ฉบับที่ 212 กระแสต่างแดน

อย่าทิ้งกันง่ายๆหนุ่มสวิสวัย 33 ปี ถูกตัดสินจำคุกสองวันเพราะไม่ยอมจ่ายค่าปรับจากการฝ่าฝืนเทศบัญญัติ เดือนพฤศจิกายนปี 2517 สายสืบของเทศบาลเมืองบีล/เบียนน์ พบถุงขยะในวันที่ไม่อนุญาตให้ทิ้ง และถุงดังกล่าวไม่มีสติกเกอร์แสดงการเสียภาษี เมื่อตามหาเจ้าของถุงพบจึงเรียกมาจ่ายค่าปรับ 150 ฟรังก์ (ประมาณ 5,000 บาท) แต่เจ้าตัวไม่ยอมจ่าย เรื่องจึงยืดเยื้อมาจนมีคำตัดสินดังกล่าวสวิตเซอร์แลนด์แลนด์มีอัตราการสร้างขยะ 714 กิโลกรัม/คน/ปี สูงกว่าหลายประเทศในยุโรป รัฐบาลจึงเข้มงวดมาก ครัวเรือนต้องจัดเก็บขยะลงถุงที่รัฐกำหนด(ราคาถุงรวมค่าธรรมเนียม) หรือหากเป็นถุงทั่วไปก็จะต้องซื้อสติกเกอร์ภาษีมาติดแน่นอนว่ามีคนพยายามลักไก่ ปีที่แล้วมีคนถูกปรับ 209 คน โดนตักเตือน 600 คน (และมีไม่น้อยที่ขับรถข้ามชายแดนไปทิ้งขยะในฝรั่งเศส!) แต่ในภาพรวมสวิตเซอร์แลนด์แลนด์สามารถจัดการขยะได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ด้วยอัตราการรีไซเคิลสูงกว่าร้อยละ 50 เมดอินเจแปน? กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนามสั่งปรับผู้ประกอบการ “ร้านร้อยเยน” โทษฐานไม่  แสดงข้อมูลบนฉลากให้ชัดเจนเรื่องสถานที่ผลิต แต่กลับโฆษณาให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าทางร้านขายของ  นำเข้าจากเกาหลีและญี่ปุ่น กระทรวงฯ สำรวจพบว่า ร้อยละ 99.3 ของสินค้าในร้าน Mumuso ผลิตมาจากประเทศจีน ส่วนบางเครือ เช่น Miniso หรือ Daiso มีการแสดงฉลากเป็นภาษาญี่ปุ่น จีน หรืออังกฤษ แต่ไม่มีภาษาเวียดนามแปลกำกับว่า “ผลิตในประเทศจีน”  ร้านสัญชาติญี่ปุ่นและเกาหลีเหล่านี้กำลังได้รับความนิยมมาก (นอกจากที่กล่าวมา ยังมี Minigood Yoyoso และ Ilahui) เพราะโดนใจลูกค้าทั้งราคาและดีไซน์ เมื่อมีข่าวนี้ออกมา คนเวียดนามซึ่งเชื่อมั่นในคุณภาพแบบญี่ปุ่นและเกาหลีจึงรู้สึกผิดหวังไม่น้อย บ้างว่าจะไม่อุดหนุนอีกแล้วเพราะรู้สึกถูกหลอก บ้างก็ว่าจะช้อปต่อไป แต่จะเลือกเฉพาะสินค้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเท่านั้นใครๆ ก็เช็ดได้  “คลีเน็กซ์ แมนไซส์” เป็นทิชชูขายดีในอังกฤษมากว่า 60 ปี แต่วันนี้ผู้ผลิตตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเพราะเสียงเรียกร้องจากผู้บริโภค ทิชชูที่มีผู้ซื้อไม่ต่ำกว่า 3.4 ล้านคนต่อปีจะเปลี่ยนชื่อเป็น “คลีเน็กซ์ขนาดใหญ่พิเศษ” ทั้งนี้ผู้ผลิตไม่เชื่อว่าชื่อเดิมเป็นการเหยียดหรือแบ่งแยกเพศตามที่โดนกล่าวหา แต่ก็ยินดีจัดให้ คนอังกฤษเอือมกับการแบ่งแยกสินค้าตามเพศโดยไม่จำเป็น ที่ลุกลามจากมีดโกน ไปถึงปากกา หรือแม้กระทั่งขนมหวานองค์การมาตรฐานโฆษณาก็ประกาศว่าจะแบนโฆษณาที่สื่อไปในทางเหยียดเพศ เช่น โฆษณาที่นำเสนอว่าผู้ชายไม่รู้จักหยิบจับงานบ้าน หรือผู้หญิงต้องเป็นคนเก็บกวาด เมื่อสมาชิกครอบครัวทำเลอะ เป็นต้น  ทั้งนี้การสำรวจอิทธิพลของโฆษณาต่อผู้ชมพบว่ามันสามารถสร้างภาพจำในแง่ลบให้ผู้บริโภคได้จริง