจให้กับตัวเอง แต่รู้หรือไม่พฤติกรรมทั้งหมดนี้อาจให้ผลตรงกันข้ามกับที่คิดและอาจเป็นส่วนหนึ่งที่มีส่วนทำลายเส้นผมของเรา         โดยปกติผมแห้งเสียนั้นเกิดได้จากหลากหลายปัจจัย ทั้งพฤติกรรมการดูแลเส้นผม สภาพแวดล้อม และกรรมพันธุ์พื้นฐานตั้งแต่เกิด แต่พฤติกรรมที่เสี่ยงทำให้เกิดผมเสียหลักๆ คือ        1.การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรงกับเส้นผม เช่น การยืดผม ย้อมสีผม ดัดผม ทั้งหมดที่กล่าวมานี้มีขั้นตอนในการทำที่ต้องใช้สารเคมีชนิดเข้มข้น ซึ่งสารเคมีพวกนี้จะเข้าไปทำลายโปรตีนในเส้นผมทำให้เวลาลูบผมจะรู้สึกสากๆ หยาบกระด้าง        2.การใช้แชมพู ครีมนวดผมหรือทรีตเม้นต์ต่างๆ ที่ไม่เข้ากับธรรมชาติของเส้นผม ตลอดจนพฤติกรรมการสระผม ยิ่งสระผมบ่อยผมยิ่งแห้ง หรือการสระผมด้วยน้ำอุ่นยิ่งเสริมให้ผมแห้งหยาบมากขึ้น        3.พฤติกรรมการใช้ความร้อนกับเส้นผม เช่น การใช้ไดร์เป่าผมด้วยลมร้อนขั้นสุด หรือการใช้เครื่องหนีบผม ที่มีความร้อนสูง       ดูอย่างไรว่า “เส้นผม” เริ่มเสียจนเข้าขั้นวิกฤต         ลักษณะของเส้นผมที่เริ่มเข้าสู่วิกฤตและอาจจะสายเกินแก้หากปล่อยไว้ มีรูปแบบดังนี้ ผมแห้งและรู้สึกไม่มีน้ำหนัก เบา ชี้ฟู เปราะบางขาดง่ายและสุดท้ายเริ่มแตกปลายมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งสัมผัสเมื่อลูบผม คือรู้สึกหยาบกระด้างไม่นุ่มสลวย ทั้งนี้เมื่อลองเอาช่อผมมาผูกเป็นปมเล็กๆ แล้ว ถ้าหากผมไม่คลายออกแต่ยังคงเป็นปมแน่นอยู่ เสมือนผูกเชือกแล้วยังคงอยู่ยังไง ก็ยังคงอยู่อย่างนั้น แสดงว่า “เส้นผมเสียจนเข้าขั้นวิกฤต” แล้วแน่นอน ควรจะหาวิธีบำรุงและดูทันที ดูแลเส้นผมให้มีสุขภาพที่ดีได้อย่างไร        -      ควรเลือกผลิตภัณฑ์แชมพูสระผมให้มีค่า ph อยู่ที่ 5.5 หลีกเลี่ยงแชมพูที่มีส่วนผสมของ แอมโมเนียม ลอริล ซัลเฟต สารกันเสีย และซิลิโคน          -      ใช้ครีมนวดผมเป็นประจำ และหมักผมอย่างน้อย 2-3 นาที ควรเลือกครีมนวดให้เหมาะกับตัวเอง หากรู้สึกว่าใช้แล้วเส้นผมไม่ดีขึ้นให้เปลี่ยน นอกจากนี้แม้ว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ครีมนวดผมที่ไม่ถูกกับเส้นผมจะก่อให้เกิดผมเสียได้ “แต่ยังไงการใช้ครีมนวดผมก็ยังคงเป็นวิธีการดูแลหลักที่สำคัญ”  ซึ่งหากใช้ให้ถูกกับตัวเองก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดี        -      ไม่สระผมด้วยน้ำอุ่นจัด และเป่าผมด้วยไอลมระดับพอดีไม่ร้อนจนเกินไป ควรที่จะสระผมด้วยอุณหภูมิปกติ และสระเพียงแค่ 2 วันต่อครั้ง ยกเว้นผู้ที่มีลักษณะผมมันมากอาจสระได้วันละครั้ง        -      ใส่ทรีตเม้นต์บำรุงผม โดยใช้แบบธรรมชาติเช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว โดยสามารถมาสก์ทิ้งไว้ก่อนสระผม และควรเล็มปลายผมที่แตกปลายออกอย่างน้อยทุกๆ 2-3 เดือน          ทั้งนี้สามารถใช้ตัวช่วยในการดูแลสุขภาพเส้นผมเป็นการรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมได้ อาจจะเป็นอาหารเสริมหรือวิตามินจำพวกโปรตีน สังกะสี ธาตุเหล็ก เป็นต้น แต่ก็ต้องตรวจสอบให้ดี อ่านวิธีใช้และผลข้างเคียงก่อนบริโภค  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 249 รู้เท่าทันเข็มขัดยืดกระดูกสันหลัง

        มีการโฆษณาขายเข็มขัดยืดกระดูกสันหลังแบบแขวนกับราวในเว็บไซต์จำนวนมาก ทั้งในประเทศเพื่อนบ้านและประเทศไทย ระบุว่าเพื่อรักษาอาการปวดหลังโดยเฉพาะหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท ซึ่งโดยปกตินักกายภาพบำบัดจะทำการรักษาโดยการดึงหลังด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัด เรามารู้เท่าทันกันเถอะว่า เข็มขัดยืดกระดูกสันหลังนี้ดีจริงหรือไม่ เข็มขัดยืดกระดูกสันหลังแบบแขวนคืออะไร         มีการโฆษณาว่า เข็มขัดยืดกระดูกสันหลังและห้อยแขวนนี้ช่วยลดอาการปวดหลัง ช่วยทำให้ส่วนโค้งส่วนเว้าของกระดูกสันหลังกลับคืนสู่ปกติ ช่วยการคลายเส้นประสาทที่ถูกกดทับ รักษาโรคกระดูกสันหลังได้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพมากกว่าการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ หลายเท่า เข็มขัดนี้รับน้ำหนักตัวได้มากกว่า 150 กก. จึงไม่มีปัญหาในผู้ที่อ้วน มีน้ำหนักตัวมาก ไม่เจ็บรักแร้ ไม่แน่นหน้าอก และใช้ได้กับทุกเพศ ทุกวัย         วิธีการใช้ก็ผูกรัดเข็มขัดรอบบริเวณทรวงอกให้กระชับ เข็มขัดจะมีสายยึดเหมือนห่วงสำหรับโยงกับราวแขวนข้างบน เมื่อห้อยกับราวข้างบนเรียบร้อยโดยให้เท้าทั้งสองข้างพ้นจากพื้น ก็ปล่อยให้น้ำหนักตัวถ่วงลงมา ส่วนบนของลำตัวที่มีเข็มขัดรัดไว้ก็จะห้อยแขวนกับราว ส่วนล่างของร่างกายใต้เข็มขัดลงมาก็จะถ่วงน้ำหนักทำให้กระดูกสันหลังส่วนเอวถูกถ่วงลงล่างด้วยน้ำหนักตัวส่วนล่าง ทำให้เกิดแรงดึงกระดูกสันหลังส่วนล่างเหมือนการดึงด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัด การดึงยืดกระดูกสันหลังเป็นวิธีการรักษามาตรฐานวิธีหนึ่งในการรักษาอาการของกระดูกสันหลัง         การดึงยืดกระดูกสันหลังเป็นวิธีการรักษามาตรฐานวิธีหนึ่งในการรักษาอาการปวดคอ ปวดหลังเรื้อรังโดยเฉพาะการเกิดการกดของรากประสาทสันหลัง การดึงยืดกระดูกสันหลังนั้น เชื่อว่า จะเป็นการคลายการกดรากประสาทและช่วยให้หมอนรองกระดูกสันหลังเกิดการเยียวยาการบาดเจ็บและซ่อมแซมตัวเองได้เร็วขึ้น ในการกายภาพบำบัดจึงใช้การถ่วงดึงด้วยแรงหรือน้ำหนักขนาดต่างๆ ขึ้นกับตำแหน่งของกระดูกสันหลัง         เมื่อมีอาการปวดหลังส่วนล่าง นักกายภาพบำบัดก็จะให้ผู้ป่วยนอนบนเตียงและใช้เข็มขัดรัดรอบช่วงเอวและเชิงกรานและดึงด้วยแรงหรือถ่วงน้ำหนักไปทางปลายเท้า ดึงแล้วคลาย เป็นระยะ ประมาณ 20 นาที สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง         การยืดกระดูกสันหลังด้วยเข็มขัดแบบแขวน ก็เป็นการดึงยืดกระดูกสันหลังส่วนล่างด้วยน้ำหนักตัวส่วนล่างใต้เข็มขัด และเป็นการดึงยืดแบบถ่วงน้ำหนักตลอดเวลา ไม่เป็นการดึงแล้วคลาย ประสิทธิผลของเข็มขัดยืดกระดูกสันหลังแบบแขวน         พยายามค้นงานวิจัยในวารสารวิชาการต่างๆ ก็ยังไม่พบการตีพิมพ์ผลการศึกษา จึงยังไม่สามารถบอกได้ว่า เข็มขัดยืดกระดูกสันหลังแบบแขวนนี้ได้ผลดีในการรักษาอาการปวดหลังเรื้อรัง หรือการกดทับรากประสาทสันหลังได้หรือไม่         เข็มขัดยืดกระดูกสันหลังแบบแขวนจัดเป็นเครื่องมือทางการแพทย์เพราะใช้ในการรักษา อย.คงต้องมาดูแลเรื่องการโฆษณาและความปลอดภัยในการใช้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 246 น้องชมพู่กับขน 3 เส้น

        เว็บ https://workpointtoday.com เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2564 มีหัวข้อข่าวเรื่อง “สรุปคดีลุงพลทุกมิติ โพสต์เดียวจบ” ตอนหนึ่งของบทความกล่าวว่า “...หลังจากผ่านไป 1 ปีเต็ม พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวในวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ว่า “คดีน้องชมพู่ยังไม่จบ แต่เรามีคำตอบให้แน่นอน ช้าเร็วอยู่ที่เรา และผมเชื่อว่ามีคำตอบที่สังคมพอใจแน่ เอาอย่างนี้แล้วกัน” โดยมีรายงานว่าตำรวจค้นพบ เส้นขนจำนวน “3 เส้น” อยู่ในจุดที่เกิดเหตุ โดยหลังจากตรวจ DNA แล้ว สามารถชี้ชัดได้ว่า ใครที่อยู่ใกล้ชิดกับน้องชมพู่ในวันนั้น         ประเด็นที่น่าสนใจคือ การใช้เส้นขนจำนวน 3 เส้น ซึ่งตกอยู่ข้างศพเด็กเพื่อตรวจหา DNA ว่าเป็นของใครนั้นจะตรวจสอบได้อย่างไร        วันที่ 2 มิถุนายน 2564 รายการข่าวสามมิติ ของสถานีโทรทัศน์ดิจิตอลช่อง 33 รายงานประมาณว่า หลักฐานสำคัญในการคลี่คลายคดี คือ พยานหลักฐานทั้งหมด 16 ชิ้นได้จากที่เกิดเหตุโดยหลักฐานสำคัญ คือ เส้นผมทั้งหมด 36 เส้น ความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ซึ่งตรวจพบดีเอ็นเอของน้องชมพู่ และ เส้นขนไร้ราก 3 เส้น  จากนั้นจึงนำเส้นขนนี้ไปตรวจด้วยเทคโนโลยีแสงซินโครตรอน ที่มีความละเอียดระดับนาโนเมตร (synchrotron นั้น google translate อ่านออกเสียงตามภาษา phonetic ว่า sing-kruh-traan หรือประมาณว่า ซิ้ง-โคร-ตรอน ซึ่งผู้อ่านสามารถเลือกอ่านได้ว่า ให้คนที่รู้ภาษาอังกฤษรู้เรื่อง หรือ ให้เป็นไปตามการกำหนดการอ่านออกเสียงแบบไทย ๆ คือ ซิน-โคร-ตรอน)         แสงซินโครตรอน คืออะไร ในเว็บของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) ให้ข้อมูลว่า เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเช่นเดียวกับแสงที่มาจากดวงอาทิตย์ แต่แสงซินโครตรอนนั้นคือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากอนุภาคที่มีประจุ เช่น อิเล็กตรอน ที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงเกือบเท่าความเร็วแสง และถูกบังคับให้เลี้ยวโค้งด้วยสนามแม่เหล็ก ทำให้อิเล็กตรอนสูญเสียพลังงานบางส่วน และปลดปล่อยออกมาในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เรียกว่า “แสงซินโครตรอน”         ส่วน Wikipedia ให้ข้อมูลเพิ่มเติมประมาณว่า จริงแล้วในการเลี้ยวโค้งในสนามแม่เหล็กของอิเล็กตรอนนั้น เส้นทางการวิ่งไม่ได้ทำเป็นวงกลมเสียทีเดียวแต่เป็นรูป polygon คือ มีหลายมุมมากจนดูคร่าว ๆ เป็นวงกลม การเกิดมุมบนเส้นทางวิ่งโค้งของอิเล็คตรอนนั้น ส่งผลให้อิเล็คตรอนสูญเสียพลังงานบางส่วนออกมาในรูปของแสง ซึ่งมีหลายรูปแบบ (เมื่อเสียความเร็วแล้วเข้าใจว่าอีเล็คตรอนจะถูกเร่งความเร็วใหม่ด้วยสนามแม่เหล็กอีก เป็นอย่างนี้ไปตลอดเส้นทาง...ผู้เขียน) เช่น ในรูปของแสงเอ็กซ์เรย์กำลังสูง ซึ่งมีการนำไปใช้ประโยชน์ในทางต่างๆ ในแนวทางเดียวกับการหาโครงสร้างของดีเอ็นเอในวิธีการที่เรียกว่า X-ray diffraction crystallography เมื่อเกือบ 70 ปีก่อน (ซึ่งมีเครื่องกำเนิดแสงเอ็กซ์เรย์แล้ว เพียงแต่มีกำลังต่ำกว่ามาก)         วิธีการของ X-ray diffraction crystallography นั้น James Dewey Watson และ Francis Harry Compton Crick ได้ใช้เป็นกระบวนการในการหาโครงสร้างของ DNA โดยประกาศว่า มีลักษณะเป็น double helix ในปี 1953 ผลงานดังกล่าวทำให้เขาทั้งสองและ Maurice Hugh Frederick Wilkins ได้รับรางวัล Noble Prize สาขา Physiology or Medicine ในปี 1962         ไทยรัฐออนไลน์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2563 มีบทความเรื่อง การตรวจ DNA จากเส้นผม เมื่อไม่เจอรากผม "ไมโทคอนเดรีย" คือความหวัง ท่านผู้อ่านพึงทราบว่า โดยทั่วไปแล้วเป็นที่เข้าใจโดยทั่วกันว่า ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตนั้นมี DNA อยู่ 2 ลักษณะคือ nucleus DNA (ซึ่งทั่วไปเรียกว่า DNA) และ mitochondrial DNA (ซึ่งมักเรียกกันว่า mDNA) โดย nucleus DNA นั้นมีอยู่ 2 ชุด (ชุดละ 2 สายพันกันอยู่เป็นเกลียว) ซึ่งเรียกแต่ละชุดว่า แท่งโครโมโซม (chromosome) ส่วน mDNA นั้นอยู่ในไมโตคอนเดรีย ซึ่งเป็น organelle ซึ่งทำหน้าที่ในการผลิตสารให้พลังงานสูง (ATP) แก่เซลล์ และมี DNA ของตัวเองขนาดเล็ก (ซึ่งทำหน้าที่ต่างไปจาก nucleus DNA) ประเด็นที่น่าสนใจคือ ยิ่งเซลล์นั้นต้องทำงานมากเท่าไร จำนวนไมโตคอนเดรียต้องมีมากขึ้นเท่านั้น         ไทยรัฐออนไลน์ เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2564 อีกเช่นกัน มีข่าวเรื่อง ผู้เชี่ยวชาญแจง "น้องชมพู่" ไม่ใช่คดีแรก ที่ใช้เทคนิคซินโครตรอน โดยเนื้อข่าวส่วนหนึ่งกล่าวว่า “ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนเปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า ลักษณะของการตรวจด้วยแสงซินโครตรอนไม่เหมือนการตรวจดีเอ็นเอ (ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ลำดับการเรียงตัวของเบสของกรดนิวคลิอิก..ผู้เขียน) แต่เป็นการตรวจข้อมูลทางกายภาพอื่น ๆ เพื่อนำไปประกอบในการสืบคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ต้องมีข้อมูลหลากหลาย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องสืบสวนว่า ใครทำอะไรอยู่ตรงไหน เกิดอะไรได้ขึ้น จากนั้นจึงนำข้อมูลในด้านต่างๆ มาประกอบจนได้ข้อสรุป แต่ข้อสรุปดังกล่าวจะถูกต้องและน่าเชื่อถือได้ขนาดไหนก็อยู่ที่ดุลยพินิจของศาล ทางสถาบันซินโครตรอนมีหน้าที่ให้ข้อมูลส่วนหนึ่งที่นำประกอบในสำนวน”         ประเด็นที่ต้องคำนึงคือ นักวิทยาศาสตร์คงต้องพยายามอย่างหนักในการอธิบายถึง ผลที่ได้จากการใช้แสงซินโครตรอนสามารถพิสูจน์เอกลักษณ์ที่เหมือนกันระหว่าง mDNA ในไมโตรคอนเดรียของตัวอย่างขนและ mDNA ในไมโตคอนเดรียจากขนของแม่ของผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ให้ศาลเข้าใจและยอมรับได้นั่นเอง         แล้วสิ่งที่ท่านผู้อ่านควรรู้ก็คือ mDNA นั้น มนุษย์ทุกคนได้มาจากแม่เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับพ่อ เพราะในการผสมกันระหว่างไข่และอสุจินั้น ส่วนของหางอสุจิจากพ่อ ซึ่งมีไมโตคอนเดรียต้องหลุดไป ไม่ได้เข้าไปในไข่ของแม่ (มีแค่โครโมโซมของพ่อเท่านั้นที่เข้าไปได้) ดังนั้นเมื่อการผสมของเซลล์ทั้งสองเสร็จ ได้เซลล์ที่เรียกว่า zygote นั้น ไมโตคอนเดรียที่ zygote ใช้ในการสร้างพลังงานเพื่อการแบ่งตัวจึงมาจากแม่อย่างเดียว ความรู้นี้สร้างประเด็นที่เป็นคำถามคือ ในเส้นขนหรือเส้นผมซึ่งขาดรากหรือหมายความง่ายๆ ว่า ไม่มีตัวเซลล์อยู่นั้นมี mDNA ด้วยหรือ และเส้นขนนั้นไม่ใช่ส่วนของร่างกายที่ต้องการพลังงานสูงนัก จึงไม่น่ามีจำนวน mDNA สูงแต่อย่างใด         มีหลายเว็บที่เป็นภาษาไทยอธิบายความหมายของส่วนของเส้นขน ซึ่งภาษาอังกฤษคือ hair shaft คลาดเคลื่อนว่า “เป็นเซลล์ส่วนที่ตายแล้ว ไม่มีชีวิต และความรู้สึก เป็นส่วนที่งอกเจริญยาวออกมาปกคลุมศีรษะ” ทั้งที่จริงแล้ว hair shaft นั้นในตำราหลายเล่มกล่าวว่าเป็น a protein filament that grows from follicles found in the dermis. ซึ่งแปลง่ายๆ ว่า เป็นเส้นใยโปรตีนที่เติบโตจากรูขุมขนที่พบในผิวหนังชั้นหนังแท้         หลายบทความวิชาการทางนิติวิทยาศาสตร์ได้กล่าวว่า ส่วนของเส้นขนหรือเส้นผมที่ไม่มีราก (hair shaft) นั้นมี mDNA ด้วยทั้งที่ไม่ได้เป็นเซลล์ เช่น บทความเรื่อง Forensic applications of mDNA ในวารสาร Trends in Biotechnology หรือ Tibtech ของเดือนเมษายน 1998 ได้อธิบายถึงการใช้ mDNA ในส่วนของเส้นขนที่ไม่มีราก (hair shaft) ในการพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ได้ ซึ่งผู้เขียนเข้าใจจากการอ่านบทความว่า ไมโตคอนเดรียนั้นถูกดันออกไปพร้อมโปรตีนที่ทำให้เส้นผมยาวออกไปเรื่อยๆ         แต่บรรดาแถลงข่าวเกี่ยวกับการใช้แสงซินโครตรอนเพื่องานด้านนิติวิทยาศาสตร์นั้น  ไม่มีการกล่าวถึงรายละเอียดแต่อย่างใดในการพิสูจน์ mDNA ดังนั้นผู้สนใจในเรื่องนี้อาจต้องมโนเองว่า มีการเพิ่มจำนวน mDNA ที่สกัดได้จากเส้นขนแค่ 3 เส้น ด้วยวิธีการในห้องปฏิบัติการ ซึ่งน่าจะเป็นวิธีการที่เรียกว่า PCR (Polymerase chain reaction) จนได้ mDNA มากพอที่จะตกผลึกได้ จากนั้นจึงนำผลึกไปใช้ในการศึกษาด้าน X-ray diffraction crystallography (แบบที่ Watson และ Crick เคยอธิบายเมื่อเกือบ 70 ปีมาแล้ว) ด้วยแสงซินโครตรอนเพื่อให้ได้ภาพถ่าย mDNA จากขนที่เป็นวัตถุพยานไปเทียบกับภาพถ่ายของ mDNA จากขน (ซึ่งน่าจะเป็นเส้นผม) ของแม่ของผู้ต้องสงสัยว่า อยู่ในบริเวณที่พบศพผู้เคราะห์ร้าย ซึ่งเรื่องนี้ต้องใช้ความสามารถระดับสูงเป็นอย่างยิ่ง         ดังนั้นผู้ที่สนใจข่าวนี้ในแง่ของการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไขปัญหาคดีการฆาตกรรมนั้น ควรมีความอดทน อย่าเบื่อและอย่าลืม ติดตามผลสุดท้ายของคดีนี้ ซึ่งจะเป็นการพิสูจน์ความมหัศจรรย์ของการใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เพื่อไขความจริงในคดีฆาตกรรมอีกครั้งหนึ่งในประเทศไทย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 243 ปลาเส้นปรุงรส โปรตีนสูง ไขมันต่ำ แต่โซเดียมสูงปรี๊ด

