ฉบับที่ 257 พิษรักรอยอดีต : ความพยาบาทเป็นของหวาน…ของผู้หญิงอ้วน

               มนุษย์เราเป็นสัตว์โลกที่มีความมหัศจรรย์บางอย่าง หากใครก็ตามที่มีเรือนร่างสรรพางค์กายผิดแผกไปจากมนุษย์ส่วนใหญ่ เธอหรือเขาผู้นั้นก็จะถูกสายตาของคนในสังคมกดทับกำกับความหมายว่ามี “ความเป็นอื่น” ที่ยากจะผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมคนธรรมดาสามัญ         เฉกเช่นกรณีร่างกายของ “คนอ้วน” ก็เป็นหนึ่งในทุกรกิริยาที่สังคมบรรจงหยิบยื่นผ่านการกำหนดคุณค่าและความหมายเชิงลบ ให้แก่มนุษย์ผู้สั่งสมชั้นไขมันใต้ผิวหนังมากเกินกว่าที่พบเห็นในคนทั่วไป         แม้ไขมันที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังจะเป็นสิทธิที่ปัจเจกบุคคลพึงมีอำนาจอันชอบธรรม ทั้งที่จะเลือกและตัดสินใจนำมาบรรจุไว้ในร่างกายของตนเอง แต่เอาจริงแล้ว ไขมันในร่างคนอ้วนก็มักถูกเทียบค่าเป็น “ความแปลกประหลาด” ภายใต้การรับรู้ของมวลมหาสาธารณชน         ในสายตาของหลายๆ คน คนอ้วนก็อาจถูกนิยามว่า “ตลก” บ้าง “ตุ๊ต๊ะอุ้ยอ้าย” บ้าง หรือในทัศนะของบุคลากรการแพทย์ ร่างกายของคนอ้วนก็ถูกตีความว่าเป็นโรคชนิดหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “โรคอ้วน” รวมไปถึงมุมมองของคนบางกลุ่มอีกเช่นกันที่กำหนดความหมายของคนอ้วนว่า “โง่” บ้าง “ไม่ทันคน” บ้าง นัยเชิงลบเช่นนี้จึงไม่ต่างจากการตอกลิ่มสลักรอยบาดแผลเอาไว้ในก้นบึ้งจิตใจของมนุษย์ผู้มีรูปร่างอ้วนท้วนไปโดยปริยาย         และผู้หญิงอ้วนอย่าง “ผิง” ในละครโทรทัศน์เรื่อง “พิษรักรอยอดีต” ก็เป็นหนึ่งในตัวแทนของมนุษย์ที่ต้องตกอยู่ใต้ม่านหมอกแห่งอคติที่สังคมกำหนดให้ร่างกายของเธอกลายสภาพเป็นอื่นด้วยเช่นกัน         ละครเปิดเรื่องด้วยภาพของ “เมย์” สาวสวยที่ดูลึกลับและทรงเสน่ห์ ได้เดินทางกลับมาจากต่างประเทศพร้อมกับ “อาฉง” ผู้เป็นอากง และ “กล้า” ชายหนุ่มที่ตาขวาพิการ พลันที่เหยียบผืนแผ่นดินเกิดอีกครั้ง เมย์ก็พูดขึ้นว่า “ต่อไปนี้เราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ เราเกิดใหม่จากความตาย เพื่อที่จะได้มาทวงทุกอย่างคืน”         จากนั้นภาพก็ค่อยๆ ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน แท้จริงแล้ว เมย์ก็คือตัวละครผิงในอดีต ผิงเป็นสาวน้อยที่ออกจะเจ้าเนื้อ แต่ทว่าภายใต้ร่างกายที่อ้วนตุ๊ต๊ะนั้น ผิงเป็นหญิงอ้วนที่น้ำใจงาม และที่สำคัญ เธอก็แสนจะใสซื่อโลกสวย ประหนึ่งเจ้าหญิงที่ขี่ม้ากลางทุ่งลาเวนเดอร์ในจินตนิยาย         อาฉงผู้มีศักดิ์เป็นปู่หรืออากงของผิง เป็นเจ้าของร้านขายยาสมุนไพรจีน “กงผิง” ในย่านแพร่งภูธร และเพราะถูกพร่ำสอนจากอากงให้เป็นคนที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ ผิงจึงชอบช่วยเหลือผู้ยากไร้ และใช้ความรู้สมุนไพรรักษาโรคให้กับคนเร่ร่อนและคนยากจน ที่แม้ว่าหลายๆ ครั้งคนเหล่านั้นก็จนยากเสียจนไม่มีเงินที่จะเจียดมาจ่ายเป็นค่ายารักษาได้เลย         จุดพลิกผันของเรื่องที่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในจิตสำนึกของผิง เกิดขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของตัวละครอีกสองคน คนแรกคือหญิงสาวสวยชื่อ “นิสา” ที่มาทำงานเป็นลูกมือในร้านสมุนไพรกงผิง และทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนเป็นพี่สาวที่ผิงมอบความไว้เนื้อเชื่อใจเธอเป็นที่สุด กับอีกคนหนึ่งก็คือ “เฟย” ผู้ชายรูปหล่อหน้าตาดีที่ผิงหลงรัก และตกลงใจแต่งงานร่วมหอลงโรงเป็นภรรยาตามกฎหมายของเขา         แม้สำหรับผิงแล้ว “เพราะรักจึงยอมไว้ใจ” แต่ในทางกลับกัน สำหรับนิสาและเฟยนั้น กลับมองผู้หญิงร่างอ้วนเป็นเพียง “ผู้หญิงโง่ ไม่ทันคน และง่ายต่อการถูกหลอก” เพราะเบื้องหลังแล้ว ทั้งสองคนคือคู่รักตัวจริงที่เข้าหาผิงเพียงเพื่อลวงหลอกเอาสินทรัพย์สมุนไพรราคาแพงของร้านกงผิงมาเป็นสมบัติของพวกตน         เมื่อความโลภเข้าครอบงำจิตใจ และม่านมายาแห่งอคติต่อคนอ้วนเข้าบังตา ทั้งนิสาและเฟยก็ไม่เห็นว่าหญิงอ้วนที่น้ำใจงามอย่างผิงเป็น “มนุษย์” ที่มีชีวิตเลือดเนื้ออีกต่อไป และเพียงเพื่อผลประโยชน์เชิงวัตถุและเม็ดเงินมูลค่ามหาศาล ได้กลายเป็นเหตุปัจจัยของการผนึกกำลังกันระหว่างคนทั้งสองกับตัวละครผู้ร้ายอื่นๆ อีกมากมาย ตั้งแต่ “เฉิน” มารดาของเฟย “ฮั่น” ชายหนุ่มที่อาฉงเองก็รักเหมือนหลานคนสนิท “เฮียตง” เจ้าพ่อมาเฟียประจำถิ่น และ “ผู้กองสันติ” นายตำรวจกังฉินแต่ปากกลับบอกว่าตนรักษาไว้ซึ่งความยุติธรรม         ทฤษฎีสมคบคิดภายใต้โครงข่ายของกลุ่มมิจฉาชีพที่โยงใยกันอย่างแนบแน่นนี้เอง ได้นำไปสู่ฉากการฆาตกรรม “ป้าแวว” ญาติผู้ใหญ่ที่รักยิ่งของผิง ทำให้หนุ่มเร่ร่อนจรจัดอย่างกล้าที่พลัดหลงมาเห็นเหตุการณ์ถูกทำร้ายจนสูญเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง และที่สำคัญ ทั้งหมดยังได้ร่วมมือกันพยายามฆ่าผิงและอาฉงโดยฝังให้ “ตายทั้งเป็น” อยู่กลางป่ารกร้างลับตาคน         แต่จะด้วยเพราะดวงที่ยังไม่ถึงฆาต หรือจะเพราะจิตวิญญาณการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงอคติในสังคมได้เริ่มก่อตัวขึ้นมา ผิงผู้ที่ถูกฝังกลบทั้งเป็นก็กลับฟื้นขึ้นมาจากหลุมดินกลางป่า