องค์กรสิทธิสตรีให้ความเห็นว่า การตลาดยุคนี้ควรทำอะไรได้มากกว่าการเสนอภาพเดิมๆ ซ้ำซาก ถึงคราวต้องคลีนมาแล้ว! ผลการสำรวจประจำปีเรื่องนโยบายส่งเสริมการงดใช้ยาปฏิชีวนะของเครือร้านเบอร์เกอร์ในอเมริกา 25 แบรนด์ เคยมีผลตอบรับที่ดีเรื่องเนื้อไก่มาแล้ว มาดูเนื้อวัวบ้าง แบรนด์เหล่านี้จะได้แต้มถ้ามี 1) นโยบายส่งเสริมการเลิกใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น 2) แนวทางที่จะทำให้เป็นไปตามนโยบาย และ 3) การลงมือทำจริงจาก 25 แบรนด์ มีเพียง 2 แบรนด์เท่านั้นที่ได้เกรด A (Shake Shack และ BurgerFi)  ตามมาห่างๆ ด้วย Wendy’s ที่ได้เกรด D-  ที่เหลือทั้งหมดรวมกลุ่มกันติด F (ในกลุ่มนี้มี McDonald’s  Burger King และ A&W อยู่ด้วย)ทั้งนี้การใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ (เช่น ใช้ “เร่งโต” หรือ “ป้องกันโรค”) เป็นอันตรายมาก  ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของอเมริการะบุว่า ในแต่ละปีสหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิต 23,000 คนและผู้ป่วย 2,000,000 คน จากเชื้อแบคทีเรียดื้อยาเต้าหู้ที่คุณคู่ควร สภาผู้บริโภคฮ่องกงแถลงผลการตรวจสอบปริมาณโปรตีน ไขมัน และแคลเซียมในเต้าหู้ 40  ตัวอย่าง (แบบแพ็กสำเร็จ 34 ตัวอย่าง และไม่แพ็ก 6 ตัวอย่าง)  ปริมาณโปรตีนเฉลี่ยในเต้าหู้ที่ฮ่องกงนำมาทดสอบอยู่ที่ร้อยละ 6.5 และมีเต้าหู้อย่างน้อยสามยี่ห้อมี ปริมาณโปรตีนต่างจากที่ระบุไว้เกินร้อยละ 20  ส่วนไขมันนั้น เต้าหู้เจ็ดยี่ห้อมีปริมาณไขมันต่างจากที่ระบุไว้ระหว่างร้อยละ 20 ถึงร้อยละ 212  ในขณะที่พบแคลเซียมระหว่าง 16 - 420 มิลลิกรัมในเต้าหู้ที่นำมาทดสอบ สภาฯ ลงความเห็นว่าข้อมูลที่ไม่ตรงกับปริมาณจริง (ไม่ว่าจะมากหรือน้อยกว่าที่ตรวจพบ) อาจส่งผลให้ ผู้บริโภคเลือกรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะกับความต้องการของตนเองได้ว่าแล้วก็สั่งเก็บบางยี่ห้อออกจากร้านและส่งต่อบางยี่ห้อให้หน่วยงานด้านความปลอดภัยทางอาหารดำเนินการต่อไป 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 117 กระแสในประเทศ

5 ตุลาคม 2553อย่าใช้เครื่องสำอาง “สเต็มเซลล์ พืช” ไม่สวยแถมเสี่ยง!!! อย.เตือนผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อเครื่องสำอางอวดอ้างสรรพคุณใช้เซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) จากพืชเป็นส่วนผสม เพราะไม่ให้ผลตามสรรพคุณที่กล่าวอ้าง แถมยังอาจก่อให้เกิดอันตรายได้อีกต่างหาก  ภญ.วีรวรรณ แตงแก้ว รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า มีเครื่องสำอางอวดอ้างให้เข้าใจผิดว่า มีการผสมเซลล์ต้นกำเนิดจากพืชในเครื่องสำอาง และนำเสนอสรรพคุณเกินจริง เช่น สามารถทำให้เซลล์มนุษย์มีการแบ่งตัว และเจริญเติบโตได้ 80%, ทำให้เซลล์ทนทานต่อรังสี UV