ฉบับที่ 263 ‘บัฟเฟตต์’ กับ ‘โซรอส’ แตกต่างเหมือนกัน

        บทเรียนแรกๆ ของการออม การลงทุน การจัดการการเงินส่วนบุคคล คือการรู้จักและเข้าใจตัวเอง ทั้งในแง่นิสัยใจคอ การยอมรับความเสี่ยง เป้าหมายการลงทุน ไปจนถึงวิธีการลงทุนที่เหมาะกับตัวเรา จะเดินสาย investor หรือเดินสาย trader ก็ขอให้เป็นคุณเดินแล้วเดินได้สะดวก         มีนักลงทุนระดับตำนาน 2 คนที่มีวิธีการลงทุนต่างกันคนละขั้ว คนหนึ่งคือวอร์เรน บัฟเฟตต์ เทพพยากรณ์แห่งโอมาฮา สาย value investor อีกคนคือจอร์จ โซรอส นักเก็งกำไรกับทุกสิ่ง คนนั้นนั่นแหละ คนที่โจมตีค่าเงินบาทไทยตอนปี 2540         มีหนังสือขายดีตีพิมพ์ในภาษาอังกฤษตั้งแต่ปี 2005 เคยแปลเป็นภาษาไทยครั้งแรกเมื่อปี 2554 และถูกพิมพ์ซ้ำเรื่อยมา ‘The Winning Investment Habits of Warren Buffett & George Soros’ หรือชื่อไทยว่า ‘บัฟเฟตต์-โซรอส ลงทุนถูกนิสัย ยังไงก็ชนะ’ ก็อย่างที่บอกว่าทั้งสองคนมีแนวทางการลงทุนที่ไม่เหมือนกันเลย แต่ Mark Tier ผู้เขียน ก็วิเคราะห์แนวทางการลงทุนที่เป็นลักษณะร่วมของทั้งสองคนออกมาได้น่าสนใจทีเดียว         ยกอุปนิสัยบางข้อมาเล่าให้ฟังแล้วกัน บางข้อก็เป็นเรื่องทั่วไปมากๆ เลย แต่ไอ้ความทั่วไปนี่แหละที่แยกนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จกับนักลงทุนที่ล้มเหลว เช่น การ ‘มุ่งมั่นที่จะลดความเสี่ยง’ หรือ ‘จงรักษาเงินต้นไว้ให้ได้เสมอ’ เพราะความเสี่ยงเป็นสิ่งที่เราพอจะควบคุม หมายถึงประเมินและยอมรับระดับความเสี่ยงได้ มากกว่าเรื่องผลตอบแทนที่แสนผันผวนตามอารมณ์ของตลาด ส่วนการรักษาเงินต้น...ก็ตามนั้นแหละ         ชวนดูอีกสัก 2 ข้อ ‘สร้างปรัชญาการลงทุนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง’ กับ ‘พัฒนาระบบในการคัดเลือก ซื้อ และขายการลงทุนต่างๆ อันเป็นแบบฉบับของตัวเอง’ สองข้อนี้รวบตึงเป็นข้อเดียวกันก็ได้และมาจากรากฐานเบื้องต้นนั่นคือการรู้จักตนเอง ...ขอยกข้อความมา 2 ย่อหน้า         “ถ้าหุ้นโค้กราคาตกหลังจากบัฟเฟตต์เข้าซื้อ เขาจะทำเช่นไร ถ้าคิดว่าราคา 5.22 ดอลล่าร์ถือว่าถูกมากแล้ว พอราคาร่วงลงมาที่ 3.75 ดอลลาร์ ก็ยิ่งต้องถือว่าถูกกว่าเดิมซะอีก และเขาย่อมซื้อเพิ่มอยู่แล้ว         “แต่ระเบียบวิธีของโซรอสกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ถ้าเขาซื้ออะไรแล้วราคาของมันตก เขาจะถือว่าตลาดกำลังบอกว่าเขาทำผิด และเขาก็ออกทันที ถ้าราคาเพิ่มขึ้น เขาก็จะยังซื้อเพิ่ม เพราะตลาดกำลังบอกว่าสมมติฐานของเขาถูกต้องแล้ว”         สองย่อหน้านี้น่าจะสรุปความแตกต่างที่เหมือนกันของทั้งสองได้ดีสุดแล้ว พวกเขาเข้าใจตัวเองมากพอจะสร้างแนวทางการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ลองให้สองคนสลับวิธีกันก็เป็นไปได้ว่าจะเจ๊งยับและโลกจะไม่รู้จักชื่อบัฟเฟตต์และโซรอส         อ้อ ยังมีอีกข้อที่ทั้งสองคนมีเหมือนกันและเป็นรากฐานที่สำคัญมากๆๆๆๆ แต่ถูกละเลยเสมอ นั่นก็คือ         ‘จงลงทุนในสิ่งที่คุณเข้าใจเท่านั้น’