        ฉลาดซื้อเคยทำสำรวจฉลากผลิตภัณฑ์ขนม (ของกินเล่น) ปลาเส้นปรุงรส ซึ่งได้รับความนิยมไม่แพ้ขนมอบกรอบหรือขนมขบเคี้ยวอื่นๆ อย่างน้อย 2 ครั้ง ซึ่งพบว่า การโฆษณาว่าโปรตีนสูง ไขมันต่ำนั้นไม่ผิด แต่เรื่องโซเดียมนั้นมีเพียบจริงๆ และยังคงไม่มีทีท่าว่าจะลดลง เมื่อประกอบกับข้อมูลการสำรวจฉลากผลิตภัณฑ์สแนกซ์หรือกลุ่มขนมขบเคี้ยวของสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย ที่เราจะนำมาเสนอในครั้งนี้         ในการทำสำรวจฉลากโภชนาการกลุ่มขนมขบเคี้ยว ประจำปี 2564 ของ สมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทยนั้น ได้เก็บตัวอย่างสินค้ากว่า 400 ตัวอย่าง แบ่งเป็นขนมอบกรอบ ซึ่งทำจากแป้ง และแยกย่อยเป็นประเภทตามวัตถุดิบได้แก่ มันฝรั่ง ข้าวโพด สาหร่าย ถั่ว แครกเกอร์ บิสกิต เวเฟอร์ คุกกี้ และปลาเส้น (รวมปลาหมึกอบกรอบ ปลาแผ่น) เพื่อสำรวจปริมาณโซเดียมที่ระบุบนฉลากของผลิตภัณฑ์ สำหรับเป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคทั้งในกลุ่มเสี่ยงต่ออาหารที่มีโซเดียมสูงอย่างผู้ป่วยโรคไต ความดันโลหิตสูง และผู้บริโภคทั่วไป โดยเฉพาะเด็กซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของสินค้าประเภทนี้ ได้ใช้ในการตัดสินใจเลือกบริโภคหรือเลี่ยงการบริโภคสินค้าที่มีโซเดียมสูง         ฉลาดซื้อและโครงการสนับสนุนฯ ซึ่งได้มีส่วนร่วมในการให้คำปรึกษาจึงขอนำเสนอข้อมูลชุดนี้ โดยจะแบ่งเป็นตอนๆ ตามประเภทของผลิตภัณฑ์ โดยขอประเดิมด้วย ปลาเส้นปรุงรส          สรุปผล การสำรวจปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์ปลาเส้นปรุงรส (รวมปลาแผ่น ปลาหมึกอบกรอบและหมูอบกรอบ) มีข้อสรุปดังนี้        1.ผลิตภัณฑ์ที่นำมาอ่านฉลากมีทั้งสิ้น 36 ตัวอย่าง        2.ขนาดบริโภคหรือหนึ่งหน่วยบริโภคอยู่ที่ประมาณ 12-43 กรัม        3.มีปริมาณโซเดียมตั้งแต่ 180 – 810 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค        4.หน่วยบริโภคแม้จะน้อยแค่ 12-13 กรัม แต่ก็ให้ปริมาณโซเดียมสูงถึง 180 กรัม        5.ยิ่งมีการปรุงรสมาก รสแซ่บ รสเข้มข้น (การใช้วัตถุเจือปนอาหารหลายชนิด เช่น โมโนโซเดียมกลูตาเมต) ยิ่งมีปริมาณโซเดียมสูง         ติดตามผลการสำรวจได้จากภาพในหน้าถัดไป          คำแนะนำ        1.ผู้ปกครองควรใส่ใจในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ปลาเส้นปรุงรสของเด็ก และให้รับประทานแต่น้อย เพราะเป็นขนมที่มีปริมาณโซเดียมสูง        2.อ่านฉลากโภชนาการทุกครั้งก่อนซื้อหรือรับประทาน        3.เลี่ยงบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีโซเดียมสูง หรือแบ่งบริโภคในวันถัดไป ไม่บริโภคหมดซองในครั้งเดียว หรือเลือกซองเล็กแทนซองใหญ่ (เพราะในแต่ละวันร่างกายต้องรับโซเดียมจากอาหารอื่นๆ ด้วย)         4.ควรส่งเสียงถึงผู้ประกอบการให้พิจารณาจัดทำสินค้าที่ลดปริมาณโซเดียมลงเพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน        5.เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มี เลขสารบบอาหารหรือ อย. หรือจากแหล่งจำหน่ายที่น่าเชื่อถือ

อ่านเพิ่มเติม >


ฉบับที่ 241 รู้เท่าทันการนอนไม่หลับ

        โรคนอนไม่หลับเป็นโรคที่กระทบต่อผู้สูงอายุในทุกประเทศ ทำให้เกิดการบำบัดรักษาด้วยวิธีการต่างๆ ตั้งแต่ยา ฮอร์โมน และวิธีการต่างๆ โรคนอนไม่หลับคืออะไร มีกี่ประเภท และวิธีการต่างๆ ช่วยบำบัดการนอนไม่หลับได้จริงหรือไม่ มารู้เท่าทันกันเถอะ โรคนอนไม่หลับคืออะไรกันแน่        นายแพทย์จิรยศ จินตนาดิลก แพทย์ไทยผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนไม่หลับในสหรัฐอเมริกาเขียนไว้ในหนังสือการนวดไทยบำบัดการนอนไม่หลับ ว่า โรคนอนไม่หลับคือ ความผิดปกติด้านการนอน หมายถึง กลุ่มอาการของการนอนหลับยากตั้งแต่ก่อนเข้านอน นอนแล้วหลับๆ ตื่นๆ หรือการนอนหลับไม่เต็มอิ่ม         ใน International Classification of Sleep Disorders ได้แบ่งเป็น 3 ประเภทคือ โรคนอนไม่หลับเรื้อรัง โรคนอนไม่หลับระยะสั้นและโรคนอนไม่หลับจากอาการหรือโรคอื่นๆ นอนเท่าไหร่ถึงจะพอ         จากการเก็บรวบรวมข้อมูลของสหรัฐอเมริกาปี พ.ศ. 2546 พบว่า เวลาที่คนอเมริกันทั่วไปนอนอยู่ที่ 7-9 ชั่วโมง และพบว่า หากนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน อัตราการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ความดันโลหิตสูง โรคเส้นเลือดในสมองอุดตัน เบาหวาน จะเพิ่มมากขึ้น ทำไมคนเราต้องนอน         การนอนหลับเป็นช่วงที่มีคุณค่าที่สุดต่อสมองของมนุษย์เรา สมองต้องการการนอนหลับเพื่อสร้างความทรงจำให้อยู่ได้นานจัดเก็บอย่างเป็นระบบ กำจัดของเสียในสมองและสร้างพลังงานสำหรับวันใหม่ กลไกในการนอนหลับ         จะมี 2 กลไกหลัก คือ        1. กลไกสะสมสารที่ทำให้ง่วงนอนในสมอง ได้แก่ GABA (Gamma-Aminobutyric Acid), Adenosine, Serotonin, Melatonin และ Prostaglandin D2 เป็นต้น สารเหล่านี้จะมีมากขึ้นเมื่อร่างกายทำงานมากขึ้นและไม่ได้นอนหลับทำให้เราง่วงนอน เมื่อนอนหลับร่างกายจะหลั่งสาร Catecholamine, Orexin และ Histamine ทำให้ตื่นนอนในตอนเช้า        2. กลไกการตื่นที่ควบคุมผ่าน Circhadian Rhythm เป็นกลไกที่ใช้แสงมากระตุ้นจอประสาทตาแล้วทำให้สมองหลั่งสารกระตุ้นการตื่น การตรวจสารหรือฮอร์โมนในเลือดจำเป็นหรือไม่         มีการโฆษณาในสื่อต่างๆ ว่ามีเครื่องมือในการวิเคราะห์การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายและตรวจฮอร์โมนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงอาจไม่เกิดประโยชน์เพราะสารเคมีหรือฮอร์โมนนั้น ร่างกายสามารถสร้างได้เมื่ออยู่ในภาวะที่ร่างกายต้องการนอนหลับพักผ่อน หรือตื่นนอนเมื่อนอนหลับอย่างเพียงพอ ยกเว้นในภาวะที่บางคนต้องการอดนอนเพื่อเร่งทำงานหรือดูหนังสือ หรือการดื่มชากาแฟเพื่อต่อต้านความง่วงนอน Optimum Health คืออะไร         คำว่า Optimum Health เป็นความหมายกว้างๆ ที่คล้ายกับคำ สุขภาวะ ขององค์การอนามัยโลก แต่เน้นเป็นเป้าหมายด้านสุขภาพที่บุคคลสามารถบรรลุได้อย่างเป็นจริงเพื่อรู้สึกดีที่สุด         ดังนั้นการมีการโฆษณาว่า Optimum Health เป็นนวัตกรรมที่ใช้วิธีการรักษาโรคแบบใหม่จึงผิดความหมายของคำนี้ที่ใช้เพื่ออธิบายภาวะของสุขภาพที่แต่ละคนสามารถไปถึงได้ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีประโยชน์อย่างไร         มีการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการบำบัดอาการเจ็บปวดของเส้นประสาท อาการปวดกล้ามเนื้อ ข้ออักเสบบ้าง แต่ไม่ยืนยันประสิทธิผลเรื่องการนอนไม่หลับ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง แผลหายเร็วขึ้น         สรุป  การแก้ปัญหาการนอนไม่หลับจึงต้องวินิจฉัยโรคนอนไม่หลับว่า เกิดจากสาเหตุอะไร เป็นประเภทไหน เพราะวิธีการบำบัดนั้นแตกต่างกันไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 222 แนะนำเส้นทางท่องเที่ยวกับแอปพลิเคชัน Thailand Tourism Map