อายุของเซลล์ยาวขึ้น, มีประสิทธิภาพเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งข้อมูลงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากพืชยังมีอยู่ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นการสกัดสารสำคัญจากพืชมากกว่าการนำเซลล์พืชมาใช้เป็นส่วนผสม เพราะเซลล์จากพืชยังมีข้อจำกัดที่จะนำมาใช้ จึงขอเตือนผู้บริโภคอย่าได้หลงเชื่อการโฆษณาอวดอ้างดังกล่าว เพราะนอกจากไม่เกิดผลตามสรรพคุณที่กล่าวอ้างและเสียเงินโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังอาจเกิดอันตรายอีกด้วย..................................................................... 15 ตุลาคม 2553“เต้าหู้ยี้” ดูให้ดีก่อนทาน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหารได้สำรวจคุณภาพของ “เต้าหู้ยี้” ในภาชนะปิดสนิทตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 - 2552 โดยตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างเต้าหู้ยี้ที่นำเข้าจากต่างประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 47 ตัวอย่าง พบเชื้อคลอสตริเดียม เพอร์ฟรินเจนส์ (Clostridium perfringens) จำนวน 6 ตัวอย่าง บาซิลัสซีเรียส (Bacillus cereus) เกินเกณฑ์ จำนวน 31 ตัวอย่าง โคลิฟอร์ม (Coliforms) เกินเกณฑ์ จำนวน 7 ตัวอย่าง เชื้อคลอสตริเดียม เพอร์ฟรินเจนส์ และบาซิลัสซีเรียส หากมีการปนเปื้อนในอาหารและเข้าสู่ร่างกาย ในปริมาณมากที่จะทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย  ใครที่จะซื้อเต้าหู้ยี้มารับประทาน ควรเลือกที่ภาชนะบรรจุปิดสนิท ไม่มีรอยแตกร้าว ไม่มีคราบเปียกชื้น ฉลากมีเลขทะเบียน อย. แจ้งชื่อผู้ผลิต วันที่ผลิต วันหมดอายุ หากเปิดภาชนะแล้วแต่ทานไม่หมด ควรปิดฝาให้สนิทแล้วเก็บไว้ในตู้เย็น และหากพบว่าเต้าหู้ยี้มีลักษณะเนื้อ สีกลิ่นผิดปกติ แปลว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเสื่อมสภาพไม่ควรนำมารับประทานเด็ดขาด........................................................................   18 ตุลาคม 2553“น้ำมันรำข้าว” ไม่ช่วยรักษาโรค ปัญหาอาหารเสริมโฆษณาเกินจริงมีมาให้ผู้บริโภคได้ปวดหัวกันอีกแล้ว คราวนี้เป็นผลิตภัณฑ์ “น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว” ที่อวดอ้างว่ารักษาโรคได้สารพัด ทั้ง โรคมะเร็ง หัวใจ รูมาตอยด์ ภูมิแพ้ อัมพฤกษ์ เบาหวาน ความดัน อย.จึงต้องออกโรงเตือนผู้บริโภคอย่างหลงเชื่อโฆษณา พร้อมย้ำชัดเป็นแค่ผลิตภัณฑ์อาหารไม่ใช่ยารักษาโรค  อย.ฝากเตือนผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อนำมาทานรักษาโรค เพราะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นเพียงผลิตภัณฑ์ที่ใช้รับประทานเสริมนอกเหนือจากการรับประทานอาหารหลักตามปกติเท่านั้น ที่สำคัญอาจทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาสในการรักษาโรคที่ถูกต้อง ยิ่งผู้ป่วยที่ต้องเข้มงวดเรื่องการรับประทาน อย่าง เบาหวาน และมะเร็ง อาจส่งผลข้างเคียงหากทานอาหารเสริมโดยไม่ได้รับคำแนะนำหรือการดูแลจากแพทย์....................................................................   