ฉบับที่ 272 รู้ก่อนตัดสินใจ “สักคิ้ว”

        “การสักคิ้ว” เป็นที่นิยมอย่างมากในวงการความสวยความงามของไทย ก็อย่างว่าคิ้วคือมงกุฎของหน้า สาเหตุที่คนนิยมกัน ก็เนื่องจากต้องการแก้ปัญหาบริเวณส่วนคิ้ว เช่น บางคนต้องการสักคิ้วเพื่อแก้ปัญหาคิ้วบางจนเกินไป ไม่มีความมั่นใจหรือบางคนแค่ต้องการเปลี่ยนทรงคิ้วให้ดูสวยขึ้น เป๊ะปังอยู่ตลอดเวลานั้นเอง การสักคิ้วสมัยนี้ก็มีอยู่หลายรูปแบบ ทั้ง 3 มิติ 6 มิติ แบบการฝังสีคิ้วสไตล์เกาหลี เพิ่มโหงวเฮ้งของใบหน้าก็มีหาได้ทั่วไป          อย่างไรก็ตาม หากต้องการสักคิ้วจริงๆ อยากให้ผู้บริโภคศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจสักหน่อย เพราะหากสักพลาดไปแล้วแน่นอนแก้ยากกว่าที่คิด หลายคนคงจะเห็นได้จากข่าวที่มีคนพลาดไปสักคิ้วแล้วได้คิ้วทรงแปลกๆ ให้เห็นกันอยู่บ่อย ฉลาดซื้อ จึงอยากแนะนำ ดังนี้          1. ตรวจสอบร้านสักคิ้วที่เราต้องการใช้บริการ ช่างมีใบรับรองวิชาชีพหรือไม่ ก่อนลงมือสักมีการใส่ถุงมือ หน้ากากอนามัย         2. สถานที่ใช้บริการต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการ (ใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ) ซึ่งใบประกอบดังกล่าวจะมีอายุ 1 ปี นอกจากนี้ ภายในร้านต้องสะอาด ถูกอนามัย อยู่ในพื้นที่เปิดเผยเป็นหลักแหล่ง อุปกรณ์ที่ใช้ไม่ควรใช้ซ้ำ         3. อ่านรีวิวก่อนเข้าใช้บริการทุกครั้ง เพื่อศึกษาความน่าเชื่อถือของร้าน และให้แน่ใจว่าการใช้บริการจะปลอดภัย ตรงนี้แนะนำให้เช็กดีๆ         4. สำหรับคนที่แพ้ยาชาไม่ควรสักคิ้ว เนื่องจากการสักคิ้วก่อนลงเข็มจะต้องมีการลงยาชาเพื่อลดอาการเจ็บก่อน         5. ก่อนลงมือสักคิ้ว ควรแจ้งรายละเอียดทรงคิ้วที่อยากได้ให้ชัดเจน ให้ช่างร่างทรงคิ้วให้ดูก่อนยิ่งดีอย่าตามใจช่างเพราะอาจได้ทรงคิ้วที่ไม่ถูกใจ เมื่อสักไปแล้วการแก้ไขภายหลังก็ยากมากขึ้น         6. สำหรับคนที่ชอบเปลี่ยนทรงคิ้วตามกระแสบ่อยๆ อาจจะไม่ตอบโจทย์     ความเสี่ยงในการสักคิ้ว         -  ไม่ได้ทรงคิ้วตามที่ต้องการอาจจะหนาเกินไป เหมือนที่คนทั่วไปเรียกว่า “คิ้วปลิง” นั้นเอง         -  การแก้ไขในภายหลังกรณีที่ทำการสักคิ้วไปแล้ว เช่น การสักคิ้วแบบถาวร ซึ่งอาจจะต้องแก้ด้วยการเลเซอร์ลบรอยสักเท่านั้น มีค่าใช้จ่ายสูง และต้องทำอีกหลายครั้งจนกว่าสีจะจางเป็นปกติ แถมยังอาจมีแผลเป็นตามมาอีกด้วย         -  การเลือกร้านสักที่ไม่ถูกสุขอนามัย ไม่มีมาตรฐาน ทำให้อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด         -  มีอาการแพ้สีที่ใช้สัก หรือยาชาโดยที่เราไม่ทราบมาก่อน ทำให้เกิดการอักเสบ คัน หรืออื่นๆ แนะนำว่าอย่าปล่อยทิ้งไว้ให้รีบไปพบแพทย์ทันที         -  ค่าใช้จ่ายในการสักคิ้ว ราคาสูงไม่ได้แปลว่าจะไม่เกิดความผิดพลาด                    นอกจากนี้  การสักคิ้วไม่ได้มีแต่ข้อเสีย ข้อดีก็มี เช่น ช่วยเสริมโหวงเฮ้ง ลดเวลาการเขียนคิ้วแต่งหน้า แก้ปัญหาสำหรับสาวคิ้วบางได้ตามที่กล่าวไปข้างบน แต่สำหรับใครที่ขี้เบื่อหรือชอบเปลี่ยนทรงคิ้ว แต่ยังอยากสักคิ้วจริงๆ  อาจเลือกการสักคิ้วแบบฝังสีฝุ่น ซึ่งเป็นการฝั่งสีคิ้วไปบริเวณบนหนังกำพร้า อยู่ได้ 3-6 เดือนหรือมากกว่านั้นและจะเริ่มจางหายไปเองตามธรรมชาติ เหมาะกับคนที่ต้องการเปลี่ยนทรงคิ้วอยู่เรื่อย แต่อาจจะเหมาะสำหรับคนที่ชอบคิ้วสไตล์เกาหลีเท่านั้น          ทั้งนี้ “สำหรับคนที่ได้ไปสักคิ้วมาแล้ว ก็อยากให้ดูแลโดยการหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนน้ำ ทำตามคำแนะนำของช่าง เพื่อลดโอกาสเกิดการติดเชื้อและอักเสบด้วยนะคะ”           ข้อมูลจาก : สักคิ้ว ศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจ - พบแพทย์ (pobpad.com)สักคิ้ว ข้อควรรู้ ขั้นตอน และแนวทางการดูแลตัวเองหลังสัก - พบแพทย์ (pobpad.com)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 268 สิ่งที่ควรรู้ ก่อนศัลยกรรมเพิ่มความสวย

        ปัจจุบันมีคลินิกเสริมความงามเปิดใหม่มากมาย แถมราคาในการผ่าตัดบางคลินิกก็ถูกแสนถูก ล่อตาล่อใจผู้บริโภคกันสุดๆ  แต่ว่าราคาถูกที่ว่านั้น..ถ้าเจอที่ดีก็ถือว่าโชคดีไป เจอไม่ดีก็อาจจะได้หมอเถื่อนมาทำหน้าเราแทน จากหน้าสวยก็จะกลายเป็นหน้าพัง  อย่างกระแสข่าวเรื่องจับหมอปลอมตามคลินิกเสริมความงามก็มีมาให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ เต็มโลกออนไลน์         แม้ว่า ฉลาดซื้อ จะรู้อยู่ว่าหลายคนที่ต้องการศัลยกรรมใบหน้าคงรู้กันอยู่แล้วว่าการทำหัตถการประเภทนี้ค่อนข้างเสี่ยง แต่ถ้าความเสี่ยงที่เราเอาไปแลก มันคือความผิดพลาดจากทางคลินิกที่มักง่าย ไม่ได้มาตรฐานมันก็คงไม่คุ้มเสี่ยงใช่ไหม ดังนั้น ฉลาดซื้อ ก็อยากให้ทุกคนที่กำลังตัดสินใจจะไปทำศัลยกรรม ลองมาพิจารณาข้อมูลที่ควรเช็กกันก่อนเข้าใช้บริการคลินิกเสริมความงาม เช็กก่อนศัลยกรรมเพื่อความปลอดภัย        ·     อย่างแรกที่ต้องเช็คเลย คือ การตรวจเช็กใบอนุญาตสถานพยาบาล 11 หลัก อันนี้สำหรับตรวจสอบว่าคลินิกที่ให้บริการเป็นคลินิกเถื่อนหรือไม่ ซึ่งก่อนเข้ารับบริการควรสังเกตว่ามีติดไว้หน้าคลินิกเพื่อให้ผู้ที่เข้ารับบริการนั้น สามารถตรวจเช็กได้อย่างสะดวก เช็กได้ที่ https://hosp.hss.moph.go.th/ หรือ http://privatehospital.hss.moph.go.th         ·     ตรวจสอบใบประกอบวิชาชีพแพทย์ โดยต้องมีติดอยู่หน้าที่เข้าบริการอย่างชัดเจน  ต้องมีภาพถ่ายของแพทย์ ชื่อ-นามสกุล  สาขาและเลขที่ใบอนุญาตของผู้ให้บริการ และสามารถ                นำไปเช็กได้ที่ https://checkmd.tmc.or.th/ หรือโทรสอบถามแพทย์สภาโดยตรง        ·     ทำการเช็กภาพถ่ายที่ติดอยู่หน้าห้องกับผู้ที่ทำหัตถการให้ว่าเป็นคนเดียวกันหรือไม่ หากไม่ใช่ ให้หลีกเลี่ยงที่จะไม่ทำหัตถการด้วย ไม่ต้องเกรงใจคลินิกเพราะเราต้องปลอดภัยไว้ก่อน        ·     เวลาเข้าคลินิกเพื่อทำศัลยกรรมต่างๆ อีกเรื่องที่ต้องระวัง คือ อุปกรณ์ ยา ซิลิโคน ฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์ ซึ่งต้องมี อย. รับรอง ยกตัวอย่าง คลินิกถูกกฎหมายส่วนมาก เมื่อทำหัตถการจะเปิดตัวยาให้เราดูอย่างชัดเจนก่อนเริ่มฉีด เมื่อเสร็จก็จะให้กล่องตัวยากลับบ้าน ซึ่งเราควรจะเลือกคลินิกที่เมื่อเราเข้ารับบริการนั้น ทางคลินิกสามารถเปิดข้อมูลตัวยาที่จะฉีดให้เราดูได้อย่างชัดเจน ไม่ปกปิดข้อมูล        ·     หากทำหัตถการที่จะต้องวางยาสลบ  คลินิกควรต้องมีวิสัญญีแพทย์อันนี้สำคัญ เผื่อกรณีคนไข้มีอาการแพ้ยาสลบ หรือเหตุฉุกเฉินอื่นๆ ทั้งนี้ ควรมีเครื่องมือและอุปกรณ์รองรับในกรณีฉุกเฉินเพื่อความปลอดภัย        ·     การรับผิดชอบของคลินิกกรณีหากเราเกิดความเสียหายต่อการรักษาของแพทย์ในคลินิก จะมีแนวทางในการชดเชยเยียวยาอย่างไร        ·     คลินิกสะอาดมีสุขอนามัยอนามัยหรือไม่  และก่อนเข้าบริการควรไปสำรวจที่ตั้งของคลินิกที่ต้องการเข้ารับบริการก่อนว่ามีอยู่จริง         ทั้งนี้  เราควรที่จะต้องสอบถามแพทย์เพื่อให้ตรวจเช็กความพร้อมของร่างกายเราด้วย และตัวเราเองควรบอกข้อมูลกับแพทย์ให้ครบถ้วน เช่น แพ้ยาอะไร มีโรคประจำตัวอะไร พร้อมกับสอบถามรายละเอียดให้ชัดเจน พยายามอย่าเชื่อรีวิวโฆษณาในโลกออนไลน์หรือโปรโมชันราคาถูกจนเกินไป         อีกเรื่องที่ต้องเตือนคือ หมอกระเป๋า แน่นอนว่าไม่มีความปลอดภัย ผู้บริโภคบางคนอาจจะคิดว่าฟิลเลอร์แท้ โบท๊อกซ์แท้ฉีดยังไงก็คงไม่เป็นไร แต่จริงๆ มีความเสี่ยงมาก เพราะใบหน้าของเรามีทั้งเส้นเลือด เส้นประสาทมากมาย  ดังนั้นการทำหัตถการควรต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น        นอกจากนี้ หากผู้บริโภคพบเจอสถานประกอบพยาบาลเถื่อนเบื้องต้นสามารถร้องเรียนได้ที่ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) สายด่วน 1426 หรือ ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ โทรศัพท์ 02 5918844  ข้อมูลจาก  https://www.hfocus.org/content/2021/10/23328https://ffcthailand.org/case/65https://www.springnews.co.th/blogs/spring-life/819276

