ฉบับที่ 271 เจอผลิตภัณฑ์เบเกอรี่แบรนด์ดังขึ้นรา

        ช่วงนี้ในโลกออนไลน์มีผู้บริโภคหลายคน พบเจอสิ่งแปลกปลอมในอาหารที่ซื้อมาบริโภคอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นอาหารในร้านสะดวกซื้อหรือแม้แต่ในร้านอาหารทั่วไป ซึ่งเรื่องราวทำนองนี้ทางมูลนิธิฯ ก็ได้รับเรื่องร้องเรียนมาอยู่ตลอดเช่นเดียวกัน ดังนั้นเสียงผู้บริโภคที่ฉลาดซื้อจะมาเล่าให้ฟังในวันนี้ เป็นเรื่องของคุณวีผู้เสียหายที่ได้มาร้องเรียนกับทางมูลนิธิฯ โดยเขาได้เล่าให้ฟังว่า         ได้ซื้อขนมเค้กแบรนด์ดังเจ้าหนึ่งมา 1 กล่อง (ภายในกล่องจะแยกขนมเป็นชิ้นๆ ในบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กจำนวน 10 ชิ้น) จากร้านขายของชำแถวบ้าน เป็นขนมแบรนด์โปรดของคุณวีเลยแหละเพราะก็กินตั้งแต่เด็กจนโต หลังจากซื้อมาก็ได้รับประทานไปตามปกติแถมขนมก็ยังอร่อยเหมือนเดิมเลย แต่ด้วยความขนม 1 กล่องมีหลายชิ้น เลยกินไปเรื่อยๆ ไม่ได้กินครั้งเดียวจนหมด ทีนี้พอเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง เขากลับมากินอีกครั้งฉีกซองออกมาก็เจอราสีขาวปนเขียวๆ ขึ้นอยู่บนขนม อ้าว! มันหมดอายุแล้วหรอ!(คุณวีคิด) เมื่อดูฉลากวันหมดอายุก็พบว่ายังไม่หมดนะ จึงทำให้เขาเป็นกังวลและเลือกที่จะไม่บริโภคต่อ เขาได้นำผลิตภัณฑ์มาร้องเรียนและเปิดให้ทางมูลนิธิฯ ดู ซึ่งพบว่าขนมเค้กดังกล่าวขึ้นราอีก 4 ซอง ทีนี้คุณวีเลยเป็นกังวลเกรงว่าผู้บริโภครายอื่นจะได้รับปัญหาเช่นเดียวกัน จึงขอความช่วยเหลือว่าควรจะทำอย่างไรดี? แนวทางการแก้ไขปัญหา         ทางมูลนิธิฯ หลังจากได้รับเรื่องจากคุณวี ได้มีการแจ้งไปทางบริษัทดังกล่าวที่ผลิตสินค้าและได้นัดหมายเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยกรณีสินค้ามีลักษณะขึ้นราก่อนวันหมดอายุ ซึ่งทางผู้จัดการบริษัทดังกล่าวก็ยินดีที่จะชดเชยให้เป็นเงินจำนวน 5,000 บาท พร้อมกับนำกระเช้าผลไม้และขนมเค้กดังกล่าว จำนวน 2 ลัง มามอบให้ เพื่อเป็นการเยียวยาผู้เสียหาย รวมถึงทำหนังสือขอโทษและแจ้งผลตรวจขนมดังกล่าวจากห้องแล็ปให้แก่ผู้เสียหายทราบด้วย ถือว่าทางบริษัทมีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค         ทางศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มีข้อแนะนำสำหรับผู้บริโภคที่เจอเหตุการณ์ ดังกล่าวให้แก้ไขปัญหา ดังนี้         1. ถ่ายรูปและเก็บตัวอย่างสินค้าไว้เป็นหลักฐาน เช่น ใบเสร็จจากร้านค้า         2. ไปพบแพทย์ตรวจร่างกาย และขอใบรับรองแพทย์ พร้อมเก็บใบเสร็จรับเงินค่ารักษาพยาบาลไว้เป็นหลักฐาน         3. นำหลักฐานแจ้งความที่สถานีตำรวจในพื้นที่         4. โทรแจ้งศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (เบอร์โทรระบุไว้ที่ภาชนะบรรจุ) แจ้งความประสงค์ที่จะต้องการให้บริษัทแก้ไขปัญหา พร้อมชดเชยเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างไร         5. ทำหนังสือยื่นข้อเสนอกับบริษัท เขียนสรุปปัญหาที่พบ ส่งถึงประธานกรรมการบริหารหรือตำแหน่งอื่นที่เทียบเท่า ระบุให้ชัดเจนถึงความเสียหายของผู้บริโภค เช่น ขอเปลี่ยนสินค้า ขอเงินคืน ชดเชยค่ารักษาพยาบาล จ่ายค่าเสียเวลา ค่าขาดประโยชน์ และค่าใช้จ่ายในการติดต่อกับผู้ประกอบการ ให้ทำหนังสือชี้แจงเหตุของสิ่งผิดปกติและขอโทษต่อผู้เสียหายและสาธารณะ เป็นต้น         กรณีที่ไม่ได้จะนำสินค้าเก็บไว้เพื่อร้องเรียน หากผู้บริโภคเจอ “เชื้อรา” ปนเปื้อนในอาหาร ทางฉลาดซื้อไม่แนะนำให้รับประทานต่อให้ทิ้งไปเลย เนื่องจากตัวเชื้อราอาจมีการแพร่เชื้อไปโดยที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หากรับประทานอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 252 สำรวจฉลากผลิตภัณฑ์วิปปิ้งครีม(ครีมแท้)

        ฉบับนี้ขอชวนผู้บริโภคสายเบเกอรี่ ทั้งคนชอบกินและคนชอบทำ มาสำรวจฉลากวิปปิ้งครีมกัน         ‘วิปปิ้งครีม’เป็นครีมจากน้ำนมหรือไขมันพืช เมื่อตีให้ขึ้นฟูจนครีมตั้งยอดได้ก็จะเป็น ’วิปครีม’           เมื่อก่อนเรามักลิ้มรสชาติวิปครีมที่หอมมัน นุ่มละมุนลิ้น บนหน้าเค้กหรือเป็นส่วนประกอบในขนมเบเกอรี่ต่างๆ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะเป็นไอศกรีม น้ำปั่น น้ำหวาน เครื่องดื่มร้อน-เย็น ก็ใส่วิปครีมเป็นหน้าท็อปปิ้งเพิ่มความอร่อยได้หลากหลายเมนู และกำลังนิยมกันมาก หากบริโภคบ่อยๆ เสี่ยงไขมันเกินได้         ทั้งนี้ นมสด 100% จะมีไขมัน 3.3% ในตำราเบเกอรี่ระบุว่า วิปปิ้งครีมแท้จะมีไขมันเนย 30-36%         เพื่อเป็นการเฝ้าระวังเรื่องความปลอดภัย นิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และโครงการสร้างเสริมความเข้มแข็งระบบเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ได้สุ่มเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์วิปปิ้งครีม ทั้งหมด 12 ตัวอย่าง เลือกเฉพาะที่ระบุว่าเป็นครีมแท้ชนิดวิปปิ้งครีม จากร้านค้าและห้างค้าปลีก มาสำรวจฉลากเพื่อดูเปอร์เซ็นต์ของครีมแท้จากนม ปริมาณพลังงานและไขมันทั้งหมด รวมถึงความคุ้มค่า เพื่อประกอบการตัดสินใจของผู้บริโภค           ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 208) พ.