ฉบับที่ 122 เมนูฤดูอาหารแพง

  ว่ากันว่า ราคาอาหารแพงมักจะมาเป็นช่วงๆ (ไม่เกี่ยวกับหลินฮุ่ย)   เทศกาล ตรุษ – สารท หมู เนื้อ ไก่ เป็ด และผลไม้ไหว้เจ้า น้ำท่วม ฝนแล้ง ผักผลไม้แพงก็ว่ากันไป  ปีที่ผ่านมามะพร้าวที่โดนแมลงโจมตีมีผลกระทบต่อราคามะพร้าวและกะทิทั้งแบบสดและแบบกล่อง จนแม่ค้าข้าวแกงและขนมหวานหลายร้านต้องขอปรับราคาแกงกะทิและขนมหวานใหม่  หลังข่าวมะพร้าวมาเจอน้ำมันปาล์ม   ราคาน้ำมันปาล์มขวดค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นถึง 70 บาทเมื่อช่วงกลางเดือนแห่งความรักปีนี้ จากราคาขวดละ 38 บาทเมื่อราวปลายตุลาคม 53  ช่างดูเหมือนว่าระยะเวลาเพียง 3 – 4 เดือนนี้ เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากๆ สำหรับบรรดาแม่บ้านและแม่ค้าที่จำเป็นต้องขวนขวายหาน้ำมันปาล์มมาเพื่อประกอบอาหาร   แม้ไม่ถึงกับขนาดที่จะอาจเรียกได้ว่าเลือดตาแทบกระเด็น แต่ความจำเป็นที่สะท้อนให้เห็นยามที่เหล่าเธอทั้งผองต้องขึ้นเข้าคิวรอซื้อน้ำมันในห้างค้าปลีกทันสมัยที่เพิ่งมาเปิดใหม่ในหมู่บ้านได้ราวปีกว่า แล้วพบว่า การรอคอยที่ยาวนานนั้นไม่ได้น้ำมันราคาขวดละ 47 บาทกลับไป  และต้องจำเป็นไปเลือกใช้อีกบริการหนึ่งจากแม่ค้ารถเร่สินค้าจิปาถะเจ้าใหญ่ในตลาดนัด ซึ่งแน่นอนว่า พลาดช้าอาจหมดแม้ราคาขายต่อขวดที่กำหนดไว้จะ 70 บาทก็ตาม  เหล่าแม่ครัวและแม่ค้าก็จำต้องซื้อ จะเรียกได้ว่าซื้อไป บ่น (ด่า) ไป   ส่วนคนที่กลายเป็นเป้าให้ ถูก บ่น(ด่า) ก็คงพอจะเดากันได้ไม่ยาก   เอาล่ะ  ฉันขอเสนอเมนูเลี่ยงน้ำมัน ปลาตะเพียนส้ม ที่อยากกินคงจะต้องใช้วิธีทอดใบตองแทนทอดน้ำมันซะแล้ว    แต่ขออธิบายเสียก่อนนิดหนึ่ง เพราะใช่ว่าจะเอาใบตองมารองของทอดแทนน้ำมันได้ซะทุกอย่างไป  อย่างใบตองรองปลาส้มนี่พอได้ เพราะเป็นอาหารที่เมื่อทอดในน้ำมันก็ต้องใช้ไฟอ่อนๆ อยู่แล้วเพราะถ้าไฟแรงจะกระเด็น คนทอดต้องใจเย็นมากๆ ทีเดียว ก็ขนาดใจเย็นให้รัฐบาลชุดนี้บริหารประเทศจนราคาน้ำมันแพงได้ จะใจเย็นรอปลาส้มทอดอีกสักหน่อยจะเป็นไร   วิธีการ – ใช้กระทะเหล็ก กระทะอะลูมิเนียม หรือกระทะเคลือบก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง  หาใบตองมาวางเรียงในกระทะ แล้ววางตัวปลาส้มลง เปิดไฟอ่อนๆ รอจนเหลืองแล้วค่อยกลับทอดอีกข้างให้สุก  ไม่กรอบอร่อยเหมือนทอดน้ำมันก็ทนๆ กันไป   อยากจะปรับตัวปรับใจปรับรสนิยมปากให้หันไปสนใจอาหารต้มๆ นึ่งๆ บ้างอย่างที่ท่านอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เสนอ เลยริจะทำพะโล้ เมนูต้มตุ๋นที่คุ้นและชื่นชอบกันมานานก็คงต้องไปตลาด จะซื้อน้ำตาลทรายซะด้วย   แม่เพิ่งได้มะตูมสุกมาลูกหนึ่ง กะว่าจะต้มกรองเอาน้ำดื่มบำรุงธาตุให้ชื่นใจ ดับกระหายคลายโกรธ  แม่เองก็ชอบกินเนื้อมะตูมสุกที่ต้มแล้ว  แต่ต้มมะตูมนี่ต้องใส่รสหวานให้ปะแล่มนิดหนึ่งจึงจะชื่น เพื่อหน้าตูมๆ จะยิ้มแย้มเบิกบานขึ้นมาบ้าง   ความน้ำมัน(สวา)ปาล์มยังไม่ทันหายความน้ำตาลทรายจะขึ้นราคาก็มาแทรกแซงกันอีก ชาวบ้านร้านตลาดพากันบ่นว่าขณะที่ฉันเดินวนหาซื้อข้าวของในตลาด   เครื่องต้มพะโล้ เครื่องปรุง ขาหมู 0.5   กก. ,  ไข่เป็ดต้ม   5  ฟอง  ,  น้ำตาลปี๊บ 1 ขีด , กระเทียม 1 – 2 หัว ,  รากผักชี 2 – 3 ราก ,  ข่าว 2 – 3 แว่น ,  ผงพะโล้ – อบเชย – โป้ยกั๊ก – ดอกจันทร์ 1 ซอง , ซีอิ๊วขาว , เต้าทู้ขาว 1 ชิ้นหั่น 6 ชิ้น  (ไม่ต้องทอด)   วิธีทำ 1.ใส่น้ำลงกระทะครึ่งถ้วย  ละลายน้ำตาลปี๊บแล้วตั้งไฟบุบกระเทียม ตำรากผักชี และหั่นข่า ใส่ลงไป   เคี่ยวน้ำตาลให้เหนียว ระหว่างนี้ปรุงรสด้วยน้ำซีอิ้วขาวให้มีรสเข้มข้นตามที่ชอบ 2.เมื่อน้ำตาลที่เคี่ยวเหนียวดีแล้ว นำขาหมูที่หั่นเป็นชิ้น  เต้าหู้ทอด และไข่ต้มมาผัดในกระทะ ตอนนี้ต้องหรี่ไฟ ค่อยๆ ผัดจนแห้ง แต่ไม่ไหม้ จึงเติมน้ำใส่ลงไปเพื่อเคี่ยวพอท่วมแล้วเคี่ยวไฟอ่อนๆ ต่อสักอีก 1 ชั่วโมง เคล็ดลับการทำหมูพะโล้ ไข่พะโล้นี่อยู่ที่ความสามารถในการตุ๋นไฟอ่อนนี่เอง  โปรดอดใจรอ  นานหน่อย แต่อร่อยแน่ๆ ค่ะ คุณๆ ขา   หม่ำข้าว ปลาส้มทอด กับพะโล้มื้อนี้แถมมีน้ำมะตูมตบท้าย อิ่มอร่อยสบายท้องไปเรียบร้อยแล้ว มองเนื้อมะตูมเนื้อเหลืองชวนกินแล้วต้องเบนหน้าหนีแบบอดใจอิ่มใจ  ข่าวประโคมเรื่องข้าวยากหมากแพงใดๆ ที่เจอะเจอช่วงนี้ ขอให้มันแค่เป็นตื่นตูมไปชั่วครั้งชั่วครู่ เทอญ   ขอให้เป็นแค่ชั่วฤดูนี้ ก็คงจะดี... เจ้าประคู้ณ  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 167 ตรุษจีน : กินดี อยู่ดี ชีวีมีสุข

น่าจับตาดูเทศกาลตรุษจีนในเดือนกุมภาพันธ์ที่ใกล้จะมาถึงนี้  ลูกหลานจากแดนมังกรไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลก โดยเฉพาะชาวไทยเชื้อสายจีน ต้องมีการเซ่นไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษ เอาฤกษ์เอาชัยเสริมสิริมงคลกัน ยกใหญ่ตั้งแต่ต้นปีและที่พลาดไม่ได้บรรยากาศแผงตลาดพืชผักผลไม้และเนื้อสัตว์ ในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้น่าจะคึกคักไม่แพ้ในปีที่ผ่านมา ! ด้วยเหตุที่พิธีกรรมเซ่นไหว้ทั้งเทพเจ้าและบรรพบุรุษ จะพิถีพิถันประกอบไปด้วยของคาวและหวานนานาชนิด อย่างน้อยๆ 10 อย่าง ซึ่งมีการไหว้ 3-4 ชุด พร้อมด้วยน้ำชา สุรา และกระดาษเงิน กระดาษทองต่างๆ แถมยังมีผลไม้มงคลอีกทั้ง กล้วย แอปเปิล สาลี่ ส้ม องุ่น และสับปะรด ซึ่งล้วนแต่ให้ความเป็นมงคลกับชีวิต และนำโชคลาภ ความสงบร่มเย็นและความเจริญรุ่งเรืองมาให้กับลูกๆ  