ฉบับที่ 106 แม่มดไทยในแดนกิมจิ

“กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี...” ประโยคคลาสสิกในนิทานแฟรี่เทลของตะวันตกข้อความนี้ ไม่ต้องบอก เด็กๆ หลายคนก็คงจะรู้ในทันทีว่า นี่เป็นอมตะวาจาที่แม่มดตัวร้ายตั้งคำถามกับแผ่นกระจกวิเศษ ในเรื่องสโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ดนั่นเอง และกระจกวิเศษก็จะส่องสะท้อนตอบคำถามให้แม่มดเธอรู้ว่า เป็นเธอหรือคุณสโนว์ไวท์กันแน่ที่สวยที่สุดในปฐพี นั่นคือเรื่องเล่าในตำนานนิทานคลาสสิกที่แม่มดจะกลายเป็นนางผู้ร้ายที่คอยจ้องทำลายสโนว์ไวท์ เพื่อช่วงชิงตำแหน่งบิวตี้ควีนแห่งปฐพีนี้ แต่คุณผู้อ่านทราบหรือไม่ครับว่าถ้าเป็นในตำนานแฟรี่เทลของโฆษณาโทรทัศน์บ้านเราแล้ว แม่มดก็อาจจะไม่ใช่นางผู้ร้ายอีกต่อไป ตรงกันข้าม เธออาจจะกลับกลายร่างเป็นนางเอกที่เขี่ยสโนว์ไวท์จนตกขอบเวทีบิวตี้คอนเทสต์ไปได้เลย ล่าสุด ผมได้เห็นโฆษณาชิ้นหนึ่ง ที่มีดาราสาวอย่างคุณแพนเค้กเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าประเภทแป้งตลับสำหรับประทินความงามยี่ห้อหนึ่ง ด้วยเหตุที่ผลิตภัณฑ์แป้งตลับยี่ห้อนี้ เป็นสินค้านำเข้าจากดินแดนของชาวโสม เพราะฉะนั้นโฆษณาก็เลยผูกฉากจำลองขึ้นมาเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงของแดนกิมจิ โดยมีนางเอกสาวไทยกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนที่มีน้ำพุประดิษฐ์ตั้งตระหง่านอยู่กลางลาน สักพัก ก็มีนักร้องหนุ่มรูปงามชาวเกาหลีอย่างคุณซีวอนเดินผ่านมา นางเอกแพนเค้กก็สบตาเขาปิ๊งๆ แล้วเริ่มร่ายมนต์เป็นเสียงเอคโค่ก้องขึ้นว่า “มองมาที่ฉัน...มองมาที่ฉัน...เดินตามฉันมา...” ด้วยมนตราแห่งอิสตรี คุณซีวอนก็เหมือนถูกสะกดอยู่ในภวังค์ ว่าแล้วสาวเจ้าก็หยิบตลับแป้งขึ้นมาบรรจงผัดแป้งแต่งหน้า จนมีประกายมหัศจรรย์ออกมาจากวงแก้ม เธอสลัดผมเบาๆ หนึ่งครั้ง แล้วร่ายมนต์ต่ออีกว่า “บอกรักฉัน...” ในฉับพลัน ชายหนุ่มก็โดนเสน่ห์ต้องมนต์เข้าอย่างจัง เขายิ้มให้เจ้าหล่อนแล้ววิ่งตามเธอไปในดงดอกไม้กลางสวน ก่อนที่ภาพจะตัดสลับกลับมาที่ใบหน้าของคุณแพนเค้กที่กำลังยั่วยิ้มให้กับกระจกวิเศษกลางตลับแป้ง ภาพสุดท้าย เป็นหญิงไทยกับหนุ่มเกาหลียืนอยู่ใต้ต้นไม้ที่กลางสวน คุณซีวอนได้กระซิบข้างหูสาวเจ้าว่า “คุณคือความอัศจรรย์ของผม” จากนั้นภาพก็จบลงด้วยต้นไม้ที่ผลิดอกออกใบกลายเป็นสีชมพูไปทั้งต้น มิราเคิลให้เห็นกันไปแบบสุดๆ เลย หากจะถามคุณผู้อ่านหลายท่านว่า ความมหัศจรรย์แบบที่ท่านเห็นทางหน้าจอโทรทัศน์เช่นนี้ ดูแล้วนึกถึงอะไรได้บ้าง หลายท่านก็คงจะบอกได้ในทันทีว่า นี่มันคือเวทมนต์ที่ใช้ปรุง “สูตรเสน่หา” แบบแม่มดตัวร้ายเจ้าของกระจกวิเศษในนิทานเรื่องสโนว์ไวท์นั่นเองว่ากันว่า