ศ.2543 เรื่อง ครีม ระบุให้ครีมเป็นอาหารที่กําหนดคุณภาพหรือมาตรฐาน “ครีมแท้” หมายความว่า ผลิตภัณฑ์ที่แยกได้จากนม โดยกรรมวิธีต่าง ๆ และมีมันเนยเป็นส่วนประกอบที่สําคัญ สำหรับมาตรฐานของครีมแท้ชนิดวิปปิ้งครีม คือต้องทำจากนมและมีมันเนยไม่น้อยกว่าร้อยละ 28 ของน้ำหนัก ผลสำรวจฉลากผลิตภัณฑ์วิปปิ้งครีม(ครีมแท้)-จากทั้งหมด 12 ตัวอย่าง พบว่ามี 4 ตัวอย่าง ที่ระบุว่าเป็นครีมแท้จากนมโค 100 % ได้แก่ ยี่ห้อแมกโนเลีย, โฟร์โมส, เมจิ และเอ็มมิลค์-ค่าเฉลี่ยของเปอร์เซ็นต์ครีมแท้ในตัวอย่างวิปปิ้งครีมทั้งหมด คือ 95.44 %  - มี 3 ตัวอย่างที่มีเปอร์เซ็นต์ครีมแท้น้อยกว่าค่าเฉลี่ย คือ ยี่ห้อเวสท์โกลด์ (86%), พอลส์(81.76%) และเดบิค(81%)-เมื่อเปรียบเทียบราคาต่อปริมาณ 1 มิลลิลิตร พบว่า ยี่ห้อเพรสซิเด้นท์ แพงสุด คือ 0.75 บาท  ส่วนยี่ห้อเอโร่ ถูกสุดคือ 0.17 บาท-มี 6 ตัวอย่าง ที่แสดงฉลากโภชนาการระบุปริมาณพลังงานและไขมันทั้งหมดในวิปปิ้งครีม 100 มิลลิลิตร ได้แก่ ยี่ห้อแองเคอร์, เอ็มบอร์ก, พอลส์, เพรสซิเด้นท์, เดบิค และเวสท์โกลด์ พบว่ามีปริมาณพลังงานเฉลี่ยอยู่ที่ 335.9 กิโลแคลลอรี และปริมาณไขมันทั้งหมดเฉลี่ยอยู่ที่ 35.3 กรัม-ยี่ห้อเอ็มบอร์กและพอลส์ มีพลังงานมากที่สุดคือ 337 กิโลแคลลอรี่ต่อ 100 มิลลิลิตร ส่วนยี่ห้อเวสท์โกลด์ มีพลังงานน้อยที่สุดคือ 334.6 กิโลแคลลอรี่ต่อ 100 มิลลิลิตร  -ยี่ห้อแองเคอร์ และเวสท์โกลด์ มีไขมันทั้งหมดมากที่สุดคือ 35.5 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร ส่วนยี่ห้อเดบิค มีไขมันทั้งหมดน้อยที่สุดคือ 35 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร   ข้อสังเกต-ทั้ง 4 ตัวอย่างที่มีครีมแท้จากนมโค 100 % เป็นวิปปิ้งครีมพาสเจอร์ไรส์ ที่ผลิตในประเทศไทย และไม่มีฉลากโภชนาการที่ระบุปริมาณพลังงานและไขมันทั้งหมดไว้-มี 6 ตัวอย่างที่นำเข้าจากต่างประเทศ คิดเป็น 50% ของตัวอย่างที่นำมาสำรวจ-ยี่ห้อเพรสซิเด้นท์ ที่มีราคาต่อหน่วยแพงสุด มีครีมแท้ 99.6% นำเข้าจากฝรั่งเศส ส่วนยี่ห้อเอโร่ ที่ราคาต่อหน่วยถูกสุด มีครีมแท้ 99.97% ผลิตในประเทศไทย-ยี่ห้อเวสท์โกลด์ มีพลังงานน้อยที่สุด แต่มีไขมันทั้งหมดมากที่สุด-ปริมาณพลังงานเฉลี่ยของวิปปิ้งครีม 100 มิลลิลิตร อยู่ที่ 335.9 กิโลแคลอรี ถือว่าพอๆ กับพลังงานของอาหารจานเดียว 1 จานที่ปริมาณ 300 – 600 กิโลแคลอรี และคิดเป็นประมาณ 16.8% ของปริมาณที่เหมาะสมต่อร่างกายใน 1 วัน (2,000 กิโลแคลอรี่) นี่คือวิปปิ้งครีมจืดๆ แต่ถ้านำไปตีเป็นวิปครีมแล้วใส่ส่วนผสมอื่นๆ เพิ่ม เช่น น้ำตาล คาราเมล หรือช็อกโกแลต ก็จะได้พลังงานบวกเพิ่มเข้าไปอีก-ค่าเฉลี่ยของปริมาณไขมันทั้งหมดในวิปปิ้งครีม 100 มิลลิลิตร อยู่ที่ 35.3 กรัม คิดเป็นประมาณ 54.3% ของปริมาณที่เหมาะสมต่อร่างกายใน 1 วัน (< 65 กรัม) ซึ่งค่อนข้างสูงทีเดียว- ในฉลากระบุว่ามีไขมันทรานส์ด้วย ไม่ต้องตกใจ เพราะอยู่ในน้ำนมธรรมชาติ และมีปริมาณน้อยมาก (0.94 -1.7 กรัม) ฉลาดซื้อแนะคนชอบกิน - ควรกินวิปปิ้งครีมแท้ โดยสังเกตว่าวิปครีมที่ทำจากวิปปิ้งครีมแท้ จะสีออกเหลือง ไม่ขาวจั๊ว หอมมันกลิ่นนมสดเข้มข้น กินแล้วละลายในปาก ไม่มีคราบมันติดปาก อย่างไรก็ตามควรบริโภคแต่น้อย  เพื่อลดเสี่ยงภาวะไขมันเกินคนชอบทำ - ก่อนซื้อวิปปิ้งครีมควรดูฉลากให้ชัดเจน เพราะครีมที่ใช้ทำขนมเบเกอรี่ยังมีอีกหลายชนิด เช่น ฮาลฟ์ครีม(ไขมัน 10-18%) คุกกิ้งครีม (ไขมัน 18-56%) เฮฟวี่ครีม(ไขมัน 36-38%)และดับเบิ้ลครีม(ไขมัน 48-60%) หากจะทำวิปครีม แล้วซื้อครีมที่มีไขมันน้อยกว่า 35% มา อาจตียากหรือตีไม่ขึ้นเลยก็ได้         -จากตัวอย่างมีหมายเหตุบนฉลากว่า “เปิดแล้วใช้ให้หมดภายใน...” น้อยที่สุด  1 วัน มากที่สุด 4 วัน เพราะตามมาตรฐานครีมแท้จะต้องไม่มีวัตถุกันเสีย เมื่อเปิดแล้วจะเก็บได้ไม่นาน จึงควรดูวันหมดอายุให้ดีๆ ซื้อมาเท่าที่จะใช้ ไม่ควรซื้อตุน         -ถ้าใช้ไม่หมด ให้แรปปิดกล่องให้สนิท หรือเทส่วนผสมใส่ภาชนะสะอาดและเขียนวันหมดอายุติดไว้ด้วย เก็บในตู้เย็นช่องธรรมดา อย่าใส่ช่องแช่แข็ง ครีมจะแข็งแล้วตีไม่ขึ้นฟู         -เมื่อหมดอายุแล้ว ต้องทิ้งไป แม้บางทีรสชาติและลักษณะของวิปปิ้งครีมยังเหมือนเดิม ก็อย่าเสียดาย เพราะอาจมีเชื้อราที่มองไม่เห็นเจือปนอยู่ได้  ข้อมูลอ้างอิงhttps://my-best.in.th/50276https://krua.co/cooking_post/whipping-cream/https://www.dip.go.th/files/Cluster/20.pdfhttp://food.fda.moph.go.th/law/data/announ_moph/P208.pdf

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 228 เกิดปัญหากับขนมของร้านเบเกอรีทำอย่างไรดี

