ฉบับที่ 249 โควิดก็ยังไม่หมด และข้อมูลมั่วๆก็ยังมา (1)

        โควิด19 ยังไม่หมด ข้อมูลเกี่ยวกับโควิด 19 ที่ไม่ถูกต้องก็ยังคงถาโถมมาเรื่อยๆ ยิ่งคนในยุคนี้ที่มีอะไรๆ ก็ต้องรีบแชร์ไว้ก่อนโดยไม่ตรวจสอบ ยิ่งเป็นการสนับสนุนให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องนี้แพร่กระจายไปได้เร็ว และมันก็จะหมุนเวียนกลับมาอีกในอนาคต ดังนั้นขอรวบรวมข้อมูลมั่วๆ ที่เคยเจอ พร้อมกับคำชี้แจงที่ถูกต้องมาให้ผู้บริโภคได้เข้าใจจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อและหลงเป็นเครื่องมือกระจายข่าวโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์          กินยาแอสไพริน ช่วยรักษาโควิด 19 ให้หายได้         แชร์กันไปเยอะ จนสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ต้องออกมาบอกว่าข้อมูลนี้ไม่จริง การรักษาโรคโควิด 19 ต้องให้การรักษาตามแนวทางของ ศบค. เป็นหลัก ส่วนการรักษาภาวะแทรกซ้อนของโรค อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ผู้ให้การรักษาเท่านั้น ผู้ป่วยโควิด 19 จึงไม่ควรซื้อยาแอสไพรินมารับประทานเอง การนำมารับประทานโดยไม่จำเป็นนอกจากจะไม่ช่วยรักษาอาการป่วยโควิด 19 แล้ว ยังอาจมีผลข้างเคียงจากแอสไพรินได้          ใช้น้ำเกลือ น้ำมะนาว หรือน้ำขิง ล้างคอ ต้านโรคโควิด 19         มีการแชร์คลิปเสียงอ้างว่าเป็นคณบดีคณะแพทย์ศิริราช แนะนำให้ใช้น้ำเกลือ น้ำมะนาว หรือน้ำขิง มาล้างคอ เพื่อต้านทานโควิด 19 ในเรื่องนี้คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลเคยออกมาแจ้งว่า เป็นข้อมูลเท็จ เสียงในคลิปนั้นก็ไม่ใช่เสียงของคณบดีคณะแพทย์ศิริราชแต่อย่างใด และยังชี้แจงเพิ่มเติมว่า การใช้น้ำเกลืออุ่นๆ น้ำมะนาวอุ่นๆ หรือน้ำขิงอุ่นๆ บ้วนปากและล้างคอ ก็ไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้         น้ำยาบ้วนปาก ป้องกันการติดเชื้อโควิด 19         กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่าตามที่มีการแชร์ข้อมูลน้ำยาบ้วนปาก ป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 โดยอ้างว่าเป็นผลการศึกษาวิจัยชิ้นใหม่ของคณะนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ ที่พบว่าน้ำยาบ้วนปากอาจมีประสิทธิภาพป้องกันการติดโควิด 19 ได้ด้วย เพราะสามารถทำลายเชื้อไวรัสโควิด 19 ก่อนที่มันจะสามารถเข้าสู่เซลล์ร่างกายมนุษย์         ข้อมูลดังกล่าวนี้เป็นเท็จ เพราะ น้ำยาบ้วนปากถูกผลิตให้ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้มีกลิ่นปาก แม้น้ำยาบ้วนปากบางชนิดจะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ แต่ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ จะไม่ถึงร้อยละ 20 ในขณะที่การฆ่าโควิดต้องใช้เอทิลแอลกอฮอล์ หรือเอทานอล ที่มีความเข้มข้น 70% ขึ้นไป หรือใช้โซเดียมไฮโปคลอไรท์ (NaOCl) ในการฆ่าเชื้อ ดังนั้นการใช้น้ำยาบ้วนปากฆ่าเชื้อโควิด 19 จึงไม่ได้ผล         รับประทานกล้วย ช่วยต้านโควิด 19         ข่าวนี้คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่าเป็นข้อมูลเท็จ ไม่มีผลในการช่วยต้านโควิดแต่อย่างใด นอกจากนี้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ป่วยโรคไต ก็ไม่ควรรับประทานกล้วยในปริมาณมากเพราะในกล้วยจะมีน้ำตาลและโพแทสเชียมสูง            กลั้นหายใจตรวจการติดเชื้อด้วยตัวเอง         มีการส่งต่อข้อมูลว่าสามารถตรวจสอบความเสี่ยงการติดโควิดด้วยตัวเอง โดยการหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นหายใจไว้ 10 วินาที รอดูว่ามีอาการไอ แน่นหน้าอกหรือไม่ หากไม่มีอาการแสดงว่าไม่ติดเชื้อ กระทรวงสาธารณสุข ออกมาชี้แจงว่าข้อมูลไม่เป็นความจริง ขณะนี้ยังไม่มีผลวิจัยทางการแพทย์ที่ออกมายืนยันว่าวิธีดังกล่าวสามารถใช้ตรวจการติดเชื้อโควิด 19 ได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 155 รู้เท่าทันกล้วย (2)

