ฉบับที่ 252 บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยร้อนลวกขา

        เรื่องราวจากข่าวที่เกิดขึ้นในกระแสโซเชียลที่ผ่านมา สำหรับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยร้อนที่มีหญิงวัย 47 ปี  เข้าใจผิดคิดว่าถุงทำความร้อนเป็นซองเครื่องปรุงและได้รับประทานเข้าไป จนเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง และอาเจียนนั้น ทำให้คุณน้ำตาลนึกถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นกับเธอเกี่ยวกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยร้อนเจ้าปัญหานี้ทันที         คุณน้ำตาลได้มาเล่าเรื่องราวให้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคฟังว่าเมื่อปีที่ผ่านมานี้ ก่อนหน้านี้เธอฝึกงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งทุกเย็นหลังเลิกงานจะแวะเข้าร้านมินิมาร์ทเล็กๆ ข้างบริษัททุกวันก่อนกลับบ้าน วันเกิดเหตุเธอก็เข้าไปเลือกซื้อของในมินิมาร์ทแบบทุกวันเดินดูของไปเรื่อยๆ และไปสะดุดกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยร้อนทันที เธออยากจะลองซื้อมากินบ้าง เพราะเห็นว่าในอินเทอร์เน็ตมีรีวิวที่น่าสนใจและเป็นกระแสอยู่ จึงได้ตัดสินใจลองซื้อมา 1 ถ้วย         เมื่อถึงบ้านเธอรีบนำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยร้อนออกมาทันที อ่านฉลากและวิธีการรับประทานว่าต้องทำอย่างไร และทำตามขั้นตอนที่มีระบุอยู่บนถ้วยร้อนทุกขั้นตอนไม่ผิดพลาด แต่พอน้ำในถ้วยเริ่มร้อนอยู่ๆ ถ้วยร้อนก็ตกมาจากโต๊ะทำให้น้ำที่อยู่ในถ้วยลวกขาเธอเกือบทั้งขา เธอบอกว่าตอนนั้นเธอตกใจและกรีดร้องดังมากเพราะน้ำจากถ้วยบะหมี่มันร้อนมาก พอเธอได้สติเธอก็พบว่าโต๊ะที่เธอวางถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้นเป็นโต๊ะกระจก คาดว่าความร้อนในถ้วยร้อนนั้น ร้อนจนทำให้แผ่นกระจกของโต๊ะแตกลงมาจนถ้วยร้อนหกลวกขา          ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ฉลากไม่มีคำเตือนลักษณะนี้ ซึ่งเธอคิดว่าทางผู้ประกอบการควรจะมีป้ายฉลากเพื่อเตือนผู้บริโภคไว้สักหน่อย เพราะหากมีใครที่ไม่รู้เหมือนกรณีของเธออาจจะต้องเจ็บตัวแบบเธอก็เป็นได้ แนวทางการแก้ไขปัญหา         เบื้องต้นคุณน้ำตาลไม่ได้อยากเรียกร้องอะไร เพียงแต่ว่าอยากจะมาเล่าประสบการณ์ให้ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคฟังเพื่อเตือนผู้บริโภคด้วยกันให้ระวังไว้ เนื่องจากเรื่องราวของคุณน้ำตาลเป็นเรื่องที่ผ่านมา 1 ปีแล้ว จึงไม่ได้ติดใจอะไร แต่หากผู้บริโภคบางรายเจอปัญหาดังกล่าวแบบเธอก็สามารถร้องเรียนกับทางผู้ประกอบการได้ทันที นอกจากนี้ คุณน้ำตาลอยากให้ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคย้ำเตือนให้กับผู้ประกอบการว่าควรจะมีรายละเอียดที่ครบถ้วนในฉลากและชัดเจน เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 191 โซเดียมในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วย