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 252 ‘Stop Loss’ วินัย วินัย และวินัย

        เดี๋ยวนี้การเทรดเป็นอาชีพที่มีคนสนใจกว้างขวาง หุ้น ทองคำ คริปโตฯ เยอะขนาดว่าบางคนต้องเขียนบรรยายโปรไฟล์บนโซเชียลมีเดียว่าไม่สนใจเพราะมักจะมีนักเทรดมาขอเป็นเพื่อนเพื่อชักชวนเข้าสู่วงการ         เทรดเดอร์ (Trader) หรือนักเก็งกำไรจากส่วนต่างราคาอยู่คนละฟากฝั่งกับนักลงทุน (Investor) พวกเขาเน้นถือหุ้นระยะสั้น เข้า-ออกตามจังหวัดกำไร-ขาดทุน เฝ้าดูและวิเคราะห์กราฟเพื่อหาหุ้นที่น่าเข้าไปเล่น ซื้อๆ ขายๆ เพื่อทำกำไร ฟังดูเหมือนงานง่าย รายได้ดี ไม่หรอก เทรดเดอร์ทุกคนผ่านช่วงเวลาเสียหายหนักๆ มาแล้วทั้งนั้น ใช้เวลาไปมากมายกับการเรียนรู้ การอ่านกราฟ การดู Bid และ Offer กับอีกสารพัด         ไม่ว่าคุณคิดจะเดินสายไหนก็จำเป็นต้องหาความรู้เหมือนกันทั้งนั้นแหละ ถ้าคุณเก่งจริงก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นกอบเป็นกำ ดูอย่างจอร์จ โซรอส ผู้เก็งกำไรในทุกสิ่งอย่าง ตั้งแต่หุ้นยันค่าเงิน        พื้นที่นี้เคยพูดไว้ครั้งหนึ่งว่าจะเทรดเดอร์หรือนักลงทุน สิ่งที่ต้องมีเหมือนกันคือวินัย         ถ้าคุณจะใช้วิธีลงทุนแบบ DCA หรือซื้อเฉลี่ยเท่าๆ กันทุกเดือนในหุ้นหรือกองทุนรวม คุณก็ต้องมีวินัยในการทำตามแผนการออมระยะยาว เทรดเดอร์ก็เช่นกัน และวินัยที่สำคัญมากๆ หรืออาจจะสำคัญที่สุดก็คือการ Stop Loss หรือตัดขาดทุน         อธิบายให้ง่ายที่สุด คุณเป็นเทรดเดอร์เข้าซื้อหุ้นตัวหนึ่งที่ราคา 10 บาท ถ้าหุ้นราคาขึ้นคุณก็ปล่อยให้กำไรวิ่งไปเรื่อยๆ Let’s Profit Run แต่ถ้าจะขาดทุน คุณวางเกณฑ์ไว้เลยว่าถ้าขาดทุน 10 เปอร์เซ็นต์เมื่อไหร่ ขาดทิ้งทันที ถ้าหุ้นตัวนี้ลงไปที่ 9 บาทก็ถึงเวลาที่คุณต้องขายโดยไม่มีเยื่อใย         อันนี้แบบเข้าใจง่ายๆ เทรดเดอร์มืออาชีพนี่เขาวิเคราะห์แล้ววิเคราะห์อีกว่าจะตัดขาดทุนราคาไหน ไม่หมูแบบนี้หรอก        แต่คนส่วนใหญ่ทำตรงกันข้าม         พอกำไรนิดๆ หน่อยๆ รีบขาย เช่นขึ้นไป 12 บาท กำไร 20 เปอร์เซ็นต์เชียวนะ ขายเลย สุดท้ายราคาไปต่อ 15 บาท 17 บาท 19 บาท ศัพท์ในวงการเรียกขายหมู         ตรงข้าม พอขาดทุนถึงจุดที่ต้อง Stop Loss แล้วกลับเสียดาย เข้าข้างตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็กลับขึ้นมาอีก กอดหุ้นจนตัวตาย สุดท้ายแทนที่จะขาดทุนแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นขาดทุน 50 เปอร์เซ็นต์ 70 เปอร์เซ็นต์ วงการติดดอย สูงด้วย         ถึงบอกไงว่าความรู้สำคัญที่สุดและต้องมาควบคู่กับวินัยที่สำคัญพอๆ กัน

อ่านเพิ่มเติม >


ฉบับที่ 234 ความเคลื่อนไหวเดือนสิงหาคม 2563