มารู้เท่าทันกล้วยต่อครับ 5. เปลือกกล้วยใช้รักษายุงกัด ถ้าถูกยุงหรือแมลงกัดต่อย มีตุ่มคัน ให้ใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงหรือแมลงกัดต่อย  เปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้ 6. แป้งจากกล้วยดิบนั้นมีผลในการรักษาแผลในกระเพาะอาหาร แป้งกล้วยดิบใช้รักษาโรคแผลในทางเดินอาหารซึ่งเกิดจากยาแผนปัจจุบันต่างๆ เช่น แอสไพริน ยาแก้การอักเสบของกล้ามเนื้อ เพรดนิโซโลน เป็นต้น ปัจจุบันผงกล้วยดิบได้บรรจุเป็นยาจากสมุนไพรที่อยู่ในรายการบัญชียาหลักแห่งชาติของประเทศไทยแล้ว 7. สารสกัดจากเปลือกกล้วยมีผลยับยั้งการโตของต่อมลูกหมาก มีงานวิจัยของนักวิจัยชาวญี่ปุ่น     Akamine K, et al. ปีค.ศ. 2009  พบว่า สารสกัดจากเปลือกกล้วยมีประโยชน์ในการรักษาอาการต่อมลูกหมากโต  แต่อย่างไรก็ตามเป็นการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองเท่านั้น  คงต้องมีการศึกษาต่อในระดับคลินิก  แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะมีการใช้สมุนไพรในการรักษาอาการต่อมลูกหมากโตจากสารสกัดเมล็ดปาล์ม Saw Palmetto ซึ่งมีการขายกันทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย  การใช้เมล็ดปาล์มดังกล่าวเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวอินเดียนอเมริกันที่ใช้รักษาทางโรคเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์   8. การกินกล้วยปกป้องผิวหนังจากการทำลายของแสงแดด มีงานวิจัยของดร.จารุภา วิโยชน์ และคณะ มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก ในปีพ.ศ. 2555 ที่ทำการวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่า สารสกัดจากกล้วยมีผลในการลดการทำลายผิวหนังจากรังสียูวีอย่างมีนัยสำคัญ  จึงอาจเป็นการยืนยันความเชื่อที่ว่าการกินกล้วยจะทำให้ผิวสวยงาม 9. ปลีกล้วยน้ำว้ามีฤทธิ์ในการลดน้ำตาลในเลือด งานวิจัยในอินเดียพบว่า มีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งในภูมิปัญญาดั้งเดิมของอินเดียมีการใช้เพื่อรักษาเบาหวาน นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอื่นๆ ที่พบว่า กล้วยมีสารประกอบที่ต้านเชื้อแบคทีเรีย เอชไอวี เชื้อราได้ 10. ประโยชน์อื่นๆ นอกจากนี้ กล้วยยังมีประโยชน์อีกมากมาย บังเอิญดูในเว็บไซต์หนึ่งซึ่งน่าสนใจดี เขาใช้ประโยชน์จากกล้วย ดังนี้ 1)      ใช้ขัดรองเท้าหนังให้เงางาม  โดยใช้ด้านในของเปลือกกล้วยมาเช็ดรองเท้าหนัง ทิ้งไว้สักครู่ แล้วใช้ผ้าเนื้อละเอียดเช็ดอีกครั้ง รองเท้าจะเงางามเหมือนใช้ยาขัดรองเท้าเลยทีเดียว 2)      ใช้ทำความสะอาดรอยเปื้อนของใบไม้ประดับ  โดยใช้ด้านในของเปลือกกล้วยเช่นเดียวกันเช็ดที่ใบไม้ประดับที่มีรอยเปื้อน  ทิ้งไว้สักครู่แล้วใช้ผ้าเช็ดอีกครั้ง ใบไม้จะเป็นเงางาม  ผู้ที่ทำงานด้านไม้ประดับ ในโรงแรม หอพัก สามารถใช้วิธีนี้ได้โดยไม่ต้องซื้อน้ำยาเช็ดเงาใบไม้ 3)      การลบรอยถลอกที่ผิวไม้บนตู้ โต๊ะ  รอบถลอกต่างๆ นั้นถ้าไม่ลึกมากก็สามารถใช้เนื้อกล้วยมาถูบนรอยถลอก แล้วใช้ผ้าเนื้อละเอียดมาถูอีกครั้ง ผิวไม้จะดูใหม่และไม่มีรอยถลอก 4)      การลบรอยหมึกที่ผิวหนัง  บางคนชอบติดสติกเกอร์ลายต่างๆ ที่ผิวหนัง  ถ้าต้องการลบรอยหมึกให้ใช้ด้านในของเปลือกกล้วยเช็ดถูรอยหมึกดังกล่าว  ก็จะเลือนหายไปได้อย่างรวดเร็ว 5)      รอยถลอกที่แผ่นซีดีจากการหยิบจับ ถู ครูด ให้ใช้ด้านในของเปลือกกล้วยเช็ดที่แผ่นซีดีแล้วใช้ผ้าสำหรับเช็ดแผ่นซีดีเช็ดออก แผ่นซีดีจะไม่มีรอยถลอก 6)      การดักจับแมลง เช่น แมลงหวี่ แมลงวัน ให้นำเปลือกกล้วยใส่ในถุงพลาสติก เปิดปากถุงทิ้งไว้สักครู่  แมลงจะเข้าไปในถุงพลาสติก เราเพียงแค่ปิดปากถุงให้แน่น แล้วนำไปทิ้ง  เพียงแค่นี้ก็สามารถลดแมลงต่างๆ ในบ้านได้ ก็ขอจบเรื่อง กล้วยๆ ไว้เพียงแค่นี้  หวังว่าเราคงมั่นใจว่า กล้วยมีประโยชน์กว่าที่คิดและมีอันตรายน้อยกว่าที่ได้ยินแพทย์แผนปัจจุบันบอกมา //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 154 รู้เท่าทันกล้วย (1)

ฉบับนี้ของนำเรื่องกล้วยๆ ที่เบาสมองมาลงเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ผ่อนคลายจากสถานการณ์การเมืองที่กำลังร้อนระอุ เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดสักหน่อย กล้วยเป็นพืชที่ผูกพันกับชืวิตคนไทยตั้งแต่เกิดจนตาย  ซึ่งเราจะเห็นได้จากพิธีกรรมต่างๆ ตั้งแต่ตอนแต่งงานก็จะแห่ต้นกล้วยกับอ้อยในขบวนขันหมาก เมื่อมาถึงเรือนหอก็จะปลูกลงดิน  พอครบปีกล้วยก็ออกลูก ทันเป็นอาหารสำหรับแม่และทารกไปพร้อมๆ กัน  ตอนเป็นหนุ่มสาว กล้วยเป็นทั้งอาหาร ยาและของใช้ต่างๆ  ยามตายก็เอากาบกล้วยมาฉลุสวยงามไว้ตกแต่งในงานศพ  เรียกว่าจากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน คนไทยขาดกล้วยไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันกลับเห็นว่า กล้วยประกอบด้วยแป้งเป็นหลัก ถ้ากินมากจะไปเพิ่มน้ำตาลและแป้งให้กับร่างกาย  จึงมีการแนะนำว่าไม่ควรกินกล้วยเพราะมีประโยชน์น้อยกว่าโทษที่ร่างกายได้รับ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไม่ส่งเสริมให้เด็กทารกในระยะ 6 เดือนหลังคลอดกินกล้วยบดหรือขูดตามภูมิปัญญาพื้นบ้านดั้งเดิม โดยบอกว่า นมแม่มีคุณค่าอาหารพอเพียงสำหรับทารก ไม่จำเป็นต้องให้อาหารเสริมอื่นๆ  ความเข้าใจเรื่องนี้ขัดต่อความรับรู้และการปฏิบัติของชาวบ้านอย่างยิ่ง เพราะจากประสบการณ์ตรงของชาวบ้านที่กินกล้วยเป็นประจำกลับพบว่ามีประโยชน์มากมาย  จนชาวบ้านถือว่ากล้วยเป็นยาอายุวัฒนะอย่างหนึ่งทีเดียว เรามารู้เท่าทันเรื่องกล้วยๆ กันดีกว่า   กล้วยเป็นพืชล้มลุกในสกุลมูซา (Musa)  กล้วยน้ำว้าที่คนไทยรู้จักดีและกินเป็นประจำ คือกล้วยน้ำว้า ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานี  นอกจากนี้ยังมีกล้วยต่างๆ มากมาย เช่น กล้วยไข่ กล้วยเล็บมือนาง กล้วยหอม กล้วยตีบ เป็นต้น กล้วยน้ำว้า 1 ลูกหนักประมาณ 40-50 กรัม กล้วยไข่ 1 ลูกหนักประมาณ 30 กรัม กล้วยหอม 1 ลูกหนักประมาณ 90 กรัม  ที่ต้องรู้น้ำหนักเพราะต้องไปเชื่อมโยงกับคุณค่าทางอาหารของกล้วยแต่ละลูก ในเมืองไทย ข้อมูลของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จะเทียบหน่วยเป็น 100 กรัม  ถ้าเราไม่รู้ว่ากล้วยหนึ่งลูกหนักเท่าไหร่ ก็คิดไม่ออกว่ากล้วยหนึ่งใบ มีคุณค่ามากน้อยแค่ไหน เพราะประเทศไทยขายกล้วยเป็นหวี ไม่ชั่งน้ำหนักขายเหมือนของเขมร เขมรจะชั่งกล้วยขายเป็นกิโลกรัม ข้อมูลของกรมอนามัย พบว่า กล้วยน้ำว้า 100 กรัม (ประมาณ 2 ลูก) ประกอบด้วย ความชื้นเป็นหลัก 62.6 กรัม แป้ง 33.1 กรัม โปรตีน 1.2 กรัม นอกจากนี้ ยังมีวิตามินเอ บี1 บี2 บี3 และซี  โดยกล้วยหอมมีวิตามินซีสูงสุด 27 มิลลิกรัม  ที่น่าสนใจคือ หัวปลีมีวิตามินเอสูงถึง 260 IU (international unit)  และมีวิตามินซีสูงเท่าๆ กับกล้วยหอม (25 มิลลิกรัม) นอกจากนี้ ในกล้วยยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็กในปริมาณเล็กน้อย  แต่ในหยวกกล้วยและหัวปลี (100 กรัม) มีแคลเซียมสูงถึง 22 และ 28 มิลลิกรัมกรัมตามลำดับ  ซึ่งแสดงว่า ภูมิปัญญาไทยดั้งเดิมนั้นชาญฉลาดอย่างยิ่งที่นำหยวกกล้วยและหัวปลีมาเป็นอาหาร โดยเฉพาะในแม่หลังคลอด พลังงานที่เกิดจากกล้วยซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันกลัวกันนักว่า กินกล้วยเหมือนกินแป้ง จะทำให้อ้วน  พบว่า กล้วยน้ำว้า 100 กรัม (ประมาณ 2 ลูก) ให้พลังงานเพียง 139 กิโลแคลอรี ตกลูกละ 70 กิโลแคลอรีเท่านั้น ยังน้อยกว่าไข่เจียว ไข่ดาว 1 ฟอง (215 กิโลแคลอรี) ส้มตำ 1 จาน (118 กิโลแคลอรี) หรือขนมครก 1 คู่ (92 กิโลแคลอรี) เสียอีก   กล้วยอื่นๆ ก็ให้พลังงานไม่แตกต่างกัน  ที่สำคัญ แป้งที่อยู่ในกล้วยนั้นเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งลำไส้จะย่อยและดูดซึมอย่างช้าๆ   นึกว่าจะกล้วยๆ ปรากฏว่าหน้ากระดาษหมดเสียก่อน  คงต้องขอต่อในฉบับหน้าอีกครั้ง //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 136 ปอกกล้วยเข้าปาก