หลังจากที่ผ่านมาเราเคยทดสอบปริมาณโซเดียมในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกันไปแล้ว และพบว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเกือบทั้งหมดในท้องตลาดมีปริมาณโซเดียมสูง โดยการรับประทานหนึ่งห่อจะทำให้ร่างกายได้รับโซเดียมสูงถึง 50-100% ของความต้องการในแต่ละวัน ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคไต ได้เรากลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เราตามไปดูกันที่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วย ที่เพียงแค่เปิดฝาเติมน้ำร้อนก็พร้อมรับประทานทันที ซึ่งได้รับนิยมมาก โดยเฉพาะตามร้านสะดวกซื้อ ไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อในสถานที่ชุมชนทั่วไป ในย่านการศึกษา และร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน จะมีบริการบะหมี่ถ้วยให้เลือกจำนวนมากพร้อมมีน้ำร้อนให้บริการเสร็จสรรพ เราจึงเห็นภาพคนยืนซดเส้นซดน้ำกันอย่างเป็นเรื่องปกติ   ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงขอพาผู้อ่านไปชมผลทดสอบ ปริมาณโซเดียมและโปรตีนในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จากตัวอย่าง 15 ยี่ห้อยอดนิยม โดยตรวจสอบจากข้อมูลโภชนาการที่ระบุไว้บนฉลาก ซึ่งยี่ห้อไหนจะมีปริมาณโปรตีน/โซเดียมสูงหรือต่ำที่สุด ลองไปดูกันเลย------------------------------------------สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ทำความตกลงกับผู้ผลิต ให้มีการจัดทำฉลากโภชนาการ เพื่อแสดงปริมาณโซเดียมให้ผู้บริโภคได้ใช้วิจารณญาณในการเลือกซื้อ และบริโภคในปริมาณที่ไม่เกินค่ามาตรฐานที่ควรได้รับต่อวัน คือ สูงสุดไม่เกิน 2,400 มก./วัน (ผู้ชายควรบริโภค 475-1,475 มก. และผู้หญิงควรอยู่ที่ 400-1,200 มก./วัน) ข้อมูลการตลาดของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมูลค่าตลาดปี 2558 : 15,800 ล้านบาทส่วนแบ่งการตลาด: มาม่า 51% ยำยำ 20% ไวไว 20% อื่นๆ 9%สัดส่วนการตลาด: ซอง 71% ถ้วย 29%อ้างอิงข้อมูล: http://marketeer.co.th/archives/51518สรุปผลการเปรียบเทียบปริมาณโซเดียมจากตัวอย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั้ง 15 ยี่ห้อที่นำมาทดสอบ พบว่า1. มีเพียง 7 ยี่ห้อที่มีฉลากโภชนาการ ได้แก่ ยี่ห้อ 1. เอฟเอฟ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รสต้มยำ 2. เซเว่นซีเล็ค บะหมี่ชามกึ่งสำเร็จรูป รสต้มยำกุ้ง 3. จายา บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รสต้มยำ 4. เกษตร วุ้นเส้นกึ่งสำเร็จรูป รสยำวุ้นเส้นทะเล 5. ซื่อสัตย์ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รสต้มยำกุ้งน้ำข้น 6. ลิตเติ้ลกุ๊ก บะหมี่ต้มยำทะเล และ 7. มีพลัส บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รสต้มยำทูน่า 2. จากข้อมูลโภชนาการ พบว่า - ยี่ห้อที่มีปริมาณโซเดียมเยอะที่สุดคือ เอฟเอฟ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รสต้มยำ มีปริมาณโซเดียม 2,160 มก./น้ำหนัก 65 ก. และยี่ห้อที่มีปริมาณโซเดียมน้อยที่สุดคือ มีพลัส บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รสต้มยำทูน่า มีปริมาณโซเดียม 1,000 มก./น้ำหนัก 26 ก. - ยี่ห้อที่มีปริมาณโปรตีนเยอะที่สุดคือ ซื่อสัตย์ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รสต้มยำกุ้งน้ำข้น มีปริมาณโปรตีน 7 ก./น้ำหนัก 65 ก. และยี่ห้อที่มีปริมาณโปรตีนน้อยที่สุดคือ มีพลัส บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รสต้มยำทูน่า มีปริมาณโปรตีน 3 ก./น้ำหนัก 26 ก.3. มี 8 ยี่ห้อที่ไม่มีฉลากโภชนาการ ได้แก่ 1. พรานทะเลนู้ดเดิ้ลโบวล์ รสต้มยำรวมมิตรทะเล 2. นิสชิน ชิลลี่นู้ดเดิ้ล รสต้มยำกุ้งน้ำข้น 3. ไวไว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รสต้มยำกุ้ง 4. ยำยำ บะหมี่ถ้วยกึ่งสำเร็จรูป รสต้มยำกุ้ง 5. เซเว่น ซีเล็ค-นิสชิน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รสต้มยำทะเลน้ำข้นคิงคัพ 6. นิสชินคัพนูดเดิ้ล บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รสต้มยำกุ้งแซ่บ 7. ควิก บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต้มยำกุ้ง 8. มาม่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รสต้มยำกุ้ง โดยจากการตรวจสอบส่วนประกอบสำคัญ พบว่า  ยี่ห้อที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์ เช่น ปลา กุ้ง หอย มากที่สุดคือ พรานทะเลนู้ดเดิ้ลโบวล์ รสต้มยำรวมมิตรทะเล มีส่วนประกอบของรวมมิตรทะเล 25%/น้ำหนัก 80 ก. และยี่ห้อที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์น้อยที่สุดคือ นิสชิน ชิลลี่นู้ดเดิ้ล รสต้มยำกุ้งน้ำข้น มีส่วนประกอบของกุ้งอบแห้ง 0.47%/ น้ำหนัก 60 ก.ข้อสังเกตการแสดงข้อมูลโภชนาการ พบหลายยี่ห้อไม่มีฉลากโภชนาการแม้ อย.ได้ดำเนินการพิจารณาให้อาหารกึ่งสำเร็จรูปทุกชนิดต้องแสดงฉลากโภชนาการ หรือในเบื้องต้นให้แสดงปริมาณโซเดียม เพื่อให้ข้อมูลด้านโภชนาการแก่ผู้บริโภค ด้วยการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 374) พ.ศ.2559 เรื่อง อาหารที่ต้องแสดงฉลากโภชนาการ และค่าพลังงาน น้ำตาล ไขมันและโซเดียมแบบจีดีเอ (Guideline Daily Amounts; GDA) บนฉลากอาหาร เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคและสนับสนุนมาตรการป้องกันปัญหาด้านโภชนาการ โดยอาหารกึ่งสำเร็จรูปอย่าง ก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บ บะหมี่ เส้นหมี่ และวุ้นเส้น ไม่ว่าจะมีการปรุงแต่งหรือไม่ก็ตาม พร้อมซองเครื่องปรุง และข้าวต้มปรุงแต่ง และโจ๊กที่ปรุงแต่ง จำเป็นต้องมีฉลากดังกล่าว ซึ่งหากผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าที่ไม่ปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับนี้ จัดว่าเป็นการฝ่าฝืนประกาศโดยมีโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท แต่เรายังพบว่าจากตัวอย่างที่นำมาทดสอบ มี 8 ยี่ห้อที่ไม่มีการแสดงข้อมูลโภชนาการตามประกาศฉบับนี้ข้อมูลอ้างอิง :1.http://food.fda.moph.go.th/law/data/announ_moph/P374.PDF2. http://food.fda.moph.go.th/law/data/announ_fda/No.374_Food_nutrition_labels.pdf

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 133 กระแสต่างแดน

