ฉบับที่ 210 รู้เท่าทันเห็ดหลินจือ

    ในฉบับก่อน ได้กล่าวถึงเห็ดถั่งเช่าว่าเป็น “ไวอากร้าแห่งเทือกเขาหิมาลัย” ฉบับนี้ขอนำเรื่องเห็ดหลินจือมาเล่าให้รู้จัก เพราะคนไทยจะคุ้นเคยกับเห็ดหลินจือมากกว่าเห็ดถั่งเช่า จนกระทั่งมีการเพาะปลูกเห็ดหลินจือในประเทศไทยอย่างกว้างขวางพอสมควร เรามารู้เท่าทันเห็ดหลินจือกันเถอะ  เห็ดหลินจือคืออะไร                เห็ดหลินจือมีประวัติการใช้มายาวนานในประเทศจีน ญี่ปุ่น และเอเชียเพื่อให้มีสุขภาพดีและอายุยืนยาว เห็ดหลินจือเป็นเห็ดขนาดใหญ่ สีเข้ม ผิวนอกเป็นเงางาม ในบ้านเราก็มีเห็ดหลินจือเกิดในธรรมชาติ แต่คนละสายพันธุ์กับจีน        รศ.ดร. นพมาศ สุนทรเจริญนนท์  คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับเห็ดหลินจือว่า เห็ดหลินจือ หรือ เห็ดหมื่นปี  จัดเป็นราชาแห่งสมุนไพรจีน ใช้มานานกว่า 4,000 ปี เป็นยาอายุวัฒนะและรักษาโรคต่างๆ  ในเภสัชตำรับของจีนระบุสรรพคุณเป็น  ยาบำรุงร่างกาย บรรเทาอาการอ่อนเพลีย แก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง รักษาโรคหัวใจ และช่วยให้นอนหลับสรรพคุณของเห็ดหลินจือ   เห็ดหลินจือมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยามากมาย เช่น ฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ฤทธิ์ต้านเนื้องอกและมะเร็ง ฤทธิ์ป้องกันเส้นประสาทเสื่อม ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ฤทธิ์ลดไขมันในเลือด ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ต้านการอักเสบ เป็นต้น     สารสำคัญในเห็ดหลินจือ คือ สารกลุ่มโพลีแซคคาไรด์ ไตรเทอร์พีน สเตอรอล กรดไขมัน โปรตีน เป็นต้น สารสำคัญดังกล่าวจะพบในส่วนสปอร์มากกว่าส่วนดอกเห็ด สปอร์ที่กะเทาะผนังหุ้มมีฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและต้านมะเร็งได้ดีกว่าสปอร์ที่ไม่กะเทาะผนังหุ้ม และส่วนดอก (จึงมีผลิตภัณฑ์จากสปอร์เห็ดหลินจือ ออกมาจำหน่าย และมีราคาสูงกว่าเนื้อเห็ดหรือสารสกัดจากเนื้อเห็ด ซึ่งต้องเป็นสปอร์ที่ผ่านการกระเทาะเปลือกหุ้มเท่านั้น จึงจะมีประสิทธิผล)  มีการศึกษาเกี่ยวกับพิษวิทยาของเห็ดหลินจือทั้งพิษแบบเฉียบพลันและพิษแบบเรื้อรัง พบว่า มีความเป็นพิษต่ำมาก และมีความปลอดภัยสำหรับการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน การทบทวนงานวิจัยทางการแพทย์        เนื่องจากเห็ดหลินจือได้รับความนิยมและใช้ในการแพทย์ทางเลือกของประเทศต่างๆ มากขึ้น ห้องสมุดคอเครนจึงได้ทำการทบทวนงานวิจัยทางการแพทย์เกี่ยวกับการใช้เห็ดหลินในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจที่มีมาจนถึง 14 มิถุนายน ค.ศ. 2014  พบว่า                มีงานวิจัยทางการแพทย์ 5 รายงาน เปรียบเทียบการใช้เห็ดหลินจือกับยาหลอกในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานประเภท 2 จำนวน 398 ราย ระยะการศึกษา 12-16 สัปดาห์  รายงานการศึกษาไม่ค่อยมีคุณภาพ จึงมีเพียง 3 รายงาน จำนวนผู้ป่วย 157 ราย ที่นำมาวิเคราะห์ผลได้   ผลการศึกษา แสดงว่า เห็ดหลินจือไม่มีประสิทธิผลในการลดน้ำตาลในเลือด ความดันเลือด หรือคอเลสเตอรอล แต่เนื่องจากยังมีรายงานการศึกษาที่น้อย จึงไม่สามารถสนับสนุนประสิทธิผลของเห็ดหลินจือในการรักษาและลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ป่วยเบาหวานประเภท 2         นอกจากนี้ ห้องสมุดคอเครนยังทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับเห็ดหลินจือกับการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง พบว่า ยังไม่มีหลักฐานจากการศึกษาที่จะยืนยันประสิทธิผลว่าสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งมีชีวิตยืนยาวขึ้น เพราะงานวิจัยยังมีจำนวนน้อย แต่ก็พบว่า ผู้ป่วยมะเร็งที่กินเห็ดหลินจือมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่ากลุ่มควบคุม    สรุปว่า ยังไม่มีผลการวิจัยมากพอที่จะยืนยันประสิทธิผลของเห็ดหลินจือในการรักษามะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจในขณะนี้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 209 รู้เท่าทันเห็ดถั่งเช่า

ในทีวีและสื่อออนไลน์มีการโฆษณา “เห็ดถั่งเช่า” กันมากมาย อ้างว่ามีสรรพคุณหลายอย่างตั้งแต่ ลดน้ำตาลในเลือด ชะลอวัย เพิ่มโอกาสการมีบุตร ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง บำรุงตับและไต บำรุงปอดและระบบทางเดินหายใจ ทำให้จิตใจสงบ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ที่สำคัญคือ เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ  ถั่งเช่ามีสรรพคุณมากมายขนาดนั้นหรือไม่ เรามารู้เท่าทันกันเถอะถั่งเช่าคืออะไรสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ข้อมูลเรื่องถั่งเช่าอย่างละเอียดว่า  “ถั่งเช่า” หรือที่รู้จักกันว่า “ไวอากร้าแห่งเทือกเขาหิมาลัย” แปลเป็นไทยว่า “ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า” หรือที่เรียกกันว่า “หญ้าหนอน”  ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นตัวหนอน คือ ตัวหนอนของผีเสื้อ (Hepialus armoricanus Oberthiir)และบนตัวหนอนมีเห็ดชนิดหนึ่ง (Cordyceps sinensis (Berk.) Saec.)  หนอนชนิดนี้ในฤดูหนาวจะฝังตัวจำศีลอยู่ใต้ดินภูเขาหิมะ เมื่อน้ำแข็งเริ่มละลาย สปอร์เห็ดจะพัดไปกับน้ำแข็งที่ละลาย แล้วไปตกที่พื้นดิน จากนั้นตัวหนอนเหล่านี้ก็จะกินสปอร์ และเมื่อฤดูร้อน สปอร์ก็เริ่มเจริญเติบโตเป็นเส้นใยโดยอาศัยการดูดสารอาหารและแร่ธาตุจากตัวหนอนนั้น เส้นใยงอกออกจากท้องของตัวหนอน และงอกออกจากปากของมัน เห็ดเหล่านี้ต้องการแสงอาทิตย์จึงงอกขึ้นสู่พื้นดิน รูปลักษณะภายนอกคล้ายไม้กระบอก ส่วนตัวหนอนเองก็จะค่อยๆ ตายไป อยู่ในลักษณะของหนอนตายซาก ฉะนั้น “ถั่งเช่า” ก็คือ ตัวหนอนและเห็ดที่แห้ง แล้วนั่นเอง ถั่งเช่ามีสารอะไรบ้างถั่งเช่าอุดมไปด้วยสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ ได้แก่ โพลีแซคคาไรด์ นิวคลีโอไทด์, cordycepic acid, กรดอะมิโน และสเตอรอล ยังมีสารอาหารสำคัญอื่นๆ เช่น โปรตีน วิตามินต่างๆ (E, K, B1, B2 และ B12) และแร่ธาตุต่าง ๆ (โพแทสเซียม โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี และซิลิเนียม)การใช้เห็ดถั่งเช่าเพื่อสุขภาพและบำบัดโรคมีการใช้ถั่งเช่าในการดูแลสุขภาพและบำบัดรักษาโรคต่างๆ ตั้งแต่ การไอ หลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคไต การขับถ่ายปัสสาวะผิดปกติเวลากลางคืน การเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ซีด หัวใจเต้นผิดปกติ ไขมันในเลือดสูง มึนงง มีเสียงในหู น้ำหนักลด และการติดยาเสพติด  นอกจากนี้ยังใช้ในการเพิ่มระบบภูมิต้านทานของร่างกาย เสริมสร้างพลังของนักกีฬา ชะลอการชรา ช่วยให้อายุยืนยาว เป็นต้น  ถั่งเช่ารักษาโรคต่างๆ ได้จริงหรือไม่เมื่อทบทวนวรรณกรรมการศึกษาเกี่ยวกับถั่งเช่าในการบำบัดรักษาโรคต่างๆ พบว่ามีรายงานการศึกษาเรื่องถั่งเช่าตีพิมพ์ในวารสารวิชาการจำนวนมาก ทั้งในวารสาร Pubmed และห้องสมุดคอเครน มีการรายงานว่า ถั่งเช่ามีผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีผลต่อสมรรถภาพทางเพศทั้งชายและหญิง ทำให้ครีอะตินีน (ของเสียในเลือดเพื่อวัดค่าการทำงานของไต) ลดน้อยลง  โปรตีนในปัสสาวะน้อยลง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อสรุปในตอนท้ายว่า คุณภาพของหลักฐานนั้นต่ำเกินไป มีผู้ป่วยจำนวนน้อยเกินไป ควรต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมสำนักงานข้อมูลสมุนไพร มหิดล ก็ยังสรุปว่า ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะการศึกษาทางคลินิกยังมีน้อย ฉะนั้นการใช้ถั่งเช่าจะต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะถั่งเช่ามีราคาสูงมาก สรุป  แม้ว่าถั่งเช่าจะเป็นภูมิปัญญาการแพทย์แผนจีนที่เก่าแก่ แต่ข้อมูลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ยังไม่ยืนยันอย่างหนักแน่นว่ามีสรรพคุณต่างๆ จริง 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 208 รู้เท่าทัน ไขมันทรานส์

การบริโภคไขมันทรานส์ เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ ร้อยละ 21  และเสียชีวิตก่อนวัยอันควรร้อยละ 28  ไขมันทรานส์ยังนำไปสู่การแข็งตัวและการอุดตันของหลอดเลือด ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดจากไขมันทรานส์กว่า 500,000 รายในแต่ละปีนับเป็นความกล้าหาญขององค์การอนามัยโลกอีกครั้งที่ได้ประกาศเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2561 ว่า จะขจัดไขมันทรานส์ให้หมดจากระบบการผลิตอาหารของโลก และได้กำหนดยุทธศาสตร์ทีละขั้นตอนเพื่อให้บรรลุผลในปี พ.ศ. 2566 (ค.ศ. 2023)  การขจัดไขมันทรานส์นี้เป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องสุขภาพและช่วยชีวิตผู้คน เรามารู้เท่าทันไขมันทรานส์กันเถอะไขมันทรานส์ คืออะไรไขมันได้กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของผู้รักสุขภาพ ความจริงไขมันเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกายและช่วยในการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค และแคโรทีนอยด์  เมื่อกินไขมันเท่าที่จำเป็นจะช่วยให้เกิดการเจริญเติบโตที่เหมาะสมและช่วยรักษาสุขภาพ  แต่ทุกวันนี้เรากินไขมันมากเกินไป ออกกำลังกายน้อย ทำให้เกิดไขมันส่วนเกินไปสะสมในร่างกาย ไขมันในอาหารมี 3 ชนิดหลัก ได้แก่ ไขมันอิ่มตัว ไขมันไม่อิ่มตัว และ ไขมันทรานส์ไขมันทรานส์ ถูกใช้ในการผลิตอาหารในต้นคริสศตวรรษที่ 20 เพื่อใช้แทนเนย และเป็นที่นิยมอย่างมากในช่วงคริสต์ศักราช 1950-1970  ไขมันทรานส์เกิดจากกระบวนการผลิตโดยทำให้น้ำมันพืชแข็งตัวด้วยการเติมไฮโดรเจน (Partially Hydrogenated Oils, PHOs) ทำให้อาหารที่ใช้ไขมันทรานส์นั้นยืดอายุ (การขาย) ได้นาน เพิ่มความคงตัวของรสชาติ ที่สำคัญคือ มีราคาถูกกว่าไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว  อาหารหลายชนิดที่ใช้ไขมันทรานส์ ได้แก่ เนยขาว เนยเทียมหรือมาการีน คุกกี้ อาหารว่าง อาหารทอด และขนมอบ เป็นต้นไขมันทรานส์มีโทษต่อร่างกายอย่างไรไขมันทรานส์มีผลเหมือนไขมันอิ่มตัวและโคเลสเตอรอลทำให้ระดับ LDL (โคเลสเตอรอลชนิดอันตราย) ในเลือดสูงขึ้น เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ  นอกจากนี้ ไขมันทรานส์ยังลดระดับ HDL (โคเลสเตอรอลชนิดดี) ในเลือดอีกด้วย ทำให้เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจมากขึ้นองค์การอนามัยโลกได้ระบุว่า การบริโภคไขมันทรานส์ เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ ร้อยละ 21  และเสียชีวิตก่อนวัยอันควรร้อยละ 28  ไขมันทรานส์ยังนำไปสู่การแข็งตัวและการอุดตันของหลอดเลือด ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดจากไขมันทรานส์กว่า 500,000 รายในแต่ละปี การลดการบริโภคไขมันทรานส์จะช่วยลดการเกิดหัวใจวายและการเสียชีวิตได้องค์การอนามัยโลกใช้ปฏิบัติการ REPLACE   องค์การอนามัยโลกเรียกร้องให้รัฐบาลของทุกประเทศใช้ปฏิบัติการ REPLACE เพื่อขจัดไขมันทรานส์ออกจากอุตสาหกรรมอาหาร  Dr Tedros Adhanom Ghebreyesus ผู้อำนวยการคนใหม่ขององค์การอนามัยโลก กล่าวว่า “การใช้ REPLACE จะช่วยในการขจัดไขมันทรานส์ และจะเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของโลกในการต่อสู้เอาชนะกับโรคหลอดเลือดและหัวใจ”REPLACE ได้แก่Review  ทบทวนแหล่งอุตสาหกรรมการผลิตไขมันทรานส์ และฉากทัศน์ในการเปลี่ยนแปลงนโยบายPromote  ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมการผลิตไขมันทรานส์ใช้ไขมันและน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพแทนไขมันทรานส์Legislate  การออกกฎหมายเพื่อขจัดไขมันทรานส์จากการผลิตแบบอุตสาหกรรมAssess  การประเมินและกำกับดูแลการใช้ไขมันทรานส์ในการผลิตอาหารและการเปลี่ยนแปลงการบริโภคไขมันทรานส์ของประชากรCreate การสร้างความตระหนักถึงผลกระทบในทางลบของไขมันทรานส์ในผู้กำหนดนโยบาย ผู้ผลิต ผู้ขาย และสังคม Enforce  การบังคับใช้กฎหมายและระเบียบต่างๆขณะนี้หลายประเทศได้ขจัดการใช้ไขมันทรานส์ จากอุตสาหกรรมเกือบสิ้นเชิง เดนมาร์กเป็นประเทศแรกที่จำกัดการใช้ไขมันทรานส์จากอุตสาหกรรม ทำให้ปริมาณของไขมันทรานส์ในอาหารลดลงอย่างชัดเจน และอัตราการตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับประเทศ OECD (สมาชิกประเทศยุโรปตะวันตก 19 ประเทศ)ประเทศไทยต้องมีความตื่นตัวเรื่องนี้ และร่วมกันขจัดการใช้ไขมันทรานส์ในอุตสาหกรรมอาหารโดยเร็ว เพื่อให้ลูกหลานของเราไม่ต้องเสี่ยงกับโรคหัวใจและหลอดเลือด

