ฉบับที่ 109 สำรวจบริษัทยักษ์ใหญ่ ให้รู้กันไปว่าใครแอ๊บเขียว

ฤดูการมอบรางวัลกลับมาอีกครั้ง บาฟต้าก็แจกกันไปแล้ว ออสการ์ก็ประกาศไปแล้ว องค์กรผู้บริโภคก็ไม่อยากตกเทรนด์ ขอประกาศรางวัลให้กับบริษัทที่ ”แสดงบทบาท” เป็นผู้ประกอบการรักโลกได้ยอดเยี่ยมที่สุดกับเขาด้วย หลายปีมานี้กระแสห่วงใยสิ่งแวดล้อมมาแรง เมื่อผู้บริโภคตระหนักถึงความรับผิดชอบที่จะเลือกซื้อ เลือกใช้สินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ธุรกิจต่างๆ ก็หันมาให้ความใส่ใจในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตสินค้าหรือบริการของตนด้วยเช่นกัน เรื่องนี้เป็นสถานการณ์ที่มีแต่ได้กับได้ อย่างไม่ต้องสงสัย แต่เราก็สงสัย... ว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่แค่คำอวดอ้างหรือการสร้างภาพเพื่อเพิ่มยอดขายให้กับตนเองสหพันธ์ผู้บริโภคสากล (Consumers International) ได้ทำการสำรวจความเห็นจากสมาชิกซึ่งเป็นองค์กรเพื่อผู้บริโภคจาก 225 ประเทศต่างๆ ทั่วโลก (มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคก็เป็นหนึ่งในสมาชิกด้วย) ว่าจะโหวตให้ใครได้รางวัล “แอ๊บเขียว” ยอดเยี่ยม ประจำปี พ.ศ. 2552 และผู้ประกอบการที่สมควรได้รับรางวัลดังกล่าว ได้แก่ ... (กลองรัว)-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------แอ๊บเขียว แล้วไง?นี่คืออีกระดับของการหลอกลวงผู้บริโภคซึ่งมีเจตนาจะเลือกบริโภคอย่างรับผิดชอบ เป็นการละเมิดสิทธิในการรับรู้ข่าวสารหรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากสินค้าหรือบริการที่ตนเองบริโภค นอกจากจะขัดขวางเป้าหมายในการสร้างสังคมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว มันยังทำลายความเชื่อถือของผู้บริโภคที่มีต่อบริษัทต่างๆ ด้วย ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ค่ายรถยนต์ ออดี้ ได้รางวัลนี้ไปเป็นเจ้าแรก ด้วยการทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่ารถรุ่น AUDI A3 TDI เครื่องยนต์ดีเซล ของตนเองนั้นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมพอๆ กับการปั่นจักรยานหรือการโดยสารรถประจำทางยังไงยังงั้น โฆษณาของออดี้ ที่ฉายในโทรทัศน์ในอเมริกาและในอินเตอร์เน็ตพยายามจะสื่อว่ารถออดี้รุ่นดังกล่าวสามารถใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิ่งได้ถึง 42 ไมล์ต่อแกลลอน และยังปล่อยมลพิษออกมาน้อยกว่ารุ่นที่เป็นเบนซินด้วย แต่ที่ไม่ได้บอกไว้ในโฆษณาคือนาทีนี้บรรดารถประหยัดพลังงานหรือ “รถเขียว” เจ้าอื่นๆ สามารถวิ่งได้มากกว่า 50 ไมล์ต่อแกลลอนด้วยซ้ำ และแม้รถดีเซลรุ่นนี้จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่ารถรุ่นที่ใช้เบนซินถึงร้อยละ 25 แต่อีกร้อยละ 75 ก็ยังถูกปล่อยออกมาอยู่ดี มันคงไม่มีทางเหมือนการปั่นจักรยานไปได้ บริษัทน้ำมัน บีพี รับรางวัลนี้ไปเพราะพฤติกรรมไม่สอดคล้องกับการแถลงข่าว บีพีบอกว่าจะลงทุนกับการผลิตพลังงานทดแทน ถึงขั้นบอกกับสังคมว่า