ฉบับที่ 277 ผงซักฟอกที่ไม่เหมือนเดิม

        ปลายเดือนพฤศจิกายนปี พ.ศ. 2554 น้ำที่ท่วมบ้านผู้เขียนในแขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา นานเกือบ 2 เดือนได้ลดลง ในช่วงนั้นผู้เขียนได้รับการเสนอจากเพื่อนบ้านว่าจะรับทำความสะอาดบ้านให้ด้วยน้ำยาล้างบ้านที่มีเอ็นซัม (enzyme) เป็นองค์ประกอบด้วยราคา 5000 บาท ในสถานการณ์ตอนนั้นผู้เขียนได้ตอบปฏิเสธไปเพราะไม่ค่อยศรัทธาและเสียดายสตางค์ อีกทั้งยังพอมีแรงกายและแรงใจที่จะจัดการบ้านของตนเอง ต่อมาผู้เขียนจำได้ว่า เริ่มได้ยินโฆษณาขายผงซักฟอกแนวใหม่ที่กล่าวว่า ขจัดคราบหนักด้วยพลังเอ็นซัม ป้องกันการย้อนกลับของคราบสกปรก คงความสว่างสดใส ฟื้นฟูใยผ้าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม          ข้อความโฆษณาเพื่อหว่านล้อมให้ผู้บริโภคเปลี่ยนใจไปใช้สินค้าใหม่นั้นมักกล่าวว่า “เป็นผงซักฟอกที่ผสมเอ็นซัมเหมาะสำหรับสลายคราบหนักบนเสื้อผ้า ซักผ้าขาวได้ดั่งใจ ผ้าสีขาวใส หอมลึก หอมนานฝังแน่นด้วยแคปซูลน้ำหอม สามารถใช้สำหรับซักด้วยมือหรือเครื่องซักผ้า (สูตรฟองน้อย) ขจัดคราบสกปรกได้อย่างรวดเร็ว ผ้าขาวเป็นประกายเหมือนใหม่ ไม่ผสมแป้ง แช่ผ้าค้างคืนไม่เหม็นอับ”         ในต่างประเทศมีการแยกประเภทผงซักฟอกตามแต่ละชนิดของเอ็นซัมเพื่อกำจัดคราบเฉพาะ เช่น ชนิดมีโปรตีเอส (protease) ใช้กำจัดคราบโปรตีนออกจากผ้า ชนิดมีอะไมเลส (amylase) ใช้กำจัดคราบแป้งติดแน่นบนเนื้อผ้า และชนิดมีไลเปส (lipase) เพื่อกำจัดคราบไขมันบนเนื้อผ้า โดยมีคำแนะนำให้ทำการแช่ผ้าไว้ก่อนซัก 30 นาที – 1 ชั่วโมง หรือดูให้เหมาะสมตามคราบที่เปื้อนบนเนื้อผ้า หรืออาจทิ้งไว้ค้างคืนถึงหลายๆ วัน ก็ไม่มีปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ เพราะผงซักฟอกแนวใหม่ไม่มีแป้งและสารเพิ่มปริมาณที่เป็นอาหารของแบคทีเรีย         ผู้บริโภคหลายท่านอาจพอมีความเข้าใจอยู่แล้วว่า เอ็นซัมทำหน้าที่ช่วยเร่งปฏิกิริยาเคมีในสิ่งมีชีวิตและบางชนิดก็มีศักยภาพในการทำงานนอกสิ่งมีชีวิตได้ด้วย เช่น ปาเปน (papain) ในยางมะละกอ ดังนั้นการเติมเอ็นซัมลงในผงซักฟอกจึงทำให้ผงซักฟอกมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นในการกำจัดคราบสกปรกขนาดใหญ่ที่เกาะติดกับเส้นใยผ้า โดยคราบนั้นถูกเอ็นซัมที่เหมาะสมย่อยสลายเป็นอนุภาคขนาดเล็กแล้วหลุดออกจากเส้นใยผ้าได้ง่ายขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องใช้ความร้อนช่วยเหมือนในการซักผ้าแบบเดิม ซึ่งมักลดคุณสมบัติของเนื้อผ้า เพราะความร้อนมักทำให้เส้นใยผ้าบางชนิดลดความแข็งแรงหรือบางชนิดเสียรูปทรงไปเลย และความร้อนอาจทำให้สีย้อมบนเนื้อผ้าเปลี่ยนเฉดไปด้วย         ความคิดในการนำเอาเอ็นซัมมาช่วยในการซักผ้าเริ่มตั้งแต่ปี 1959 (พ.ศ. 2502) โดยออตโต โรห์ม (Otto Röhm) ได้เสนอให้มีการเพิ่มเอ็นซัมในผงซักฟอก ซึ่งคือโปรตีเอสที่สกัดจากอวัยวะของสัตว์ที่ได้จากโรงฆ่าสัตว์ อย่างไรก็ดีแม้ว่าผงซักฟอกสูตรของโรห์มได้ประสบความสำเร็จมากกว่าวิธีการทำความสะอาดเสื้อผ้าแบบเดิม แต่เอ็นซัมที่ใช้นั้นไม่เสถียรนักเมื่อต้องถูกผสมกับด่างและสารฟอกขาว ต่อมาจึงมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยการใช้เอ็นซัมโปรตีเอสที่ผลิตโดยจุลินทรีย์สายพันธุ์เฉพาะซึ่งมีความเสถียรกว่า         ชนิดของเอ็นซัมที่ใช้ในการซักผ้านั้นต้องมีความพิเศษเหนือเอ็นซัมทั่วไปคือ สามารถทำงานได้ในสภาวะปรกติของการซักผ้า เช่น อุณหภูมิของน้ำอาจสูงถึง 60 °C และต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นด่างหรือเป็นกรด อยู่ได้ดีในสารละลายที่มีความเข้มข้นขององค์ประกอบอื่นเช่น แร่ธาตุที่แตกตัวเป็นไอออนปริมาณสูง และการมีอยู่ของสารลดแรงตึงผิวหรือสารมีฤทธิ์ออกซิไดซ์ สำหรับเอ็นซัมที่นิยมนำมาเติมลงในผงซักฟอกโดยหลักๆ นั้นมี 3 ประเภท คือ         โปรติเอส (proteases) เป็นเอ็นซัมที่มีการใช้มากที่สุดในผงซักฟอก โดยทำหน้าที่ย่อยโปรตีนให้มีขนาดเล็ก (proteolysis) ด้วยการตัดสายโปรตีนให้มีขนาดที่เล็กลง คราบโปรตีนบนเสื้อผ้าจึงหลุดออกได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น รอยเลือด, เหงื่อไคล และคราบอาหารที่มีส่วนประกอบของโปรตีน         อัลฟา-อะไมเลส (alpha-amylases) เป็นเอ็นซัมที่มีหน้าที่ย่อยแป้งให้มีขนาดเล็กลง จึงถูกใช้เพื่อกำจัดคราบอาหารที่เกิดจากแป้งพาสต้า, มันฝรั่ง, น้ำเกรวี่, ช็อกโกแลต อาหารเด็ก ตลอดจนเครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของแป้ง นอกจากนี้อัลฟา-อะไมเลสยังช่วยกำจัดคราบเจลที่เกิดจากการพองของผงแป้งเมื่อโดนความชื้นทำให้เกิดคราบเหนียวจับกับฝุ่นละอองได้ง่ายจนลดความสดใสของผ้า        ไลเปส (lipase) เป็นเอ็นซัมที่มีหน้าที่ย่อยไขมันหรือน้ำมันที่ไม่ละลายน้ำให้มีขนาดเล็กลงจนผงซักฟอกสามารถเข้าทำปฏิกิริยากับโมเลกุลไขมันหรือโมเลกุลน้ำมันที่เล็กลงจนกลายสภาพเป็นโมเลกุลที่ละลายน้ำได้ การเลือกใช้ผงซักฟอกที่มีเอ็นซัม         การเลือกใช้ผงซักฟอกที่มีเอ็นซัมนั้นมีคำแนะนำโดยทั่วไปว่า ผู้บริโภคควรใส่ใจในการใช้ผงซักฟอกที่มีเอ็นซัมเซลลูเลส (cellulases) เพื่อช่วยกำจัดคราบซอสและซุปที่ทำจากผักและผลไม้ เพราะเอ็นซัมชนิดนี้มีผลกับเสื้อผ้าที่มีเส้นใยทำมาจากฝ้าย ลินิน หรือในกรณีผ้าใยสังเคราะห์ที่มีส่วนผสมของเส้นใยที่เป็นเซลลูโลสจากพืช เนื่องจากเอ็นซัมสามารถตัดพันธะไกลโคไซด์ (glycosidic bond) ของเส้นใยเซลลูโลสซึ่งผลที่ตามมาคือ ผ้าเปื่อยเร็ว         กรณีผ้าเปื่อยเร็วนั้นอาจเกิดได้ในกรณีใช้ผงซักฟอกที่ผสมเอ็นซัมแมนนาเนส (mannanase) เพื่อขจัดคราบอาหารที่มีองค์ประกอบบางส่วนเป็นยางไม้เช่น guar gum ที่มีองค์ประกอบเป็นโพลีเมอร์ของน้ำตาลแมนโนส (mannose) เรียกว่า แมนแนน (mannan) ที่เป็นโพลีแซ็กคาไรด์ชนิดหนึ่งพบได้ในเฮมิเซลลูโลสซึ่งเป็นองค์ประกอบของเส้นใยธรรมชาติจากพืชบางชนิดที่นำมาทอเป็นผ้า ส่วนผ้าไหมซึ่งทราบกันดีว่า มีองค์ประกอบเป็นเส้นใยโปรตีนจากรังไหมนั้น ก็ไม่ควรใช้ผงซักฟอกที่มีเอ็นซัมโปรตีเอสเพราะลักษณะที่ดีของผ้าไหมอาจเสียไประหว่างการซัก ผงซักฟอกเอ็นซัมกับสิ่งแวดล้อม         การกล่าวว่า ผงซักฟอกแนวใหม่ช่วยลดโลกร้อนและรักษาสิ่งแวดล้อมนั้นดูมีความเป็นจริง เพราะนอกจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดคราบของผงซักฟอกแล้ว อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เอ็นซัมเป็นที่นิยมนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด คือ เอ็นซัมเป็นสารชีวภาพที่ได้จากธรรมชาติซึ่งไม่เป็นอันตรายในการซักและทิ้ง ทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสามารถประหยัดพลังงาน เนื่องจากการไม่ต้องใช้น้ำร้อนในการซักผ้าในประเทศที่น้ำประปาในฤดูหนาวมีอุณหภูมิต่ำ         มีข้อควรคำนึงบางประการที่กลุ่มผู้ประกอบการระบุไว้เอกสารเรื่อง Guidance for the Risk Assessment of Enzyme-Containing Consumer Products (คำแนะนำในการประเมินความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคที่มีเอ็นซัม) ของ American Cleaning Institute เผยแพร่เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2009 ที่กล่าวว่า ในช่วงทศวรรษ 1960 ไม่ค่อยมีใครทราบเกี่ยวกับอันตรายของเอ็นซัมและคิดเอาเองว่า “เป็นส่วนผสมจากธรรมชาติจึงควรปลอดภัย” ดังนั้นเอ็นซัมในยุคเริ่มแรกที่ถูกนำมาใช้ในโรงงานผลิตผงซักฟอกจึงอยู่ในรูปแบบผงละเอียดที่ลอยฟุ้งได้มากในอากาศ (เชื่อกันว่าอยู่ที่ > 1 มก./ลบ.ม.) ส่งผลให้การสูดดมฝุ่นของเอ็นซัมเข้าสู่ร่างกายทำให้เกิดการผลิตแอนติบอดีจำเพาะคือ อิมมูโนโกลบูลิน E (immunoglobulin E หรือ IgE) ที่ส่งผลให้เกิดอาการภูมิแพ้ของทางเดินหายใจในหมู่คนงานผลิตผงซักฟอกและแม่บ้านบางคนของคนงานที่ซักเสื้อผ้าที่ปนเปื้อนด้วยฝุ่นเอ็นซัมของสามีที่เป็นคนงาน         ดังนั้นเมื่อทราบถึงปัญหาดังกล่าว ผู้ผลิตสินค้าจึงใช้เทคโนโลยีการห่อหุ้มเอ็นซัมเป็นเม็ด (encapsulation) เพื่อลดการเกิดฝุ่น ทำให้อุบัติการณ์ของอาการภูมิแพ้ในทางเดินหายใจในผู้บริโภคและคนงานหมดไป ดังนั้นผงซักฟอกที่มีเอ็นซัมช่วยในการซักผ้าจึงต้องเป็นชนิดที่ใช้เอ็นซัมที่ได้รับการพัฒนาให้อยู่ในรูปการห่อหุ้มเป็นเม็ด (encapsulated particle) เท่านั้น         ประการสุดท้ายที่น่าจะสำคัญในยุคที่เศรษฐกิจอาจอยู่ในสภาพ “วิกฤต” คือ ผู้บริโภคควรประเมินก่อนตัดสินใจซื้อว่า มีเหตุผลใดในการซื้อผงซักฟอกแนวใหม่ที่แพงกว่าของเก่ามาใช้ เช่น ต้องดูจากลักษณะการใช้เสื้อผ้าในอาชีพที่ต่างกัน โดยคนที่ทำงานในที่ร่มซึ่งเหงื่อออกน้อยและไม่น่าจะเกิดคราบสกปรกหนักบนเสื้อผ้าก็อาจไม่จำเป็นต้องซื้อมาใช้ ยกเว้นถ้าผู้บริโภคเป็นผู้บริหารระดับสูงเงินเดือนมากพอและต้องรักษาภาพพจน์การเป็นคนประณีต นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง         ส่วนในกรณีของผู้บริโภคที่ทำงานในสถานที่ที่เสื้อผ้าต้องสัมผัสคราบสกปรกหนักมากเช่น ช่างเครื่อง คนฆ่าสัตว์ พนักงานทำความสะอาด ผู้ใช้แรงงานกลางแจ้ง ฯลฯ บุคคลในอาชีพเหล่านี้จำเป็นต้องทบทวนว่า ถ้าซื้อผงซักฟอกแนวใหม่นี้มาใช้จะทำให้เงินที่ควรเก็บไว้ใช้เมื่อแก่ลดลงเท่าใด อีกทั้งมักมีการโฆษณาที่ใช้ดารา (ซึ่งอาจซักผ้าด้วยมือไม่เป็น) มากระตุ้นให้ซื้อผงซักฟอกประเภทนี้สำหรับซักเสื้อผ้าให้เด็กเล็ก แม่ผู้ประเสริฐทั้งหลายก็ควรประเมินว่า จะมีคนที่มีค่าพอสักกี่คนในการที่ต้องลงทุนซื้อของแพงมาซักผ้าลูกเพื่อให้เขาได้ชื่นชมว่า ลูกใส่เสื้อผ้าสะอาด  ประการสำคัญคือ ผู้บริโภคเชื่อได้อย่างไรว่า ผงซักฟอกที่ซื้อมานั้นมีเอ็นซัมจริงอย่างที่โฆษณาไว้โดยไม่ต้องซื้อมาลองผิดลองถูก 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 132 แชมป์ซักสะอาด

ฤดูกาลซักฟอกกลับมาอีกครั้ง เมษายนปีที่แล้ว ฉลาดซื้อ ได้เฟ้นหาแชมป์ผงซักฟอกสำหรับการซักด้วยมือ และเราได้สัญญากับสมาชิกไว้ว่าจะนำผลทดสอบผงซักฟอกสำหรับซักด้วยเครื่องมาฝากกัน คราวนี้ทีมงานจากเครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพและคุณสมบัติในด้านต่างๆ ของผงซักฟอกสำหรับซักด้วยเครื่องซักผ้าชนิดเปิดฝาด้านบน จำนวน 20 ยี่ห้อ ใคร? จะผ่านบททดสอบของเราไปด้วยคะแนนฉลุยกว่ากัน ติดตามได้ในหน้าถัดไป     อุปสรรคที่ผู้ท้าชิงทั้ง 20 ยี่ห้อต้องกำจัดออกจากเนื้อผ้าแยม หมึก กาแฟ ซีอิ้วดำ ช็อกโกเลตเหลว ซอสมะเขือเทศ เลือด ลิปสติก คราบผสม ------ เราทดสอบอะไรบ้าง • ประสิทธิภาพการซัก โดยดูจากประสิทธิภาพในการขจัดคราบโดยการซักเครื่องแบบอัตโนมัติ ชนิดฝาบน ซึ่งในการทดสอบพลังขจัดคราบนี้ ใช้การผสมผงซักฟอกในน้ำตามอัตราส่วนที่ระบุข้างบรรจุภัณฑ์ ทดสอบกับผ้าที่ป้ายคราบทั้ง 9• การรักษาความสดใสของสีผ้า โดยการเปรียบเทียบสีของผ้าหลังการซักกับผ้าที่ยังไม่ได้ซักและผ้าที่ซักด้วยน้ำเปล่า สังเกตความหมองของเนื้อผ้า• ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการนำสารละลายผงซักฟอกที่ผสมตามอัตราส่วน มาวัดค่า pH และฟอสเฟต น้ำหนักในการให้คะแนน  60% ประสิทธิภาพในการซัก เนื่องจากจุดประสงค์ของการซักผ้าคือประสิทธิภาพในการซัก ดังนั้นเราจึงเน้นหนักด้านนี้   20% ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในผงซักฟอกมีส่วนผสมของสารประกอบหลายชนิด บางชนิดก็เป็นสาเหตุสำคัญในการทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น ฟอสเฟต   10% การรักษาสภาพเนื้อสีผ้า นอกจากจะทำความสะอาดคราบสกปรกแล้ว ผงซักฟอกยังมีส่วนทำลายสีผ้าอีกด้วย  จึงควรให้ความสำคัญกับการป้องกันคราบสกปรกที่หลุดออกมาย้อนกลับมาทำความหมองให้แก่สีของผ้าได้ดี   10% บรรจุภัณฑ์ ความละเอียด และเข้าใจง่ายในฉลากบรรจุภัณฑ์ก็มีส่วนอำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภคเช่นกัน   ใครแน่กว่ากัน หลังจากการนำผงซักฟอกทั้ง 20 ยี่ห้อ มาทดสอบจำลองการใช้งานจริง ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน เราได้ข้อสรุปดังนี้ ด้านประสิทธิภาพของผงซักฟอกโดยรวมนั้น ผงซักฟอกยี่ห้อ “บรีสเอกเซล คัลเลอร์ชนิดน้ำ” มีประสิทธิภาพสูงสุดอยู่ในเกณฑ์ดีมาก รองลงมาคือ "บรีส เอกเซล" อยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนที่ได้น้อยที่สุดคือ "เทสโก้ คอนเซนเทรต-พลัส พาวเวอร์" ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์พอใช้ หากดูจากผลการทดสอบในด้านอื่นๆ เช่น ในด้านประสิทธิภาพการซัก "เปา ซิลเวอร์นาโน สูตรลดกลิ่นอับ" ได้คะแนนสูงสุด ส่วนในด้านผลกระทบต่อผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม “บรีสเอกเซล คัลเลอร์ชนิดน้ำ” ได้คะแนนสูงสุดไป ส่วนด้านความคุ้มค่าและประสิทธิภาพในการซักที่ได้คำนวณจากการซักต่อครั้ง "บรีส เอกเซล" ให้ความคุ้มค่าต่อประสิทธิภาพโดยรวมมากที่สุด บรีสเอกเซล คัลเลอร์ชนิดน้ำ  70 คะแนน ค่าผงซักฟอกต่อการซัก 1 ครั้ง 4.55 บาทประสิทธิภาพในการซัก   3ความคงสภาพสีเนื้อผ้า   3ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ค่า pH)  5ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ปริมาณฟอสเฟต) 5ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์   3.5     บรีสเอกเซล     65 คะแนน ค่าผงซักฟอกต่อการซัก 1 ครั้ง 2.32 บาทประสิทธิภาพในการซัก   3ความคงสภาพสีเนื้อผ้า   3ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ค่า pH)  2ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ปริมาณฟอสเฟต) 5ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์   4   บรีส เอกเซล คอมฟอร์ท  64 คะแนน ค่าผงซักฟอกต่อการซัก 1 ครั้ง 2.56 บาทประสิทธิภาพในการซัก   3ความคงสภาพสีเนื้อผ้า   3ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ค่า pH)  2ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ปริมาณฟอสเฟต) 5ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์   4     เปา ซิลเวอร์นาโน  63 คะแนนสูตร ลดกลิ่นอับ ค่าผงซักฟอกต่อการซัก 1 ครั้ง 4.03 บาทประสิทธิภาพในการซัก   3ความคงสภาพสีเนื้อผ้า   3ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ค่า pH)  1ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ปริมาณฟอสเฟต) 4ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์   4.5     บรีสเอกเซล คัลเลอร์เพอร์เฟค   61 คะแนน ค่าผงซักฟอกต่อการซัก 1 ครั้ง 2.56 บาทประสิทธิภาพในการซัก   3ความคงสภาพสีเนื้อผ้า   3ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ค่า pH)  2ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ปริมาณฟอสเฟต) 5ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์   4   เปา วินวอช ซอฟท์   60 คะแนน ค่าผงซักฟอกต่อการซัก 1 ครั้ง 3.66 บาทประสิทธิภาพในการซัก   3ความคงสภาพสีเนื้อผ้า   3ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ค่า pH)  1ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ปริมาณฟอสเฟต) 4ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์   4   เปา เอ็ม.