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 206 รู้เท่าทันแผ่นแปะเท้าดูดสารพิษ

โลกโซเชียลกำลังโฆษณาขายแผ่นแปะเท้าดูดสารพิษกันอย่างครึกโครม ทั้งในอาลีบาบา อเมซอน และอื่นๆ โดยอ้างว่าสามารถดูดสารพิษออกจากร่างกายเมื่อใช้แผ่นแปะเท้าเวลานอน แผ่นแปะเท้าสามารถขจัดสารพิษออกจากร่างกายได้จริงหรือไม่ เรามารู้เท่าทันกันเถอะ แผ่นแปะเท้าดูดสารพิษคืออะไร“เมื่อติดแผ่นแปะเท้า........ที่ฝ่าเท้าเวลานอน จะช่วยขับโลหะหนัก สารพิษ พยาธิ สารเคมี และเซลลูไลต์ออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยรักษา อาการซึมเศร้า อ่อนล้า เบาหวาน ข้ออักเสบ ความดันเลือดสูง และระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ”นี่เป็นตัวอย่างโฆษณาขายผลิตภัณฑ์แผ่นแปะเท้าดูดสารพิษยี่ห้อที่ดังที่สุดยี่ห้อหนึ่งแผ่นแปะเท้าดูดสารพิษนั้นถูกโฆษณาขายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพื่อสุขภาพและขับสารพิษออกจากร่างกาย  ใช้แปะที่ฝ่าเท้าเวลานอน เมื่อตื่นนอนจะเห็นสีดำๆ คล้ำๆ ที่แผ่นแปะเท้า ซึ่งเป็นสารพิษที่ถูกขับออกมาจากร่างกาย แผ่นแปะเท้าดูดสารพิษ มีส่วนผสมสารประกอบต่างๆ ตั้งแต่ น้ำส้มควันไม้จากไม้ไผ่ หินแร่ ยูคาลิปตัส ไคโตซาน (เกล็ดปลา เปลือกกุ้ง) นอกจากนี้ยังมี สมุนไพร วิตามิน แร่ธาตุ เกลือทะเล วิตามินซี ไอออนลบ เส้นใยจากผัก เป็นต้นแผ่นแปะเท้าดูดพิษออกจากร่างกายได้อย่างไรแผ่นแปะเท้าดูดสารพิษเป็นความเชื่อแบบการแพทย์ตะวันออก มีการผลิตแผ่นแปะเท้าหลากหลายชนิดตามความเชื่อ ส่วนผสม และวัสดุต่างๆ  แผ่นแปะเท้าจึงมีคุณสมบัติและผลข้างเคียงแตกต่างกันไป เช่น การนวดกดจุดสะท้อน (reflexology) แผ่นแปะเท้าซึ่งไปกดจุดที่ฝ่าเท้า  อิออนลบซึ่งไปเพิ่มการไหลเวียนของเลือดที่เท้า แผ่นแปะเท้าจากถ่าน แผ่นแปะเท้าจากน้ำส้มควันไม้จากไม้ไผ่ และแผ่นแปะเท้าจากสมุนไพรต่างๆส่วนผสมต่างๆ ในแผ่นแปะเท้าจะดูดและจับกับสารพิษในร่างกาย ขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดมาที่เท้า สารพิษจะถูกเลือดพามาที่เท้า และถูกดูดซึมไปที่แผ่นแปะเท้าแผ่นแปะเท้าดูดพิษได้จริงหรือเรื่องนี้ได้รับการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในหลายๆ ประเทศ ด้วยความไม่เชื่อว่า แผ่นแปะเท้าจะดูดสารพิษได้จริง ความจริงแผ่นแปะเท้ามีหลักการเดียวกับการขับสารพิษด้วยการแช่เท้าในน้ำที่มีแร่ธาตุ และปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ลงไปในน้ำ น้ำที่มีไอออนลบจะดึงสารพิษในร่างกายและขับออกมาทางเท้า ทำให้น้ำที่แช่เท้าเปลี่ยนเป็นสี มีงานวิจัยที่พยายามไขข้อข้องใจเรื่องนี้มากพอควร มีงานวิจัยหนึ่ง พบว่า แร่ธาตุในน้ำ รวมทั้งวัสดุที่เป็นโลหะของเครื่องแช่เท้า เมื่อมีปฏิกิริยาทางเคมีและฟิสิกส์ จะทำให้น้ำเปลี่ยนสี ไม่ว่าจะแช่เท้าหรือไม่ก็ตาม  เมื่อตรวจปัสสาวะเพื่อดูการขับสารพิษต่างๆ ทางไต และการตรวจสารพิษที่สะสมในเส้นผม ไม่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลง การวิจัยครั้งนี้ ยืนยันว่า การขับสารพิษในร่างกายด้วยเท้านั้น ไม่เป็นเรื่องจริง ทำไมแผ่นแปะเท้าดูดสารพิษจึงเปลี่ยนเป็นสีดำแผ่นแปะเท้าที่เปลี่ยนเป็นสีดำเกิดจากสารพิษที่ดูดออกมาจริงหรือเพียงแค่เอาน้ำดื่มที่สะอาดเทลงที่แผ่นแปะเท้า ก็จะเปลี่ยนสีได้เช่นเดียวกัน นักวิจัยเอาแผ่นแปะเท้าที่เปลี่ยนสีไปหาสารพิษ สารหนูและโลหะหนักในห้องปฏิบัติการ ก็ไม่พบอะไร  เมื่อตรวจแผ่นแปะก่อนและหลังการใช้ ก็ไม่พบความแตกต่าง   สรุป  แผ่นแปะเท้าดูดสารพิษนั้น ไม่สามารถขับสารพิษในร่างกายได้จริงตามโฆษณา

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 203 รู้เท่าทันกบฏผีบุญทางการแพทย์ (ตอนที่ 1)

ปรากฏการณ์หนึ่งทางการแพทย์ที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ คือ การมีหมอเทวดาปรากฏตัวขึ้นเพื่อรักษาโรคที่การแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มีผู้คนแห่ไปรับการรักษาอย่างเนืองแน่น จนทางการต้องเข้ามาควบคุมและห้ามปราม  ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้  เราควรมีท่าทีหรือมุมมองต่อเรื่องนี้อย่างไร  เรามารู้เท่าทันกันเถอะมีหมอเทวดาเกิดขึ้นเสมอ ไม่ห่างหาย เมื่อเร็วๆ นี้ คงได้ยินข่าวมีบุคคลท่านหนึ่งแจกยารักษามะเร็ง มีผู้ป่วยมารับยาครั้งละเป็นหมื่นคน พระที่บอกว่า นั่งทางในและค้นพบวิธีการรักษาด้วยการตอกเส้น  รวมทั้งก่อนหน้านี้ ที่มีหมอเทวดาเกิดขึ้นในที่ต่างๆ ทำไมหมอเทวดาเหล่านี้ทำไมจึงเกิดขึ้นและได้รับความนิยม ทั้งๆ ที่การแพทย์แผนปัจจุบันของไทยมีความก้าวหน้ามาก และมีระบบประกันสุขภาพต่างๆ ที่รักษาโดยไม่ต้องเสียเงิน การเกิดปรากฎการณ์ที่ชาวบ้านธรรมดาๆ ลุกขึ้นมารักษาโรคให้กับประชาชน(ทั้งโดยเจตนาบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์) ซึ่งมีกฎหมายวิชาชีพทั้งการแพทย์แผนปัจจุบัน การแพทย์แผนไทย และวิชาชีพต่างๆ ดูแลอยู่นั้น นับเป็นการสั่นคลอนความเชื่อมั่น และความไว้วางใจต่อวิชาชีพต่างๆ ที่มีอยู่ ความเชื่อและวัฒนธรรมชุมชนต่อเรื่องการแพทย์ ดั้งเดิมของสังคมไทย ชุมชนจะดูแลสุขภาพด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น เมื่อเจ็บป่วยมากก็จะไปหาหมอพื้นบ้านและหมอแผนไทยเพื่อรับการรักษา หมอพื้นบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่ผ่านการบวชเรียน เมื่อมีความรู้ก็ช่วยเยียวยาชาวบ้านโดยไม่ผลตอบแทนเป็นเงินทอง   ต่อมาพ.ศ. 2466 มี พระราชบัญญัติการแพทย์ ทำให้การรักษาพยาบาลประชาชนต้องกระทำโดยผู้ประกอบโรคศิลปะเท่านั้น  ทำให้หมอพื้นบ้านและหมอแผนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่มีใบประกอบโรคศิลปะยกเลิกการรักษาผู้ป่วยเนื่องจากเกรงกลัวผิดกฎหมายหมอเทวดานั้นผูกพันกับความเชื่อ และวัฒนธรรมท้องถิ่น  หมอเทวดานั้นจะผูกพันและมีฐานความเชื่อของวัฒนธรรมท้องถิ่นและชุมชน โดยเฉพาะ ยาสมุนไพร วิธีการรักษาพื้นบ้าน ที่มาของภูมิปัญญาจากการนั่งทางใน หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และส่วนใหญ่เป็นการรักษาที่ไม่หวังผลตอบแทนเป็นเงินทอง  ความเชื่อและวิถีปฏิบัติของหมอเทวดาเหล่านี้ สอดคล้องกับความเชื่อของสังคมไทยที่มองการเยียวยานั้นเป็นการเยียวยาแบบเอื้ออาทร และหมอเป็นผู้มีเมตตากรุณาต่อผู้ป่วย  แน่นอนที่ว่า มีมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นหมอเทวดา เพื่อหวังหลอกลวงและค่าตอบแทนจากผู้หลงเชื่อหมอเทวดาเปรียบเสมือนกบฏผีบุญทางการแพทย์หรือไม่เรื่องของกบฏผีบุญ หรือกบฏผู้มีบุญ เกิดขึ้นครั้งแรกในปีพ.ศ. 2249 เป็นกบฏผีบุญลาวบุญกว้าง เข้ายึดเมืองโคราช  หลังกบฏลาวบุญกว้าง ยังมีกบฏผีบุญ 8 ครั้ง กบฏเชียงแก้ว พ.ศ. 2334 กบฏสาเกียดโง้ง กบฏสามโบก กบฏผู้มีบุญอีสาน กบฏหนองหมากแก้ว กบฏหมอลำน้อยชาดา กบฏหมอลำโสภาและกบฏศิลา วงศ์สิน พ.ศ. 2502   การเกิดกบฏผีบุญอีสาน พ.ศ. 2444-2445 เป็นเพราะ ราษฎรไม่พอใจการเก็บภาษีส่วยจากชายฉกรรจ์ มิหนำซ้ำมาเกิดภัยแล้งติดต่อกันสองสามปี ส่วนขุนนางท้องถิ่นไม่พอใจการปฏิรูปการปกครองที่เอาอำนาจไปจากพวกเขาแล้วยังเอาผลประโยชน์ ประกอบกับการคุกคามจากฝรั่งเศส ทำให้กบฏขยายตัวอย่างกว้างขวางถึง 13 จังหวัด แต่ถูกปราบโดยรัฐบาลการเกิดหมอเทวดาจากผู้ที่ไม่ได้เป็นหมอวิชาชีพ อาจเป็นเสมือนการทวงคืนพื้นที่และสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนในการเลือกที่จะรับการเยียวยาจากหมอชาวบ้าน บนฐานการพึ่งตนเองของชุมชน ก็เป็นได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 198 รู้เท่าทันอาหารคีโตเจ้น