BP ชื่อของบริษัทนั้นหมายถึง Beyond Petroleum นั่นเอง บีพีเคยปลูกป่าในสก็อตแลนด์และประกาศว่าจะลงทุนไม่ต่ำกว่า 2.3 ล้านเหรียญในการปลูกต้นไม้ที่ออสเตรเลียเพื่อชดเชยการทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ แต่เดี๋ยวก่อน สิ่งที่ไม่ได้เป็นข่าวครึกโครมเท่าคือบริษัทได้ยกเลิกการลงทุนในโครงการผลิตพลังงานลมในประเทศอังกฤษและอินเดีย รวมถึงโครงการพลังงานทดแทนอื่นๆ เช่นพลังงานแสงอาทิตย์ในสเปนและสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ให้งบประมาณในการลงทุนสกัดน้ำมันจากทรายน้ำมันในแคนาดาไว้ถึง 5,800 ล้านเหรียญ  บีพีประกาศไว้เมื่อ 5 ปีก่อนว่าจะลงทุนปีละ 1,500 ล้านเหรียญเพื่อการพัฒนาพลังงานทางเลือก (บริษัทได้นับรวมก๊าซธรรมชาติไว้ในกลุ่มนั้นด้วย) แต่เมื่อปีที่ผ่านมาก็ประกาศลดงบประมาณดังกล่าวลงเหลือระหว่าง 500 ถึง 1,000 ล้านเหรียญเท่านั้น  สายการบินราคาประหยัด อีซี่เจ็ทมาดูสายการบินแอ๊บเขียวกันบ้าง เราพอรู้ๆ กันอยู่ว่าธุรกิจสายการบินนั้นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ยาก แต่อีซี่เจ็ทยังยืนยันว่าการบินกับอีซี่เจ็ทนั้นทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าการขับรถโตโยต้า พรีอุส โฆษณาดังกล่าวอ้างข้อมูลว่าผู้โดยสารหนึ่งของสายการบินจะทำให้เกิดการปล่อยคาร์บอน 95.7 กรัม ต่อ การเดินทาง 1 กิโลเมตร ในขณะที่ผู้ที่ขับขี่พรีอุสจะทำให้เกิดคาร์บอนถึง 104 กรัมในระยะทางเท่ากัน (แต่ในการคำนวณนั้นสายการบินคิดเฉลี่ยจากจำนวนที่นั่งทั้งหมดบนเครื่อง ในขณะที่มีผู้โดยสารเพียงหนึ่งคนในรถพรีอุส) นอกจากนี้ยังบอกว่าเครื่องบินรุ่นใหม่ๆ ของตนเองปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าสายการบินเจ้าอื่นๆ ถึงร้อยละ 30 เมื่อคิดเป็นปริมาณคาร์บอนต่อผู้โดยสารหนึ่งคน ซึ่งความจริงแล้วเครื่องบินใหม่ที่ว่านั้นสามารถรองรับผู้โดยสารได้มากกว่าเดิมเลยทำให้มีตัวหารมากขึ้น ค่าคาร์บอนจึงน้อยลงนั่นเอง โฆษณาดังกล่าว ขณะนี้โดนองค์การมาตรฐานโฆษณาสั่งให้ถอนไปเรียบร้อยแล้ว  วินโดวส์ 7 เกือบพลาดรางวัลนี้ไปเหมือนกันสำหรับซอฟท์แวร์สีเขียวที่ช่วยลดรอยเท้าคาร์บอน เพราะมันทำให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าซอฟท์แวร์รุ่นก่อนๆฅ แต่ก็ยังได้ไปเพราะคำแนะนำที่บอกว่าควรซื้อคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่มาใช้ด้วย เพื่อให้ซอฟท์แวร์ดังกล่าวสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ความจริงแล้วกระบวนการผลิตและย่อยสลายคอมพิวเตอร์นั้นทำให้เกิดรอยเท้าคาร์บอนมากกว่าการใช้งานตัวมันหลายเท่า  แทนที่จะได้ใช้เครื่องเดิมต่อไปได้อีกหลายปี กลับต้องมาซื้อเครื่องใหม่เพื่อใช้วินโดวส์ 7 คำถามคือทำไมบริษัทถึงไม่สร้างซอฟท์แวร์ที่สามารถใช้กับเครื่องเดิมได้เลย หรือทำให้มัน “เขียว” ขึ้นด้วยการอัพเกรด สิ่งที่ผู้บริโภคพึงรู้คือการใช้คอมพิวเตอร์จนกระทั่งมันหมดอายุขัยไปจริงๆ คือทางออกที่ “เขียวกว่า” ที่สำคัญกว่านั้นคือไม่ต้องเสียเงินเพิ่มด้วย  องค์กรปริศนา “CO2 is Green” รายนี้เขาแปลกจริงๆ จะไม่ให้รางวัลไปก็กระไรอยู่ องค์กร “CO2 is Green” หรือ “คาร์บอนไดออกไซด์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ได้รับการสนับสนุนจากอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลในสหรัฐ ซึ่งกำลังพยายามทำให้เราเชื่อว่าการเพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศนั้นเป็นเรื่องดีต่อสิ่งแวดล้อม ถึงขั้นทำโฆษณาทางโทรทัศน์ความยาวครึ่งนาทีเพื่อบอกกับผู้ชมว่ายังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่าคาร์บอนไดออกไซด์เป็นสารพิษหรือสารที่ก่อมลภาวะ  แถมยังบอกด้วยว่าถ้ามีคาร์บอนไดออกไซด์มากๆ จะเป็นผลดีต่อระบบนิเวศน์ของโลก นอกจากนี้ยังรณรงค์ให้อเมริกันชนช่วยกันเรียกร้องให้วุฒิสมาชิกจากรัฐของตน ออกเสียงคัดค้านการออกกฎหมายที่จะจัดคาร์บอนไดออกไซด์ว่าเป็นมลพิษอีกต่างหาก โอ ... ช่างทำไปได้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 103 กระแสต่างแดน

“สร้างภาพ” ได้ ไม่ถือว่าหลอกกันองค์กรเฝ้าระวังโฆษณาของอังกฤษออกมายืนยันว่าจะไม่สั่งห้ามการใช้เทคนิค “สร้างภาพ” ให้บุคคลที่ปรากฏตัวบนหน้านิตยสารดูดีเกินจริง กลุ่มเสรีนิยมประชาธิปไตยได้ออกมาเรียกร้องให้มีการห้ามใช้เทคนิคต่างๆ ในการตกแต่งรูปภาพของบรรดาคนดัง หรือนางแบบนายแบบที่ปรากฏบนหน้านิตยสาร เพราะมันทำให้เด็กๆ เกิดความกังวลในเรื่องรูปร่างหน้าตาของตนเอง และขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้โฆษณาสำหรับผู้ใหญ่นั้น มีคำเตือนทำนอง “ภาพนี้ผ่านการตกแต่งด้วยเทคนิค” อยู่ด้วย กลุ่มดังกล่าวบอกว่าการตกแต่งหรือเปลี่ยนแปลงภาพเพื่อทำให้คนดูดีขึ้นนั้น มันหมายถึงการที่สังคมคาดหวังใน “ภาพลักษณ์ที่เป็นไปไม่ได้” และเทคนิคการลบไฝ ฝ้า หรือรอยย่นบนใบหน้านั้นอาจจะทำให้บรรดาเด็กผู้หญิงเสียความมั่นใจในตนเอง ในขณะที่ภาพสาวๆ ที่ผอมเกินเหตุก็อาจทำให้เด็กๆ เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติทางการกินมากขึ้นด้วย ดาราหลายคนก็เคยออกมาพูดถึงการใช้เทคนิคเหล่านี้ เคท วินสเล็ท ไม่พอใจที่นิตยสาร GQ ทำให้เธอขายาวขึ้นและผอมเกินจริงในรูปที่ขึ้นปก ในขณะที่นักร้องสาว เคลลี่ คล้ากสัน ก็เคยถูก “ลดไซส์” บนปกของนิตยสารอเมริกันฉบับหนึ่งมาแล้วเช่นกัน แม้แต่คีร่า ไนท์ลี่ย์ นางเอกจากเรื่องคิงอาเธอร์ ก็เคยพูดถึงหน้าอกที่ดูเหมือนเป็นของเธอในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวนั้น “ไม่ใช่ของชั้นแน่ๆ” โฆษกขององค์กรที่ควบคุมดูแลเรื่องมาตรฐานการโฆษณา (ซึ่งตั้งขึ้นโดยอุตสาหกรรมการโฆษณา) บอกว่า ไม่จำเป็นต้องไปห้ามกันให้วุ่นวายเพราะปีที่แล้วมีเรื่องร้องเรียนดังกล่าวเพียง 5 กรณีเท่านั้นที่สำคัญเขาบอกว่า ใครๆ ก็รู้อยู่แล้ว(จริงหรือ?) ว่าภาพโฆษณาเหล่านี้มีการใช้เทคนิคช่วยทั้งนั้น ใครมีรถเก่า เอามาขาย หนึ่งในแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเยอรมนีได้แก่ การประกาศรับซื้อรถเก่า (กว่า 9 ปี) ในราคาคันละ 2,500 ยูโร (ประมาณ 124,000 บาท) กระทรวงการคลังของเยอรมนีบอกว่านี่คือแผนการกระตุ้นให้ผู้คนตัดสินใจลงทุนซื้อรถใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิงมากขึ้นมาใช้แทนคันเก่า ส่วนเจ้ารถเก่าที่ว่านั้นก็ไม่ได้เอาไปจอดที่เต็นท์ไหนแต่จะถูกเอาไปเข้าเครื่องบดให้เป็นเศษเหล็กนั่นเอง ผู้คนให้ความสนใจโครงการนี้กันล้นหลาม งบที่เตรียมไว้(ประมาณ 2,600 ล้านยูโรหรือ 129,000 ล้านบาท) ก็ถูกใช้หมดไปภายในวันเดียว แถมยังมีคนมาลงชื่อต่อคิวไว้ล่วงหน้าอีก 15,000 คนด้วย แต่ไม่รู้ว่าแผนนี้ จะกระตุ้นเศรษฐกิจของเยอรมนีได้จริงหรือไม่ งานวิจัยจากสถาบัน Halle Economic Research Institute ระบุว่า 3 ใน 4 ของคนที่เอารถเก่ามาขายให้รัฐบาลในโครงการนี้ คือคนที่ตั้งใจจะซื้อรถใหม่อยู่แล้วแม้จะไม่ได้เงินช่วยเหลือจากรัฐก็ตาม ซึ่งหมายความว่าในจำนวนรถที่คาดว่าขายได้ 2 ล้านคันตามโครงการเอื้ออาทรที่ว่านี้ มีถึง 1.5 ล้านคันที่ยังไงๆ ก็ขายได้อยู่แล้ว เรื่องนี้รัฐบาลออกมาแก้ต่างว่า เจตนาของโครงการคือการกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ปีหน้า ซึ่งเยอรมนีเตรียมงบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจไว้ทั้งหมด 5,000 ล้านยูโร หรือประมาณ 247,000 ล้านบาท ความสุขที่คุณตัดไม่ได้ประเทศภูฏานออกมาเตือนประชาชนเรื่องการตัดต้นไม้มาทำธงในการอธิษฐานให้กับผู้ล่วงลับ เพราะเหตุว่ามันจะไม่ดีต่อพื้นที่ป่าอันเขียวชอุ่มและ “ความสุขมวลรวม” ของประเทศ ชาวพุทธที่นี่นิยมปักธงเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตหรือเพื่ออุทิศให้กับผู้ที่ล่วงลับให้สามารถค้นพบทางไปสู่โลกหน้าได้ เชื่อกันว่ายิ่งปักมากยิ่งดี และที่สำคัญคือต้องใช้ธงใหม่ทุกครั้งด้วย ถ้าใครใช้ธงเก่าก็จะดูเหมือนไม่พยายามเท่าที่ควร ซึ่งก็หมายถึงว่าจะไม่ได้บุญไปด้วย คนภูฏานเชื่อว่า ลมจะพัดพาเอากระแสดีๆ จากสัญลักษณ์ตันตระที่เขียนอยู่บนธงสีเหลือง เขียว แดง ขาว และน้ำเงิน ซึ่งเป็นตัวแทนของธาตุทั้ง 5 ออกไป และจะต้องมีการปักธงทั้งหมด 108 ธง เมื่อมีคนเสียชีวิต รัฐบาลภูฏานต้องคิดหนักเพราะไม่สามารถชักชวนให้ประชาชนเปลี่ยนจากธงไม้มาใช้ธงเหล็กหรือธงรีไซเคิลได้ ในขณะที่รัฐธรรมนูญของภูฏานซึ่งให้ความสำคัญกับความสุขมวลรวมประชาชาติของประชากรซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 700,000 คนนั้นระบุไว้ชัดเจนว่าจะต้องมีพื้นที่ป่าไม้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ของพื้นที่ประเทศ ในระหว่างเดือนมิถุนายนปี 2007 ถึงมิถุนายน 2008 ภูฏานมีการตัดต้นไม้ 60,000 ต้น เพื่อนำมาใช้ในการทำธงดังกล่าว อยู่คุกกินอร่อยกว่าอยู่โรงพยาบาลนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบอร์นมัธ ในอังกฤษ ได้ทำการสำรวจเปรียบเทียบคุณภาพของอาหารที่โรงพยาบาลของรัฐเตรียมให้ผู้ป่วยกับอาหารที่เรือนจำเตรียมให้กับนักโทษ ผลปรากฏว่าอาหารสำหรับนักโทษนั้นมีคุณภาพสูงกว่าอาหารสำหรับผู้ป่วย ทั้งนี้นักวิจัยเขาบอกว่าอาหารในเรือนจำ จัดว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการดีเยี่ยม เป็นอาหารที่ไม่เน้นไขมัน แถมยังใส่เกลือน้อยกว่าและไม่นิยมใช้วิธีการทอดหรือผัดด้วย ศาสตราจารย์ จอห์น เอ็ดเวิร์ดส์ หนึ่งในผู้ร่วมวิจัยบอกว่าเรื่องนี้เรื่องใหญ่ ร้อยละ 40 ของคนไข้จะมีภาวะทุพโภชนาการเพราะอาการเจ็บป่วยทำให้คนไข้มีความอยากอาหารน้อยลง คนเหล่านี้จึงควรจะได้รับความใส่ใจเป็นพิเศษจากโรงพยาบาลในการกระตุ้นให้รับประทานอาหารดีๆ ให้มากขึ้น แต่ทีมวิจัยกลับพบว่าเวลาที่โรงพยาบาลของรัฐถูกตัดงบประมาณนั้น งบอาหารจะเป็นอย่างแรกที่ถูกตัด แต่ทั้งนี้โฆษกจากกรมสุขภาพของอังกฤษเขายืนยันว่า คนไข้ส่วนใหญ่ก็พอใจกับอาหารที่โรงพยาบาลจัดให้(เป็นไปได้ว่าคนไข้ยังไม่เคยรับประทานอาหารในเรือนจำ ... แต่ก็น่าจะไม่จำเป็นต้องเข้าไปลองนะ) น้ำหนักไม่ลด อดได้เงินคืน เดี๋ยวนี้คลินิกลดน้ำหนักในฮ่องกงหันมาชักชวนผู้บริโภคให้เข้ารับบริการด้วยข้อเสนอว่าพวกเขาจะได้บริการฟรี ถ้าสามารถลดความอ้วนได้จริงและช่วยเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับทางคลินิกด้วย แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด ก่อนอื่นผู้ที่ประสงค์จะใช้บริการลดน้ำหนักกับทางคลินิกพวกนี้ต้องจ่ายเงินเต็มจำนวนล่วงหน้าไปก่อน เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นว่าต้องการจะลดน้ำหนักจริงๆ และมีการทำสัญญาตั้งเป้าหมายการลดไว้ด้วย ถ้าพลาดเป้าไม่สามารถลดได้ตามที่แจ้งความจำนงไว้กับทางร้าน ลูกค้าก็จะไม่ได้เงินคืนหรือได้ส่วนลดตามที่เสนอไว้ในตอนแรก เช่น รายหนึ่งที่ร้องเรียนเข้ามาบอกว่าเธอต้องจ่ายเงิน 24,800 เหรียญฮ่องกง (ประมาณ 108,000 บาท) ต่อคอร์สลดน้ำหนักที่ใช้เวลา 2 เดือน และเธอจะได้เงินคืนถ้าสามารถลดน้ำหนักได้ 15 ปอนด์ (ประมาณ 7 กิโลกรัม) ภายในระยะเวลาดังกล่าว แต่เธอก็ไม่ได้เงินก้อนนั้นคืนมา เพราะไม่สามารถลดน้ำหนักได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ เรื่องนี้จัดการยากจริงๆ เพราะแม้จะมีการดูสัญญาโดยละเอียดแล้วก็ตาม แต่ในสัญญาก็ระบุไว้แล้วว่า การรักษาอาจไม่ประสบความสำเร็จเสมอไป ขึ้นอยู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการรับประทานอาหารของผู้เข้ารับบริการ ทำให้เป็นการยากที่จะชี้ลงไปว่าความล้มเหลวในการลดน้ำหนักนั้นเป็นความผิดของใคร แต่ส่วนมากแล้วจะเป็นฝ่ายลูกค้า ปัจจุบันสภาผู้บริโภคของฮ่องกงมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับคลินิกลดความอ้วนมากขึ้น แค่ช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ ก็มีกรณีร้องเรียนที่เกี่ยวกับเงื่อนไขคืนเงินที่ว่านี้กว่า 31 กรณี (มากกว่าปีที่แล้ว 7 เท่า) จากเรื่องร้องเรียนทั้งหมด 86 เรื่องที่เกี่ยวกับบริการของคลินิกลดความอ้วน คำแนะนำที่ทางการฮ่องกงให้กับผู้บริโภคขณะนี้คือ ให้ระลึกไว้เสมอว่าใดๆ ในโลกล้วนไม่ฟรี

อ่านเพิ่มเติม >