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 226 ข้อคิดจากการสวยตามเทรนด์

                รูปแบบของความสวยงามนั้น อันที่จริงแล้วมันไม่มีนิยามตายตัว ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับค่านิยมของสังคมและยุคสมัย ดังนั้นแต่ละปีก็จะมีคนมาบอกเราว่า ปีหน้าเขาจะนิยมรูปแบบความงามแบบไหน เราต้องดูแลหรือเตรียมการอย่างไร เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย ซึ่งปีหน้า 2563 นี้หลายกูรูยังฟันธงว่า เทรนด์สวยธรรมชาติและเครื่องสำอางจากส่วนผสมธรรมชาติยังคงความแรงต่อเนื่อง         ผิวพรรณแบบกระจ่างใสดังกระจกหรือ Glass Skin ยังคงได้รับความนิยม         ผิวแบบ Glass Skin  คือผิวพรรณที่ผุดผ่องมีน้ำมีนวล บ่งบอกถึงสุขภาพดีจากภายใน ผิวแบบ Glass Skin นั้น  ขอให้ลองคิดถึงซีรีย์เกาหลี ที่สาวๆ ในเรื่องจะมีผิวใสๆ ดูอิ่มเอิบฉ่ำวาวดังแก้ว แบบนั้นแหละที่เรียกว่า Glass Skin ซึ่งผู้ก่อกระแสนี้คือ บิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อดังชาวเกาหลีนั่นเอง เมื่อฮิตขึ้นมาแล้วก็ฮิตต่อกันไปยาวๆ ข้ามปี หลักๆ ของเทรนด์ผิวใสดั่งแก้วนี้ คือ เน้นที่การทำความสะอาดให้หมดจด บำรุงผิวทั้งจากภายนอกและภายในเพื่อให้ผิวเปล่งประกายอย่างคนที่สุขภาพดี และเสริมด้วยการแต่งหน้าให้ดูกระจ่างใสโชว์ความเปล่งปลั่งสดใสของผิว         อย่างไรก็ตามเมืองไทยนั้นสภาพอากาศต่างจากเกาหลีจะให้ทันกับเทรนด์นี้ ก็ต้องปรับให้เหมาะสมจะสำเนามาทั้งหมดคงไม่เหมาะ ส่วนที่สามารถทำได้เลยและดีมากเสียด้วย คือ หลักของการทำความสะอาดและการบำรุง         ขั้นตอนที่แนะนำหลักๆ คือ เมื่อแต่งหน้าแล้วต้องไม่ละเลยการทำความสะอาดอย่างหมดจด ให้เกิดการตกค้างของสารเคมีบนผิวน้อยที่สุด ดื่มน้ำให้มาก รับประทานอาหารที่ดี และบำรุงผิวด้วยครีมบำรุงที่เหมาะกับสภาพผิว ซึ่งผู้นำเทรนด์เสนอว่าควรสครับ(ขัดถูหน้าเพื่อให้เกิดการผลัดผิวที่เร็วขึ้น) และมาสก์หน้าเมื่อว่างจากกิจกรรมปกติ   และหากจะให้เป๊ะสำหรับอากาศร้อนและแดดแรงๆ แบบเมืองไทย การปกป้องผิวด้วยครีมกันแดดคือสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน                เทรนด์ความเป็นธรรมชาติที่ช่วยให้ผู้บริโภคมีสุขภาพผิวที่ดี        เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในลุคธรรมชาติและเครื่องสำอางที่ปกป้องคุณจากมลภาวะ คือสิ่งที่คาดว่าจะมาแรงในปี 2563 สารสกัดจากธรรมชาติที่ถูกผสมในเครื่องสำอางหรือนำมาเป็นอาหารเสริมนั้น ยังคงจะได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง แต่ที่ต้องเพิ่มขึ้นคือ ความต้องการสินค้าแบบเฉพาะกลุ่มและตอบโจทย์เรื่องมลภาวะ         สิ่งที่ต้องระวังในกรณีของสินค้าที่เคลมเรื่องสุขภาพผิวสวยคือ กรณีของเครื่องสำอาง ทางหน่วยงานที่กำกับดูแลจะไม่ได้มีการทดสอบเรื่องความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เพียงรับจดแจ้งเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปสำหรับผู้บริโภคเท่านั้น ดังนั้นการเสี่ยงกับอาการแพ้ยังคงต้องได้รับความสนใจเป็นอันดับแรกๆ โดยควรทดสอบกับผิวในบริเวณที่ไม่ใช่เป้าหมายหลักก่อนใช้ และอย่าคาดหวังกับสินค้าจนเกินไป นอกจากนี้การช่วยกันเฝ้าระวังสินค้าที่ไม่ปลอดภัยโดยการแจ้งต่อหน่วยงานที่กำกับดูแลจะช่วยให้เกิดความปลอดภัยในวงกว้าง         ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในหลักการคือ การทำความสะอาดและปกปิดเสริมแต่ง ดังนั้นไม่ควรคาดหวังถึงขนาดแก้ไขหรือฟื้นฟูสภาพผิว        กรณีของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาจมีการโฆษณาจนเกินเลย ให้สรรพคุณที่มากกว่าการบำรุง แต่เป็นโชว์สรรพคุณรักษาโรค ซึ่งถือว่าผิด และเราไม่ควรตกเป็นเหยื่อของสินค้าเหล่านี้ ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางผลิตภัณฑ์ผลิตขึ้นมาเพื่อสร้างการตลาดแบบ แชร์ลูกโซ่ ไม่ได้มีสรรพคุณอะไรมากไปกว่าอาหารธรรมดา ผู้บริโภคต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ให้ความโลภชักนำให้ขาดความรอบคอบในการใช้สินค้า         การพยายามสวยตามแฟชั่นหรือเทรนด์ไม่ได้เป็นสิ่งผิดปกติ ใครๆ ก็อยากจะได้ชื่อว่าทันสมัย แต่เราควรรอบคอบไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้ผลิต ผู้ประกอบการที่ไม่มีความรับผิดชอบ ทำสินค้าที่ไม่ปลอดภัยหรือฉาบฉวยเพียงเพื่อจะหาผลประโยชน์ทางการเงิน สวยตามเทรนด์ได้แต่ต้องเท่าทันข้อมูลด้วย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 223 แค่สระไดร์ ทำไมแพงจัง

สมาคมผู้บริโภค จ.ขอนแก่น ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคท่านหนึ่ง ซึ่งน่าสนใจเพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว จึงนำมาเสนอฝากเป็นเรื่องเตือนใจถึงผู้บริโภคท่านอื่น ดังนี้         คุณศรีสมรไปประชุม ณ โรงแรมแห่งหนึ่งใน จ.ขอนแก่น ช่วงเย็นหลังเลิกงานประชุมแล้ว คุณศรีสมรแวะเข้าไปใช้บริการสระไดร์จากร้านเสริมสวยแห่งหนึ่งที่เปิดบริการอยู่ใกล้ๆ โรงแรม เท่าที่สังเกตคือ ร้านเสริมสวยดังกล่าวไม่ได้ติดป้ายแสดงราคาค่าบริการเอาไว้ ส่วนคุณศรีสมรเองตอนนั้นก็ไม่คิดอะไรมาก จึงไม่ได้สอบถามค่าบริการก่อนแต่แรก คิดว่าแค่สระไดร์คงไม่เกิน 150 บาท เพราะเคยทำในราคานี้         หลังจากรับบริการเสริมสวยเป็นที่เรียบร้อย คุณศรีสมรก็ต้องตกใจ เมื่อเจ้าของร้านเรียกเก็บค่าบริการเป็นเงินจำนวน 340 บาท ซึ่งผิดจากที่คาดการณ์ไว้มาก คุณศรีสมรจึงสอบถามเจ้าของร้านไปว่า ทำไมค่าบริการถึงแพงจัง ?  ซึ่งเจ้าของร้านได้ตอบกลับมาว่า “ ผมสั้น 200 บาท ผมยาว 340 บาท ค่ะ ”         คุณศรีสมรนำเรื่องมาปรึกษากับสมาคมผู้บริโภค จ.ขอนแก่น ถึงปัญหาการคิดค่าบริการสระไดร์ของร้านเสริมสวยดังกล่าวว่าแพงเกินไปหรือไม่ ทางสมาคมผู้บริโภค จ.ขอนแก่น ได้แจ้งกับคุณศรีสมรไปว่า การที่ทางร้านไม่ติดป้ายแสดงราคานั้นถือว่าผิดกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 มาตรา 40 ผู้ใดไม่แสดงราคาหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา 28 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท ดังนั้นทางสมาคมผู้บริโภค จ.ขอนแก่น จะทำหนังสือร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป แนวทางการแก้ไขปัญหา        1. หากผู้บริโภคเจอปัญหาเช่นนี้ ให้ถ่ายภาพสถานที่ร้านเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน โดยอาจถ่ายภาพจากระยะห่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการโต้เถียงกัน        2. ร้องเรียนไปยัง กรมการค้าภายใน สายด่วน 1569 เพื่อขอให้หน่วยงานเข้าไปตรวจสอบ ข้อแนะนำสำหรับผู้บริโภค        - ควรเลือกใช้บริการร้านค้าที่ติดป้ายแสดงราคาสินค้า/บริการที่ชัดเจน  หากเลี่ยงไม่ได้ ให้สอบถามและตกลงค่าบริการกันก่อนใช้บริการ         สำหรับผู้บริโภคที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น สามารถขอคำแนะนำหรือร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องผู้บริโภคได้ที่ สมาคมผู้บริโภค จ.ขอนแก่น  เลขที่ 686/5 ซอยวุฒาราม ถนนหน้าเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000  โทร.065 052 5005  หรือ อีเมล cakk2551@gmail.com หรือเฟสบุ๊คแฟนเพจ www.facebook.com/Cakk2551