อารมณ์ค้างกันบ้างหรือเปล่า ? ค้างจากความรู้สึกว่าของแพง?  ค้างจากน้ำมันแพง? ค้างจากค่าแรงไม่ได้ขึ้นครบทุกจังหวัด? บางคนค้างเพราะท่าน สส.ผู้ทรงเกียรติไม่ยอมนำกฎหมายองค์การอิสระเพื่อผู้บริโภคเข้าสภาเพื่อพิจารณาวาระสุดท้ายซะที? และค้างๆ กับอะไรอีกมากมาย ต่อไปนี้ถ้าอารมณ์ไม่ดี อย่าไปหวังอะไรกับใคร ให้หวังพึ่งตนเองหรือหวังเพื่อนๆ ช่วยไปซื้อกล้วยมากินดีกว่า (อิอิ) มีการสำรวจตรวจพบว่าในกลุ่มคนที่มีอาการซึมเศร้าเหงาหงอย หลายรายเมื่อหม่ำกล้วยเข้าไปแล้วรู้สึกเบิกบานใจขึ้นมาได้ ไม่ใช่เพราะกล้วยมีนางตานีที่ไหนมาเสกเป่าให้เราหายเซ็ง แต่ในกล้วยเนื้อนุ่มๆ นั้น มีสารที่เป็นส่วนประกอบที่เรียกว่า Tryptophan (ทริปโทแฟน) ที่เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายของเราย่อยแล้วจะเปลี่ยนเป็นสาร Serotanin (เซโรทานิน) ซึ่งเป็นสารที่เรียกกันว่า สารแห่งความสุข คือ จะช่วยทำให้ร่างกายผ่อนคลาย จึงช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นและก็มีความสุขขึ้น   ต่อไปไม่ว่าจะสถานการณ์ฉุกเฉินหรือในวันปกติ ถ้าคนไทยเปลี่ยนนิสัยซื้อขนมของฝากมาเป็นสารพัดกล้วยก็น่าจะดี ยกเว้นกล้วยแขกที่เขาแข่งกันขายตามสี่แยกรอรถติด พี่กล้วยแขกแบบนี้นานๆ กินที่จะดีกว่า อาหารทอดๆ นั้นอร่อยแต่ก็ได้ไขมันเพิ่ม กล้วยที่น่าเป็นของฝากตั้งแต่ กล้วยปิ้งทับแบนๆ แยกน้ำเชื่อมหวานๆ ให้คนที่ไม่ชอบหวาน กล้วยตาก แบบตากลูกกลมๆ ลูกแบนๆ ก็อร่อยใช้ได้ หรือจะเป็นผู้นำกระแสหิ้วกล้วยน้ำว้าสดไปฝากเป็นหวี ดี เท่ ช่วยเกษตรกรโดยตรงด้วย นอกจากช่วยให้อารมณ์ได้ทั้งวันแล้ว ใครที่เครียดจัดมานานจนโรคกระเพาะอาหารอาศัยในตัวแล้ว ขอบอกว่ากล้วยก็ยังทำหน้าที่ปัดเป่าอาการโรคกระเพาะได้อย่างดี จนกระทรวงสาธารณสุขยกระดับยาจากกล้วยผงใส่แคปซูล ให้เป็นยาในบัญชียาหลักของชาติด้วย ใครสะดวกหาซื้อยากล้วยก็เชิญ แต่ถ้าไม่ต้องซื้อก็ทำกินเองได้ ให้ผลการรักษาไม่แพ้กัน ขอให้กินสม่ำเสมอเท่านั้น มี 2 วิธี แบบทำเป็นยาเก็บไว้ใช้ได้ พกพาสะดวก ให้หากล้วยน้ำว้าดิบ ดิบหมายความว่าดิบๆ ไม่ใช้ที่เรียกว่าห่ามๆ กึ่งสุกกึ่งดิบนะ นำกล้วยน้ำว้าดิบมาปอกเปลือก จากนั้นก็ทำการฝานเนื้อกล้วยให้เป็นแผ่นบางๆ นำไปแตกแดดสัก 2 วัน พอแห้งลองหักดูก็รู้ว่ากรอบ แล้วนำไปบดเป็นผงให้ละเอียด เสร็จแล้วใส่ขวดหรือภาชนะที่มีฝาปิดให้สนิท เวลากินใช้ครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ โดยนำมาละลายน้ำหวาน น้ำผึ้ง เครื่องดื่มโกโก้ น้ำเต้าหู้หรือนมก็ได้ แต่ที่คนโบราณเขาใช้คือให้ละลายกับน้ำข้าว ข้อสำคัญควรกินยากล้วยก่อนอาหาร ประมาณครึ่งชั่วโมง กินทุกมื้อ และควรกินก่อนนอนด้วย วิธีที่ 2 ง่ายกว่านี้ แต่ไม่สะดวกในการพกพา ถ้าเปรียบกับโทรศัพท์มือถือก็ต้องแบกเครื่องโตๆ เหมือนเมื่อราว 25 ปีก่อน คือ ต้องพกกล้วยน้ำว้าสดๆ ไปตลอดวัน แต่ถ้าใครวางแผนได้ มีกล้วย 1 หวีที่บ้าน อีกหวีที่ทำงาน เลือดซื้อที่ยังไม่สุกนัก กินไปครบสัปดาห์กล้วยยังไม่งอม ให้กินกล้วยครั้งละ 1-2 ลูก ก่อนอาหารสัก 1 ชั่วโมง ที่ให้ทำแบบนี้เพราะถ้ากินใกล้มื้ออาหารจะกินข้าวไม่ลง เวลากินให้ค่อยๆ เคี้ยวกล้วยให้ละเอียดไม่ต้องรีบเร่งกิน เพราะในกล้วยมีโปรตีนจำนวนมากจะได้ช่วยย่อยในปากก่อนตกถึงกระเพาะด้วย การกินกล้วยสดๆ ได้ผลการรักษาโรคกระเพาะดีไม่แพ้กัน และยังได้สารแห่งความสุขด้วยเช่นกัน โรคกระเพาะหายอารมณ์ก็ดีขึ้น สถานการณ์ภัยอะไรมาก็รับมือได้เสมอ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 133 บานาน่า กล้วยๆ