        เบเกอรี (bakery) หรือขนมอบ เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมมาก ปัจจุบันมีร้านหรือแบรนด์ (Brand) เบเกอรี่ดังๆ จำนวนมากอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ทำให้เกิดการแข่งขันกันสูง ทั้งเรื่องมาตรฐานการผลิตและการบริการ รสชาติ อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีมาตรฐานสูงเพียงใด แต่ความผิดพลาดยังอาจเกิดขึ้นได้         ภูผา เป็นลูกค้าประจำของร้านเบเกอรีสัญชาติสิงคโปร์มาเป็นเวลาหลายปี  ด้วยมั่นใจในแบรนด์และมาตรฐานการผลิตระดับสากล เขาได้ซื้อขนมปังจากร้านนี้ที่สาขา เซ็นทรัลปิ่นเกล้า เป็นประจำ วันหนึ่งเขาเลือกซื้อขนมอบสามชิ้น ได้แก่ Coconut Floss, Fire Floss(ขนมปังไก่หยองน้ำพริกเผา) และ Mini Smart Cheese แต่ไม่ได้รับประทานทันที เก็บใส่ตู้เย็นไว้เพื่อเป็นอาหารเช้าวันถัดไป         วันรุ่งขึ้นคุณภูผานำขนมปังไก่หยองน้ำพริกเผามากินกับกาแฟ เมื่อกินได้ประมาณครึ่งอันขณะกัดขนมปังเข้าปากและเคี้ยวอยู่ก็รู้สึกแปลกๆ ทำไมในขนมปังมีอะไรแข็งๆ จึงคายออกมา พบว่าเศษแข็งๆ ที่เคี้ยวนั้นเป็นเศษพลาสติกความยาวประมาณ 3 เซนติเมตร หนา 0.2 มิลลิเมตร ซ้ำมีลักษณะแหลมคมด้วย เขาจึงมีความกังวลว่าถ้าเขาเผลอกลืนเศษพลาสติกลงคอไปจะเกิดอะไรขึ้น และถ้าคนที่กินขนมปังมีเศษพลาสติกนี้เป็นเด็กหรือคนแก่จะเกิดอะไรขึ้น         คุณภูผาจึงไม่อยากปล่อยเหตุการณ์ผ่านไป เขาต้องการให้ผู้ผลิตรับผิดชอบกับเหตุการณ์ครั้งนี้จึงได้แจ้งเรื่องดังกล่าวไปยังอินบ็อกซ์เฟซบุ๊คของร้านขนมปัง แต่เรื่องก็เงียบหายไป ไม่มีความคืบหน้า จึงมาปรึกษามูลนิธิเพื่อผู้บริโภคว่า กรณีเช่นนี้สามารถทำอะไรได้บ้าง แนวทางการแก้ไขปัญหา         ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค ได้ให้คำแนะนำแก่คุณภูผาว่า การพบเศษพลาสติกปนเปื้อนในขนมปัง เป็นการกระทำความผิดเข้าข่ายผิด พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 25 (1) เรื่องอาหารไม่บริสุทธิ์ โดยมีบทลงโทษอยู่ในมาตรา 58 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ เบื้องต้นจึงแนะนำให้ผู้ร้องแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ เพื่อเป็นหลักฐานเสียก่อน         จากนั้นศูนย์ฯ ได้ช่วยดำเนินการทำหนังสือถึงเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และผู้บริหารห้างเซ็นทรัลเพื่อขอให้ตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ขนมปังร้านดังกล่าว และมีหนังสือถึงบริษัทเจ้าของแบรนด์เบเกอรีดังกล่าวเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภค           จากการเจรจาไกล่เกลี่ย ตัวแทนบริษัทผู้ผลิตได้กล่าวขอโทษผู้ร้องคือคุณภูผา ที่ดำเนินเรื่องให้ล่าช้า และชี้แจงว่าหลังจากทราบเรื่องทางบริษัทได้ตรวจสอบและพบว่าเศษพลาสติกที่ผู้ร้องพบนั้น มาจากฝากล่องพลาสติกใส่ทอปปิ้งซึ่งแตกออกมาและหล่นลงไปในขนมปังระหว่างกระบวนการผลิต ซึ่งพนักงานไม่เห็น ดังนั้นปัจจุบันบริษัทได้เปลี่ยนกล่องใส่ทอปปิ้งทั้งหมด และมีนโยบายให้เปลี่ยนกล่องใส่ทอปปิ้งทุก 3 เดือน หรือนานสุด 6 เดือน ซึ่งแต่เดิมบริษัทจะเปลี่ยนเมื่อกล่องหรือฝากล่องชำรุดเท่านั้นไม่มีระยะเวลาแน่นอน และบริษัทได้จัดทำใบตรวจสอบการทำงาน (Checklist) เพิ่มเติม เพื่อเป็นไกด์ไลน์ให้กับพนักงาน         คุณภูผาพอใจกับแนวทางการแก้ไขปัญหาของบริษัทฯ และหวังว่าบริษัทฯ จะมีการปฏิบัติที่ดีในการผลิตไม่ทำให้เกิดปัญหาอีกในอนาคต สำหรับการเยียวยานั้น ทางบริษัทยินดีมอบเค้กขนาด 2 ปอนด์ จำนวน 1 ก้อนเพื่อชดเชยให้ ซึ่งเจตนาของคุณภูผาเดิมก็เพียงแค่อยากให้เกิดการแก้ไขปัญหาเท่านั้น จึงรับการเยียวยานี้ไม่ติดใจอะไรอีกและยินดีเป็นลูกค้ากันต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 188 60 Plus+ “ให้ทุกคนเห็นว่าคนพิการทำงานได้ ทุกคนมีจุดแข็ง จุดอ่อนที่มาเติมเต็มกันและกัน”

ริมถนนราชวิถี อาณาบริเวณติดกับบ้านราชวิถี เป็นที่ตั้งของร้าน 60 Plus+ Bakery & Cafe โครงการดีๆ ที่เปิดโอกาสให้คนอีกกลุ่มหนึ่งในสังคมได้ใช้สิทธิในสังคมอย่างสมบูรณ์แบบ“โครงการนี้เป็นโครงการเฉลิมฉลองครบ 60 พรรษาของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เราจึงอยากให้เป็น Living Present คือของขวัญที่มีชีวิต ซึ่งประชาชนก็ถวายของขวัญให้พระองค์ท่านมากมายแต่ให้ครั้งเดียวมันก็หมดไป แต่การที่น้องๆ อยู่ตรงนี้ทุกวันมันคือ การถวายพระพรท่านในทุกๆ วันว่าน้องๆ ทุกคนทำได้ ซึ่งร้านนี้เกิดจากความร่วมมือของศูนย์พัฒนาและอบรมคนพิการแห่งเอเชียและแปซิฟิก ( APCD) และบริษัทไทยยามาซากิจำกัด จากประเทศญี่ปุ่น และผู้ค้าอื่นๆ จุดเริ่มต้นคือการที่เราทำ Showcase ให้ทุกคนเห็นว่าคนพิการทำงานได้ มันเป็นรูปแบบนามธรรมที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก เวลาที่เรานึกถึงคนพิการส่วนใหญ่แล้วเขาก็จะโดนจ้างจากบริษัทให้ทำงานเป็นพวก Call Center อะไรพวกนั้นแต่ในกรณีของร้านนี้น้องๆ จะได้พัฒนาเต็มศักยภาพจริงๆ เงินเดือนก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพนักงานยามาซากิคนอื่นๆ ใช้เรทเดียวกัน ที่สำคัญคือน้องๆ จะสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองเพื่อที่เขาจะได้กลับไปอยู่ในสังคมที่พวกเขาคุ้นเคยอยู่แล้วได้ด้วย”น้องณูณู น้องพนักงานท่านหนึ่งเล่าให้ฟังด้วยความภาคภูมิใจ จากนั้นส่งไม้ให้คุณต้อม ดวงนฤมล ดอกรัก ผู้จัดการข้อมูลและความรู้ มูลนิธิศูนย์พัฒนาและฝึกอบรมคนพิการแห่งเอเชียและแปซิฟิก(ศพอ.) ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาเล่าต่อ“น้องๆ จะอยู่ในเครือข่ายของเราขึ้นอยู่กับว่าจะมาสมัครหรือเปล่า อย่างรุ่นแรกจำเป็นต้องใช้เครือข่ายเพราะว่าเป็นปีแรกยังไม่มีใครรู้จักร้านเรา เราต้องรับสมัครก่อนที่ร้านจะเปิดจริงๆ 9 เดือน แล้วไม่มีใครรู้จักร้านเรา ที่ตรงนี้เดิมเป็นที่รกๆ เก่าๆ แต่เราเปลี่ยนมันให้เป็นร้านเบเกอรี่และทำพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นเทอเรซคาเฟ่”ตอนเริ่มต้นฝึกกันอย่างไรบ้างค่อนข้างลองผิดลองถูกเพราะว่าเราไม่รู้เลยโดยส่วนใหญ่แล้ว APCD จะทำอบรมด้านความพิการอย่างเดียวแต่นี่ถือเป็นการฝึกครั้งแรก ซึ่งมีเวลาเตรียมตัวแค่ 3 อาทิตย์เท่านั้น คือเราได้รายชื่อมาแล้วว่าเขาพิการอะไรบ้างแล้วมานั่งคิดประยุกต์จากที่พวกเราเชี่ยวชาญเฉพาะทางกันอยู่แล้ว อย่างตัวเองเคยสอนเด็กพิการ 9 ประเภทตามหลักกระทรวงศึกษาธิการก็เลยรู้ Know how อย่างไรถึงจะสอนพวกเขาได้ ทำอย่างไรเด็กออทิสติกจะเข้าใจ ทำอย่างไรให้เด็กออทิสติก คนหูหนวกและคนที่พิการทางด้านร่างกายเขาอยู่ร่วมกันได้ คือคนพิการทางด้านร่างกายนั้น ถ้าไม่นับข้อจำกัดด้านร่างกายเขาก็คือคนปกติดีๆ นี่เอง คนหูหนวกก็เหมือนกันถ้าไม่นับเรื่องที่เขาไม่ได้ยินเขาก็เหมือนคนปกติ แต่เด็กออทิสติกถือเป็นปัญหาในช่วงนั้นเลย เพราะเราจะพูดกับเขาไม่รู้เรื่องและในปีแรกนั้นมีน้องคนหนึ่งพิการค่อนข้างรุนแรงเลย คือเขียนหนังสือไม่ได้ อ่านก็ไม่ค่อยออกด้วย แต่ว่าน้องพัฒนาจากการที่เราเคยต้องพูดปากเปียกปากแฉะทุกวันว่า ต้องทำอะไรอย่างไรบ้าง แต่ตอนนี้ลองมองตาของน้อง แววตามีแต่ความสุขทุกวันและน้องก็น่ารักเราจำวันแรกของทุกๆ คนได้เลย ทุกคนนั่งเฉยๆ เป็นต้นไม้ ไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น เราก็คิดเหมือนกันว่าจะไปรอดไหมเพราะผู้พิการทางการได้ยินเขาก็จะมีสังคมของเขา แต่จะให้ช่วยมาดูแลน้องๆ ออทิสติกนั้นมันก็ยาก ก็ได้พี่ๆ ที่พิการทางร่างกายมาเป็นตัวเชื่อมโยงเหมือนเป็นพี่เลี้ยงให้เด็กออทิสติก และผู้พิการทางการได้ยินก็เรียกได้ว่าเป็นมือขวาของผู้พิการทางด้านร่างกายเพราะว่าเวลาพี่ๆ ที่พิการด้านร่างกายเดินช้ากว่า แต่ว่าเตา(เตาอบขนม) มันพร้อมแล้วผู้พิการทางการได้ยินเขาจะจมูกไวมาก ก็ช่วยๆ กันทำงาน เพราะการที่เราทำออเดอร์เสร็จนั้นมันคือข้อบ่งชี้ว่าเราทำได้จริง และช่วงปีแรกเราก็มีปัญหาที่ว่าน้องๆ ที่เป็นเด็กพิเศษ ไม่สามารถนั่งผูกผ้ากันเปื้อนได้ คือเขาไม่สามารถที่จะผูกด้านหลังโดยมองไม่เห็นได้ จึงคิดว่าจะทำอย่างไรดี รุ่น 2 เลยมีการสังเกตการณ์อยู่ 1 เดือนก่อนถ้ามีแววก็จะไปสู่ปฐมนิเทศของการอบรมแต่ถ้าไม่มีแววก็ต้องกลับบ้าน แต่เรามั่นใจว่าน้องๆ ทุกคนตรงนี้พอได้เป็นรุ่น 2 มันมีความเคยชินเพราะตอนรุ่น 1 ยังไม่มีร้านให้เขาฝึกงานเพราะร้านเสร็จตอนเดือน ส.ค. แต่เขามาฝึกกันตั้งแต่เดือน พ.ค. ซึ่งต้องฝึกกันถึง 6 เดือนรุ่นแรกมีกี่คน คัดมาจากจำนวนเท่าไรคัดมาจาก 14 คน ได้มาทำงานเป็นพนักงานจริงๆ 10 คน แต่เราเป็นสาขาศูนย์ฝึกไม่ใช่สาขาออฟฟิศ เพราะถ้าที่นี่เป็นสาขาออฟฟิศหมายความว่าเราจะสร้างความเข้มแข็งของผู้พิการได้จำนวนหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าเราเป็นสาขาศูนย์ฝึกเราจะหมุนเวียนทุกปีหมายถึง เราจะสามารถสร้างความเข้มแข็งและศักยภาพให้น้องๆ พิการได้เรื่อยๆ จำนวนจะเพิ่มขึ้นทุกปี ตอนนี้เรามีกันอยู่ในร้าน 22 คนเป็นรุ่นแรก 9 คนที่แต่เดิมมี 10 คนหายไป 1 คนเพราะถูกส่งไปอยู่สาขาอื่นเรียบร้อย เขาเป็นผู้พิการทางด้านร่างกายเคยทำงานอยู่การรถไฟแห่งประเทศไทยแล้วถูกรถไฟทับขาขาดต้องใส่ขาเทียม เดี๋ยวก็จะมีคนต่อๆ ไปส่งไปอีกต้องดูเป็นคนๆ ไปใครที่ไปได้เราก็จะส่ง แต่ว่าน้องๆ รุ่นที่ 2 นี้ก็กำลังจะจบการฝึกงานสิ้นเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าผลการฝึกงานจะเป็นอย่างไร เพราะตัวเราเองถูกส่งมาเพื่อคอยจับตาดูน้องๆ ทุกคนเพราะเป็นผู้ฝึกอบรมมาตั้งแต่รุ่นสังเกตการณ์ สังเกตการณ์เหมือนกับให้เขาได้เตรียมตัว เตรียมทักษะก่อนหน้าที่จะไปเจอของจริงที่เป็นมาตรฐานของยามาซากิอย่างเช่นที่คีบซึ่งมั่นใจว่าน้องๆ ไม่เคยใช้แน่ๆ แต่เขาต้องฝึกใช้กันให้คล่อง ก็ต้องสอนเขาให้รู้จักการใช้วิธีการคีบอย่างไร ใส่ถุงอย่างไร การกะขนาดของขนมกับถุงที่จะใส่ด้วยสายตา เรื่องพวกนี้เราต้องใช้เวลาในการฝึกและฝึกการทำงานเป็นทีมด้วย พอมาอยู่ในนี้ทุกคนต้องทำงานเป็นทีมเดียวกันคือต้องมีทักษะที่ชำนาญในระดับหนึ่ง และถ้าเป็นไปได้เราเริ่มให้เขาจำชื่อขนมและราคาก่อน ถ้าจำได้เรื่องจำโค้ดค่อยมาเรียนทีหลังเพราะโค้ดเป็นสิ่งที่สาขาอื่นจะใช้อยู่ตลอดเพราะฉะนั้นนี่เป็นเหตุผลที่ทำไมน้องๆ ต้องเรียนโค้ดสำหรับคนที่อยู่ฝ่ายขายและโดยเฉพาะคนที่ทำหน้าที่แคชเชียร์จะต้องจำมันให้ได้ซึ่งอันที่จริงมันก็แยกตามประเภทของขนมปังอยู่แล้ว จะมีชื่อเรียกเป็นโค้ดของมันอยู่แล้ว ก็มีทั้งหมด 21โค้ดน้องแต่ละคนได้ทำหน้าที่หมุนเวียนกันไปไหมคือไม่ได้หมุนเวียนแบบ 1 คนทำทั้งฝ่ายผลิตและฝ่ายขายแน่นอน เราทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะว่าเราต้องแยกใครมีแววด้านการผลิตก็ให้อยู่ฝ่ายผลิตไปเลย ใครอยู่ฝ่ายขายก็ฝ่ายขายไปเลย แต่ว่าจะมีน้องจุ๊บแจงจะเป็นกรณีพิเศษเขาจะอยู่ได้ทั้งฝ่ายผลิตและฝ่ายขายซึ่งมีแบบนี้ไม่กี่คน คือคิดว่าคนพิการทุกคนมีจุดแข็งจุดอ่อนเหมือนคนหนึ่งคอยมาเติมส่วนที่อีกคนหนึ่งขาด อย่างพี่ที่หูหนวกก็จะถูกจับคู่กับน้องๆ ออทิสติกซึ่งตอนแรกก็ห่วงว่าเขาจะสื่อสารกันอย่างไร สุดท้ายก็ใช้วิธีเขียนเอาบ้าง ใช้ภาษามือบ้างการสื่อสารนั้นสำคัญมากเลยเพราะเรามีทั้งออทิสติก ซึ่งการสื่อสารต้องทำความเข้าใจเขานิดหนึ่งและอย่างด้านผู้พิการทางการได้ยินก็มีทั้งหูตึง หูหนวก ซึ่งหูหนวกเขาจะสื่อสารกันโดยใช้ภาษามือ ส่วนหูตึงจะใช้การอ่านปากและการเขียน ส่วนออทิสติกภาษาที่เขาใช้คือภาษาง่ายๆ ใช้ท่าทาง คือผู้พิการทั้งหลายนั้นสิ่งที่มีร่วมกันคือการใช้ภาษาร่างกาย ภาษามือง่ายๆ ที่เราคิดกันขึ้นมาเองก็สามารถทำให้เขาเข้าใจได้เพราะเขาต้องการอะไรที่สั้นๆ สื่อความหมายได้ ซึ่งการเรียนรู้ตรงนี้ไม่ยากแต่สิ่งที่เป็นพื้นฐานมากกว่านั้นคือความรัก ถ้าเขาไม่รักกันเขาจะไม่เข้าใจกันเพราะฉะนั้นสิ่งแรกเราไม่ได้เน้นให้เขาใช้ภาษามือแต่เราฝึกให้เขาใช้ความรัก ความผูกพันและความเข้าใจกัน เข้าใจทั้งคนอื่นและเข้าใจตนเองว่าตนเองมีส่วนไหนทำได้ ส่วนไหนทำไม่ได้ เขาจะได้รู้ตัวเองว่ามีจุดดีจุดด้อยตรงไหน น้องๆ ที่มาแรกๆ นั้นเขาจะนั่งเฉยๆ เพราะเขาไม่เคยต้องทำอะไรเท่าไรตอนอยู่ที่บ้านแต่พอออกมาเขาได้ทำนู้นทำนี่แล้วเรารู้สึกดีใจที่ได้เห็นแววตามีความสุขของพวกเขา เขาสามารถบอกได้ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรได้ นี่คือความสำเร็จของเรา ซึ่งความรักนั้นทำให้พวกเขามีพัฒนาการที่ดีขึ้นและเขาจะมีความเชื่อมั่น เวลาเขาทำสำเร็จเราจะชื่นชม เขาจะได้รู้สึกว่าเขาทำได้น้องๆ ที่นี่ก็จะมีประเภทที่ 1 คือจิตเภท คือความคิดของเขากับความจริงจะไม่เหมือนกัน โลกของเขาอาจจะต่างกับของเรา กลุ่มที่ 2 คือประเภทไบโพลาร์คือมีอารมณ์ 2 ขั้ว เขาจะมีการกลับไปกลับมาระหว่าง 2 ขั้ว ร่าเริงสุดขั้วกับซึมเศร้าสุดขั้วแต่ช่วงเปลี่ยนระหว่าง 2 อารมณ์นี้มันจะไม่แน่นอน อาจจะเปลี่ยนแค่วันเดียวหรือเป็นเดือน เป็นปีก็ได้ อีกกลุ่มคือซึมเศร้าตลอดเวลา ตอนนี้ในรุ่น 2 เรามีน้องที่เป็นจิตเภทและไบโพลาร์อยู่ในร้านด้วย อย่างที่เป็นจิตเภทจะเห็นได้ว่าเขาไม่เคยอาละวาดกับเรา แต่เขาเคยเข้าศรีธัญญามานะ ซึ่งคนทั่วไปถ้าให้รับเข้าทำงานก็คงคิดหนักเป็นเรื่องปกติเพราะเวลามีข่าวคนจะจำภาพทำให้ติดอยู่ในใจ ทำให้รู้สึกกลัวถ้าจะมีปฏิสัมพันธ์กับเขา แต่ถ้าได้มาดูที่ร้านจะเห็นว่าไม่ว่าจะวันไหนน้องๆ เขาก็น่ารักถึงแม้ว่าบางทีจะยิ้ม จะพูดคนเดียวแต่ก็ไม่ถึงขั้นร้ายแรง ส่วนที่เป็นไบโพลาร์พอเห็นเขาดีๆ ก็ดีแต่ใจก็คิดอยู่ว่าถ้าเขาคลุ้มคลั่งขึ้นมาจะเป็นอย่างไร ซึ่งน้องก็เคยเข้ารับการรักษาที่ศรีธัญญาเหมือนกันและทานยาอยู่ซึ่งน้องไม่ได้น่ากลัวเลย ตอนนี้เราเชื่อใจเขามากจึงให้ไปทำงานที่ UNCC ลูกค้าที่ไปใช้บริการที่นั่นเป็นระดับ VIP คือเป็นราชการระดับผู้ใหญ่แต่เรากล้าที่จะให้น้องที่เป็นไบโพลาร์ไปฝึกงานที่นั่นเพราะเราต้องการจะบอกกับสังคมว่าไบโพลาร์ก็ทำงานได้ ซึ่งเราพิสูจน์แล้ว จะมีแค่เขาอาจจะพูดอะไรงงๆ แต่ไม่ได้อาละวาดใคร คือเราได้เขาคืนกลับมาในสังคมซึ่งมันยิ่งใหญ่มาก จริงๆ แล้วพวกเขามีการศึกษาสูงกันทั้งนั้น เรียนปริญญาตรีกันแต่ว่าไปต่อไม่ได้เพราะเวลาเขาเข้าไปในสังคมเขาอาจจะกลัวแต่พอเขาได้อยู่ในบรรยากาศที่มีความเข้าใจเขาอยู่ได้ ตรงนี้ที่เราเน้นมากเคยมีปัญหาจากคนที่ไม่เข้าใจน้องๆ บ้างไหมเราเลี่ยงไม่ได้เพราะอาจมีคนคิดในแง่ลบกับคนพิการแต่ว่าเราไม่สามารถไปเปลี่ยนความคิดได้ด้วยคำพูดแต่เราเปลี่ยนได้จากการกระทำแล้วสักวันหนึ่งเขาจะเปลี่ยนเอง สิ่งที่เราหวังจากร้านนี้ไม่ใช่แค่ Training ไม่ใช่แค่ร้านค้าแต่มันเป็นทั้ง 2 อย่างเป็นทั้ง Training และ Showcase ด้วยเป็น Showcase หมายความว่าเราเป็นเหมือนโชว์รูมรถ เราอยากบอกว่าคนพิการทำงานได้เราก็ต้องแสดงให้เห็นจากบรรยากาศจริงๆ ในเรื่องของสินค้าเราทำมาตรฐานเดียวกันแต่ส่วนที่เราเพิ่มคือความเป็นคนพิการ ซึ่งความเป็นคนพิการไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่เศร้าหรือน่าสงสาร นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการแต่เราต้องการให้เห็นคุณภาพหรือศักยภาพของคนพิการมากกว่าถ้างานเยอะมากๆ น้องๆ เขารับมือกันอย่างไรถ้าออเดอร์เยอะเราจะแบ่งจัดสรรให้เขาทำงานเฉพาะด้านที่เขาถนัด บางคนก็อาจจะมีข้อจำกัดบ้างแต่ก็อย่างที่บอกเหมือนกับเป็นการฝึกมากกว่า เราจะมีการให้จับคู่กับคนที่ไม่พิการด้วยให้ทำงานคู่กันและให้สอนเขาไปด้วยพร้อมๆ กันฝากถึงคนในสังคมให้เปิดโอกาสให้น้องๆ ที่เป็นเด็กพิเศษอย่างไรดีถ้าในด้านสังคมอยากจะบอกว่าอันดับแรกคือ ให้คิดว่าคนพิการนั้นคือคนๆ หนึ่งในครอบครัวคุณเพราะคนในครอบครัวหรือตัวคุณเองก็มีสิทธิที่จะเป็นคนพิการได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจากโรคภัยหรืออุบัติเหตุแล้วถ้าในขณะนี้เรามีโอกาสทำไมเราไม่เปิดใจที่จะช่วยกันเปิดประตูที่กั้นระหว่างคนพิการกับคนในสังคม เพื่อที่จะให้คนเหล่านี้ได้เข้ามาอยู่ร่วมกับเรา ตอนนี้บางทีเราอาจจะอยู่บ้านเดียวกันแต่ว่าถ้าบ้านนั้นมีกำแพงที่มองไม่เห็นระหว่างตัวคนพิการและคนรอบข้างมันก็เป็นช่องว่างอยู่ดี ลองช่วยกันเปิดประตูมันไม่มีทางเปิดได้จากข้างใดข้างหนึ่ง คนพิการเปิดมามันก็หนักเกินไปมันต้องเปิดร่วมกัน-------------------------------------------------------------------------คุณคริส เบญจกุล: ประชาสัมพันธ์โครงการฯเข้ามาทำตรงนี้ด้วยจิตอาสาจริงๆ ก็อยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันและอีกอย่างคือคนในสังคมมองว่าคนพิการทำอะไรไม่ได้ อยากจะแสดงให้เห็นว่าคนพิการก็สามารถทำได้นะ ยามาซากิที่พวกเราทำอร่อยกว่าที่อื่นนะเพราะคนพิการทางหูเขาจะจมูกดีกว่าคนอื่น อันนี้หอมแล้ว อร่อยแล้ว พอเอามาให้ชิมก็อร่อยจริงๆทำหน้าที่อะไรในร้านผมอยู่ร้านวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ครับ ยกเว้นวันที่ไม่สบายจริงๆ หรือไปหาหมอ หน้าที่ของผมช่วยฝ่ายขายและช่วยโปรโมทร้าน ส่งของเองด้วย ส่งถึงมือลูกค้าเลย ส่วนใหญ่ก็ไปส่งเกือบทุกที่ ที่ส่งเยอะที่สุดก็ที่เซ็นทรัลเวิลด์สั่งมา 5 พันเซ็ท ก็ช่วยกันเริ่มแพ็คตั้งแต่บ่าย 2 เพราะเขาต้องการก่อน 4 ทุ่ม วันนั้นทำดึกเลยครับ ไม่มีใครงอแง ช่วยกันทุกคน บางคนแฟนก็ต้องมาช่วยทำ บางคนแม่มาช่วยเพื่อให้ได้ครบ 5 พันกล่องให้ได้ฝากอะไรถึงคนอื่นๆ ที่อยากให้มองคนพิการใหม่อยากให้มองว่าคนพิการก็ทำได้ เพียงแต่ว่าต้องใช้คนให้ถูกกับงาน เช่นบางคนหูไม่ดีให้เป็นพนักงานเสิร์ฟก็ไม่ได้ ให้เลือกงานที่เขาทำได้ให้เขาทำดีกว่า

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 93 กระแสในประเทศ

17 ตุลาคม 2551 สธ.โวยมีคนแอบใช้นมผลิตอาหารสัตว์ทำ "เบเกอรี่" จี้ คลัง-เกษตรฯ ส่งตรวจซ้ำ นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อขอความร่วมมือให้ด่านศุลกากรทั่วประเทศตรวจสอบการนำเข้านมจากประเทศจีน ที่แจ้งวัตถุประสงค์เพื่อนำมาผลิตเป็นอาหารสัตว์ โดยขอให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรแจ้งข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ของ อย.ประจำด่านอาหารและยา เพื่อสุ่มตรวจนมที่มีการนำเข้าทุกลอตซ้ำ เนื่องจากพบว่า มีการนำนมดังกล่าวมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ ทำให้เกิดการปนเปื้อนสารเมลามีนในผลิตภัณฑ์จากนม ที่คนนำมาบริโภค เช่น เบเกอรี่ต่างๆ อย.ได้กำชับเจ้าหน้าที่ประจำด่านอาหารและยาทั่วประเทศ ประสานกับเจ้าหน้าที่ของด่านศุลกากรและด่านปศุสัตว์ เพื่อเฝ้าระวังและตรวจสอบการนำเข้านมและผลิตภัณฑ์จากนมต่างประเทศ โดยเฉพาะของจีนอย่างเข้มงวด และให้รอผลการตรวจหากการปนเปื้อนสารเมลามีนจากกรมวิทย์ฯ ก่อนที่จะนำสินค้าออกจากด่านทั้ง 32 ด่าน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------- 22 ตุลาคม 2551“หยินจี้หวง” ยาสมุนไพรทำเด็กจีนตาย ไม่พบในไทย ข่าวกระทรวงสาธารณสุขจีน สั่งให้โรงพยาบาลทั่วประเทศงดการใช้ยา “หยินจี้หวง” ที่ใช้รักษาโรคตับและโรคดีซ่านในทารก ซึ่งมีส่วนประกอบของสมุนไพร ดอกพุด และต้นสายน้ำผึ้ง ผลิตโดยบริษัท ไทฮั่ง ฟาร์มาซูติคอล เนื่องจากทำให้ทารกเสียชีวิตแล้ว 1 ราย และป่วยอีก 3 รายนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทยได้เร่งตรวจสอบเป็นการด่วนแล้วพบว่า ไม่มียาดังกล่าวเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย และไม่มีการผลิตหรือนำเข้ายาสมุนไพรจีน ที่มีส่วนประกอบของดอกพุดและต้นสายน้ำผึ้งในตำรับอื่นเข้าในประเทศไทยอีกด้วย ขอให้ประชาชนไทยมั่นใจได้ “สำหรับประชาชนที่นิยมใช้สมุนไพรรักษาอาการเจ็บป่วย แนะนำให้ซื้อจากร้านขายยาสมุนไพรที่มีใบอนุญาตถูกต้อง ถ้าเป็นยาแผนโบราณหรือยาสำเร็จรูป ต้องสังเกตว่ามีเลขทะเบียนตำรับยา หากพบข้อน่าสงสัยหรือไม่มั่นใจว่าเป็นยาสมุนไพรที่ปลอดภัย สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อ อย.จะได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบต่อไป” นักโภชนาการหนุนดื่มนมแม่ เลี่ยงเมลามีน นางสุจิต สาลีพัน นักโภชนาการ 8 กรมอนามัย กล่าวว่า การพบการปนเปื้อนสารเมลามีนในผลิตภัณฑ์นม นมผง อาหาร ขนมขบเคี้ยวที่มีส่วนผสมของนมนั้น อาจทำให้ผู้ปกครองห่วงใยบุตรหลาน และอาจหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีการปนเปื้อน หรือระมัดระวังจนทำให้ร่างกายของเด็กขาดโปรตีนและแคลเซียม ซึ่งความจริงผู้ปกครองควรพลิกวิกฤตเป็นโอกาสให้มาเลี้ยงดูบุตรหลานด้วยนมแม่แทน เพราะในน้ำนมแม่มีโปรตีน แร่ธาตุ และสารอาหารที่เป็นประโยชน์มากกว่านมวัวและนมอื่นๆ ทั้งยังส่งผลให้เด็กมีภูมิคุ้มกันโรค ร่างกายแข็งแรง มีไอคิว อีคิวดี และเป็นการเสริมสร้างใยรักจากแม่สู่ลูกด้วยการสัมผัส ซึ่งเด็กสามารถดื่มนมแม่ได้ถึงอายุ 2 ขวบ และหากแม่ต้องเดินทางไปทำงาน ในปัจจุบันก็มีถุงเก็บน้ำนมที่แม่สามารถปั๊มเก็บไว้ให้ลูกดื่มได้ และยังอาจเสริมด้วยผลไม้บด เช่น กล้วยน้ำว้าบด เป็นต้น 29 ตุลาคม 2551ทั่วโลกร่วมร่างกฎคุมบุหรี่เถื่อน ห้ามดิวตี้ฟรีขายบุหรี่ปลอดภาษี รายงานจากการประชุมของสมาคมวิจัยการเสพติดนิโคตินและยาสูบภาคพื้นเอเชีย ครั้งที่ 1 ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า สมาชิกสมาคม 160 ประเทศทั่วโลกได้ร่วมกันหารือในประเด็น การกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาบุหรี่เถื่อน โดยห้ามขายบุหรี่ปลอดภาษี โดยเฉพาะในร้านสินค้าปลอดภาษีของสนามบินต่างๆ ที่สามารถขายบุหรี่ได้แต่ต้องเป็นบุหรี่ที่จัดเก็บภาษีแล้วเท่านั้น เนื่องจากช่องทางนี้เป็นสาเหตุสำคัญในการมีบุหรี่เถื่อนเล็ดลอดออกมาจำหน่ายในประเทศเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังห้ามโฆษณาขายบุหรี่ทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งจากการศึกษาพบว่า มาตรการห้ามโฆษณาบุหรี่ 100% จึงสามารถลดการสูบบุหรี่ได้เต็มที่ โดยเรื่องดังกล่าวนี้ยังจะต้องมีการประชุมอีก 2-3 ครั้ง จึงจะได้ข้อสรุป เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยมีประเด็นเหล่านี้บรรจุในกฎหมายของประเทศสมาชิกอนุสัญญาฯ มาก่อน 30 ตุลาคม 2551“อัมมาร” เซ็งนักการเมืองหัวหดไม่เก็บภาษี รพ.