อ่านเพิ่มเติม >


ฉบับที่ 196 อยากใช้เบอร์มงคล เบอร์สวย ระวังจะซวย ไม่รู้ตัว

“เบอร์สวย เบอร์มงคล รับทรัพย์ รับโชค เสริมดวงชะตา นำพาชีวิตรุ่ง ทั้งหน้าที่การงาน ความรัก สุขภาพ ครอบครัว ดีพร้อมทุกด้าน การันตีความสำเร็จ โดยปรมาจารย์ด้านเลขศาสตร์ชั้นนำของเมืองไทย”  ความเชื่อเรื่องโชคลาง เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมไทยมานาน ช่วงหนึ่งผู้คนนิยมเปลี่ยนชื่อเพื่อความเป็นสิริมงคล จนทุกวันนี้คนหันมาเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือเพราะเชื่อว่า ตัวเลข มีผลต่อชีวิตในทางดีและร้าย โดยเฉพาะหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ที่กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตปัจจุบัน เป็นช่องทางการติดต่อทางธุรกิจ เบอร์สวยที่จำง่าย สะดุดตา ก็อาจจะมีส่วนช่วยให้ลูกค้าโทรศัพท์เข้ามาติดต่อได้สะดวก ส่งผลต่อยอดขายที่เพิ่มขึ้น หลายคนจึงพยายามหาเบอร์สวย เบอร์มงคล มาไว้ใช้งาน เมื่อมีคนเชื่อถือศรัทธา จึงนำมาสู่ธุรกิจการซื้อ ขายเบอร์โทรศัพท์ แรกเริ่มเดิมที่ธุรกิจ “ซื้อขายเบอร์โทรศัพท์” นี้จะอยู่ในมือของ เอเย่นต์ที่รับซิมการ์ดโทรศัพท์จากค่ายมือถือไปขาย โดยจะคัดหมายเลขสวย เช่น เลขตอง (xxx) เลขเรียง (abcd) เลขคู่ (xxyy) เลขหาบ (xyxy) เลขสลับ (xyyx) มาขายในราคาสูงกว่าหมายเลขโดยทั่วไป ราคาของเบอร์ก็มีตั้งแต่หลักพัน ไปจนถึงหลักแสน ขึ้นอยู่กับค่านิยม ความเชื่อ แต่เลขสวยในลักษณะนี้ก็มีจำนวนจำกัด ตามธรรมชาติของการจัดเรียงตัวเลข  ในระยะต่อมาเมื่อเกิดมีกระแสเรื่องเบอร์มงคล ใช้แล้วดี ทำมาค้าขายร่ำรวย ก็ทำให้ตลาดการซื้อขายเบอร์โทรศัพท์ กลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง เพราะแต่ละตำรา แต่ละอาจารย์ ก็มีหลักเกณฑ์ และการนิยามเลขหมายมงคลที่แตกต่างกันไป บางสำนักดูผลรวมของเลขหมายโทรศัพท์ทั้งหมด บางสำนักดูเลขคู่แต่ละชุดที่เรียงต่อกันในเบอร์โทรศัพท์ บางสำนักดูลึกลงไปถึงรายละเอียดวันเดือนปีเกิดของผู้ใช้โทรศัพท์ประกอบด้วย เบอร์มงคลในตลาดจึงมีจำนวนไม่จำกัด เหมือนอย่างเบอร์สวย เพราะขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบุคคลที่จะกำหนดสร้างขึ้นมา  เมื่อตลาดของการซื้อขายเบอร์มงคลเริ่มโตขึ้น ค่ายมือถือจึงเห็นเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้า จึงเข้ามาทำตลาดซื้อขายเบอร์มงคลอย่างเต็มตัว แต่ละค่ายมีการใช้พรีเซนเตอร์ หมอดูชื่อดังระดับประเทศ มาโฆษณาถึงความพิเศษของเบอร์มงคล ว่าใช้แล้วจะส่งผลดีกับชีวิตอย่างไรบ้าง  ประเด็นที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคก็คือ เบอร์มงคลเหล่านี้ จะถูกกำหนดไว้ให้ต้องใช้แพคเก็จค่าบริการขั้นต่ำ ตั้งแต่ประมาณ 400 – 1,000 บาทขึ้นไป และต้องใช้เป็นระยะเวลาอย่างน้อย   6 เดือน – 1 ปี ตามที่บริษัทกำหนด เรียกว่า “เบอร์ไหนเป็นมงคลมาก ก็ยิ่งต้องเสียค่าบริการรายเดือนมากเป็นพิเศษ” นอกจากนี้บางค่ายยังมีข้อกำหนดอีกว่า ห้ามย้ายค่าย ห้ามเปลี่ยนไปใช้โปรโมชั่นที่ถูกลง ถ้าผู้ใช้บริการทำผิดเงื่อนไขนี้ จะต้องถูกปรับเงินอีกต่างหาก มีผู้ใช้บริการจำนวนไม่น้อยที่เลือกเบอร์มงคลไปใช้ แต่ปรากฏว่า แทนที่เบอร์เหล่านี้จะช่วยเรียกทรัพย์มาให้ตามที่ตั้งใจไว้ตอนแรก แต่ปรากฏว่ากลับกลายเป็นทำให้เสียทรัพย์ไปเสียนี่ เพราะเลขหมายอาจจะมีผลคำทำนายที่เป็นบวก แต่คุณภาพบริการโทรศัพท์ที่ได้รับจริงอาจจะแย่ เช่น สัญญาณไม่ดี โทรเข้า-ออกลำบาก เน็ตก็ช้า หลุดแล้วหลุดอีก จะยกเลิกบริการก็ไม่ได้ จะย้ายค่ายไปใช้รายอื่นก็ไม่ได้ เพราะบริษัทอ้างว่ามีข้อสัญญากำหนดไว้แล้วว่าต้องใช้อย่างน้อย 1 ปี ลองคิดดูสิครับว่า “เบอร์โทรศัพท์ที่ใช้งานไม่ได้ แต่ต้องจ่ายค่าบริการแพง ๆ ทุกเดือนแบบนี้จะเรียกว่า เบอร์มงคล ได้หรือ” เรื่องร้องเรียนในลักษณะนี้ คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ในกิจการโทรคมนาคม ได้พิจารณาแล้วมีความเห็นว่า “ข้อกำหนดและเงื่อนไขสิทธิรายการส่งเสริมการขาย สำหรับเลขหมายพิเศษ เบอร์สวย ที่กำหนดให้เลขหมายโทรคมนาคมแต่ละแบบ ต้องใช้รายการส่งเสริมการขายใด เป็นระยะเวลาเท่าใด และหากยกเลิกบริการ หรือเปลี่ยนแปลงรายการส่งเสริมการขายก่อนครบกำหนดจะต้องชำระค่าธรรมเนียมการยกเลิกสัญญานั้น  ข้อกำหนดนี้ เกี่ยวข้องกับ เลขหมายโทรคมนาคม สิทธิในการเลือกใช้รายการส่งเสริมการขาย และการยกเลิกบริการ จึงถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม ซึ่งตามมาตรา 51 ของ พ.ร.บ. ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 กำหนดให้ สัญญาและเงื่อนไขใด ๆ เกี่ยวกับการให้บริการโทรคมนาคม ที่ผู้รับใบอนุญาตจะกำหนดขึ้นต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ และข้อ 4 ของ ประกาศ กทช. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม ฯ กำหนดว่า สัญญาจะมีผลผูกพันและบังคับใช้ได้ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ดังนั้น เมื่อคณะกรรมการมิเคยพิจารณาให้ความเห็นชอบข้อตกลงดังกล่าว ข้อตกลงนั้นจึงไม่มีผลบังคับใช้    ผู้ร้องเรียนจึงมีสิทธิเลือกใช้รายการส่งเสริมการขายอื่นได้ หรือคงสิทธิเลขหมายไปใช้บริการกับผู้ให้บริการรายอื่น เช่นเดียวกับผู้ใช้บริการโดยทั่วไป” เรื่องความเป็น “มงคล” นั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง “มงคลสูตร 38 ประการ” ธรรมะว่าด้วยการฝึกตนเพื่อให้เกิดมงคลขึ้นในชีวิต  ในข้อที่ว่า “อะเสวนา จะ พาลานัง การไม่คบคนพาล” นั้น เป็นมงคลประการแรก และนับเป็นมงคลสูงสุด ในอันที่จะชีวิตไปสู่ความเจริญ และรอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งหลาย ดังนั้น เลือกใช้บริการโทรศัพท์ครั้งต่อไป อย่ามัวแต่ดูเบอร์มงคล ขอให้อ่านเงื่อนไข สัญญาให้ถี่ถ้วนรอบคอบด้วยว่า มีเนื้อหาที่จ้องจะเอาเปรียบหรือไม่ ถ้าใช่ ก็ขอให้หลีกเลี่ยง อย่าไปใช้บริการกับ “คนพาล” จะเป็นการดีที่สุด