  ก่อนที่จะใช้ประโยชน์กล้วย อยากชวนผู้อ่านยิ้มรับความภูมิใจให้กับกล้วยที่ขึ้นในแดนสยามสักนิด เพราะ “กล้วยปลูก” ที่กินกันอยู่ในปัจจุบันนี้มีที่มาจากสายพันธุ์ “กล้วยป่า” และ “กล้วยตานี” หรือที่วิวาห์กัน ของ “กล้วยป่า” กับ “กล้วยตานี” (ลูกผสม) ซึ่งทั้งกล้วยป่าและกล้วยตานีนั้น มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประเทศไทยตั้งอยู่ กล้วยปลูกกินทุกวันนี้จึงมีบรรพบุรุษมาจากกล้วยป่าในเมืองไทย นี่เอง เมื่อสำรวจสายพันธุ์หรือความหลากหลายทางชีวภาพ นักวิชาการก็ยอมรับว่า (น้อง)กล้วยของไทยเรามีความหลากหลายสูงมาก เช่น กล้วยน้ำไท (ไม่ใช่ชื่อโรงพยาบาลหรือชื่อย่านคนอยู่อาศัยใกล้ถนนพระรามสี่) แต่คือ พันธุ์กล้วยป่าชนิดหนึ่ง ที่มีการกลายพันธุ์มาแล้ว แต่ยังมีลักษณะพันธุ์แท้ (กล้วยป่าพันธุ์แท้) อยู่มาก กล้วยน้ำไท มีผลคล้ายกล้วยหอมจันทร์ แต่ผลโค้งงอน้อยกว่า เนื้อในเป็นสีเหลืองส้ม มีกลิ่นหอมแรงคล้ายกลิ่นดอกไม้ ใครได้ลองกินแล้วจะรู้ รสหวานชื่นใจ คิดขยายพันธุ์ก็แยกหน่อไปปลูกได้ ในตำรายาโบราณ ใช้กล้วยน้ำไท ซึ่งมีรสฝาดสมาน ช่วยแก้ท้องเสีย ใช้ยางกล้วยน้ำไทเช็ดลิ้นเด็กแก้ละอองซางกินผลสุกเป็นยาเจริญธาตุหรือบำรุงธาตุ (ช่วยระบบกระเพาะลำไส้ให้ปกติ) ที่สำคัญกล้วยน้ำไทใช้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ เช่น ไหว้ครู ทำขวัญข้าว แต่ทุกวันนี้หายากขึ้นจึงใช้กล้วยน้ำว้าแทน คนไทยวันนี้จึงได้กินเฉพาะกล้วยปลูก เช่น กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ กล้วยหอม กินเป็นอาหาร ทำเป็นขนม กินได้เกือบทุกส่วนของต้นกล้วย และยังทำเป็นของสด ของแห้ง จนความรู้สึกของเราเห็นกล้วยเป็นของพื้นๆ มองข้ามความสำคัญและคุณค่าของกล้วย สายตาของนักโภชนาการยอมรับว่า กล้วยหนึ่งลูกเป็นอาหารแก้หิวได้สบายๆ ช่วยยังชีวิตของเราได้ นักวิชาการฝรั่งที่คนไทยชอบฟังนั้น ก็ยังแนะนำว่า อาหารเช้าถ้าหาอะไรกินไม่ได้ให้กินกล้วยสัก 1-2 ลูกก็ยังดี เพราะกล้วยมีคุณค่าอาหารและให้พลังงานเพื่อให้ชีวิตยามเช้าไปถึงเที่ยงมีพลังมากพอในการทำงาน ถ้าเปรียบกับบะหมี่สำเร็จรูป กล้วยอาจไม่อร่อยเท่าบะหมี่ซองผสมผงชูรส แต่กล้วยอิ่มท้องและมีคุณค่าโภชนาการน่ากินกว่า ที่น่าตื่นเต้น แต่คนไทยทั่วไปรวมถึงนักวิชาการไม่ตื่นเต้นไปด้วย ตรงที่เมื่อเกิดวิกฤตภัยพิบัติ คนก็ไปคาดหวังอาหารถุง ข้าวสุกแบบฉีกซองกินได้ไม่ต้องพึ่งน้ำไฟในพื้นที่ประสบภัย แต่ทำไมไม่นึกถึง”กล้วยตาก”อาหารที่ไม่ต้องฉีกห่อก็กินได้ น้ำไฟก็ไม่ต้องพึ่ง เด็กกินได้ผู้ใหญ่กินดี กินไม่หมดผูกหนังยางเก็บได้อีกหลายวัน เมื่อต้องล่องเรือ ขึ้นรถ(ทหาร) หนีน้ำหรือเดินทางไปทำธุระก็ยังพกกล้วยตากใส่เป้ติดไปกินได้ทั้งวัน กล้วยน้ำว้าตากแห้ง  ลูกขนาดกลางๆ โภชนาการอาจลดลงบ้าง แต่ก็ยังมีอยู่และมีพอเพิ่มพลังงานให้กับชีวิตเราในยามวิกฤตได้ กล้วยสุก กล้วยตาก หาได้ทั่วประเทศไทย วิกฤตมาเราก็รับมือได้ และยังมีกล้วยฉาบแบบเค็มหวาน เป็นของกินเล่นแก้เซ็งในยามเจอภัยได้อีกด้วย ในยามปกติอยากแนะนำให้กินกล้วยสดเป็นประจำ เป็นผลไม้ประจำมื้ออาหาร กินแล้วท่านจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์จากเซ็งๆ เครียดๆ จะทุเลาลง เพราะข้อมูลทางวิชาการสมัยใหม่พบว่า ในกล้วยมีสารที่เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง กินแล้วร่างกายของเราจะเปลี่ยนเป็นสาร เซโรโทนิน ( serotonin) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ช่วยให้ภาวะอารมณ์รู้สึกมีความสุขขึ้นด้วย ถ้าไม่เบื่อยังมีเรื่องกล้วยๆ เป็นยาสมุนไพร จะขอชวนกินกล้วยแก้เซ็งรอฉบับหน้านะ.  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 140 กล้วยแขก