ประหนึ่งเป็นการบ่งบอกนัยแห่งการ “ถือกำเนิดใหม่” ขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมๆ กับตัวตนและจิตสำนึกเดิมที่ได้ตายจากไป         หลังจากที่ต้องพลัดถิ่นฐานหลบลี้หนีภัยไปอยู่แดนมังกร ผิงคนเดิมซึ่งบัดนี้เปลี่ยนรูปลักษณ์และจิตสำนึกเสียใหม่ ได้เดินทางกลับมาเมืองไทย พร้อมกับความแค้นที่เต็มเปี่ยม กอปรกับการไปร่ำเรียนศาสตร์วิชาการฝังเข็มจากหมอแผนจีนโบราณ และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นที่ผู้หญิงสาวสวยอย่างหมอเมย์ได้ก้าวสู่การแก้แค้นบรรดาผู้สมรู้ร่วมคิดกันฝังเธอทั้งเป็นมาก่อน         หากความรู้เป็นดั่งศาสตราวุธ พ่วงกับความพยาบาทที่เป็นดั่งแรงผลักเสริม ดังนั้น เมื่อครั้งหนึ่งร่างกายของผู้หญิงอ้วนเป็นสนามที่สังคมได้เคยเลือกปฏิบัติต่อเธออย่างไร้ปรานี ผิงจึงใช้ความรู้สมุนไพรและการฝังเข็มเอาคืนต่อร่างกายศัตรูที่เคยฝังร่างของเธอในป่าร้างมาก่อน         เริ่มจากการฝังเข็มให้อดีตแม่สามีอย่างเจินเพื่อปลุกกระตุ้นความอยากอาหารให้กินแบบตายผ่อนส่ง เหมือนกับที่ผิงแอบเปรยขึ้นว่า “กินเยอะๆ นะคะอาม้า จะได้อ้วนแบบผิง” จากนั้นก็ฝังเข็มกระตุ้นต่อมกำหนัดของเฟย จนเขาเผลอไปมีสัมพันธ์กับเมียของเฮียตง และตามมาด้วยการใช้สมุนไพรปลุกแรงขับทางเพศจนนิสาและฮั่นมีสัมพันธ์อันเกินเลย เพื่อทำให้เฟยหึงหวงจนเหมือน “ตายทั้งเป็น” ทางอารมณ์และจิตใจ        แม้การต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงอคติทางสังคมมักจะต้องแลกมากับความสูญเสีย เหมือนกับที่ผิงเองก็ต้องสูญเสียอิสรภาพและติดคุก เพราะวิถีการล้างแค้นที่ทำให้ศัตรูตายไปทีละคนสองคนก็เป็นสิ่งที่ขัดกับตัวบทกฎหมายที่สังคมบัญญัติขึ้น แต่เมื่อฟ้าหลังฝนที่ได้อิสรภาพกลับคืนมา เธอก็ลงเอยมีความสุขกับพระเอกหนุ่มอย่าง “โช” ผู้ที่อาจไม่ร่ำรวย แต่เขาคือคนที่สารภาพกับเธอว่า “สำหรับผม อ้วนไม่อ้วน สวยไม่สวย ไม่เกี่ยวเลย แต่สิ่งที่ผมชอบผิงคือจิตใจที่อ่อนโยนกับทุกคน แม้แต่คนที่ต่ำต้อยกว่าอย่างผม”        จะว่าไปแล้ว ละคร “พิษรักรอยอดีต” อาจจะจบลงโดยง่าย หากผิงถูกฝังกลบตายทั้งเป็นอยู่กลางป่าร้างตั้งแต่ครึ่งแรกของเรื่อง แต่เพราะจิตสำนึกของผู้หญิงอ้วนไม่เคยยอมจำนนต่ออำนาจสังคมที่กลบฝังร่างกายและจิตใจของเธอ ยิ่งผสานกับแรงพยาบาทซึ่งเป็นดั่งขนมหวานที่หากลิ้มรสการต่อสู้แล้วก็ติดใจได้ไม่ยาก เมื่อนั้นผู้หญิงอ้วนก็พร้อมจะกล้าลุกขึ้นมาใช้มันสมองและจิตวิญญาณเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้เช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม >