ฉบับที่ 223 ลับลวงใจ : อยู่ตรงกลางใจ...อยู่ที่ใจกลางความเจ็บปวดรวดร้าวที่มี

        “จิตมนุษย์นี้ไซร้ ยากแท้หยั่งถึง” เป็นความเปรียบท่อนหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในครรโลงแห่ง “โคลงโลกนิติ” ที่อธิบายได้อย่างแยบคายว่า แม้มหาสมุทรจะหยั่งลึกเพียงใด หรือแม้ภูเขาจะสูงเสียดฟ้าเพียงใด แต่ก็มิอาจเทียบได้กับการหยั่งรู้จิตใจของมนุษย์จริงๆ         แต่ยิ่งหากเป็นจิตใจของบุรุษเพศด้วยแล้ว การจะหยั่งรู้ความลับและก้นบึ้งแห่งจิตใจของเขาได้นั้น ดูเหมือนจะยากยิ่งขึ้นไปอีก...เหมือนกับเบื้องลึกเบื้องลับในจิตใจของตัวละครชายหนุ่มอย่าง “โจ้” ผู้มีทั้ง “ความลับ” และ “ความลวง” หลบเร้นอยู่ในซอกหลืบของจิตใจแบบยากเกินหยั่ง และกลายเป็นเงื่อนไขหลักของปมปัญหาต่างๆ ที่อยู่ในละครโทรทัศน์เรื่อง “ลับลวงใจ”         จะว่าไปแล้ว “ลับลวงใจ” เดินอยู่บนแก่นเรื่องหลักที่ต้องการจะเผยให้เห็นว่า มนุษย์ปุถุชนไม่ว่าจะใครก็ตาม ต่างก็มี “ความลับความลวง” อยู่ในใจด้วยกันทั้งสิ้น โดยละครผูกโยงความสัมพันธ์ให้โจ้ได้เข้ามาข้องเกี่ยวกับตัวละครทั้งหลายในตระกูลนักธุรกิจผู้มั่งคั่งอย่าง “วงศ์ว่านเครือ”         เปิดฉากมานั้น ละครฉายภาพของตระกูลวงศ์ว่านเครือที่มั่งคั่ง ซึ่งมี “ต่อ” ซีอีโอหนุ่มพี่ชายคนโตของบ้านเป็นประธานกรรมการบริหารใหญ่ของธุรกิจต่างๆ ในเครือ และแม้ว่าต่อจะประสบความสำเร็จในการบริหารกิจการครอบครัวจนมีชื่อเสียงร่ำรวย แต่ลึกๆ ความลับในใจของเขาก็คือ หัวใจที่บาดเจ็บอย่างหนักจาก “วี” หญิงผู้เป็น “รักแรก” จนเขาเลือกจะปิดตายต่อชีวิตคู่กับผู้หญิงทุกๆ คนขณะเดียวกัน แม้จะหลีกหนีไม่พ้นข้อเท็จจริงที่ว่า ธุรกิจสายตระกูลขนาดใหญ่มักมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ภายในครอบครัวนั่นเอง แต่อีกด้านหนึ่ง ผู้หญิงสามคนที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของต่อ ซึ่งก็คือ “กิ๊ฟ” “ตุ้ม” และ “นิ้ง” ต่างก็ดูรักใคร่กลมเกลียว แถมยังเป็นหญิงสาวผู้เป็นที่หมายปองของหนุ่มๆ ทั้งประเทศ รวมทั้งโจ้ซึ่งภายหลังได้เข้ามาเป็นตัวการและตัวแปรอันนำไปสู่ความไม่ลงรอยกันของผู้หญิงทั้งสาม             ในเวลาเดียวกัน เมื่อตัดสลับมาที่ภาพครอบครัวของโจ้ หนุ่มหล่อโปรไฟล์ดีและมีเสน่ห์ทางเพศ จนกลายเป็น “รักแรก” ของผู้หญิงมากหน้าหลายตา