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 118 ซวยจากการเสริมสวย

ซวย จากการเสริมสวย  ในฉลาดซื้อฉบับนี้ผู้เขียนจะขอเล่าเรื่องเกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์สุขภาพซึ่งกินไม่ได้ เพราะเป็นเครื่องสำอาง เนื่องจากผู้เขียนได้พบพาดหัวข่าวในอินเตอร์เน็ตว่า โรงพยาบาลหลายแห่งในจีนเป็นเอเย่นจัดส่งรกเด็กขาย เพื่อนำไปใช้ปรุงยาบำรุง แก้ปัญหาเซ็กซ์เสื่อม โรคหัวใจ และวัณโรค ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นทั้งที่ทางกระทรวงสาธารณสุขจีนได้ออกกฎห้ามซื้อขายรกเด็กตั้งแต่เดือนเมษายน 2548 แล้วโดยระบุว่า รกเด็กเป็นสมบัติของผู้เป็นมารดา ห้ามสถาบันหรือบุคคลใดซื้อขาย อย่างไรก็ดีเมื่อมีลูกค้าบางส่วนเต็มใจจ่ายเงินซื้อก็มีผู้บริการนำรกเด็กที่มาจากการแท้งลูกมาขาย   มีรายงานในหนังสือพิมพ์ของจีนกล่าวว่า หลายโรงพยาบาลพัวพันกับการจำหน่ายรกเด็กซึ่งก็ไม่น่าแปลกเพราะโรงพยาบาลเป็นแหล่งที่รกจะหลุดออกมาจากมดลูกสาวๆ แต่ในเมืองไทยอาจพบว่าแหล่งจำหน่ายเพิ่มเติมคือ คลินิกที่ติดป้ายประมาณว่าให้คำปรึกษาในการคุมกำเนิด(แต่ไม่คุมกำหนัด)   ในทางการแพทย์แผนจีนถือว่ารกเด็กเป็นยาสมุนไพรที่ช่วยบำรุงร่างกาย และแก้ปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในชาย จึงทำให้ความต้องการรกเด็กมีสูงมาก ลูกจ้างบางรายในโรงพยาบาลอาจคบคิดกับคนข้างนอกนำรกเด็กไปจำหน่ายเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋า   ในการลักลอบ(แบบเปิดเผยเพราะทำกันที่โรงพยาบาล) ซื้อขายรกนี้ นักข่าวของหนังสือพิมพ์อีสต์เอเชียอีโคโนมิกแอนด์เทรดนิวส์ได้รายงานข้อความในเว็บไซต์ว่า โรงพยาบาลสูตินารีเวชจี๋หลินของมณฑลจี๋หลิน ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เป็นผู้จำหน่ายรกเด็กรายใหญ่ ราคารกเด็กนั้นแพงไม่เบาเลยครับท่านผู้อ่าน มีข้อมูลว่ารกเด็กที่อยู่ในรูปแบบผงจำหน่ายอยู่ที่ราคา 200 หยวน (ราว 1,000 บาท) โรงพยาบาลไม่กล้าขายมันอย่างโจ่งแจ้ง แต่เป็นที่รู้กันว่า ถ้าติดต่อคนภายในแล้วไม่ผิดหวัง จัดให้ โดยเฉพาะถ้าได้รกจากแม่ที่มีสุขภาพแข็งแรง และเด็กที่คลอดออกมาเป็นลูกชายท้องแรกด้วยแล้ว ราคาของรกจะแพงเป็นพิเศษ คำถามก็คือ มันเป็นข้อมูลจริงแค่ไหน หลอกลวงผู้บริโภค (โง่ๆ เหล่านี้) หรือเปล่า เพราะผู้อำนวยการโรงพยาบาลไม่มีทางออกใบรับประกันให้แน่   มีรายงานแบบหาหลักฐานยืนยันในเน็ตไม่ได้ว่าคุณแม่ส่วนหนึ่งที่เพิ่งคลอดบุตรและนอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลกล่าวว่า ต้องการนำรกเด็กออกจากโรงพยาบาล แต่ทางโรงพยาบาลมักแจ้งล่วงหน้าว่า หากจะเอารกกลับไปเราจะต้องจ่ายเงินซื้อ ในขณะที่ทางโรงพยาบาลมักประกาศว่าไม่เคยได้ยินใครในโรงพยาบาลพูดถึงการขายรกเด็กและทางโรงพยาบาลก็อนุญาตให้ครอบครัวของเด็กนำรกกลับไปได้   ผู้เขียนพบข้อมูลจากบางเว็บกล่าวว่า แม้รกเด็กจะอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ แต่หากรับประทานเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวผู้บริโภคได้ อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสต่างๆ เช่น เชื้อ HIV หรือโรคอื่นๆ โดยขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้เป็นแม่ ซึ่งถ้าแจ๊คพ็อตแตกเจอแม่เป็นเอดส์ด้วย ก็งามไส้แบบที่ตลกคาเฟ่ชอบพูด ชิมินอกจากนี้แม้ว่ารกเด็กนั้นจะสมบูรณ์ แต่ก็อาจกลายเป็นพิษได้หากในช่วงการส่งมอบหรือการเก็บรักษาไม่ได้กระทำอย่างสะอาดและอุณหภูมิเย็นไม่พอที่จะป้องกันไม่ให้รกเน่า เนื่องจากรกนั้นเป็นอาหารเลี้ยงเชื้อชนิดสุดยอดของแบคทีเรีย ปัจจุบันในประเทศไทยมีการนำทั้งรกแกะเข้ามาจำหน่ายอยู่บ้าง โดยเรียกว่า เซลล์สด และมีบางส่วนที่เป็นรกปลอม และก็มีบางส่วนในรูปเครื่องสำอาง ส่วนกรณีของรกคนนั้น ผู้เขียนจำได้ว่า เมื่อ 25 ปีมาแล้วตอนที่ภรรยาผู้เขียนจะคลอดบุตรทางโรงพยาบาลได้ให้ผู้เขียนลงนามยกรกให้โรงพยาบาล นัยว่ามีบริษัทผลิตเครื่องสำอางได้ติดต่อซื้อไว้เพื่อนำไปสกัดสารทำเครื่องสำอางประเภทบำรุงผิวหน้า เพื่อลบร่องรอยแห่งกาลเวลา ส่วนเงินจากการจำหน่ายนั้นคงเข้าโรงพยาบาลอย่างถูกต้อง เพราะเรื่องนี้ทำกันเปิดเผยมีแบบฟอร์มมาตรฐานให้กรอก   ในเรื่องของเครื่องสำอางที่มีรกเป็นส่วนผสมนั้น ผู้เขียนไม่เคยใช้  ส่วนภรรยาก็ไม่กล้าใช้เพราะไม่จำเป็น และไม่เชื่อว่าเครื่องสำอางประเภทใดจะชะลอความแก่ได้ดังที่โฆษณา เครื่องสำอางประเภทนี้มักมีราคาแพง ถ้าไม่แพงก็มักปลอม   แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็มีผู้หวังดีไปเที่ยวออสเตรเลียแล้วซื้อครีมทาหน้าชนิดที่อวดว่าทาแล้วหน้าจะเด้งเป็นหนุ่มสาวขึ้น หรืออย่างน้อยก็ชะลอความแก่ไว้ให้ช้าลง โดยครีมกระปุกนั้นมีองค์ประกอบหลายอย่าง รวมทั้งรก ซึ่งไม่ได้บอกว่ามาจากสัตว์ประเภทใด แต่เข้าใจว่าเป็นแกะ เพราะออสเตรเลียมีแกะเยอะ   เครื่องสำอางกระปุกนี้ผู้เขียนก็ไม่กล้าใช้ ภรรยาก็ไม่ยอมใช้ จะยกให้ลูกสาว เธอก็ถามว่ามันปลอดภัยหรือที่จะใช้ เพราะทั้งพ่อและแม่ยังไม่ใช้ สุดท้ายเลยต้องบริจาคให้ผู้ประสงค์จะใช้ด้วยความยินดี เพราะเธอผู้นั้นใช้เป็นประจำ ผู้เขียนก็ได้แต่สวดมนต์ให้เธอผู้นั้นมีผิวหน้าเป็นปรกติตลอดไปเพราะ.......   ปัญหา (ที่อาจเกิด) จากสารสกัดรกคือ มันคงมีสารชีวเคมีในกลุ่มที่เราเรียกว่า Growth factor ซึ่งเป็นองค์ประกอบในเซลล์สัตว์ชั้นสูงที่กระตุ้นการแบ่งเซลล์ โดยมีหลักการว่า ตราบใดที่เซลล์ยังสามารถแบ่งตัวได้อีก ตราบนั้นก็แสดงว่า ยังไม่แก่ หรือ อาจกำลังเป็นมะเร็ง ทั้งนี้เพราะในเซลล์มะเร็งนั้นจะมีสารชีวเคมีที่กระตุ้นให้เซลล์เข้าสู่กระบวนการแบ่งใหม่ตลอดเวลา   ในวงจรชีวิตเซลล์ของสัตว์ชั้นสูงนั้น ในช่วงที่ชีวิตยังเพิ่งเริ่มต้นจากเซลล์ที่ได้จากการผสมพันธุ์ระหว่างเซลล์สืบพันธุ์ของพ่อและแม่นั้น การเพิ่มปริมาณเซลล์จากหนึ่งเซลล์เป็นประมาณสามพันล้านเซลล์ของทารกก่อนคลอดนั้น ต้องมีสารชีวเคมีพิเศษที่มีการสร้างขึ้นเพื่อกระตุ้นให้เซลล์แบ่งอย่างรวดเร็วในลักษณะคล้ายการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง แต่ที่ต่างคือ เซลล์มะเร็งนั้นแบ่งแล้วไม่หยุด ในขณะที่ในทารกนั้นเมื่อแบ่งไปถึงจุดหนึ่งเซลล์จะหยุดแบ่งแล้วมีการพัฒนาเซลล์กลายเป็นเซลล์ของอวัยวะต่าง ๆ   ในกรณีที่เซลล์ของมนุษย์ที่โตแล้วมักไม่มีการแบ่งเซลล์อีก ยกเว้นเซลล์เม็ดเลือดต่าง ๆ เซลล์ผิวหนังทั้งภายนอกและภายในทางเดินอาหาร ตลอดจนเซลล์สเปิร์มในอัณฑะของเพศชาย ซึ่งเซลล์เหล่านี้หลังแบ่งแล้วต้องพัฒนาให้ทำงานได้ ต่างกับการแบ่งของเซลล์มะเร็งที่ไม่มีการพัฒนา เอาแต่แบ่งอย่างเดียว   ดังนั้นโดยหลักการแล้ว ในรกของสัตว์เลือดอุ่นจึงควรมีสารที่เป็นปัจจัยกระตุ้นการแบ่งเซลล์อยู่แน่ ๆ ถ้าเก็บไว้อย่างถูกหลักวิชาการ และเมื่อนำมาสกัดสารซึ่งเป็นพวกโปรตีน (มีชื่อเรียกหลายขนิดเช่น อัลฟาฟีโตโปรตีน เป็นต้น) ไปผสมกับส่วนผสมของครีมทางผิวแล้ว ก็ตั้งความหวังว่าให้สารพวกนี้ไปกระตุ้นเซลล์ผิวหนังที่แก่แล้วกลับเข้าสู่วงจรการแบ่งเซลล์อีก การที่เซลล์ของอวัยวะของสัตว์ชั้นสูงกลับเข้าสู่วงจรการแบ่งนั้นมีตัวอย่างบ้าง  ในกรณีของเซลล์ตับที่เกิดการตัดตับปรกติออกไป จะมีการแบ่งเซลล์ตับส่วนที่เหลือใหม่เพื่อให้เจริญงอกออกมาจนเท่าเดิม (เรื่องนี้มีจริงแต่เป็นการทดลองในหนูเท่านั้น..ผู้เขียน) แต่ในอีกกรณีคือ การที่เซลล์ตับกลายเป็นมะเร็ง ซึ่งกรณีหลังนี้เซลล์ตับจะแบ่งแบบไม่มีการหยุดเลยจนเจ้าของตับตายไป ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงมีความกังวลในใจว่า ในการกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวใหม่นั้น จริงแล้วเป็นการซึมของสารลงไปกระตุ้นเซลล์ในชั้นเดอร์มิส ซึ่งเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้นก็จะไม่แบ่งเช่นกัน ทั้งที่ยังพอมีชีวิตอยู่ (ซึ่งต่างกับเซลล์ผิวหนังชั้นบนที่เรียกว่า เอฟปิเดอร์มิส ซึ่งตายหรือเกือบตายแล้วนั้น) กลับฟื้นขึ้นมาแบ่งใหม่ซึ่งอาจจะมีการแบ่งแบบไม่ปรกติได้ ในกระบวนการแบ่งเซลล์ตามปรกตินั้นต้องมีการควบคุมหลายขั้นตอนและใช้สารชีวเคมีมากมายสุดจะบรรยายได้ ในกรณีเซลล์ยังไม่แก่กระบวนการแบ่งเซลล์คงยังควบคุมไม่ให้เกิดความผิดพลาดได้ แต่ถ้าเป็นเซลล์แก่ๆ การควบคุมการแบ่งเซลล์นั้นคงไม่เหมือนเซลล์หนุ่มสาวแน่   ดังนั้นการที่จะหวังให้เซลล์ที่ผิวแก้มที่ตายหรือใกล้ตายฟื้นขึ้นมากระดี๊กระด๊าเหมือนเมื่อสาวๆ นั้น คงจะไร้ความหวังพอควร แต่ถ้าต้องการให้เป็นไปได้จริง อาจต้องผ่าตัดในลักษณะที่เรียกว่า ปลูกถ่ายผิวหนังใหม่แทนบนใบหน้า โดยการใช้ผิวของแก้มก้นเราเอง(เพื่อป้องกันการต่อต้านด้วยระบบภูมิต้านทาน) มาปลูกถ่ายบนผิวแก้มของใบหน้า   แก้มก้นของเราเป็นส่วนที่ควรมีเซลล์ที่มีสุขภาพดีที่สุด เพราะมักถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้า ยกเว้นคนที่ชอบใส่บิกินีเปิดโอกาสให้ผิวแก้มก้นต้องสัมผัสแดด กลุ่มคนประเภทหลังนี้เมื่ออายุมาก เซลล์ที่แก้มบนหน้าและแก้มก้นอาจแก่ใกล้เคียงกัน ถ้านำมาปลูกถ่ายคงไม่มีประโยชน์ จึงอาจต้องมีการลงแจ้งความขอซื้อผิวแก้มก้นจากผู้ประสงค์จะขายก็ได้ เมื่อนั้นในอนาคตเวลาเราหอมแก้มกัน ผู้หอมก็อาจไม่แน่ใจว่า กำลังหอมเซลล์แก้มส่วนไหนของร่างกายกันแน่

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 109 6 ขั้นตอนสปาผิวหน้าเพื่อผิวสวยอ่อนเยาว์

สปา กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ความเครียดและความเร่งรีบจากการทำงานส่งผลทำให้ทุกคนอ่อนล้าทั้งสุขภาพกายและใจ การบำบัดด้วยการเข้ารับบริการสปา จะช่วยให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย สถานที่ให้บริการสปามักจะถูกจัดเตรียมและตกแต่งไว้ด้วยดอกไม้ เครื่องหอมทั้งหลาย เช่น น้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพรธรรมชาติ รวมถึงการตกแต่งด้วยแสงไฟสีนวลตา ทั้งหมดเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมให้ผู้เข้าไปรับบริการได้ผ่อนคลายตั้งแต่วินาทีแรกเลยทีเดียว การทำสปาผิวหน้า มีประโยชน์นอกจากจะเป็นการผ่อนคลายแล้ว ยังมีส่วนอย่างมากในการช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใส กระชับ ผิวหน้าชุ่มฉ่ำ ลดริ้วรอยที่แห้งกร้านได้อย่างเห็นผล ควรให้เวลากับตัวเราเองอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ทำสปาผิวหน้า ขั้นตอนโดยทั่วไปมีดังนี้ 1. เริ่มต้นด้วยการล้างทำความสะอาดผิวหน้า ควรใช้ครีมหรือโลชั่นชนิดสำหรับเช็ดเครื่องสำอางออก (ไม่แนะนำให้ใช้สบู่เหลว/สบู่ก้อน หรือโฟมล้างหน้าในขั้นตอนการทำสปา)  ใช้นิ้วมือนวดคลึงครีมล้างหน้าลงบนผิวหน้าให้ทั่วใบหน้า และเช็ดออกด้วยผ้าชื้นหรือฟองน้ำ 2. ทำความสะอาดผิวหน้าด้วยสครัป ซึ่งมีผงขัดเซลล์ผิวเป็นองค์ประกอบหลัก เลือกที่ได้จากธรรมชาติ เช่น เปลือกผลไม้ตากแห้งและบดให้มีขนาดเล็ก หรืออาจได้มาจากการสังเคราะห์ ผงขัดมีขนาดต่างๆ กัน อนุภาคของผงเหล่านี้มักจะมีรูปร่างบิดเบี้ยวและมีผิวขรุขระ เมื่อถูกนำไปทาถูบนผิวหน้า ผงเหล่านี้จะทำหน้าที่ช่วยขัดผิวหน้า ทำให้เซลล์เก่าบนผิวหน้าหลุดลอกออกเร็วและง่ายขึ้น การทาสครัปต้องทาให้ทั่วผิวหน้า เว้นรอบดวงตา แล้วใช้นิ้วมือนวดคลึงผิวหน้าไปมาเบาๆ คนที่มีผิวอ่อนไหวควรเลือกใช้สครัปที่มีผงขัดชนิดละเอียดมากขึ้น หลังถูนวดสครัป ให้เช็ดสครัปออกด้วยผ้าชื้น 3. นวดกดจุดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบดวงตา หน้าผาก ขมับทั้งสองข้าง ท้ายทอย 10-15 นาที จะช่วยให้อาการตึงเครียดหรือปวดหัวรวมทั้งไมเกรนผ่อนเบาลงได้มาก 4. การให้ผิวหน้าได้รับไอน้ำที่ร้อนชื้น ความร้อนจะช่วยให้รูขุมขนที่ผิวหน้าเปิดกว้างออก และวิธีที่ดีที่สุดคือการพ่นไอน้ำที่ร้อนแก่ผิวหน้า เพราะไอน้ำจะช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นอีกด้วย ควรให้เวลาอย่างน้อย 10-15 นาที หากทำเองที่บ้าน สามารถใช้ผ้าขนหนูแช่น้ำอุ่นและบิดแห้งให้หมาดๆ นำผ้าขนหนูไปอบใบหน้า ก็ใช้แทนไอน้ำได้เช่นกัน 5. การพอกผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นผิวได้อย่างรวดเร็ว เช่น แผ่นคอลลาเจนเจล หรือคอลลาเจนครีม ผิวหน้าในขั้นตอนนี้ซึ่งรูขุมขนเปิดกว้างออกเต็มที่ภายหลังจากได้รับไอน้ำร้อน คอลลาเจนซึ่งมีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้นได้มากและให้ความยืดหยุ่นผิวหนังได้ดีเยี่ยมจะสามารถแทรกซึมสู่ผิวชั้นบนสุดของผิวหน้าได้ แม้ว่าคอลลาเจนจะมีโมเลกุลสูงและไม่สามารถแทรกซึมสู่ผิวชั้นล่างของผิวหนังได้ แต่การหมักผิวหน้าด้วยคอลลาเจนอย่างน้อย 20-40 นาที จะพบว่าผิวหน้าจะนุ่มนวลและชุ่มฉ่ำอย่างทันตาเห็นเลยทีเดียว 6. การบำรุงผิวหน้าด้วยครีมบำรุงผิว ผลิตภัณฑ์ประเภทครีมบำรุงผิวประกอบไปด้วยสารอาหาร  วิตามิน น้ำมันและน้ำ ครีมบำรุงผิวจะไปเคลือบอยู่ผิวหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหน้าสูญเสียความชุ่มชื้น และช่วยหล่อลื่นผิวหน้าให้เนียนนุ่ม น้ำมันหล่อลื่นจะทำหน้าที่ปกคลุมเซลล์ผิวหน้าเพื่อลดการสูญเสียน้ำจากเซลล์ผิว หกขั้นตอนของการทำสปาผิวหน้า ใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่าๆ หรือไม่เกินชั่วโมงครึ่ง แต่จะมีผลทำให้ผิวหน้าได้พักผ่อนและกระชับผิวหน้าอย่างได้ผล การทำสปาผิวหน้าเดือนละหนึ่งครั้งคุณจะพบว่าผิวหน้าจะกระจ่างใส กระชับ ชุ่มฉ่ำ ริ้วรอยจะจางลงสีหน้าจะสดชื่นขึ้น นั่นอาจเพราะว่าเป็นวิธีการผ่อนคลายร่างกายด้วยอย่างหนึ่งก็เป็นได้ คำแนะนำสำหรับผู้ที่เข้ารับการทำสปา -หากใส่คอนแทคแลนควรถอดออก -ผู้ที่ผิวหน้ามีแผลสดหรือแผลเปิด สิวอักเสบ และโรคผิวหนังอื่นๆ ควรงดทำสปาผิวหน้าอย่างเด็ดขาด -ท่าที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทำสปาผิวหน้า คือการนอนลงบนเตียงนวดในท่านอน 180 องศา จะสบายที่สุดทั้งสำหรับผู้ให้บริการและผู้รับบริการ -ควรเลือกสถานที่ให้บริการที่น่าเชื่อถือ โดยพิจารณาจากความสะอาดของสถานที่ การแต่งกายที่สะอาดของพนักงานให้บริการ และในระหว่างการทำสปา พนักงานควรมีผ้าปิดจมูกและปากตลอดเวลา - ก่อนลงมือใช้เครื่องสำอางตัวใดควรทดสอบด้วยการป้ายที่ผิวหนังบริเวณท้องแขนก่อนเพื่อดูว่ามีอาการแพ้สารเคมีหรือไม่

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 105 แข็งแรงและผิวสวยด้วยวิตามิน ?

วิตามิน คืออะไร?วิตามินคือสารอินทรีย์ที่ร่างกายต้องการในปริมาณเพียงเล็กน้อยมากในแต่ละวัน เพื่อการเจริญเติบโตและการสร้างพลังงานของทุกเซลล์ในร่างกาย จำเป็นอย่างยิ่งต่อสุขภาพที่ดี เราจำเป็นต้องได้รับวิตามินไม่ว่าจะจากอาหารที่รับประทานหรือจากการได้รับอาหารเสริม วิตามินเป็นสิ่งที่ร่างกายเราไม่มีและไม่ได้สร้างขึ้นเอง มีวิตามินทั้งหมด 13 ชนิด ที่ร่างกายควรจะได้รับ วิตามินไม่ใช่อาหารและไม่สามารถใช่ทดแทนอาหารได้ วิตามินไม่มีแคลอรี่ และไม่สามารถให้พลังงานโดยตรงกับร่างกาย แต่เราก็ยังจำเป็นต้องได้รับวิตามินเพื่อไปทำหน้าที่เปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงาน วิตามิน แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มตามคุณสมบัติการละลายในตัวทำละลาย1. วิตามินชนิดที่ละลายได้ในน้ำมันหรือไขมัน วิตามินกลุ่มนี้ เช่น วิตามินเอ อี ดี และเค วิตามินเหล่านี้จะสามารถถูกกักเก็บไว้ตามกล้ามเนื้อหรือไขมันตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ภายหลังจากที่เรารับประทานเข้าไป ข้อดีคือ เราไม่จำเป็นต้องรับประทานวิตามินกลุ่มนี้ทุกวันเพราะมีสะสมอยู่ตามกล้ามเนื้อ แต่หากเรารับประทานวิตามินเหล่านี้มากเกินไปจะเกิดการสะสมมากเกินไปในส่วนต่างๆ ทำให้เป็นพิษจากวิตามินได้เช่นกัน 2. วิตามินชนิดที่ละลายได้ในน้ำ เช่น วิตามินซี และบี วิตามินกลุ่มนี้ไม่สามารถถูกสะสมหรือกักเก็บในร่างกายได้นานเนื่องจากคุณสมบัติที่ได้ละลายได้ดีในน้ำ จึงถูกกำจัดออกทางปัสสาวะหรือเหงื่อ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องได้รับวิตามินกลุ่มนี้ทุกวันจากการรับประทานอาหารหรืออาหารเสริม หากร่างกายได้รับวิตามินชนิดที่ละลายน้ำมากเกินไป ส่วนเกินของวิตามินจะถูกขับออกโดยไม่ทำให้เกิดพิษหรือปัญหาต่อร่างกาย วิตามินสำหรับต้านอนุมูลอิสระขบวนการหรือปฏิกิริยาลูกโซ่ที่เกิดขึ้นในร่างกายทุกขณะหรือตลอดเวลาไม่ว่าเราจะตื่นอยู่หรือกำลังนอนหลับคือ ปฏิกิริยาที่เรียกว่า ‘ออกซิเดชั่น’ เป็นปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดขึ้นและก่อให้เกิดอนุมูลอิสระสะสมภายในเซลล์และอวัยวะในทุกส่วนของร่างกาย อนุมูลอิสระเหล่านี้ทำลายเซลล์ทุกชนิด และนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความเหี่ยวย่นของผิวหนังและความเสื่อมของทุกเซลล์จนทำให้เซลล์ตายได้ในที่สุด สารต้านอนุมูลอิสระ คือสารที่สามารถป้องกันหรือยับยั้งปฏิกิริยาลูกโซ่ของปฏิกิริยาออกซิเดชั่นได้ สารต้านอนุมูลอิสระสามารถทำหน้าที่ปกป้องเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระ อันอาจเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกร่างกายด้วย เช่น จากรังสีดวงอาทิตย์ หรือฝุ่นละอองจากสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ร่างกายคนเราก็สามารถสร้างสารต้านอนุมูลอิสสระได้เอง เพื่อปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์พบว่าเนื่องจากอนุมูลอิสระในร่างกายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จากสภาวะความเครียดและความกดดันของร่างกายในโลกปัจจุบัน ทำให้สารต้านอนุมูลอิสระที่ผลิตขึ้นเองภายในร่างกายไม่เพียงพอในการปกป้องเซลล์ทุกชนิดในร่างกายได้ ดังเห็นได้จากการเจ็บป่วยที่ไม่รู้สาเหตุมากมาย เราจึงจำเป็นต้องเพิ่มหรือเสริมให้ร่างกาย ประโยชน์ของสารต้านอนุมูลอิสระ 1. ทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกาย เป็นการปกป้องเนื้อเยื่อที่แข็งแรงของร่างกายในทุกส่วน2. สารต้านอนุมูลอิสระสามารถเสริมความเข็มแข็งของกล้ามเนื้อและโครงสร้างของเส้นเลือดทั้งหลายในร่างกาย ซึ่งเป็นการเสริมความแข็งแรงของระบบเลือดและหัวใจโดยทางอ้อม3. สารต้านอนุมูลอิสระนับเป็นยาอายุวัฒนะที่ช่วยชะลอความแก่ของผิวพรรณและร่างกาย และยังมีรายงานสนับสนุนว่าสามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วย วิตามินสำหรับต้านอนุมูลอิสระ ที่ให้ผลโดดเด่น ได้แก่ วิตามินเอ ซี อี และแร่ซีเลเนี่ยมวิตามินต้านอนุมูลอิสระจากผลไม้ เช่น ลูกพรุนทั้งสดและแห้ง องุ่นทั้งสดและแห้ง ผลไม้ชนิดเบอรี่ทั้งหลาย เช่น สตรอว์เบอรี่ ผลฝรั่งและส้มจะอุดมมากด้วยวิตามินซี ฯลฯวิตามินต้านอนุมูลอิสระจากผัก เช่น ผักบุ้ง บล็อกเคอรี่ ผักขม ฯลฯพืชสมุนไพรที่อุดมด้วยวิตามินต้านอนุมูลอิสระ เช่น ขิง ข่า ขมิ้น กระเทียม ฯลฯชาเขียว อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีการศึกษาอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นชาขาว ชาดำ ชาเขียว นักวิทยาศาสตร์พบว่าสามารถต้านหรือป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้ พร้อมๆ กับการช่วยชะลออายุผิวอีกด้วยเมื่อนำมาผสมผสานในเครื่องสำอาง ผิวสวยด้วยวิตามินได้อย่างไร?วิตามินซี อี บี6 บี12 โฟลิคแอซิด และวิตามินเอ จัดเป็นวิตามินที่พบในอาหารทั่วไปและในมัลติวิตามินที่จำหน่ายในร้านขายยาและอาหารเสริม หน้าที่หลักของวิตามินเหล่านี้คือ การไปทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น ป้องกันเซลล์ผิวหนังไม่ให้ถูกทำลายหรือเหี่ยวย่นก่อนวัย ซึ่งเชื่อกันว่าจะช่วยชะลอความแก่ของร่างกายส่วนต่างๆ ได้ไม่เฉพาะแต่ผิวหนังเท่านั้น ทางการแพทย์เชื่อว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีที่สุดควรจะได้จากผักสดและผลไม้สดเท่านั้น อย่างไรก็ตามแหล่งของอาหารเสริมที่สามารถให้สารต้านอนุมูลอิสระ ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่สองที่สามามารถทดแทนได้เช่นกันสำหรับผู้ที่รับประทานผักสดและผลไม้สดน้อยเกินไป การคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีองค์ประกอบของสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญ เช่น วิตามินซี เอ บี6 บี12 และสำคัญที่สุดที่ต้องไม่ขาดคือวิตามินอี นักวิทยาศาสตร์พบว่าวิตามินอีมีบทบาทสำคัญที่สุดในการช่วยชะลออายุของผิวหนัง ช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยป้องกันการเกิดโรคทั่วไปหลายๆ ชนิด วิตามินอี สามารถใช้ในรูปแบบของครีมทาผิว และในรูปแบบของแคปซูลขนาด 400 มิลลิกรัมสำหรับรับประทาน เพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้น มีความยืดหยุ่นและปรับสภาพผิวหนังให้เนียมนุ่มได้อย่างรวดเร็ว มีประวัติการใช้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันส่วนวิตามินซี แม้ว่าจะมีประโยชน์มากมาย เช่น ให้ความชุ่มชื้นผิวหนัง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง ช่วยชะลอและยืดอายุผิวหนัง แต่เนื่องจากคุณสมบัติของวิตามินซีที่ละลายในน้ำได้ดีมาก ทำให้คุณสมบัติการเป็นสารต้านอนุมูลอิสสระสลายไปได้อย่างรวดเร็วเมื่อละลายในน้ำหรือเมื่อถูกความชื้น ทำให้วิตามินซีที่ผสมผสานในครีมบำรุงผิวทั้งหลายไม่เกิดประโยชน์ต่อผิวหนังเลย นอกจากนั้นยังพบว่าวิตามินซีหรือวิตามินที่ละลายได้ดีในน้ำ ไม่สามารถดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ ดังนั้นประโยชน์จากวิตามินซีในครีมบำรุงผิวจึงไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมเครื่องสำอางได้พยายามคิดค้นและปรับปรุงโครงสร้างของวิตามินซีให้มีคุณสมบัติละลายน้ำได้น้อยลงแต่ละลายได้ดีในน้ำมันเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มความคงตัวและการดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังของวิตามินซีในเนื้อครีมบำรุงผิวเอกสารอ้างอิงhttp://www.vitaminsdiary.com/

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 176 BB Cream หน้าสวยเนียนใสในหลอดเดียว...แล้วเราจะซื้อหลอดไหน?

ก่อนที่สมาชิกทั้งสาวเล็กสาวใหญ่จะน้อยใจเพราะฉลาดซื้อว่างเว้นจากการนำเสนอผลทดสอบผลิตภัณฑ์ความงามมาพักใหญ่ เรารีบเอาใจคุณด้วยผลทดสอบ Beauty Balm หรือ Blemish Balm หรือ บีบีครีม แถมด้วย Color Correcting Cream หรือ ซีซีครีมด้วย แรกเริ่มเดิมที บีบีครีมถูกพัฒนาขึ้นโดยแพทย์ผิวหนังในเยอรมนีสำหรับคนไข้ที่เข้ารับการรักษาด้วยเลเซอร์ ต่อมาครีมนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงด้วยกระแสในประเทศเกาหลี ที่ทำให้มันเป็นที่รู้จักกันไปทั่วเอเชีย แล้วย้อนกลับไปฮิตในยุโรปและอเมริกาในที่สุด  ผลิตภัณฑ์นี้เป็นที่นิยมเพราะมัน (เคลมว่า) ทำได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน ตั้งแต่บำรุงผิว ปรับสภาพผิวก่อนแต่งหน้า รองพื้น ปกปิดจุดด่างดำ และป้องกันแดด ฉบับนี้เรานำเสนอบีบีครีมและซีซีครีมจำนวน 24 ผลิตภัณฑ์ ที่มีขายในประเทศไทยทั้งตามเคานท์เตอร์และที่นิยมสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ท จากทั้งหมด 34 ผลิตภัณฑ์ที่สมาชิกขององค์กรทดสอบระหว่างประเทศ (International Consumer Research & Testing) ได้ส่งไปทดสอบยังห้องปฏิบัติการ Institutes Dr. Schrader ในเยอรมนี คะแนนที่ให้นั้นเน้นคุณสมบัติในการบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นเป็นหลัก (เพราะสามารถตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือในห้องปฏิบัติการ) รวมถึงคุณสมบัติในการป้องกันแสงแดด และป้องกันรังสี UVA ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องของความพึงพอใจของอาสาสมัครที่ทดลองใช้โดยไม่ทราบชื่อผลิตภัณฑ์ มาดูกันเลยดีกว่า ว่าคุณควรเลือกตัวไหนไว้เติมคอลเลคชั่นเมคอัพ นี่เป็นอีกครั้งที่เราพบว่าราคาแพงอาจไม่รับรองคุณภาพหรือความพึงพอใจเสมอไป และเนื่องจากทีมทดสอบเขาหักคะแนนครีมที่มีส่วนประกอบที่อาจก่ออาการแพ้หรือมีสารรบกวนฮอร์โมนด้วย จึงทำให้ครีมบางตัวได้คะแนนรวมน้อย แม้จะได้คะแนนด้านคุณสมบัติและความพึงพอใจของผู้ใช้มากก็ตาม     เครื่องสำอางก็ “เจ” ได้นะ     ในขณะที่เครื่องสำอางจากต่างประเทศที่จะมาวางตลาดในประเทศจีนจะต้องส่งตัวอย่างให้ทางการจีนทดสอบกับสัตว์เช่น หนู หรือกระต่าย เพื่อรับรองว่าจะไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ ในหลายๆประเทศได้ประกาศห้ามการกระทำดังกล่าว (เช่นกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป อินเดีย และอิสราเอล) อีกหลายประเทศยังที่ไม่มีการบังคับแต่ก็ไม่ได้ห้ามการทดสอบดังกล่าว แต่เรามักเห็นป้าย “ไม่ทดลองกับสัตว์” ที่ดูเหมือนเป็นจุดขายของเครื่องสำอางหลายแบรนด์ ทั้งนี้เพราะมีเทคโนโลยีใหม่ๆที่ทำให้สามารถทดสอบได้โดยไม่ต้องเบียดเบียนสัตว์อีกต่อไป (เช่น การคำนวณด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การใช้ตัวอย่างเนื้อเยื่อหรือเซลล์ที่มีผู้บริจาคให้ หรือแม้แต่การใช้อาสาสมัคร เป็นต้น)   ถ้าอยากมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่คุณเลือก “เจ” จริงๆ ให้สังเกตตราสัญลักษณ์จากองค์กรเหล่านี้:  Choose Cruelty Free   The Leaping Bunny และ PETA เป็นต้น หรือไม่ก็มองหาฉลากที่ระบุว่าไม่ทดลองกับสัตว์ "not tested on animals" หรือ "against animal testing" บนกล่องก็ได้เช่นกัน                                  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 107 แค่ดื่มก็สวย…จริงหรือ??

กระแสของคนใส่ใจสุขภาพมีแนวโน้มมากขึ้นตลอดเวลา จึงเป็นโอกาสของตลาดอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่พยายามพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้มีผลดีต่อสุขภาพ ปัจจุบันเราจึงเห็นว่ามีการโฆษณากล่าวอ้างถึงคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะในเครื่องดื่มที่มีการโฆษณาว่ามีผลดีต่อสุขภาพ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Functional Drinks แค่ดื่มก็สวย…จริงหรือ?? กี่ครั้งกันนะที่คุณๆ อาจนึกสงสัยว่าเจ้าน้ำดื่มสารพัดยี่ห้อที่ใช้เรื่องความงามเป็นจุดขายนั้น ดื่มเข้าไปแล้วมันจะสวยได้จริงหรือ?? หนุ่มจะหันมามองตาค้างอย่างในโฆษณาจริงหรือเปล่า รวมทั้งชื่อสารเคมีแปลกๆ ที่พูดปาวๆ ในสื่อต่างๆ อะมิโนเปปไทด์ คอลลาเจน คิว 10 มันจะมีสรรพคุณวิเศษมหัศจรรย์จนสามารถบันดาลความสวยงามให้ได้จริงล่ะหรือ เรามาหาคำตอบกัน   อย.ให้ขายและโฆษณาได้ แสดงว่าของเขาดีจริงสิ??เชื่อว่ายังมีผู้บริโภคอีกหลายท่าน ที่เข้าใจผิดว่ามี อย. หมายถึงรับรองว่า ดื่มแล้วสวยจริง อันนี้ขอแก้ไขเรื่องจริงคือ อย.รับรองเพียงแค่ว่าดื่มแล้วปลอดภัย(ไม่ตาย) แต่ไม่ได้รับรองแต่อย่างใดเลยว่า ดื่มแล้วสวย ฉลาด สมาร์ท เลิศ อย่างที่เข้าใจกันไปตามที่โฆษณาบอก ลองอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ดูสิ อย.เขาไม่อนุญาตให้กล่าวอ้างสรรพคุณ คุณประโยชน์ทางอาหารบนฉลากเด็ดขาด เพราะมันไม่มีหลักฐานอะไรที่มันเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ไงล่ะ แต่จะไปห้ามคนไม่ให้เอาสารอาหารมาผสมน้ำขายก็ไม่ได้ เขาจึงรับรองแค่ว่า มันปลอดภัย แต่ไม่ได้ดื่มแล้วสวยขึ้นหรือฉลาดขึ้นนะ แถมยังบังคับให้น้ำดื่มพวกนี้ต้องติดคำเตือนเอาไว้ด้วย“ควรกินอาหารหลากหลายชนิดให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ” ฉลากบอกอะไรเราบ้าง• เกือบทุกผลิตภัณฑ์เป็นน้ำรสผลไม้(ไม่เกิน 20%) ส่วนใหญ่เป็นน้ำองุ่นขาวจากน้ำองุ่นขาวเข้มข้น เติมน้ำตาลหรือสารให้ความหวานเพื่อให้มีรสชาติดี จากนั้นก็แล้วแต่ว่าต้องการให้มีคุณสมบัติเพื่อขายอะไรก็เติมสารอาหารนั้นเข้าไป • ฉลากส่วนใหญ่ไม่มีการโฆษณาสรรพคุณว่าดื่มเพื่ออะไร แต่จะแสดงให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งว่า มีสารอะไรเป็นตัวเด่น(จุดขาย) แล้วให้ข้อมูลวิชาการเสริม หรือเพื่อโน้มน้าวใจผู้ซื้อ ซึ่งบางผลิตภัณฑ์เป็นข้อมูลที่คลุมเครือและน่าจะได้มีการตรวจสอบว่า ผิดกฎหมายหรือไม่ “คลอโรฟิลล์สารสกัดสีเขียว จากอัลฟาฟ่า ช่วยขับสารพิษในร่างกาย บำรุงเลือด ช่วยให้ ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น” เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ คลอโรฟิลล์ • หลายผลิตภัณฑ์เนื้อที่แค่บนฉลากมันไม่พอต้องมีป้ายพิเศษเพิ่มคล้องไว้ที่ขวดด้วย ซึ่งป้ายให้ข้อมูลเพิ่มเติมนี้ บางข้อความหมิ่นเหม่เข้าข่ายอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง “ หุ่นดีไม่มีหน้าท้อง หุ่นสวยเพรียวอย่างใจเพราะไฟเบอร์สูงช่วยระบบขับถ่าย อยากหุ่นดีไม่มีหน้าท้องใช่ไหม” บีอิ้ง คอมฟอร์ท สารอาหารหรือยาวิเศษจากการพลิกดูฉลากผลิตภัณฑ์ ที่อ้างว่าเพื่อความสวยงามหรือฉลาดสดใสนี้ น่าจะพอแบ่งกลุ่มหลักๆ ของสารอาหารที่ถูกนำมาผสมขึ้นเป็นเครื่องดื่มแต่ละขวดได้ดังนี้ เครื่องดื่มที่เน้นว่าดื่มแล้วสวย การโฆษณาว่าดื่มแล้วสวย คงเป็นที่ถูกใจวัยรุ่นสาว ๆ และผู้หญิงหลายคนเป็นอย่างมาก เพราะทุกคนก็อยากเป็นคนสวยทั้งนั้น เครื่องดื่มประเภทนี้มักมีคำว่า “บิวติ” อยู่ในชื่อผลิตภัณฑ์ ซึ่งคำนี้เป็นเสียงพ้องของคำภาษาอังกฤษ “beauty” ที่แปลว่าสวยนั่นเอง หรืออาจมีคำว่า “สกินฟิต” ซึ่งสื่อให้เข้าใจว่ามีผิวหนังที่แข็งแรง เมื่อพิจาณาส่วนประกอบในเครื่องดื่มเหล่านี้มักพบว่ามีการเติม ”คอลลาเจน” เพิ่มลงไปในปริมาณที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ 125 – 3000 มิลลิกรัม โดยที่หลายชนิดมีการใช้คำว่าคอลลาเจนในชื่อของผลิตภัฑ์ด้วย เช่น “เซนต์ แอนนา คอลลาเจน” “สก๊อต คอลลาเจน-อี” เป็นต้น ความจริงกินคอลลาเจนแล้วช่วยให้ผิวสวย หรือแก่ช้าจริงหรือไม่ ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า คอลลาเจนคือโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีอยู่มากที่สุดในร่างกายคือประมาณ 1 ใน 3 ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกาย มีลักษณะโครงสร้างที่เกาะเป็นเกลียว ทำหน้าที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย ในส่วนของผิวหนังมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบหลัก (ประมาณร้อยละ 75) และทำหน้าที่ช่วยให้ผิวหนังเรียบ ตึง และเนียนเรียบ โดยทำหน้าที่คู่กับโปรตีนอีกชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าอีลาสติน (Elastin) คอลลาเจนที่ผิวหนังเกิดจากการสร้างภายในร่างกายเราเอง โดยสร้างจากกรดอะมิโนที่ได้จากการกินอาหารประเภทโปรตีนต่างๆ เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่วเมล็ดแห้ง และต้องอาศัยวิตามินซีเป็นผู้ช่วยให้เกิดคอลลาเจนที่สมบูรณ์ จากหน้าที่ของคอลลาเจนที่ผิวหนังดังกล่าว ทำให้คอลลาเจนได้รับความสนใจนำมาใช้ในการชะลอริ้วรอย เสริมความงาม ช่วยให้ไม่แก่ ผิวหนังจะสวยได้ต้องมีคอลลาเจนที่แข็งแรงอยู่มากพอเป็นเรื่องจริง แต่อย่าลืมว่าการกินคอลลาเจนเข้าไปไม่ได้หมายความว่าคอลลาเจนที่กินนั้นจะไปอยู่ที่ผิวหนังได้ เพราะคอลลาเจนเป็นโปรตีน เมื่อกินเข้าไป จะถูกย่อยเปลี่ยนเป็นกรดอะมิโนเช่นเดียวกับโปรตีนชนิดอื่นๆ จากนั้นกรดอะมิโนจึงถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เอาไว้เป็นตัวตั้งต้นสำหรับการสร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกายต่อไป ที่จริงแล้วในทางโภชนาการคอลลาเจนจัดเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพต่ำ เพราะมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายสร้างไม่ได้ไม่ครบถ้วนและไม่เพียงพอ ดังนั้นการกินแต่คอลลาเจนโดยที่ไม่ได้รับโปรตีนที่มีคุณภาพดีอย่างอื่นมากพอในระยะยาว จะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ และการกินคอลลาเจนเพื่อให้ผิวสวยนั้นคงได้ผลน้อย ถ้าร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วนจากการกินอาหารที่ครบหมวดหมู่อย่างหลากหลายและสมดุล การที่ผิวหนังจะสวยได้จำเป็นที่จะต้องดื่มน้ำเปล่าที่สะอาดอย่างมากพอ และต้องรู้จักหลีกเลี่ยงปัจจัยที่เร่งการเสื่อมสลายของคอลลาเจนด้วย เช่น การอยู่ในที่แสงแดดจัดเป็นเวลานานหรือการสูบบุหรี่ เป็นต้น เครื่องดื่มที่เน้นว่ามีผลบำรุงสมองตัวนี้กำลังมาแรง เครื่องดื่มที่โฆษณาว่าทำให้เก่ง มีผลต่อสมอง เครื่องดื่มในกลุ่มนี้บางชนิดใช้คำว่า “เบรนฟิต” หรือ “สมาร์ท” เป็นส่วนหนึ่งของชื่อผลิตภัณฑ์ ลักษณะเด่นของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้คือ มีส่วนประกอบของเปปไทด์หรือกรดอะมิโน หรือในบางผลิตภัณฑ์จะมีการเสริมกรดไขมันโมเลกุลยาวที่สกัดจากปลา ที่เรียกว่าโอเมก้าสามหรือดีเอชเอ ร่วมด้วย ความจริงเปปไทด์และกรดอะมิโนคือหน่วยย่อยของโปรตีนที่ร่างกายสามารถดูดซึมนำไปใช้ได้เลย โดยปกติเมื่อเรากินอาหารที่เป็นแหล่งของโปรตีนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนจากพืช (ถั่วต่างๆ) หรือโปรตีนจากสัตว์ ร่างกายจะมีน้ำย่อยหรือเอนไซม์ มาย่อยสลายโปรตีนนั้นให้มีขนาดเล็กลงจนกลายเป็นกรดอะมิโนเพื่อดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป สำหรับเปปไทด์นั้นคือกรดอะมิโน 2 หรือ 3 ตัวเรียงต่อกัน ปัจจุบันมีการศึกษาพบว่าร่างกายสามารถดูดซึมเปปไทด์สายสั้นนี้ได้ดีกว่ากรดอะมิโนเดี่ยว ดังนั้นการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของเปปไทด์หรือกรดอะมิโนเข้าไป ก็จะทำให้ร่างกายสามารถนำเปปไทด์หรือกรดอะมิโนนั้นไปใช้ได้ทันที อย่างไรก็ตามแต่ละท่านคงต้องพิจารณาว่าร่างกายท่านมีความจำเป็นที่ต้องการเปปไทด์หรือกรดอะมิโนต่างๆ เหล่านี้เพิ่มขึ้นทันทีหรือไม่ ถ้าเรามีการรับประทานอาหารที่เหมาะสมครบถ้วนทั้งสามมื้อแล้ว การได้รับโปรตีนที่มากเกินไปไม่ว่าในรูปแบบใดจะส่งผลให้ไตต้องทำงานหนักมากขึ้นในการกำจัดออกจากร่างกาย ซึ่งมีโอกาสทำให้ไตของเราเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น ถึงแม้ว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของเปปไทด์หรือกรดอะมิโนจะทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารเหล่านั้นไปใช้ได้ทันที อาจมีผลทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ฉลาดขึ้นไปด้วย ดังนั้นการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ก่อนเข้าห้องสอบของนักเรียน/นักศึกษานั้นคงไม่ได้ทำให้นักศึกษาผู้นั้นทำคะแนนสอบได้ดีขึ้น ถ้าไม่ได้มีการศึกษาทบทวนบทเรียนอย่างสม่ำเสมอมาก่อน ดีเอชเอ (DHA) เป็นคำย่อมาจาก docosahexaenoic acid ซึ่งก็คือคือกรดไขมันโมเลกุลยาวชนิดหนึ่งทีมีอยู่มาก ในสมอง ประสาทตา และหัวใจ เนื่องจากในสมองจะมีเซลล์ไขมันอยู่มากที่สุด ดังนั้นการได้รับกรดไขมันชนิดนี้มากพอจึงเชื่อว่าช่วยพัฒนาการของสมองและระบบประสาทของร่างกายทั้งในเด็กและในผู้ใหญ่ แหล่งอาหาที่สำคัญของไขมันชนิดนี้คือการบริโภคปลาเป็นประจำ อย่างไรก็ตามหลายท่านอาจบอกว่าไม่ค่อยได้กินปลา จึงหันมากินผลิตภัณฑ์ที่มีการเสริม DHA แทน เพื่อหวังผลทางสุขภาพเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายงานผลทางสุขถาพที่ชัดเจนของเครื่องดื่มเหล่านี้ว่ามีผลต่อพัฒนาการของสมอง นอกจากนี้อย่าลืมว่าการที่สมองของคนเราจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วย เช่น การได้รับออกซิเจนและกลูโคสที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญที่สุดของสมองอย่างเพียงพอด้วย การพักผ่อน