  เที่ยวบินขาขึ้น สายการบินที่ดำเนินงานโดยรัฐบาลแล้วยังอยู่ดีมีแฮงนั้นยังพอมีอยู่ในโลก สายการบินโบลิเวียนา ของรัฐบาลประเทศโบลิเวีย เป็นหนึ่งในนั้น ถ้ายังจำกันได้สายการบินอาลิตาเลีย (Alitalia) ของอิตาลี ถูกขายให้กับเอกชนไปในปี 2551 ตามด้วยสายการบินโอลิมปิก (Olympic) ในปีต่อมา หรือแม้แต่สายการบินแห่งชาติของอาร์เจนตินา ก็ต้องได้รับการต่อลมหายใจด้วยเงินภาษีกว่า 23,000 ล้านบาท เมื่อปีที่แล้ว โบลิเวียนา นั้นนอกจากจะไม่ขาดทุนแล้วยังกลายเป็นผู้ครองส่วนแบ่งตลาดกว่าร้อยละ 50 ของเที่ยวบินในประเทศ เบียดสายการบินเอกชน ไอโรซูร์ (Aerosur) ที่เคยผูกขาดบริการนี้ตกเวทีไปเลย โบลีเวียนาแทรกเข้ามาขอส่วนแบ่งตลาดที่มีลูกค้าประมาณ 1.5 ล้านคนได้เพราะเมื่อ 5 ปีก่อน สายการบิน Lloyd Aereo Boliviano (ซึ่งเป็นของรัฐบาลเช่นกัน) ปิดตัวไปเพราะล้มละลายและไม่มีเอกชนสนใจเข้ามาซื้อกิจการไปทำต่อ ด้วยเงินตั้งต้น 800 ล้านบาท โบลิเวียนาเปิดตัวด้วยโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 และยึดนโยบายขายตั๋วถูกมาโดยตลอด นอกจากนี้ยังประกาศยกเลิกที่นั่งเฟิร์สทคลาสเพื่อขายตั๋วในราคาเดียวกันหมดทุกที่นั่ง เพื่อให้ตรงกับคอนเซ็ปท์ “ทุกคนต้องเท่าเทียมกัน” ที่ประธานาธิบดี อีโว โมราเลสเคยประกาศไว้ ตัวอย่างเช่น ตั๋วไปกลับระหว่างเมืองลาปาซกับเมืองซานตาครูส ของสายการบินไอโรซูร์อยู่ที่ 7,500 บาท ในขณะที่โบลิเวียนาขายเพียง 5,800 บาทเท่านั้น  แต่เดี๋ยวก่อน เด็กและผู้สูงอายุยังมีสิทธิได้รับส่วนลดเพิ่มอีก ใจป้ำขนาดนี้เลยขาดทุนไป 185 ล้านบาทในปีแรก แต่ปีต่อมาทำกำไรได้ 123 ล้านบาท (หลังหักภาษีเข้ารัฐไปแล้วกว่า 1,000 ล้าน) โบลิเวียนากำลังเพิ่มเส้นทางการบินและซื้อเครื่องบินเพิ่มอีก 6 ลำ เอาไว้รองรับผู้โดยสารที่เพิ่มจำนวนขึ้นทุกขณะ(สถิติระบุว่าในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา จำนวนชาวโบลิเวียที่เดินทางด้วยเครื่องบินเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 35) ก็ใครจะไม่อยากบินล่ะ ... ทั้งถูก ทั้งทั่วถึงขนาดนี้ ...   “วัดแห่งนี้สีเขียว” นี่ไม่ใช่ป้ายสติ๊กเกอร์ติดหน้าวัด แต่เป็นคำอธิบายกิจกรรมรักษ์โลกที่เกิดขึ้น ณ วัดฮินดูแห่งหนึ่ง ในเมืองทีรุมาลา รัฐอันตระประเทศของอินเดีย วัดทีรุปาตีแห่งนี้ ติดอันดับท็อปเท็นของวัดที่รวยที่สุดในแดนภารตะ ด้วยรายได้ 10,000 ล้านบาทต่อปี ที่มาจากการบริจาคโดยญาติโยมชาวฮินดู ที่มาสักการะองค์เทพเวงกเฏศวร(อวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์) ประมาณวันละ 50,000 ถึง 100,000 คนนั่นเอง ที่นี่จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการรณรงค์เรื่องการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน ในประเทศที่มีความต้องการพลังงานสูงมากอย่างอินเดีย ที่ร้อยละ 45 ของรายได้จากการส่งออกสินค้า ต้องถูกนำไปใช้จ่ายเพื่อการนำเข้าพลังงาน โรงครัวหลังมหึมาที่วัดนี้เปิดบริการอาหารฟรี 24 ชั่วโมง โดยใช้พลังงานที่ส่งลงมาจากแผงโซล่าเซลล์บนหลังคาตึก ในแต่ละวัน “พลังเบื้องบน” นี้สามารถผลิตไอน้ำอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ได้ถึง 4,000 กิโลกรัม จึงช่วยทำให้การหุงข้าวและต้มถั่วประมาณ 50 ตันต่อวัน เป็นไปอย่างรวดเร็วและประหยัด เขาประเมินคร่าวๆ ว่าสามารถประหยัดการใช้น้ำมันดีเซลไปถึง 500 ลิตรต่อวัน เมื่อวัดลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากครัวของตัวเองได้ 1,350 กิโลกรัม จึงนำโควตาดังกล่าวไปขายให้กับรัฐบาลประเทศเยอรมนี มีรายได้เข้าวัดอีกมิใช่น้อย ส่วนพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในวัดนั้น ส่วนหนึ่งมาจากกังหันลมที่บริษัทซูสลอน ของอินเดีย และเอ็นเนอคอน ของเดนมาร์ก ได้ร่วมกันบริจาคตั้งต้นไว้ ทางวัดบอกว่าการใช้วิธีสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนนี้ น่าจะได้ผลดีกว่าการโฆษณาหรือการรณรงค์ของรัฐบาลด้วยซ้ำไป ญาติโยมท่านใดสนใจจะทำทานในรูปแบบของพลังงานหมุนเวียน ก็ซื้อกังหันลมไปบริจาคให้กับทางวัดได้ เขาจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะขณะนี้ฟาร์มกังหันลมข้างๆ วัด (ลืมบอกไปว่าวัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนภูเขา) ยังว่างอยู่อีกเยอะ ทำบุญกันมากๆ ก็ช่วยให้โลกเย็นได้นะพี่น้อง   ถ้ารู้ (กู) พกไปนานแล้ว คอกาแฟไต้หวันคงฉุนไปตามๆ กัน ถ้ามารู้ทีหลังว่า ความจริงแล้วตนเองควรจะต้องได้ส่วนลดถ้านำถ้วยพลาสติกที่เคยได้จากทางร้าน กลับมาซื้อเครื่องดื่มที่ร้านนั้นอีกครั้ง เรื่องนี้มีผลสำรวจยืนยัน องค์กรผู้บริโภคของไต้หวันพบว่า ร้อยละ 14 ของบรรดาร้านแฟรนไชส์เครื่องดื่มเหล่านี้ ไม่ได้ติดประกาศแจ้งให้ลูกค้าทราบถึงสิทธิประโยชน์ที่พวกเขาจะได้ ทั้งๆ ที่อ้างว่าตนเองมีนโยบายส่งเสริมการนำถ้วยกาแฟกลับมาใช้ซ้ำ ข่าวบอกว่าในไต้หวัน มีแก้วพลาสติกถูกทิ้ง (ทั้งๆ ที่ยังใช้ได้) ถึงปีละ 1,500 ล้านแก้ว รัฐบาลจึงออกเป็นกฎหมายว่าตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปี 2554 เป็นต้นไป ร้านฟาสต์ฟู้ด ร้านสะดวกซื้อ และร้านขายเครื่องดื่มทั้งหลายจะต้องให้ส่วนลดกับลูกค้าที่นำแก้วของทางร้านกลับมาซื้อเครื่องดื่มอีก หรือไม่เช่นนั้นก็จ่ายเงิน 1 หรือ 2 เหรียญไต้หวันให้กับลูกค้าที่นำแก้วกลับมาคืนให้ทางร้าน และที่สำคัญ จะต้องติดประกาศแจ้งให้ลูกค้าทราบด้วย กฎหมายกำหนดบทลงโทษไว้ว่าร้านไหนไม่ทำตาม จะมีโทษปรับ 60,000 – 300,000 ดอลล่าร์ไต้หวันแต่ข่าวไม่ได้บอกว่าบรรดาร้านเหล่านั้นโดนปรับกันไปคนละเท่าไร ซื้อสร้างสุข สมาชิกฉลาดซื้อหลายคนคงจะเลือกซื้อช็อกโกแลต โดยอ้างอิงคะแนนความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัทผู้ผลิตช็อกโกแลตที่เราเคยลงไว้ในเล่มกุมภาพันธ์เมื่อปีที่แล้ว หลายคนยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อซื้อช็อกโกแลตที่ได้รับการรับรองว่าเป็นผลิตภัณฑ์ออกานิก หรือแฟร์เทรด ซึ่งเราขอบอกว่าคุณทำถูกแล้ว ผลผลิตโกโก้ในตลาดโลก 3 ล้านตันต่อปีนั้น มาจากแรงงานของเกษตรกร 6 ล้านคน ที่มีรายได้เฉลี่ยวันละไม่ถึง 100 บาท ในขณะที่ราคาโกโก้นั้นไม่ต่ำกว่า 700 บาทต่อกิโลกรัม ในไร่โกโก้นั้น มีแรงงานเด็กอยู่ประมาณ 200,000 คน ในกลุ่มนี้มีจำนวนไม่น้อย ที่ไม่มีรายได้ใดๆ เพราะถูกซื้อขาดมาจากครอบครัวแล้ว จากการสำรวจพบว่า มากกว่าร้อยละ 50 ของเด็กๆ ที่ทำงานในไร่โกโก้ในไอโวรี่ โคสต์ (ผู้ผลิตโกโก้อันดับหนึ่งของโลก) ถูกใช้งานให้แบกน้ำหนักเกินตัว ส่วนที่ประเทศกาน่า (อันดับสอง) นั้นเกือบร้อยละ 50 ของเด็กๆ ในฟาร์มโกโก้ต้องทำงานที่เสี่ยงอันตราย ที่สำคัญ 1 ใน 4 ของเด็กเหล่านี้ทำงานโดยไม่ได้สวมอุปกรณ์ใดๆ เพื่อป้องกันอันตรายจากสารเคมีเลยด้วย การเลือกสนับสนุนช็อกโกแลต ออกานิก หรือแฟร์เทรด นั้นจะช่วยให้ผู้ผลิตหันมาให้ความใส่ใจดูแล เลือกซื้อเฉพาะเมล็ดโกโก้จากไร่ที่ไม่เอาเปรียบแรงงาน ไม่ใช่สารเคมี และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นด้วย

อ่านเพิ่มเติม >