        ช่วงนี้วันหยุดติดต่อกันยาว 3 วันบ้าง 4 วันบ้าง หรือจะแค่วันหยุดเสาร์อาทิตย์บางคนก็พร้อมที่จะไปท่องเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวไม่ไกลมากนัก ซึ่งบางครั้งก็มีการวางแผนการเดินทาง สถานที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดี แต่ก็มีหลายๆ คนเช่นกันที่ไม่สามารถวางแผนได้ล่วงหน้า        การเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งแบบฉุกละหุกย่อมทำให้เกิดความกังวลใจในการใช้เส้นทางสำหรับการเดินทาง ยิ่งเป็นเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยแล้วยิ่งเกร็งกันไปใหญ่ เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้สัมผัสความรู้สึกเกร็งแบบมาแล้ว ด้วยเวลาที่เร่งรัดและเป็นผู้นำการเดินทางคนเดียวในครอบครัว ดังนั้นจึงต้องเริ่มหาที่พึ่งโดยด่วน         สุดท้ายได้มาเจอแอปพลิเคชันที่มีชื่อว่า Thailand Tourism Map เป็นแอปพลิเคชันของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แค่ชื่อก็ใช่เลย เหมาะกับการเดินทางท่องเที่ยวทั่วประเทศไทยจริงๆ        ขั้นตอนแรกของแอปพลิเคชันจะให้เลือกภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ เมื่อต้องการที่จะเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใดมีอยู่ 2 วิธี คืออย่างแรกให้พิมพ์คำที่ต้องการค้นหาลงในช่องค้นหาได้ทันทีและจะปรากฏเส้นทางสถานที่นั้นๆ อย่างที่สองให้กดสัญลักษณ์เลี้ยวขวาที่อยู่มุมขวาล่างของหน้าแอปพลิเคชันและกดค้นหาจากตำแหน่งที่ผู้ใช้แอปพลิเคชันอยู่ ในส่วนนี้จะสามารถเลือกเส้นทางแบบเดินทางโดยรถยนต์หรือเดินทางโดยรถสาธารณะได้ โดยการเดินทางในรูปแบบการใช้รถโดยสารสาธารณะจะบอกเป็นขั้นตอน เช่น ให้ขึ้นรถบีทีเอสไปต่อรถไฟ เป็นต้น         ความแตกต่างของการใช้แอปพลิเคชันนี้ก็คือ จะมีชื่อสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในประเทศไทยไว้ให้ค้นหามากมาย เพียงแค่พิมพ์ตัวอักษรที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีข้อมูลการแนะนำเส้นทางของสถานที่ท่องเที่ยวโดยแบ่งออกเป็นภาค จังหวัด และเส้นทางท่องเที่ยวแต่ละจังหวัดที่ใกล้เคียงกัน โดยได้แนะนำไว้เป็นเส้นทางการเดินทางก่อนหลัง เช่น เส้นทางท่องเที่ยว 3 วัน 2 คืน เกาะช้าง-ตราด-พัทยา, เส้นทางท่องเที่ยว 2 วัน 1 คืน ภูเก็ต-พังงา, เส้นทางท่องที่ยว 4 วัน 3 คืน ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่ เป็นต้น         ไม่เพียงเท่านี้ แอปพลิเคชัน Thailand Tourism Map ยังมีหมวดไฮไลท์ ที่สามารถคัดเลือกสถานที่ท่องเที่ยวตามสภาพมลภาวะทางอากาศ หรือเลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นเมืองรองของภาคใด ซึ่งในหมวดนี้ถือว่าเป็นไฮไลท์ของแอปพลิเคชันนี้ที่ช่วยคัดกรองสถานที่ท่องเที่ยวตามที่ผู้ใช้ต้องการได้ เช่น ถ้าต้องการสภาพมลภาวะทางอากาศระดับดีมากให้เลือกไปที่ AQI 0-25 ดีมาก จะปรากฏตำแหน่งต่างๆ บนแผนที่ ซึ่งสามารถเลือกดูได้ว่าเป็นสถานที่ใดบ้าง        แต่ถ้ารู้สึกไม่ทันใจกับการค้นหาในแอปพลิเคชัน Thailand Tourism Map การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังมีบริการโทรสายด่วนออนไลน์ได้ที่หมายเลข 1672 อีกด้วย        บอกเลยว่าการเดินทางครั้งต่อไปก็คงแค่กดดูข้อมูลการแนะนำเส้นทางของสถานที่ท่องเที่ยว แล้วตัดสินใจว่าจะค้าง 3 วัน 2 คืน หรือจะค้าง 2 วัน 1 คืน แค่นั้นก็เพียงพอแล้วล่ะ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 211 โซเดียมในผลิตภัณฑ์ประเภทปลาแผ่น – ปลาเส้นปรุงรส

โครงการเฝ้าระวังสินค้าและบริการ เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ  ผลิตภัณฑ์ประเภท ปลาแผ่น – ปลาเส้นปรุงรส ที่วางจำหน่ายทั่วไป เป็นของว่าง ที่อร่อยถูกปากผู้บริโภคทุกวัย ปลาเส้นปรุงรสส่วนใหญ่มีส่วนผสมของเนื้อปลาบด (ซูริมิ) แป้งสาลี แป้งมันสำปะหลัง ผสมคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงรสแตกต่างกันไปตามรสชาติที่หลากหลาย เช่น รสชาติแบบออริจินัล เผ็ดน้อย เผ็ดมาก ให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อตามรสนิยม และทราบหรือไม่ว่า ปลาเส้นปรุงรสของไทย ยังเป็นสินค้าที่ชาวต่างชาตินิยมซื้อไปเป็นของฝากกันอีกด้วย  ปลาเส้นปรุงรส ให้สารโปรตีนจากเนื้อปลาบด และคาร์โบไฮเดรตจากแป้ง อาจนับเป็นของว่างมีประโยชน์ได้ หากแต่ว่าปริมาณโซเดียมที่แฝงอยู่ในปลาเส้นแต่ละรสชาตินั้น บางรสมีปริมาณโซเดียมสูงมาก ควรระวังในการรับประทาน ซึ่งเราสามารถดูปริมาณโซเดียมได้จากฉลากโภชนาการที่แสดงไว้บนซองบรรจุภัณฑ์   แต่บางทีซื้อของไปยืนเพ่งสายตาดูฉลากตัวหนังสือเล็กๆ นานๆ ก็ลำบากเหมือนกัน ฉลาดซื้อฉบับนี้ จึงขอเอาใจผู้บริโภคที่ชอบกินปลาเส้น โดยอ่านฉลากโภชนาการดูปริมาณโซเดียม ในผลิตภัณฑ์ประเภทปลาแผ่น-ปลาเส้นปรุงรส จำนวน 30 ตัวอย่าง เพื่อนำเป็นข้อมูลมาเปรียบเทียบให้ผู้บริโภคได้ทราบกันตารางเปรียบเทียบปริมาณโซเดียม ในผลิตภัณฑ์ปลาแผ่น-ปลาเส้นปรุงรส เรียงลำดับปริมาณโซเดียมจากมากไปน้อยข้อสังเกตต่อปริมาณโซเดียมจากฉลากผลิตภัณฑ์ จากการพิจารณาฉลากของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 30 ตัวอย่าง พบว่า   ผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณโซเดียมน้อยที่สุด คือ ปลากรอบเชิญชิม (Crispy Fish) ยี่ห้อ เรือ มีปริมาณโซเดียม 210 มิลลิกรัม ส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณโซเดียมมากที่สุด พบว่ามี 2 ตัวอย่าง คือ ปลาสวรรค์ (รสดั้งเดิม) ยี่ห้อ ทาโร (TARO) และ ปลาสวรรค์ (รสซูเปอร์แซ่บ) ยี่ห้อ ทาโร (TARO) มีปริมาณโซเดียม 800 มิลลิกรัม  โดยส่วนใหญ่หนึ่งหน่วยบริโภคที่แนะนำอยู่ที่ประมาณ 25 - 30 กรัม และพบว่า มีผลิตภัณฑ์จำนวน 2 ตัวอย่าง ที่ไม่มีฉลากโภชนาการ ซึ่งไม่สามารถทราบปริมาณโซเดียมต่อหน่วยบริโภคได้ ได้แก่ ปลาหวานแผ่น ยี่ห้อ มายช้อยส์ไทย (My Choice Thai) และ ฮอกไกโดชีสฟิชแซนด์วิช (เนยแข็งชนิดโพรเซสชีสผสมปลาเส้น) ยี่ห้อ โอกิยะ OHGIYAข้อควรรู้เกี่ยวกับปริมาณโซเดียม    เนื่องจากปริมาณการบริโภคโซเดียมที่สูงขึ้น มีผลทำให้ความดันโลหิตที่สูงขึ้น ซึ่ง Institute of Medicine ได้กำหนดค่าปริมาณโซเดียมสูงสุดของการบริโภคที่ไม่เกิดอันตรายในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ไว้ที่ 2,300 มิลลิกรัมต่อวัน (เปรียบเทียบเป็นเกลือป่นประมาณ  6  กรัม หรือ 1 ช้อนชา)  และ ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่าไม่ควรบริโภคโซเดียมเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน  แม้ว่าโซเดียมจะมีความสำคัญต่อร่างกาย แต่การบริโภคโซเดียมมากเกินไปทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ซึ่งหากมีปริมาณโซเดียมในร่างกายมากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ หลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน และยังส่งผลต่อการเป็นโรคไตด้วย   ทราบอย่างนี้แล้ว การหมั่นอ่านฉลากข้อมูลโภชนาการเป็นประจำก่อนเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์อาหาร จะช่วยให้เราสามารถควบคุมปริมาณโซเดียมในแต่ละมื้อได้อย่างเหมาะสม ทราบว่าผลิตภัณฑ์ใดมีปริมาณโซเดียมมากหรือน้อย โดยเฉพาะเด็กๆ ที่มักกินขนมจนเกือบหมดห่อ หากสามารถสอนเด็กๆ ให้เข้าใจความสำคัญของการอ่านฉลากโภชนาการได้ ก็จะเป็นการปลูกฝังให้เด็กๆ รู้จักการบริโภคอาหารได้อย่างถูกต้องเหมาะสมในแต่ละมื้อปลาเส้น  ปลาเส้นหรือปลาเส้นปรุงรส ผลิตจากเนื้อปลาบดแช่แข็งที่เรียกว่า "ซูริมิ"  เป็นอาหารว่างที่นิยมรับประทานกันมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กๆ และสาวกลัวอ้วนทั้งหลาย เพราะนักโฆษณาเขานำจุดขายไขมันต่ำ โปรตีนสูงมาเรียกความสนใจจากผู้บริโภค เพื่อให้แทนที่ขนมขบเคี้ยวที่มีทั้งแป้ง น้ำตาลและไขมัน ซึ่งล้วนส่งเสริมความอ้วนและโดนโจมตีหนักว่าทำให้เด็กไทยกลายเป็นเด็กอ้วน แต่…ข้อด้อยสำคัญของปลาเส้นปรุงรส ที่ถูกละเลยไปจากโฆษณาคือ ปริมาณโซเดียมที่สูงจนน่าเป็นห่วง ยิ่งประเภทรสจัดจ้าน รสเข้มข้นยิ่งมีปัญหา   วารสารฉลาดซื้อเคยทดสอบปลาเส้นปรุงรสพบว่า มีปริมาณโซเดียมสูงมาก หากรับประทานในขนาดหรือปริมาณ 30 กรัม จะได้โซเดียมสูงถึงประมาณ 500 มิลลิกรัม(ค่าเฉลี่ย) ซี่งเด็กไม่ควรได้รับโซเดียมจากขนมหรืออาหารว่างเกิน 200 มิลลิกรัม เพราะเขายังต้องรับประทานอาหารหลักอื่นๆ อีก การรับประทานปลาเส้นหรือขนมรสเค็มมันต่อเนื่องจะทำให้ไตทำงานหนัก เสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงพ่อแม่อย่าปล่อยให้เด็กรับประทานมากเกินไป ทั้งนี้รวมถึงผู้ใหญ่ที่มีปัญหาความดันโลหิตสูงด้วยซูริมิ   คำว่า “ซูริมิ” (Surimi) ฟังดูก็รู้ว่ามาจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งหมายถึงเนื้อปลาที่นำมาผ่านกระบวนการ จนได้เนื้อปลาที่มีความเหนียวและยืดหยุ่น  เนื้อขาวเนียนละเอียด ปลาซูริมิจะนำมาทำผลิตภัณฑ์อาหารหลายชนิดที่เรารู้จักกันดีได้แก่ ปูอัด นอกจากนี้ยังมี ไส้กรอก  ลูกชิ้น ปลาเส้น เนื้อปลาเทียม เนื้อกุ้งเทียม ตลอดจนผลิตภัณฑ์เลียนแบบเนื้อสัตว์ต่างๆ    ปลาซูริมิ เป็นอาหารทะเลที่มีราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับอาหารทะเลชนิดอื่นๆ และมีปริมาณไขมันต่ำ จึงจัดเป็นอาหารสุขภาพ    ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่บริโภคซูริมิ และผลิตภัณฑ์จากซูริมิรายใหญ่ที่สุดในโลก ส่วนประเทศไทยซูริมิก็ได้กลายเป็นสินค้าเศรษฐกิจ เพราะมีความสามารถในการผลิตและส่งออกเป็นอันดับต้นๆ ของโลก รวมทั้งการบริโภคก็มีคนนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเป็นอิทธิพลจากอาหารญี่ปุ่น    ซูริมิคุณภาพพรีเมียมจะผลิตจากปลา Alaska pollock ซึ่งเป็นปลาที่มีไขมันต่ำ เนื้อสีขาว และมีความยืดหยุ่นสูง ส่วนซูริมิที่ผลิตได้จากประเทศในแถบเอเชีย เช่น ประเทศไทยใช้ปลาทรายแดงเป็นวัตถุดิบ หรือปลาทะเลอื่นๆ ที่มีเนื้อขาว ส่วนปลาน้ำจืดนั้นใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตซูริมิไม่ได้เนื่องจากปัญหากลิ่นโคลน เนื้อปลาไม่มีความเหนียวและเนื้อไม่ขาว 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 196 สารกันบูดในเส้นขนมจีน ภาค 2

