ฉบับที่ 274 การดูแล “ส้นเท้าแตก”

        ปัญหาผิวหนังที่หลายคนอาจมองข้ามไป คือ อาการส้นเท้าแตก ซึ่งแม้มันจะไม่ได้สร้างความเจ็บปวดอะไรมากมาย หรืออันตรายต่อสุขภาพ แต่มักสร้างความรำคาญแถมอาจทำให้เสียความมั่นใจในการโชว์เท้าสวยๆ ของตัวเอง        สาเหตุในการเกิด “ส้นเท้าแตก” อาจจะเกิดได้จากหลากหลายปัจจัย ส่วนใหญ่คือความเสี่ยงด้านพฤติกรรมต่างๆ  เช่น  การไม่สวมรองเท้าและเดินเท้าเปล่าบ่อยจนเกิดการเสียดสีมากๆ  อากาศที่แห้งหรือหนาวเย็นหากบริเวณส้นเท้าไม่ทาครีมก็ทำให้ขาดความชุ่มชื่นจนเท้าแตกได้ การใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม บางคนอาจเกิดจากการอาบน้ำอุ่นเป็นประจำ หรือแพ้สารเคมี ส่วนสาเหตุที่อาจพบไม่บ่อย คือ เกิดจากอาการป่วยหรือโรคที่เป็นนั้นเอง         ทั้งนี้ เรื่องอายุที่มากขึ้นก็เช่นกัน เมื่อเรามีอายุมากขึ้นจะมีผิวแห้งกร้านกว่าวัยหนุ่มสาว บริเวณที่เสียดสีกับปัจจัยต่างๆ ข้างต้น จะยิ่งเร่งให้ส้นเท้าแตกง่ายขึ้น  แล้วเราควรจะดูแลส้นเท้าแตกของเราอย่างไร การดูแลส้นเท้าแตก        ·     เลือกทาครีมบำรุงบริเวณส้นเท้าที่ให้ความชุ่มชื้นเยอะๆ หรืออาจเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นกลุ่มให้ความชุ่มชื้น เช่น  ยูเรีย กลีเซอลีน สามารถทาและสวมถุงเท้าก่อนนอนได้เลย        ·     เรื่องการรักษาสุขอนามัยก็สำคัญ สามารถทำความสะอาดด้วยการแช่เท้าด้วยน้ำอุ่นแต่ไม่ควรเป็นน้ำที่ร้อนจนเกินไปเพราะจะทำให้เสียความชุ่มชื้นได้ ไม่ควรแช่นานจนเกินไป หลังจากนั้น สามารถนำหินมาขัดส้นเท้าเบาๆ ได้ เพื่อนำเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก ทั้งนี้ ไม่ควรขัดแรงๆ อีกด้วย ควรขัดเบาๆ ก็พอ        ·     เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่ทำร้ายผิว ไม่แห้งตึง  หรือเป็นกรดด่างเกินไป เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนหรือมีมอยเจอร์ไรเซอร์เป็นส่วนผสมยิ่งดี แนะนำให้อ่านฉลากส่วนผสมก่อนซื้อทุกครั้ง        ·     ในส่วนของคนที่ชอบถอดรองเท้า เดินเท้าเปล่า แนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ใส่รองเท้าทุกครั้ง ก่อนเดินไปที่พื้นเพื่อป้องกันการเสียดสี เปลี่ยนจากรองเท้าแตะเป็นรองเท้าหุ้มส้นได้ยิ่งดี แต่ก็ไม่ควรเป็นรองเท้าที่คับแน่นจนเกินไป        ·     การดื่มน้ำเป็นประจำวันละ 8 แก้ว ก็เป็นตัวช่วยจากภายในสู่ภายนอกได้         นอกจากนี้ อย่าลืมสังเกตตัวเองด้วยว่าปัญหาส้นเท้าแตกของตัวเองที่เกิดนั้น มาจากสาเหตุใด  แนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤกรรม         อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บางคนอาจจะเป็นมากถึงขนาดส้นเท้าแตกลาย หรือมีอาการเจ็บเป็นแผลลึก แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา และหากเป็นผลข้างเคียงมาจากโรคประจำตัวที่เป็นอยู่ด้วยยิ่งต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาที่ถูกต้อง เพราะแพทย์จะเลือกทำการรักษาให้เหมาะสมกับอาการ อาจจะจ่ายยารับประทาน ยาทาผิวหรือต้องผ่าตัดเอาเนื้อตายออก เป็นต้น ข้อมูลจาก Hello คุณหมอ : วิธีแก้ส้นเท้าแตก และวิธีดูแลส้นเท้าไม่ให้แห้งแตกPobPad :  ส้นเท้าแตก สาเหตุและวิธีการรับมืออย่างเหมาะสม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 128 แก้ปัญหาเท้าเหม็น ส้นเท้าแตก อย่างถูกวิธี

  เป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปในทุกเพศทุกวัยในคนที่ต้องใส่รองเท้าหุ้มส้น ทำให้อับชื้นเพราะอากาศไม่สามารถถ่ายเทได้สะดวก น้ำเหงื่อที่คายออกมาจากผิวหนังจะส่งกลิ่นเหม็นได้อย่างรวดเร็วเมื่อระเหยออกไม่ได้ กลิ่นเหม็นนี้แน่นอนเกิดจากการหมักหมมของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่ฝ่าเท้าและรองเท้าหรือถุงเท้าที่อับชื้นทั้งวัน สาเหตุหนึ่งที่พบคือการเลือกใช้ถุงเท้าหรือรองเท้าที่ทำจากวัสดุที่หนาแน่นเกินไป ไม่สามารถระบายความชื้นได้ เช่น รองเท้าที่ทำด้วยพลาสติกหรือใยสังเคราะห์ไนล่อนที่ไม่มีรูระบายอากาศ หรือวัสดุที่ไม่มีคุณสมบัติดูดซับความชื้นได้ ทำให้ฝ่าเท้าชื้นตลอดเวลา รวมทั้งการสวมใส่ถุงเท้าและรองเท้าคับและแน่นเกินไป   การจัดการกับถุงเท้า 1 ถุงเท้า ควรเลือกซื้อถุงเท้าที่ดูดซับความชื้นได้ดี และระบายอากาศได้ดี 2 เลือกถุงเท้าที่ไม่คับจนเกินไป 3 เปลี่ยนถุงเท้าที่สะอาดทุกวัน เวลาซักต้องตากให้แห้งสนิท และถ้าซักด้วยน้ำร้อนได้ยิ่งดีเพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรค 4 ควรพิจารณาใช้แป้งฝุ่นผสมยาต้านเชื้อจุลินทรีย์ โรยผิวเท้าและฝ่าเท้าก่อนสวมใส่ถุงเท้าเป็นครั้งคราวเมื่อพบกลิ่นเหม็น แป้งฝุ่นจะช่วยดูดซับความชื้นได้ดี ในขณะเดียวกันยาต้านเชื้อจุลินทรีย์จะช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่บริเวณฝ่าเท้าและถุงเท้าได้ อย่างไรก็ตามการใช้แป้งฝุ่นผสมยาต้านเชื้อจุลินทรีย์จะไม่ได้ผลหากไม่ยอมรักษาความสะอาดของเท้าและถุงเท้า   การจัดการกับรองเท้า 1 ตรวจสอบผ้าซับที่บุอยู่ภายในรองเท้า รองเท้าหนังมักจะมีผ้าใยสังเคราะห์เป็นไนล่อนบุภายในรองเท้า ซึ่งจะทำให้เท้าอับชื้นได้ง่าย ควรเลือกรองเท้าที่บุภายในด้วยหนังล้วน ซึ่งจะช่วยคายความชื้นได้ดีกว่า 2 เลือกรองเท้าชนิดที่สามารถซักล้าง/ทำความสะอาดได้ และควรทำความสะอาดทุกวัน วางรองเท้าไว้ในที่อากาศถ่ายเท ไม่ความเก็บในตู้รองเท้าที่ปิดมิดชิด ซึ่งเป็นการบ่มเพาะเชื้อโรคได้รวดเร็ว 3 ทุก 2-3 สัปดาห์ ควรทำความสะอาดภายในรองเท้าด้วยผ้าชุบแอลกอฮอล์หมาดๆ เพื่อฆ่าเชื้อโรค 4 ควรหลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าคู่เดิมทุกวัน ควรเปลี่ยนทุก 2 วัน เพื่อให้รองเท้าได้พักและระบายความอับชื้น   การจัดการกับเท้า 1 ตรวจสอบส้นเท้าว่าแห้งและแตกเป็นขุยหรือไม่ หนังหนาๆ ที่แห้งแตกเป็นขุยจะเป็นที่หมักหมมของเชื้อโรคได้ง่ายที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชื้นแฉะ หากพบว่าส้นเท้าแห้งเป็นขุย อาจใช้ตะไบหรือหินสำหรับขัดส้นเท้าเพื่อขจัดหนังหนาๆ ให้บางลง หรืออาจใช้ครีมผสมตัวยาซาลิไซลิค แอซิด จากร้านขายยา ทาทุกวันเพื่อลอกหนังที่หนาและแตกออก 2 ล้างเท้าและแช่เท้าด้วยน้ำอุ่นครั้งละ 10-15 นาที หลังจากซับให้แห้งสนิท หากมีน้ำมันไพลหรือครีมผสมน้ำมันไพล ให้ทาบางๆ ให้ทั่วฝ่าเท้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามซอกนิ้วเท้า น้ำมันไพลมีสรรพคุณฆ่าเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้ดี นอกจากนั้นยังเป็นน้ำมันหล่อลื่นธรรมชาติ ช่วยให้ฝ่าเท้าไม่แห้งแตกอีกด้วย 3 หากพบอาการผิดปกติ เช่น คัน/แดง อาจใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทสเปรย์เท้า ซึ่งมีส่วนผสมของยาต้านเชื้อจุลินทรีย์ซึ่งมีขายตามร้านขายยา สเปรย์ให้ทั่วตามซอกนิ้วเท้าหรือบริเวณที่มีปัญหา ควรใช้ยาต่อเนื่องจนกว่าอาการจะหายสนิท หากไม่ดีขึ้นหรือพบการติดเชื้อรุนแรง ควรไปพบแพทย์ผิวหนัง 4 สำหรับผู้ที่เท้ามีเหงื่อออกมาก ชื้นและแฉะ ลองใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทระงับเหงื่อ ซึ่งมีส่วนผสมของเกลืออลูมิเนียมคลอไรด์ ทาบริเวณฝ่าเท้าและซอกนิ้วเท้า ควรทำความสะอาดเท้าให้สะอาดและซับให้แห้งสนิทก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อ ควรใช้ตอนกลางคืนก่อนนอนและล้างออกตอนเช้า ควรใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 3-4 วัน และทุกสองสัปดาห์ แต่หากพบว่าฝ่าเท้ามีอาการอักเสบ คาดว่าน่าจะมีการติดเชื้อ ไม่แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อชนิดนี้ แต่ควรไปปรึกษาแพทย์แทน 5 ครีมบำรุงผิวเท้า คนที่ผิวเท้าแห้งและแตก เมื่อแก้ปัญหาได้แล้วจากข้อแนะนำข้างต้น ควรจะบำรุงผิวเท้าด้วยครีมบำรุงผิวเท้าอย่างสม่ำเสมอ ควรเลือกใช้ครีมบำรุงที่ข้นและเหนียว ไม่ต้องกลัวครีมเหนียวเหนอะหนะ เพราะครีมที่ยิ่งข้นและยิ่งเหนียวเหนอะหนะ จะให้ความชุ่มชื้นได้มากและปกป้องผิวได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่าเท้าที่ทั้งแห้งและแตกเป็นขุย หากบำรุงเป็นประจำ ฝ่าเท้าจะไม่กลับมาแห้งแตกอีก

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 108 วิธีดูแลเท้าไม่ให้แตก เหม็น แต่เนียนนุ่ม