เมื่อเร็วๆ นี้ มีหมอบางคนออกมาแนะนำให้กินน้ำมันหมู ขาหมูเพื่อเป็นการลดน้ำหนัก และรักษาสุขภาพ เอ๊ะ...อย่างไร  เพราะเราได้รับการปลูกฝังมาตลอดว่า มันหมู หรือน้ำมันจากสัตว์นั้นเป็นไขมันอิ่มตัว เป็นอันตรายต่อสุขภาพ  แต่ทำไมคุณหมอจึงกลับบอกว่าดี อันที่จริงความเชื่อเหล่านี้มีทฤษฎีความเชื่อมาจากสูตรอาหารแบบคีโตเจ้น สูตรอาหารแบบแอตกิ้นส์  และเรื่องน้ำมันที่มีประโยชน์และที่เป็นโทษต่อร่างกาย  วันนี้เรามารู้เท่าทันอาหารแบบ คีโตเจ้นหรือคีโตเจนิกไดเอ็ท (Ketogenic diet) กันเถอะอาหารคีโตเจ้นหรือคีโตเจนิกไดเอ็ท คืออะไร คนไทยไม่คุ้นเคยกับชื่ออาหารคีโตเจ้น แต่ถ้าบอกว่า อาหารสำหรับนักเพาะกาย นักกีฬา อาจเข้าใจได้ง่าย  เพราะอาหารนักเพาะกายจะกินโปรตีนเป็นหลัก เพื่อสร้างกล้ามเนื้อให้เป็นมัดๆ  รีดไขมันออก   ดารานักแสดงหนังบู๊ของฮอลลีวู้ดที่เน้นร่างกายที่บึกบึน จะต้องเพาะกายและกินอาหารแบบนี้ อาหารคีโตเจ้นเป็นสูตรอาหารที่คาร์โบไฮเดรตหรือแป้งต่ำ(เหมือนอาหารแอตกิ้นส์)  เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานจากโปรตีนและไขมันแทน  เป็นการลดหรือตัดแป้งออกซึ่งย่อยง่ายกว่า เช่น น้ำตาล น้ำอัดลม ข้าวขาว เป็นต้น เมื่อร่างกายกินแป้งน้อยกว่า 50 กรัมต่อวัน ร่างกายจะขาดพลังงาน (น้ำตาลในเลือด)  ปรากฏการณ์นี้จะกินเวลา 3-4 วัน แล้วร่างกายจะค่อยๆ  ย่อยสลายโปรตีนและไขมันเพื่อสร้างพลังงาน ทำให้น้ำหนักลดลง ภาวะนี้เรียก คีโตซิสมีการใช้อาหารคีโตเจ้นรักษาอะไรบ้าง การแพทย์ทางเลือกใช้เพื่อลดน้ำหนัก แต่มีการใช้รักษาโรคบางชนิด เช่น ลมบ้าหมู โรคหัวใจ โรคทางระบบประสาท สิว เบาหวาน เป็นต้น ซึ่งยังต้องทำการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมก่อนที่จะยอมรับเป็นการรักษาตามมาตรฐานผลเสียจากการกินอาหารคีโตเจ้น อย่างแรกคือ โคเลสเตอรอลสูง เนื่องจากแหล่งโปรตีนมาจากเนื้อสัตว์ นม อาหารมัน  ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ  แต่ผลการศึกษาผู้ที่กินอาหารแบบแอตกินส์มานาน 2 ปี กลับมีไขมันเลวลดลงไตต้องทำงานหนักมากขึ้น อาจเกิดนิ่วในไตอาจทำให้กระดูกพรุน เพราะการกินโปรตีนมาก จะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะมากขึ้นท้องผูก น้ำตาลในเลือดต่ำเล็กน้อย อาหารไม่ย่อย อาหารคีโตเจ้นดีจริงหรือไม่ เมื่อทบทวนงานศึกษาวิจัยจากวารสารวิชาการที่เชื่อถือได้ พบว่า อาหารคีโตเจ้นเกิดประโยชน์ดังนี้1. การกินอาหารคีโตเจ้นช่วยควบคุมความหิว สามารถลดน้ำหนัก ระยะเวลาในการกินอาหารคีโตเจ้นอาจเป็นระยะสั้น (2-3 สัปดาห์) จนถึงระยะยาว (6-12 เดือน)  การกินอาหารคีโตเจ้นสามารถรักษาโรคอ้วนได้ ถ้าใช้ในการควบคุมของแพทย์2. การกินอาหารคีโตเจ้นช่วยลดน้ำหนักได้ดีกว่าอาหารไขมันต่ำ และการศึกษาในผู้ป่วยมะเร็ง โรคหัวใจ โรคระบบประสาท พบว่ามีผลที่น่าสนใจ ซึ่งต้องการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม3. การกินอาหารคีโตเจ้นระยะยาว ช่วยลดน้ำหนักและดัชนีมวลกาย นอกจากนี้ ยังลดไตรกลีเซอไรด์  LDL น้ำตาลในเลือด และช่วยเพิ่ม HDL  การกินอาหารคีโตเจ้นระยะยาวยังไม่พบผลข้างเคียงกับผู้ป่วย  จึงสามารถกินเป็นเวลานานได้สรุป  การกินอาหารที่คาร์โบไฮเดรตต่ำ กินโปรตีนและไขมันสูงแบบอาหารคีโตเจ้นส์ หรือแบบแอตกินส์นั้นมีผลในการลดน้ำหนัก และทำให้ไขมันเลวลดลง  อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงก็มีตามมา เช่น ท้องผูก ไตทำงานหนัก กระดูกพรุน  ที่สำคัญ ต้องมีการศึกษาระยะยาวกว่านี้ ว่าอาหารที่โปรตีนสูงนั้นอาจก่อให้เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เพิ่มขึ้นหรือไม่

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 195 รู้เท่าทันผึ้งบำบัด

นอกจากการใช้ปลิง หอยทาก ในการบำบัดรักษาโรคต่างๆ แล้ว  การแพทย์ทางเลือกและการแพทย์เสริมยังนิยมใช้ผึ้งต่อยหรือฝังเหล็กในที่ร่างกายผู้ป่วยเพื่อเป็นการบำบัดโรคปวดข้อ ข้อเสื่อมอีกด้วย  การบำบัดด้วยพิษจากเหล็กในของผึ้งได้ผลจริงหรือไม่  เรามารู้เท่าทันกันเถอะ พิษของผึ้งมีผลอย่างไรต่อร่างกาย การบำบัดด้วยเหล็กในผึ้งเป็นการรักษาแบบพื้นบ้าน ซึ่งนิยมใช้ในหลายประเทศมานานหลายศตวรรษ  ในการแพทย์ดั้งเดิมใช้ในการบำบัด ข้ออักเสบ ภูมิต้านทานร่างกายผิดปกติ  พิษจากเหล็กในผึ้งประกอบด้วยสารประกอบต่างๆ ประมาณ 40 ชนิดที่ช่วยในการเยียวยา โดยเฉพาะสารเมลิตติน (melittin)  ซึ่งเป็นสารที่ช่วยลดการอักเสบและข้ออักเสบผู้คนเชื่อว่า พิษของผึ้งมีผลในการลดความเจ็บปวด ช่วยบรรเทาอาการของโรคต่างๆ ตั้งแต่ ข้ออักเสบ เอ็นอักเสบ กล้ามเนื้อพังผืดอักเสบ  รูมาตอยด์ ปลอกประสาทอักเสบ เป็นต้น  บางเว็บไซต์อ้างว่าบำบัดอาการต่างๆ ได้มากกว่า 30 โรค สมมติฐานทางการแพทย์เชื่อว่า พิษของเหล็กในผึ้งจะไปกระตุ้นต่อมหมวกไตเพื่อหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดอาการอักเสบ  นอกจากนี้ พิษของเหล็กในผึ้งยังไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันเพื่อไปเยียวยาส่วนต่างๆ และยังไปสร้างสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งลดความเครียดและลดอาการปวดของร่างกาย  นอกจากนี้พิษเหล็กในผึ้งยังมีคุณสมบัติในการต่อสู้กับแบคทีเรีย ไวรัส ในระบบประสาทส่วนกลางและที่อื่นๆมีอาการแพ้พิษจากเหล็กในผึ้งได้หรือไม่ ในสหรัฐอเมริกา มีผู้มีประสบการณ์การบำบัดด้วยผึ้งประมาณ 65,000 คน ซึ่งมีเพียงร้อยละ 2 เท่านั้นที่มีอาการแพ้  แม้ว่าพิษของเหล็กในผึ้งจะไม่สามารถบำบัดได้ทุกอาการ แต่ก็สามารถทำให้อาการต่างๆ สงบลงได้โดยไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายเมื่อเทียบเท่ากับยา ในสหราชอาณาจักร พบว่า ในแต่ละปี มีผู้เสียชีวิตจากการแพ้พิษจากเหล็กในผึ้ง 2- 9 ราย  ดังนั้น เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการแพ้ จึงมีการฉีดพิษเหล็กในผึ้งที่บริสุทธิ์เข้าใต้ผิวหนังทีละน้อย และค่อยๆ เพิ่มขึ้น แทนที่จะใช้ผึ้งเป็นๆ มาต่อยที่ผิวหนัง จาการทบทวนเอกสาร พบงานวิจัย 145 รายงาน   พิษเหล็กในผึ้งก่อให้เกิดความเสี่ยงในการแพ้ถึง ร้อยละ 261 เมื่อเทียบกับการฉีดด้วยน้ำเกลือ  อาการแพ้พิษเกิดได้บ่อย จึงสมควรที่นักบำบัดจะต้องระวังเมื่อใช้ผึ้งบำบัด และต้องได้รับการอบรมตามมาตรฐานพิษจากเหล็กในผึ้งบำบัดโรคได้จริงหรือไม่ จากการทบทวนวรรณกรรมใน PUBMED, EMBASE และ Cochrane Library เกี่ยวกับการบำบัด       ข้ออักเสบ ด้วยพิษเหล็กในผึ้ง  มีงานวิจัย 15 รายงาน พบว่า พิษจากเหล็กในผึ้งมีผลในการลดการอักเสบและอาการปวด  มี 5 รายงานที่แสดงว่า พิษจากเหล็กในผึ้งมีประสิทธิผลในการบำบัดข้ออักเสบ มีการทบทวนการวรรณกรรมการใช้พิษเหล็กในผึ้งในการบำบัดมะเร็งเช่น  มะเร็งที่ไต ปอด ตับ ต่อมลูกหมาก กระเพาะปัสสาวะ เต้านม และมะเร็งเม็ดเลือดขาว  พบว่า สารเมลิตตินและฟอสฟอไลเปส A2 สามารถจับเซลล์มะเร็ง และมีผลทำให้เซลล์มะเร็งตายได้  ซึ่งจะเป็นแนวทางในการศึกษาต่อไป นอกจากนี้ ยังมีการทบทวนวรรณกรรมในการใช้พิษเหล็กในผึ้งในการรักษารูมาตอยด์ อาหารปวดหลังส่วนล่าง ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก และอื่นๆ อีกจำนวนมากสรุป การบำบัดด้วยพิษเหล็กในผึ้งนั้น มีหลักฐานการวิจัยมากพอควรว่ามีประสิทธิผลในการรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะ ข้ออักเสบ รูมาตอยด์ อาการปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ ทั้งนี้เพราะ พิษจากเหล็กในผึ้งมีผลในการลดการอักเสบและอาการปวด  รวมทั้งมีผลต่อภูมิคุ้มกันของร่างกายซึ่งมีผลดีในผู้ที่มีปัญหาภูมิต้านทานของร่างกายผิดปกติ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 185 รู้เท่าทันหมามุ่ย

