ฉบับที่ 269 สระผมอย่างไร? ให้ไม่เสี่ยงปัญหาหนังศีรษะ

        ฉลาดซื้อ คิดว่ามีหลายคนที่เจอปัญหาเกี่ยวกับหนังศีรษะ ทั้งรังแค เชื้อรา หรือแม้แต่ปัญหาผมร่วง ซึ่งสาเหตุก็คงมีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเกิดจากโรคประจำตัว พันธุกรรมหรืออื่นๆ แต่อย่างหนึ่งที่เราน่าจะรู้กันอยู่แล้วหรือบางคนก็อาจลืมไป ก็คือ พฤติกรรม “การสระผม” ของเรานี้ล่ะที่เป็นสาเหตุ ขั้นตอนสระผมให้สะอาด ป้องกันปัญหาบนหนังศีรษะ        ·     หนังศีรษะของเราโดยปกติมักมีเหงื่อ หรือสิ่งสกปรกต่างๆ สะสมอยู่แล้ว  ดังนั้นควรที่จะทำความสะอาดสระผมเป็นประจำ เช่น  2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ไม่แนะนำให้สระบ่อยจนเกินไป ทั้งนี้ บางคนที่มีหนังศีรษะที่มันง่าย อาจจะเปลี่ยนเป็นสระวันเว้นวันได้ ขึ้นอยู่ที่สภาพหนังศรีษะของแต่ละบุคคล        ·     สิ่งที่ควรทำก่อนสระผม คือ การล้างผมด้วยน้ำสะอาดก่อนให้ทั่วหัว ไม่ควรใช้น้ำอุ่น ควรใช้แค่น้ำอุณหภูมิปกติทั่วไป หลังจากนั้นบีบแชมพูลงไป แต่พยายามอย่าบีบยาสระผมให้ลงไปที่หนังศีรษะจนเกินไป  ส่วนใครที่ใช้ครีมนวดผมก็ควรจะใช้บริเวณกลางหัวถึงปลายผมพอ        ·     ไม่เกาหนังศีรษะเวลาสระผมแรงๆ เพราะอาจเกิดแผลและระคายเคือง ใครที่ชอบเกาแรงๆ เพราะชอบหรือผ่อนคลายก็ควรงดเลย        ·     เมื่อสระผมเสร็จแล้วควรจะมีการเป่าให้แห้ง หากสระผมก่อนนอน อย่านอนในขณะที่ผมยังไม่แห้งเด็ดขาด เพื่อป้องกันหนังศีรษะอับชื้น และไม่เป่าผมด้วยอุณหภูมิที่ร้อนจนเกินไป        ·     การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แชมพูสระผมก็เกี่ยวด้วยเช่นกัน เพราะแต่ละยี่ห้อก็มีส่วนผสมที่แตกต่างกันไป ดังนั้นควรเลือกยาสระผมที่อ่อนโยน ไม่ระคายเคือง หลีกเลี่ยงส่วนผสมพวกพาราเบน พทาเลต ซัลเฟต หรือกลุ่มซิลิโคน         สำหรับคนที่มีปัญหาหนังศีรษะ เช่น รังแค ควรเลือกแชมพูสระผมที่เน้นเรื่องการลดปัญหานั้นๆ ที่มีขายอยู่ตามตลาดมากกว่าแชมพูทั่วไป หากไม่หายควรไปพบแพทย์ นอกจากนี้ใครที่มีอาการแพ้ยาสระผมอย่างรุนแรงก็ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการรักษาให้ถูกวิธีเช่นกัน และเชื่อหรือไม่ว่า สิ่งที่หลายๆ คนมองข้ามคือ การใช้ผ้าขนหนูร่วมกับผู้อื่น ทางที่ดีอย่าใช้ร่วมกับคนอื่น และผ้าขนหนูเช็ดตัวกับเช็ดผมก็ควรใช้แยกกันไปไปเลยดีกว่า อุปกรณ์หวีผมก็ดูแลทำความสะอาดให้ดี ไม่ปล่อยให้สิ่งสกปรกหมักหมมไว้นาน         อีกเรื่องช่วงนี้เริ่มเข้าสู่หน้าฝนที่ร้อนชื้น อบอ้าว ดังนั้นหลายคนคงพบปัญหาฝนตกจนเปียกไปทั้งตัวกันอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะบริเวณหนังศีรษะที่เมื่อเปียกและปล่อยทิ้งไว้ก็อาจจะทำให้เป็นหวัดหรือเกิดการอับชื้น จนอาจก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น เชื้อรา ดังนั้นช่วงหน้าฝนควรดูแลหนังศรีษะเบื้องต้น ซึ่งมาฝากดังนี้         เมื่อหนังศีรษะเปียกฝนควรสระผมทันทีที่ทำได้ เพื่อชะล้างสิ่งสกปรกที่เรามองไม่เห็นที่มาพร้อมกับฝนออก เช่น พวกกลุ่มเชื้อโรค ไวรัสต่างๆ ที่อาจทำให้ไม่สบายเป็นหวัดได้ และควรเป่าให้แห้งสนิท ห้ามนอนในระหว่างที่ผมยังไม่แห้งดี กรณีที่เราไม่สามารถสระผมได้ทันที ก็อาจจะซับผมและเป่าพัดลมให้แห้งไว้ก่อนได้เพื่อขจัดความอับชื้นออกไป  ข้อมูลจาก :  https://hellokhunmor.com : วิธีสระผมที่ถูกต้อง เพื่อผมแข็งแรงสุขภาพดี ทำอย่างไรhttps://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=1130https://www.springnews.co.th/news/583062https://www.vichaiyut.com/th/health/informations/question-healthy-in-the-rain-wash-the-hair/

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 253 แพ้แชมพูสระผมจัดการอย่างไรดี

        การรักษาเส้นผมให้มีสุขภาพที่ดี เงางาม นุ่มสลวย ย่อมช่วยเสริมความมั่นใจให้คุณผู้หญิงหลายคนการเลือกสรรผลิตภัณฑ์ที่สามารถบำรุง รักษาและฟื้นฟูเส้นผมให้ได้มากที่สุดเพื่อมีสุขภาพผมที่ดีนั้น จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะบางผลิตภัณฑ์เลือกมาใช้แล้วผมดูมีสุขภาพดีก็จริง แต่ถ้าทำให้เกิดอาการแพ้ทั้งจากส่วนผสมไม่ว่าจะเป็นสารเคมีหรือน้ำหอมในผลิตภัณฑ์ ก็อาจไม่ใช่แชมพูที่คู่ควรกับเราก็ได้  แพ้ยาสระผมมีอาการอย่างไร        ลักษณะอาการแพ้แชมพูสระผม          1. มีอาการแสบและมีรอยแดงหลังสระผม อาการดังกล่าวอาจเกิดจากแพ้สารเคมีบางชนิดในผลิตภัณฑ์ หากเราไม่มีแผลบริเวณบนหนังศีรษะแต่เกิดอาการแสบและแดงหลังใช้ยาสระผมแสดงว่าเราอาจจะมีภาวะแพ้แชมพูสระผม        2. คันหนังศีรษะและมีผดผื่นขึ้น ในส่วนของอาการทั้งหมดอาจจะเกิดจากสารมีบางชนิด เช่น สาร SLS และพาราเบนที่เป็นสารกันเสีย มีคุณสมบัติลดแรงตึงผิวทั้ง 2 ตัว อาจเข้าไปทำลายความชุ่มชื่นบนหนังศีรษะจนเกิดการระคายเคืองได้        3. สิวอุดตันที่กรอบหน้า หลายคนอาจไม่รู้ว่าบางทีสิวที่เกิดขึ้นบนใบหน้าเรา อาจมาจากการแพ้สารเคมีในแชมพูสระผม โดยเฉพาะสารที่เรียกว่าซิลิโคน ที่นำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เพื่อให้ทำหน้าที่เคลือบเส้นผมให้นุ่มลื่น เมื่อเราล้างทำความสะอาดไม่หมด อาจก่อให้เกิดสิวบริเวณที่มีสารตกค้างได้          4.อาการบวมตามอวัยวะต่างๆ หรือเริ่มมีอาการผิวหนังตกสะเก็ด ผิวลอกเป็นขุยๆ บางคนอาจมีอาการผมร่วง หรืออาการลมพิษทั้งตัว เป็นต้น            อ่านถึงตรงนี้ เริ่มเครียดกันแล้วใช่ไหม เพราะอาการแพ้แชมพูสระผมหากลองอ่านๆ ดู อาจจะดูน่ากลัวไปบ้าง แต่อาการต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นขึ้นกับสภาพร่างกาย สภาพผิวของแต่ละบุคคลด้วย         วิธีจัดการตัวเองเมื่อมีอาการแพ้แชมพูสระผม        -       หยุดใช้แชมพูสระผมที่สงสัยว่าเราแพ้ทันที แล้วรีบล้างน้ำออกให้สะอาด        -       เมื่อมีอาการหนักขึ้นให้รีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที เพื่อที่จะได้เข้ารับการรักษาก่อนอาการแพ้จะลุกลามไปมากกว่าเดิม        -       ไม่ใช้ความร้อนกับหนังศีรษะหรือเส้นผม เพื่อให้หนังศีรษะและเส้นผมยังคงมีความชุ่มชื่น        -       เลือกใช้ยาสระผมที่มีค่า PH ที่เหมาะสม        -       รับประทานอาหารที่มีอาหารจำพวกโปรตีน ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว เพื่อฟื้นฟูหนังศีรษะ สารเคมีที่อยู่ในแชมพูสระผม         สารเคมีที่มีอยู่ในแชมพูสระผมมีหลายชนิด แต่ส่วนมากหลักๆ ก็มีสารกันเสียที่มีหน้าที่ไปยับยั้ง แบคทีเรีย เชื้อรา หรือยีสต์ เพื่อให้คงสภาพให้อยู่ได้ยาวนานขึ้น โดยประเภทของสารกันเสีย มีดังนี้ กลุ่มสารพาราเบน เช่น เมทิล พาราเบน, โพรพิลพาราเบน, เอทิลพราราเบน, บิวทิลพาราเบน,ไอโซบิลทิวพาราเบน นอกจากนี้ยังมีสารฟอร์มาลีไฮด์, สารอิมิดาโซลิตินิล ยูเรีย, สารพีน็อกซี่เอทานอล, สารเมทิลไอโซไทอะโซลิโนน อีกด้วย         ในส่วนของซิลิโคน เป็นสารกลุ่มโพลิเมอร์สังเคราะห์ ที่ใช้ในการช่วยให้ผมนุ่มลื่น ดูสุขภาพผมดีซึ่งสารซิลิโคนนี้ล้างออกได้ยาก  จริงๆ สารซิลิโคนไม่ได้เป็นอันตรายเสมอไป  แถมช่วยให้สุขภาพผมดีขึ้นอีกด้วย   แต่หากว่าบางคนมีอาการแพ้สารซิลิโคนก็ควรระวังด้วยการสังเกตฉลากทุกครั้งว่ามีสารซิลิโคนเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยในผลิตภัณฑ์นั้นหรือไม่ ส่วนชื่อสารซิลิโคนที่มักปรากฏบนฉลาก ก็เช่น Dimethicone, Cetyl Dimethicone, Cyclomethicone, Cetearyl Methicone, Dimethiconol, Stearyl Dimethicone, Trimethylsilylamodimethicone Amodimethicone, Cyclopentasilloxane เป็นต้น  และควรอ่านฉลากก่อนใช้ทุกครั้งเพื่อระวังสารเคมีที่ไม่ถูกกับตนเองเพื่อความปลอดภัย       อ้างอิง : https://www.thaihealth.or.th/blog/myblog/topic/https://th.theasianparent.com/shampoo-allergyhttp://www.skinhospital.co.th/article/info/5/54https://www.herbforhair.com/content/7278/ 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 221 ทำอย่างไรให้ร่างกายหอมสดชื่นทั้งวัน

                อยู่เมืองไทยไม่มีเหงื่อคงเป็นเรื่องแปลก เหงื่อไม่เพียงทำให้เนื้อตัวเหนอะหนะ ยังทำให้เกิดปัญหากลิ่นกายไม่หอมสดชื่นด้วย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้ “ตัวไม่หอม” จนบางครั้งเราก็คงนึกสงสัยว่าทำไมนะ บางคนถึงตัวหอมสดชื่นทั้งวัน เราจะเป็นแบบนั้นบ้างได้ไหม         สิ่งสำคัญที่ควรใส่ใจ        1.