เอกชนที่ทุ่มรักษาชาวต่างชาติเต็มที่ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า กรณีที่ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีแนวคิดจะเสนอให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ผลักดันมาตรการการจัดเก็บภาษีสถานพยาบาลเอกชนที่ให้บริการรักษาโรคกับชาวต่างชาตินั้น ตนเองได้เสนอแนวคิดในการจัดเก็บภาษีดังกล่าวมานานแล้ว และสนับสนุนให้มีการดำเนินการอย่างเต็มที่ 100% ซึ่งในทางปฏิบัติยังไม่มีการจัดเก็บภาษีนี้แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ในการขับเคลื่อนแนวคิดนี้เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติได้จริงยังเป็นเรื่องยาก เพราะยังไม่มีหน่วยงานใดให้ความสำคัญ“แม้ สปสช.จะเล็งเห็นถึงความสำคัญ แต่ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนให้เป็นนโยบายของภาครัฐได้สำเร็จ เพราะ สปสช.ไม่มีอำนาจเพียงพอ เรื่องนี้จะต้องใช้อำนาจของกระทรวงการคลังหรือรัฐบาล เป็นเจ้าภาพดำเนินการเท่านั้น แต่ขณะนี้เมื่อพูดถึงเรื่องการจัดเก็บภาษี นักการเมืองก็หัวหด ไม่มีใครใจถึงกล้าทำสักคน ขณะนี้จึงยังคงเป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น หากจะนำไปบังคับใช้จริง จะต้องมีการศึกษาผลกระทบทั้งข้อดี เสีย และอัตราการจัดเก็บภาษีที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งเรื่องเหล่านี้ยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจนเพียงพอ” ดร.อัมมาร กล่าว“เมดิเคิลฮับ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้แพทย์ในระบบราชการถูกซื้อตัวไปอยู่ภาคเอกชนที่มีรายได้จาการรักษาชาวต่างชาติเป็นมูลค่าที่สูงมาก ซึ่งจากข้อมูลสถานพยาบาลเอกชนกว่า 50 แห่งทั่วประเทศ ที่ให้บริการรักษาชาวต่างชาติเมื่อปี 2550 พบว่า มีชาวต่างชาติมารักษาโรคในประเทศไทย ประมาณ 1.5 ล้านบาท มีรายได้ประมาณ 60,000 ล้านบาท” ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง หัวหน้าโครงการติดตามประเมินผลการจัดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทีดีอาร์ไอ กล่าว กิน “ปลา” ต้านเบาหวาน คนในยุคปัจจุบันมีความเสี่ยงกับภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และเป็นโรคเบาหวานเพิ่มมากขึ้น จนต้องรณรงค์เพื่อลดปัญหาดังกล่าวกันขนานใหญ่ ล่าสุดมีการรณรงค์ “กินปลาไร้พุงต้านโรคเบาหวาน” ขึ้นเนื่องใน “วันเบาหวานโลก” 14 พ.ย. 2551 นี้ ศ.เกียรติคุณ พญ.ชนิกา ตู้จินดา คณะกรรมการกองทุน สสส. ให้ข้อมูลว่า องค์การอนามัยโลกได้มีการประเมินว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วโลกอย่างน้อย 194 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 300 ล้านคน ในอีก 17 ปีข้างหน้า และจากการสำรวจในไทยที่ผ่านมาพบคนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานกว่า 3 ล้านคน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีการชี้ให้เห็นด้วยว่า โรคเบาหวานนั้นมีความอันตรายสูงกว่าโรคเอดส์ เพราะมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ถึงปีละกว่า 3.2 ล้านคน ส่วนเอดส์นั้นเสียชีวิตเพียง 3 ล้านคนต่อปี “เบาหวานที่พบบ่อย คือ เบาหวานชนิดที่ 2 ที่จะเกิดขึ้นในผู้ใหญ่ที่อ้วน หรือคนอ้วนลงพุง ซึ่งเป็นคนที่ออกแรง หรือออกกำลังกายน้อยเกินไป อีกทั้งในปัจจุบันนี้ยังพบมากในเด็ก ซึ่งเป็นการกินอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง และวิธีหนึ่งที่จะสามารถลดปัญหาโรคอ้วนและโรคเบาหวาน คือการหันมาส่งเสริมการกินอาหารแบบไทยโดยการเน้นการบริโภคปลาให้มากขึ้น เพราะปลานั้นเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดีราคาถูก ที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานได้” พญ.ชนิกาอธิบายด้าน นพ.ฆนัท ครุธกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและโภชนวิทยาคลินิก โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้ข้อมูลเสริมว่า ไม่ว่าจะเป็นปลาน้ำจืด หรือปลาน้ำเค็มก็มีคุณค่าไม่แตกต่างกันมาก แต่ที่เห็นได้ชัดคือ ปลาน้ำเค็มนั้นจะมีไอโอดีนสูง แต่ก็จะมีคอเลสเตอรอลสูงเช่นกัน อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการปนเปื้อนสารตกค้างในทะเลอย่าง สารปรอท สารตะกั่ว ดื่ม “กาแฟ” ไม่ทำให้ผอมเพรียว ศ.นพ.สุรัตน์ โคมินทร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนวิทยาคลินิกและโรคเบาหวาน กล่าวว่า ขณะนี้มีการโฆษณาชวนเชื่อ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่า การดื่มกาแฟแล้วจะทำให้รูปร่างผอมเพรียว ซึ่งต้องบอกว่าไม่เป็นความจริงทั้งหมด แม้ว่ากาแฟจะมีส่วนต่อระบบการเผาผลาญของร่างกาย แต่หากดื่มเป็นปริมาณมาก โดยหวังว่าจะให้ร่างกายผอม หุ่นดีนั้นอาจเกิดอันตรายกับร่างกายได้ แทนที่จะผอม เพราะกาเฟอีนจะทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายทำงานดีขึ้น แต่หากทานมากไปจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ“เป็นไปไม่ได้ที่กาแฟจะทำให้ลดน้ำหนักได้ เพราะไม่มีข้อมูลวิทยาศาสตร์ยืนยันเช่นนั้น ทั้งนี้ ถ้าหากกินกาแฟสูตรใดสูตรหนึ่งแล้วสามารถลดน้ำหนักได้จริงคงเป็นการเติมสารอะไรบางอย่างทำให้มีผลต่อร่างกาย อาจเป็นยาลดน้ำหนัก ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก นอกจากนี้ หากดื่มกาแฟมากกว่าวัน 2 แก้วต่อวัน ก็อาจมีผลเสียกับร่างกายได้ เพราะหากร่างกายได้รับปริมาณกาเฟอีนเกินไปก็อาจเป็นอันตรายได้” นายสง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการระดับ 9 กรมอนามัย ให้ข้อมูลเพิ่มเติม ผู้บริโภคตั้งศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ ต้านการละเมิดสิทธิของธุรกิจโทรคมนาคม4 พ.ย.51 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายผู้บริโภคจับมือสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม เปิดตัวศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคภาคประชาชน กรุงเทพมหานคร รวมกว่า 31 ศูนย์ทั่วกรุงเทพฯ พร้อมเดินหน้ารับเรื่องร้องเรียนและแก้ไขปัญหาผู้ประกอบธุรกิจโทรคมนาคมบางรายยังมีพฤติกรรมเอารัดเอาเปรียบลูกค้า โดยเฉพาะการกำหนดวันหมดอายุการใช้งานของซิมแบบเติมเงิน รวมทั้งการเก็บค่าต่อสัญญาณใหม่ 107 บาท นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ได้กล่าวในเวทีเสวนาหัวข้อ “เราจะหยุดการเอาเปรียบของธุรกิจโทรคมนาคมได้อย่างไร” ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งของโครงการดังกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคในหลายๆ ปัญหาที่พบมาก คือการถูกเรียกเก็บค่าบริการรายเดือนทั้งที่ไม่ได้เปิดใช้บริการใช้ซิมฟรีที่ได้รับแจกมา การใช้ซิมแบบเติมเงินแต่ถูกกำหนดวันหมดอายุการใช้งานต้องเติมเงินเพิ่มทั้งๆ ที่มีเงินเหลืออยู่ อีกปัญหาที่มีการร้องเรียนมาโดยตลอดคือ กรณีลูกค้าขอเปิดใช้งานโทรศัพท์หลังโดนระงับสัญญาณเพราะค้างชำระค่าบริการ แทนที่ผู้ให้บริการจะคิดค่าปรับตามอัตราดอกเบี้ยที่กฎหมายกำหนดแต่กลับใช้วิธีเรียกเก็บค่าเชื่อมต่อสัญญาณใหม่ ในอัตรา 107 บาทตายตัว และบางเจ้าก็เรียกเก็บในอัตรา 214 บาท ซึ่งเป็นการขัดกับข้อกำหนดในเรื่องของค่าธรรมเนียมและค่าบริการในกิจการโทรคมนาคมตามพระราชบัญญัติการประกบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 ที่ห้ามไม่ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการนอกเหนือหรือเกินกว่าอัตราขั้นสูงที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.) กำหนด แต่ในทางปฏิบัติยังมีการละเมิดสิทธิในเรื่องนี้อยู่ แต่เมื่อลูกค้าร้องเรียนหรือขอให้มีการยกเว้นก็จะมีการคืนเงินในส่วนนี้ให้ และเป็นการให้เฉพาะรายไม่ใช่ทุกรายเสมอไป “ในขณะนี้แม้กฎหมายจะกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องมีหน้าที่เปิดศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและห้ามคิดค่าโทรในการร้องเรียน แต่ก็ไม่ได้รับการสนองตอบอย่างเต็มที่จากผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่ จึงถือเป็นหน้าที่ของ สบท. ที่นอกจากจะมีศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของตนเองแล้ว ยังจะต้องส่งเสริมสนับสนุนให้องค์กรผู้บริโภคภาคประชาชนรวมตัวกันเพื่อปกป้องพิทักษ์สิทธิของตนเอง การจัดตั้งศูนย์พิทักษ์สิทธิภาคประชาชนจะช่วยทำให้ประชาชนได้รับรู้และตระหนักในสิทธิของตนเองได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ด้าน รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ ประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกล่าวว่า จากปัญหาหลากหลายที่เกิดขึ้นจำเป็นต้องเร่งให้เกิดการรวมตัวของกลุ่มผู้บริโภคเพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง มูลนิธิฯ จึงได้ร่วมกับเครือข่ายองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชนจัดตั้ง “ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคภาคประชาชนในกิจการโทรคมนาคม” ขึ้น โดยจะเริ่มต้นในเขต กรุงเทพมหานครเป็นลำดับแรก โดยจะมีทั้งหมด 31 ศูนย์ มีพื้นที่ให้บริการประชาชนครอบคลุมทุกเขตของกรุงเทพมหานคร โดยมีศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเป็นองค์กรประสานงานกลาง โดยปัญหาเร่งด่วนที่วางเป้าว่าจะต้องมีข้อยุติภายในปีนี้คือ การกำหนดวันหมดอายุการใช้งานของโทรศัพท์มือถือแบบเติมเงิน และการคิดค่าต่อสัญญาณโทรศัพท์ใหม่ที่ไม่ใช่ลักษณะของการคิดค่าปรับตามที่กฎหมายกำหนด จะต้องทำไม่ได้กับผู้บริโภคทุกรายไม่ใช่รายที่มีการร้องเรียนเข้ามาเท่านั้น

อ่านเพิ่มเติม >