ปรากฏการณ์อย่างแม่มดนั้น เป็นลัทธิพิธีที่เกิดขึ้นในโลกตะวันตกมานานแล้ว และทรงอิทธิพลอย่างมากในศตวรรษที่ 12 หรือที่รู้จักกันดีว่าเป็น “ยุคมืด” ที่คริสตจักรเรืองอำนาจมากในทวีปยุโรป ทั้งนี้ ลัทธิแม่มดถือเป็นการรวมตัวกันของผู้หญิงนอกรีตที่ประพฤติปฏิบัติตนเบี่ยงเบนออกไปจากบรรทัดฐานของคริสตศาสนา ด้วยการบูชาอำนาจมืดแทนการบูชาพระเจ้า และเนื่องจากผู้หญิงในลัทธิแม่มดนี้ มีแนวโน้มจะต่อต้านอำนาจและความชอบธรรมของคริสตจักรในทุกๆ ทาง ดังนั้น ศาสนจักรจึงได้สร้างภาพให้บรรดาแม่มดกลายมาเป็น “นางผู้ร้าย” เป็นปีศาจอิสตรีที่ทุกคนพากันเกลียดกลัว ด้วยเหตุดังกล่าว ทั้งพระและประชาชนชาวยุโรปในยุคมืดจึงพากันสร้างขบวนการ “ล่าแม่มด” หรือ “witch hunt” ขึ้นมา ด้วยการจับพวกเธอมาเผาและทรมานแม่มดต่อหน้าสาธารณชน นัยว่าเป็นการกวาดล้างและป้องปรามไม่ให้ผู้หญิงคนอื่นๆ หันมาเข้ารีตและสืบทอดแพร่ขยายลัทธิแม่มดนี้ต่อไป จากศตวรรษที่ 12 ถึงศตวรรษที่ 21 แม่มดดูจะเปลี่ยนความหมายไปเป็นอย่างมาก จากหญิงร้ายที่สังคมต้องตามล่าเพื่อจับเผาประจาน กลายมาเป็นผู้หญิงรูปงามที่สตรีทุกนางในสหัสวรรษร่วมสมัยพึงปรารถนาอยากจะเป็น เหมือนกับกรณีของนักแสดงสาวไทยที่อยู่ในโฆษณาแป้งตลับนั่นแหละครับ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าสังเกตดี ๆ ลีลาชีวิตของคุณแพนเค้กที่ร่ายมนต์เสน่ห์เข้าใส่นักร้องหนุ่มซีวอนนั้น ก็มิได้เป็นอะไรที่แตกต่างไปจากลัทธิพิธีของแม่มดแต่อย่างใดเลย เริ่มตั้งแต่ นางเอกสาวก็ดูจะใฝ่อำนาจแบบไสยเวท ยวนยั่วร่ายอาคมคาถา “มองมาที่ฉัน ๆ ๆ” ใส่นักร้องหนุ่มจนตกอยู่ในภวังค์ ตามด้วยการผัดแป้งแต่งหน้าประหนึ่งการปรุงเสน่ห์ยาแฝดเพื่อยั่วยวนบุรุษเพศ ชนิดที่ว่า “ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล ก็ต้องริใช้เวทมนต์คาถา” แค่เพียงสะบัดผมเงางามเบาๆ หนึ่งครั้ง ชายหนุ่มก็แทบจะแดดิ้นมาสยบอยู่แทบปลายเท้าของเธอ แถมปิดท้ายด้วยการใช้คันฉ่องวิเศษในตลับแป้ง ส่องไปยังใบหน้าใสนวลเนียน ราวกับจะถามคันฉ่องส่องหน้าว่า “กระจกวิเศษ บอกข้าเถิด หญิงที่งามเลิศในปฐพีคือข้านั่นเองใช่หรือไม่” ด้วยเหตุฉะนี้ สำหรับในโลกของโฆษณาแล้ว สโนว์ไวท์ที่แสนดี จึงอาจมิใช่นางเอกของท้องเรื่องในนิทานอีกต่อไปแล้ว หากแต่ลัทธิแม่มดนอกรีตอาจจะกลายกลับมามี “ความชอบธรรม” และทำให้ผู้หญิงในยุคใหม่เลือกยึดมาเป็นจารีตปฏิบัติ เพื่อปรุงประทินความงามหว่านเสน่ห์ใส่หนุ่มๆ ทั้งเทศและทั้งไทยกันแบบเป็นล่ำเป็นสัน แล้วเหตุอันใดเล่า นางเอกยุคนี้จึงเลือก “สวมวิญญาณ” ของแม่มดเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่สวยงาม ดูเหมือนว่า โฆษณาเองก็ได้ชี้ให้เห็นว่า กระแสแบบเกาหลีภิวัตน์ก็คือคำตอบสำคัญของเหตุปัจจัยนั้น สำหรับสังคมไทยทุกวันนี้ เรากำลังยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นอารยธรรมเกาหลีในด้านต่างๆ มากมาย หรือที่เรียกกันอย่างโก้เก๋ว่า อยู่ท่ามกลางกระแสคลื่นแบบ “K-Wave” และคลื่นแบบ Korean Wave เช่นนี้ ก็ได้ซัดพาเข้ามาในเมืองไทยผ่านความหลงใหลคลั่งไคล้วัฒนธรรมเกาหลี และวัตถุภัณฑ์ต่างๆ ที่นำเข้าจากแดนกิมจิ อันรวมถึงแป้งตลับมิราเคิลที่ประทินผัดอยู่บนใบหน้าของนางเอกสาวไทยด้วยเช่นกัน เมื่อคลื่นเกาหลีภิวัตน์ได้แผ่ซ่านจนกลายเป็นศาสนจักรใหม่ของสังคมไทยปัจจุบัน ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ว่า อาจจะมีผู้หญิงบางกลุ่มที่ลุกขึ้นมามีปฏิกิริยาต่อต้านกระแสเกาหลีนิยมดังกล่าว ด้วยการยึดวัตรปฏิบัติแบบนอกรีตหรือสวมบทเป็นแม่มดเพื่อตอบโต้กับอารยธรรมใหม่จากแดนโสมอย่างแยบยล “หนามยอกก็ต้องเอาหนามบ่ง” เพราะฉะนั้น เมื่อ K-Wave ถาโถมกระหน่ำเข้ามาในสยามประเทศ แม้ผู้หญิงไทยยากที่จะเลี่ยงหลีกตนเองออกจากคลื่นอารยธรรมดังกล่าวไปได้ง่ายๆ สาวไทยบางคนก็เลยย้อนกลับไปใช้ “ลัทธิแม่มด” เพิ่ม “อำนาจ” ของตนเองในการตั้งรับกับกระแสคลื่นดังกล่าว งานนี้ไม่ต้องบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปทำศัลยกรรมกันหรอกนะครับ พวกเธอใช้กลวิธีแปลงความงามที่ผัดด้วยแป้งฝุ่นเกาหลี ให้กลายเป็นเวทมนต์คาถาที่จะยั่วยวนบรรดาชายหนุ่มเกาหลีให้หลงใหลไปแทนเสียเลย ดังนั้น ไหน ๆ ก็จะเสียดุลการค้าจ่ายเงินไปให้กับผลิตภัณฑ์เสริมความงามของชาวกิมจิแล้ว ก็จะทำให้ชายหนุ่มแดนโสมพ่ายแพ้ต่ออำนาจและความงามของอิสตรีไทยไปเสียด้วยเลย แม้ว่าอำนาจนั้นจะเป็นมนตราที่เป็นด้านมืด หรือถูกตีตราว่าอยู่นอกรีตนอกรอยไปจากบรรทัดฐานหลักของสังคมก็ตาม ครั้งหนึ่ง สตรีที่นับถือลัทธิแม่มดเคยถูกตามล่าเสียจนสูญสลายหมดอำนาจไปจากโลกตะวันตก แต่มาทุกวันนี้ อำนาจแบบแม่มดกลับถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เป็นจารีตปฏิบัติใหม่ที่หญิงไทยเอามาตอบโต้กระแสโลกาภิวัตน์และเกาหลีนิยมที่คืบคลานเข้ามาใกล้ชีวิตของเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 169 กระแสต่างแดน

I’m burning it! องค์กร Fight for 15$ ที่ต่อสู้เพื่อสภาพการทำงานที่ดีและค่าแรงขั้นต่ำที่เป็นธรรม สร้างความฮือฮาอีกครั้งด้วยการเปิดโปง “เรื่องในครัว” ของแม็คโดนัลด์ ร้านฟาสต์ฟู้ดที่มีสาขามากเป็นอันดับสองของอเมริกา องค์กรนี้รายงานว่ามีพนักงานร้านแม็คโดนัลด์ 28 คน จากสาขาใน 19 เมือง เคยได้รับบาดเจ็บจากอุปกรณ์ที่มีอันตรายและมาตรการความปลอดภัยที่หละหลวมในครัวของแม็คโดนัลด์ US Occupational Safety and Health Administration (OSHA) หน่วยงานที่ดูแลเรื่องอาชีวะอนามัยและความปลอดภัยของสหรัฐฯ ยอมรับว่าได้รับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวจริงในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา โฆษกของ OSHA กล่าวว่ากำลังสืบสวนหาข้อเท็จจริงเรื่องนี้อยู่ ถ้าพบว่าผิดจริง บริษัทอาจเสียค่าปรับระหว่าง 7,000 ถึง 70,000 เหรียญ (230,000 – 2,300,000 บาท) แล้วแต่ความรุนแรงของข้อหา ก่อนหน้านี้ OSHA เคยสำรวจความเห็นของพนักงานในร้านฟาสต์ฟู้ดในอเมริกาจำนวน 1,426 คน และพบว่าในปีที่ผ่านมา เกือบร้อยละ 80 เคยได้รับบาดเจ็บจากบาดแผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก และหนึ่งในสามของคนเหล่านี้ได้รับคำแนะนำจากหัวหน้างานให้ใช้ของใกล้ๆ มืออย่าง เนย มัสตาร์ด มายองเนส หรือซอสมะเขือเทศ ทาแผลบรรเทาปวด! แม็คโดนัลด์ อเมริกา(ซึ่งมีทั้งหมด 14,000 สาขา) บอกว่า บริษัทคำนึงถึงสภาพการทำงานที่ปลอดภัยสำหรับพนักงานเสมอมา แต่ก็พร้อมที่จะพิสูจน์ข้อกล่าวหาดังกล่าว   ทางเลือกที่น้อยลง? Greenpeace Energy ผู้ประกอบการพลังงานหมุนเวียนที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองฮัมบูร์ก เยอรมนี เตรียมฟ้องร้องคณะกรรมการสหภาพยุโรป ที่อนุมัติให้ประเทศอังกฤษสร้างโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ได้ บริษัทดังกล่าวทำการศึกษาในรายละเอียดและพบว่า การตัดสินใจของคณะกรรมการฯ ไม่ได้เป็นไปอย่างรอบคอบ ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อราคาพลังงานในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อราคาของพลังงานทางเลือกที่มีต้นทุนสูงกว่าเนื่องจากเป็นการรับซื้อพลังงานจากผู้ผลิตรายย่อยในราคาคงที่ ในขณะที่ไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ได้รับเงินสนับสนุนต้นทุนการผลิตจากรัฐ ในปี 2006 อังกฤษประกาศสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ที่ฮิงค์ลี่ย์พ้อยนท์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ มูลค่าการลงทุนทั้งหมด 40,000 ล้านยูโร ตามแผนการลดการปล่อยคาร์บอน ตามกำหนดการเดิมเขาจะสร้างโรงไฟฟ้า 2 โรงให้เสร็จพร้อมใช้งานก่อนคริสต์มาสปี 2017 แต่เนื่องจากมีผู้คัดค้านจำนวนมาก แผนดังกล่าวจึงยังไม่ได้เริ่ม และในที่สุดรัฐบาลอังกฤษจึงลงขันช่วยเหลือผู้ประกอบการ 22,000 ล้านยูโร การกระทำดังกล่าวทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันระหว่างบริษัทพลังงานด้วยกัน เพราะการคิดค่าไฟฟ้าไม่ได้คิดจากต้นทุนที่แท้จริงของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นั่นเอง รายงานดังกล่าวยังระบุว่า เยอรมันจะเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะปัจจุบันรัฐบาลเยอรมันเป็นผู้จ่ายส่วนต่างระหว่างราคาพลังงานในตลาดกับราคาพลังงานทางเลือก ที่มีต้นทุนการผลิตสูงกว่า แม้ว่าในเบื้องต้นรัฐบาลเยอรมันอาจจ่ายเพียง 17 ล้านยูโร จากกองทุนพลังงานทางเลือกมูลค่า 20,000 ล้านยูโร ของประเทศ แต่การตัดสินใจของคณะกรรมการฯ อาจทำให้ โปแลนด์ โรมาเนีย หรือลิทัวเนีย อาจเดินหน้าสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ด้วย และนั่นจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของตลาดพลังงานทางเลือกในเยอรมนีมากขึ้น ใครเอาเนยแข็งของฉันไป? อิตาลีเป็นต้นตำหรับพาเมซานชีส ที่ผู้คนทั่วโลกนิยมชมชอบ แต่เชื่อหรือไม่ว่าปีที่ผ่านมาอิตาลีผลิตชีสดังกล่าวได้เพียง 295,000 ตัน ในขณะที่อเมริกาผลิตออกมาได้มากกว่า 300,000 ตัน กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตพาเมซานชีสในอิตาลี นำโดย Coldiretti ออกมารวมตัวกันที่เมืองโบโลญญา เพื่อประท้วง “ชีสปลอม” เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอุตสาหกรรมการผลิตชีส ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในแคว้นอิมีเลีย โรมัญญา เมื่อสามปีก่อน และปีที่แล้วราคาส่งก็ลดลงร้อยละ 20 จนเหลือเพียงกิโลกรัมละประมาณ 250 บาท   เอาเป็นว่าตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา มีหนึ่งในสี่ของเกษตรกรรายย่อยที่ผลิตชีสดังกล่าวเลิกกิจการไปแล้ว ความจริงแล้ว ชีส “Parmigiano Reggiano” และ “Grana Padano” ได้รับการคุ้มครองการตั้งชื่อจากแหล่งกำเนิดสินค้าจากสหภาพยุโรปอยู่แล้ว เช่น ถ้าจะเรียกตัวเองว่าเป็น Parmigiano Reggiano ของแท้ ต้นตำรับ ก็ต้องเป็นชีสที่ผลิตจากฟาร์มในเมืองพาร์มาหรือพื้นที่รอบๆ เท่านั้น แต่ตอนนี้เกษตรกรอิตาลีทำได้แค่ประท้วง เพราะจะไปเอาผิดกับบริษัทอเมริกันว่าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาก็คงไม่ได้ เพราะคุณพี่เขาทำชีสที่ว่าออกมาขายในชื่อภาษาอังกฤษว่า Parmesan Cheese ซึ่งไม่ได้อยู่ในการคุ้มครอง อันนี้ผู้บริโภคต้องเลือกแล้ว ... ถ้าคุณอยากกินของอร่อยจากอิตาลี ก็ต้องดูชื่อให้ดีนะจ๊ะ   จำกัดเนื้อ ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย นายโจโค วิโดโด ต้องการให้ประเทศของเขาสามารถพึ่งพาตนเองได้ทางอาหาร เขาจึงเริ่มจากการจำกัดการนำเข้าเนื้อวัวจากต่างประเทศ ปีที่แล้วอินโดนีเซียนำเข้าเนื้อวัวถึง 170,000 ตัน แต่ปีนี้ในไตรมาสแรก มีการนำเข้าเพียง 12,000 ตันเท่านั้น ผลกระทบต่อประชากร 240 