ฉบับที่ 204 กระแสต่างแดน

สินค้าย่อไซส์ปรากฏการณ์ข้าวของเล็กลงที่ญี่ปุ่นวันนี้ ไม่ได้เกิดจากไฟฉายย่อส่วนของโดราเอมอน แต่เป็นผลจากแผนของรัฐบาลที่ต้องการสร้างภาวะเงินเฟ้อให้ได้ร้อยละ 2 ตามหลักคิดที่ว่า... เมื่อสินค้าแพงขึ้น ค่าแรงจะเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการบริโภคมากขึ้น เศรษฐกิจโดยรวมก็จะดีขึ้นเพื่อคงราคาขายไว้เหมือนเดิม ผู้ผลิตจึงใช้วิธีลดปริมาณสินค้า เช่น คิวพี ลดปริมาณซอสลงร้อยละ 13 (จาก 295 กรัมเหลือ 255 กรัม) โดยให้เหตุผลว่า ขนาดครอบครัวทุกวันนี้เล็กลง  ค่ายผู้ผลิตนมสดก็พร้อมใจกันเปลี่ยนจากขนาด 1 ลิตร มาเป็น 900 มิลลิลิตร “เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถหยิบจับได้ถนัดมือขึ้น”  ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นนั้น มาจากวัตถุดิบที่ราคาสูงขึ้นและค่าใช้จ่ายในการออกแบบ/เปลี่ยนแปลงหีบห่อให้เหมาะสมตอนนี้ท่านอาเบะคงคิดหนัก เพราะสินค้าก็แพงขึ้นแล้วแต่ค่าแรงในญี่ปุ่นยังคงเท่าเดิม หมายเหตุ: ใครอยากรู้ว่าอะไรถูกลดไซส์บ้าง สามารถเข้าไปดูได้ที่ www.shrinkflation.info    ไม่มีก่อน ไม่มีหลังWeight Watchers ต้นตำรับการโฆษณาผลิตภัณฑ์/บริการลดน้ำหนัก ด้วยรูปภาพ “ก่อน” และ “หลัง” ของผู้ใช้ ประกาศยกเลิกการโฆษณาในรูปแบบดังกล่าวแล้วเนื่องจากมัน “ไม่อินเทรนด์” การควบคุมน้ำหนักและการใช้ชีวิตอย่างระวังรักษาสุขภาพนั้นควรอยู่ในวิถีชีวิตของทุกคน... เขาว่าเวท วอทเชอรส์ (ซึ่งพิธีกรชื่อดัง โอปรา วินฟรีย์ เป็นทั้งพรีเซ็นเตอร์และผู้ถือหุ้น) บอกว่านั่นเป็นนโยบายแต่เขาไม่ได้ห้ามผู้ใช้บริการที่อยากจะโพสต์รูปตัวเองเพื่อโชว์ความเปลี่ยนแปลงให้โลกรู้แถมยังเปิดให้เด็กวัย 13 – 17 ปีสมัครเป็นสมาชิกฟรี เพราะเขาต้องการมีส่วนช่วยลดปัญหาการเกิดโรคอ้วนในเยาวชนอเมริกัน ฟังดูเหมือนจะดี แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการออกมาเตือนว่า การพยายามควบคุมอาหารนั้นอาจนำไปสู่พฤติกรรมการกินที่ผิดปกติในวัยรุ่นได้  ปิดก็ปรับได้ศาลแขวงเมืองโอ้คแลนด์สั่งปรับ Appenture Marketing บริษัทขายอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์เป็นเงิน 114,000 เหรียญ (2.5 ล้านบาท) โทษฐานฝ่าฝืนกฎหมายการค้าที่เป็นธรรม และกฎหมายว่าด้วยการทำ สัญญาและการกู้ยืม บริษัทแจ้งลูกค้าว่าการที่สินค้าส่งถึงมือผู้บริโภคล่าช้ากว่ากำหนด ไม่อาจใช้เป็นเหตุในการขอเงินคืนได้   และยังแอบคิดค่าทำสัญญา 40 เหรียญ โดยไม่แจ้งยอดดังกล่าวในใบเรียกเก็บเงิน ความผิดดังกล่าว เกิดขึ้นระหว่างเดือนมิถุนายน 2015 ถึงเดือนเมษายน 2016 บริษัทเลิกกิจการไปในปี 2017 แต่คณะกรรมการด้านการค้าชี้แจงว่า แม้ความเป็นไปได้ที่จะได้รับ การชดใช้ความเสียหายจะมีน้อย