อาหารว่างที่คงความนิยมมาโดยตลอด กินกันมาตั้งแต่จำความได้พร้อมๆ กับการหาข้อมูลข่าวสารต่างๆ บนถุงกล้วยแขก ที่ว่ากันว่าสร้างนักอ่าน นักเขียน นักวิชาการกันมาหลายคน กล้วยแขกหรือกล้วยน้ำว้าชุบแป้งทอดนี้ มีสันนิษฐานถึงที่มากันหลายสำนัก บ้างก็ว่าน่าจะมาพร้อมๆ กับการมาเยือนของคนต่างถิ่นอย่างชาวอินเดีย ที่คนไทยเรียกว่า แขก (แขกหมายถึงผู้มาเยือน สมัยก่อนคนอินเดียมาค้าขายกับคนไทย ก็มีลักษณะมาๆ ไปๆ ไม่ได้อยู่ประจำ) เพราะวิธีการทำอาหารด้วยการทอดแบบน้ำมันท่วมนั้นทางอินเดียเขาทำกันมานานแล้ว แต่บางหลักฐานก็ว่าน่าจะมาจากอาหารว่างของชาวมลายู ที่เรียกว่า Pisang goreng เป็นกล้วยชุบแป้งทอดเหมือนกัน แต่ของเขาไม่ใส่มะพร้าวและงา และทอดทั้งลูกไม่ได้ฝานบางอย่างไทย Pisang goreng ไม่ใช่อาหารพื้นเมืองของชาวมลายูแท้ๆ แต่เป็นชาวโปรตุเกสที่เข้ามาค้าขายในดินแดนแถบนี้เห็นว่า กล้วยเป็นพืชพื้นเมืองที่มีอยู่ดาษดื่น จึงนำมาชุบแป้งทอดเป็นอาหารเช้า ในพระราชนิพนธ์ของ รัชกาลที่ 5 เมื่อคราวเสด็จประพาสเมืองสิงคโปร์ ปี พ.ศ. 2433 มีบันทึกไว้ว่า ทรงเที่ยวเล่นไปอย่างชาวบ้าน “ไปซื้อซาเต๊ะกับกล้วยแขกตามที่หน้าตึกริมถนนกิน” ซึ่งถึงกับทรงสรรเสริญว่า "กล้วยแขกของเขาดีกว่าของเราร้อยเท่าพันทวี” (พระราชนิพนธ์เรื่องระยะทางเสด็จพระราชดำเนิรประพาสทางบกทางเรือรอบแหลมมะลายู รัตนโกสินทรศก 109) จึงเป็นไปได้ว่า กล้วยแขกอย่างไทยเราอาจเป็นการต่อยอดมาจาก “กล้วยแขก  Pisang goreng” ของชาวมลายู กินกล้วยแขกกันมานานจนชิน แต่หลังๆ หลายคนชักขยาดเพราะกล้วยแขกที่ต้องทอดด้วยน้ำมันท่วมๆ นั้น ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการทำให้อ้วนและน้ำมันที่นำมาทอดซ้ำๆ นั้นเป็นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของมะเร็ง ซึ่งจริงๆ ก็ไม่เฉพาะกล้วยแขกเท่านั้น อาหารทอดด้วยน้ำมันท่วมความร้อนสูง ล้วนก่อปัญหาให้สุขภาพได้ทั้งสิ้น ถ้ากินกันแบบจริงๆ จังๆ ทุกมื้อทุกวัน แต่ถ้ากินไม่มาก พอได้รสได้ชาติ ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 179 กระแสต่างแดน

สร้างแลนด์มาร์คชาวเมืองโอลกีอาสโตร ซิเลนโต เมืองเล็กๆ ในแคว้นคัมพาเนีย ของอิตาลี ออกมาคัดค้านแผนการสร้างรูปปั้นแลนด์มาร์คของเมือง ด้วยงบประมาณ 150 ล้านยูโร (เกือบ 6,000 ล้านบาท) ทั้งๆ ที่ถนนและระบบประปายังอยู่ในสภาพย่ำแย่ เพื่อเป็นเกียรติแก่หลวงพ่อพีโอ นักบุญผู้เป็นที่เคารพรักของชาวอิตาลี นายกเทศมนตรีเมืองนี้ประกาศว่าจะสร้างรูปปั้นของท่านให้มีความสูงถึง 85 เมตร (เทพีเสรีภาพของอเมริกา หรือรูปปั้นพระเยซูมหาไถ่ในบราซิล ซึ่งสูงประมาณ 46 เมตร จะดูเล็กไปเลย)   ชาวบ้านส่วนใหญ่(จากทั้งหมด 2,200 คน) ไม่เห็นด้วยเพราะไม่มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นก่อน ทั้งๆที่โครงการนี้มีมูลค่าสูงลิบ เงินเหล่านี้ควรนำไปปรับปรุงท่อส่งน้ำประปา สร้างถนนเพิ่ม หรือไม่ก็สร้างสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐานโอลิมปิกที่มีแผนจะสร้างมาตั้งแต่ 22 ปีก่อนให้เสร็จเสียที นายกฯ เขายืนยันว่ารูปปั้นนี้จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาใช้จ่ายเงิน เพิ่มรายได้ให้คนท้องถิ่น โครงการดังกล่าวดำเนินต่อไป โดยยังไม่ชัดเจนว่าจะใช้เงินทุนจากแหล่งใด เงินภาษี? เงินอียู? หรือเงินบริจาคจากภาคเอกชน?  