แต่ด้วยความลับที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นการต้องรองรับนิสัยฟุ้งเฟ้อและจมไม่ลงของ “อนงค์นาถ” ผู้เป็นมารดา จนต้องขายสมบัติพัสถานชิ้นแล้วชิ้นเล่า เพื่อรักษาหน้าตาชื่อเสียงวงศ์ตระกูล หรือการต้องกำความลับของ “นายพลจริณ” ผู้เป็นบิดา ที่ปิดบังใครต่อใครเรื่องการมีบ้านเล็กและอนุภรรยาเป็นตัวเป็นตน         แต่ทว่าท่ามกลางความลับมากมายดังกล่าว สิ่งที่เป็นห้วงลึกห้วงเร้นจริงๆ ในจิตใจของชายหนุ่มอย่างโจ้ ก็คือ นิสัยที่ถูกหล่อหลอมจากพ่อแม่ว่า เขาจะต้องยืนเป็น “ที่หนึ่ง” เหนือคนอื่นๆ ในสังคม เหมือนกับที่โจ้เคยพูดกับมารดาว่า “ผมต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้นให้กับตนเอง”         เพราะฉะนั้น แม้แต่การที่เขาเที่ยวไปบริหารเสน่ห์ต่อผู้หญิงแบบไม่ซ้ำหน้า หรือเปลี่ยนคู่ควงเป็นว่าเล่น โดยที่ไม่ได้รู้สึกผูกพันกับหญิงสาวคนใดเป็นพิเศษ ก็เป็นไปเพื่อเยียวยาความรู้สึกที่ว่าตนต้องเป็น “ที่หนึ่ง” ก็เท่านั้น แบบที่เขาเองกล่าวอุปมาอุปไมยถึงผู้หญิงมากหน้าที่ผ่านเข้ามาในชีวิตว่า “มันก็เหมือนมีเพชรกับโคตรเพชร เราก็ต้องเลือกโคตรเพชรมากกว่าอยู่แล้ว”         เพื่อบำบัดความปรารถนาลึกๆ ที่อยากจะเป็น “ที่หนึ่ง” นั้น ในบรรดาผู้หญิงที่ต้องโคจรเข้ามาเป็นเหยื่อของโจ้ ก็เริ่มต้นจากวีอดีตคนรักของต่อ ตามติดมาด้วยผู้หญิงคนถัดมาก็คือ นางเอกแสนสวยอย่าง “หมอดี” อายุรแพทย์ที่เรียบร้อย จิตใจดีงาม แต่ก็เข้ามาติดกับดักเสน่หาของโจ้อีกคน แม้ว่าตลอดเวลาต่อจะคอยเตือนหมอดีให้ระวังบทเรียนประวัติศาสตร์แห่งความลับลวงใจที่อาจจะกลับมาซ้ำรอยกับเธอก็ตาม         และที่ดูเหมือนจะเป็นการเสียดสีอยู่ในทีก็คือ ในวิชาชีพความเป็นแพทย์นั้น หมอดีอาจจะมีความรู้และเชี่ยวชาญที่จะจำแนกสมุฏฐานโรคและอาการเจ็บป่วยของคนไข้ได้ก็จริง แต่ในความสัมพันธ์กับมนุษย์ที่จะแยกแยะผู้ชายว่าใครคนไหนจริงใจกับตนเองบ้าง หมอดีกลับไร้เดียงสาและหามีความชำนัญไม่ จนกระทั่งในที่สุดเธอก็เป็นผู้หญิงอีกคนที่โจ้บอกเลิก เพื่อหันไปเลือกกิ๊ฟจากตระกูลวงศ์ว่านเครือที่มั่งคั่งร่ำรวยกว่า         แต่เพราะ “จิตผู้ชายนี้ไซร้” ช่าง “ยากแท้หยั่งถึง” คล้ายดังคำโคลงโลกนิติข้างต้น ดังนั้น ลึกๆ แล้วการหันไปคบหากิ๊ฟหาได้มาจากความรักของโจ้แต่อย่างใด หากเป็นเพียงความมุ่งหมายของชายหนุ่มที่จะตอบโจทย์ความเป็น “ที่หนึ่ง” เนื่องจากทุนทรัพย์ของวงศ์ว่านเครือเท่านั้นที่สามารถพลิกให้เขากลายเป็นเศรษฐี และกอบกู้สถานะทางการเงินของครอบครัวที่กำลังตกต่ำลง        ในเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง โจ้เองก็ยังดำเนินเกมหว่านเสน่ห์ให้กับตุ้มและนิ้งทายาทที่เหลือของตระกูลวงศ์ว่านเครือ โดยหวังจะให้เธอเหล่านั้นมาเป็นตัวสำรอง หากเขาพลาดที่จะได้ลงเอยกับกิ๊ฟ ตัวละครผู้หญิงมากมายเหล่านี้จึงเป็นประหนึ่งไพ่หลายใบในมือของชายหนุ่ม ที่จะทำให้เขามีอำนาจที่จะยึดกุมและเลือกได้ว่าจะทิ้งไพ่ใบใดในสำรับเพื่อบรรลุฝั่งฝันในความเป็น “ที่หนึ่ง” นั่นเอง         และก็แน่นอน เมื่ออยู่ในเกมเสน่หาที่จะขึ้นสู่ความเป็น “ที่หนึ่ง” เช่นนี้ ผู้ชายอย่างโจ้ก็ต้องเผชิญหน้าโดยตรงกับต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหมอดีซึ่งทำใจกับรักแรกที่ผิดหวังได้แล้ว เธอก็หันไปคบหากับต่ออย่างเปิดเผย จนในที่สุดก็ลงเอยเข้าสู่ประตูวิวาห์กัน นั่นเองที่ทำให้โจ้รู้สึกถึงคำว่า “เสียเชิงชาย” และสะกิดบาดแผลในจิตใจที่เขารู้สึกว่าตำแหน่ง “ที่หนึ่ง” ได้หลุดลอยออกไปจากมือของตน         จากนั้นเมื่อบาดแผลจากการเป็น “ที่หนึ่ง” ของผู้ชายดำเนินมาถึงจุดสุดขั้นของเรื่อง ฉากจบก็คือโศกนาฏกรรมของเหยื่อผู้หญิงทั้งหลาย ไม่เพียงแต่กิ๊ฟที่ต้องเจ็บปวดที่เรียนรู้ว่าสามีอย่างโจ้ไม่เคยมีหัวใจรักให้กับเธอเลย ขณะเดียวกับตุ้มที่ลักลอบเป็นภรรยาลับคนหนึ่งของโจ้ก็ต้องเจ็บปวดเมื่อเขาปฏิเสธเธออย่างไร้เยื่อใย จนตัดสินใจกระทำอัตวินิบาตกรรมในฉากจบ         ภายใต้บทสรุปที่มีทั้งการสูญเสียและให้อภัยกันในตอนท้าย ละคร “ลับลวงใจ” ได้ยืนยันเส้นเรื่องหลักที่ว่า ห้วงสมุทรอันล้ำลึกในจิตใจของมนุษย์นี้ไซร้ยากแท้หยั่งถึงจริงๆ ไม่ต่างจากตัวละครทั้งหลายที่ต่างแอบมี “ความลับ” และ “ความลวง” หลบเร้นอำพรางอยู่ระหว่างกัน         แต่ที่คู่ขนานไปกับเส้นเรื่องหลักดังกล่าวนั้น ละครก็ยังให้ข้อสรุปที่น่าขบคิดด้วยว่า ยิ่งหากเป็นห้วงลึกที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจของบุรุษเพศด้วยแล้ว บางทีการที่ผู้ชายอย่างโจ้เลือกปฏิบัติรุนแรงต่อทั้งกาย วาจา และจิตวิญญาณของผู้หญิง อาจมิใช่ด้วยต้องการมีอำนาจที่จะครอบงำเหนือเธอเท่านั้น หากแต่ต้องการปกปิด “ใจกลางแห่งความเจ็บปวด” ที่เขาปรารถนาจะยืนหยัดเพื่อเป็น “ที่หนึ่ง” ให้ได้นั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม >