ฉบับที่ 249 โควิดก็ยังไม่หมด และข้อมูลมั่วๆก็ยังมา (1)

        โควิด19 ยังไม่หมด ข้อมูลเกี่ยวกับโควิด 19 ที่ไม่ถูกต้องก็ยังคงถาโถมมาเรื่อยๆ ยิ่งคนในยุคนี้ที่มีอะไรๆ ก็ต้องรีบแชร์ไว้ก่อนโดยไม่ตรวจสอบ ยิ่งเป็นการสนับสนุนให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องนี้แพร่กระจายไปได้เร็ว และมันก็จะหมุนเวียนกลับมาอีกในอนาคต ดังนั้นขอรวบรวมข้อมูลมั่วๆ ที่เคยเจอ พร้อมกับคำชี้แจงที่ถูกต้องมาให้ผู้บริโภคได้เข้าใจจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อและหลงเป็นเครื่องมือกระจายข่าวโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์          กินยาแอสไพริน ช่วยรักษาโควิด 19 ให้หายได้         แชร์กันไปเยอะ จนสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ต้องออกมาบอกว่าข้อมูลนี้ไม่จริง การรักษาโรคโควิด 19 ต้องให้การรักษาตามแนวทางของ ศบค. เป็นหลัก ส่วนการรักษาภาวะแทรกซ้อนของโรค อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ผู้ให้การรักษาเท่านั้น ผู้ป่วยโควิด 19 จึงไม่ควรซื้อยาแอสไพรินมารับประทานเอง การนำมารับประทานโดยไม่จำเป็นนอกจากจะไม่ช่วยรักษาอาการป่วยโควิด 19 แล้ว ยังอาจมีผลข้างเคียงจากแอสไพรินได้          ใช้น้ำเกลือ น้ำมะนาว หรือน้ำขิง ล้างคอ ต้านโรคโควิด 19         มีการแชร์คลิปเสียงอ้างว่าเป็นคณบดีคณะแพทย์ศิริราช แนะนำให้ใช้น้ำเกลือ น้ำมะนาว หรือน้ำขิง มาล้างคอ เพื่อต้านทานโควิด 19 ในเรื่องนี้คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลเคยออกมาแจ้งว่า เป็นข้อมูลเท็จ เสียงในคลิปนั้นก็ไม่ใช่เสียงของคณบดีคณะแพทย์ศิริราชแต่อย่างใด และยังชี้แจงเพิ่มเติมว่า การใช้น้ำเกลืออุ่นๆ น้ำมะนาวอุ่นๆ หรือน้ำขิงอุ่นๆ บ้วนปากและล้างคอ ก็ไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้         น้ำยาบ้วนปาก ป้องกันการติดเชื้อโควิด 19         กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่าตามที่มีการแชร์ข้อมูลน้ำยาบ้วนปาก ป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 โดยอ้างว่าเป็นผลการศึกษาวิจัยชิ้นใหม่ของคณะนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ ที่พบว่าน้ำยาบ้วนปากอาจมีประสิทธิภาพป้องกันการติดโควิด 19 ได้ด้วย เพราะสามารถทำลายเชื้อไวรัสโควิด 19 ก่อนที่มันจะสามารถเข้าสู่เซลล์ร่างกายมนุษย์         ข้อมูลดังกล่าวนี้เป็นเท็จ เพราะ น้ำยาบ้วนปากถูกผลิตให้ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้มีกลิ่นปาก แม้น้ำยาบ้วนปากบางชนิดจะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ แต่ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ จะไม่ถึงร้อยละ 20 ในขณะที่การฆ่าโควิดต้องใช้เอทิลแอลกอฮอล์ หรือเอทานอล ที่มีความเข้มข้น 70% ขึ้นไป หรือใช้โซเดียมไฮโปคลอไรท์ (NaOCl) ในการฆ่าเชื้อ ดังนั้นการใช้น้ำยาบ้วนปากฆ่าเชื้อโควิด 19 จึงไม่ได้ผล         รับประทานกล้วย ช่วยต้านโควิด 19         ข่าวนี้คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่าเป็นข้อมูลเท็จ ไม่มีผลในการช่วยต้านโควิดแต่อย่างใด นอกจากนี้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ป่วยโรคไต ก็ไม่ควรรับประทานกล้วยในปริมาณมากเพราะในกล้วยจะมีน้ำตาลและโพแทสเชียมสูง            กลั้นหายใจตรวจการติดเชื้อด้วยตัวเอง         มีการส่งต่อข้อมูลว่าสามารถตรวจสอบความเสี่ยงการติดโควิดด้วยตัวเอง โดยการหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นหายใจไว้ 10 วินาที รอดูว่ามีอาการไอ แน่นหน้าอกหรือไม่ หากไม่มีอาการแสดงว่าไม่ติดเชื้อ กระทรวงสาธารณสุข ออกมาชี้แจงว่าข้อมูลไม่เป็นความจริง ขณะนี้ยังไม่มีผลวิจัยทางการแพทย์ที่ออกมายืนยันว่าวิธีดังกล่าวสามารถใช้ตรวจการติดเชื้อโควิด 19 ได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 126 กระแสในประเทศ

  ประมวลเหตุการณ์เดือนกรกฎาคม 2554 11 กรกฎาคม 2554 ซื้อเนื้อซื้อหมูแล้วมีปัญหาเชิญมาร้องเรียนผ่านออนไลน์ ต่อจากนี้ไปใครที่มีปัญหาจากการบริโภคผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัย สินค้าไม่ได้คุณภาพ หรืออยากได้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ สามารถร้องเรียนและข้อมูลจากผู้รู้ตัวจริงผ่านระบบออนไลน์ของกรมปศุสัตว์ได้ที่ www.facebook.com/GreenstarAlert โดยกระทรวงเกษตรฯ และกรมปศุสัตว์ได้จัดทำ "โครงการดาวเขียว โซเชียลเน็ตเวิร์ค" ระบบแจ้งเตือนภัยสินค้าปศุสัตว์ผ่านเฟซบุ๊ค เพื่อเป็นแหล่งความรู้เกี่ยวกับการบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์และเนื้อสัตว์อย่างถูกวิธี ถูกสุขอนามัย และมีความปลอดภัย เช่น วิธีการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากสัตว์และเนื้อสัตว์อย่างถูกวิธี อาทิ เนื้อสัตว์ นม และไข่ นอกจากนี้ผู้บริโภคที่มีปัญหาหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการบริโภคเนื้อสัตว์ หรือพบเห็นผู้จำหน่ายรวมทั้งแหล่งผลิตผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่ดูน่าสงสัยก็สามารถแจ้งข้อมูลต่างๆ ถึงกรมปศุสัตว์ เพื่อนำข้อมูลไปปรับปรุงแก้ไขในการดูแลและควบคุมมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์ให้มีประสิทธิภาพ -----------    20 กรกฎาคม 2554 ใช้น้ำยาบ้วนปากระวังเจอแบคทีเรียใครที่ใช้น้ำยาบ้วนปากอาจต้องใส่ใจกับผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพิ่มมากขึ้น เมื่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ออกมาให้ข้อมูลว่ามีการตรวจพบการปนเปื้อนของแบคทีเรียเกินกว่ากฎหมายกำหนดในบางรุ่นการผลิตของผลิตภัณฑ์น้ำยาบ้วนปากผสมฟลูออไรด์ ออรัล-บี ทูธแอนด์กัมแคร์ และ ออรัล-บี ทูธแอนด์กัมแคร์ ไม่ผสมแอลกอฮอล์ ขนาด 350 มล. และ 500 มล. โดยปนเปื้อนใน 3 รุ่นการผลิต ได้แก่ รุ่น 1009852525 1010852521 และ 1066852522 แบคทีเรียที่ปนเปื้อนมีชื่อว่า เบิร์คโฮลเดอเรีย แอนทีน่า (Burkholderia anthina) เป็นแบคทีเรียชนิดฉวยโอกาส พบได้ในแหล่งน้ำ พื้นดิน และในธรรมชาติทั่วไป ไม่ใช่ชนิด ก่อโรครุนแรง แต่อาจมีผลต่อผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง หรือผู้ที่กำลังรับการรักษาด้วยเคมีบำบัด ซึ่งทาง อย. ก็ได้กำชับให้บริษัท พี แอนด์ จี เรียกคืนสินค้าออกจากตลาดทั่วประเทศแล้ว     21 กรกฎาคม 2554อย.ปรับสถานะยาแก้หวัดผสมซูโดอีเฟรดรีนเป็นยาควบคุมพิเศษอย. สั่งปรับสถานะของยาแก้หวัดชนิดเม็ด/แคปซูล ที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีน 3 สูตร ได้แก่ สูตรซูโดอีเฟรดรีน และไตรโพรลิดรีน ,สูตรซูโดอีเฟรดรีน และบรอมเฟนิรามีน และสูตรบรอมเฟนิรามีน และคลอเฟนิรามีน จากยาอันตรายให้เป็น“ยาควบคุมพิเศษ" เนื่องจากพบว่ามีการจับกุมการกระทำผิดอย่างต่อเนื่อง และมีการจำหน่ายเกินกำหนด ซึ่งประชาชนทั่วไปห้ามจำหน่ายเกิน 60 เม็ดต่อเดือน และร้านขายยาห้ามจำหน่ายเกิน 5,000 เม็ดต่อเดือน โดยจะให้จำหน่ายได้เฉพาะในสถานพยาบาลของรัฐและสถานพยาบาลเอกชนประเภทรับผู้ป่วยไว้ค้างคืน --------------   มือถือเติมเงินยังแย่โดนใจ ยอดร้องเรียนอันดับ 1สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) เปิดเผยข้อมูลการรับเรื่องร้องเรียนในช่วงครึ่งปี 2554 ที่ผ่านมา ปัญหาที่มีคนร้องเรียนเข้ามามากที่สุดคือเรื่อง วันหมดอายุของบัตรเติมเงิน ที่ผู้ใช้ยังรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบจากการกำหนดอายุบัตรเติมเงิน ต้องคอยเติมเงินทั้งที่ยังมีเงินเหลืออยู่ในระบบ รวมทั้งการถูกยึดเงินทั้งที่ไม่ได้ใช้งาน ซึ่งปัญหาที่ว่านี้มีจำนวนผู้ร้องเรียนเข้ามาคิดเป็นจำนวนถึงร้อยละ 55  อีกเรื่องที่เป็นปัญหาหนักใจของคนใช้มือถือก็คือ การคิดค่าบริการผิดพลาด โดยเฉพาะการคิดค่าบริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศหรือโรมมิ่ง คิดเป็นค่าเสียหายมากกว่า 1 ล้านบาท แม้จะมีเรื่องร้องเรียนไม่ถึง 30 เรื่อง แต่เพราะแต่ละรายที่มาร้องเรียนล้วนถูกเรียกเก็บเงินในจำนวนที่สูงมากตั้งแต่หลักหมื่นบาทไปจนถึงหลักแสนบาท ซึ่งสาเหตุก็มาจากการรู้ไม่เท่าทันการใช้โทรศัพท์ “สมาร์ทโฟน” และการไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจน ผู้ใช้จึงมักเผลอเปิดใช้ระบบเชื่อมต่อโดยไม่รู้ตัว  ช่วงเดือนมกราคม – มิถุนายน 2554 สบท.ได้รับเรื่องร้องเรียนมากกว่า 3,000 เรื่อง ในจำนวนนี้เป็นเรื่องที่มีการดำเนินการแจ้งบริษัทแก้ไข 1,409 เรื่อง โดยร้อยละ 72 หรือจำนวน 1,019 เรื่อง เป็นปัญหาจากการใช้บริการโทรศัพท์มือถือ ที่เหลือเป็นปัญหาจากการใช้บริการอินเตอร์เน็ต จำนวน 311 เรื่อง หรือร้อยละ 22 และปัญหาจากการใช้บริการโทรศัพท์พื้นฐานจำนวน 52 เรื่อง หรือร้อยละ 4-------------------  รังนกแท้...แค่ 1%มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคติงผู้ผลิตรังนกสำเร็จรูป ใช้ข้อความโฆษณาสร้างความเข้าใจผิดให้กับผู้บริโภค แม้จะผลิตจากรังนกแท้ 100% แต่ถ้าว่ากันถึงส่วนประกอบในรังนกสำเร็จรูป 1 ขวด จะมีรังนกผสมอยู่แค่ 1% แถมตัวโฆษณายังสร้างความเชื่อว่ารับประทานรังนกแล้วสุขภาพแข็งแรง ทั้งที่คุณค่าทางอาหารไม่ต่างจากถั่วลิสง แต่เมื่อเทียบเรื่องราคากลับต่างกันค่อนข้างมาก  นายพชร แกล้วกล้า ผู้ประสานงานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกการคุ้มครองความปลอดภัยด้านอาหารโดยผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า จากการสำรวจข้อมูลส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์รังนกสำเร็จรูป พบว่า รังนกสำเร็จรูปยี่ห้อดังอย่าง  สก็อต และ แบรนด์ ระบุแค่น้ำตาลกรวด 10-12% กับ รังนกแห้งที่ 1.1-1.4% ส่วน เอฟแอนด์เอ็น โกลด์ ระบุว่า มี นมโค 19% รังนกแห้ง 0.16% นมผงขาดมันเนย 4.8% และส่วนประกอบอื่นๆ อีกเล็กน้อย ซึ่งเป็นการแสดงข้อมูลส่วนประกอบที่ไม่ครบ 100% มีเพียงยี่ห้อเดียวที่แสดงส่วนประกอบครบ 100% คือ เบซซ์ ที่ระบุว่า มีน้ำ 83.8% น้ำตาลกรวด 15.0% และ รังนกก่อนต้ม 1.2% เป็นส่วนประกอบ   ส่วนปัญหาการใช้คำโฆษณาว่าผลิตจากรังนกแท้ 100% ที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสน ทางคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ได้ให้ข้อมูลในเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องที่จะต้องตีความว่า รังนกแท้ 100% เป็นการโฆษณาเกินจริงหรือหลอกลวงผู้บริโภคหรือไม่ ซึ่งในเบื้องต้นเห็นควรให้ปรับข้อความบนฉลากให้เข้าใจง่าย ป้องกันการสับสน โดยจะมอบให้คณะอนุกรรมการว่าด้วยฉลากดำเนินการแจ้งไปยังบริษัทผู้ผลิตรังนกทุกยี่ห้อให้มีการปรับปรุงข้อความบนฉลาก โดยจะให้ปรับปรุงข้อความว่ารังนกแท้ 100% ซึ่งมีความหมายกำกวม เป็นคำว่า "รังนกแท้" เพียงอย่างเดียว หรือบอกว่ามีปริมาณรังนกแท้ 1% ของน้ำหนักหรือส่วนประกอบทั้งหมด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับคณะอนุกรรมการว่าด้วยฉลากจะพิจารณาความเหมาะสมต่อไป ข้อมูลจากสถาบันโภชนาการ ม.มหิดล ระบุไว้ว่า รังนกปริมาณ 1% ในรังนกสำเร็จรูป 1 ขวด มีคุณค่าทางโภชนาการเท่ากับนมสดครึ่งช้อนโต๊ะ หรือถั่วลิสง 2 เมล็ด ผู้บริโภคจึงควรต้องใช้วิจารณญาณในการเลือกซื้อว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือไม่

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 148 น้ำยาบ้วนปาก ตอน 2

ที่ผ่านมาตลาดน้ำยาบ้วนปากมีมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยมีแบรนด์หรือผู้ผลิตอยู่ไม่กี่ราย แต่มีผลิตภัณฑ์ออกมาหลากหลายชนิดมากจนสร้างความสับสนให้ผู้บริโภค ที่ไม่รู้ว่าจะเลือกใช้อะไรดี ฉลาดซื้อจึงอาสาพาไปสำรวจตลาดน้ำยาบ้วนปากเพื่อไว้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ จากการสำรวจตลาดทั่วไปจากห้างค้าปลีกและร้านสะดวกซื้อ ฉลาดซื้อพบผลิตภัณฑ์น้ำยาบ้วนปากหลากหลายมาก ซึ่งแบ่งประเภทออกมาได้ห้ากลุ่ม ดังนี้ 1) กลุ่มที่ช่วยกลบกลิ่นและสร้างความสดชื่นในช่องปากด้วยน้ำมันหอมระเหย  2) กลุ่มที่ผสมสารฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ร่วมกับฟลูออไรด์  ซึ่งได้นำเสนอไปในฉบับที่แล้ว คราวนี้เรามาต่อกันในกลุ่มที่เหลือ ได้แก่ กลุ่มที่ผสมสารเพื่อลดปัญหาในช่องปากบางประการ เช่น ลดการเสียวฟัน ลดคราบหินปูน(ฟันขาว)  กลุ่มสำหรับเด็ก และ กลุ่มครอบจักรวาล คือรวมกลุ่ม 1 – 3 ไว้ในขวดเดียวกัน   กลุ่มที่ผสมสารเพื่อลดปัญหาในช่องปากบางประการ เช่น เสียวฟัน ลดคราบหินปูน(ฟันขาว) ในการสำรวจพบว่า น้ำยาบ้วนปากในกลุ่มที่ลดอาการเสียวฟัน จะใช้สาร Potassium Nitrate เป็นสารออกฤทธิ์สำคัญ ร่วมกับการใช้สารฆ่าเชื้อ ซึ่งช่วยบรรเทาอาการเสียวฟันได้ แต่ไม่ควรเพิกเฉยต่ออาการเสียวฟันซึ่งส่อให้เห็นว่าสุขภาพฟันกำลังมีปัญหา ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อรักษาที่ต้นเหตุด้วย ส่วนกลุ่มที่ลดคราบหินปูน และช่วยลดคราบต่างๆ ที่มาติดฟันจนดูเหมือนว่าช่วยทำให้ฟันขาวขึ้น นิยมใช้ สาร Zinc Chloride,  Zinc Lactate หรือ Zinc Citrate เป็นสารออกฤทธิ์สำคัญผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ได้แก่ นิยมใช้ สาร Zinc Chloride, Zinc  Lactate หรือ Zinc Citrate เป็นสาร ออกฤทธิ์สำคัญผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ได้แก่   กลุ่มน้ำยาบ้วนปากสำหรับเด็ก กลุ่มนี้ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันฟันผุสำหรับเด็ก สารออกฤทธิ์ตัวสำคัญจึงเป็น สารฟลูออไรด์ ซึ่งจะไม่มีสารฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ และไม่มีแอลกอฮอล์ผสม และเนื่องจากผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดปัจจุบันแทบไม่มีที่ผสมแต่เพียงฟลูออไรด์อย่างเดียวโดยไม่ผสมสารฆ่าเชื้อร่วมด้วย ดังนั้นหากไม่ต้องการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ต้องการแต่ฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุอย่างเดียว ก็สามารถเลือกใช้น้ำยาบ้วนปากในกลุ่มสำหรับเด็กได้ ห้ามใช้ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปี และสำหรับเด็กที่ฟันผุมาก ผู้ปกครองอาจเสริมด้วยน้ำยาบ้วนปากสำหรับเด็กหลังการแปรงฟันได้ แต่ถ้าเด็กได้รับการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างดีแล้ว น้ำยาบ้วนปากก็ไม่จำเป็น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ได้แก่ กลุ่มครอบจักรวาล(Total care) กลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า โทเทิล แคร์ คือดูแลหมดทุกสิ่งอย่าง ทั้งฆ่าเชื้อ ทำให้ปากสดชื่น ป้องกันฟันผุ ลดคราบหินปูน และลดเสียวฟัน ซึ่งไม่จำเป็นเท่าไหร่ ควรเลือกใช้ให้ตรงตามความต้องการดีกว่า ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ได้แก่ --------------------------------------------------------------------------------------------------   ที่มาของน้ำยาบ้วนปาก จากหนังสือพิมพ์ Periodontology 2000 กล่าวไว้ว่าน้ำยาบ้วนปากตัวแรกเกิดขึ้นที่ประเทศจีนประมาณ 2,700 ปีก่อนคริสตกาล ในยุคนั้นการรักษาปัญหากลิ่นปากเรื้อรังที่เกิดจากโรคเหงือกอักเสบ แพทย์ได้แนะนำให้กลั้วปากด้วยปัสสาวะเด็ก ที่กรีก ฮิปโปเครติส บิดาแห่งการแพทย์ แนะนำให้กลั้วปากด้วยส่วนผสมของเกลือ สารส้มและน้ำส้มสายชู ในคู่มือทันตกรรมที่มีชื่อเสียง ซึ่งตีพิมพ์ในประเทศเยอรมนีในปี ค.ศ. 1530 ได้เขียนถึงสิ่งที่ทำงานใกล้เคียงกับน้ำยาบ้วนปากในปัจจุบัน โดยระบุว่า “หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ให้กลั้วปากด้วยไวน์หรือเบียร์เพื่อชะล้างสิ่งที่ติดฟันและทำให้ฟันผุ ผลิตกลิ่นเหม็นและทำลายฟัน” ย้อนไปปี ค.ศ. 1895 เมื่อ Joseph and Jordan Lambert นำของเหลวที่ช่วยกำจัดเชื้อโรคที่นำมาจากการผ่าตัดและไปผลิตเป็นน้ำยาบ้วนปาก การผสมผสานของ thymol, menthol, eucalyptol และ methyl salicylate จึงเกิดขึ้น นักธุรกิจคู่นี้ใช้ชื่อน้ำยาบ้วนปากว่า Listerine  และขายให้แก่ทันตแพทย์ในปีนั้นเอง “Listerine ถูกผลิตขึ้นในศตวรรษที่ 19 เพื่อฆ่าเชื้อโรค มันถูกกลั่นออกมาในรูปแบบของน้ำยาทำความสะอาดพื้นและรักษาโรคหนองใน” ที่มา  http://therabreaththailand.com/article10.php   --------------------------------------------------------------------------------------------------  แอลกอฮอล์ในน้ำยาบ้วนปาก เคยมีผู้สงสัยว่าน้ำยาบ้วนปากที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม อาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งในช่องปากหรือไม่ เพราะโรคมะเร็งในช่องปากปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การสูบบุหรี่ รองลงมาคือ การดื่มแอลกอฮอล์มากๆ  ณ ปัจจุบันผลการวิจัยที่ออกมายังไม่สามารถฟันธงได้ เพราะผลการวิจัยก็มีทั้งที่ระบุว่าอาจเป็นปัจจัยเสี่ยง และระบุว่าไม่เป็นปัจจัยเสี่ยง ในประเทศไทยจึงยังไม่มีการสรุปในเรื่องนี้ แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องประชุมกันได้มีข้อแนะนำว่าสำหรับคนที่สูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งช่องปากอยู่แล้ว ไม่ควรใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีแอลกอฮอล์ผสม  --------------------------------------------------------------------------------------------------   ประสิทธิภาพในการลดกลิ่นปาก จากการศึกษาที่ผ่านมา พบว่า ประสิทธิภาพของน้ำยาบ้วนปากจะช่วยลดกลิ่นปากได้ชั่วคราว โดยจะควบคุมกลิ่นปากได้ประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น ไม่ใช่ใช้ตอนเช้าควบคุมได้ไปจนถึงเย็น เพราะฉะนั้นอาจใช้น้ำยาบ้วนปากได้เป็นครั้งคราวกรณีที่ต้องการความมั่นใจ แต่ถ้าจะใช้เพื่อระงับกลิ่นปาก ป้องกันไม่ให้มีกลิ่นปาก ควรที่จะป้องกันด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การทำความสะอาดลิ้น เพราะฝ้าขาวบนลิ้นเป็นสาเหตุสำคัญของกลิ่นปาก ขณะเดียวกันควรใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดซอกฟันทุกวัน ถ้ามีกลิ่นปากก็ต้องหาสาเหตุว่ามาจากตรงไหน เช่น ฟันผุ เป็นโรคเหงือก โรคระบบทางเดินอาหาร ทอนซิลอักเสบ หรือ ไซนัส ก็ควรแก้ที่ต้นเหตุจะดีกว่า เพราะน้ำยาบ้วนปากแค่ระงับกลิ่นปากชั่วคราวแต่ไม่ได้แก้ที่สาเหตุของการเกิดกลิ่นปาก   น้ำยาบ้วนปากกับเด็ก เด็กไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้น้ำยาบ้วนปาก โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ ไม่ควรใช้น้ำยาบ้วนปากเลยทุกประเภท ไม่ว่าจะมีแอลกอฮอล์หรือไม่มีแอลกอฮอล์ เพราะการควบคุมการกลืนยังไม่ดี ขณะที่บ้วนปากเด็กอาจกลืนกินน้ำยาบ้วนปากลงไปด้วย น้ำยาบ้วนปากที่มีแอลกอฮอล์ผสมจึงมีคำเตือนห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ความจริงน้ำยาบ้วนปากของเด็กมักจะใช้ชนิดที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ โดยผู้ปกครองจะซื้อให้เด็กใช้ในกรณีที่ลูกฟันผุมาก ๆ แต่อยากจะบอกว่าอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้หากให้เด็กแปรงฟันให้สะอาด ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์   ข้อมูลจาก ทันตแพทย์หญิงนนทินี ตั้งเจริญดี ทันตแพทย์ชำนาญการพิเศษ กลุ่มพัฒนาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านทันตสุขภาพ สำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ที่มา http://202.183.204.137/km/?p=558

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 116 กระแสต่างแดน

  อภินิหารกังหันลมครองพิภพ สองสามปีที่ผ่านมามีฟาร์มกังหันลมผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดในชนบทของอิตาลี ซึ่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเพราะการมีพลังงานทดแทนไว้ใช้ย่อมเป็นเรื่องดี แต่เรื่องมันมาปูดตอนที่มีข่าวว่านักธุรกิจที่ชื่อ วีโต้ นิคาสตริ ซึ่งขณะนี้เป็นที่รู้จักกันในฉายา “ลอร์ดออฟเดอะวินด์” (Lord of the Wind) ถูกศาลสั่งยึดทรัพย์สินมูลค่าถึงหนึ่งพันห้าร้อยล้านยูโร (ไม่ต่ำกว่า 60,000 ล้านบาท) ในบรรดาทรัพย์สินที่ถูกยึดไปจากบุคคลผู้นี้ นอกจากอสังหาริมทรัพย์กว่า 100 แห่งทางตะวันตกของเกาะซิซิลีแล้ว ยังมีธุรกิจพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์กว่า 43 บริษัทด้วย   คนส่วนใหญ่ก็เพิ่งจะรู้ว่าที่แท้จอมบงการเบื้องหลังกังหันลมเหล่านั้นคือนายวีโต้ ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มมาเฟีย “โคซา โนสตรา” ที่แทรกซึมเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทนจากลมมาได้สองสามปีแล้ว เรื่องนี้เป็นกระแสฮือฮาไม่น้อย เพราะมันหมายถึงธุรกิจพลังงาน ซึ่งเป็นธุรกิจที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลได้กลายเป็นแหล่งให้เงินที่ได้มาอย่างผิดกฎหมาย อาศัยเป็นช่องทางฟอกตัวไปแล้ว เรียกว่ามาเฟียเขาได้ไปสองเด้ง ขูดรีดชาวบ้านโดยตรงไปรอบหนึ่งแล้วยังขูดทางอ้อมผ่านรัฐบาลได้อีก   ข่าวบอกว่าอย่าให้รัฐบาลเลือกแก้ปัญหานี้ด้วยการหันไปใช้พลังงานนิวเคลียร์แทนก็แล้วกัน ทุกวันนี้อิตาลีผลิตพลังงานลมได้มากเป็นอันดับสามของยุโรป รองจากเยอรมนีและสเปน ปลายปีพ.ศ. 2552 อิตาลีมีฟาร์มกังหันลมทั้งหมด 294 ฟาร์ม และที่ผ่านมาธุรกิจนี้ในอิตาลีเติบโตถึงร้อยละ 20 ต่อปี-------------------------------------------------------------------------------------   ขาปั่นขอร้อง นาทีนี้จะพูดเรื่องทางสำหรับจักรยานมันก็คงเชยไปแล้วสำหรับประเทศในยุโรป คนที่เดนมาร์กเขาขยับไปถกกันเรื่องของทางจักรยานแบบไม่มีสัญญาณไฟกันแล้วเรื่องของเรื่องคือ ชาวเมืองโคเปนเฮเกนที่เขานิยมปั่นจักรยานไปทำงานหรือไปทำธุระ เขารู้สึกหงุดหงิดเหมือนกันนะที่ต้องติดไฟแดง คับข้องใจได้ไม่นานรัฐบาลเขาก็จัดให้ ด้วยการประกาศแผนการสร้างมอเตอร์เวย์สำหรับจักรยาน เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้คนหันมาใช้จักรยานให้มากขึ้น สมาคมนักปั่นเขารับรองว่าแผนนี้จะทำให้มีจำนวนคนใช้จักรยานเพิ่มขึ้นสองเท่า (ปัจจุบันชาวเมืองโคเปนเฮเกนเกือบร้อยละ 30 ไปทำงานด้วยพาหนะสองล้อที่ต้องอาศัยพลังงานส่วนตัวนี่แหละ) นอกจากทางสำหรับจักรยานโดยเฉพาะแล้ว เขายังจะจัดสถานีบริการให้เป็นระยะ เพื่อให้นักปั่นได้ใช้บริการสูบลม รับน้ำดื่ม หรือสอบถามข้อมูลเรื่องเส้นทางด้วย … อิจฉาจัง ...-------------------------------------------------------------------------------------     น้ำพุโซดา คนปารีสเขาติดน้ำขวดอัดคาร์บอน (หรือโซดานั่นแหละ) กันงอมแงม ถึงขั้นที่เทศบาลเมืองปารีสต้องหาวิธีมาช่วยให้คนเหล่านี้หย่าขาดจากมันให้ได้คุณอาจสงสัยว่าดื่มโซดาแล้วมันมีปัญหาอะไรหรือ เรื่องของเรื่องเทศบาลเขากังวลเรื่องปัญหาขยะพลาสติก ซึ่งฝรั่งเศสมีศักยภาพในการผลิตได้ถึง 262,000 ตันในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เพราะฝรั่งเศสเป็นประเทศที่บริโภคน้ำบรรจุขวดมากที่สุดเป็นอันดับ 8 ของโลก และสาเหตุที่คนที่นี่เขาชอบดื่มน้ำขวดก็เพราะว่ามันเป็นน้ำอัดแก๊สที่ดื่มแล้วซ่าได้ใจนั่นเอง เทศบาลที่นั่นเขาทำการสำรวจแล้วพบว่า คนจะดื่มน้ำจากก๊อกมากขึ้นถ้ามันซ่าด้วย ไม่เชื่อดูได้จากยอดขายถล่มทลายของเครื่องอัดแก๊สแบบใช้ตามบ้านก็ได้ว่าแล้วก็ควักกระเป๋าไป 75,000 ยูโร (หรือประมาณ 3 ล้านบาท) เพื่อติดตั้งน้ำพุโซดาในสวนสาธารณะให้ชาวบ้านพากันมาดื่มฟรีกันทุกวันไม่เว้นวันหยุดตั้งแต่ 8 โมงเช้า – 3 ทุ่มครึ่ง นี่เป็นขั้นทดลอง ถ้าเสียงตอบรับดีก็จะมีการติดตั้งเพิ่มขึ้นในสวนสาธารณะอื่นๆ ด้วย-------------------------------------------------------------------------------------   เมื่อ “สี” อาจก่อความไม่สงบนักโภชนาการและองค์กรด้านเด็กออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลออสเตรเลียประกาศห้ามใช้สีสังเคราะห์ในอาหาร ที่เป็นสาเหตุให้เกิดอาการไฮเปอร์แอ็คทีฟในเด็ก ในขณะที่ซูเปอร์มาร์เก็ตเจ้าใหญ่อย่าง Aldi เก็บผลิตภัณฑ์ที่มีสีเหล่านี้เป็นส่วนผสมออกไปจากชั้นหมดแล้ว งานสำรวจของกลุ่ม Karitane พบว่าหนึ่งในสามของแม่ชาวออสเตรเลียสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของลูก ว่ามีอาการอยู่ไม่สุก ลุกลี้ลุกลน บางทีก็ก้าวร้าว หลังจากกินอาหารที่มีสีผสมอาหารเข้าไป สมาคมนักโภชนาการแห่งออสเตรเลียบอกว่าร้อยละ 21 ของเด็กออสซี่วัย 9 ขวบ รับประทานเค้กหรือบิสกิตทุกวัน และแม่ๆ เหล่านี้ส่วนใหญ่สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมเด็กหลังกินอาหารที่มีสารกันบูดและสีได้ชัดเจน สีที่เป็นปัญหากลุ่มนี้มีอีกฉายาว่า “หกอันตรายเซาท์แทมตัน” (ได้แก่ sunset yellow (E110) quinoline yellow (E104) carmoisine (E122) allura red (E129) ponceau 4R (E124) and tartrazine (E102)) ที่ได้ชื่อนี้มาก็เพราะงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซาท์แทมตัน ในปีค.ศ. 2007 พบว่าสารทั้งหกตัวมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมไฮเปอร์แอคทีฟในเด็ก จึงทำให้ร้านค้าในอังกฤษพากันสมัครใจถอนสินค้าออกไป หลังจากที่องค์กรมาตรฐานอาหารอังกฤษได้ออกเป็นคำแนะนำไป สหภาพยุโรปก็ออกข้อกำหนดให้อาหารที่ใส่สีจะต้องมีคำเตือนทำนองว่า: “ตาตราซีน (หรือสารตัวใดตัวหนึ่งในกลุ่มดังกล่าว) อาจมีผลในทางลบต่อความตื่นตัวและความสนใจของเด็ก” แต่สถาบันมาตรฐานอาหารของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์กลับบอกว่ายังไม่มีหลักฐานแน่นหนาพอที่จะสั่งแบนสีสังเคราะห์เหล่านั้น และให้ผู้บริโภคดูแลตัวเอง (อ้าว) ด้วยการดูที่ฉลากซึ่งกฎหมายระบุให้แจ้งสีผสมอาหารไว้แล้ว-------------------------------------------------------------------------------------   รอการพิสูจน์ รับจดหมายเตือนกันไป สำหรับบริษัทผู้ผลิตน้ำยาบ้วนปากที่โฆษณาว่าผลิตภัณฑ์ของตนสามารถกำจัดคราบพลัคหรือรักษาโรคเหงือกได้ องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ทำจดหมายไปถึงผู้ผลิตน้ำยาบ้วนปากยี่ห้อลิสเตอรีน ซีวีเอส และวอลกรีน ให้รีบจัดการแก้ไขโฆษณาเหล่านั้นภายใน 15 วัน จริงอยู่น้ำยาบ้วนปากเหล่านี้มีส่วนผสมของโซเดียมฟลูออไรด์ ซึ่งทางอย.ก็ยอมรับว่าสามารถป้องกันฟันผุได้ แต่ทั้งนี้ทางผู้ผลิตยังไม่ได้พิสูจน์ว่ามันสามารถกำจัดคราบพลัค หรือป้องกันโรคเหงือกได้อย่างที่โฆษณาไว้ ตามกฎหมายแล้วผู้ผลิตไม่สามารถกล่าวอ้างว่าผลิตภัณฑ์ของตนรักษาโรคได้ จนกว่าข้อกล่าวอ้างเหล่านั้นจะผ่านการพิสูจน์โดย อย.เสียก่อน ถ้ามันทำได้จริงก็จะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นยา และอนุญาตให้สามารถวางขายในร้านขายยาทั่วไปได้ แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บหรือผลในทางลบต่อสุขภาพจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้แต่ อย. ก็ขอแจ้งให้พี่น้องทราบว่าอย่าเพิ่งคาดหวังว่าน้ำยาบ้วนปากจะสามารถป้องกันหรือรักษาโรคเหงือกได้ และถ้าคุณเคยอ่านหนังสือเรื่อง “100 สิ่งที่ไม่ต้องทำ (ก็ได้) ก่อนตาย” คุณก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วคุณไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาบ้วนปากเลยด้วยซ้ำไป

อ่านเพิ่มเติม >