ถ้ายังจำกันได้ ฉลาดซื้อ ฉบับที่ 180 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2559 เราเคยนำเสนอ “ผลทดสอบสารกันบูดในเส้นขนมจีน” ซึ่งผลทดสอบที่ออกมาชวนให้ตกใจไม่น้อย เพราะเส้นขนมจีนจำนวน 12 ตัวอย่างที่นำมาทดสอบ พบการปนเปื้อนของสารกันบูดประเภทกรดเบนโซอิก ทั้ง 12 ตัวอย่าง แถมมีอยู่ 2 ตัวอย่างที่พบปริมาณเกินกว่าที่กฎหมายอนุญาตให้ใช้ ฉลาดซื้อเล่มนี้ เราจะลองสุ่มทดสอบดูปริมาณสารกันบูดในเส้นขนมจีนอีกครั้ง ลองไปดูกันสิว่าสถานการณ์การใช้สารกันบูดในเส้นขนมจีนมีการปรับเปลี่ยนเคลื่อนไหวมากน้อยแค่ไหน จะลดลงหรือเพิ่มขึ้น อย่างไร และที่น่าสนใจคือ เราเก็บตัวอย่างเส้นขนมจีนที่เราเคยทดสอบเมื่อคราวที่แล้วด้วย จำนวน 8 ตัวอย่าง และเพิ่มเติมตัวอย่างในการสุ่มทดสอบอีก 9 ตัวอย่าง รวมทั้งสิ้น 17 ตัวอย่าง เพื่อดูว่าจากผลการทดสอบครั้งที่แล้วผู้ผลิตเส้นขนมจีนมีการปรับปรุงสินค้าของตัวเองอย่างไรกันบ้างผลทดสอบสารกันบูดในเส้นขนมจีนครั้งที่แล้ว สร้างความตื่นตัวให้กับทั้งผู้บริโภค หน่วยงานรัฐ และผู้ประกอบการไม่ว่าจะเป็นกระทรวงสาธารณสุขที่มีการส่งเจ้าหน้าที่ลงไปเก็บตัวอย่างขนมจีนที่พบการใช้วัตถุกันเสียเกินมาตรฐานมาตรวจวิเคราะห์ พร้อมกับสั่งให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศ เฝ้าระวังสถานที่ผลิตและจำหน่ายเส้นขนมจีนให้เป็นไปตามมาตรฐาน พร้อมทั้งยืนยันว่า ขนมจีนเป็นอาหารในภาชนะบรรจุ ต้องแสดงฉลากตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ถ้ามีการใช้วัตถุกันเสียก็ต้องแจ้งไว้บนฉลาก หากไม่แสดงมีโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท ส่วนหากมีการใช้วัตถุเจือปนอาหารเกินปริมาณที่กำหนดจะจัดเป็นอาหารไม่ได้มาตรฐาน มีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท(ที่มา: ช่าว “สาธารณสุข ส่ง จนท.ตรวจเข้ม “สถานที่ผลิต-ขายขนมจีน”” มติชนออนไลน์ 12 มีนาคม 2559)ทางด้าน “ตลาดยิ่งเจริญ” ก็ตื่นตัวกับผลทดสอบ หลังพบว่ามีตัวอย่างเส้นขนมจีนที่ใส่สารกันบูดเกินมาตรฐานจำหน่ายอยู่ในตลาด ซึ่งทางผู้บริหารตลาดยิ่งเจริญ รีบแสดงความผิดชอบด้วยการตรวจเข้มสินค้าต่างๆ ที่จะเข้ามาจำหน่าย โดยออกเป็นมาตรการที่ชื่อว่า “สินค้าปลอดภัย ใส่ใจผู้บริโภค” ซึ่งมีทั้งการเชิญเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เข้าตรวจประเมินมาตรฐานสินค้าในตลาด สุ่มเก็บตัวอย่างสินค้าในตลาดไปทดสอบ รวมทั้งเชิญพ่อค้า-แม่ค้าในตลาดมาทำความเข้าใจเรื่องการเลือกสินค้ามาจำหน่ายต้องมีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และพร้อมจัดการขั้นเด็ดขาดกับสินค้าที่หน่วยงานรัฐออกมาให้ข้อมูลยืนยันว่าเป็นสินค้าไม่ปลอดภัย(ที่มา: ข่าว ““ตลาดยิ่งเจริญ” ออกมาตรการ “สินค้าปลอดภัย ใส่ใจผู้บริโภค” เชิญ อย.ลงพื้นที่ตรวจสอบสินค้าทั้งหมด” กรุงเทพธุรกิจ 16 มิถุนายน 2560)ข้อกำหนดการใช้สารกันบูดในเส้นขนมจีนตามข้อกำหนดในประกาศของกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 381) เรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร ฉบับล่าสุด (ฉบับที่ 4) ซึ่งประกาศใช้เมื่อปลายปี 2559 ที่ผ่านมา ยังคงอนุญาตให้มีการใช้ กรดเบนโซอิก (Benzoic acid) ซึ่งเป็นกลุ่มสารกันเสีย ในเส้นขนมจีน ได้สูงสุดไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เกณฑ์มาตรฐานยังคงเท่ากับการทดสอบเมื่อครั้งที่แล้วผลการทดสอบ-ตัวอย่างเส้นขนมจีนที่นำมาทดสอบในครั้งนี้มีจำนวน 17 ตัวอย่าง จากผลการทดสอบพบว่ามีการปนเปื้อนของสารกันบูด กรดเบนโซอิก ทั้ง 17 ตัวอย่างที่นำมาทดสอบ - มี 2 ตัวอย่างที่พบการปนเปื้อนของกรดเบนโซอิกสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด คือไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อเส้นขนมจีน 1 กิโลกรัม ซึ่งตัวอย่างที่พบการปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน ได้แก่ 1.ยี่ห้อ ชลนิศา เก็บตัวอย่างที่ตลาดพระประแดง พบปริมาณกรดเบนโซอิก 1,114.24 มิลลิกรัมต่อกิโกลกรัม และ 2.ยี่ห้อ สธจ โรงงานโสธรเจริญ เก็บตัวอย่างที่ตลาดคลองเตย พบปริมาณกรดเบนโซอิก 1,274.55 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม-ตัวอย่างเส้นขนมจีนที่พบปริมาณกรดเบนโซอิกน้อยที่สุด 3 ตัวอย่างแรก ได้แก่ 1.ตัวอย่างไม่มียี่ห้อ เก็บตัวอย่างที่ตลาดพระประแดง พบปริมาณกรดเบนโซอิก 45.96 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม, 2.ตัวอย่างไม่มียี่ห้อ เก็บตัวอย่างที่ตลาดคลองเตย พบปริมาณกรดเบนโซอิก 63.21 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และ 3.ยี่ห้อ นิดา เก็บตัวอย่างที่ตลาดคลองเตย พบปริมาณกรดเบนโซอิก 91.30 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ที่น่าตั้งข้อสังเกตเป็นพิเศษคือ ตัวอย่างเส้นขนมจีนที่มีการใช้สารกันบูดน้อยที่สุด 2 อันดับแรก เป็นเส้นขนมจีนที่ไม่มีการแสดงฉลากใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งนั่นอาจจะหมายถึงว่า เส้นขนมจีนทั้ง 2 ตัวอย่าง ผลิตและจำหน่ายทันทีไม่ได้ผลิตเพื่อส่งไปขายต่อที่อื่น ซึ่งตามกฎหมายอนุโลมให้อาหารในลักษณะดังกล่าวไม่ต้องแสดงฉลาก เป็นไปได้ว่าผู้ผลิตตั้งใจที่จะผลิตและจำหน่ายแบบวันต่อวัน ทำให้มีการใช้สารกันบูดในปริมาณที่น้อยมาก ซึ่งก็สอดคล้องกับผลการทดสอบครั้งที่แล้ว ตัวอย่างเส้นขนมจีนที่พบสารกันบูดน้อยที่สุด ก็เป็นตัวอย่างเส้นขนมจีนไม่มียี่ห้อและไม่มีฉลากที่เก็บตัวอย่างจากตลาดพระประแดงข้อสังเกตจากผลทดสอบ-การทดสอบครั้งที่ 2 พบว่า ตัวอย่างเส้นขนมจีนที่พบการปนเปื้อนของกรดเบนโซอิกน้อยที่สุดนั้น  พบเพียงแค่ 45.96 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งน้อยกว่าตัวอย่างเส้นขนมจีนที่ทดสอบครั้งที่แล้วที่พบน้อยสุดที่ปริมาณ 147.43 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม -โดยภาพรวมของผลการทดสอบสารกันบูดชนิดกรดเบนโซอิกในเส้นขนมจีนครั้งนี้ ช่วยตอบคำถามได้ว่า เส้นขนมจีนยังเป็นอาหารที่ตรวจพบว่า มีการปนเปื้อนของสารกันบูด โดยค่าเฉลี่ยของปริมาณสารกันบูดที่พบในการทดสอบครั้งที่ 2 นี้ อยู่ 450.53 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในการทดสอบครั้งที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 439.05 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม-พบว่า ตัวอย่าง ยี่ห้อ ดาว ซึ่งเก็บตัวอย่างจากตลาดยิ่งเจริญ ที่ผลการทดสอบครั้งที่แล้ว พบกรดเบนโซอิกสูงเกินค่ามาตรฐานที่ 1121.37 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมนั้น ในการทดสอบครั้งนี้พบปริมาณกรดเบนโซอิกอยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด คือ 768.31 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ต้องขอชื่นชมที่มีการปรับปรุงมาตรฐานของสินค้า-ในขณะที่พบการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ในบางยี่ห้อ แต่บางยี่ห้อ คือ ยี่ห้อ สธจ โรงงานโสธรเจริญ ซึ่งเก็บตัวอย่างที่ตลาดคลองเตย การทดสอบครั้งที่แล้วพบปริมาณกรดเบนโซอิกแค่ 462.36 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม แต่ในการทดสอบครั้งนี้พบการปนเปื้อนสูงถึง 1274.55 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด (ต้องฝากหน่วยงานควบคุมกำกับช่วยติดตามมาตรฐานของสินค้าด้วย)การแสดงฉลากยังมีปัญหาจากผลทดสอบที่ได้พบว่าเส้นขนมจีนทั้ง 17 ตัวอย่างที่นำมาทดสอบมีการปนเปื้อนของสารกันบูด เบนโซอิก ทั้ง 17 ตัวอย่าง ซึ่งตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 167) พ.ศ. 2557 เรื่อง การแสดงฉลากของอาหารในภาชนะบรรจุ มีการกำหนดเรื่องการแสดงข้อมูลการใช้วัตถุเจือปนอาหารลงในฉลาก แต่จากตัวอย่างเส้นขนมจีนทั้ง 17 ตัวอย่าง มีเพียงแค่ 1 ตัวอย่างเท่านั้น ที่แสดงข้อมูลการใช้สารกันบูดระบุไว้บนฉลากหรือภาชนะบรรจุ ได้แก่ เส้นขนมจีนยี่ห้อ ฉวีวรรณ เก็บตัวอย่างที่ห้างแมคโคร สาขาลาดพร้าว ที่แจ้งไว้ว่าใช้วัตถุกันเสีย โซเดียมเบนโซเอต (INS NO.211)  (INS = international numbering system for food additives หรือ หมายเลขรหัสวัตถุเจือปนอาหารสากล)ซึ่งตามกฎหมายกำหนดให้อาหารที่อยู่ในภาชนะบรรจุต้องมีการแสดงฉลาก ยกเว้นอาหารในลักษณะต่อไปนี้ 1.อาหารที่ผู้ผลิตสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารแก่ผู้บริโภคได้ในขณะจำหน่าย เช่น หาบเร่ แผงลอย เป็นต้น, 2.อาหารสดทั้งที่ผ่านและไม่ผ่านกรรมวิธีการแกะ ชำแหละ ตัดแต่ง หรือวิธีการอื่นใดเพื่อลดขนาด ซึ่งอาจแช่เย็นหรือไม่แช่เย็นก็ได้ และบรรจุในภาชนะที่สามารถมองเห็นสภาพของอาหารนั้น เช่น ผัก ผลไม้ตัดแต่ง เนื้อสัตว์หั่นเป็นชิ้นหรือบด เป็นต้น และ 3.อาหารในภาชนะบรรจุที่ผลิตและจำหน่ายเพื่อบริการเฉพาะภายในร้านอาหาร ภัตตาคาร โรงแรม โรงเรียน โรงพยาบาล สายการบิน สถานที่อื่นในลักษณะทำนองเดียวกัน และรวมถึงการบริการจัดส่งอาหารโดยตรงให้กับผู้ซื้อจากการสุ่มเก็บตัวอย่าง เส้นขนมจีนที่ขายอยู่ตามท้องตลาดส่วนใหญ่ ไม่เข้าข่ายตามข้อยกเว้นของกฎหมาย ต้องมีการแสดงฉลากให้ถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด เพราะเป็นอาหารที่ผลิตในรูปแบบของโรงงานและส่งออกวางจำหน่ายตามตลาดต่างๆ อาจมีบ้างบางตัวอย่างที่ผลิตและขายเองหน้าร้าน ไม่ได้รับซื้อหรือส่งต่อไปขายที่อื่น ซึ่งถ้าเป็นในลักษณะดังกล่าวก็เข้าข่ายที่ได้รับการยกเว้นดังนั้นอยากฝากไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องกวดขันดูแลให้ผู้ผลิตเส้นขนมจีนปรับปรุงสินค้าของตนเองให้ถูกต้องตามมาตรฐาน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า500 Point

ฉบับที่ 191 “สารฟอกขาว” ใน “วุ้นเส้นสด”

“วุ้นเส้น” อีกหนึ่งอาหารเส้นที่หลายคนชื่นชอบ สามารถนำไปปรุงเป็นเมนูต่างๆ ได้หลากหลาย ทั้ง ก๋วยเตี๋ยว ผัดไท ยำวุ้นเส้น แกงจืด กุ้งอบวุ้นเส้น และอีกสารพัดเมนู ซึ่งเดี๋ยวนี้มี “วุ้นเส้นสด” ที่ช่วยทำให้ชีวิตของคนชอบกินวุ้นเส้นง่ายขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการนำวุ้นเส้นแบบแห้งมาแช่น้ำให้เส้นนิ่มก่อนถึงจะนำมาปรุงอาหารได้ เพราะวุ้นเส้นสดแค่เกะซองก็พร้อมปรุงได้ทันที ทำให้บรรดาร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านผัดไทหลายๆ แห่งเริ่มหันมาใช้วุ้นเส้นสดกันมากขึ้น ส่วนเรื่องรสชาติความอร่อย ความเหนียวนุ่มของเส้น แบบไหนจะโดนใจกว่ากันอันนี้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลวุ้นเส้นจัดอยู่ในประเภทของอาหารกึ่งสำเร็จรูป มีมาตรฐานในการควบคุมเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายมีความปลอดภัยในการบริโภค ซึ่งที่ผ่านมาปัญหาที่มักพบในวุ้นเส้นก็คือเรื่องของ “สารซัลเฟอร์ไดออกไซด์” หรือ “สารฟอกขาว” ฉลาดซื้อจึงขออาสาสำรวจดูว่า บรรดาวุ้นเส้นสดยี่ห้อต่างๆ ที่วางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด แต่ละยี่ห้อมีการปนเปื้อนของสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์มากน้อยแตกต่างแค่ไหนกันบ้างสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ใส่ได้แต่ห้ามเกินที่กฎหมายกำหนดตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 281 (พ.ศ.2547) เรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร อ้างอิงตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง ข้อกำหนดการใช้วัตถุเจือปนอาหาร อนุญาตให้มีสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในกลุ่มอาหารประเภท วุ้นเส้น เส้นหมี่ และเส้นก๋วยเตี๋ยว ได้สูงสุดไม่เกิน 500 มิลลิกรัม ต่อปริมาณอาหาร 1 กิโลกรัม***ถ้าลองเทียบกับมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศหรือโคเด็กซ์ (Codex) ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีวุ้นเส้นสดอยู่ในข้อกำหนด แต่ก็มีกลุ่มอาหารที่พอจะเทียบเคียงได้คือ กลุ่ม พาสตา ก๋วยเตี๋ยว และผลิตภัณฑ์ทํานองเดียวกัน ชนิดกึ่งสําเร็จรูป (Pre-cooked pastas and noodles and like products) ซึ่งในโคเด็กซ์มีการกำหนดให้พบสารในกลุ่มซัลไฟต์ไว้แค่ไม่เกิน 20 มิลลิกรัมต่อปริมาณอาหาร 1 กิโลกรัมเท่านั้นซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Sulfur dioxide : SO2) หรือที่ชาวบ้านทั่วไปรู้จักกันในชื่อของ “กำมะถัน” เป็นก๊าซไม่มีสี ไม่ติดไฟ แต่มีกลิ่นฉุนรุนแรงทำให้หายใจไม่ออก แต่ละลายน้ำได้ดี ซึ่งสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เป็นสารในกลุ่ม ซัลไฟต์ (Sulfites) เป็นสารที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เพราะเป็นทั้งสารกันเสีย ที่มีประสิทธิภาพสูงในการถนอมอาหาร ราคาถูก ง่ายต่อการใช้งาน ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของ ยีสต์ รา และแบคทีเรีย ช่วยกันหืน รวมทั้งยังใช้ในการยับยั้งปฏิกิริยาการเกิดสีน้ำตาลเนื่องจากเอนไซม์และที่ไม่ใช่เอ็นไซม์  นิยมใช้กับอาหารหลากหลายประเภท โดยเฉพาะอาหารที่จำพวกผักและผลไม้ ผักผลไม้แห้ง ผักผลไม้ดอง ผักผลไม้แช่อิ่ม ผลไม้กวน แยม อาหารในกลุ่มน้ำตาล น้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ น้ำเชื่อม อาหารที่มีการใช้เจลลาติน ถั่วบรรจุกระป๋อง หน่อไม้กระป๋อง เห็ดกระป๋อง อาหารแช่แข็ง เครื่องดื่มบางชนิด และอาหารจำพวกเส้นที่ทำจากแป้ง เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นหมี่ และ วุ้นเส้นผลทดสอบ- พบ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ในตัวอย่างวุ้นเส้นสดทั้ง 16 ตัวอย่างที่นำมาทดสอบ- ข่าวดี ปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่พบในวุ้นเส้นสดทั้ง 16 ตัวอย่าง ไม่เกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด(ไม่เกิน 500 มิลลิกรัม ต่อปริมาณอาหาร 1 กิโลกรัม)- ตัวอย่างวุ้นเส้นสดที่พบซัลเฟอร์ไดออกไซด์ น้อยที่สุด 3 อันดับแรกคือ 1.ยี่ห้อเถาถั่วเงิน (ถุงแดง) เก็บตัวอย่างที่ตลาดสะพาน 2 พบซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ปริมาณ 27 มก./กก., 2.ยี่ห้อบิ๊กซี เก็บตัวอย่างจากบิ๊กซี สาขาสะพานควาย พบปริมาณ 28 มก./กก. และ 3.เถาถั่วเงิน (ถุงเขียว) เก็บตัวอย่างที่ตลาดบางกะปิ พบปริมาณ 45 มก./กก.- ตัวอย่างวุ้นเส้นสดที่พบซัลเฟอร์ไดออกไซด์ มากที่สุด คือ 1.ยี่ห้อชอแชมป์ เก็บตัวอย่างที่ตลดบางกะปิ พบปริมาณ 233 มก./กก., 2.ยี่ห้อส้มทอง เก็บตัวอย่างที่ห้างแม็คโคร บางกะปิ พบปริมาณ 224 มก./กก. และ 3.ยี่ห้อเทสโก้ เก็บตัวอย่างจากห้างเทสโก้ โลตัส สาขาลาดพร้าว พบปริมาณ 196 มก./กก. - มีเพียงแค่ 7 ตัวอย่าง ที่แจ้งข้อมูลสำหรับผู้แพ้อาหารบนฉลาก ซึ่งตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(ฉบับที่ 367) พ.ศ. 2557 เรื่อง การแสดงฉลากของอาหารในภาชนะบรรจุ  กำหนดไว้ว่าอาหารที่มีสารในกลุ่มซัลไฟต์ มากกว่าหรือเท่ากับ 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ต้องมีการแสดงข้อมูลสำหรับผู้แพ้อาหาร ซึ่งจากการทดสอบครั้งนี้ พบว่า วุ้นเส้นสดทั้ง 16 ตัวอย่าง มีปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์(สารในกลุ่มซัลไฟต์) มากกว่า 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม - มีวุ้นเส้นสด 6 ตัวอย่าง จากทั้งหมด 16 ตัวอย่าง ที่แสดงข้อมูลบนฉลากแจ้งเรื่องการใช้วัตถุเจือปนอาหารตามที่กฎหมายกำหนด และมี 1 ตัวอย่างที่แจ้งว่า ใช้วัตถุกันเสีย ตามประกาศ อย. ที่กำหนดให้อาหาร ที่มีการใช้วัตถุเจือปนอาหารต้องแสดงข้อความ ชื่อ หน้าที่ของวัตถุเจือปนอาหารร่วมกับชื่อเฉพาะ หรือระบุหมายเลขรหัสวัตถุเจือปนอาหารสากล(International Numbering System : INS for Food Additives) ซึ่งหมายเลขสากลของซัลเฟอร์ไดออกไซด์ คือ INS220 - จากสำรวจครั้งนี้พบว่า ยังมีผลิตภัณฑ์วุ้นเส้นสดหลายยี่ห้อมีปัญหาเรื่องการแสดงฉลาก โดยแสดงข้อความไม่ครบถ้วน หรือไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด โดยเฉพาะตัวอย่าง วุ้นเส้นสดยี่ห้อ 1 ซึ่งบนบรรจุภัณฑ์ มีแค่เลข 1 กับข้อมูลวันเดือนปีที่ผลิตและหมดอายุ ฉลาดซื้อแนะนำ-เลือกซื้อวุ้นเส้นสด ที่ขนาดเส้นมีความสม่ำเสมอ เส้นใส ดูออกเป็นสีขาวเล็กน้อย เมื่อต้มแล้วมีความเหนียวยืดหยุ่น เส้นไม่เกาะกัน -ต้องไม่มีกลิ่นอับ ไม่มีเชื้อรา หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ปนเปื้อนมาในบรรจุภัณฑ์-ซื้อจากผู้ผลิตที่เชื่อถือได้-ข้อมูลบนฉลากต้องครบถ้วน มีชื่อผลิตภัณฑ์ ชื่อ และที่ตั้งผู้ผลิต เลข อย.แจ้งปริมาณบรรจุ แสดงส่วนประกอบสำคัญเป็นร้อยละของน้ำหนัก มีวันเดือนปีที่ผลิตและวันหมดอายุอันตรายของซัลเฟอร์ไดออกไซด์ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพหากร่างกายของเราได้รับในปริมาณที่มากเกินไป แต่โดยปกติถ้าได้รับในปริมาณไม่มากร่างกายคนจะมีเอนไซม์ที่สามารถเปลี่ยนสารซัลไฟต์เป็นสารซัลเฟต ซึ่งไม่มีพิษต่อร่างกายและถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ สำหรับพิษของซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เมื่อสูดดมจะมีฤทธิ์กัดกร่อนต่อระบบทางเดินหายใจทำให้เกิดอาการระคายเคือง หากเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมากจะทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องร่วง เวียนศีรษะ อาเจียน ช็อก หมดสติ และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ในผู้ที่แพ้มากหรือผู้ที่เป็นหอบหืดโดยองค์การอนามัยโลกได้กำหนดค่าความปลอดภัยต่อการบริโภคในชีวิตประจำวันของซัลเฟอร์ไดออกไซด์ว่าไม่ควรบริโภคเกิน 0.7 มิลลิกรัมซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อ 1 วันกินวุ้นเส้นแล้วไม่อ้วนจริงหรือ!?สาวๆ หลายคนเลือกกินเมนูวุ้นเส้นด้วยเหตุผลว่า ทำให้อ้วนน้อยกว่าเมนูเส้นชนิดอื่นๆ ซึ่งตามข้อมูลกรมอนามัยพบว่า วุ้นเส้น ถือเป็นอาหารในกลุ่มข้าวและแป้งที่ให้พลังงานน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับปริมาณที่รับประทาน โดยวุ้นเส้นสุก 1 ทัพพี หรือประมาณ 60 กรัม ให้พลังงาน 40 กิโลแคลอรี ขณะที่ ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ 1 ทัพพี หรือเท่ากับ 50 กรัม และเส้นหมี่ 2 ทัพพี หรือประมาณ 54 กรัม จะให้พลังงานอยู่ที่ 80 กิโลแคลอรี  หรือถ้าเทียบกับข้าวสุก 1 ทัพพี ประมาณ 60 กรัม ก็จะให้พลังงานเท่ากับ 80 กิโลแคลอรีเช่นกัน แต่ทั้งนี้จะอ้วนหรือไม่อ้วนก็ขึ้นอยู่กับปริมาณที่เรารับประทานหลายคนอาจจะยังเข้าใจผิดว่ากินวุ้นเส้นแล้วร่างกายจะได้โปรตีน ความจริงแล้ววุ้นเส้นก็คือ แป้งเช่นเดียวกับอาหารจำพวกเส้นชนิดอื่นๆ แม้ว่าวุ้นเส้นจะทำจากถั่วเขียว แต่ผ่านกรรมวิธีการทำมาจนเหลือแต่ส่วนที่เป็นแป้ง ทำให้วุ้นเส้นแทบจะไม่มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบอยู่เลย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 สำรวจเส้นทางก่อนออกเดินทางกับ “iTIC”

เดือนธันวาคมเป็นเดือนแห่งการเดินทางท่องเที่ยว เชื่อว่าหลายคนคงเตรียมวางแผนหาแหล่งท่องเที่ยวในช่วงหยุดปีใหม่นี้เรียบร้อยแล้ว แต่ในช่วงหยุดยาวแบบนี้ สิ่งหนึ่งที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องการเดินทาง การวางแผนเส้นทางการเดินทางเพื่อไปแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ จึงมีความสำคัญเช่นกัน ถ้ามีปัญหาในเส้นทางการจราจรก็คงทำให้ทริปการท่องเที่ยวไม่สนุกนัก ผู้เขียนได้เจอแอพพลิเคชั่นหนึ่งที่น่าสนใจในการให้ข้อมูลเส้นทางการเดินทางบนท้องถนนในประเทศไทย จัดทำโดยกรมการขนส่งทางบก และกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน แอพพลิเคชั่นนี้มีชื่อว่า “iTIC” เมื่อเข้าไปในแอพพลิเคชั่นจะปรากฏภาพแผนที่และเส้นทางการจราจร โดยบริเวณมุมบนขวามือจะมีสัญลักษณ์ 4 อัน ได้แก่ สัญลักษณ์รูปคน สัญลักษณ์รูปกล้อง สัญลักษณ์รูปกรวยจราจร และสัญลักษณ์รูปไฟจราจร โดยแต่ละสัญลักษณ์จะมีรูปแบบการบอกรายละเอียดที่แตกต่างกันไปสัญลักษณ์รูปคน จะเป็นปุ่มสำหรับรายงานเหตุการณ์หรือสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องถนน ว่าบริเวณใดมีอุบัติเหตุ มีการก่อสร้าง หรือมีปัญหาใดเกิดขึ้นสัญลักษณ์รูปกล้อง จะเป็นปุ่มที่จะแสดงสัญลักษณ์บนแผนที่ เพื่อบอกว่าจุดใดมีกล้องบ้าง นอกจากนี้ผู้ใช้แอพพลิเคชั่นยังสามารถกดเข้าไปดูภาพของกล้องเพื่อให้ทราบสภาพการจราจรบนถนนบริเวณนั้นในเวลานั้นได้ทันทีสัญลักษณ์รูปกรวยจราจร จะเป็นปุ่มที่แสดงให้เห็นถึงการรายงานอุบัติเหตุ บริเวณสิ่งก่อสร้าง หรือปัญหาต่างๆ โดยสัญลักษณ์จะแตกต่างกันออกไปตามที่มีผู้รายงานเข้ามายังแอพพลิเคชั่นนี้ รวมถึงข้อมูลจากทางผู้จัดทำแอพพลิเคชั่นเอง อย่างเช่น รูปเครื่องอัศเจรีย์(เครื่องหมายตกใจ) รูปคนกำลังก่อสร้าง รูปรถเสีย เป็นต้น ซึ่งผู้ใช้แอพพลิเคชั่นสามารถกดเข้าไปดูรายละเอียดที่เกิดขึ้นได้สัญลักษณ์สุดท้ายคือ สัญลักษณ์รูปไฟจราจร เป็นการแสดงให้เห็นสภาพการจราจรบนท้องถนนตามเส้นทางต่างๆ ว่ามีสภาพการจราจรที่คล่องตัวหรือติดขัดมากเพียงใด โดยแอพพลิเคชั่นจะใช้สีในการแบ่งสภาพการจราจร อย่างเช่น สีเขียว สีส้ม และสีแดงอย่าลืมสำรวจเส้นทางและสภาพการจราจรก่อนออกเดินทางไปท่องเที่ยวกันนะคะ จะได้เที่ยวอย่างมีความสุข และไม่สะดุดกับการเดินทาง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 142 (ไม่)กินเส้น

ฉันเพิ่งอ่านบันทึก face book ของคุณชาวนา ลูกหลานพญาคันคาก ที่อัดอั้นตันใจกับเหล่าผู้ค้านนโยบายจำนำข้าว เรื่อง “ชาวนาผู้ (ไม่) มีอำนาจเต็ม บันทึกของ Pseudo farmer ท่ามกลางกระแส Pseudo demand” ที่เว็บข่าวออนไลน์ประชาไทนำมาเผยแพร่เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนผ่านมา ที่แจงรายละเอียดที่คนเมืองไม่ค่อยมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องคุณภาพข้าวที่ปลูกและขายในทัศนะของชาวนา เลยคิดว่าจะทำก๋วยเตี๋ยวหลอดกิน ว่ากันว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวจากจีนเข้ามาในอาณาเขตสยามประเทศตั้งแต่ยุคสมเด็จพระนารายณ์ ที่ว่ากันว่ามีความรุ่งเรืองในการค้าขาย ข้าวพันธุ์ที่ผลิตเพื่อขายทั้งจากนาปีและนาปรังที่มีคุณสมบัติแข็งกินไม่อร่อยนั้น นอกจากพ่อค้ารับซื้อข้าวเอาไปนึ่งขายเป็นข้าวนึ่งแล้ว ยังใช้ทำเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวต่างๆ ทั้งเส้นหมี่ เส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นจันทร์ เส้นโคราช ก๋วยจั๊บ(จีน และ เวียดนาม) รวมถึงขนมจีน เหล่านี้เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยและกินกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก เมนูเส้นจากข้าวต่างๆ เหล่านี้ยังเป็นอาหารจานด่วนราคาประหยัดทางเลือกอีกทางที่แตกต่างจากร้านขายข้าวแกงที่นำข้าวเม็ดแข็งมาขายให้กับคนทำมาหากินได้ตามข้างถนนอีกด้วย ตลาดนัดวันจันทร์พอดี ฉันได้ผักบุ้งไทยต้นอวบขาวมาจากแม่ค้าชาวนาเจ้าเก่าที่คุ้นเคย เธอสอนฉันว่าถ้าหั่นผักบุ้งแล้วให้โรยเกลือไว้แล้วเวลาเอาไปปรุงจะได้ไม่ดำ ฉันเลยแกล้งอำเธอว่ากำผักบุ้งอ้วนขาวในกะละมังที่ขายแช่เกลือแน่ๆ เธอร้องเสียงหลง ว่า เฮ้ย! ไม่ได้ มันจะเน่าหมดก่อนได้ขาย แล้วส่ายหน้ากับความไม่รู้ประสาอะไรของฉันเอาเสียเลย เหมือนกับตอนที่ฉันถามเธอเรื่องการเก็บพันธุ์ข้าวไว้ใช้เอง เธอว่าช่วงที่มีเวลาหลังเกี่ยวข้าวนาปรังหน 2 แล้วต้องปล่อยนาให้น้ำท่วม 4 เดือนนั้น เธอจะแยกเก็บข้าวบางส่วนจากที่ขายมาตากไว้และเก็บไว้ใช้ แต่ 2 – 3 ปีก็ต้องเปลี่ยน เมื่อมีข้าวปนมากขึ้น ข้าวปนทำให้คนรับซื้อข้าวหาโอกาสติและตัดราคา หรือถ้าหากว่ามีปัญหาโรคแมลงระบาดและรัฐแนะนำให้ใช้พันธุ์ต้านทานใหม่ เธอก็ต้องหาซื้อพันธุ์ข้าวจากชาวนาด้วยกันเอง โดยดูว่าแปลงไหนสวยแล้วจองเอาโดยให้ราคาอาจจะเท่าหรือแพงกว่าข้าวที่ขายในลานรับซื้อเล็กน้อยแล้วเอามาจัดการเอง หรือไม่ก็ซื้อจากร้านขายพันธุ์ข้าว เธอว่า คนขายพันธุ์ข้าวก็ใช้วิธีเดียวกันกับชาวนานั่นแหละ คือออกตระเวนหาซื้อจากชาวนาโดยออกปากให้ราคากันไว้ก่อน พอถึงวันเกี่ยวก็มาบอกให้เอาข้าวที่ว่าไว้ไปจัดการต่ออีกทีทั้งการตาก แยก คัด และบรรจุเพื่อเตรียมขาย ราคาก็แพงขึ้นมาหน่อยเพราะคนขายก็ต้องได้กำไร หากเทียบกับเวลาที่เธอใช้ในการออกไปทำรายได้นอกแปลงนาอย่างการขายผักในตลาดนัดแล้วเธอว่าเธอซื้อพันธุ์ข้าวเขาก็สะดวกดี และไม่เห็นว่ามันจะไร้ศักดิ์ศรีตรงไหนหากต้องไปซื้อเชื่อพันธุ์ข้าวรวมทั้งปุ๋ย ยา เมื่อร้านค้าก็ยอมให้เครดิต เช่นเดียวกับชาวนารายอื่นๆ ในสนามที่ฉันเคยคุยด้วย ในช่วงการปลูกข้าวนาปรังหน 2 ที่หลายคนว่าปลูกให้ได้เกี่ยวก่อนน้ำจะมาจึงต้องรีบไถหว่านนากันให้ไว ข้าวที่เพิ่งเกี่ยวไปไม่เกิน 20 วันนั้นใช้ปลูกไม่ได้เพราะเมล็ดพันธุ์ข้าวมีระยะพักตัว วิธีที่มั่นใจว่าข้าวที่หว่านไปจะขึ้นมาทันใจตามกำหนดเวลาจึงต้องใช้วิธีวิ่งหาซื้อจากชาวนาที่เกี่ยวไปก่อน หรือไม่ก็จากร้านขาย รายที่จนๆ มักเลือกระบบการซื้อเชื่อจากร้านค้าโดยมีค่าดอกเบี้ย 1.5 บาท/เดือน หรือไม่ก็ซื้อเชื่อจากสหกรณ์ได้หากเข้าเป็นสมาชิก ส่วนร้านค้ากับสหกรณ์ก็มีการแข่งขันกันอยู่ในที มีหลายโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม และมีการจัดพบปะสังสรรค์กับลูกค้าอยู่เป็นระยะๆ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันซึ่งมีผลกับยอดจำหน่ายของร้าน ชาวนาที่อยู่นอกเครือข่ายอุปถัมภ์ของการส่งเสริมเกษตรกรรมทางเลือก จึงมีความสัมพันธ์กับตลาดมากกว่าในลักษณะที่นักส่งเสริมหรือแกนนำของเครือข่ายฯ วิจารณ์ว่า “ถูกครอบงำโดยระบบตลาด” หากแต่มีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงของระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าโดยมีเครือข่ายความสัมพันธ์อื่นๆ มาหนุนเสริม และมีการปะทะ ต่อรองกับตลาดอยู่ตลอดเวลา และมีความสัมพันธ์มากเกินไปกว่าการซื้อมาขายไป หรือ กำไร ขาดทุน ฉันได้ผักบุ้งแล้ว แต่ต้องไปตลาดสดอยู่ดี ยังขาดเส้นหมี่และหมู 3 ชั้น ฉันไปหาน้าแอ๊ แม่ค้าขายหมูที่ฉันวิ่งซื้อมาแต่เด็กตั้งแต่ยังใช้ใบตองห่อเชือกกล้วยมัด และหยุดขายหมูในทุกวันพระ กว่า 20 ปีแล้วที่ระบบการเลี้ยงหมูสมัยใหม่เพื่อตอบสนองกับตลาด ทำให้น้าแอ๊มีหมูขายทุกวัน ระหว่างรอน้าแอ๊ที่กำลังจัดสรรสินค้าให้กับลูกค้าประจำที่มาซื้อแบบเชื่อโดยเอาของไปเที่ยวนี้แล้วจ่ายเที่ยวหน้า หน้าแอ๊สอนวิธีเจียวกากหมูให้ฉันไปด้วย โดยบอกว่าให้หั่น 3 ชั้นเป็นชิ้นเล็กๆ เท่ากับมันเส้นติดหนังที่แกแถมมาให้ก้อนใหญ่ บอกให้ฉันใช้เจียวไปพร้อมๆ กันจนเหลือง แล้วปล่อยให้เย็นจึงเจียวซ้ำอีกทีให้กรอบแล้วค่อยบุบกระเทียบใส่ลงไปรอให้เหลือง เครื่องปรุง เช็คเครื่องปรุงกันอีกที เส้นหมี่ขาวไวไว 1 ห่อ , ผักบุ้ง 1 กำ , หมู 3 ชั้น 2 ขีด , กระเทียม 1 หัว, มันติดหนัง 2 ขีด , กุ้งแห้ง ¼ ถ้วย , ปลาเส้น 1 แท่ง หั่นเป็นแผ่นบางๆ , เต้าหูขาวหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ , น้ำมันพืช 1 ถ้วย, ต้นหอมผักชีหั่นท่อน , น้ำตาลทราย , ซีอิ๊วดำหวาน , พริกน้ำส้ม , น้ำปลา และพริกป่น วิธีทำ 1.เจียวกระเทียมรอไว้ แช่เส้นหมี่ขาวในน้ำสะอาดให้นุ่มแล้วสงขึ้นพักไว้ หันไปล้างผักบุ้งให้สะอาดเลือกเอาแต่ส่วนยอด นำมาผ่าแบ่งเป็น 2 หรือ 4 ส่วนให้กลายเป็นเส้นยาวๆ ที่มีขนาดเล็กลง แต่ถ้ายุ่งยากมากนักและไม่มีเวลาให้หั่นเป็นท่อนก็ได้ เตรียมน้ำผสมเกลือละลายไว้ระหว่างที่เตรียมผักบุ้งเพราะใช้เวลาพอควร หากไม่ชอบกินผักบุ้ง เปลี่ยนไปใช้ถั่วงอกก็ไม่ว่ากัน ส่วนกุ้งแห้งก็ล้างให้หายเค็มแล้วแช่น้ำสะอาดให้นิ่มแล้วสงพักไว้ 2.ใส่น้ำมันลงกระทะตั้งไฟกลาง ทอดเต้าหู้ข้าวให้เหลืองสุก จากนั้นจึงทอดปลาเส้นที่หั่นเตรียมไว้ให้เหลือง 3.ใส่น้ำลงหม้อตั้งไฟให้เดือด ลวกเส้นหมี่ให้นุ่มแล้วสงขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ ใช้น้ำที่กำลังเดือดนั่นโดยเติมเกลือลงไปเพื่อให้การลวกผักบุ้งให้สุกแล้วตักขึ้นแช่น้ำเย็นจะมีสีสวยไม่คล้ำหมอง เมื่อจะกิน น้ำเส้นหมี่และผักบุ้งที่ลวกแล้วใส่ลงจาน แล้วเครื่องปรุงต่างๆ ที่เตรียมไว้ กากหมูกรอบๆ หอมๆ กระเทียมเจียวขาดไม่ได้เลย แล้วปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำหวาน น้ำตาล น้ำปลา น้ำส้ม พริกป่น คล้ายก๋วยเตี๋ยวแห้งที่เราคุ้นเคย หากใครชอบหมูรวนและหนังหมูต้มเปื่อยหั่นเป็นเส้นลงไปด้วยก็ได้เช่นกัน ตามอัธยาศัย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 117 กุ้งอบวุ้นเส้น

  เมนูนี้จัดให้ตามใจกองบรรณาธิการฉลาดซื้อ เป็นเมนูที่ทำง่าย ได้กินไวทันใจ เพียงแต่เตรียมเครื่องปรุงเอาไว้ให้พร้อมสรรพ กับอุปกรณ์ง่ายๆ จะเป็นกระทะไฟฟ้าสำหรับคนอยู่หอ หรือสัญจรไปต่างถิ่น หรือจะทำกินในครัวที่บ้านก็ง่ายมากๆ   สูตรที่จะชวนทำนี้สำหรับจานเล็กๆ 3 จาน โดยไม่เน้นกุ้ง หากแต่ผู้อ่านที่สนใจนำไปปรับใช้ก็สามารถเพิ่มปริมาณเครื่องปรุงต่างๆ ได้ตามถนัดนะคะ   เครื่องปรุงที่ใช้ 1. กุ้ง 5 ตัว จะเป็นกุ้งชีแฮ้ กุ้งขาว กุ้งกุลาดำ หรือกุ้งแม่น้ำก็ได้ ตามแต่อัธยาศัย ล้างกุ้งให้สะอาด โดยแกะออกเฉพาะส่วนหัว เอาขี้ดำๆ ที่หัวออก แล้วนำไปล้างให้สะอาด 2. หมูสามชั้น หั่นหนาขนาด ½ เซนติเมตร 3 ชิ้น ไว้รองก้นกระทะ3. วุ้นเส้น ห่อขนาดกลาง 1 ห่อ แช่น้ำให้เส้นนิ่ม แล้วสงขึ้นมา นำมาตัดเป็นท่อนสั้นๆ ราว 3 – 4 นิ้ว4. ขึ้นฉ่าย 1 กำ ล้างสะอาดแล้วหั่นเป็นท่อน ขนาด 1 – 1½ นิ้ว5. ขิง เลือกแบบไม่แก่ไม่อ่อน ล้างและปอกเปลือกให้สะอาด ฝานเป็นแผ่นบางๆ สัก 15 – 20 ชิ้น6. กระเทียม 3 หัว 2 หัวสำหรับปอกเปลือก ล้าง และทุบให้แหลกนำไปเจียวกับน้ำมันหมูหรือน้ำมันพืช 2 โต๊ะ7. น้ำปลาดี 8. ซีอิ๊วขาว 1ช้อนโต๊ะ9. น้ำมันหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ10. น้ำตาลทราย ½ ช้อนชา11. พริกไทยเม็ด 15 – 20 เม็ด บดหยาบเครื่องปรุงน้ำจิ้ม12. กระเทียมไทย 1 หัวปอกเปลือกล้างสะอาด 13. พริกขี้หนู 10 – 15 เม็ด14. มะนาว 1 ซีก15. น้ำตาลปี๊บ นิดหน่อย   วิธีทำ1. เจียวกระเทียมสับให้เหลืองหอม2. วางหมูสามชั้นลงบนกระทะเคลือบ3. วางกุ้งที่ล้างเตรียมไว้บนหมู 3 ชั้น4. ปรุงวุ้นเส้น โดยหาชามปากกว้างใส่ซีอิ๊วขาว , น้ำมันหอย , น้ำตาลทราย และพริกไทยบด คนให้เข้ากันดีแล้วจึงนำวุ้นเส้นที่เตรียมไวลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันจนทั่วดีแล้ว ตักแยกเฉพาะน้ำมันที่เจียวกระเทียมมาคลุกเคล้ากับวุ้นเส้นแล้วจึงนำไปวางบนกุ้งในกระทะ5. โรยด้วยขิงซอย แล้วตามด้วยผักขึ้นฉ่าย6. ปิดฝากระทะแล้วตั้งไฟกลางๆ สัก 5 นาที พอได้กลิ่นหอมของกุ้งเป็นอันใช้ได้7. ก่อนเสิร์ฟราดหน้าด้วยกระเทียมเจียวสับอีกที เมื่อจะเริ่มกินก็คลุกเคล้าให้เข้ากัน   วิธีปรุงน้ำจิ้มเหมือนการทำน้ำจิ้มทะเลทั่วไป คือตำพริกกับกระเทียมให้แหลกเข้ากัน ตักใส่ถ้วยปรุงรสด้วยน้ำปลาดี น้ำตาลปี๊บและมะนาว ว่าด้วยกรรมวิธีปรุงก็เป็นอันหมดหน้ากระดาษแล้ว ไว้คราวหน้าจะเขียนเล่าเรื่องราวน่าสนใจเช่นเดิมค่ะ  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 96 อบวุ้นเส้นเจ

เรื่องเรียงเคียงจานนก อยู่วนาromsuan@hotmail.com ก่อนวันปีใหม่ 1 วัน ลองไปเดินตลาดสดที่บางบัวทอง เห็นเผือกหอมในกระจาดน่ากินเลยคิดลองทำขนมเผือกดู เผื่อว่าจะทำไปพร้อมกันกับอบวุ้นเส้นเจ ไฟล์ความทรงจำเกี่ยวกับขนมเผือกในสมัยเด็กประถมยังใช้การได้ดี เพราะเครื่องปรุงและวิธีทำมันง่ายด้วย นอกจากเผือกหอมแล้วฉันเลยสั่งแป้งข้าวเจ้าและถั่วลิสงเม็ดใหญ่จากแม่ค้าด้วย ช่วงปลายปีที่เพิ่งผ่านมา ได้มีเวลาสะสางบ้านช่องที่มีแต่กองหนังสือและเอกสารสุมตามจุดต่างๆ ของบ้าน กำลังหมกหมุ่นอยู่กับการเก็บกวาดอยู่นั้น พี่แป้นโทรมาบอกว่า วันที่ 6 มกราคม (ก็ผ่านมาพอสมควรล่ะนะ) จะทำบุญขึ้นออฟฟิศใหม่ของพี่เอ พร้อมออร์เดอร์มาเรียบร้อยว่าอยากกิน “อบวุ้นเส้นเจ” ฉันรับปากไป ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยกิน ไม่เคยทำ ก่อนวันปีใหม่ 1 วัน ลองไปเดินตลาดสดที่บางบัวทอง เห็นเผือกหอมในกระจาดน่ากินเลยคิดลองทำขนมเผือกดู เผื่อว่าจะทำไปพร้อมกันกับอบวุ้นเส้นเจ ไฟล์ความทรงจำเกี่ยวกับขนมเผือกในสมัยเด็กประถมยังใช้การได้ดี เพราะเครื่องปรุงและวิธีทำมันง่ายด้วย นอกจากเผือกหอมแล้วฉันเลยสั่งแป้งข้าวเจ้าและถั่วลิสงเม็ดใหญ่จากแม่ค้าด้วย ขนมเผือกเครื่องปรุง เผือกหอมซอยเป็นเส้น 1 ถ้วย , แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย , ถั่วลิสงแช่น้ำ 24 ชั่วโมงแล้วนำไปต้มแค่พอสุก 3ส่วน4 ถ้วย , น้ำ 1 ถ้วย , เกลือ 1 ช้อนชา เครื่องปรุงน้ำจิ้ม ซอสดำรสหวาน ? ถ้วย , น้ำส้มสายชู 1 – 2 ช้อน , น้ำตาลทรายไม่ฟอกสี ครึ่ง ถ้วย , เกลือ นิดหน่อย , น้ำ ครึ่ง ถ้วย พริกชี้ฟ้าสดซอย 3 – 4 เม็ด วิธีทำ 1. ทำน้ำจิ้ม โดยผสมซอสดำ น้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลือ และน้ำ ตั้งไฟจนละลายดี ปรับรสตามที่ชอบ ออกเปรี้ยวหวานนำ เมื่อจะเสิรฟให้ใส่พริกชี้ฟ้าสดซอยลงไป2. เลือกภาชนะที่เหมาะสำหรับทนไฟ ใส่เผือกและถั่วลงไป3. ละลายแป้งกับน้ำลงในชามอีกใบจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเทน้ำแป้งลงในภาชนะ ในข้อ 24. นำไปนึ่งไฟปานกลางค่อนข้างแรง ประมาณ 20 – 25 นาที ลองใช้ส้อมจิ้มดูตรงกลาง ถ้าแห้งดีไม่มีน้ำแป้งเกาะส้อม ถือว่าสุกใช้ได้ 5. ตัดเป็นชิ้นๆ เสิรฟพร้อมน้ำจิ้มความที่ฉันขนซื้อเผือกมาเป็นกิโล ขนมเผือกเลยกลายเป็นขนมต้อนรับปีใหม่กับเพื่อนบ้าน และแม่แทนขนมเค้กไปโดยปริยาย และนอกจากขนมเผือกจะกินแบบนึ่งร้อนๆ แล้ว เอาไว้อังไฟใส่น้ำมันน้อยๆ ในกระทะเคลือบแบนๆ พอให้เหลืองและหอมก็อร่อยไปอีกแบบเช้าวันทำบุญ ดีที่ตัดสินใจทำแค่อบวุ้นเส้นเจอย่างเดียว ตั้งอกตั้งใจมากเป็นพิเศษเพราะเพิ่งทำครั้งแรก จนพลาดการถ่ายรูปขั้นตอนการทำมาฝาก แต่วิธีการปรุงอบวุ้นเส้นเจ ไม่ยากค่ะ มีรายละเอียดพอสมควร แต่ก็คุ้มกับรสชาติอร่อยๆ แบบเจๆ ดี   อบวุ้นเส้นเจเครื่องปรุง 1. ถั่วลิสงแช่น้ำ 24 ชั่วโมงแล้วต้มพอสุก 1 ถ้วย 2. ถั่วแดงเม็ดใหญ่ แช่น้ำ 24 ชั่วโมงแล้วต้มพอสุก 1 ถ้วย 3. เต้าหู้อ่อนขาว ปลอดจีเอ็มโอ 6 ก้อน 4. เห็ดหอมแห้ง แช่น้ำแล้วหั่นเป็นเส้นหยาบๆ 1 ถ้วย 5. กระเทียมไทยแกะกลีบสับ ครึ่ง ถ้วย 6. เผือกหั่นเป็นลูกเต๋าขนาด ครึ่งนิ้ว 1 ถ้วย 7. วุ้นเส้นไม่ฟอกสีขนาดซองกลาง 6 ถุง 8. ต้นหอม / คื่นฉ่าย หั่นเป็นท่อน 4 ถ้วย 9. หอมแดงไทยหัวเล็กสับหยาบ 1 ถ้วย 10. พริกไทยเม็ด บดหยาบๆ 11. น้ำมันพืชสำหรับทอดกระเทียม12. ซอสเห็ดหอม และซีอิ๊วขาว 30 – 40 เมล็ด วิธีการ1. แช่วุ้นเส้นในน้ำสะอาดจนนิ่มแล้วหั่นให้เป็นท่อนสั้นๆ เตรียมไว้ในชามอ่าง 2. ทอดเต้าหู้ขาวด้วยไฟอ่อนปานกลางจนเหลืองกรอบ ตักพักไว้ 3. เจียวกระเทียมในน้ำมันจนหอม ตักกระเทียมแยกออก แล้วใช้น้ำมันผัดเครื่องปรุง โดยใส่หอมสับ เห็ดหอมซอย ตามด้วย ถั่วลิสง ถั่วแดง เผือก ปรุงรสด้วยพริกไทยบด ซีอิ๊วให้พอมีรสเค็มอ่อนๆ ผัดแค่พอหอมดีแล้วยกลง 4. ผสมซอสเห็ดหอมกับซีอิ๊ว อย่างละประมาณ 1/3 ถ้วย ให้เข้ากันดี แล้วค่อยๆ ผสมลงในวุ้นเส้นที่เตรียมไว้ ระวังอย่าให้มีรสเค็มจัด5. ใช้กระทะใบใหญ่อีกใบเป็นภาชนะสำหรับอบ โดยเรียงคื่นฉ่ายและต้นหอมหั่นเป็นท่อนๆ ขนาด 1 นิ้วไว้ข้างล่าง แล้วใส่เต้าหู้ทอดกรอบ และเครื่องปรุงที่ผัดเตรียมไว้ จากนั้นใส่วุ้นเส้นที่คลุกซีอิ๊ว และโรยหน้าด้วยต้นหอม คื่นฉ่ายและกระเทียมเจียว 6. ปิดฝาอบด้วยไฟอ่อนประมาณ 20 นาที สังเกตดูเส้นใสดีแล้วยกลง อย่าอบนานเกินไปเพราะจะก้นกระทะจะไหม้ ออกจากบ้านแต่เช้ามืดนั่งรถแท็กซี่ไปพร้อมๆ กับลุ้นกับรถติดอยู่นาน เฮ้อ!.... ทันถวายอาหารเช้าพระท่านพอดิบพอดี อบวุ้นเส้นเจคราวนี้ลืมขิงไปอย่างหนึ่ง นึกได้ตอนก่อนผัดเครื่อง ใส่ขิงซอยบางๆ สัก 20 ชิ้น ก็คงจะดี แต่คราวนี้ไม่มีก็ไม่เป็นไร ดูจากที่แต่ละคนกินแล้วบอกอร่อยดี โดยไม่มีใครจับได้สักคน อิอิ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 131 อาหารเส้น

ชนชาวโลกนั้นชอบกินเส้น ไม่ว่าจะเส้นก๋วยเตี๋ยว หมี่ซัว พาสต้า ราเม็ง อุด้ง ขนมจีนหรือข้าวซอย ต่างล้วนผลิตจากแป้งที่ทำจากธัญพืชหลากหลายชนิด ขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศของแต่ละพื้นถิ่น ปัญหาที่ถกเถียงกันมานานคือ ใครเป็นผู้ให้กำเนิดอาหารเส้น ถ้าคิดถึงแหล่งอารยธรรมในอดีต ก็ต้องเป็นชนชาติทางอียิปต์โบราณ โรมัน หรือจีน ในอียิปต์ไม่ปรากฏหลักฐานเรื่อง อาหารเส้นที่นั้นเน้นขนมปัง ส่วนโรมันมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า ติดต่อกับราชวงศ์ฮั่น เมื่อ 2,300 ปีก่อนโดยการนำโม่หินมาให้คนจีนรู้จัก และจีนเริ่มใช้โม่บดข้าวสาลีจนเป็นแป้ง   จากนั้นนำแป้งสาลีมาผสมน้ำนวดจนเข้ากันดี แล้วจึงนำไปนึ่งหรือต้มสุกเป็นก๋วยเตี๋ยวแต่มีหลักฐานใหม่สุดพบว่า ไหหินอายุราว 4,000 ปีก่อน ขุดพบที่เมือง Lajia ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจีน   มีเส้นก๋วยเตี๋ยวติดอยู่ ลักษณะของเส้นมีเส้นผ่าศูนย์กลาง0.3 เซนติเมตร ยาว 50 เซนติเมตร และมีสีเหลือง ทำด้วยข้าวบาร์เลย์ (Hordeum) ข้าวสาลี(Triticum) และข้าวฟ่าง (Panicum) เป็นอันยุติในตอนนี้ว่า จีนนั่นเองคือชาติแรกที่ผลิตอาหารเส้นบ้านเรานิยมกินอาหารเส้นไม่แพ้ชาติอื่น โดยเฉพาะเส้นก๋วยเตี๋ยว ซึ่งเส้นต่างๆ เหล่านี้ ก็เข้าสู่ระบบการผลิตที่เป็นอุตสาหกรรม ทำให้มีการเติมแต่งสารเคมีมากมาย รวมทั้งสารกันบูดเพื่อให้เก็บรักษาเส้นไว้ได้นานๆดังนั้นบางทีก็เปลี่ยนจากกินเส้นมาเป็นเกาเหลาบ้างก็น่าจะดี

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 176 ปลอกหมอนใบนี้ดีจริงหรือ

ได้ฤกษ์เปลี่ยนปลอกหมอนใหม่สักที เราจะเลือกซื้อจากอะไรดีนะในทุกๆ คืนจะต้องมีสักหนึ่งท่านอนที่ทำให้หน้าของเราแนบไปกับหมอน ซึ่งคงไม่มีใครอยากแนบหน้ากับเนื้อผ้าสากๆ หรือระบายความร้อนได้ไม่ดีไปตลอดทั้งคืนหรอกจริงไหม คนส่วนใหญ่จึงมักให้ความสำคัญในการเลือกชนิดเส้นใย หรือจำนวนของเส้นใยที่นำมาทอปลอกหมอนนั้น ซึ่งจำนวนเส้นใยเป็นตัวชี้วัดราคาเลยก็ว่าได้ เพราะหากมีเส้นใยต่อตารางนิ้วมาก ราคาก็สูงมากตามไปด้วย อย่างไรก็ตามหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและตกลงใจซื้อมาแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อมูลคุณสมบัติต่างๆ ที่ระบุไว้บนฉลากจะตรงกับความเป็นจริง ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงขอพาผู้อ่านไปทดสอบ* ปลอกหมอนทั้งหมด 11 ยี่ห้อว่า มีคุณสมบัติตรงกับที่ระบุไว้บนฉลาก และมีประสิทธิภาพคุ้มค่ากับราคามากน้อยแค่ไหนกัน* หมายเหตุ ปลอกหมอนทั้งหมดถูกทดสอบโดย สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ และอ้างอิงคุณภาพตามมาตรฐาน มอก. 962 – 2552 (ไม่ใช่ภาคบังคับ) ที่กำหนดให้ฉลากแสดงจำนวนเส้นด้ายเป็นตารางนิ้ว และจำนวนรวมของเส้นด้ายมีความคลาดเคลื่อนจากที่ระบุไว้ในฉลากได้ ± ร้อยละ 5 แต่ผู้ผลิตส่วนใหญ่มักแสดงฉลากเป็นตารางเซนติเมตร เราจึงต้องทดสอบเป็นตารางเซนติเมตรด้วย เพื่อดูว่าฉลากกับความจริงตรงกันหรือไม่       สรุปผลทดสอบ - มีเพียง 2 ยี่ห้อที่ระบุ “จำนวนเส้นใย” ได้ตามมาตรฐาน มอก. คือ Ikea รุ่น Gaspa และ Exotica ลาย Outlook Blue- ทุกยี่ห้อระบุ “ชนิดเส้นใย” ตรงตามฉลาก มีเพียงยี่ห้อ Lotus รุ่น อิมเพรสชั่น STRIPIES ที่ไม่มีฉลากระบุชนิดเส้นใย ซึ่งทดสอบได้เป็นเส้นใย Polyester 100%- ความคงทนของสีต่อการซัก และความคงทนต่อเหงื่อทั้งสภาวะกรด/ด่าง ทุกยี่ห้อได้มาตรฐาน มอก.- การขึ้นขนและเม็ด ส่วนใหญ่เฉลี่ยที่ระดับปานกลาง (ระดับ 3) มีเพียงยี่ห้อ LUXURIOUS รุ่น AMBIA ที่ได้ระดับชัดเจน – ปานกลาง (ระดับ 2 - 3) - ปลอกหมอนที่ได้มาตรฐานมากที่สุดในการทดสอบครั้งนี้คือ ยี่ห้อ Ikea รุ่น Gaspa   ตารางที่ 1 แสดงผลทดสอบด้านคุณสมบัติทั่วไปของปลอกหมอน    สรุปผลทดสอบ- จากตัวอย่างที่นำมาทดสอบ ปลอกหมอนยี่ห้อ Lotus รุ่น อิมเพรสชั่น STRIPIES แสดงฉลากระบุจำนวนเส้นใยเกินจริงมากที่สุด   *หมายเหตุ- มาตรฐาน มอก. กำหนดให้ ความคงทนของสีต่อการซัก และ ความคงทนของสีต่อเหงื่อทั้งสภาพกรดและสภาพด่าง  สำหรับประเภทใช้งานทั่วไปตามบ้านเรือน ไม่น้อยกว่า การเปลี่ยนสีระดับ 4 , การเปื้อนสีระดับ 3- ความคงทนของสีต่อการซัก ใช้วิธีการทดสอบ: น้ำสบู่ที่ใช้ (150 มล.) 1993 AATCC STANDARD REFERENCE DETERGENT WOB ความเข้มข้น 4 กรัม / ลิตร - การขึ้นขนและเม็ด ใช้เครื่องทดสอบ: ICI PILLING & SNAGGING TESTER (SDL ATLAS MODEL M227) / เวลาในการทดสอบ: 10 ชั่วโมง / จำนวนรอบการหมุน: 60 ± 2 รอบต่อนาทีฉลาดซื้อแนะ การเลือกซื้อปลอกหมอน- ราคา ชุดเครื่องนอนส่วนใหญ่มักจัดโปรโมชั่นลดราคาบ่อยๆ ผู้บริโภคจึงควรเปรียบเทียบราคาจากหลายๆ แหล่งก่อนตัดสินใจซื้อ- เส้นใย ความแตกต่างระหว่างชนิดเส้นใยที่นำมาทอ 1. ผ้าฝ้าย (Cotton) เป็นเส้นใยที่ทำมาจากฝ้ายธรรมชาติ ผิวของผ้าจะเรียบเนียน ทนทาน ระบายอากาศได้ดี ราคาค่อนข้างสูง 2. ผ้าที่ได้จากเส้นใยสังเคราะห์โพลีเอสเตอร์ (Polyester)เนื้อผ้าจะไม่ค่อยยับ ราคาค่อนข้างถูก แต่การดูดซับน้ำและการระบายอากาศไม่ค่อยดีนัก นอกจากนี้เมื่อใช้ไปนานๆ มักมีปุ่มขนขึ้นมาบนเนื้อผ้า 3. ผ้าทอผสมระหว่าง Cotton และ Polyester (หรือผ้า TC)ส่วนใหญ่มักผสมกันในอัตราส่วน 65 : 35 ทำให้ได้ผ้าที่มีคุณสมบัติ ไม่ยืด ไม่ย้วยหรือมีความยืดหยุ่นปานกลาง ทนทานต่อการซักได้ดี และสามารถระบายอากาศได้ปานกลาง - จำนวนเส้นใย จากผลทดสอบพบว่าฉลากส่วนใหญ่ที่บอกจำนวนเส้นใยยังไม่มีความน่าเชื่อถือ- เมื่อเรานำปลอกหมอนมาใช้งานจริง ก็ไม่อาจหลีกเหลี่ยงคราบเหงื่อไคลทั้งในสภาวะกรดและด่าง ซึ่งส่งผลให้คุณภาพและสีของปลอกหมอนมีความเปลี่ยนแปลง การทดสอบประสิทธิภาพความคงทนต่อเหงื่อจึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่ตัวอย่างทั้งหมดที่เรานำมาทดสอบ มีคุณภาพได้ตามมาตรฐาน แนะนำการดูแลรักษาชุดเครื่องนอน- ควรซักก่อนการใช้งานครั้งแรก โดยไม่ใช้สารฟอกขาว และควรผสมน้ำยาปรับผ้านุ่มกับน้ำก่อนเทลงไป นอกจากนี้ควรแยกผ้าสีเข้มและสีอ่อนก่อนซัก กรณีซักเครื่องควรปั่นแห้งในระดับต่ำ หรือใช้ถุงถนอมผ้า และไม่ควรแช่ผ้าทิ้งไว้ข้ามคืนเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับข้อมูลบนฉลากตามที่ มอก. กำหนดที่ภาชนะบรรจุผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนทุกหน่วย อย่างน้อยต้องมีเลข อักษร หรือเครื่องหมายแจ้งรายละเอียดต่อไปนี้ และต้องให้เห็นได้ง่าย ชัดเจน1.    ชื่อผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานนี้2.    ประเภท และ / หรือแบบ3.    ชนิดเส้นใยและส่วนผสมของเส้นใยเป็นร้อยละ4.    จำนวนเส้นด้ายต่อ 546 ตารางมิลลิเมตร (1 ตารางนิ้ว)5.    ด้านกว้าง x ด้านยาวเป็นหน่วยเมตริก สำหรับผ้าปูที่นอนแบบไม่รัดมุม6.    ด้านกว้าง x ด้านยาว x ความยาว ของส่วนรัดมุม เป็นหน่วยเมตริก สำหรับผ้าปูที่นอนแบบรัดมุม7.    คุณลักษณะพิเศษ (ถ้ามี)8.    คำแนะนำหรือคำเตือนในการดูแลรักษาที่เหมาะสม อาจใช้สัญลักษณ์ตาม มอก.7669.    เดือนและปีที่ทำ10.    ชื่อผู้ทำหรือโรงงงานที่ทำ หรือเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียน11.    ประเทศที่ทำ ที่ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนทุกหน่วย อย่างน้อยต้องมีเลข อักษรหรือเครื่องหมาย แจ้งรายละเอียดต่อไปนี้ ให้เห็นได้ง่าย ชัดเจน1.    ชนิดเส้นใยและส่วนผสมของเส้นใยเป็นร้อยละ2.    คำแนะนำหรือคำเตือนในการดูแลรักษาที่เหมาะสม อาจใช้สัญลักษณ์ตาม มอก.766* ในกรณีที่ใช้ภาษาต่างประเทศด้วย หรือใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการส่งออก ต้องมีความหมายตรงกับภาษาไทยที่กำหนดไว้ข้างต้น    

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 138 เราพบอะไรในชุดชั้นในสีดำ

หลายคนอาจเคยได้ยินข่าวว่าในต่างประเทศมีการทดสอบเสื้อชั้นในสีดำและพบสารก่อมะเร็งในปริมาณสูง และอาจสงสัยว่าเสื้อชั้นในสีดำที่ขายอยู่ในบ้านเรามีสารดังกล่าวหรือไม่ ฉลาดซื้อเก็บตัวอย่างเสื้อในชั้นสีดำทั้งจากตลาดบน ตลาดกลาง และตลาดล่าง* ทั้งหมด 10 ตัวอย่าง (ราคาตั้งแต่ 50 - 790 บาท ทั้งหมดผลิตในประเทศไทย ยกเว้นยูนิโคล่ รุ่นไวร์เลส ที่ผลิตจากประเทศจีน) ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แล้วส่งเข้าทดสอบในห้องปฏิบัติการของศูนย์วิเคราะห์ทดสอบสิ่งทอ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ เพื่อไขข้อข้องใจในประเด็นเหล่านี้ ชนิดของเส้นใยที่ใช้เป็นไปตามที่แจ้งบนฉลากหรือไม่ มีฟอร์มาลดีไฮด์ (สารที่ใช้เพื่อป้องกันผ้าย่น หรือยับ) หรือไม่ ค่าความเป็นกรด-ด่างเกินมาตรฐานหรือไม่ สารเคมีในสีย้อมที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง จากผลทดสอบในภาพรวม เสื้อชั้นในส่วนใหญ่ผลิตจากเส้นใยตามที่ได้แจ้งไว้ มีเพียงยี่ห้อ Princess ที่ระบุบนฉลากว่าเป็น “ฝ้าย 100%” แต่ทดสอบแล้วพบว่าเป็นเส้นใยโพลีเอสเตอร์ ส่วนชุดชั้นในอีก 3 ยี่ห้อที่ไม่ระบุเส้นใยที่ใช้ก็เป็นโพลีเอสเตอร์ หรือโพลีเอสเตอร์ผสมฝ้าย ซึ่งเรื่องของเส้นใยนั้นต้องแล้วแต่ความชอบของผู้บริโภคแต่ละคน ใครเน้นสวมใส่สบาย ระบายอากาศดีก็เลือกที่เป็นเส้นใยจากฝ้าย แต่ถ้าใครเน้นซักง่ายแห้งเร็วก็คงจะเลือกเส้นใยโพลีเอสเตอร์ สำคัญตรงที่ผู้ผลิตมีการแจ้งต่อต่อผู้บริโภคอย่างตรงไปตรงมาเพื่อการพิจารณานั่นเอง ------------------------------------------------------------------------------- ตลาดชุดชั้นในสตรีในบ้านเราซึ่งมีมูลค่าการตลาดไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ : ข้อมูลจากงานวิจัยปี พ.ศ. 2552 โดย ผุสดี ใจแก้วทิ  เรื่อง กลยุทธ์ธุรกิจและกลยุทธ์ทางการตลาดซึ่งสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเลือกซื้อชุดชั้นในสตรีของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร: กรณีศึกษา บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) ลิขสิทธิ์มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ------------------------------------------------------------------------------- จากงานวิจัยเดียวกัน สีเสื้อชั้นในที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือสีเนื้อ (ร้อยละ 37.5) ตามด้วยสีขาว (ร้อยละ 32) สีชมพู (ร้อยละ 13.5) และสีดำ (ร้อยละ 10.5) -------------------------------------------------------------------------------   เสื้อชั้นใน Ne’s bra รุ่น 8802 ราคา 50 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ไม่ระบุ ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             โพลีเอสเตอร์ ค่าความเป็นกรดด่าง 6.52 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน Princess รุ่น 191 ราคา 79 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก Cotton 100% ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             โพลีเอสเตอร์ ค่าความเป็นกรดด่าง 6.72 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน Sister hood รุ่น Sport 072 ราคา 89 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ไม่ระบุ ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             โพลีเอสเตอร์ / ฝ้าย ค่าความเป็นกรดด่าง 7.09 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน Jintana รุ่น Jina Teen JB 2850 ราคา 260 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ไม่ระบุ ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             ไนลอน ค่าความเป็นกรดด่าง 7.16 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน Sabina รุ่น SBN Sport SBB 374 BK ราคา 440 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ฝ้าย ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             ฝ้าย ค่าความเป็นกรดด่าง 7.44 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน POP line รุ่น WL 1799 ราคา 450 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ไนลอน ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             ไนลอน ค่าความเป็นกรดด่าง 6.10 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน Wacoal รุ่น WH 2M03 T-Shrunk ราคา 550 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ฝ้าย ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             ฝ้าย ค่าความเป็นกรดด่าง 7.95 สารก่อมะเร็งในสีย้อม 4-chloroaniline 15.35 มก./กก.     เสื้อชั้นใน Elle รุ่น LB 8502 ราคา 650 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ไนลอน ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             ไนลอน ค่าความเป็นกรดด่าง 7.16 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน UNIQLO รุ่น Wireless Bra Light ราคา 790 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก โพลีเอสเตอร์ ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             โพลีเอสเตอร์ ค่าความเป็นกรดด่าง 6.85 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน Triumph รุ่น Sloggi Organic Cotton ราคา 790 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ฝ้าย ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             ฝ้าย ค่าความเป็นกรดด่าง 6.84 สารก่อมะเร็งในสีย้อม 4-chloroaniline 15.09 มก./กก.   ------------------------------------------------------------------------ ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ชุดชั้นในสตรี มผช. 837/ 2554 กำหนดไว้ว่า ปริมาณฟอร์มาลดีไฮด์ ต้องน้อยกว่า 75 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ค่าความเป็นกรด-ด่าง ต้องอยู่ระหว่าง 5 ถึง 7.5 สีเอโซที่ให้แอโรแมติกแอมีน 24 ตัว ต้องไม่เกิน 30 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ผลการวิเคราะห์ ในการทดสอบคราวนี้เราไม่พบฟอร์มาลดีไฮด์ในทั้ง 10 ตัวอย่าง และค่าความเป็นกรดด่างของเสื้อชั้นในส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ ยกเว้นวาโก้ WH 2M03 T-Shrunk ที่มีค่า pH สูงเกินเกณฑ์ไปเล็กน้อย   นอกจากนี้เรายังพบสาร 4-คลอโรแอนิลีน (4-chloroaniline) ในชุดชั้นใน 2 รุ่นได้แก่ วาโก้ WH 2M03 T-Shrunk และ ไทรอัมพ์ Sloggi Organic Cotton ในปริมาณ 15.35 มิลลิกรัม/ กิโลกรัม และ 15.09 มิลลิกรัม/ กิโลกรัม ตามลำดับ ปริมาณดังกล่าวถือว่าไม่เกินมาตรฐานที่ประเทศไทย หรือเกณฑ์เบื้องต้นของยุโรปกำหนดให้มีได้ไม่เกิน 30 มิลลิกรัม/ กิโลกรัม)   อย่างไรก็ตาม สารดังกล่าวเป็นหนึ่งในสารอะโรแมติกแอมีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ถ้าอ้างอิงเกณฑ์ของฉลากสิ่งแวดล้อมต่างๆ ของยุโรป จะต้องไม่มีสารดังกล่าวในผลิตภัณฑ์   ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งทอ ผศ.ดร.จันทร์ทิพย์ ซื่อสัตย์ ภาควิชาวิทยาการสิ่งทอ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความเห็นว่า “สีย้อมประเภทเอโซเป็นสีกลุ่มที่แตกตัวให้สาร Aromatic amine เมื่อย้อมติดบนผลิตภัณฑ์ ไม่ควรก่อให้เกิดสาร Aromatic amine ชนิดที่อยู่ในข่ายสามารถก่อให้เกิดความผิดปกติในมนุษย์ ในปริมาณเกินกว่า 30 ppm สำหรับสาร 4-chloroaniline ที่ตรวจพบในผลิตภัณฑ์เสื้อชั้นในข้างต้น เป็นสารที่ห้ามใช้หรือไม่ควรพบตกค้างในผลิตภัณฑ์สิ่งทอเลยเนื่องจากเป็นสารอันตราย ดังนั้นจึงถือว่าผลิตภัณฑ์เสื้อชั้นในที่ตรวจพบสารดังกล่าวอยู่ในข่ายที่สามารถก่ออันตรายต่อผู้บริโภคได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผลิตภัณฑ์ที่สัมผัสผิวหนังโดยตรงเช่นนี้”   วลัยพร มุขสุวรรณ รองผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ และผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการสารเคมี ระบุว่า “ตามเอกสารขององค์การอนามัยโลกและกฎหมายของสหภาพยุโรปที่ออกตามกฎหมาย REACH นั้น สหภาพยุโรปจำกัดการใช้สีย้อมประเภทเอโซ (ซึ่งสาร 4-chloroaniline รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย) คือห้ามใช้สีย้อมเอโซที่อาจปล่อยสารแอมีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งออกมาจากผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะเข้าสู่ผู้ใช้ได้ แต่ถ้าเป็นเอโซที่ไม่ปล่อยสารแอมีน จะยอมให้มีในแต่ละส่วนประกอบได้ไม่เกิน 30 พีพีเอ็ม สำหรับเอโซที่ปล่อยสาร 4-chloroaniline ออกมานั้นอยู่ในรายการห้ามใช้เลย ------------------------------------------------------------------------   เรื่องจากคนเย็บชุดชั้นใน -          ปัจจุบันนี้ เสื้อชั้นในหนึ่งตัว มีชิ้นส่วนประมาณ 20 ชิ้น และมีขั้นตอนการเย็บประมาณ 50 ขั้นตอน -          ถ้าเป็นเสื้อชั้นในแบบธรรมดาๆ พนักงาน 50 คน จะสามารถเย็บได้ วันละ 2,000 ตัว แต่ปัจจุบันเริ่มมีชิ้นงานแบบหรูหรา ที่ขายปลีกตัวละ 7,000 – 8,000 บาท พนักงานกลุ่มเดิมสามารถเย็บได้เพียงวันละไม่เกิน 400 ตัว -          ชิ้นงานสีดำหรือสีเข้มอื่นๆ ค่อนข้างลำบากต่อคนทำงาน เพราะมองไม่ค่อยเห็น จึงต้องส่องไฟเพิ่มซึ่งทำให้เกิดแสงสะท้อนเข้าตา -          ก่อนหน้านี้เคยมีผู้บริโภคร้องเรียนว่าพบปลายเข็มในเสื้อชั้นใน ซึ่งน่าจะเกิดจากเข็มที่หักในขั้นตอนการตัดเย็บ ในสายการผลิตจึงมีข้อกำหนดว่าจะต้องหาปลายเข็มที่หักให้เจอก่อนเสมอเมื่อเกิดกรณีที่เข็มหัก นอกจากนี้ยังห้ามไม่ให้พนักงานนำโลหะชิ้นเล็กๆ เช่นลวดเย็บ หรือดินสอกด เข้าไปบริเวณที่ทำงาน -          ขั้นตอนที่มีความเสี่ยง ขั้นตอนการประกอบลูกไม้/ผ้า เข้ากับฟองน้ำด้วยเครื่องพ่นกาว การขึ้นรูปผ้ากับฟองน้ำให้เป็นรูปโค้งตามขนาดคัพ ของเสื้อชั้นใน -          ครึ่งหนึ่งของราคาชุดชั้นในที่เราจ่าย คือค่าแบรนด์ -          เสื้อชั้นในที่เราเห็นนำมาลดราคาตามห้างนั้น ความจริงแล้วก็เป็นไปตามราคาขั้นต่ำที่เขากำหนดไว้แต่แรก บางครั้งการลดราคาก็เพื่อเคลียร์พื้นที่ให้กับรุ่นใหม่ๆ ที่กำลังจะผลิตออกมา หรือของค้างที่เก็บไว้ก็มีแต่จะเสื่อมราคาจึงต้องรีบขายออกไป อีกกลุ่มที่นำมาลดราคาคือสินค้าที่มีขนาดไม่ครบนั่นเอง -          ส่วนเสื้อชั้นในที่นำมาขายลดราคาให้กับพนักงงานในโรงงานนั้นอาจมาจากสินค้าตกเครื่องบิน (หรือตกเรือ) เพราะส่งไม่ทันเวลา บางครั้งเป็นสินค้ามีตำหนิ หรือสินค้าตัวอย่าง หรือสินค้าที่ไม่ผ่านคุณภาพส่งออก (เช่นมีสารก่อมะเร็ง) เป็นต้น ขอบคุณ คุณจิตรา คชเดช และคุณวิภา มัจฉาชาติ ผู้ประสานงานและผู้จัดการฝ่ายผลิตชุดชั้นในทางเลือก Try Arm ผู้ให้ข้อมูล  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 115 กินเส้นใหญ่ระวังไตพัง

ก๋วยเตี๋ยวหนึ่งในอาหารจานด่วนที่บริโภคกันมาก เพราะมีสารพัดสูตรให้เลือกชิมเลือกทาน ไม่ว่าจะเป็น ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย ก๋วยเตี๋ยวเรือ ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ บะหมี่หมูแดง ราดหน้า ผัดซีอิ้ว ก็ใช่ เรียกว่ามากมาย จนสาธยายไม่หมด ซึ่งตัวเส้นก๋วยเตี๋ยวก็มีหลากหลาย ชนิด ทั้ง เส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นหมี่ วุ้นเส้น บะหมี่ โซบะ เส้นขนมจีน และเส้นก๋วยจั๊บ โดยเส้นก๋วยเตี๋ยว  ส่วนใหญ่จะทำจากแป้งข้าวเจ้า บะหมี่ทำจากแป้งสาลี  ผสมไข่ ส่วนวุ้นเส้นทำจากแป้งถั่วเขียวผสมน้ำโครงการพัฒนากลไกการเฝ้าระวังความ  ปลอดภัยด้านอาหารของผู้บริโภค ได้เก็บตัวอย่างเส้น  ก๋วยเตี๋ยวจำนวน 5 ชนิด ได้แก่ เส้นใหญ่จำนวน 8  ตัวอย่าง เส้นเล็กจำนวน 8 ตัวอย่าง เส้นหมี่(ขาว)  จำนวน 5 ตัวอย่าง เส้นบะหมี่จำนวน 6 ตัวอย่าง  และเส้นขนมจีนจำนวน 4 ตัวอย่าง จากตลาดสดในพื้นที่ดำเนินงานโครงการทั้ง 8 จังหวัดได้แก่ กรุงเทพฯ  สมุทรสงคราม   ขอนแก่น   มหาสารคาม    เชียงใหม่   พะเยา สงขลา และ สตูล ในการเก็บตัวอย่างครั้งที่ 3   เมื่อเดือนมกราคม 2553 รวมจำนวนตัวอย่างที่เก็บทั้งสิ้น 31 ตัวอย่าง เพื่อทดสอบหาสิ่งปนเปื้อนใน  อาหารกลุ่มสารกันบูดและสีผสมอาหารที่เป็นวัตถุ   เจือปนอาหาร นอกจากนั้นยังมีการตรวจหาสารพิษ  จากเชื้อรา-อะฟลาท็อกซินในเส้นก๋วยเตี๋ยวประเภทเส้นแห้ง และการทดสอบทางจุลินทรีย์ในเส้นก๋วยเตี๋ยว  ประเภทเส้นสดเพื่อหาการปนเปื้อนของจุลินทรีย์รวม เชื้อแบคทีเรีย อี.โคไล และเชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลล่า   ผลการทดสอบเส้นก๋วยเตี๋ยวทั้ง 5 ชนิดพบว่า เส้นใหญ่  ข่าวดี – พบสารกันบูดในปริมาณที่น้อยลงกว่า  ที่ศูนย์วิทยาศาสตรการแพทย์อุบลราชธานีเคย  แถลงข่าวเมื่อปี พ.ศ. 2550 กว่าหกเท่าตัว คือจาก ประมาณ 3,900 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมเหลือไม่เกิน 600 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม  ข่าวร้าย – ไม่มีตัวอย่างเส้นก๋วยเตี๋ยวประเภท  เส้นใหญ่ใดที่ไม่พบการปนเปื้อน โดยทุกตัวอย่างมี อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ว่าจะเป็นทางจุลินทรีย์หรือทางเคมี ดังมีรายละเอียดดังนี้ - พบสารกันบูดประเภทกรดเบนโซอิค จำนวน 7 ตัวอย่างจากตัวอย่างทดสอบทั้งสิ้น 8 ตัวอย่าง โดย มีอัตราเฉลี่ยของกรดเบนโซอิคที่พบเท่ากับ 570.2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม หรือเท่ากับประมาณ 125 - 175  มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภคของก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่  1 ชาม (ประมาณ 150 - 250 กรัม) จำนวนกรด  เบนโซอิคที่พบสูงสุด 3 อันดับแรกคือ (1) ตัวอย่างที่เก็บจากตลาดคลองเตยกรุงเทพฯ มีปริมาณกรดเบนโซอิคที่พบเท่ากับ 836.3 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เทียบเป็นปริมาณต่อหน่วยบริโภคเท่ากับ 209 มิลลิกรัม/250 กรัม หรือเท่ากับ 2 ใน 3 ของปริมาณที่แนะให้บริโภคได้สูงสุดต่อวันในคน น้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม [ปริมาณที่แนะนำให้บริโภค ได้สูงสุดต่อวัน (ADI) เท่ากับ 0-5 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัวกิโลกรัม หรือ ไม่เกิน 300 มิลลิกรัม ในคนที่มีน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม] (2) ก๋วยเตี๋ยวเส้นสดตราเส้นทิพย์ที่เก็บจากตลาดบรบือ จังหวัดมหาสารคาม มีปริมาณกรดเบนโซอิคที่พบเท่ากับ 598 มิลลิกรัม/กิโลกรัมเทียบเป็นปริมาณต่อหน่วยบริโภคเท่ากับ148 มิลลิกรัม/250 กรัม (3) ตัวอย่างที่เก็บจากร้านพรพัฒนา จังหวัดสมุทรสงคราม มีปริมาณกรดเบนโซอิคที่พบเท่ากับ596.2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เทียบเป็นปริมาณต่อหน่วยบริโภคเท่ากับ 146 มิลลิกรัม/250 กรัม- พบสารกันบูดประเภทกรดซอร์บิคจำนวน2 ตัวอย่างจาก 8 ตัวอย่างที่ทำการทดสอบ โดยมีอัตราเฉลี่ยที่พบเท่ากับ 428.8 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ตัวอย่างที่พบกรดซอร์บิคทั้ง 2 ตัวอย่าง ได้แก่เส้นใหญ่สดของโรงก๋วยเตี๋ยวไทยเจริญ เก็บตัวอย่างจากตลาดพลาซ่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีปริมาณกรดซอร์บิคที่พบเท่ากับ 505.6 มิลลิกรัม/กิโลกรัมและเส้นใหญ่แสงชัยตราพระอาทิตย์ เก็บตัวอย่างจากตลาดสดเทศบาล 2 จังหวัดขอนแก่น มีปริมาณกรดซอร์บิคที่พบเท่ากับ 352 มิลลิกรัม/กิโลกรัม- พบการปนเปื้อนของสารพิษจากเชื้อรา – อะฟลาท็อกซิน จำนวน 1 ตัวอย่างจาก 8 ตัวอย่างที่ทำการทดสอบ โดยพบที่ตัวอย่างจากตลาดคลองเตยกรุงเทพฯ ที่ปริมาณ 0.1 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งถือว่าน้อยมากและไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกาย- พบการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ในการทดสอบค่าจุลินทรีย์รวม (Total plate count) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ความสะอาดของเส้น จำนวน 6 ตัวอย่างจาก 8 ตัวอย่างที่ทำการทดสอบ แต่มีเพียง 1 ตัวอย่างจาก 6 ตัวอย่างที่พบเท่านั้นที่มีค่าจุลินทรีย์รวมสูงเกินกว่าที่ เกณฑ์คุณภาพทางจุลชีววิทยาของอาหารและภาชนะ และผู้สัมผัสอาหารของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กำหนดไว้ที่ 100,000 โคโลนี/กรัม โดยพบที่ตัวอย่าง จากร้านพรพัฒนา จังหวัดสมุทรสงคราม พบค่าจุลินทรีย์รวมที่ 200,000 โคโลนี/กรัม หมายเหตุ- เส้นก๋วยเตี๋ยวประเภทเส้นใหญ่ตราพระอาทิตย์ที่เก็บตัวอย่าง  จากตลาดสดเทศบาล 2 จังหวัดขอนแก่นพบสารกันบูดทั้ง  กรดเบนโซอิคและกรดซอร์บิค ในผลิตภัณฑ์เดียวโดยปริมาณ  รวมของกรดทั้ง 2 ชนิดเท่ากับ 942 มิลลิกรัม/กิโลกรัม หรือ เกือบจะเท่ากับที่เกณฑ์มาตรฐานระหว่างประเทศหรือ CODEX กำหนดไว้ที่ 1,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม - เส้นก๋วยเตี๋ยวจากร้านพรพัฒนา จังหวัดสมุทรสงครามไม่ผ่าน เกณฑ์มาตรฐานวัตถุเจือปนอาหารด้านสารกันบูด (กรดเบนโซอิค) และไม่ผ่านเกณฑ์คุณภาพทางจุลชีววิทยาฯ ของกรมวิทยาสตร์การแพทย์ - เส้นก๋วยเตี๋ยวกว่าครึ่งไม่ทราบผู้ผลิตและทั้งหมดไม่ระบุวันหมดอายุ  อะฟลาท็อกซิน จำนวน 1 ตัวอย่างจาก 8 ตัวอย่าง  ที่ทำการทดสอบ โดยพบที่ตัวอย่างจากตลาดคลองเตย  กรุงเทพฯ ที่ปริมาณ 0.1 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่ง  ถือว่าน้อยมากและไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกาย - พบการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ในการทดสอบ ค่าจุลินทรีย์รวม (Total plate count) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ ความสะอาดของเส้น จำนวน 6 ตัวอย่างจาก 8 ตัวอย่างที่ทำการทดสอบ แต่มีเพียง 1 ตัวอย่างจาก 6 ตัวอย่างที่พบเท่านั้นที่มีค่าจุลินทรีย์รวมสูงเกินกว่าที่ เกณฑ์คุณภาพทางจุลชีววิทยาของอาหารและภาชนะ และผู้สัมผัสอาหารของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กำหนดไว้ที่ 100,000 โคโลนี/กรัม โดยพบที่ตัวอย่าง จากร้านพรพัฒนา จังหวัดสมุทรสงคราม พบค่า  จุลินทรีย์รวมที่ 200,000 โคโลนี/กรัม   ฉลาดซื้อแนะเส้นก๋วยเตี๋ยวที่บริโภคนอกบ้าน  เราไม่สามารถรู้ได้ว่าผลิตจากที่ไหน และมี  กระบวนการผลิตอย่างไรบ้าง ดังนั้นหาก  ต้องการบริโภคเส้นใหญ่นอกบ้านไม่ว่าจะเป็น  ผัดซีอิ้ว ก๋วยเตี๋ยวหลอด หรือก๋วยเตี๋ยวน้ำ  เส้นใหญ่ไม่ควรรับประทานเกิน 1 ชามต่อวัน   และไม่ควรบริโภคติดต่อกันทุกวัน เนื่องจาก  จะเกิดการสะสมและทำให้ประสิทธิภาพการ ทำงานของตับและไตลดลง และอาจเป็น  สาเหตุให้เกิดโรคไตได้ ค่ามาตรฐานเส้นก๋วยเตี๋ยว- ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 281 เรื่องวัตถุเจือปนอาหาร จะไม่ระบุให้ผู้ประกอบการใช้กรดเบนโซอิคและกรดซอร์บิคใน  เส้นก๋วยเตี๋ยวได้ - ขณะที่มาตรฐานสากล (CODEX) ระบุให้ใช้ได้ที่ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมสำหรับกรดเบนโซอิค และไม่ระบุว่าให้ใช้ได้หรือไม่สำหรับกรดซอร์บิค - ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 98 เรื่องมาตรฐานอาหารที่มีสารปนเปื้อน อนุญาตให้มีสารอะฟลาทอกซินปนเปื้อนในอาหารได้ไม่เกิน 20 ไมโครกรัม ต่ออาหาร 1 กิโลกรัม - ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 281 เรื่องวัตถุเจือปนอาหาร ไม่อนุญาตให้ใส่สีผสมอาหารในเส้นบะหมี่ - เกณฑ์กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กำหนดเรื่องจุลินทรีย์ในอาหารไว้ดังนี้ - Total plate count หรือ จุลินทรีย์ทั้งหมด ไม่เกิน 1 x 106 cfu/g - E. coli อี.โคไล

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point