ล้านคนคือราคาเนื้อวัวที่แพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเดิมกิโลกรัมละ 80,000 รูเปียอินโดนีเซีย (ประมาณ 200 บาท) ขึ้นเป็น 105,000 (ประมาณ 260 บาท) และอาจขึ้นไปอีกเมื่อราคาน้ำมันกลับมาเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่าราคาเนื้ออาจเพิ่มขึ้นเป็น 150,000 รูเปียอินโดนีเซีย (370 บาท) ในเดือนรอมฎอนด้วย รัฐบาลเริ่มการจำกัดการนำเข้า แต่ยังไม่มีความเคลื่อนไหวเพื่อส่งเสริมการส่งเสริมการทำฟาร์มวัวเนื้อในประเทศมากนัก และภาวะอาหารแพงนี้อาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อในที่สุด ก่อนหน้านี้อินโดนีเซียเคยมีความพยายามเช่นนี้และประสบความล้มเหลวมาแล้ว นอกจากจะขาดแคลนเนื้อวัวเพื่อการบริโภคยังมีปัญหาการคอรัปชั่นของนักการเมืองด้วย(ร้อยละ 40 ของเนื้อวัวที่บริโภคในอินโดนีเซียถูกนำเข้าจากออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกเนื้อวัวรายใหญ่อันดับสามของโลก)   ความสุขของกิมจิ เด็กเกาหลีเครียดกับการเรียนไม่แพ้ชาติใดในโลก เรื่องนี้มีตัวเลขการสำรวจมายืนยัน สถาบันสุขภาพและสังคมของเกาหลีได้ทำการเปรียบเทียบความรู้สึกของเด็กในวัย 11,13 และ 15 ปี ในเกาหลีกับเด็กๆ ในประเทศอื่นๆ โดยใช้ข้อมูลของรัฐบาลเกาหลีในปี 2013 ประกอบกับรายงานของยูนิเซฟว่าด้วยการสำรวจความรู้สึกเป็นสุขของเด็กๆ ในประเทศที่ร่ำรวย 29 ประเทศที่ทำขึ้นในปี 2009 และ 2010 เมื่อให้เด็กๆ จัดอันดับความกดดันเรื่องการเรียนระหว่างเลข 0 ถึง 4 โดยคนที่เลือกหมายเลข 3 ขึ้นไป จะถือว่าเป็นกลุ่มที่เครียดมาก พบว่า เกาหลีมีเด็กถึงร้อยละ 50 ที่รู้สึกว่าตัวเองเครียดมาก ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของการสำรวจคือร้อยละ 33.3  และเด็กที่เครียดเรื่องเรียนน้อยที่สุดคือเด็กในประเทศเนเธอร์แลนด์(ร้อยละ 16.8) ในทางกลับกัน มีเพียงร้อยละ 18.5 ของเด็กๆ ที่เกาหลีเท่านั้นที่ตอบว่า ชอบชีวิตการไปโรงเรียน เป็นอันดับห้าจากล่างสุด รองจากสาธารณรัฐเช็ค ฟินแลนด์ อิตาลี และเอสโตเนีย ส่วนประเทศที่มีเด็กชอบการไปโรงเรียนมากที่สุดได้แก่ ไอร์แลนด์ (ร้อยละ 42.5) แล้วความสุข ความพึงพอใจในชีวิตน้อยๆ ของพวกเขาล่ะ? มีเพียงร้อยละ 60.3 ของเด็กเกาหลีเท่านั้นที่ตอบว่าพึงพอใจ ในขณะที่เด็กๆมากกว่าร้อยละ 80 ในประเทศอื่นๆ ตอบว่าพวกเขาพึงพอใจกับชีวิตของตัวเอง ยกเว้นโปแลนด์ (79.7) และโรมาเนีย (76.6) นักวิจัยของเกาหลีให้ข้อสรุปว่า เด็กๆ ของพวกเขามีสุขภาพกายดีเยี่ยม แต่สุขภาพจิตยังต้องปรับปรุงอีกมาก สืบเนื่องจากการเป็นสังคมที่เอาจริงเอาจังกับการประสบความสำเร็จทางการเรียนนั่นเอง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point