ฉบับที่ 200 ดัดขนตาถาวร ปลอดภัยแค่ไหน

ขนตาโค้งงอน เป็นสิ่งที่สาวๆ หลายคนปรารถนา จึงสรรหาสารพัดวิธีมาทำให้สวยสมใจ ซึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็หนีไม่พ้นการใช้ที่ดัดขนตา แต่ก็มักจะได้ยินเสียงบ่นตามมาเสมอว่าดัดแล้ว ขนตาไม่โค้งงอนอย่างที่ต้องการ ทำให้ปัจจุบันได้มีอีกหนึ่งวิธีการเข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าวนั่นก็คือ การดัดขนตาถาวร ซึ่งจะมีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน เราลองไปดูกันมาดูความโค้งงอนตามธรรมชาติของขนตากันก่อนหลายคนอาจคิดว่า ขนตามีไว้เพื่อเป็นความสวยงามให้กับดวงตา แต่จริงๆ แล้ว ขนตาทำหน้าที่คอยป้องกันดวงตาของเราจากสิ่งแปลกปลอม ซึ่งตามธรรมชาติขนตาจะมีลักษณะชี้ตรง แต่บางคนขนตาอาจจะงอนขึ้นด้านบนในหนังตาบน และงอนลงล่างในหนังตาล่าง รวมทั้งมีความยาวแตกต่างกันไปตามลักษณะพันธุกรรม ขนตางอนด้วยการดัดถาวร ปลอดภัยแค่ไหนการดัดขนตาถาวร เป็นการใช้น้ำยาดัดหรือกาว เพื่อยกโคนขนตาขึ้นให้มีความโค้งงอนตลอดเวลา ซึ่งสามารถอยู่ได้ประมาณ 1-2 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่มีขนตายาวชี้ตรง ดูไม่สวยงามและต้องการประหยัดเวลาในการแต่งหน้า ทั้งนี้ปัจจุบันบางร้านอาจเรียกวิธีการดังกล่าวว่า Lash lifting (ลิฟติ้ง ขนตา) ซึ่งโฆษณาว่าใช้เซรั่มหรือน้ำยา ที่มีความอ่อนโยนกว่าการดัดขนตาถาวรอย่างไรก็ตามเราต้องไม่ลืมว่า บริเวณดวงตาเป็นอวัยวะที่บอบบาง สามารถเกิดการระคายเคืองได้ง่าย ดังนั้นการใช้สารเคมีใดๆ ในบริเวณดังกล่าว อาจทำให้เกิดการแพ้ ระคายเคืองได้ทั้งนั้น เช่น เปลือกตาบวมแดง อักเสบหรือเกิดโรคที่เปลือกตา ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตของขนตา เช่น ขนตาร่วงผิดปกติ ขนตาเก หักหงิกงอหรือหยุดการเจริญเติบโตได้ ดัดขนตาถาวรอย่างไรให้ปลอดภัยหลายคนอาจเลือกรับบริการดัดขนตาถาวรหรือลิฟติ้ง ขนตาที่สถานบริการความงาม และบางคนก็ที่จะซื้อน้ำยาดัดขนตามาทำเองที่บ้าน ผ่านการซื้อสินค้าจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งมักโฆษณาว่าเป็นน้ำยาที่นำเข้าจากต่างประเทศ มีความอ่อนโยน ได้รับมาตรฐานจากหลายองค์กร แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าสินค้าที่นำมาใช้กับดวงตาของเรานั้นมีมาตรฐานจริง ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เราจึงควรตรวจสอบรายละเอียดเบื้องต้นก่อนว่า เป็นสินค้าที่ได้รับมาตรฐาน อย. หรือไม่ ดังนี้1. มีเลขที่จดแจ้งเราต้องไม่ลืมว่า น้ำยา เซรั่ม กาวหรือทรีตเมนท์ ใดๆ ที่ใช้สำหรับดัดหรือยกขนตาให้โค้งงอนในช่วงระยะเวลาหนึ่งได้นั้น จัดเป็นเครื่องสำอางประเภทหนึ่งเช่นกัน ซึ่งต้องได้รับเลขที่จดแจ้งจาก อย. เพื่อแสดงว่าไม่มีส่วนประกอบที่เป็นสารต้องห้าม แต่ไม่ได้หมายความว่าหากผู้บริโภคใช้แล้วจะไม่เกิดอาการแพ้ นอกจากนี้ยังมีผู้ผลิตหลายรายที่แอบลักลอบเติมสารอันตราย ภายหลังการขอเลขที่จดแจ้งแล้วอีกด้วย อย่างไรก็ตามหากมีเลขที่จดแจ้ง เราก็จะสามารถตามตัวผู้ผลิตมารับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ปัจจุบันเลขที่จดแจ้งจะมีจำนวน 10 หลักและ 13 หลัก โดยไม่อยู่ภายใต้กรอบอย. เช่น XX-X-XXXXXXX ซึ่งวิธีตรวจสอบว่าเป็นสินค้าที่มาจากประเทศใด สามารถดูได้จากตัวเลขหลักที่ 2 โดยหากเป็นเลข 1 แสดงว่าเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศ และหากเป็นเลข 2 แสดงว่าเป็นสินค้านำเข้า รวมทั้งเราควรเข้าไปตรวจสอบความถูกต้องของเลขที่จดแจ้ง ผ่านทางเว็บไซต์ของ อย. ที่ www.fda.moph.go.th และสามารถโทรศัพท์ร้องเรียนสินค้าที่คาดว่าจะไม่ปลอดภัยได้อีกด้วย ผ่านทางสายด่วน อย. 1556 (วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 – 16.30 น.)2. มีฉลากภาษาไทย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือสินค้านำเข้าก็ต้องมีฉลากภาษาไทย ซึ่งต้องระบุข้อความให้ครบถ้วน ดังนี้ ชื่อและชนิดของเครื่องสำอาง, เลขที่ใบรับแจ้ง, สารทุกชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสม, วิธีการใช้, ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตหรือนำเข้า, ปริมาณสุทธิ, เลขที่แสดงครั้งที่ผลิต, เดือนปีที่ผลิตและคำเตือน (ถ้ามี)หากเราพบว่าเครื่องสำอางที่เราซื้อมานั้น ไม่มีฉลากภาษาไทย ควรตั้งข้อสังเกตเบื้องต้นไว้ก่อนว่า อาจเป็นเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยและไม่ควรเสี่ยงใช้เครื่องสำอางนั้น โดยเฉพาะน้ำยาดัดขนตาที่กฎหมายกำหนดกำหนดไว้ว่า ห้ามนำสารเคมีบางชนิดที่มีความเสี่ยงสูง หรือสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคมาผสม เช่น Thioglycolic acid esters ซึ่งเป็นสารที่อนุญาตให้ใช้เฉพาะในผลิตภัณฑ์สำหรับดัดผมหรือยืดผมเท่านั้น โดยหากนำไปใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์สำหรับดัดขนตา จะถือว่าเป็นเครื่องสำอางที่มีวัตถุที่ห้ามใช้

อ่านเพิ่มเติม >