ไม่พอใจบริการโทรศัพท์ ผู้บริโภคบอกยกเลิกสัญญาได้สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม หรือ สบท. ได้ฝากเตือนมายังผู้ใช้และผู้ที่กำลังให้ความสนใจจะใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนรุ่นต่างๆ ควรศึกษาดูรายละเอียดข้อมูลสัญญาการให้บริการก่อนตัดสินใจซื้อ และหากใช้แล้วไม่พอใจในบริการสามารถบอกยกเลิกสัญญาได้ โดยการยกเลิกสัญญากับเครือข่ายผู้ให้บริการต่างๆ สามารถทำได้ โดยสามารถแยกวิธีการและเงื่อนไขหลักๆ ได้ 3 กรณี กรณีแรก หากผู้ใช้บริการได้รับบริการที่ไม่มีคุณภาพ ผู้ใช้บริการมีสิทธิยกเลิกสัญญาได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานแล้วโทร. ไม่ติดหรือถูกโอเปอเรเตอร์เปลี่ยนโปรโมชั่นโดยผู้ใช้บริการไม่ยินยอม กรณีที่สอง หากผู้ใช้บริการต้องการยกเลิกสัญญาเพราะไม่อยากใช้งานต่อ จะต้องแจ้งเป็นหนังสือให้บริษัททราบล่วงหน้า อย่างน้อย 5 วัน โดยยกเลิกได้ทั้งแบบคืนเครื่องโทรศัพท์และไม่คืนเครื่อง หากต้องการคืนเครื่องโทรศัพท์ ผู้ใช้บริการจ่ายเฉพาะค่าบุบสลายของเครื่อง แต่ไม่เกินราคาเครื่อง แต่ถ้าผู้ใช้บริการต้องการ เก็บเครื่องโทรศัพท์ไว้ก็ต้องซื้อเครื่องจากผู้ใช้บริการตามราคาตลาด  แต่ในกรณีที่ 3 หากบริษัทใช้วิธีให้ผู้ใช้บริการทำสัญญาโดยการหักบัญชีผ่านบัตรเครดิตนั้น ถือเป็นการทำสัญญาด้วยกฎหมายที่เกี่ยวกับบัตรเครดิตโดยเฉพาะ ซึ่งตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องให้ธุรกิจบัตรเครดิตเป็นธุรกิจควบคุมสัญญา พ.ศ.2542 ผู้บริโภคมีเวลา 30 วันในการยกเลิกสัญญา ซึ่งหากพ้นจากระยะเวลาที่กำหนดแล้วจะถือว่าสัญญานั้นผูกมัดผู้บริโภค และเป็นไปตามสัญญาบัตรเครดิต ไม่ใช่สัญญาโทรคมนาคม .......................................................................   เมื่อคนไทยถูกคุกคาม ด้วยโรค “ข้อเข่าเสื่อม”จากการสัมนาวิชาการเรื่อง “ทศวรรษใหม่ในการรักษาโรคกระดูกและข้อ” เนื่องในวันโรคข้อสากลประจำปี 2553 มีการเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ขณะนี้คาดว่ามีคนไทยมีปัญหาโรคข้อเสื่อม กระดูกพรุนประมาณ 7 ล้านคน กลุ่มที่พบมากที่สุดคือ ผู้สูงอายุมีประมาณ 6 ล้านคน และยังมีผู้มีอาการปวดหลัง ปวดคอ ปวดไหล่ รวมทั้งโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคเก๊าท์อีกประมาณ 1 ล้านคน แม้ว่าการเจ็บป่วยด้วยโรคนี้ไม่ถึงกับเสียชีวิต แต่ทำให้ผู้ป่วยทนทุกข์ทรมานจากการเจ็บปวด ยิ่งอาการข้อเข่าเสื่อมหากปล่อยทิ้งไว้นาน อาการอาจรุนแรงถึงขั้นลุกขึ้นยืนหรือเดินเองไม่ได้ ซึ่งนิสัยของคนไทยเสี่ยงอย่างมากต่อการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อม ทั้งการนั่งพับเพียง นั่งขัดสามาธิ นั่งยองๆ โดยข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันแล้วว่าการนั่งในลักษณะดังกล่าวทำให้กระดูกอ่อนข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น