กล่าวกันว่าเราสามารถประเมินสุขลักษณะโดยรวมของผู้ที่เราเพิ่งพบปะครั้งแรกได้ง่ายๆ โดยการสังเกตดูความสะอาดของรองเท้าที่สวมใส่อยู่และดูสุขลักษณะที่เท้า หรืออาจกล่าวได้ว่ารองเท้าและสภาพของผิวเท้าเป็นปัจจัยสำคัญที่บ่งบอกถึงความสะอาดและบุคลิกภาพของเราเอง เทคนิคการดูแลสุขภาพเท้าให้สวยงาม ไม่เป็นโรค1. ล้างเท้าทั้งสองข้างทุกวันโดยแช่ในน้ำอุ่นผสมน้ำสบู่ประมาณ 10 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด และเช็ดให้แห้งสนิท โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณซอกนิ้วเท้า ต้องให้แห้งสนิทจริงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นที่อับชื้นและเหม็นตามมา 2. ทุกครั้งที่เท้าเปียก ต้องเช็ดให้แห้งทุกครั้งก่อนสวมรองเท้าหรือถุงเท้า 3. ควรเปลี่ยนถุงเท้าทุกวัน และนำรองเท้าไปทำความสะอาด ตากแห้ง ไม่ควรนำรองเท้าไปแขวนใส่ตู้รองเท้าที่ปิดสนิท แนะนำให้ใช้รองเท้าใส่สลับกันสองคู่ เพื่อจะได้นำคู่ที่ใส่แล้วไปผึ่งลมแดดให้แห้ง หรืออาจใช้ผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นสำหรับรองเท้าช่วยด้วยก็ยิ่งดี 4. ผู้ที่มีโรคประจำตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเบาหวาน ต้องเข้มงวดกับตัวเองในการดูแลเท้าทั้งสองข้างให้สะอาดเป็นพิเศษ หมั่นสังเกตความผิดปกติของการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดขึ้น เช่น สีเล็บเท้าที่ซีดหรือเหลืองผิดปกติ ผิวลอก หรือมีรอยแตกของผิวเท้า ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่เท้า 5. เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเลือกซื้อรองเท้าคู่ใหม่ ควรจะเป็นช่วงบ่ายเนื่องจากเท้ามักจะบวมกว่าตอนเช้า ดังนั้นรองเท้าคู่ที่สวมใส่สบายในตอนบ่าย จะสวมสบายในตอนเช้าและตอนเย็นด้วย 6. หากออกนอกบ้านและสวมใส่รองเท้าแตะ ควรทาครีมกันแดดที่เท้าด้วยเช่นเดียวกับผิวหนังส่วนอื่นๆ ของร่างกายที่โผล่ออกนอกร่มผ้า 7. ควรหมั่นขัดผิวเท้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งส้นเท้าด้วยแปรงขนนุ่มอย่างสม่ำเสมอ เพื่อขัดเอาผิวเซลล์เก่าที่ตายแล้วออกไป ผิวเท้าจะได้นุ่มเนียนและเป็นการเร่งการผลิตเซลล์ใหม่ 8. ก่อนเข้านอน ควรล้างเท้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งสนิท และชโลมด้วยครีมบำรุงผิวโดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวหนังบริเวณส้นเท้า 9. ทุกครั้งที่ชโลมเท้าด้วยครีมบำรุง พยายามหลีกเลี่ยงซอกนิ้วเท้า เนื่องจากการสะสมของครีมหรือความชื้นในบริเวณซอกนิ้วเท้า จะก่อให้เกิดกลิ่นเหม็นจากการหมักหมมของเชื้อจุลินทรีย์ได้ 10. เพื่อรักษาให้เท้าแห้งไม่มีกลิ่นเหม็น ควรใช้ผลิตภัณฑ์จำพวกแป้ง หรือ สเปร์ยที่เท้า 11. การตัดเล็บเท้า ควรจะตัดเป็นเส้นตรงเฉพาะส่วนที่ยื่นโผล่จากนิ้วเท้านั้น ไม่ควรตัดสั้นเกินไปจนติดเนื้อ และไม่ควรตัดเล็บเป็นเส้นโค้ง เพราะส่วนโค้งจะทำให้เกิดเล็บหรือหนังงอกที่ซอกนิ้ว กลายเป็นเล็บขบที่สร้างความเจ็บปวดได้ หลังการตัดเล็บเท้า ควรตะไบเล็บไม่ให้เล็บคม