เมื่อเดือนมิถุนายนมีข่าวโด่งดังเกี่ยวกับหญิงสาวเมืองตรังเสียชีวิตจากการกินสารสกัดหมามุ่ยอินเดีย ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของธุรกิจขายตรงบริษัทหนึ่ง  หลังจากกินสารสกัดหมามุ่ย 2 แคปซูลมื้อเช้า และ 2 แคปซูลมื้อเที่ยง  ก็เริ่มมีอาการแพ้ยาอย่างรุนแรง ปากบวม ตาบวม ผื่นขึ้น ผิวหนังลอก เลือดออกที่ลิ้น และเสียชีวิตในที่สุด  หมามุ่ยมีอันตรายถึงเสียชีวิตหรือไม่ มีประโยชน์หรือไม่ เรามารู้เท่าทันหมามุ่ยกันเถอะรู้จักหมามุ่ยหมามุ่ยเป็นพืชตระกูลถั่ว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mucuna pruriens (L.) DC. เป็นพืชเถา มีขนคัน เติบโตได้ดีในเขตร้อน ตั้งแต่ อินเดีย หมู่เกาะบาฮามาส และอาจไปถึงฟลอริด้าทางใต้  มีการใช้หมามุ่ยตั้งแต่สมัยโบราณ การแพทย์อายุรเวท ใช้รักษาโรคพาร์กินสัน  และใช้กันมาถึง  รักษาอาการวิตกกังวล ข้ออักเสบ พยาธิ ลดอาการปวดและไข้ กระตุ้นให้อาเจียน และใช้รักษางูพิษกัด  การแพทย์ดั้งเดิมแถบหมู่เกาะแคริบเบียนใช้ในการทำให้อารมณ์ดี สมาธิดีขึ้น และมีพลังมากขึ้น  ซึ่งเป็นที่รู้จักและนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันหมามุ่ยมีหลายสายพันธุ์ แต่ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์เดียวกัน  ในประเทศไทยจะเป็นไม้ป่า Mucuna pruriens (L.) DC. Cultivar group Pruriens  มีขนพิษปกคลุมที่ฝัก จึงไม่นิยมนำมาปลูกหมอพื้นบ้านไทยจะใช้เมล็ดหมามุ่ยในการรักษาโรคบุรุษ เชื่อว่าสามารถใช้เป็นยากระตุ้นกำหนัด หมามุ่ยมีสรรพคุณเพราะอะไร     เมล็ดหมามุ่ยมีสาร L-dopa หรือ levodopa ปริมาณสูง  สามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคพาร์กินสัน  สาร L-dopa เป็นสารตั้งต้นของสารสื่อประสาท dopamine ซึ่งมีผลต่อสมองส่วนต่างๆ โดยเฉพาะการควบคุมการเคลื่อนไหว  ดังนั้น ในผู้ป่วยที่มีระดับสาร dopamine ในสมองต่ำ  เมื่อกินหมามุ่ยแล้วจะดีขึ้นผลข้างเคียงจากการกินหรือใช้หมามุ่ยสำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ไม่มีปัญหาการแพ้หมามุ่ย  การทบทวนเอกสารวิชาการพบว่า ถ้ากินในปริมาณระหว่าง 100 – 1,000 กรัมต่อวัน  แต่ถ้ากินในปริมาณ 1,000 กรัม มักจะมีอาการใจสั่น ความดันเลือดสูง การย่อยอาหารไม่ดี ปวดศีรษะ  ในกรณีที่กินต่ำกว่า 500 มก. จะไม่มีอาการดังกล่าว  ดังนั้น จึงควรกินในปริมาณที่ต่ำไว้ก่อน เมื่อพบว่าไม่มีผลข้างเคียงจึงค่อยเพิ่มปริมาณมีงานวิจัยมากพอหรือไม่เมื่อทบทวนใน Pubmed พบว่า มีงานวิจัยเกี่ยวกับหมามุ่ยถึง 194 รายงาน  ที่น่าสนใจคือ มีการวิจัยในระดับคลินิกมากพอควร  มีงานวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิผลของหมามุ่ยในการรักษาโรคต่างๆ ตั้งแต่ โรคพาร์กินสัน โรคเบาหวาน โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ผลในการกระตุ้นให้อารมณ์ดีขึ้น การรายงานว่าหมามุ่ยทำให้ผมผู้ป่วยพาร์กินสันที่กินหมามุ่ยมีผมดำขึ้น จนกระทั่งการรักษาพิษงู ก็มีงานวิจัยในห้องปฏิบัติการว่ามีผลในการป้องกันพิษงูเห่าได้ดี ซึ่งงานวิจัยส่วนใหญ่ยืนยันผลที่ดีของหมามุ่ยในการรักษาโรคต่างๆ ตามการแพทย์อายุรเวท และการแพทย์ดั้งเดิมอื่นๆ  งานวิจัยยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับความเป็นอันตรายที่เกิดจากการใช้หมามุ่ยในการรักษาโรคต่างๆ สรุป การใช้หมามุ่ยเพื่อรักษาโรคพาร์กินสัน  การหย่อนสมรรถภาพทางเพศ  การช่วยให้อารมณ์แจ่มใส สมาธิดีขึ้นนั้น มีงานวิจัยที่มากพอในการยืนยันประสิทธิผลดังกล่าว  แต่ไม่มีรายงานเกี่ยวกับอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต  อย่างไรก็ตามหมามุ่ยเป็นพืชตระกูลถั่ว  จึงอาจมีปัญหาการแพ้ในผู้ที่มีประวัติการแพ้ถั่ว จึงควรมีคำเตือนในการใช้ ที่สำคัญ ต้องรีบศึกษาว่าสารสกัดหมามุ่ยของบริษัทขายตรงนั้น มีสารเคมีอะไรบ้าง  มีส่วนผสมอะไรบ้าง เพื่อจะได้รู้สาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 184 รู้เท่าทันกระท่อม

เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวเกี่ยวกับต้นกระท่อมว่า ทางเยอรมันและอีกหลายประเทศในยุโรปส่งเสริมการปลูกกระท่อมเพื่อใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคต่างๆ เป็นจำนวนมาก  มีการส่งรูปของนายกรัฐมนตรีหญิงเยอรมันกำลังปลูกต้นกระท่อมในเฟสบุ๊คอย่างกว้างขวาง  และมีข่าวในหนังสือพิมพ์ไทยว่า มาเลเซียปลูกต้นกระท่อมกันขนานใหญ่ และส่งใบกระท่อมเข้ามาขายให้คนไทยบริโภค ทำรายได้ให้กับชาวมาเลย์เป็นจำนวนมาก เพราะมีประเทศไทยประเทศเดียวเท่านั้นในโลกใบนี้ที่ควบคุมให้กระท่อมเป็นยาเสพติด  เรามารู้เท่าทันกระท่อมกันเถอะกระท่อมคืออะไร กระท่อมเป็นไม้ยืนต้นที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า มิตราไจนา สเปซิโอซา คอร์ท (Mitragyna Speciosa Korth) จัดอยู่ในตระกูล รูเบียซีอี (Rubiaceae) ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับกาแฟ  มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนชื้นแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย มาลายู จนถึงเกาะนิวกินีด้วย ภาคเหนือเรียกอีด่าง อีแดง กระอ่วม ภาคใต้ เรียกท่อม หรือท่ม ในมลายูเรียก คูทุม (Kutum) หรือ คีทุมเบีย (Ketum Bia) หรือ เบียก (Biak) ลาวเรียก ไนทุม (Neithum) อินโดจีน เรียก โคดาม (Kodam)    สรรพคุณทางยาตำราแพทย์แผนโบราณ ใช้ใบกระท่อมปรุงเป็นยา เรียกว่า ประสะกระท่อม ใช้รักษาโรคบิด แก้ปวดมวนท้อง ปวดเบ่ง ปวดเมื่อยร่างกาย ท้องเฟ้อ ท้องเสีย ท้องร่วง ทำให้นอนหลับ และระงับประสาท ในมุมมองของแพทย์แผนไทยส่วนใหญ่ จะนำพืชกระท่อมมาใช้เป็นยาแก้ท้องร่วง และที่กล่าวว่ามีประสะกระท่อมนั้น แสดงว่าในใบกระท่อมนั้นมีพิษอยู่ด้วย คนโบราณนั้น หากยาชนิดไหนที่มีพิษจะมีการประสะ คือ ทำให้พิษอ่อนลง และสามารถทำได้หลายรูปแบบพืชกระท่อมมีสารแอลคะลอยด์มิตราไจนีนอยู่ในใบ มีฤทธิ์ระงับอาการปวด เช่นเดียวกับมอร์ฟีน โดยมีความแรงต่ำกว่ามอร์ฟีนประมาณ 10 เท่า แต่มีข้อดีกว่ามอร์ฟีนอยู่หลายประการ ได้แก่ ไม่กดระบบทางเดินหายใจ เกิดการติดยาช้ากว่ามอร์ฟีนหลายปี  ไม่มีอาการอยากได้ยา  จึงทำให้ผู้เสพไม่ก่อความรุนแรงหรืออาชญากรรม  ที่สำคัญ ไม่มีสนธิสัญญาระหว่างประเทศห้ามการปลูกเหมือนฝิ่น   ประเทศไทย พืชกระท่อมถูกควบคุมโดย พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 กระท่อมเพิ่งปรากฏเป็นยาเสพติดต้องห้ามตามกฎหมายเป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 8 เหตุผลที่แท้จริงของการออก พ.ร.บ.พืชกระท่อม พ.ศ.2486  เนื่องจากรัฐเป็นผู้ผูกขาดผลิตฝิ่นสุก ฝิ่นดิบ ซึ่งมีราคาแพง ทำให้คนหันมาสูบกระท่อมแทนฝิ่น ดังนั้น การตรา พ.ร.บ.พืชกระท่อม พ.ศ. 2486 และใช้สืบเนื่องมาจนทุกวันนี้มีเหตุผลและหลักการทางการค้าทางภาษีของรัฐ หาใช่เพราะเหตุที่พืชกระท่อมเป็นพืชเสพติดเองไม่ ประเทศมาเลเซียห้ามใช้ใบกระท่อมตาม พ.ร.บ.สารพิษ พ.ศ. 2495 และมีการลงโทษทั้งปรับทั้งจำ  ในสหรัฐอเมริกาประกาศให้กระท่อมไม่เป็นพืชที่ต้องควบคุม  แต่มีบางรัฐที่กำหนดให้เป็นพืชต้องห้ามหรือควบคุมการใช้  ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2558 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของอเมริกาได้ออกมาเตือนอันตรายของการบริโภคกระท่อมว่า สามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ ได้แก่ การกดการหายใจ วิตกกังวล ก้าวร้าว นอนไม่หลับ ภาพหลอน คลื่นไส้อาเจียน เป็นต้นควรยกเลิกพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษหรือไม่มีความพยายามที่จะยกเลิกกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษ  ที่ประชุมวุฒิสภา(สมัยสามัญนิติบัญญัติ) เป็นพิเศษ เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 เห็นสมควรที่จะให้ยกเลิก “พืชกระท่อม” ออกจากยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ โดยมอบให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานรับผิดชอบดังนั้น การยกเลิกกระท่อมออกจากยาเสพติดน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในหลายด้าน ตั้งแต่ด้านการแพทย์ เศรษฐกิจ สังคมและการเมือง                                      

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 183 รู้เท่าทันความเป็นกรดด่างกับมะเร็ง

 ขณะนี้เราจะได้รับข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับการรักษามะเร็งด้วยการปรับความเป็นกรดด่างในเลือดให้เป็นด่าง  เพราะมะเร็งชอบสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด  ดังนั้นถ้าเราปรับเลือดของเราให้เป็นด่างจะเป็นการฆ่าเซลล์มะเร็งไปในตัว  ทำให้น้ำดื่มที่เป็นด่าง รวมทั้งอาหารที่สร้างภาวะความเป็นด่างกลายเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ได้รับการส่งเสริมไปทั่วโลก  เรามารู้เท่าทันภาวะกรดด่างกับมะเร็งกันเถอะความเชื่อเกี่ยวกับภาวะกรดด่างกับมะเร็งปัจจุบัน วงการแพทย์ทางเลือกทั่วโลกมีความเชื่อและส่งเสริมให้คนกินอาหารด่างอย่างแพร่หลายว่า มะเร็งจะเจริญเติบโตได้ดีและเร็วในภาวะที่เป็นกรด  มะเร็งไม่สามารถเติบโตในภาวะแวดล้อมที่เป็นด่าง  ดังนั้น  การดื่มน้ำและกินอาหารที่เป็นด่างจะทำให้ไม่เป็นมะเร็งหรือรักษามะเร็งได้ ไม่เป็นข้ออักเสบ โรคอ้วนและโรคอื่นๆ   น้ำดื่มที่เป็นด่างนั้นสามารถทำได้โดยการใช้เครื่องที่ปรับน้ำธรรมดาให้เป็นน้ำที่มีค่าความเป็นด่าง  ส่วนอาหารที่สร้างภาวะเป็นด่างนั้นได้แก่  ผลไม้ ผัก และอาหารที่ได้จากพืชผักต่างๆ  และจำกัดการกินอาหารที่แปรรูปอาหารด่างสามารถเปลี่ยนเลือดให้เป็นภาวะด่างได้จริงหรือไม่การอ้างนี้ขัดกับความเป็นจริงที่ว่า ร่างกายมีระบบการปรับสมดุลความเป็นกรดด่างที่เข้มงวด โดยมีไตเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่กรองและขับความเป็นกรดออกไปเพื่อให้เลือดคงความเป็นด่างเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา  ถ้าเลือดมีภาวะเป็นกรดหรือด่างผิดปกติมากหรือเรื้อรังจะเกิดอันตรายต่อชีวิตได้  อาหารหรือน้ำด่างที่เรากินเข้าไปนั้น ไม่สามารถเปลี่ยนเลือดให้เกิดสภาวะเป็นด่างได้  ปกติเลือดของเรามีความเป็นด่างเล็กน้อยอยู่แล้ว (เลือดมีความเป็นกรดด่าง 7.35-7.45  ความเป็นกรดด่าง 7 จะเป็นกลาง  กระเพาะอาหารเป็นกรดมาก 3.5 หรือต่ำกว่า เพื่อช่วยการย่อยอาหารโดยเฉพาะโปรตีน) อาหารสามารถเปลี่ยนความเป็นกรดด่างของปัสสาวะได้ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนภาวะกรดด่างของเลือด เซลล์มะเร็งเติบโตได้ดีในภาวะกรดจริงหรือไม่เซลล์มะเร็งนั้นสามารถเจริญเติบโตในเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งมีสภาวะความเป็นด่างเล็กน้อย  มีการทดลองจำนวนมากที่ยืนยันว่าเซลล์มะเร็งสามารถเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่เป็นด่าง  เนื้องอกเจริญเติบโตได้เร็วกว่าในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด เป็นเพราะเนื้องอกสร้างสภาวะความเป็นกรดด้วยตัวเองอาหารด่างมีประโยชน์หรือไม่อย่างไรก็ตาม แนวทางอาหารด่างที่กำลังนิยมกันนั้นนับเป็นอาหารสุขภาพ  เพราะได้แก่การกินผลไม้ ผัก และอาหารที่ได้จากพืชผักต่างๆ  ในปริมาณมาก  และจำกัดการกินอาหารที่แปรรูป  เป็นแนวทางการกินอาหารแบบดั้งเดิมที่บรรพบุรุษของเรากินกันมา  เป็นแนวทางของอาหารพื้นบ้าน  ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าการกินอาหารที่เป็นกรด(อาหารเนื้อสัตว์ นม ไข่ เป็นต้น)  มากเกินไปแต่การอ้างสรรพคุณอาหารด่างว่าสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งเพราะไปปรับเลือดให้เป็นด่างนั้น  จึงไม่สมเหตุผลและไม่มีหลักฐานวิชาการเพียงพอที่จะสนับสนุนประสิทธิผลตามที่อ้างสรุปว่า ความเชื่อเรื่องการกินอาหารและน้ำที่เป็นด่างเพื่อให้เลือดในร่างกายมีภาวะเป็นด่าง รวมทั้งภาวะความเป็นด่างจะทำให้เซลล์มะเร็งนั้นไม่เจริญเติบโตนั้น  จึงยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จะยืนยันว่าเป็นไปได้จริง  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 182 รู้เท่าทันย่านาง

ทุกวันนี้มีการส่งเสริมการใช้ย่านางกันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่การนำมาคั้นเป็นน้ำย่านางสดๆ สีเขียว แช่เย็น แคปซูลใบย่านาง และชาวบ้านได้พัฒนาการสกัดด้วยวิธีการต่างๆ นำสารสกัดมาทำเป็นน้ำดื่มใสๆ สเปรย์น้ำใบย่านาง สบู่ เป็นต้น โดยมีการโฆษณาสรรพคุณต่างๆ ตั้งแต่ การปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาอาการอันเกิดจากภาวะไม่สมดุลจากร้อนเกิน คลอโรฟิล สารต้านอนุมูลอิสระ ให้ความสดชื่น ฟื้นฟูพลัง บางคนอ้างว่าน้ำใบย่านางสามารถบำบัดรักษาอาการต่างๆ ได้มากกว่า 32 อาการ เรามารู้เท่าทันน้ำใบย่านางนั้นดีจริงหรือ การใช้ตามภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน การใช้ย่านาง (Tiliacora triandra (Colebr.) Diels) ตามภูมิปัญญานั้น ยาพื้นบ้านไทยใช้รากแก้ไข้ แก้ร้อนใน ในทางเภสัชวิทยาสารสกัดเมทานอลของรากย่านางมีฤทธิ์ต้านเชื้อมาเลเรียในหลอดทดลอง สารสกัดรากย่านางยังมีฤทธิ์ลดความดันโลหิต และต้านออกซิเดชั่น ในตำราสรรพคุณยาไทยว่า รากย่านางมีรสขมจืด แก้พิษเมาเบื่อ กระทุ้งพิษไข้ แก้ไข้ถอนพิษสำแดง มีงานวิจัยรองรับความเชื่อหรือไม่ พบว่ามีการศึกษาวิจัยที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ได้มาตรฐานคือ Pubmed มีบทความวิชาการที่เกี่ยวกับย่านาง 10 บทความ สรุปสาระสำคัญได้ว่า   1. สารสกัดย่านางมีฤทธิ์ในการรักษาความผิดปกติของการทำงานของสมองที่เกิดจากแอลกอฮอล์ในหนูทดลอง แต่จำเป็นต้องทำการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อเข้าใจกลไกและสารออกฤทธิ์ 2. สารสกัดใบย่านางด้วยน้ำเป็นสารประกอบฟีนอล (phenolic compound) เป็นหลักและมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสูง การศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้สูงในการทำสารสกัดใบย่านางให้แห้งด้วยการอบแห้งแบบพ่นฝอยและผลิตเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรโดยการบรรจุในแคปซูล 3. สารสกัดย่านาง (Bisbenzylisoquinoline alkaloids) มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อวัณโรคที่ดื้อยา นอกจากนี้ยังมีบทความวิจัยยาห้ารากหรือเบญจโลกวิเชียร ซึ่งประกอบด้วย มะเดื่อชุมพร ชิงชี่ เท้ายายม่อม คนทา ย่านาง พบว่า 1. การใช้สารสกัดยาห้ารากนั้นมีผลในการลดอาการคันและอาการแพ้ของผิวหนังต่างๆ 2. สารสกัดเมทานอลยาห้ารากนั้น ย่านางและเท้ายายม่อม เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียสูงสุด   การศึกษาความเป็นพิษของย่านางนั้นค่อนข้างปลอดภัย สรุปได้ว่า สารสกัดใบย่านางนั้นมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสูง รักษาความผิดปกติของสมองที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ และยังมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อวัณโรคที่ดื้อยาอีกด้วย ดังนั้น น่ายกย่องภูมิปัญญาชาวบ้านที่พัฒนาการใช้น้ำใบย่านางอย่างกว้างขวางในขณะนี้ เพราะเป็นการส่งเสริมการพึ่งตนเองของประชาชนในการดูแลสุขภาพ ควรมีการศึกษาวิจัยในการพัฒนาการใช้ประโยชน์จากใบย่านางให้เป็นน้ำดื่มต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิผลสูงและราคาถูก การรักษาวัณโรคที่ดื้อยา และการฆ่าเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง เพราะจะทำให้ประชาชนคาดหวังมากเกินไป และทำให้หมดความเชื่อถือภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีคุณค่า  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 181 รู้เท่าทันผลิตภัณฑ์เสริมพลังทางเพศ

ในเว็บไซต์ โทรทัศน์ เฟซบุ๊ค มีการโฆษณาเกี่ยวกับยา อาหารเสริมที่เสริมพลังทางเพศทั้งชายและหญิง (สำหรับประเทศไทยจะเน้นผู้ชายเป็นหลัก) จำนวนมาก  และมักเน้นว่า ยาและอาหารเสริมพลังทางเพศเหล่านี้ทำให้สามารถมีกิจกรรมทางเพศยาวนานขึ้น ถี่ขึ้น ทนทานดีขึ้น  อวัยวะเพศชายที่ไม่ค่อยแข็งสามารถแข็งตัวได้ดี  เรียกว่าครอบจักรวาลและทางช้างเผือกเลย  ทำให้มีผู้บริโภคจำนวนมากอยากทดลอง  เมื่อไม่ได้ผลก็ไม่กล้าออกมาร้องเรียนเพราะสังคมไทยถือว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องที่ไม่น่ามาเปิดเผยสู่สาธารณะ  เรามารู้เท่าทันเรื่องเหล่านี้กันเถอะปัญหาเรื่องสมรรถภาพทางเพศการมีปัญหาเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศนั้นหมายถึง ความไม่พอใจหรือขาดความสุขของแต่ละบุคคลหรือคู่ครองในการมีกิจกรรมเพศสัมพันธ์ขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง  ได้แก่ ความสุขทางกาย ความต้องการทางเพศ การสัมผัส การถึงจุดสุดยอดทางเพศ  นานอย่างน้อย 6 เดือน  จึงจะถือว่ามีปัญหาสมรรถภาพทางเพศ   การมีปัญหาสมรรถภาพทางเพศอาจแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ความผิดปกติของ  ความต้องการทางเพศ  การปลุกเร้าอารมณ์  การถึงจุดสุดยอด  และการปวดจากการมีเพศสัมพันธ์ ความผิดปกติของความต้องการทางเพศ เกิดจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงและเทสโทสเตอโรนในผู้ชาย  นอกจากนี้อาจเกิดจากการสูงอายุ อ่อนล้า ตั้งครรภ์ ยา ปัญหาทางจิตเช่น การซึมเศร้า วิตกกังวล    อวัยวะเพศชายไม่แข็งตัว  เกิดจากทั้งทางกายและจิต  สาเหตุที่พบมากคือการบาดเจ็บหรือเสื่อมของเส้นประสาทที่บริเวณอวัยวะเพศชาย การหลั่งเร็วก่อนกำหนด  หมายถึงการหลั่งน้ำอสุจิภายใน 2 นาทีเมื่อสอดอวัยวะเพศชายเข้าในช่องคลอดผู้หญิง  ปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากระบบประสาทที่กระตุ้นให้หลั่งเร็วกว่ากำหนด การไม่ถึงจุดสุดยอด  เป็นปัญหาใหญ่และเกิดขึ้นในคู่ครองจำนวนมาก บางรายงานให้มากถึงร้อยละ 75 ของคู่ครอง สาเหตุเกิดจากทาง กาย จิต หรือยาบางชนิด  ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนประมาณ 1 ใน 3 จะมีปัญหาเรื่องนี้ การปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์  ส่วนใหญ่เกิดในผู้หญิง  อาจเกิดจากน้ำหล่อลื่นช่องคลอดน้อยลง ซึ่งเกิดจากการปลุกเร้าไม่นานพอหรือการหมดประจำเดือน  บางคนมีอาการปวดจากการบีบรัดของกล้ามเนื้อช่องคลอดทำให้การสอดของอวัยวะเพศชายลำบากและเจ็บปวด อาการที่เกิดหลังจากการมีจุดสุดยอด  บางคนมีอาการหลังจากการมีจุดสุดยอดไม่นาน  บางคนมีอาการโศกเศร้าและวิตกกังวลหลังมีเพศสัมพันธ์ซึ่งกินเวลานานถึง 2 ชั่วโมง  อาการปวดศีรษะจากการมีเพศสัมพันธ์ หรือการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง  ในผู้ชายอาจเกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อทั่วทั้งตัวในระหว่างการหลั่งน้ำอสุจิ อาจมีอาการนานถึงสัปดาห์ แนวทางการรักษาในปัจจุบัน    แนวทางการรักษาในปัจจุบันและได้ผลได้เปลี่ยนความคิดว่าเรื่องนี้เกิดจากพยาธิสภาพของจิต มาเป็นกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของคู่ครอง  การแก้ปัญหาต้องทำเป็นคู่เนื่องจากเพศสัมพันธ์เกิดจากกิจกรรมร่วมกันของคนสองคน  การพูดคุย สื่อสารทางเพศเป็นหัวใจสำคัญ    โดยสรุป  ปัญหาสมรรถภาพทางเพศนั้นมีสาเหตุทั้งทางกาย ทางจิต  ในแต่ละด้านนั้นก็ยังมีสาเหตุต่างๆ อีกมาก   การซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และยาเพื่อเพิ่มพลังทางเพศนั้นจึงเป็นการแก้ปัญหาโดยที่เราไม่รู้สาเหตุของปัญหาที่แท้จริง  และเชื่อว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะสามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่างเพียงแค่กินมันเข้าไป  การแก้ปัญหาสมรรถภาพทางเพศที่ได้ผล  คือการรักษาสุขภาพของร่างกายให้แข็งแรง  ออกกำลังกาย  และการพูดคุยกันระหว่างคู่ครองเพื่อจะได้เข้าใจชีวิตทางเพศ และแก้ปัญหาร่วมกันได้ถูกทิศทาง                                    

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 180 รู้เท่าทันกัญชากับการรักษามะเร็ง

ระยะนี้มีการเผยแพร่ในเว็บไซต์จากต่างประเทศเกี่ยวกับน้ำมันกัญชาว่ามีประโยชน์สารพัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง  มีผู้ป่วยหลายรายที่กินแล้วอาการดีขึ้น บางรายหายจากมะเร็ง  ในประเทศไทยเริ่มมีการพูดคุยเรื่องนี้กันมากพอควรว่า ถ้ามีประโยชน์จริงก็ควรนำมาใช้กับผู้ป่วยเพราะเป็นพืชที่ขึ้นได้ง่ายและจะเป็นการประหยัดเงินทองในการซื้อยาราคาแพงจากต่างประเทศ  เราจึงควรรู้เท่าทันเรื่องกัญชากับการรักษามะเร็งกัน มารู้จักกัญชากัญชาเป็นพืชจากเอเชียกลางแต่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในหลายๆ ส่วนของโลก กัญชาจะผลิตน้ำยางที่เป็นสารประกอบชื่อ แคนนาบินอยด์ (cannabinoids) ซึ่งมีฤทธิ์ทางยา มีผลต่อทั่วร่างกายรวมทั้งระบบประสาทและระบบภูมิคุ้มกัน  สารในแคนนาบินอยด์หลักที่มีฤทธิ์คือ delta-9-THC  สารมีฤทธิ์ตัวอื่นคือ แคนนาบิดอล (cannabidol) ซึ่งอาจช่วยลดอาการปวดและการอักเสบ มีการใช้กัญชามาตั้งแต่ดั้งเดิมมากกว่า 3,000 ปี  ทั้งในตะวันออกและตะวันตก  ปีค.ศ. 1942 กัญชาได้ถูกตัดออกจากเภสัชตำรับในสหรัฐอเมริกาด้วยสาเหตุเรื่องความปลอดภัย และในปีค.ศ. 1951 (พ.ศ. 2494)  ถูกจัดเป็นยาเสพติดเป็นครั้งแรก  สำหรับประเทศไทย กัญชาได้กลายเป็นยาเสพติดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 แม้ว่ากัญชาจะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในสหรัฐอเมริกา  แต่ก็มีการอนุญาตให้ใช้ทางการแพทย์อย่างถูกต้องตามกฎหมายไม่ต่ำกว่า 12 รัฐ และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กัญชาอาจใช้กิน สูดดม หรือพ่นทางใต้ลิ้น  เมื่อกินทางปาก สาร delta-9-THC จะถูกกระบวนการของตับเปลี่ยนเป็นสารเคมีที่มีผลต่อจิตประสาท  เมื่อสูบหรือสูดดม สารแคนนาบินอยด์จะซึมเข้ากระแสเลือดอย่างรวดเร็ว  ผลกระตุ้นทางจิตจะเกิดน้อยกว่าการกินทางปากการศึกษาทางการแพทย์ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (สหรัฐอเมริกา) ได้รายงานว่า มีการศึกษาในระดับห้องปฏิบัติการหรือในสัตว์ทดลองเกี่ยวกับการยับยั้งการเติบโตของเนื้องอกชนิดต่างๆ ตั้งแต่การทำให้เซลล์มะเร็งแก่ตายเร็วขึ้น ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่  มะเร็งเต้านม มะเร็งสมอง มะเร็งตับ ฯลฯ  นอกจากนี้ยังช่วยการอยากอาหาร ลดปวด ลดอาการคลื่นไส้อาเจียน ลดความกระวนกระวาย และช่วยให้นอนหลับดีขึ้น การศึกษาการใช้กัญชาเพื่อการรักษามะเร็งในผู้ป่วยนั้นยังไม่มีในระบบฐานข้อมูลใน PubMed ของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ แต่มีการศึกษาทางคลินิกเพื่อหาทางในการบำบัดอาการข้างเคียงของมะเร็งและการบำบัดมะเร็ง ได้แก่ •    การรักษาเนื้องอกที่เป็นก้อน มะเร็งสมอง ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา•    ยาสกัดจากกัญชา 2 ชนิดสามารถขึ้นทะเบียนยาในสหรัฐอเมริกา ชื่อทางการค้าคือ dronabinol และ nabilone  เพื่อใช้รักษาอาการคลื่นไส้อาเจียนในผู้ป่วยจากการรักษาตามมาตรฐานหรือการรับยาเคมีบำบัด •    ในเรื่องการเจริญอาหาร พบว่ายาจากกัญชามีผลในการเจริญอาหารหรือเพิ่มน้ำหนักร่างกายน้อยกว่าการรักษาตามมาตรฐาน  แต่กลับได้ผลดีในผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี•    มีงานวิจัยในขนาดเล็กที่พบว่าสารประกอบในกัญชานั้นได้ผลดีในการลดอาการปวด รวมทั้งอาการคลื่นไส้อาเจียน  แต่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกายังไม่ยอมรับให้เป็นแนวทางในการรักษาความปวด•    มีการศึกษาในผู้ป่วยจำนวนน้อย พบว่า กัญชาที่ใช้สูดดมช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น พัฒนาความรู้สึกของสุขภาวะ และลดความวิตกกังวลโดยสรุป มีหลักฐานทางการแพทย์มากพอที่ยืนยันได้ว่า กัญชามีผลดีในการรักษาอาการข้างเคียงของมะเร็งและโรคอื่นๆ เช่น เอชไอวี  สารสกัดจากกัญชาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นยาถึงสองชนิดในอเมริกา  แม้ว่าการวิจัยเรื่องการใช้กัญชาในการรักษามะเร็งนั้นยังไม่มากเพียงพอ  แต่สำหรับการรักษาอาการคลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ซึมเศร้า นอนไม่หลับในผู้ป่วยมะเร็งนั้นก็เกิดประโยชน์มากมายเพียงพอแล้ว  ประเทศไทยจึงควรทบทวนเรื่องคุณค่าของกัญชาเสียใหม่  เพื่อนำมาใช้บำบัดความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยจำนวนมหาศาล                            

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 179 รู้เท่าทันการกินไข่ไก่แช่น้ำส้มสายชู

ในขณะนี้มีการเผยแพร่และส่งต่อในเว็บไซต์มากมายว่า ให้กินไข่ไก่สดแช่ในน้ำส้มสายชู เพราะเป็นศาสตร์การแพทย์แผนจีนโบราณ  มีคุณค่าต่อร่างกายมากมาย  กระแสความตื่นตัวเรื่องนี้มาจากไหน  เราลองมารู้เท่าทันกันเป็นศาสตร์การแพทย์แผนจีนจริงหรือ    ความเชื่อเรื่องประโยชน์ของน้ำส้มสายชู ไม่เพียงแต่เป็นศาสตร์การแพทย์แผนจีนเท่านั้น  ศาสตร์การแพทย์ดั้งเดิมทุกชาติทุกภาษาล้วนเชื่อว่าน้ำส้มสายชูมีประโยชน์ต่อร่างกาย  ในคัมภีร์เน่ยจิงของจีนกล่าวว่า “น้ำส้มสายชูหมักจากข้าวมีรสขม เปรี้ยว  และอุ่น  เมื่อรสขมและเปรี้ยวรวมกัน จะทำหน้าที่ระบายหรือลุ  จึงใช้เป็นทั้งอาหารและยาในการบำบัดรักษาโรคต่างๆ ได้แก่ ทำให้การไหลเวียนของเลือดดี ไม่อุดตัน  บำรุงพลังชีวิตของตับ ขับสารพิษ และประโยชน์อื่นๆ     ไข่แช่ในน้ำส้มสายชู ยังใช้เป็นอาหารและเครื่องดื่มที่ให้พลังและความแข็งแรงสำหรับนักรบซามูไรของญี่ปุ่น  โปรตีน วิตามินในไข่ จะถูกดูดซึมได้เป็นอย่างดี  เปลือกไข่ไก่หนึ่งฟองประกอบด้วยแคลเซียม 1,800 มิลลิกรัม   (เทียบเท่ากับนมวัวสดยูเอชที รสจืด 1.6 ลิตร.....ผู้เขียน)  ซึ่งคนไทยควรกินแคลเซียมวันละ 800 มิลลิกรัม  นอกจากนี้ในไข่ไก่ยังอุดมด้วยวิตามินดี ซึ่งทำให้กระดูกแข็งแรงและอายุยืนยาว  ปัจจุบัน คนญี่ปุ่นก็ยังนิยมดื่มไข่ไก่ที่แช่ในน้ำส้มสายชูจนเปลือกไข่ละลาย และตอกไข่ผสมกับน้ำส้มสายชูที่แช่ไข่นั้น เพราะถือว่าเป็นเครื่องดื่มชูกำลัง     ในการแพทย์ดั้งเดิมอื่นๆ ต่างเชื่อว่า น้ำส้มสายชูมีประโยชน์และใช้รักษาอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ปวดศีรษะ เจ็บคอ อ้วน เป็นต้น   เครื่องดื่มเก่าแก่และยอดนิยมของชาวเวอร์มอนต์ ในอเมริกา ก็ใช้น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล 2 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ละลายในน้ำ 1 ถ้วย  พบว่าช่วยปรับน้ำปัสสาวะให้กลับมาเป็นภาวะกรด (ค่ากรดด่างของปัสสาวะปกติ เท่ากับ 4.6-8) อะไรเกิดขึ้นเมื่อไข่ไก่แช่ในน้ำส้มสายชู    เมื่อนำไข่ไก่แช่ในน้ำส้มสายชู จะเห็นฟองอากาศเกิดขึ้นที่เปลือกไข่ทั้งฟอง  ฟองอากาศเกิดจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาเนื่องจากปฏิกิริยาเคมีระหว่างกรดน้ำส้ม (น้ำส้มสายชู) และแคลเซียมคาร์บอเนตที่เปลือกไข่  กรดน้ำส้มจะละลายแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกไข่  กลายเป็นไอออนของแคลเซียมละลายอยู่ในน้ำส้มสายชู  ส่วนคาร์บอเนตจะกลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ที่เห็นเป็นฟองอากาศ  เปลือกไข่จะค่อยๆ หายไปภายใน 24-48 ชั่วโมง เหลือแต่เยื่อหุ้มไข่ที่หุ้มไข่ขาวและไข่แดงไว้ข้างใน     ดังนั้นในน้ำส้มสายชูที่แช่ไข่จะมีไอออนของแคลเซียมละลายอยู่  ซึ่งเป็นแหล่งแคลเซียมที่สำคัญสำหรับร่างกาย  เมื่อฉีกเยื่อหุ้มไข่ออก ไข่ขาวและไข่แดงก็จะไปผสมกับน้ำส้มสายชูที่มีแคลเซียมของเปลือกไข่ละลายอยู่  เราจึงได้ประโยชน์ไข่ไก่สด  แคลเซียม  และน้ำส้มสายชู ไปพร้อมๆ กัน     นับเป็นความชาญฉลาดของบรรพบุรุษ และการแพทย์ดั้งเดิมที่ได้ค้นพบอาหารบำรุงร่างกาย    ประเทศไทยต้องเสียเงินมากมายในการซื้อยาเม็ดแคลเซียมเพื่อให้กับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์  ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน  และผู้สูงอายุ  นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้มีการกินนมวัวเพื่อให้ได้แคลเซียมจากนมวัว  เท่านี้ยังไม่พอ มีการใส่แคลเซียมลงในนมเพื่อให้เป็นไฮแคลเซียมอีกด้วย  ราคาก็สูงขึ้นตามค่าโฆษณา  แต่เรากลับละเลยภูมิปัญญาดั้งเดิมที่สามารถหาแหล่งแคลเซียมราคาถูก  และสามารถทำเองได้  ไม่ว่าจะจากอาหารพื้นบ้าน  สมุนไพรบางชนิด  รวมถึงแคลเซียมจากเปลือกไข่     เรื่องไข่แช่ในน้ำส้มสายชูเป็นตัวอย่างภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ดี   เราสามารถประยุกต์และพัฒนาการดึงแคลเซียมจากเปลือกไข่ในน้ำส้มอื่นๆ  น้ำมะนาว  น้ำมะขาม  และนำมาใช้เป็นน้ำส้มไฮแคลเซียม แข่งกับนมไฮแคลเซียมบ้าง     ที่สำคัญ ต้องล้างทำความสะอาดเปลือกไข่เป็นอย่างดี  เพื่อไม่ให้มีเชื้อโรคปนเปื้อนในน้ำส้มสายชู                                    

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 178 รู้เท่าทันการดื่มน้ำด่าง

การดื่มน้ำด่างเพื่อสุขภาพและรักษาโรคนั้นเคยโด่งดังอย่างมากในต่างประเทศ และได้ขยายตัวมาเมืองไทยเมื่อสามสี่ปีก่อน จนมีแพทย์ นักหนังสือพิมพ์ และผู้มีชื่อเสียงในไทยจำนวนมากสนับสนุนและจำหน่ายเครื่องทำน้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์ หรือน้ำไอออนอย่างเป็นล่ำเป็นสัน บางกลุ่มก็ให้นำขี้เถ้ามาแช่ในน้ำและกรองเอาน้ำมาดื่มก็มี ปัจจุบันก็ยังมีกระแสการส่งเสริมให้ดื่มน้ำด่างกันอย่างกว้างขวาง เรามารู้เท่าทันน้ำด่างกันดีกว่า น้ำด่างหรือน้ำไอออนที่ส่งเสริม ก็คือน้ำที่ทำให้มีสภาพเป็นด่างด้วยเครื่องไอออนไนเซอร์ ซึ่งมีขายกันทั่วไป ราคาหลักหมื่น เครื่องนี้จะเปลี่ยนส่วนประกอบทางเคมีของน้ำ ทำให้น้ำเป็นด่าง น้ำดื่มปรกติมีค่ากรดด่างเป็น 7 แต่น้ำด่างมีค่ากรดด่างเป็น 8 หรือ 9 เลือดของเรามีค่ากรดด่าง 7.35-7.45 ซึ่งเป็นด่างเล็กน้อย ฝ่ายที่สนับสนุนและธุรกิจจำหน่ายเครื่องทำน้ำด่างกล่าวอ้างว่า น้ำด่างเป็นน้ำที่มีชีวิต มีพลังในการหล่อเลี้ยงร่างกายเหมือนพืชผักที่สด ดูดซึมได้ดีกว่าน้ำทั่วไป และทำหน้าที่เหมือนสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันเซลล์เสื่อม ดังนั้น จึงมีการกล่าวอ้างถึงประโยชน์ของน้ำด่างไว้มากมาย ตั้งแต่ o รักษาโรคหรืออาการที่เกิดจากภาวะเป็นกรดมาก เช่น ข้ออักเสบ มะเร็ง เบาหวานo เนื่องจากมีเกลือแร่ในน้ำด่าง ช่วยให้กระดูกดูดซึมเกลือแร่เหล่านี้และนำไปใช้ ทำให้กระดูกบางตัวช้าลงo โมเลกุลของน้ำด่างจะเล็กกว่าน้ำทั่วไป ทำให้ดูดซึมเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ของร่างกายได้เร็วกว่า และช่วยขับสารพิษและกรดออกจากเซลล์ได้ดีขึ้นo กระทรวงสาธารณสุขไทยเคยทำการวิจัยน้ำไอออนยี่ห้อหนึ่งที่ขายในเมืองไทย โดยนำมาใช้กับผู้ป่วยเอดส์ในปี พ.ศ.2554 และอ้างว่าทำให้ภูมิต้านทานดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อทำการทบทวนการศึกษาทางวิชาการใน Cochrane Library จากเอกสารทั้งสิ้น 907,144 บทความ ไม่พบว่ามีบทความการทบทวนน้ำด่างเกี่ยวกับหัวข้อประโยชน์ต่อสุขภาพดังกล่าว และใน PubMed ก็ไม่พบการทบทวนเกี่ยวกับหัวข้อนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งแสดงว่า ยังไม่มีการวิจัยที่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้พอว่า น้ำด่างมีประโยชน์ต่อสุขภาพดังที่กล่าวอ้างมา เมื่อประมวลความเห็นในเว็บไซต์ต่างๆ ที่เห็นค้านการกล่าวอ้างประโยชน์ของน้ำด่าง มีดังนี้o น้ำด่างช่วยรักษาโรคเรื้อรังนั้น หลักฐานทางการแพทย์ยังอ่อน เพราะร่างกายควบคุมภาวะกรดด่างอย่างเข้มงวด และอวัยวะแต่ละส่วนต้องการภาวะกรดด่างแตกต่างกัน นอกจากนี้เมื่อร่างกายเกิดภาวะเสียสมดุล ร่างกายจะปรับสมดุลทันที เช่น ถ้าเลือดเป็นกรด ร่างกายจะหายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป เป็นต้นo น้ำด่างทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นนั้น ยังเป็นเรื่องที่น่าสงสัย เพราะการที่น้ำด่างอาจเพิ่มความเป็นด่างกับร่างกาย แต่ไม่แน่ชัดว่าจะทำให้สุขภาพดีขึ้น ผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางอย่างควรหลีกเลี่ยงการกินเกลือแร่ที่มากเกินไปo น้ำด่างจะขัดขวางการลดการเกิดอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเชื้อโรคต่างๆ นั้น ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะกลับทำให้ลดการต้านทานการป้องกันการติดเชื้อo ประเด็นสำคัญคือราคา เพราะส่วนใหญ่ถูกชักชวนให้ซื้อเครื่องที่มีราคาแพง ความจริงเราสามารถหยดหรือหยอดสารที่ทำให้เป็นด่างหรือซื้อน้ำเกลือแร่ที่เป็นด่าง ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนน้ำด่างที่ทำจากเครื่องและมีประโยชน์เหมือนกัน   สรุปคือ ยังขาดหลักฐานทางการแพทย์ที่จะยืนยันประโยชน์ของการดื่มน้ำด่างว่าดีต่อสุขภาพ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 177 รู้เท่าทันการกินไส้กรอก-แฮม-เบคอน เสี่ยงเป็นมะเร็ง