ที่เพียงพอและไม่เครียดเกินไปก็มีส่วนช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นด้วย เครื่องดื่มที่เน้นว่ามีผลดีต่อการระบายเครื่องดื่มเชิงสุขภาพส่วนใหญ่ที่จำหน่ายทั่วไปมักมีการเสริมใยอาหารในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่ระบุชนิด (เช่น อินนูบิน) และไม่ระบุชนิดในปริมาณที่แตกต่างกัน (0.25 – 2.1 %) และมักจะกล่าวอ้างคุณประโยชน์ที่ช่วยเพิ่มกากใยในระบบทางเดินอาหารและกระตุ้นการขับถ่าย ความจริงอย่างไรก็ตามปริมาณใยอาหารที่เพิ่มขึ้นในบางผลิตภัณฑ์อาจไม่มากพอที่จะช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้ เช่น “บริ๊งค์ คอลลาเจน ดริ๊งค์” ที่มีส่วนประกอบของใยอาหารเพียง 0.25 % ในขวดผลิตภัณฑ์บรรจุ 50 มิลลิลิตรจะได้รับใยอาหารเพียง 0.125 กรัม เท่านั้น หรือบางผลิตภัณฑ์ที่ระบุคำว่าใยอาหารในชื่อผลิตภัณฑ์ เช่น “เซ็ปเป้บิวติ ดริงค์ ใยอาหาร” มีส่วนประกอบของใยอาหาร 2 % ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วพบว่ามีใยอาหารประมาณ 3.6 กรัม ต่อขวด (180 มิลลิลิตร) ปริมาณที่เพิ่มขึ้นนี้ยังไม่มากพอต่อความต้องการของร่างกายใน 1 วัน (20-25 กรัมต่อวัน) ดังนั้นผู้บริโภคที่ดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ต้องไม่ลืมที่จะมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารให้เหมาะสม ถูกสัดส่วนเช่นเดิมด้วย เพื่อให้ได้สุขภาพที่ดีตามต้องการ เครื่องดื่มที่เน้นว่ามีผลดีต่อสุขภาพโคเอนไซม์คิวเทน (Co Q 10) เป็นสารเสริมอีกชนิดหนึ่งที่มีการเติมกันมากในเครื่องดื่มที่มีการกล่าวอ้างทางสุขภาพ ปริมาณที่เติมประมาณ 15-29 มิลลิกรัมต่อขวด ความจริงโคเอนไซม์คิวเทนหรือบางคนเรียกว่าคิวเทน เป็นสารที่มีอยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกายมนุษย์และสัตว์ มีอยู่มากในอวัยวะภายใน เช่น หัวใจ ตับ ไต มีหน้าที่ช่วยให้เกิดพลังงานสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันเป็นหลัก โดยทำหน้าที่ดักจับอิเลคตรอนเพื่อส่งให้ไมโตคอนเดรียผลิตพลังงานแก่เซลล์ ในความเป็นจริง การทำงานของโคเอนไซม์คิวเทนไม่ได้เพียงแค่จับอิเลคตรอนไว้กับตัวแต่ยังส่งผ่านหน้าที่ไปยังส่วนอื่นเพื่อให้เกิดการทำงานครบกระบวน ดังนั้นในทางทฤษฎีแทนที่จะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเพียงอย่างเดียว โคเอนไซม์คิวเทนอาจกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระเสียเองได้ ดังนั้นการบริโภคเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคิวเทน จึงไม่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ แต่จะไปเพิ่มปริมาณโคเอนไซม์คิวเทน ให้ร่างกายนำไปใช้ได้เลยโดยไม่ต้องสร้างเอง โดยปกติการสังเคราะห์โคเอนไซม์คิวเทนอาจลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้น รวมทั้งการได้รับยาบางชนิด เช่น ยาในกลุ่มยับยั้งเอนไซม์ HMG-CoA reductase ที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดก็ทำให้การสังเคราะห็โคเอนไซม์คิวเทนลดลงได้ จึงควรมีการบริโภคโคเอนไซม์คิวเทนจากอาหารเพิ่มให้มากเพียงพอ โดยการกินอาหารเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ในปริมาณที่เหมาะสม สำหรับเครื่องดื่มที่มีการเสริมโคเอนไซม์คิวเทนต้องระวังว่าปริมาณที่เติมนั้นอาจลดลงจากเดิมได้ง่าย เนื่องจากสารโคเอนไซม์คิวเทนมีความไวต่อแสงมาก เครื่องดื่มที่มีการกล่าวอ้างว่าช่วยในการเผาผลาญพลังงาน มักจะมีการเติมสาร แอล-คาร์นีทีน (L-Carnitine) ประมาณ 0.04-0.7 % ความจริงแอล-คาร์นีทีนเป็นสารที่ร่างกายสร้างได้เองภายในตับและไต ทำหน้าที่เปลี่ยนกรดไขมันให้เป็นพลังงาน เพื่อให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายนำไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา กล้ามเนื้อหัวใจ สมอง และช่วยระบบเผาผลาญ ดังนั้นข้อดีของแอล-คาร์นีทีนที่ถูกยกมาเป็นจุดขายของผลิตภัณฑ์ คือ ให้พลังงานมากขึ้นจึงเหมาะสำหรับผู้รักการออกกำลังกาย ต้องการควบคุมน้ำหนัก พร้อมทั้งช่วยเผาผลาญไขมัน โดยปกติร่างกายเราจะมีสารแอล-คาร์นีทีนอยู่มากพอ ยกเว้นผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยและดูดซึมอาหาร และผู้ที่รับประทานมังสวิรัติที่อาจพบว่ามีการขาดสารแอล-คาร์นีทีนได้ โดยที่จริงแล้วคนรักสุขภาพทั่วไปไม่มีความจำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มที่มีการเติมสารคาร์นีทีนเพิ่ม ถ้ามีการกินอาหารที่เป็นแหล่งของแอลคาร์นีทีนเป็นประจำ ที่พบมากในเนื้อแดง นม ผลิตภัณฑ์จากนม ธัญพืช ผักใบเขียว อะโวคาโด ถั่วรับประทานทั้งฝัก และผลิตภัณฑ์จากถั่วหมัก เด็กและสตรีมีครรภ์ก็ไม่ควรได้รับแอลคาร์เนทีนในรูปของผลิตภัณฑ์หรือเครื่องดื่มที่เสริมสารอาหาร เครื่องดื่มที่อ้างว่าดื่มเพื่อความขาวของผิวพรรณ แอลกลูตาไธโอน (L-glutathione) เป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่พบว่ามีการเติมเพิ่มในเครื่องดื่มที่กล่าวอ้างทางสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องความขาว รวมทั้งอ้างว่าแก้อาการเมาค้างด้วย ความจริงมีการศึกษาพบว่ากลูตาไธโอนช่วยเสริมการทำงานของวิตามินซี และอี ในการทำลายอนุมูลอิสระ และยังมีหน้าที่สำคัญ ในการช่วยขจัดสารพิษหรือขับของเสียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตับ โดยทำหน้าที่เปลี่ยนสารพิษกลุ่มที่ไม่ละลายน้ำ เช่น สารพิษในอาหารปิ้ง ย่าง รมควัน สารพิษจากเชื้อราต่างๆ หรือยาบางชนิดให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ เพื่อให้ร่างกายกำจัดออกได้ง่ายขึ้น และยังช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์และบุหรี่ ในประเด็นหลังนี้ผู้ผลิตเครื่องดื่มนำมาเป็นจุดขายกับผู้ที่นิยมการดื่มแอลกอฮอล์ที่ยังห่วงใยสุขภาพ โดยปกติร่างกายคนเราผลิตสารกลูตาไธโอนได้เอง ยกเว้นคนที่เป็นโรคบางชนิด เช่น โรคตับ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง รวมถึงผู้สูบบุหรี่จัด กลูตาไธโอนพบได้ทั่วไปในเนื้อสัตว์ ผลไม้และผัก โดยเฉพาะหน่อไม้ฝรั่ง อย่างไรก็ดีจากรายงานวิจัยของสถาบันโภชนาการพบว่า กลูตาไธโอนที่อยู่ในอาหารเสริมหรือเครื่องดื่มนั้นจะถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบทางเดินอาหารได้ไม่ดีนัก และไม่ควรรับประทานเกิน 250 มิลลิกรัมต่อวัน การโฆษณาว่าเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกลูตาไธโอนแก้เมาค้างและบำรุงตับได้นั้น จึงเป็นการกล่าวอ้างที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ตลาดเครื่องดื่มสุขภาพในประเทศไทยที่พบเห็นทั่วไปมักจะกล่าวอ้างว่า “ดื่มแล้วสวย เก่ง ฉลาด มีผลดีต่อสมอง” เป็นหลัก โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนหนุ่มสาวหรือวัยทำงานในเมืองที่มีวิถีชีวิตค่อนข้างรีบเร่ง อาจไม่มีเวลาในการดูแลตนเองมากนัก แต่รักสวยรักงาม อยากมีร่างกายที่ฟิต เก่ง และมักมีความสนใจในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ จากการสำรวจตลาดพบว่ามีผลิตภัณฑ์เคื่องดื่มประเภทนี้มากกว่า 30 ชนิดที่วางจำหน่ายอยู่ทั่วไป โดยมีราคาแตกต่างกันตั้งแต่ประมาณ 20-40 บาท เครื่องดื่มเหล่านี้มีผลดีต่อสุขภาพมากน้อยเพียงใดคงเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย จากการพิจารณาส่วนประกอบของเครื่องดื่มเหล่านี้ที่แสดงอยู่ที่ภาชนะบรรจุจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่จะประกอบด้วยส่วนผสมของน้ำผลไม้ และมักมีการเติมวิตามินแร่ธาตุต่างๆ โดยเฉพาะที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินอี วิตามินซี เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มหลายชนิดที่มีการเติมสารเฉพาะบางอย่างที่มีการกล่าวอ้างว่ามีผลดีต่อสุขภาพในด้านต่างๆ เช่น คอลลาเจน โคเอนไซม์คิวเทน คาร์นีทีน กรดอะมิโนหรือเปปไทด์ เป็นต้น เมื่อพิจารณาโดยภาพรวมแล้วเครื่องดื่มเหล่านี้ไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อดื่มแล้วจะได้รับ”น้ำ”เข้าสู่ร่างกายเป็นหลัก ช่วยลดความกระหายและเพิ่มความชุ่มชื้นกับร่างกาย สำหรับสารเสริมต่างๆ นั้นอาจมีประโยชน์กับร่างกายบ้างแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ซึ่งที่จริงแล้วคนเราทั่วไปไม่มีความจำเป็น ที่จะต้องดื่มสารเสริมต่าง ๆ เหล่านั้น เพิ่มขึ้น เพราะสารต่างๆ เหล่านั้นมีอยู่มากพอในอาหารตามธรรมชาติ (ธัญพืช เนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้) ที่รับประทานกันเป็นประจำอยู่แล้ว ดังนั้นจึงถือว่า การดื่มเครื่องดื่มเสริมสุขภาพเหล่านี้เป็นการดื่มน้ำที่มีราคาแพงที่ให้ผลต่อสุขภาพค่อนข้างน้อย แต่จากการโฆษณาอาจทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อว่าผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเหล่านี้มีผลดีต่อสุขภาพ ซื้อมาบริโภคเป็นประจำ จนละเลยการปฏิบัติตนในเรื่องการบริโภคที่ดี ก็อาจจะไม่มีสุขภาพแข็งแรง ผิวสวย เก่ง หรือฉลาดอย่างที่ต้องการได้ โดยทั่วไปราคาของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเหล่านี้มีค่อนข้างแพง จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องซื้อหามาบริโภค โดยเฉพาะถ้ามีรายได้ไม่มากพอ แต่ถ้าคุณรวยล้นฟ้าจะซื้อหามาดื่มบ้างก็คงไม่ว่ากันถ้ายังยึดการปฏิบัติตนในเรื่องการบริโภคให้ดีอยู่ ท้ายที่สุดคงไม่มีอะไรที่จะดีกับสุขภาพของตนเองเท่ากับการให้เวลาใส่ใจในสุขภาพของตนเองอย่างแท้จริง รู้จักการกินอาหารตามธรรมชาติให้เหมาะกับความต้องการ มีการเคลื่อนไหวของร่างกายที่เหมาะสม อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี และทำใจให้เป็นสุข ไม่เครียดจนเกินไป ถ้าทำได้เช่นนี้แล้วอาหารเสริมสุขภาพชนิดใดก็สู้ไม่ได้แน่นอนค่ะ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point