วอช ซอฟท์    60 คะแนน ค่าผงซักฟอกต่อการซัก 1 ครั้ง 7.96 บาทประสิทธิภาพในการซัก   3ความคงสภาพสีเนื้อผ้า   4ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ค่า pH)  1ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ปริมาณฟอสเฟต) 3ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์   4   แอทแทค ซอฟท์ พลัส    59 คะแนน ค่าผงซักฟอกต่อการซัก 1 ครั้ง 2.07 บาทประสิทธิภาพในการซัก   2.5ความคงสภาพสีเนื้อผ้า   4ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ค่า pH)  3ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ปริมาณฟอสเฟต) 5ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์   3.5   เทสโก้ คอนเซนเทรต-พลัส  58 คะแนนเพิ่ม แอคทีฟ ออกซิเจน ค่าผงซักฟอกต่อการซัก 1 ครั้ง 2.77 บาทประสิทธิภาพในการซัก   3ความคงสภาพสีเนื้อผ้า   3ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ค่า pH)  1ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ปริมาณฟอสเฟต) 3ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์   4   เทสโก้ พลัส สูตรซักเครื่อง 58 คะแนนผสมสารนาโนซิลเวอร์ ค่าผงซักฟอกต่อการซัก 1 ครั้ง 2.79 บาทประสิทธิภาพในการซัก   3ความคงสภาพสีเนื้อผ้า   3ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ค่า pH)  1ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ปริมาณฟอสเฟต) 3ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์   4   แอทแทค ลิควิด  58 คะแนน ค่าผงซักฟอกต่อการซัก 1 ครั้ง 2.96 บาทประสิทธิภาพในการซัก   2.5ความคงสภาพสีเนื้อผ้า   3ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ค่า pH)  5ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ปริมาณฟอสเฟต) 4ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์   3.5   White house   57 คะแนน ค่าผงซักฟอกต่อการซัก 1 ครั้ง 4.14 บาทประสิทธิภาพในการซัก   3ความคงสภาพสีเนื้อผ้า   3ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ค่า pH)  2ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ปริมาณฟอสเฟต) 3ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์   4   โอโม พลัส สูตร ลอกความหมอง  56 คะแนน ค่าผงซักฟอกต่อการซัก 1 ครั้ง 3.38 บาทประสิทธิภาพในการซัก   2.5ความคงสภาพสีเนื้อผ้า   4ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ค่า pH)  1ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ปริมาณฟอสเฟต) 4ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์   3.5     HOME Fresh MART  55 คะแนน สูตร Active Oxygen ค่าผงซักฟอกต่อการซัก 1 ครั้ง 5.37 บาทประสิทธิภาพในการซัก   2.5ความคงสภาพสีเนื้อผ้า   3ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ค่า pH)  2ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ปริมาณฟอสเฟต) 5ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์   3.5   เปา เอ็ม.วอช    55 คะแนน ค่าผงซักฟอกต่อการซัก 1 ครั้ง 7.79 บาทประสิทธิภาพในการซัก   3ความคงสภาพสีเนื้อผ้า   3ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ค่า pH)  1ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ปริมาณฟอสเฟต) 1ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์   4   โอโม พลัส สูตร แอนตี้แบค   55 คะแนน ค่าผงซักฟอกต่อการซัก 1 ครั้ง 3.72 บาทประสิทธิภาพในการซัก   2.5ความคงสภาพสีเนื้อผ้า   3ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ค่า pH)  1ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ปริมาณฟอสเฟต) 4ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์   3.5   บัว บลู เพาเวอร์บีด   54 คะแนน ค่าผงซักฟอกต่อการซัก 1 ครั้ง 2.70 บาทประสิทธิภาพในการซัก   3ความคงสภาพสีเนื้อผ้า   2ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ค่า pH)  3ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ปริมาณฟอสเฟต) 2ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์   3.5   แอทแทค ไบโอ แอคทีฟ    54 คะแนน ค่าผงซักฟอกต่อการซัก 1 ครั้ง 1.65 บาทประสิทธิภาพในการซัก   2.5ความคงสภาพสีเนื้อผ้า   3ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ค่า pH)  2ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ปริมาณฟอสเฟต) 4ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์   3.5   แฟ้บ อัลตร้า   52 คะแนน ค่าผงซักฟอกต่อการซัก 1 ครั้ง 2.19 บาทประสิทธิภาพในการซัก   2.5ความคงสภาพสีเนื้อผ้า   3ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ค่า pH)  2ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ปริมาณฟอสเฟต) 1ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์   4   เทสโก้ คอนเซนเทรต-พลัส พาวเวอร์  50 คะแนน ค่าผงซักฟอกต่อการซัก 1 ครั้ง 2.34 บาทประสิทธิภาพในการซัก   2.5ความคงสภาพสีเนื้อผ้า   3ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ค่า pH)  1ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ปริมาณฟอสเฟต) 3ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์   4   ข้อสังเกตจากการทดสอบ• ผงซักฟอกแต่ละยี่ห้อ มีหลายสูตร ซึ่งเป็นเรื่องปกติของผู้ผลิตในปัจจุบันที่ต้องการแย่งส่วนแบ่งของตลาดให้ได้มากที่สุด จึงต้องคิดค้นสิ่งแปลกใหม่เพื่อเพิ่มความสดใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์ อยู่ตลอดเวลา บางสูตรก็ไม่ได้มีผลกับคุณสมบัติที่จำเป็นของผงซักฟอกที่ดี • ผู้บริโภคควรคำนึงถึงหลักพื้นฐานความจำเป็นในการใช้งานและความคุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่ายไปในการซักแต่ละครั้ง ทีมงานได้สรุปค่าใช้จ่ายต่อครั้ง ที่ได้มาจากการคำนวณตามวิธีการใช้ของแต่ละยี่ห้อ ฉะนั้นผู้บริโภคควรวัดผลจากการใช้งานจริงจะดีกว่าเชื่อในคำโฆษณาเพียงอย่างเดียว • เกือบทุกบริษัทใช้วิธีการพิมพ์หมึกสีดำหรือแสตมป์ วัน เดือน ปี ที่ผลิต ในตำแหน่งที่แตกต่างกัน และสังเกตเห็นยาก  น่าสนใจว่าทำไมผู้ผลิตไม่ให้ความสำคัญกับวัน เดือน ปีที่ผลิตที่ชัดเจน เนื่องจากมีความสำคัญต่อผู้บริโภคที่จะทราบว่าผงซักฟอกนั้นหมดอายุแล้วหรือไม่ (โดยทั่วไปแล้วจะมีอายุ 5 ปี นับจากวันที่ผลิต)---- Tips ฉลาดซื้อ • ชนิดของผ้าที่นำมาซักเนื้อผ้าบางชนิดไม่แนะนำให้ซักกับผงซักฟอกทั่วไป อาจจะต้องใช้น้ำยาซักเฉพาะอย่าง อย่างเช่นเสื้อผ้าเด็ก (หากใช้ผงซักฟอกทั่วไปก็ควรใช้ในปริมาณที่น้อยลงเพื่อลดความเสี่ยงต่อการระคายเคือง เพราะจากทดสอบเราพบว่าเครื่องซักผ้ารุ่นใหม่ๆ สามารถขจัดคราบบางชนิดได้ดีพอสมควร แม้จะไม่ได้ใส่ผงซักฟอก) ส่วนเนื้อผ้าที่มีความละเอียดอ่อนสูงที่เหมาะกับการซักมือเท่านั้นก็ไม่ควรจะใช้กับผงซักฟอกที่ใช้ได้ทั้งซักมือและซักเครื่องได้ เพราะอาจทำให้เนื้อผ้าเสียหาย จึงควรดูสัญลักษณ์วิธีการซัก และรักษาเนื้อผ้าอย่างเคร่งครัด   • ชนิดของเครื่องซักผ้าควรใช้ผงซักฟอกในปริมาณที่พอเหมาะและเลือกสูตรของผงซักฟอกที่สอดคล้องกับเครื่องซักผ้าด้วย  เครื่องซักผ้ามีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ที่ช่วยประหยัดน้ำ ทำให้ผ้าสะอาดยิ่งขึ้น   • พฤติกรรมการซักผ้าควรเลือกผงซักฟอกในแบบที่มีช้อนตวงตามปริมาณการใช้ที่เหมาะสมจากผู้ผลิต  เพื่อเปลี่ยนนิสัยการตักผงซักฟอกทุกครั้งจากความเคยชิน โดยไม่ได้คำนึงถึงปริมาณผ้าที่ซักและโปรแกรมการซักที่ตั้งไว้ ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยเกินความจำเป็นในแต่ละครั้ง ถ้าเป็นไปได้เราควรซักผ้าในตอนเช้า แต่ถ้าว่างเฉพาะช่วงเย็นก็ควรเลือกผงซักฟอกชนิดที่ลดกลิ่นอับชื้นได้ด้วย ---- มลภาวะในแม่น้ำดานูบ ทะเลบอลติก และทะเลดำ ทำให้สหภาพยุโรปเตรียมประกาศลดการใช้ฟอสเฟตในน้ำยาล้างจานและผงซักฟอกตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013 เป็นต้นไป  เพราะฟอสเฟตเป็นตัวเร่งการเจริญเติบโตของสาหร่าย ซึ่งจะไปแย่งออกซิเจนจากบรรดาปลาน้อยปลาใหญ่ในแหล่งน้ำนั่นเอง  สมาชิกสหภาพยุโรปบางประเทศ เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลีได้ประกาศแบนหรือจำกัดการใช้ฟอสเฟตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว----  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 184 กระแสต่างแดน

ของฟรีราคาแพงพาราไดซ์ เจ้าของเครือร้านอาหารชื่อดังของสิงคโปร์ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดจริงถึง 29 ข้อหา (จากทั้งหมด 33 ข้อหา) เนื่องจากลักลอบใช้ก๊าซหุงต้มเป็นมูลค่า 640,000 เหรียญ หรือประมาณ 16.7 ล้านบาทด้วย “เทคนิคพิเศษ”องค์การตลาดพลังงานแห่งสิงคโปร์ (Energy Market Authority) ผู้กำกับดูแลอุตสาหกรรมนี้ระบุว่าทุกครั้งที่มีคนแอบขโมยใช้ก๊าซ นั่นหมายถึงภาระของผู้บริโภค ยิ่งไปกว่านั้นการไปวุ่นวายกับท่อส่งก๊าซยังอาจทำให้การจัดส่งขัดข้องหรือทำให้ก๊าซรั่วและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ว่าแล้วก็เสนอให้รัฐเรียกค่าปรับระหว่าง 10,000 - 610,000 เหรียญสิงคโปร์ต่อข้อหาจากพาราไดซ์บริษัท City Gas ผู้ประกอบการจัดส่งก๊าซเป็นผู้พบความผิดปกติเดือนมีนาคมปีที่แล้ว เพราะพบว่าร้านเทสต์ พาราไดซ์ สาขาในห้างสรรพสินค้าไอออนมียอดการใช้ก๊าซต่ำผิดปกติ เมื่อตรวจสอบจึงพบว่ามีการลักลอบใช้ก๊าซระหว่างเดือนสิงหาคม 2554 ถึงเดือนเมษายนปี 2555   เครือพาราไดซ์มีกิจการร้านอาหารจีนในย่านการค้าทั้งหมด 24 ร้าน รวมถึงสาขาในสนามบินชางงีด้วย    มาตรฐานของเหลือสถาบันทรัพยากรโลก World Resources Institute ได้จัดทำมาตรฐานในการวัดปริมาณของเสียที่ธุรกิจหรือรัฐบาลในแต่ละประเทศสามารถใช้อ้างอิงร่วมกันได้ องค์การอาหารและเกษตรโลก Food and Agriculture Organization (FAO) ประมาณการว่าก่อนที่อาหารจะเดินทางจากสถานที่ผลิตมาถึงโต๊ะอาหารที่บ้านเรานั้น มีถึง 1 ใน 3 ของอาหารดังกล่าวที่เน่าเสียหรือถูกทิ้งไป(อาจเพราะเก็บเกี่ยวไม่ถูกวิธี หรือถูกร้านค้าปลีกหรือตัวผู้บริโภคเองคัดออก) นั่นหมายถึงความสูญเสียมูลค่า 940,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี มาตรฐานที่ว่านี้เป็นชุดแรกที่ระบุความหมายของ “ของเสีย” หรือ รูปแบบ “การรายงานของเสีย” โดยภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมในการวัดและจัดการกับอาหารที่ถูกทิ้ง เพราะการบริหารจัดการที่ดีจะทำให้มีอาหารเพียงพอสำหรับผู้คนที่อดอยากหิวโหยถึง 