สะอาดเสมอ        ·  อาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับกิจกรรม เช่น หลังออกกำลังกายก็ควรอาบน้ำชำระเหงื่อไคล และควรใช้สบู่ชำระล้างในส่วนที่เป็นจุดอับของร่างกาย เช่น รักแร้ ซอกคอ ข้อพับ มือเท้า สาวๆ ที่มีรูปร่างอวบอัด อาจรวมถึงหน้าท้องที่ยื่นจนเกิดเป็นซอกหลืบ เพราะบริเวณดังกล่าวจะเป็นจุดที่เกิดการหมักหมมของเหงื่อไคล        ·  สระผมให้สะอาด หากสระผมกลางคืนไม่ควรนอนไปทั้งที่ผมยังชื้นอยู่ หรือบางคนไม่ชอบสระผมทุกวัน อาจใช้การสระแบบแห้งซึ่งมีน้ำยาทำความสะอาดผมแบบเป็นสเปรย์ฉีดผมที่ช่วยแก้ปัญหาได้        ·  ใส่เสื้อผ้าที่สะอาด เสื้อผ้าที่ซักและตากไม่แห้งหรือโดนน้ำฝนมักมีกลิ่นซึ่งเกิดจากการขยายตัวของเชื้อโรค ซึ่งไม่เพียงมีกลิ่นอับที่ชวนให้ชวนอึดอัด ยังอาจก่อให้เกิดปัญหากับสุขภาพด้วย การใช้เสื้อผ้าซ้ำๆ หลายๆ วันก็จะทำให้คุณมีกลิ่นเช่นกัน        ·  อย่าให้เท้ามีกลิ่น หากคุณกังวลว่าเท้าจะมีกลิ่น ก็ควรขัดถูเท้าตอนอาบน้ำ เช็ดให้แห้ง และทาแป้งก่อนที่จะใส่ถุงเท้าและรองเท้า พกถุงเท้าคู่ใหม่ไปเปลี่ยนระหว่างวัน ต้องมั่นใจด้วยว่ารองเท้าของคุณก็สะอาด รองเท้าเก่าๆ มักจะมีกลิ่นเสมอ        ·  ดูแลสุขภาพช่องปาก อย่าปล่อยให้เกิดปัญหาสะสมเพราะจะทำให้เกิดกลิ่นปาก หรือหลังรับประทานอาหารกลิ่นแรงควรบ้วนปากหรือแปรงฟัน หรือเคี้ยวหมากฝรั่งก็พอช่วยแก้ไขปัญหาชั่วคราวได้         2.เลี่ยงอาหารกลิ่นแรงและบุหรี่        ·  พยายามหลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หัวหอม เนื้อสัตว์ และอาหารรสจัด รวมไปถึงผักจำพวกกะหล่ำ เช่น บรอกโคลี เพราะอาหารเหล่านี้เมื่อถูกย่อยจะทำให้เกิดกลิ่นตัวและกลิ่นปากได้ง่าย        ·  ไม่สูบบุหรี่ การสูบบุหรี่ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมาย รวมไปถึงปัญหาเรื่องกลิ่นตัวอีกด้วย คนที่สูบบุหรี่จัด ๆ จะมีกลิ่นบุหรี่ติดตัวทั้งในปากและตามรูขุมขน ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะยังไม่ได้สูบบุหรี่อยู่ก็ตาม        ·  รับประทานอาหารดีมีประโยชน์ ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายสดชื่น อีกอย่างที่สามารถช่วยได้ดีคือการอบซาวน่า ซึ่งช่วยให้ขับเหงื่อได้ดี         3.ใช้ตัวช่วย        ·   โรลออน ที่ช่วยระงับกลิ่นตัว        ·  น้ำหอม เลือกกลิ่นเฉพาะตัวและไม่ควรใช้หลายกลิ่นในครั้งเดียว จุดที่นิยมให้การฉีดหรือแตะน้ำหอมบนร่างกายคือ ข้อพับแขน ข้อมือ ซอกคอ หรือบริเวณกลางหน้าอก จะช่วยให้กลิ่นหอมฟุ้งทั่วทั้งตัว        ·  ทาแป้ง ก็อาจช่วยได้หากคุณเป็นควรเหงื่อออกง่าย        ·  โลชั่น สบู่ที่มีกลิ่นหอม แต่หากโลชั่นมีกลิ่นแรง คุณไม่ควรใช้น้ำหอมเพิ่ม         4.ดูแลสิ่งแวดล้อมรอบตัว        ·  รักษาความสะอาดของสิ่งรอบตัว เตียง หมอน ชุดเครื่องนอน ฯลฯ ของคุณสะอาดไหม อย่าปล่อยให้มีกลิ่นอับ        ·  รถของคุณและที่อื่นๆ ที่คุณใช้เวลาอยู่ที่นั้นนานๆ เช่น ร้านสุกี้ ร้านชาบู  หรือที่ๆ มีคนสูบบุหรี่ กลิ่นเหล่านี้ติดทนบนตัวคุณได้ดีทีเดียว

อ่านเพิ่มเติม >