รวมทั้งการขึ้นลงบันไดบ่อยๆ ก็เสี่ยงต่อการทำให้ข้อเข่าเสื่อมเช่นกัน นอกจากนี้โรคข้อเสื่อมยังเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม น้ำหนักตัว การใช้งานข้อที่ไม่ถูกต้อง รวมทั้งอาชีพที่มีการใช้งานของข้อมากเช่น ช่างเสริมสวย ครู และเกษตรกรเพราะต้องยืนทำงาน เข่าจะต้องรับน้ำหนักประมาณ 3-4 เท่าของน้ำหนักตัว วิธีการป้องกันโรคเข้าเสื่อมด้วยตัวเอง คือต้องพยามยามหลีกเลี่ยงการใช้เข่ามากๆ เช่นการยืนหรือการนั่งงอเข่านานๆ รวมทั้งควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป และหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ ซึ่งวิธีการสร้างกล้ามเนื้อรอบเข่าสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการนั่งเหยียดขาตึงแนบพื้น พร้อมกับกระดกปลายเท้าเข้าหาตัว สลับกับการจิกเท้าไปข้างหน้า ทำเป็นประจำจะช่วยให้กล้ามเนื้อรอบเข่าแข็งแรงขึ้น หรือหากเริ่มรู้สึกตัวว่ามีปัญหาเรื่องเข่าให้รีบไปพบแพทย์แต่เนินๆ เพื่อจะได้รักษาได้ง่ายและลดอาการป่วยที่อาจเรื้อรัง  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 160 มารู้จักน้ำเต้าหู้กันหน่อย

ผู้เขียนได้พบกระทู้ในเว็บพันทิปที่ตั้งขึ้นว่า “ตอนนี้งดมื้อเย็นเลยหันมากินน้ำเต้าหู้แทนค่ะแต่เป็นน้ำเต้าหู้ไม่เครื่องหวานน้อย ซื้อครั้งละ 5 ถุง ไม่รู้ว่าอ้วนไหม กินมา 2-3 เดือนแล้วค่ะ แต่น้ำหนักไม่เห็นลง มีแต่เพิ่ม 55555 ลูกสาวเรา 3 ขวบ ก็กินน้ำเต้าหู้กะเราบางวันกินที มากกว่า 2 ถุงเลย มีผลอะไรไหมค่ะ ลูกสาวเราเป็นเด็กทานเก่งมากว่า น้องค่อนข้างอวบ ๆ ไม่รู้ผลมาจากน้ำเต้าหู้ด้วยไหม” ในกระทู้นั้นก็มีคนเข้ามาให้ความเห็นว่า “นมถั่วเหลืองให้พลังงานสูงค่ะ ยิ่งเป็นน้ำเต้าหู้ข้างทาง ไม่รู้มีแค่น้ำนมถั่ว+น้ำ รึป่าว เห็นว่าบางเจ้าใส่แป้ง ใส่นมวัวเพิ่ม นอกจากนี้น้ำเต้าหู้ช่วยเพิ่มฮอร์โมนผู้หญิง ลูกคุณกินมาก อาจมีรูปร่างโตเป็นสาวไว มี ปจด.เร็ว” ทั้งคำถามและคำตอบในกระทู้นี้สรุปได้ว่า มีผู้สนใจเรื่อง น้ำเต้าหู้(หรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองนั้นเอง) ซึ่งน่ายินดีมาก เพราะเป็นที่ยอมรับกันทางระบาดวิทยาแล้วว่า ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองนั้นลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมและมดลูก ซึ่งเรื่องนี้ไม่เคยมีบอกในภาพยนตร์ไทยเรื่อง น้ำเต้าหู้กับครูระเบียบ ที่ฉายเมื่อ พ.ศ. 2537 อย่างไรก็ดี มีบางประเด็นที่ทั้งผู้ตั้งกระทู้และผู้แสดงความเห็นนั้นอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน ที่น้อยหน่อยคือ การกินน้ำเต้าหู้ ลดอาหารเย็น แล้วแต่น้ำหนักยังไม่ลด ประเด็นนี้ไม่ต้องประหลาดใจเพราะ การทำน้ำหนักขึ้น 1 กิโลกรัม นั้นใช้เวลาสบายๆ แค่อาทิตย์เดียว แต่การจะลดน้ำหนักสัก 1 ขีด หรือ 100 กรัมนั้น ครึ่งปียังทำได้ยากเลย   การลดอาหารมื้อเย็นนั้นบางครั้งทำให้เราสบายใจว่า ได้ตัดพลังงานทิ้งไปแล้ว จึงไม่ค่อยระวังในมื้อเช้า