แนะวิธีเลือกซื้อเนื้อวัว        จากการที่มีผู้ประกอบการบางรายนำเนื้อหมูหมักเลือดวัวมาปลอมเป็นเนื้อวัวเพื่อที่จะจำหน่ายให้ได้ราคาสูงขึ้น ทำให้ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคนั้น           กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะวิธีเลือกซื้อเนื้อวัว คือต้องพิจารณาว่า ต้องสีแดงสด เนื้อแน่น ลายเส้นไม่หยาบ โดยให้ใช้นิ้วกดดู เนื้อจะยืดหยุ่น ไม่มีรอยบุ๋ม รวมทั้งต้องไม่มีเม็ดสีขาวใสคล้ายเม็ดสาคู เพราะเป็นตัวอ่อนของพยาธิตัวตืด สำหรับเนื้อสัน ควรจะมีสีแดงสดและมีมัน ปรากฏอยู่เป็นจุดเล็ก ๆ ลักษณะของไขมันแตกง่าย ไม่มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ไม่มีเมือก เมื่อวางไว้จะมีน้ำสีแดงออกมา นอกจากนี้ ควรเลือกซื้อจากแหล่งที่มีการรับรองมาตรฐานตลาดสดน่าซื้อหรือสังเกตจากตราประทับบนหนังสัตว์ที่ชำแหละจากโรงฆ่าสัตว์ที่ได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ หรือร้านที่มีใบรับรองของฮาลาล         ทั้งนี้ผู้ปลอมแปลงอาหารผิดตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 หมวด 4 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ รู้ยัง ธปท. ห้ามมือถือรุ่นเก่า-เวอร์ชั่นต่ำใช้โมบายแบงกิ้ง         ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกกฎการรักษาความปลอดภัยในการใช้บริการโมบายแบงกิ้ง ห้ามโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่า เวอร์ชั่นต่ำ-เจลเบรก มีผลบังคับเริ่ม 31 ธ.ค. 63 นี้          เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกอบธุรกิจบริการชำระเงินมีการให้บริการผ่านช่องทางอุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นช่องทางหลักและใช้บริการผ่านช่องทางดังกล่าวมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์ มีหลากหลายซับซ้อนขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการให้บริการและผู้ใช้บริการได้ ดังนั้นเพื่อยกระดับความมั่นคงปลอดภัยในการให้บริการผ่านช่องทางอุปกรณ์เคลื่อนที่ ธปท.จึงออกนโยบายเพิ่มเติม โดยมีมาตรฐานควบคุมรักษาความมั่นคงปลอดภัย 2 ระดับด้วยกัน คือมาตรฐานขั้นต่ำ เช่น ไม่อนุญาตให้ใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ที่เปิดสิทธิให้เข้าถึงระบบปฏิบัติการ (rooted/jailbroken) เข้าใช้งานแอพพลิเคชั่น ,ไม่อนุญาตให้อุปกรณ์เคลื่อนที่ที่ใช้ระบบปฏิบัติการล้าสมัย ,ไม่อนุญาตให้ผู้ใช้บริการใช้แอพพลิเคชั่นเวอร์ชั่นต่ำกว่าผู้ให้บริการกำหนด  ส่วนมาตรการเพิ่มเติม เช่น ให้มีการกำหนด ตั้งค่า PIN หรือรหัสผ่านที่ซับซ้อน ในการเข้าใช้งานบนแอพพลิเคชั่นเพื่อให้ยากต่อการคาดเดาฯลฯ  สมอ.เอาจริง 10 เดือนลุยจับสินค้าไม่ได้ มอก. พร้อมทำลายทิ้ง         นายจุลพงษ์ ทวีศรี ประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) เปิดเผยว่า  กระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าที่ได้มาตรฐานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้กำชับให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)  ดำเนินการตรวจควบคุม และกำกับติดตามสินค้าที่จำหน่ายในท้องตลาดอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง หากไม่เป็นไปตามมาตรฐานให้ดำเนินการตามกฎหมายทันที         โดยระยะเวลา 10 เดือน (1 ตุลาคม 2562 – 31 กรกฎาคม 2563) ที่ผ่านมา สมอ. จับสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ทั้งที่จำหน่ายในท้องตลาดและทางออนไลน์อายัดแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท ทั้งยังจับมือกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) และ SCG เตรียมทำลายสินค้าไม่ได้มาตรฐานอีกกว่า 3 แสนชิ้น มูลค่ากว่า 33 ล้านบาท ทั้งนี้ สมอ. ยังเพิ่มมาตรการกำกับดูแลให้ตลาดออนไลน์ชื่อดังอย่าง "LAZADA" และ "SHOPEE" ต้องไม่ปล่อยให้ผู้เช่าพื้นที่ขายสินค้าไม่มีมาตรฐาน โดยสั่งลงโทษอย่างจริงจังหลังตรวจสอบพบมีการจำหน่ายสินค้าที่ สมอ. ควบคุม ทั้งหม้อทอดไร้น้ำมัน ตู้เย็น และพัดลมไอเย็น บนแอปพลิเคชั่น          ยืนยันงานวิจัยผลกระทบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชต่อเด็กทารกเป็นข้อเท็จจริง          จากกรณีที่สมาคมวิทยาการวัชพืช เผยแพร่ข้อความโฆษณาว่า งานวิจัยภายใต้การนำของ ศ.ดร.พรพิมล กองทิพย์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เกี่ยวกับการตกค้างของพาราควอตในซีรั่มมารดาและขี้เทาทารกแรกเกิด เป็นงานวิจัยที่ ‘ใช้ข้อมูลเท็จ’ โดยหวังผลเพื่อให้มีการทบทวนการแบนสารเคมี ‘พาราควอต’ ซึ่งปัจจุบัน 60 ประเทศทั่วโลกประกาศยกเลิกการใช้สารเคมีดังกล่าวแล้วนั้น         กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และกรมควบคุมโรค ร่วมมหิดลจับมือคณะแพทย์ 3 รพ. แจงรายละเอียดการร่วมวิจัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืชทุกขั้นตอน ย้ำพบพาราควอตตกค้างในซีรั่มมารดาและขี้เทาทารกจริง ทั้งนี้ ศ.ดร พรพิมล กองทิพย์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้นำทีมวิจัยเรื่อง ผลกระทบต่อพฤติกรรมประสาทของเด็กทารกจากการขาดไอโอดีนและการรับสัมผัสสารเคมีกำจัดศัตรูพืช กล่าวว่า “ผลงานวิจัยทั้งหมดดำเนินการในปี 2553 เป็นการทำงานร่วมกับโรงพยาบาล 3 แห่ง และทีมแพทย์ทั้งหมดมีชื่อปรากฏในงานวิจัยทั้งสิ้น มีหนังสือตอบรับการเข้าร่วมงานวิจัยจากโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่ง และได้รับใบรับรองทางจริยธรรมแล้ว ทั้งนี้ตัวอย่างในการวิเคราะห์ได้มาจากการเก็บเลือดหญิงตั้งครรภ์ที่เข้ามาฝากครรภ์ 28 สัปดาห์ กับโรงพยาบาล โดยเก็บตัวอย่างเลือด ปัสสาวะ และน้ำนมของมารดา ขี้เทาและเลือดจากสายสะดือทารก”         โดย นพ.วิโรจน์ พญ.นภาพร และพญ.