การนวดเท้าและบำรุงด้วยครีมบำรุงผิวภายหลังจากการล้างทำความสะอาดเท้าและเช็ดแห้งสนิทแล้ว ควรนวดฝ่าเท้าด้วยครีมบำรุงผิวเท้าจะช่วยให้เท้าเนียนนุ่มและเป็นการทำให้เท้าได้ผ่อนคลาย นวดคลึงทั้งส้นเท้าและฝ่าเท้าด้วยนิ้วโป้ง การรักษาเท้าให้สะอาดและเนียนนุ่มชุ่มชื้นด้วยครีมนวดเป็นประจำ นับเป็นปัจจัยป้องกันปัญหาโรคเท้าอื่นๆ ที่จะตามมาได้ เช่น ตาปลา และส้นเท้าแตก ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทครีมบำรุงเท้าโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีสารชุ่มชื้นผิวเท้าที่รวดเร็ว เช่น ยูเรียครีม แต่ต้องไม่ทิ้งครีมตกค้างบริเวณซอกนิ้วเท้า การจัดการกับส้นเท้าที่แตกและเป็นตาปลาไม่ควรใช้ใบมีดโกนหนวดมากำจัดหนังหนาๆ ที่ส้นเท้าหรือตาปลาเป็นอันขาด เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่เท้า ส้นเท้าที่มีหนังหนาและแตกนอกจากจะทำให้เท้าไม่สวยแล้วยังทำให้เจ็บปวดได้อีกด้วย บางรายแตกจนเห็นเลือดออกซิบๆ สาเหตุเริ่มต้นมาจากการที่มีผิวแห้งมากๆเป็นเวลานานๆ หรือในบางรายอาจเกิดจากการมีโรคแทรกซ้อน เช่น โรคผิวหนัง เบาหวาน ไฮโปไทรอยด์ ในบางครั้งส้นเท้าแตกอาจเกิดในคนอ้วนที่มีน้ำหนักกดทับที่เท้ามากๆ และต้องยืนนานๆ ในแต่ละวัน หรือเดินบนพื้นแข็งๆ ด้วยเท้าเปล่า การดูแลรักษาเบื้องต้นสำหรับส้นเท้าแตก อาจเริ่มด้วย1. การใช้ครีมบำรุงผิวที่เข้มข้น ประกอบด้วยสารหล่อลื่นและสารชุ่มชื้นผิวสูง เช่น ยูเรียครีม เป็นต้น ทาถูหนาๆ วันละ 2-3 ครั้ง ก่อนนอนควรทาครีมชนิดนี้หนาๆ ที่ส้นเท้าและทั่วผิวเท้า จากนั้นใช้ถุงพลาสติกที่ใหม่และสะอาดมาห่อหุ้มเท้าจนถึงรุ่งเช้า วิธีนี้เป็นการทำเซาว์น่าให้เท้าด้วยตนเอง เป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นและหล่อลื่นผิวเท้าที่รวดเร็ว โดยเนื้อครีมจะสามารถแทรกซึมเข้าผิวหนังได้ดี ทำเช่นนี้ 1-3 วันจะพบว่าผิวเท้าเนียนนุ่มขึ้นอย่างชัดเจน 2. เมื่อส้นเท้านุ่มขึ้นและไม่เจ็บแล้ว อาจใช้หินขัดเท้า ค่อยๆ ขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว หลุดลอกออกทีละน้อย ไม่ควรขัดออกทีละมากๆ เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ 3. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยตัวยาซาลิไซลิค แอร์ซิด (salicylic acid) 5-14% ซึ่งมีความเป็นกรดสูง ตัวยาชนิดนี้ทำหน้าที่ขจัดเซลล์ที่ตายแล้วออกจากผิว มีทั้งชนิดที่เป็นครีม หรือโลชั่นใส เวลาใช้ควรใช้สำลีชุบโลชั่นและป้ายที่ส้นเท้า วันละ1-2 ครั้ง ติดต่อกันทุกวันเป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ จะพบว่าผิวหนังหนาแห้งๆ จะทยอยหลุดลอกออกเวลาอาบน้ำ ผิวใหม่ที่ส้นเท้าจะเนียนนุ่ม หลังจากนั้นต้องหมั่นบำรุงผิวเท้าตามที่กล่าวไปข้างต้นเพื่อป้องกันไม่ให้ส้นเท้าแตกได้อีก

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point