ที่สำคัญในการลดน้ำหนักนั้นปัจจัยที่สำคัญที่สุดและทำได้ยากมากคือ การออกแรงเผาพลังงานทิ้ง ซึ่งต้องทำจนถึงขั้นที่ร่างกายดึงเอาไขมันที่สะสมอยู่ออกมา น้ำหนักจึงจะลด ดังนั้นการลดน้ำหนักนั้นจึงต้องศึกษาหาความรู้ว่าควรกินอย่างไร ลดอะไร เพิ่มอะไร ปฏิบัติตัวอย่างไร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้หาได้ไม่ยากเลยในเว็บไทย ๆ ขอฝากท่านผู้อ่านทำเป็นการบ้าน อีกประเด็นที่น่าสนในคือ ข้อมูลที่กังวลเกี่ยวกับการกินสารไฟโตเอสโตรเจนในผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองเกี่ยวกับความกังวลเรื่องได้รับสารไฟโตเอสโตรเจนทำให้มี ปจด. (ประจำเดือน) มาก่อนเวลาอันควรของเด็กหญิงนั้น ไม่ควรกังวลแต่อย่างใด ถ้าเด็กคนนั้นกินอาหารมีใยอาหาร โดยเฉพาะเพ็คตินจากพืชตระกูลส้ม ฝรั่ง กล้วย แตงกวา ฯลฯ มากพอ เพราะเพ็คตินมีผลทางอ้อมในการยืดเวลาเริ่มการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งทำให้เริ่มมีประจำเดือน และไฟโตเอสโตรเจนในถั่วเหลืองนั้นเป็นสารพฤกษเคมีที่มีฤทธิ์เอสโตรเจนค่อนข้างต่ำ ไฟโตเอสโตรเจนคือ สารจากพืชที่ออกฤทธิ์เป็นฮอร์โมนเพศหญิงคือ เอสโตรเจน จึงมีศัพท์ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่าเป็น Estrogen agonist คำว่า agonist นั้นหมายถึง สารที่มีฤทธิ์ต่อสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน แต่ความเหมือนนั้นมีทั้งเหมือนแบบฤทธิ์มากกว่าและเหมือนแบบฤทธิ์น้อยกว่า สารที่เป็น Estrogen agonist แต่ออกฤทธิ์มากกว่าเอสโตรเจนในมนุษย์คือ ไฟโตเอสโตรเจนที่อยู่ในกวาวเครือ ซึ่งมีประโยชน์ใช้เป็นยาแผนโบราณสำหรับหญิงและชายที่เข้าสู่วัยทอง (ถ้ารู้ขนาดใช้ที่เหมาะสม) โดยอาศัยฤทธิ์ที่คล้ายเอสโตรเจนธรรมชาติช่วยบรรเทาปัญหาของความรู้สึกภายในร่างกายซึ่งกำลังเปลี่ยนถ่ายจากวัยเจริญพันธุ์ไปสู่วัยชรา จากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพได้จัดให้เอสโตรเจนในร่างกายผู้หญิงเป็น สารก่อมะเร็งธรรมชาติ (สนใจไปหาข้อมูลได้ที่ http://ntp.niehs.nih.gov) เพราะถ้าใครมีมากเกินความจำเป็น โอกาสเป็นมะเร็งเต้านม มดลูก และรังไข่จะสูงกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ ส่วนในผู้ชายนั้นการใช้สารสกัดจากกวาวเครือมากๆ ทำให้ผู้ชายมีหน้าอกใหญ่คล้ายผู้หญิงได้ แต่โอกาสเป็นมะเร็งเท่าผู้หญิงหรือไม่นั้น ยังต้องรอการศึกษาต่อไป ส่วนสารที่มีฤทธิ์เอสโตรเจนน้อยกว่าเอสโตรเจนธรรมชาติ (เมื่อคิดต่อน้ำหนักสารบริสุทธิ์เท่ากัน) ที่น่าสนใจคือ เจ็นนิสตีน (genistine) ในถั่วเหลือง สารนี้จับกับบริเวณรับฮอร์โมนเอสโตรเจนบนผนังเซลล์ต่อมน้ำนม(mammary gland cell) และของมดลูกของผู้หญิงดีมาก แต่ออกฤทธิ์ต่ำกว่าเอสโตรเจนธรรมชาติที่ผู้หญิงผลิตเอง ดังนั้นผลที่เกิดขึ้นเมื่อสารนี้เข้าไปแย่งที่จับบนผนังเซลล์ ฤทธิ์ของเอสโตรเจนธรรมชาติจึงลดลง ซึ่งเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อผู้หญิงหลายคนในช่วงมีประจำเดือน ผู้เขียนขออธิบายง่ายๆ ว่า ปรกติเอสโตรเจนธรรมชาติมีคุณสมบัติในการกระตุ้นให้เซลล์ที่มันเข้าไปจับเตรียมพร้อมที่จะแบ่งตัว กล่าวคือ ทำให้เซลล์ต่อมน้ำนมและมดลูกขยายใหญ่เตรียมแบ่งในช่วงผู้หญิงมีประจำเดือน (เพื่อรอการปฏิสนธิของตัวอ่อน ถ้ามี) สภาวะนี้จึงทำให้ผู้หญิงบางคนที่ร่างกายสร้างเอสโตรเจนออกมามากกว่าคนอื่น เกิดอาการคัดเต้านมและปวดมดลูกในช่วง 2-3 วันแรกที่มีประจำเดือนหรืออาจมีอาการล่วงหน้าก่อนมีประจำเดือนด้วยซ้ำ ดังนั้นถ้าให้ผู้ที่มีปัญหาปวดคัดเต้านมและปวดมดลูกช่วงเวลามีประจำเดือนได้กินผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองเป็นประจำ เจ็นนิสตีนจะเข้าไปแย่งจับที่บริเวณรับของเอสโตรเจนที่เซลล์เป้าหมาย ทำให้เอสโตรเจนธรรมชาติออกฤทธิ์น้อยลง ที่สำคัญก็คือ การแย่งที่จับที่บริเวณรับของเซลล์ต่อมน้ำนมและมดลูกนี้เป็นการลดความเสี่ยงที่เซลล์ดังกล่าวจะถูกกระตุ้นให้กลายเป็นมะเร็งได้ ในกรณีที่ไม่มีการปฏิสนธิในมดลูก นอกจากเจ็นนิสตีนจะมีผลดีต่อผู้หญิงในเรื่องลดความเสี่ยงต่อมะเร็งแล้ว สารนี้ยังมีศักยภาพในการยับยั้งการสร้างเส้นเลือดไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งที่เกิดใหม่ด้วยซึ่งเป็น ผลดีผสมร้ายถ้ากินไม่เป็น ความหมายของการกินไม่เป็นคือ ไปกินเจ็นนิสตีนในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งเป็นการกินสารนี้เข้มข้นกว่าการกินจากผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองหลายร้อยเท่า จึงอาจส่งผลให้ผู้หญิงมีลูกยาก มีสมมุติฐานกล่าวว่า ขณะที่ผู้หญิงมีตัวอ่อนอยู่ในมดลูก ตัวอ่อนนั้นมีศักยภาพคล้ายก้อนมะเร็งก้อนใหญ่ที่ร่างกายแม่ต้องสร้างเส้นเลือดเพื่อส่งอาหารไปเลี้ยงตัวอ่อนที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ผ่านทางรก ดังนั้นถ้ากินเจ็นนิสตีนในปริมาณมาก การสร้างเส้นเลือดไปเลี้ยงตัวอ่อนอาจถูกขัดขวาง ที่สำคัญได้มีข้อมูลจากการศึกษาในสัตว์ทดลองแล้วว่า เจ็นนิสตีนปริมาณสูงทำให้สัตว์ทดลองมีลูกยากขึ้น จึงมีคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตั้งใจมีลูก ผู้หญิงอาจต้องลด(ไม่ได้หมายว่าหยุดเลย) การบริโภคผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองจนกว่าเด็กจะคลอดหรืออย่างน้อยให้พ้นช่วงสามเดือนแรกไปก่อน และเมื่อใดที่ปลงใจว่าปิดโรงงานการผลิตทายาทแล้ว การบริโภคผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองเป็นประจำน่าจะเป็นคำแนะนำที่ดีในการลดความเสี่ยงของมะเร็งของอวัยวะที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนเพศ   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 149 เต้าหู้ขาวญี่ปุ่นนึ่งซีอิ๊ว

ฉันกับแม่กลับเข้าบ้านมาถึงในตอนค่ำ ก็เห็น 2 สาวเพื่อนบ้านกำลังเขย้อเขย่งเก็บช่อดอกเข็มแดงริมรั้วบ้านเตรียมให้ลูกชายใช้ไหว้ครูพอดี  พอรู้ว่าเธอๆ จะใช้ไหว้ครู ฉันก็เดินไปที่กอมะเขือพวงที่กำลังออกดอก และตัดช่อของมันส่งให้เธอไปอีก 3 ช่อ กับคำถามในใจว่าเมื่อไหร่หนอบ้านเราเมืองเราจะมี   “วันนักเรียน” กะเขามั่ง  วันนักเรียนที่สอนให้นักเรียนรู้คิด ตั้งคำถาม  รู้วิธีหาคำตอบ  มีระบบการเรียนรู้ที่มากไปกว่าการเป็นเด็กดี  มีระเบียบวินัย สามัคคี  และเชื่อฟังคุณครู?   ปีนี้ฝนแล้ง มาล่าช้า และเริ่มมาตกชุกเอาช่วงต้นเดือนมิถุนายน  เข็มที่ได้น้ำจากน้ำประปาที่แม่รดทุกวันจึงไม่มีดอกช่อโตดกใหญ่มากอย่างทุกปี   ถัดมาก่อนหน้านี้ 2 วัน  ฉันเพิ่งพบกับเพื่อนชาวนาในทุ่งหน้าโคก ที่เก็บผักมาขายประจำในตลาดนัดวันจันทร์ ซึ่งเช้าวันนั้นพื้นดินลูกรังตลาดเนืองนองเฉอะแฉะหลังฝนกระหน่ำเสียจนหนำใจ  เราได้คุยกันสั้นๆ เรื่องการเตรียมทำนาขอเธอ   เธอว่า ปีนี้ฝนมาช้า จนทำให้ข้าวต้องหว่านช้าไปกว่าเดิม  กว่าจะหว่านได้นั้นเธอรอทั้งน้ำในลำรางให้เขาปล่อยมาและฝน ก็ยังไม่ได้มาดังใจ  ระหว่างนี้ได้พบชาวนาหลายคนที่ต้องไปขอมิเตอร์ไฟฟ้าจากสำนักงานการไฟฟ้าฯ  และเสียค่าเช่าหม้อไฟถึงคนละ 8,000 บาท เพื่อติดตั้งเครื่องไฟฟ้าสูบน้ำเข้านา  ส่วนเธอต้องจ่ายค่าพิเศษให้เจ้าหน้าที่ไป 500 บาท เธอว่า “คนมันต่อคิวกันเยอะ เราอยากได้ไว  ถ้าไม่งั้นเรารอนาน ข้าวเราก็ไม่ได้ปลูกสักที” เงินที่เธอต้องลงทุนเพิ่มในการทำนาเที่ยวนี้  ยังไม่รู้ว่าจะได้รับคืนมาเป็นผลกำไรหรือไม่นั้น คงต้องรอดูตอนช่วงเก็บเกี่ยวต้นเดือนกันยายนปีนี้กันอีกที  เธอว่ายังดีที่หลังเลิกใช้งานแล้วคืนหม้อไฟ จะได้รับเงินคืนกลับมา 6,000 บาท  แต่นั่นก็อีกเกือบ 4 เดือนเชียวแหละที่ต้องรอดูกันต่อ ดูเหมือนเป็นชาวนาต้องรอนั่น รอนี่ และมีเรื่องให้แก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันอยู่เสมอ ... นั่นสินะ  หากรอให้น้ำท่าดีสมบูรณ์ในภาวะที่แล้งจัดแบบนี้  ก็คงยังอีกนานกว่าจะได้ลงมือตีเทือก หว่านข้าวปลูก   ครั้นพอลงมือหว่านทำนาแล้วก็ต้องมาคอยดูด้วยใจระทึกต่อไปว่า ฝนที่เริ่มตกชุกจนอดหวั่นไหวไม่ได้ว่าปีนี้จะน้ำมากจนมาท่วมข้าวก่อนเกี่ยวเหมือนปี54 กันอีกหรือเปล่านั้น  มันเป็นความทุกข์ที่คนทำนาต้องอดทนแบกรับ   มาเรื่องกินกันดีกว่า – วันนี้ว่าด้วยเมนูเต้าหู้ขาว กินแบบเบาๆ สบายๆ   เครื่องปรุง 1. เต้าหู้ขาวญี่ปุ่น 1 ชิ้น   2.เห็ดเข็มทอง  100 กรัม   3.ต้นหอม  2 – 3 ต้น หั่นท่อน   4.สาหร่ายญี่ปุ่น แช่น้ำจนพองตัวแล้วสรงขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ  1/3 ถ้วย   5.ขิงซอย 1 แง่ง (ขยำน้ำเลือกแล้วล้างออก 2 ครั้ง)   6.พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบ 2 เม็ด   7.ซีอิ๊วขาว  2 ช้อนโต๊ะ   8.น้ำมันงา  1 ช้อนโต๊ะ   9.งาคั่วบุบหยาบ  1 ช้อนโต๊ะ  10.น้ำตาลทรายตัดรสเค็ม ปลายช้อน  11.หมูสามชั้นหั่นเรียง (ใส่หรือไม่ – แล้วแต่ชอบ)   วิธีทำ เรียงสาหร่ายบนจานกระเบื้องทนไฟ  หั่นเต้าหู้ขาวญี่ปุ่น เป็นก้อน 3 เหลี่ยมมุมฉากวางบนสาหร่าย   โรยด้วยเครื่องปรุงที่เหลือ แล้วนำไปนึ่งเตาไฟแรงๆ นาน 10 นาทียกลง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point