คืนข้ามปีเป็นที่รู้กันว่าโรงพยาบาลที่ไหนๆ ต่างก็เจอศึกหนักในคืนข้ามปี ยืนยันได้ด้วยรายงานตัวเลขผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตด้วยสาเหตุที่เกี่ยวเนื่องกับการบริโภคแอลกอฮอลเกินกว่าเหตุ แต่ปีนี้ที่เมืองซิดนีย์ ออสเตรเลีย ทั้งตำรวจและทีมแพทย์ฉุกเฉินต่างยินดีเป็นที่ยิ่ง เพราะมีเหตุวุ่นวายน้อยลงกว่าปีก่อนหน้า อาจมีคนเรียกรถพยาบาลบ้าง แต่ก็เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ผู้อำนวยการแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลเซนต์วินเซนต์ ถึงกับกล้าฟันธงว่า ปีใหม่ที่ผ่านมานี่ถือว่าเป็นปีใหม่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด เขาดีใจที่การรณรงค์ที่ผ่านมาได้ผลดีจนคนออสซี่เริ่ม “ดื่ม” แบบศิวิไลซ์มากขึ้น เป็นการส่งสัญญาณว่า แม้จะไม่เมาแต่เราก็ยังดูการแสดงดอกไม้ไฟตอนเคานท์ดาวน์ได้สนุกเหมือนเดิม     ด้านนายกเทศมนตรี ก็เป็นปลื้มที่วัฒนธรรมการดื่มของผู้คนกำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับในอีกหลายๆ ประเทศ (อาจยังไม่รวมประเทศไทย) แต่ที่กรุงเทลอาวีฟ อิสราเอล เหตุการณ์ยังคงน่าเป็นห่วง ทั้งตำรวจ ทั้งหน่วยกู้ภัยต่างงานล้นมือกันในคืนก่อนปีใหม่ มีผู้ป่วยถูกนำตัวเข้ามารับการรักษาฉุกเฉินที่โรงพยาบาลมาเกน เดวิด ถึง 461 คน ในจำนวนนี้มีเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะที่ถูกนำส่งโรงพยาบาลเพราะดื่มแอลกอฮอลมากไปถึง 63 คน   เรื่องไม่กล้วยนักวิจัยจากเนเธอร์แลนด์ออกมาเตือนว่า อีกไม่นานกล้วยหอมเขียวคาเวนดิช ซึ่งเป็นกล้วยพันธุ์ยอดนิยมที่สุดในขณะนี้กำลังจะถูกล้างเผ่าพันธุ์โดยเชื้อรา TR4 เชื้อราสายโหดนี้สามารถกบดานรอเวลาจู่โจมได้ถึง 30 ปี มันลงมือด้วยการทำลายกลไกการส่งน้ำ ต้นกล้วยจึงเหี่ยวเฉาอย่างรวดเร็วและแห้งตายในที่สุด TR4 (Tropical Race 4) ถูกค้นพบครั้งแรกในไต้หวัน หลังจากมันเป็นสาเหตุการตายหมู่ของต้นกล้วยจำนวนมาก 3 ปีก่อนหน้านั้น แต่เรื่องนี้มีคนรู้ค่อนข้างน้อย ต่อมามันได้แพร่กระจายเข้าไปในเอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงที่อื่นๆ เช่น จอร์แดน ปากีสถาน เลบานอน โอมาน และออสเตรเลีย ที่สำคัญ ยาฆ่าเชื้อราที่มีอยู่ขณะนี้ไม่สามารถทำอะไรมันได้ และถ้ามันขึ้นฝั่งละตินอเมริกาซึ่งเป็นผู้ผลิตกล้วยหอมร้อยละ 80 ของโลกได้ เราคงจะลำบากแน่   แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ครั้งหนึ่งกล้วยหอมพันธุ์กรอส มิเชล ก็เคยถูกโรคปานามากวาดล้างไปแล้ว นักวิจัยเสนอให้เร่งพัฒนากล้วยหอมสายพันธุ์ใหม่ที่สามารถต้านทานโรคนี้ได้ ปัญหาคือมันต้องใช้ต้นทุนสูง แล้วใครจะอยากลงทุนวิจัยและพัฒนา “พืชกำพร้า” อย่างกล้วยหอม ถ้ามันถูกจัดให้เป็น “พืชเศรษฐกิจ” ก็คงจะดี ฉันก็เป็น ... ผู้หญิงคนหนึ่งสาวประเภทสองชาวญี่ปุ่นนางหนึ่ง ประกาศจะฟ้องสถานออกกำลังกายที่ไม่ยอมให้เธอใช้ห้องน้ำหญิง โดยอ้างว่าตามกฎหมายแล้วเธอยังเป็นผู้ชายอยู่ สุภาพสตรีรายนี้ประกาศว่าจะยื่นฟ้องต่อศาลแขวงเมืองเกียวโต เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย 4.8 ล้านเยน (ประมาณ 1.5 ล้านบาท) จากบริษัทโคนามิ สปอร์ตคลับ   ในปี 2552 เธอเป็นสมาชิกของสถานออกกำลังกาย สาขาในเกียวโต ในสถานภาพของผู้ชาย หลังจากถูกวินิจฉัยในปี 2555 ว่าเธอมีภาวะความไม่พอใจในเพศของตัวเอง เธอจึงเริ่มทานฮอร์โมนตามคำแนะนำของแพทย์ และเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศในปี 2557 ก่อนการผ่าตัด เธอได้ปรึกษาครูฝึกว่าถ้าเธอกลับมาในรูปลักษณ์ของผู้หญิง เธอจะสามารถใช้ห้องน้ำและห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของผู้หญิงได้หรือไม่? แต่เธอได้รับคำตอบปฏิเสธจากผู้จัดการสาขา ซึ่งยืนยันว่าเธอจะทำเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อเธอได้แจ้งเปลี่ยนเพศอย่างเป็นทางการแล้วแต่เธอทำเช่นนั้นไม่ได้เพราะเธอมีลูกสาวที่อายุยังไม่ถึง 20 ปี(กฎหมายญี่ปุ่นไม่อนุญาตให้ผู้ที่มีบุตรอายุต่ำกว่า 20 ปีแจ้งเปลี่ยนเพศ เพื่อป้องการการเกิดกระทบทางจิตใจต่อเด็ก) เธอบอกว่าอยากให้สังคมญี่ปุ่นเห็นความสำคัญของการเคารพสิทธิในการเลือกตัวตน และเธอต้องการเรียกร้องสิทธิที่จะใช้ชีวิตตามเพศที่เธอเลือก เพราะเธอมีสิทธิที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ตามมาตรา 13 ในรัฐธรรมนูญ  ทำไมไม่แจ้ง?