แต่การฟ้องร้องต้องดำเนินต่อไปเพื่อให้ผู้ประกอบการรายอื่นไม่เอาเยี่ยงอย่างนิวซีแลนด์มีคดีฟ้องร้องผู้จำหน่ายโทรศัพท์มือถือ 12 กรณี (ที่ตัดสินแล้ว) และเรียกค่าปรับไปกว่า 1.23 ล้านเหรียญ (28 ล้านบาท)  เชิญชุมนุม ปลายปีที่แล้วกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า Attac ได้เข้าไปนั่งประท้วงในร้านของ Apple ในปารีสเป็นเวลาหลายชั่วโมงเพื่อเรียกร้องให้บริษัทจ่ายภาษีย้อนหลังให้กับรัฐบาลฝรั่งเศส บริษัทบอกว่าการกระทำดังกล่าวสร้างความตื่นตระหนกให้พนักงานและทำให้ลูกค้าไม่กล้าเข้าร้าน จึงยื่น ขอคำสั่งศาลห้ามกลุ่มคนดังกล่าวเข้ามาชุมนุมในร้านอีก ไม่ว่าจะสาขาใด หากฝ่าฝืนจะมีค่าปรับ 150,000  ยูโร (5.7 ล้านบาท) และค่าชดเชยความเสียหายอีก 3,000 ยูโร (115,000 บาท)  แต่ศาลตัดสินว่าคนเหล่านี้ไม่ได้กระทำการที่เป็นอันตราย พวกเขายังมีสิทธิชุมนุมได้ หากนั่งในร้านอย่างสงบและไม่ปิดทางเข้าออกประเด็นเรื่องภาษีของ Apple เป็นข่าวมาโดยตลอด สองปีที่แล้วบริษัทถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังจากรัฐบาลไอร์แลนด์ 14,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (กว่า 450,000 ล้านบาท) อยู่ยากหากถามความเห็นของคนออสซี่วันนี้ เขาคงเสริมว่า “ตายก็ไม่ง่าย”  เพราะพื้นที่สำหรับใช้เป็นสุสานใกล้เมืองใหญ่ๆ ในออสเตรเลียมีจำกัด  จากการคำนวณพบว่าอีก 33 ปี ซิดนีย์จะไม่เหลือที่ทำสุสาน รัฐนิวเซาท์เวลส์จึงเสนอแผนทำสัญญาเช่าพื้นที่ฝังศพครั้งละ 25 ปี หากไม่มีการต่อสัญญา หรือไม่สามารถติดต่อญาติได้ ทางการก็จะย้ายกระดูกออกไปเพื่อให้รายใหม่ได้เข้าใช้พื้นที่แทนหลายคนเลือกใช้บริการเผาศพ เพราะถูกกว่าและไม่ต้องกังวลเรื่องพื้นที่ แต่เนื่องจากบริการนี้ยังไม่มีกฎระเบียบชัดเจน สนนราคาที่ผู้บริโภคจ่ายจึงมีตั้งแต่ 1,000 เหรียญ (ประมาณ 24,500 บาท) ไปจนถึง 4,000 เหรียญ (98,000 บาท) ทั้งๆ ที่บริการไม่ต่างกันมากแถมยังมีเรื่องฉาวเป็นระยะ บางเจ้าลดต้นทุนด้วยการแช่ศพไว้ในตู้เย็นแล้วเผารวมกันคราวเดียว บางรายแอบเปลี่ยนโลงสวยๆ (ที่ญาติจ่ายในราคา 1,700 เหรียญ) เป็นกล่องไม้ราคา 70 เหรียญก่อนนำเข้าเตาเผา เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 161 สุสานคนเป็น : ความโลภของคนที่ตายทั้งเป็น

แค่ได้ยินชื่อเรื่องของละครโทรทัศน์ว่า “สุสานคนเป็น” ผมก็เกิดคำถามข้อแรกขึ้นมาว่า ทำไมอยู่ดีๆ สุสานที่เป็นที่สถิตของมนุษย์ผู้วายปราณไปแล้ว จึงกลายมาเป็นสถานที่ที่ให้คนเป็นๆ ได้เข้าไปอยู่ เรื่องราวของตัวละครอย่าง “ลั่นทม” เศรษฐินีสาวใหญ่ที่มั่งคั่งด้วยสมบัติพัสถานมากมาย แม้ลั่นทมจะเป็นผู้หญิงที่ยึดมั่นและทุ่มเททุกอย่างให้กับความรักที่มีต่อสามีอย่าง “ชีพ” แต่ลั่นทมกลับต้องพบกับการทรยศจากชีพผู้ที่หวังจะครอบครองสมบัติของเธอเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงแต่ชีพที่หวังในทรัพย์สมบัติอันมหาศาลของลั่นทมเท่านั้น เขายังหวังจะครอบครองตัวของ “อุษา” หลานสาวที่ลั่นทมรักมาก รวมทั้งเขายังได้ชักนำภรรยาลับๆ อีกคนอย่าง “รสสุคนธ์” เข้ามาในบ้าน โดยที่ทั้งชีพและรสสุคนธ์ได้ร่วมมือกันวางแผนทุกอย่าง เพื่อจะเข้ามายึดครองทรัพย์ศฤงคารและกำจัดลั่นทมออกไปเสีย ในขณะเดียวกัน ลั่นทมเองก็เป็นโรคประหลาด ที่มักมีอาการวูบแล้วนิ่งไปประหนึ่งคนที่ตายแล้ว ทั้งๆ ที่เธอยังมีชีวิตอยู่ จนขนาดที่ครั้งหนึ่งเธอได้ถูกชีพและรสสุคนธ์จับมัดตราสังลงโลงไปแล้ว แต่ด้วยความช่วยเหลือของอุษาและนายตำรวจอย่าง “ธารินทร์” ลั่นทมก็ฟื้นกลับคืนมาใช้ชีวิตเป็นมนุษย์ตัวเป็นๆ อีกคำรบหนึ่ง และอาการโรคประหลาดแบบตายไปแล้วหรือถูกจับลงตอกตะปูปิดฝาโลงไปแล้ว แต่ก็ยังกลับฟื้นคืนชีวิตได้เช่นนี้เอง ก็ได้กลายมาเป็นปมความขัดแย้งสำคัญที่อยู่ในท้องเรื่องของละคร   เริ่มตั้งแต่ตัวของลั่นทมเอง ที่เมื่อมีอาการวูบนิ่งราวกับเป็นคนตาย ดวงจิตของเธอก็ได้ไปสัมผัสเห็นเบื้องหลังความไม่ซื่อสัตย์ของสามีที่นอกใจเธอ แต่ก็ด้วยความรักที่มีต่อเขา ลั่นทมจึงยังคงพยายามคิดที่จะให้อภัยชีพอยู่ตลอดมา ในเวลาเดียวกัน เมื่อต้องถูกกักขังอยู่ในโลงและในร่างที่ขยับไม่ได้ แต่โสตประสาทได้ยินตลอด ทว่าจะพูดหรือจะเปล่งเสียงให้ใครได้ยินก็มิอาจทำได้ ลั่นทมก็ค่อยๆ เข้าใจความเป็นจริงของชีวิตว่า มนุษย์เราก็เท่านี้ จะโลภะโทสะโมหะกันไปอย่างไร แต่ “สุดท้ายต้องไปที่สุสาน” ด้วยกันทุกคน ดังนั้น เมื่อลั่นทมกลับฟื้นคืนชีวิตมาได้อีกครั้ง สิ่งแรกที่เธอลงมือทำก็คือ การสร้างโลงศพแก้วและสุสานเอาไว้ในอาณาบริเวณของบ้าน แม้คนรอบข้างจะพยายามเตือนว่า การสร้างสุสานในบ้านนั้นถือว่าไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย แต่ลั่นทมก็คงต้องการใช้โลงศพเป็นกุศโลบายของการมรณานุสติ เพื่อเตือนตัวละครคนเป็นๆ ทั้งหลาย โดยเฉพาะชีพและรสสุคนธ์ให้รู้จักละทิ้งซึ่งความโลภโกรธหลงออกไปเสีย แต่เนื่องจากความโลภโมโทสันนั้นไม่เข้าใครออกใคร และละครก็คงต้องการบอกเป็นนัยด้วยว่า ความโลภเป็นยิ่งกว่า “ผีสิง” และไม่ต่างไปจาก “สุสานที่ฝังคนเป็นๆ” เอาไว้ในร่างที่เวียนว่ายอยู่ในกิเลสตัณหา เพราะฉะนั้นท้ายที่สุดชีพและรสสุคนธ์ก็จัดการวางแผนฆาตกรรมลั่นทมได้สำเร็จ และส่งร่างที่ไร้วิญญาณลงไปอยู่ในโลงแก้วที่เธอเตรียมเอาไว้นั่นเอง อย่างไรก็ดี อาจเป็นด้วยลั่นทมเป็นสาวใหญ่ที่มีหัวใจในแบบ “โพสต์โมเดิร์น” หรือที่รู้จักกันว่าเป็นวิธีคิดที่เชื่อเรื่องการสลายสีและสลายเส้นแบ่งทุกอย่าง เมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ เธอก็ถูกกักขังวิญญาณให้กลายเป็นประหนึ่งคนตาย จนยากจะเห็นเส้นแบ่งว่า จริงๆ แล้วเธอยังเป็น “คนเป็น” หรือเป็น “คนที่ตายไปแล้ว” เพราะฉะนั้น เมื่อลั่นทมตายไปจริงๆ เธอก็ยังคงทำให้คนรอบข้างอย่างอุษาสนเท่ห์ใจว่า คุณน้าของเธอตายไปแล้วจริงหรือ จนแม้เมื่อแพทย์ยืนยันว่าเธอเสียชีวิตแล้วจริงๆ ลั่นทมก็ยังเวียนว่ายกลายเป็นผีที่คอยคุ้มครองหลานสาวและบรรดาคนรับใช้ผู้ภักดี ไม่ต่างจากครั้งเมื่อเธอยังมีชีวิตอยู่ และด้วยการใส่เกียร์หัวใจแบบ “โพสต์โมเดิร์น” อีกเช่นกัน ที่ทำให้วิญญาณของลั่นทมได้ลบเลือนเส้นแบ่งระหว่างความเป็นและความตายออกจากกัน และพยายามบอกกับทุกคนว่า สุสานอาจไม่ใช่ที่สถิตของคนตายเสมอไป แม้แต่คนเป็นๆ ที่มีความโลภในจิตใจ ก็ไม่ต่างจากคนที่ถูกฝังอยู่ในโลงหรือมีสุสานที่คอยอ้าแขนต้อนรับพวกเขาอยู่เสมอเช่นกัน เพราะคนไทยเชื่อกันว่า “ผี” เป็นรูปแบบหนึ่งของกระบวนการควบคุมทางสังคม ลั่นทมจึงเริ่มให้บทเรียนกับตัวละครที่ประพฤติมิชอบไปทีละคนสองคน ด้วยการจับคนโลภเหล่านั้นเข้าไปนอนอยู่ในโลงในสุสาน โดยใช้ชีวิตอยู่ในโลกเสมือนที่ก้ำกึ่งระหว่างความเป็นกับความตาย ด้านหนึ่งก็คงเป็นด้วยว่า คนโลภนั้นเมื่อไม่เห็นโลงศพก็จะไม่หลั่งน้ำตา เพราะฉะนั้นพวกเขาจะซาบซึ้งกับตัวตนของความโลภได้ ก็ต่อเมื่อคนเป็นๆ อย่างเขาถูกทำให้กลายเป็น “คนที่ตายทั้งเป็น” ขึ้นมาทันที ก็คงเป็นแบบเดียวกับที่วิญญาณผีของลั่นทมได้พูดกับอุษาผู้เป็นหลานสาวว่า “กับคนบางคนที่ไม่มีสำนึก คนบางคนที่ไม่เกรงกลัวบาป ปล่อยให้น้าจัดการด้วยวิธีของน้าจะดีกว่า...” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหญิงร้ายชายเลวอย่างรสสุคนธ์และชีพ ที่ลั่นทมเห็นว่าเป็นคนที่โลภเกินกว่าจะเยียวยาได้นั้น วิญญาณคุณน้าลั่นทมก็ได้สร้างโลกเสมือนอีกแบบหนึ่งขึ้นมา ด้วยการจับคนทั้งคู่ล่ามคล้องโซ่ผูกติดกันไว้ และจับขังอยู่ในสุสานเก็บศพที่วัดจริงๆ เมื่อชายหญิงสองคนถูกล่ามโซ่ติดกันเอาไว้ ธาตุแท้ของคนทั้งสองก็ถูกเผยออกมาให้เห็นว่า แท้จริงแล้วความโลภไม่ได้ทำให้คนเรารักกันได้จริงๆ หรอก หากแต่คนโลภจะอยู่ด้วยกันก็เพียงเพราะความเห็นแก่ตัวและเห็นแก่ผลประโยชน์สูงสุดของตนเองเท่านั้น เหมือนกับที่ชีพได้ลงมือฆ่ารสสุคนธ์และกลายเป็นคนเสียสติไป ก็เพราะความโลภและเห็นแก่ตัวที่ต้องการเอาชีวิตรอดของเขานั่นเอง แม้ “สุดท้ายต้องไปที่สุสาน” เหมือนกับเพลงประกอบที่ร้องคั่นขึ้นมาในทุกเบรกของละคร แต่สำหรับ “คนเป็น” ที่ยังคงเปี่ยมไปด้วยความโลภโมโทสันแล้ว ก็คงมีแต่วิญญาณของลั่นทมที่จะจับคนเหล่านี้มานอนกักขังอยู่ในโลงแก้ว เพื่อจะบอกกับพวกเขาว่า ไม่ต้องรอให้ตายจริงๆ หรอก เพราะความโลภก็คงไม่ต่างจากสุสานที่ฝังคนเป็นๆ ที่เปี่ยมไปด้วยโลภจริตเอาไว้ได้เช่นเดียวกัน   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point