หลานๆ (เชื่อกันว่ากล้วย หมายถึง กวักโชคกวักลาภเข้ามา  ส้ม หมายถึง ความสวัสดีมหามงคล สาลี่ หมายถึง โชคลาภมาถึง องุ่น คือความเพิ่มพูน และสับปะรด หมายถึง มีโชคลาภมาหา) ลองมาดูกันว่า อาหารคาวไหว้ตรุษจีน มีอะไรบ้าง... ที่ขาดไม่ได้คือ ไก่ต้ม เป็ดต้ม แบบเต็มตัว มีหัว ปีก ลำตัวและขาครบทุกส่วน ซึ่งจะให้ความอุดมสมบูรณ์  และเท่าที่สำรวจราคาในสองปีที่ผ่านมาทั้งจากกระทรวงพาณิชย์และตามหน้าหนังสือพิมพ์ ได้เผยตัวเลขสินค้าไก่และเป็ดในช่วงเทศกาลราคาจะอยู่ที่ราวๆ 300 – 400 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนเนื้อปลาขึ้นอยู่กับขนาดว่าคนซื้อชอบตัวใหญ่หรือตัวเล็ก แต่ราคาเฉลี่ยตัวละประมาณ 200 -300 บาทต่อกิโลกรัม และอาหารทะเลทั้งปลาหมึก กุ้ง ราคาจะสูงแน่นอนซึ่งปีที่ผ่านมาพุ่งไปถึง 650 -700 บาทต่อกิโลกรัม จึงควรเตรียมทรัพย์ไว้ให้พร้อม ไม่เพียงแค่มีอาหารคาวอย่างเดียว...วัฒนธรรมของคนจีนยังไหว้ด้วยขนมและผลไม้อีกด้วย โดยขนมหวานที่เห็นผู้หลักผู้ใหญ่ไหว้กันบ่อยๆ ก็เน้นขนมเทียนและขนมเข่ง ที่ให้ความหมายหวานชื่น ราบรื่น และอุดมสมบูรณ์ ซึ่งมีราคาย่อมเยาเหมือนปีที่ผ่านมา เฉลี่ยอยู่ที่ชิ้นละ 10 บาท บางบ้านก็จะมี ขนมไข่ ขนมถ้วยฟู และขนมสาลี่ ที่ให้ความหมายในเชิงความเจริญรุ่งเรือง เฟื่องฟู ร่ำรวย ราคาก็แล้วแต่จำนวนชิ้นในแต่ละแพ็คเกจที่บรรจุขนมไว้ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วจะมี 4 – 6 ชิ้นต่อแพ็ค ราคาราวๆ 30 – 40 บาท ส่วนผลไม้เซ่นไหว้ราคาในช่วงเทศกาลแต่ละปีจะสูงขึ้นใกล้เคียงกันทุกปี เช่น  ส้ม 80 บาทต่อกิโลกรัม แอปเปิล สาลี่ ทับทิม กองละ 100 บาท เป็นต้น หากจะประเมินภาพรวมของเศรษฐกิจในช่วงเทศกาลตรุษจีนแล้ว ก็ต้องยิ้มรับกับความ เฮง เฮง เฮง อย่างที่คนไทยเชื้อสายจีนชอบพูดเสมอ เพราะในช่วงเทศกาลนี้ในหลายๆ ปีที่ผ่านมาได้สร้างเม็ดเงินสะพัดให้กับประเทศไทยอยู่ที่ราว ๆ 4 – 5 พันล้านบาท ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกของปีได้เป็นอย่างดี แต่ช่วยเหลือเศรษฐกิจแล้ว ก็อย่างลืมดูแลสุขภาพกันด้วย เพราะอาหารที่ใช้ไหว้บรรพบุรุษส่วนใหญ่เป็นของมัน แบบผัดๆ ทอด ๆ เนื้อสัตว์เป็นตัวๆ และขนมหวานเป็นชิ้นใหญ่ กินก็ระวังโรคอ้วนถามหาด้วย เพราะมีทั้ง ไขมันสูงและน้ำตาลสูง เรื่องนี้ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์(องค์การมหาชน) ออกโรงมาเตือนเองว่า ให้ลดแป้งและน้ำตาล รับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ และอย่าลืมจิบชาเพื่อล้างไขมัน ลดการกินเป็ดไก่ รับประทานเห็ดแทนเนื้อสัตว์ และเพิ่มเมนูปลาแทนน่าจะดีกว่า เพราะถึงแม้ว่าเทศกาลตรุษจีนจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ควรใส่ใจสุขภาพ รักษาและดูแลร่างกายให้ห่างไกลจากโรคภัยอยู่เสมอ “สุขภาพดีไม่มีขาย ใครอยากได้คงต้องดูแลกันเอง” นอกจากนี้ในเทศกาลตรุษจีน จะไม่ได้เป็นเพียงวันเทศกาลวันหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นวันแห่งการเริ่มต้นสิ่งใหม่ให้ชีวิต ด้วยความ มั่ง มี ศรี สุข อย่างแท้จริง หากชาวไทยเชื้อสายจีนได้มีโอกาสทำบุญกับบรรพบุรุษ เหมือนกับหลักขงจื้อที่ว่า “ร้อยความดี..ความกตัญญูมาเป็นที่หนึ่ง” แล้วจะดียิ่งขึ้นกว่านี้เมื่อทุกคนในครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา นึกถึงแต่สิ่งดีๆ ทำแต่สิ่งดีๆ ที่เป็นมงคล แล้วความเป็นสิริมงคลก็จะเข้ามาในชีวิตตลอดทั้งปี

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 120 ของไหว้ตรุษจีน

ทุกปีพอเลยปีใหม่แบบฝรั่งวันที่ 1 มกราคม หลายคนก็เริ่มคิดถึงวันปีใหม่แบบจีนที่อยู่ไม่ห่างไกลกันนัก เมื่อใกล้ตรุษจีนราคาข้าวของจะแพงขึ้นไปอีกนิดหน่อย เพราะความต้องการสูงเนื่องจากประชากรโลกสายพันธุ์มังกรนั้น มากมายเสียเหลือเกิน   ของไหว้เจ้ากับเทศกาลตรุษจีน เป็นสิ่งคู่กันมาตลอด ขาดไม่ได้สำหรับผู้สืบเชื้อสายจีน ที่จริง ตรุษ แปลว่า สิ้นปี เทศกาลตรุษจีนในที่นี้จึงหมายถึง เทศกาลที่มีขึ้นเพื่อฉลองการสิ้นสุดของปีเก่าและการเริ่มต้นของปีใหม่ ถือกันว่าเป็นการเฉลิมฉลองที่สามารถรอดพ้นจากเรื่องไม่ดีของปีเก่ามาพบปีใหม่ที่สุขสันต์ โอกาสดีแบบนี้เทพเจ้าทั้งหลายย่อมเสด็จลงมาเยี่ยมเยียนโลกมนุษย์ เมื่อมาแล้วหากไม่ไหว้บูชาสักการะ จะกลายเป็นว่าไม่นับถือกัน   การไหว้ตรุษจีนมีประวัติยาวนานกว่า 3,000 ปี เทพเจ้าที่ไหว้ก็มีกันหลายองค์ อย่างเทพเจ้าเตา ที่ถือว่าเป็นผู้มีคุณช่วยให้เรามีอาหารทำกินไม่อดอยาก และยังมีอีกหลายองค์ตามแต่ศรัทธาความเชื่อ และในเมื่อไหนๆ ก็ไหว้แล้ว ก็รวมการไหว้บรรพบุรุษไปด้วยเลย   ของไหว้ก็นิยมทั้งคาว หวาน ซึ่งแต่ละชนิดจะมีความหมาย ไม่ใช่เอาอะไรมาไหว้ก็ได้ เพราะเทพเจ้าท่านจะคอยตรวจสอบว่า มนุษย์เอาใจใส่มากแค่ไหน   อย่างไหว้เทพเจ้า ก็ควรมีเนื้อสามอย่าง ได้แก่ หมูสามชั้นต้ม ไก่ เป็ด (บางทีก็ปรับเปลี่ยนได้)  หมู หมายถึงความมั่งคั่ง เพราะหมูอ้วนแสดงว่ากินดีอยู่ดี บางทีก็ใช้หัวหมูเป็นสัญลักษณ์แห่งสมองและปัญญา ส่วน ไก่ หมายถึง การตรงเวลา ความรู้งาน ไก่มีหงอนสื่อถึงหมวกขุนนาง แสดงถึงความเจริญก้าวหน้า จะไหว้ด้วยอะไรอันนี้แต่ละบ้านคงสืบทอดธรรมเนียมปฏิบัติกันมา รวมทั้งกำลังทรัพย์ที่มีอย่างไรก็ตาม ของไหว้ถ้ามากไปก็แบ่งปันให้คนที่ไม่มีกินบ้างนะ บูชาเทพแล้วก็ดูแลเพื่อนมนุษย์ด้วยกันด้วย บุญจะได้ส่งเสริมให้สุขสันต์ตลอดปี

อ่านเพิ่มเติม >