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2558  องค์การอนามัยโลกได้ออกรายงานว่า การกินเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอนนั้น เป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็ง  ทำให้เป็นข่าวใหญ่ระดับโลกและก่อให้เกิดความตื่นกลัวในหมู่ประชาชนจนไม่กล้ากินหรือไม่ให้เด็กๆ กินเนื้อแปรรูปเหล่านี้  ประเทศต่างๆ และอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ได้ออกมาคัดค้านว่าไม่เป็นความจริง  เรามารู้เท่าทันเรื่องนี้กันดีกว่า     รายงานขององค์การอนามัยโลก จัดให้ไส้กรอก เบคอน และแฮม เป็นสารก่อมะเร็งมากที่สุดในระดับเดียวกับบุหรี่ แอลกอฮอล์ แร่ใยหิน และสารหนู     รายงานดังกล่าวมาจาก The International Agency for Research on Cancer (IARC) ซึ่งเป็นหน่วยงานสาขา ขององค์การอนามัยโลก  โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ 22 คนจาก 10 ประเทศมาประชุมกันเพื่อระบุสิ่งที่ก่อให้เกิดมะเร็ง  เวทีครั้งนี้ได้มีการนำผลงานการศึกษาทางวิทยาศาสตร์มากกว่า 800 ผลงานมาใช้ในการจัดทำรายงานดังกล่าว     IARC ระบุว่า  เนื้อสัตว์แปรรูปเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 1  และเนื้อแดงอยู่ในกลุ่ม 2A เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับมะเร็งทางเดินอาหาร มะเร็งตับอ่อนและมะเร็งต่อมลูกหมาก        เนื้อสัตว์แปรรูป หมายถึง เนื้อสัตว์ที่มีความเค็ม ใส่สารกันบูด หมัก รมควัน ปรุงกลิ่นแต่งรส     เนื้อแดง หมายถึง เนื้อวัว เนื้อลูกวัว หมู แกะ ม้า หรือห่าน  และประมาณครึ่งหนึ่งของเนื้อแดงที่บริโภคกันทั่วโลกนั้นเป็นเนื้อแปรรูป     การกินเนื้อแปรรูปทุกวัน วันละ 50 กรัม หรือเท่ากับไส้กรอกหนึ่งชิ้น  จะเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่กับไส้ตรงร้อยละ 18  การกินเนื้อแดงทุกวัน วันละ 120 กรัม (1.2 ขีด) เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่กับไส้ตรงร้อยละ 17  ซึ่งความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเป็นส่วนที่ค่อนข้างน้อย  เนื่องจากความเสี่ยงของผู้ชายที่จะเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่กับไส้ตรงตลอดอายุขัยมีเพียงร้อยละ 4.8  ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จะทำให้เพิ่มความเสี่ยงเป็นร้อยละ 5.6     “เมื่อพิจารณาเฉพาะแต่ละคน ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่กับไส้ตรงจากการบริโภคเนื้อแปรรูปมีเพียงเล็กน้อย  แต่ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณการบริโภคเนื้อสัตว์” ดร.เคิร์ท สเตรฟ หัวหน้าของ IARC Monographs Programme กล่าว “เมื่อพิจารณาประชากรจำนวนมากที่บริโภคเนื้อแปรรูป  อัตราการเกิดมะเร็งในวงกว้างจึงมีความสำคัญต่อสาธารณสุข”     ความจริง เนื้อสัตว์แปรรูปมีความเชื่อมโยงกับมะเร็งทางเดินอาหาร โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่กับไส้ตรง และมะเร็งกระเพาะอาหารเป็นเรื่องที่รู้กันมานาน  การจัดหมวดหมู่ของ IARC จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่  เพียงแต่ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มากขึ้น การกินเนื้อสัตว์แปรรูปมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเท่ากับการบุหรี่ แร่ใยหิน สารหนู หรือไม่?    การจัดหมวดหมู่ให้เนื้อสัตว์แปรรูปอยู่ในกลุ่ม 1 เท่ากับยาสูบ บุหรี่ และแร่ใยหิน  ไม่ได้หมายความว่า การกินไส้กรอกมีความเสี่ยงเท่ากับการสูบบุหรี่   การสัมผัสแร่ใยหิน และสารหนู  แต่นักวิทยาศาสตร์มั่นใจว่ามีบางอย่างที่ก่อมะเร็ง ไม่ใช่ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งนั้นเท่ากัน    เมื่อเปรียบเทียบผลการศึกษาในปีค.ศ. 2005 การสูบบุหรี่ทุกวัน วันละ 1 มวนจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอดร้อยละ 200-400        โดยสรุป  ไส้กรอก แฮม เบคอน เนื้อแห้งที่แปรรูปต่างๆ รวมทั้งเนื้อสัตว์ที่มีสีแดงนั้น เป็นตัวก่อมะเร็ง และความเสี่ยงจะเพิ่มมากขึ้นตามปริมาณที่บริโภค  ดังนั้น  จึงไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์เหล่านี้เป็นอาหารหลัก หรืออาหารประจำวันของลูกหลานเรา  เราควรสอนเด็กๆ ของเรา  โรงเรียนควรสอนการกินอาหารที่ปลอดภัยให้กับเด็กนักเรียน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 176 รู้เท่าทันวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่

เมื่อเร็วๆ นี้ มีการสอบถามกันจากเพื่อนๆ ทางไลน์และเฟสจำนวนมากว่า มีการชักชวนทางเว็บไซต์ให้ผู้สูงอายุไปฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เข็มละ 2,000 บาท ฉีดครั้งเดียวสามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้ตลอดชีวิต และมีการกล่าวอ้างให้ไปฉีดที่สภากาชาดไทย (ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวมีบริการฉีดวัคซีนประเภทต่างๆ จำนวนมาก)”  สามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้ตลอดชีวิตจริงหรือไม่  ถ้าจริงก็ยินดีที่จะเสียเงินเพราะคุ้มเนื่องจากไม่ต้องฉีดทุกปีเหมือนวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ฉีดให้ฟรีตามโรงพยาบาลต่างๆ       การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้จริงหรือไม่  ฉีดครั้งเดียวป้องกันได้ตลอดชีวิตจริงหรือไม่  เรามารู้เท่าทันวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่กันดีกว่า     จาการสืบค้นการทบทวนงานวิจัยใน PubMed และ Cochrane Library พบว่ามีการทบทวนประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่อย่างเป็นระบบ ดังนี้     ใน PubMed มีการตีพิมพ์บทความการทบทวนประสิทธิผลและประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่อย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์อภิมาณ(meta-analysis) โดยคัดกรองบทความ 5,707 บทความ พบบทความที่เกี่ยวข้อง 31 บทความ  พบว่า  ประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตาย (trivalent inactivated vaccine) แสดงผลใน 8 (67%) จาก 12 ฤดู (ผลรวมของประสิทธิผล 59% ในผู้ใหญ่อายุ 18-65 ปี และผลการป้องกันดังกล่าวจะลดลงอย่างมากหรือไม่มีผลเลยในบางฤดู  และยังไม่มีหลักฐานที่ดีพอในการป้องกันไข้หวัดใหญ่ในผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป  ประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็น (live attenuated influenza vaccine) แสดงผลใน 9 (75%) จาก 12 ฤดู  (ผลรวมของประสิทธิผล 83% ในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 7 ขวบ  ในเด็กที่อายุมากกว่านี้จะได้ผลน้อยลง  จึงจำเป็นที่จะต้องพัฒนาวัคซีนแบบใหม่ที่มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพที่รับรองแล้วในการลดการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตจากไช้หวัดใหญ่     ใน Cochrane Library ได้มีการทบทวนเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในงานวิจัยต่างๆ จำนวนมาก ทั้งในห้องสมุดคอเครน, MEDLINE (1966-2009) EMBASE (1974-2009)  และ Web of Science (1974-2009)  พบว่า  จากหลักฐานงานวิจัยต่างๆ ที่คัดกรองเข้ามาศึกษา 75 บทความ  บทความเหล่านี้มีคุณภาพการศึกษาที่ไม่ดีพอและไม่ยืนยันเกี่ยวกับความปลอดภัย ประสิทธิผล หรือประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นวัคซีนแบบเชื้อตายที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่  ในผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป   จึงควรที่จะมีการศึกษาแบบสุ่ม และมีกลุ่มควบคุม โดยทำการศึกษาในระยะเวลาหลายฤดู เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนและเชื่อถือได้     สรุปว่า ในขณะนี้ยังไม่หลักฐานทางการแพทย์หรือการวิจัยที่ดีพอ ที่จะยืนยัน นั่งยันได้ว่า วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายสามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่ในผู้สูงอายุได้อย่างจริงจัง ได้ผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  และในบางฤดูกาลกลับได้ผลน้อยหรือไม่ได้ผลเลย  ยกเว้นวัคซีนชนิดเชื้อเป็นจะได้ผลในเด็กเล็กก่อน 7 ขวบเท่านั้น  จึงควรที่ผู้สูงอายุจะกลับมาที่การดูแลสุขภาพตนเอง  ออกกำลังกายให้แข็งแรง  ป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่จากผู้อื่น จะเป็นสิ่งที่ได้ผลมากกว่าการฉีดวัคซีน    คงต้องเพิ่มอีกข้อในกาลามสูตรว่า อย่าเชื่อเพราะไลน์หรือเฟสส่งต่อกันมา (มา อนุสฺสเวน)  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 155 รู้เท่าทันกล้วย (2)

มารู้เท่าทันกล้วยต่อครับ 5. เปลือกกล้วยใช้รักษายุงกัด ถ้าถูกยุงหรือแมลงกัดต่อย มีตุ่มคัน ให้ใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงหรือแมลงกัดต่อย  เปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้ 6. แป้งจากกล้วยดิบนั้นมีผลในการรักษาแผลในกระเพาะอาหาร แป้งกล้วยดิบใช้รักษาโรคแผลในทางเดินอาหารซึ่งเกิดจากยาแผนปัจจุบันต่างๆ เช่น แอสไพริน ยาแก้การอักเสบของกล้ามเนื้อ เพรดนิโซโลน เป็นต้น ปัจจุบันผงกล้วยดิบได้บรรจุเป็นยาจากสมุนไพรที่อยู่ในรายการบัญชียาหลักแห่งชาติของประเทศไทยแล้ว 7. สารสกัดจากเปลือกกล้วยมีผลยับยั้งการโตของต่อมลูกหมาก มีงานวิจัยของนักวิจัยชาวญี่ปุ่น     Akamine K, et al. ปีค.ศ. 2009  พบว่า สารสกัดจากเปลือกกล้วยมีประโยชน์ในการรักษาอาการต่อมลูกหมากโต  แต่อย่างไรก็ตามเป็นการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองเท่านั้น  คงต้องมีการศึกษาต่อในระดับคลินิก  แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะมีการใช้สมุนไพรในการรักษาอาการต่อมลูกหมากโตจากสารสกัดเมล็ดปาล์ม Saw Palmetto ซึ่งมีการขายกันทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย  การใช้เมล็ดปาล์มดังกล่าวเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวอินเดียนอเมริกันที่ใช้รักษาทางโรคเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์   8. การกินกล้วยปกป้องผิวหนังจากการทำลายของแสงแดด มีงานวิจัยของดร.จารุภา วิโยชน์ และคณะ มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก ในปีพ.ศ. 2555 ที่ทำการวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่า สารสกัดจากกล้วยมีผลในการลดการทำลายผิวหนังจากรังสียูวีอย่างมีนัยสำคัญ  จึงอาจเป็นการยืนยันความเชื่อที่ว่าการกินกล้วยจะทำให้ผิวสวยงาม 9. ปลีกล้วยน้ำว้ามีฤทธิ์ในการลดน้ำตาลในเลือด งานวิจัยในอินเดียพบว่า มีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งในภูมิปัญญาดั้งเดิมของอินเดียมีการใช้เพื่อรักษาเบาหวาน นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอื่นๆ ที่พบว่า กล้วยมีสารประกอบที่ต้านเชื้อแบคทีเรีย เอชไอวี เชื้อราได้ 10. ประโยชน์อื่นๆ นอกจากนี้ กล้วยยังมีประโยชน์อีกมากมาย บังเอิญดูในเว็บไซต์หนึ่งซึ่งน่าสนใจดี เขาใช้ประโยชน์จากกล้วย ดังนี้ 1)      ใช้ขัดรองเท้าหนังให้เงางาม  โดยใช้ด้านในของเปลือกกล้วยมาเช็ดรองเท้าหนัง ทิ้งไว้สักครู่ แล้วใช้ผ้าเนื้อละเอียดเช็ดอีกครั้ง รองเท้าจะเงางามเหมือนใช้ยาขัดรองเท้าเลยทีเดียว 2)      ใช้ทำความสะอาดรอยเปื้อนของใบไม้ประดับ  โดยใช้ด้านในของเปลือกกล้วยเช่นเดียวกันเช็ดที่ใบไม้ประดับที่มีรอยเปื้อน  ทิ้งไว้สักครู่แล้วใช้ผ้าเช็ดอีกครั้ง ใบไม้จะเป็นเงางาม  ผู้ที่ทำงานด้านไม้ประดับ ในโรงแรม หอพัก สามารถใช้วิธีนี้ได้โดยไม่ต้องซื้อน้ำยาเช็ดเงาใบไม้ 3)      การลบรอยถลอกที่ผิวไม้บนตู้ โต๊ะ  รอบถลอกต่างๆ นั้นถ้าไม่ลึกมากก็สามารถใช้เนื้อกล้วยมาถูบนรอยถลอก แล้วใช้ผ้าเนื้อละเอียดมาถูอีกครั้ง ผิวไม้จะดูใหม่และไม่มีรอยถลอก 4)      การลบรอยหมึกที่ผิวหนัง  บางคนชอบติดสติกเกอร์ลายต่างๆ ที่ผิวหนัง  ถ้าต้องการลบรอยหมึกให้ใช้ด้านในของเปลือกกล้วยเช็ดถูรอยหมึกดังกล่าว  ก็จะเลือนหายไปได้อย่างรวดเร็ว 5)      รอยถลอกที่แผ่นซีดีจากการหยิบจับ ถู ครูด ให้ใช้ด้านในของเปลือกกล้วยเช็ดที่แผ่นซีดีแล้วใช้ผ้าสำหรับเช็ดแผ่นซีดีเช็ดออก แผ่นซีดีจะไม่มีรอยถลอก 6)      การดักจับแมลง เช่น แมลงหวี่ แมลงวัน ให้นำเปลือกกล้วยใส่ในถุงพลาสติก เปิดปากถุงทิ้งไว้สักครู่  แมลงจะเข้าไปในถุงพลาสติก เราเพียงแค่ปิดปากถุงให้แน่น แล้วนำไปทิ้ง  เพียงแค่นี้ก็สามารถลดแมลงต่างๆ ในบ้านได้ ก็ขอจบเรื่อง กล้วยๆ ไว้เพียงแค่นี้  หวังว่าเราคงมั่นใจว่า กล้วยมีประโยชน์กว่าที่คิดและมีอันตรายน้อยกว่าที่ได้ยินแพทย์แผนปัจจุบันบอกมา //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 154 รู้เท่าทันกล้วย (1)

ฉบับนี้ของนำเรื่องกล้วยๆ ที่เบาสมองมาลงเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ผ่อนคลายจากสถานการณ์การเมืองที่กำลังร้อนระอุ เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดสักหน่อย กล้วยเป็นพืชที่ผูกพันกับชืวิตคนไทยตั้งแต่เกิดจนตาย  ซึ่งเราจะเห็นได้จากพิธีกรรมต่างๆ ตั้งแต่ตอนแต่งงานก็จะแห่ต้นกล้วยกับอ้อยในขบวนขันหมาก เมื่อมาถึงเรือนหอก็จะปลูกลงดิน  พอครบปีกล้วยก็ออกลูก ทันเป็นอาหารสำหรับแม่และทารกไปพร้อมๆ กัน  ตอนเป็นหนุ่มสาว กล้วยเป็นทั้งอาหาร ยาและของใช้ต่างๆ  ยามตายก็เอากาบกล้วยมาฉลุสวยงามไว้ตกแต่งในงานศพ  เรียกว่าจากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน คนไทยขาดกล้วยไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันกลับเห็นว่า กล้วยประกอบด้วยแป้งเป็นหลัก ถ้ากินมากจะไปเพิ่มน้ำตาลและแป้งให้กับร่างกาย  จึงมีการแนะนำว่าไม่ควรกินกล้วยเพราะมีประโยชน์น้อยกว่าโทษที่ร่างกายได้รับ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไม่ส่งเสริมให้เด็กทารกในระยะ 6 เดือนหลังคลอดกินกล้วยบดหรือขูดตามภูมิปัญญาพื้นบ้านดั้งเดิม โดยบอกว่า นมแม่มีคุณค่าอาหารพอเพียงสำหรับทารก ไม่จำเป็นต้องให้อาหารเสริมอื่นๆ  ความเข้าใจเรื่องนี้ขัดต่อความรับรู้และการปฏิบัติของชาวบ้านอย่างยิ่ง เพราะจากประสบการณ์ตรงของชาวบ้านที่กินกล้วยเป็นประจำกลับพบว่ามีประโยชน์มากมาย  จนชาวบ้านถือว่ากล้วยเป็นยาอายุวัฒนะอย่างหนึ่งทีเดียว เรามารู้เท่าทันเรื่องกล้วยๆ กันดีกว่า   กล้วยเป็นพืชล้มลุกในสกุลมูซา (Musa)  กล้วยน้ำว้าที่คนไทยรู้จักดีและกินเป็นประจำ คือกล้วยน้ำว้า ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานี  นอกจากนี้ยังมีกล้วยต่างๆ มากมาย เช่น กล้วยไข่ กล้วยเล็บมือนาง กล้วยหอม กล้วยตีบ เป็นต้น กล้วยน้ำว้า 1 ลูกหนักประมาณ 40-50 กรัม กล้วยไข่ 1 ลูกหนักประมาณ 30 กรัม กล้วยหอม 1 ลูกหนักประมาณ 90 กรัม  ที่ต้องรู้น้ำหนักเพราะต้องไปเชื่อมโยงกับคุณค่าทางอาหารของกล้วยแต่ละลูก ในเมืองไทย ข้อมูลของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จะเทียบหน่วยเป็น 100 กรัม  ถ้าเราไม่รู้ว่ากล้วยหนึ่งลูกหนักเท่าไหร่ ก็คิดไม่ออกว่ากล้วยหนึ่งใบ มีคุณค่ามากน้อยแค่ไหน เพราะประเทศไทยขายกล้วยเป็นหวี ไม่ชั่งน้ำหนักขายเหมือนของเขมร เขมรจะชั่งกล้วยขายเป็นกิโลกรัม ข้อมูลของกรมอนามัย พบว่า กล้วยน้ำว้า 100 กรัม (ประมาณ 2 ลูก) ประกอบด้วย ความชื้นเป็นหลัก 62.6 กรัม แป้ง 33.1 กรัม โปรตีน 1.2 กรัม นอกจากนี้ ยังมีวิตามินเอ บี1 บี2 บี3 และซี  โดยกล้วยหอมมีวิตามินซีสูงสุด 27 มิลลิกรัม  ที่น่าสนใจคือ หัวปลีมีวิตามินเอสูงถึง 260 IU (international unit)  และมีวิตามินซีสูงเท่าๆ กับกล้วยหอม (25 มิลลิกรัม) นอกจากนี้ ในกล้วยยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็กในปริมาณเล็กน้อย  แต่ในหยวกกล้วยและหัวปลี (100 กรัม) มีแคลเซียมสูงถึง 22 และ 28 มิลลิกรัมกรัมตามลำดับ  ซึ่งแสดงว่า ภูมิปัญญาไทยดั้งเดิมนั้นชาญฉลาดอย่างยิ่งที่นำหยวกกล้วยและหัวปลีมาเป็นอาหาร โดยเฉพาะในแม่หลังคลอด พลังงานที่เกิดจากกล้วยซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันกลัวกันนักว่า กินกล้วยเหมือนกินแป้ง จะทำให้อ้วน  พบว่า กล้วยน้ำว้า 100 กรัม (ประมาณ 2 ลูก) ให้พลังงานเพียง 139 กิโลแคลอรี ตกลูกละ 70 กิโลแคลอรีเท่านั้น ยังน้อยกว่าไข่เจียว ไข่ดาว 1 ฟอง (215 กิโลแคลอรี) ส้มตำ 1 จาน (118 กิโลแคลอรี) หรือขนมครก 1 คู่ (92 กิโลแคลอรี) เสียอีก   กล้วยอื่นๆ ก็ให้พลังงานไม่แตกต่างกัน  ที่สำคัญ แป้งที่อยู่ในกล้วยนั้นเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งลำไส้จะย่อยและดูดซึมอย่างช้าๆ   นึกว่าจะกล้วยๆ ปรากฏว่าหน้ากระดาษหมดเสียก่อน  คงต้องขอต่อในฉบับหน้าอีกครั้ง //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 153 รู้เท่าทันคีเลชั่น 3

ในฉบับนี้จะมาถึงข้อยุติเรื่อง การบำบัดด้วยคีเลชั่นมีประสิทธิผลต่อการรักษาหัวใจหลอดเลือดตีบหรือไม่ ซึ่งเราคงต้องดูผลการศึกษาวิจัยของ สถาบันสุขภาพแห่งชาติของอเมริกา หรือ National Institutes of Health (NIH) ซึ่งรายงานเมื่อวันอังคารที่ 25 มีนาคม  2013 และปรับปรุงล่าสุด 30 เมษายน  2013  รวมทั้งได้มีการตีพิมพ์ผลการศึกษาในวารสารของสมาคมแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกาหรือ Journal of the American Medical association (JAMA, March 27, 2013—Vol 309, No. 12) การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาระยะยาวถึง 10 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2545-2554 ใช้งบประมาณ 31 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำการศึกษาในผู้ป่วยอายุ 50 ปีขึ้นไปจำนวนทั้งสิ้น 1,708 คน ในสถานพยาบาล 134 แห่งทั้งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา  ทั้งนี้ สถาบันสุขภาพแห่งชาติของอเมริกามีรายงานในปี พ.ศ. 2551 ว่า ในระหว่าง พ.ศ. 2545 – 2550  มีการเพิ่มขึ้นของการใช้คีเลชั่นบำบัดถึงร้อยละ 68 หรือในประชากร 111,000 คน  ซึ่งสารไดโซเดียม EDTA นั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาไม่รับรองให้ใช้ในการรักษาโรคหัวใจ   การศึกษานี้ทำการศึกษาผู้ป่วยที่มีประวัติโรคหลอดเลือดหัวใจตีบจนเกิดอาการของกล้ามเนื้อหัวใจวายอย่างน้อย 6 สัปดาห์ก่อนหน้าการศึกษา(เฉลี่ย 4.5 ปี) และทำการศึกษาโดยมีกลุ่มควบคุม  ผู้ป่วยจะได้รับการฉีดสารคีเลชั่น(ไดโซเดียม EDTA) 40 ครั้ง รวมทั้งการได้รับการกินวิตามินและเกลือแร่ในปริมาณสูงเช่นเดียวกับที่กลุ่มควบคุมได้รับผู้ป่วยเหล่านี้จะได้รับการรักษาตามมาตรฐานทางการแพทย์ที่ได้รับอยู่ก่อน เช่น แอสไพริน และยารักษาโรคหัวใจอื่นๆ  การศึกษาได้ทำการติดตามผลเป็นเวลา 1-5 ปี (เฉลี่ย 55 สัปดาห์)  ผลการศึกษาพบว่า  เมื่อสิ้นสุดการบำบัด ผู้ป่วยที่ได้รับคีเลชั่นเกิดผลต่างๆ ได้แก่ การเสียชีวิต การเกิดหัวใจวาย เส้นเลือดสมองตีบ หรืออาการเจ็บกล้ามเนื้อหัวใจจนต้องรับรักษาในโรงพยาบาล ในผู้ป่วย 222 ราย(ร้อยละ 26) และในกลุ่มควบคุม 261 ราย (ร้อยละ 30)  และพบว่า ต้องทำการรักษาการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจในกลุ่มที่บำบัดด้วยคีเลชั่น ร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ร้อยละ 18 รายงานของสถาบันสุขภาพแห่งชาติของอเมริกา สรุปผลการศึกษาว่า การฉีดสารไดโซเดียม EDTA สามารถลดความเสี่ยงของอาการต่างๆ ของหลอดเลือดหัวใจได้ร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม แต่ผู้ทำการศึกษาระบุว่า ผลการศึกษายังไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการใช้การบำบัดด้วยคีเลชั่นเป็นการรักษาปกติหรือมาตรฐานสำหรับโรคหลอดหัวใจตีบหรือหัวใจวาย และมีความจำเป็นที่จะต้องทำการศึกษาเพิ่มเติมก่อนที่จะพิจารณารับเป็นการรักษาปรกติหรือมาตรฐาน รวมทั้งสารคีเลชั่น EDTA ที่ใช้ยังมีวิตามินซี วิตามินบี และสารอื่นๆ ในปริมาณสูง นพ. เกอวาสิโอ เอ. ลามาส ผู้วิจัยหลักและประธานของอายุรกรรมและหัวหน้าของแผนกหัวใจ มหาวิทยาลัยโคลอมเบีย ศูนย์การแพทย์เมาท์ไซนาย ในไมอามี กล่าวว่า “การบำบัดด้วยคีเลชั่นจะทำได้อย่างปลอดภัยเมื่อมีการควบคุมค่าคงที่หรือตัวแปรต่างๆ อย่างเข้มงวดและมีคุณภาพ  และภายใต้สภาวะดังกล่าว การบำบัดจึงจะเกิดผลพอควร  ความปลอดภัยเป็นปัจจัยและตัวแปรสำคัญตลอดระยะของการศึกษา” ดร. แกรี่ เอช. กิบบอนส์ ผู้อำนวยการสถาบันหัวใจ ปอดและเลือดแห่งชาติของ NIH (NHLBI) กล่าวว่า “การวิจัยเพิ่มเติมเป็นสิ่งจำเป็นในการเข้าใจผลอย่างถ่องแท้ก่อนที่การบำบัดแบบนี้จะถูกรับเข้าเป็นเวชปฏิบัติทางคลินิกสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจวาย  เรายังไม่รู้ชัดเจนว่า การบำบัดนี้สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ ซึ่งผู้ป่วยอาจจะได้รับผลดี หรือมันทำงานอย่างไร” ท่านผู้อ่านคงได้ข้อสรุปจากการวิจัยนี้อย่างชัดเจนแล้ว ต่อไปคงเป็นหน้าที่ของแพทยสภา ราชวิทยาลัย และกระทรวงสาธารณสุขที่จะต้องทำความชัดเจนเรื่องนี้ให้กับประชาชนต่อไป

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point