800 ล้านคน และยังสามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิตอาหารที่ไม่มีใครได้กินอีกด้วย ปัจจุบันร้อยละ 8 ของก๊าซที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศก็มาจากอุตสาหกรรมนี้     ต้องซักให้สะอาด    ห้างค้าปลีกวูลเวิร์ธ ของออสเตรเลียถูกคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าและคุ้มครองผู้บริโภคแห่งออสเตรเลีย(Australian Competition and Consumer Commission) สั่งปรับ 9 ล้านเหรียญหรือประมาณ 236 ล้านบาท โทษฐานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฮั้วราคาผงซักฟอกรายงานข่าวระบุว่า วูลเวิร์ธได้ร่วมกับ 3 บริษัทได้แก่ คอลเกต-ปาล์มโอลีฟ, พีซี คัสสันส์, และยูนิลิเวอร์ ออสเตรเลีย (3 บริษัทนี้ครองถึงร้อยละ 83 ของตลาดผงซักฟอกที่มีมูลค่าถึง 500 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 13,000 ล้านบาท) ขายผงซักฟอกในราคาแพงเกินจริงผู้ผลิตผงซักฟอกยี่ห้อดังเช่น โอโม่ เซิฟ หรือ เรดียนท์ เลิกผลิตผงซักฟอกแบบ “เข้มข้น” ในปี ค.ศ. 2009 แล้วเปลี่ยนมาผลิตเฉพาะชนิด “เข้มข้นพิเศษ” ซึ่งมีต้นทุนในการผลิต จัดเก็บ และขนส่งถูกกว่าเดิม ...ผู้บริโภคกลับยังต้องจ่ายในราคาเดิมเดือนเมษายนที่ผ่านมา คอลเกต-ปาล์มโอลีฟถูกสั่งปรับ 18 ล้านเหรียญ ในขณะที่พีซี คัสสันส์ และยูนิลิเวอร์ยังอยู่ในระหว่างการต่อสู้คดีในชั้นศาล   ชั่วโมงงานหลังจากได้ยินผลการสำรวจนี้แล้ว คนยุโรป(และชาติอื่นๆ) คงจะตาร้อนผ่าวที่ได้รู้ว่าตามกฎหมายแล้ว คนฝรั่งเศสมีชั่วโมงทำงาน 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ พักกลางวันได้ 2 ชั่วโมง แถมยังลาหยุดได้ 5 สัปดาห์ต่อปีถ้าคุณทำงานราชการ ทำงานสอน เป็นบุคลากรด้านการแพทย์ หรือทำงานเพื่อสังคม คุณจะไม่ต้องทำงานถึง 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ด้วยซ้ำในบรรดาเมืองใหญ่ 71 เมืองทั่วโลก ปารีสและลียงยังเป็นสองเมืองที่ผู้คนมีชั่วโมงทำงานน้อยที่สุด ... แต่ข่าวบอกว่าการปฏิรูปแรงงานอาจทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป เพราะกฎหมายอาจอนุญาตให้ผู้ประกอบการสามารถขยายชั่วโมงทำงานได้ในทางตรงข้าม เขาพบว่าบรรดาผู้ที่ทำงานอิสระมีชั่วโมงการทำงานมากกว่าผู้ที่ทำงานประจำถึงร้อยละ 42 และกลุ่มที่ทำงานพาร์ทไทม์ ก็มีชั่วโมงทำงานมากกว่าคนกลุ่มเดียวกันในประเทศอื่นๆ ในยุโรปประมาณร้อยละ 6   เที่ยวบินเพดานต่ำภายในสามเดือนนี้ กระทรวงการบินพาณิชย์ของอินเดียจะนำการกำหนดเพดานค่าโดยสารมาใช้ในเส้นทางที่ต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยวตามแผนการส่งเสริมการบินในภูมิภาค สำหรับเที่ยวบินไม่เกิน 30 นาที ราคาตั๋วจะต้องไม่เกิน 1,250 รูปี (ประมาณ 650 บาท) เที่ยวบินไม่เกิน 45 นาที ราคาตั๋วต้องไม่เกิน 1,800 รูปี (ประมาณ 940 บาท) และ เที่ยวบิน 1 ชั่วโมง ราคาตั๋วต้องไม่เกิน 2,500 รูปี (ประมาณ 1,300 บาท)เนื่องจากราคานี้ต่ำกว่าต้นทุนที่แท้จริง สายการบินที่เข้าร่วมแผนดังกล่าวจะได้รับเงินชดเชยจากรัฐ ได้รับการลดหย่อนภาษีน้ำมันและภาษีสนามบิน เมื่อมีเที่ยวบินไปยังสนามบินที่ยังไม่เคยให้บริการมาก่อน (ข่าวบอกว่าเงินช่วยเหลือจากรัฐจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 20 ของต้นทุน)รัฐบาลอินเดียต้องการส่งเสริมให้ผู้คนเดินทางไปท่องเที่ยวยังเมืองเล็กๆ ด้วยการโดยสารเครื่องบินกันมากขึ้น แต่หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่าจะทำได้จริงหรือ ... แล้วมันจะทำให้เที่ยวบินหลักๆ ไปเมืองใหญ่ราคาแพงขึ้นหรือไม่ ... เราต้องรอดูกันต่อไป    

อ่านเพิ่มเติม >