นันทา กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนเองเป็นหมอเด็ก มีความสนใจและได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับงานวิจัยนี้ ตนเองรับผิดชอบเก็บข้อมูลช่วง 72 ชม. หลังคลอด และตรวจพัฒนาการของระบบประสาทของเด็กแรกเกิด ซึ่งการประเมินดังกล่าวต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ ทั้งนี้แพทย์ที่ร่วมวิจัยทั้งหมดล้วนเป็นกุมารแพทย์ที่ผ่านการอบรม สอบปฏิบัติจากโรงพยาบาลรามาธิบดีและได้รับใบอนุญาตแล้วตามมาตรฐานสากล อีกทั้งยังมีพยาบาลผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กทำการร่วมประเมิน บันทึกวีดีโอ และส่งให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินด้วย โดยแพทย์จากโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่งได้ยืนยันว่าได้เข้าร่วมโครงการวิจัยนี้         เช่นเดียวกับ นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน รองอธิบดีกรมวิทยาศาตร์การแพทย์ กล่าวสรุปว่า กรมควบคุมโรค และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนการทำงานวิจัย เพราะเป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐซึ่งต้องทำหน้าที่ในการเฝ้าระวัง พร้อมจะปกป้องประชาชนเช่นเดียวกัน         อนึ่งผลการวิจัยดังกล่าวมีข้อค้นพบสำคัญคือ  พบว่า 1) ระดับสารออร์แกโนฟอสเฟตของหญิงตั้งครรภ์ และแรกคลอด และลดลงเมื่อคลอดแล้ว 2 เดือน ซึ่งสัมพันธ์กับการศึกษาของต่างประเทศหลายแห่ง เมื่อเด็กอายุ 5 เดือน พบว่าหากแม่มีระดับออร์กาโนฟอสเฟตในปัสสาวะสูง จะทำให้เด็กมีความฉลาดทางสติปัญญาลดลง ประสิทธิภาพการทำงานของกล้ามเนื้อมัดเล็ก-ใหญ่ลดลง และสัมพันธ์กับการตอบสนองของเด็กต่อสิ่งเร้าด้วย 2) หลังคลอดเมื่อตรวจในเลือดมารดาและสายสะดือพบพาราควอต 20 % และพบไกลโฟเซตสูงถึง 50 % แสดงให้เห็นว่าสารดังกล่าวส่งต่อจากแม่ไปถึงลูก 3) นอกจากนี้ยังตรวจพบพาราควอตในหญิงตั้งครรภ์ และในขี้เทาเด็กแรกเกิดรวมถึงในน้ำนมมารดาก็พบออร์แกโนฟอสเฟตหลายตัวอีกด้วย  ‘เยาวชนเท่าทันทางการเงิน’         มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับ สถานทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย เปิดตัว โครงการ ‘เยาวชนเท่าทันทางการเงิน’ หวังเพิ่มความรู้และทักษะทางการเงินแก่เยาวชน เพื่อเพิ่มความรู้ทางการเงินและทักษะในการบริหารจัดการเงินให้แก่เยาวชน โดยมีการจัดทำหลักสูตรรู้เท่าทันการเงิน การจัดทำวีดีโอ ภาพยนตร์สั้น และฝึกอบรมให้กับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ใน 30 โรงเรียนทั่วประเทศ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2563 ถึง เดือนกุมภาพันธ์ 2564 โดยหลักสูตรมี 5 หน่วยการเรียนรู้ ได้แก่ 1) สิทธิผู้บริโภค 2) ที่มาของรายได้ 3) การวางแผนทางการเงิน 4) รู้ทันภัยการเงิน และ 5) หนี้ จากนั้นจึงนำหลักสูตรไปอบรมให้แก่นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในโรงเรียนกลุ่มเป้าหมายจำนวน 30 โรงเรียน สามารพติดตามความเคลื่อนไหวได้จาก เฟซบุ๊ก https://facebook.com/finfinconsumer/ 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 228 เงินเดือน 6 หลักแล้วรวย...จริงเหรอ?

                เคยเห็นหนังสือ how to ที่ชื่อเรื่องออกไปทำนองว่าทำอย่างไรถึงจะมีเงินเดือนหรือรายได้ 6 หลักไหม?         เป็นความฝันของใครหลายๆ คนเลยล่ะ เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณเข้าใจว่าการมีเงินเดือนสูงๆ แล้วคิดว่าตัวเองเป็นคนรวยล่ะก็ คุณกำลังเข้าใจผิดอย่างแรงเลย เพราะความร่ำรวยหรือคำที่น่าจะใช่กว่าคือความมั่งคั่ง (wealth) เป็นคนละเรื่องกับการมีรายได้สูง เพียงแต่คนที่มีรายได้สูงมีโอกาสที่จะสร้างความมั่งคั่งได้ง่ายกว่าคนที่มีรายได้ต่ำ         เรื่องการจัดการการเงินส่วนบุคคลนี่ซับซ้อนพอประมาณเหมือนกัน ไม่ผิดถ้าคิดว่าเงินก็คือทรัพย์สินแบบหนึ่ง แต่มันก็ง่ายเกินไป          รู้จัก henry ไหม?         เปล่า, ไม่ใช่ชื่อคน มันย่อมาจาก high earner not rich yet หรือคนที่หาเงินได้เยอะ แต่ทำยังไงก็ยังไม่รวย เพราะเงินที่หามาได้หมดไปกับการช้อปปิ้ง ท่องเที่ยว ซื้อประสบการณ์ พักโรงแรมหรู กินอาหารดี เสื้อผ้าแบรนด์เนม รายได้ 6 หลักจึงหมดไปกับเรื่องพวกนี้ เผลอๆ จะเป็นหนี้บัตรเครดิตด้วย         ดังนั้น การมีเงินเดือนหรือรายได้สูงๆ ไม่ได้หมายความว่าคุณร่ำรวย มันเพียงทำให้คุณมีกำลังซื้อมากกว่าคนอื่นเท่านั้น เพราะความมั่งคั่งไม่ได้วัดกันที่จำนวนรายได้ แต่วัดกันที่ความมั่งคั่งสุทธิหรือมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดลบด้วยมูลค่าหนี้สินทั้งหมด ถ้าทรัพย์สินมากกว่าหนี้มากๆ เท่ากับคุณมีความมั่งคั่งสุทธิมาก ยิ่งทรัพย์สินนั้นสามารถเพิ่มมูลค่าตัวมันเองได้ ความมั่งคั่งของคุณก็จะยิ่งสูงขึ้น นี่แหละที่เรียกว่าการลงทุน เช่น ซื้อที่ดินไว้ 1 ไร่ราคา 5 แสนบาท ผ่านไป 5 ปี ราคาเพิ่มเป็น 1 ล้านบาท เป็นต้น         คงเริ่มเห็นความแตกต่างระหว่างการมีรายได้สูงกับความมั่งคั่งกันแล้ว         ถ้าคุณมีประสบการณ์กับธุรกิจขายตรงที่ต้องหาทีมหรือลูกข่าย ยิ่งหาได้เยอะ รายได้คุณจะเยอะตาม เชื่อไหมว่าคนที่หารายได้ได้สูงๆ จากอาชีพนี้ บางครั้งก็ติดกับดักตัวเอง ยังไง? เพื่อให้ลูกข่ายเห็นว่าการทำอาชีพนี้จะทำให้ประสบความสำเร็จหรือร่ำรวย (ซึ่งเอาเข้าจริง มันเป็นคนละเรื่องกัน) และดึงดูดให้คนเข้ามาเป็นลูกข่ายมากขึ้น หัวหน้าทีมก็เลยต้องมีบ้านหลังโต รถหรู ใช้ของแบรนด์เนม         ลองคิดดู นาย ก. รายได้ต่อเดือน 1 แสนบาท ซื้อบ้านใหญ่โตมโหฬารราคา 5 ล้าน ผ่อนเดือนละ 35,000 บาท ผ่อนรถอีกหลักหมื่น ค่าใช้จ่ายเสริมภาพลักษณ์อีกหลักหมื่น ค่าส่งลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์อีกหลักหมื่น เผลอๆ เงินไม่เหลือ         ส่วนนาย ข. เงินเดือน 30,000 บาท เช่าห้องอยู่ ใช้รถโดยสารไปทำงาน ส่งเสียที่บ้านตามสมควร หนี้สินไม่มี แถมมีเงินเก็บทุกเดือน เดือนละ 3,000 บาท ชีวิตอาจไม่ดูดีเท่านาย ก. แต่ความมั่งคั่งของนาย ข. อาจเท่าๆ กันหรือสูงกว่า นาย ก.         สรุปคือ ถึงคุณจะมีเงินเดือนหลักแสน มันก็ไม่ได้ทำให้คุณมั่งคั่งหรือรวย ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ที่สำคัญกับชีวิตคุณจริงๆ และใช้จ่ายเพื่อสิ่งสำคัญนั้น ไม่ใช่เพื่อให้คนอื่นจับจ้องหรืออิจฉาชีวิตคุณ คุณก็จะเป็นได้แค่ henry ต้องทำงานๆ เพื่อให้มีเงินจับจ่าย โดยแทบไม่มีเงินเก็บและต่อยอดลงทุนเลย

อ่านเพิ่มเติม >