ตามประกาศฉบับใหม่ ผู้ใช้บริการรถไฟที่ได้รับความเดือดร้อนจากการยกเลิกเที่ยววิ่งหรือมาช้ากว่ากำหนดจะมีสิทธิขอเงินคืนได้ แต่การสำรวจล่าสุดของ Which? องค์กรผู้บริโภคในอังกฤษพบว่ามีเพียง 1 ใน 3 ของผู้โดยสารกลุ่มดังกล่าวเท่านั้นที่ยื่นเรื่องขอเงินคืน และเมื่อถามว่า ครั้งล่าสุดที่รถไฟของคุณมาสาย คุณได้รับการแจ้งสิทธิเรื่องการขอเงินคืนหรือไม่? ก็มีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่ตอบว่าได้รับแจ้ง สายสืบที่ปลอมตัวไปเป็นผู้โดยสารในสถานีรถไฟ 102 สถานี พบว่า มีไม่ถึง 1 ใน 5 ของสถานีเหล่านั้นที่อธิบายให้ผู้โดยสารเข้าใจเงื่อนไขการขอเงินคืน และมากกว่าร้อยละ 60 ไม่แจ้งผู้โดยสารว่าพวกเขามีสิทธิดังกล่าว ทั้งๆ ที่ผู้โดยสารเข้าไปถามกับเจ้าหน้าที่โดยตรง    สำนักงานกำกับดูแลการขนส่งทางรางและทางถนน Office of Rail and Road (ORR) ก็มีข้อมูลที่ยืนยันว่าผู้โดยสารมีการรับรู้เรื่องนี้น้อยมาก ทั้งๆ ที่ผู้ประกอบการได้มาร่วมลงนามเรื่องการให้ข้อมูลที่ชัดเจนแก่ผู้ที่มาซื้อตั๋วโดยสาร (ข้อมูลที่ว่านั้นหมายรวมถึงสิทธิในการได้รับเงินคืนด้วย)ผู้ประกอบการรถไฟบางเจ้ามีระบบคืนเงินอัตโนมัติ กรณีที่ผู้โดยสารซื้อตั๋วล่วงหน้าผ่านบัตรเครดิต แล้วขบวนรถเที่ยวนั้นมาสาย บางเจ้าใช้วิธีแจกตั๋วฟรีให้นำไปใช้วันหลัง เป็นต้น    เรื่องนี้ต้องติดตามตอนต่อไป Which? กำลังยืนเรื่องต่อ ORR ให้สอบสวนว่าเหตุใดผู้ประกอบการเหล่านั้นจึงไม่มีการแจ้งผู้โดยสารตามที่ได้ตกลงกัน  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 149 กระแสต่างแดน

คุณบอกดาว! มาตรการใหม่จากกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงเกษตรของออสเตรเลียจะทำให้คุณแอบอิจฉา เพราะต่อไปนี้จะมีการ “ติดดาว” ให้กับอาหารสำเร็จรูปเพื่อบอกให้รู้ว่าอาหารนั้นดีต่อสุขภาพมากน้อยเพียงใด Health Star Rating ที่ว่านี้มีตั้งแต่ ครึ่ง ถึง 5 ดาว โดย 5 ดาวหมายถึงอาหารที่มีประโยชน์สุดๆ จะกี่ดาวไม่ว่า แต่เขากำหนดให้ผู้ผลิตนำเสนอดาวอย่างชัดเจนบนฉลากด้านหน้าของบรรจุภัณฑ์เท่านั้น เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน กว่าจะตกลงกันได้ รัฐบาล ผู้ผลิต องค์กรด้านสุขภาพ และองค์กรผู้บริโภค ก็ใช้เวลาหลายปี ไหนจะมีการล็อบบี้จากอุตสาหกรรมอาหารเข้าแทรกเป็นระยะ   ด้านผู้ผลิตก็มีความหงุดหงิดอยู่บ้างเป็นธรรมดา เขาบอกว่าต้องใช้เงินถึง 200 ล้านบาท ในการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของแพคเก็จ และยังบอกด้วยว่ายังไม่เห็นหลักฐานจากงานวิจัยที่บอกว่าการติดดาวนี้จะแก้ปัญหาโรคอ้วนได้ ออสเตรเลีย ซึ่งประชากร 10 ล้านคน (จากทั้งหมด 23 ล้านคน) อยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน ตั้งเป้าจะลดอัตราการเกิดโรคเรื้อรังและโรคอ้วนได้ด้วยวิธี “ติดดาว” ซึ่งถือเป็นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ขั้นแรกเขาให้เป็นความสมัครใจของผู้ผลิต แต่ถ้าสองปีผ่านไปแล้วคนสมัครใจยังมีน้อยมาก ก็จะเปลี่ยนเป็นแบบบังคับกันล่ะครับผม   การศึกษาดีเริ่มที่บ้าน ที่เมืองจีนนั้นคุณจะไม่มีสิทธิเลือกโรงเรียนถ้าคุณต้องการให้ลูกเข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาล เพราะกฎหมายกำหนดให้คุณส่งลูกเรียนในโรงเรียนใกล้บ้านเท่านั้น แต่โรงเรียนดีๆ ที่สามารถการันตีอนาคตเด็กได้กลับมีน้อยมาก (คุ้นๆนะ) เรียกว่าถ้าใครมีบ้านอยู่ในเขตเดียวกับโรงเรียนดังก็เหมือนถูกหวยเลยทีเดียว ถึงไม่มีก็ไม่ยาก ถ้าคุณมีเงิน ในข่าวเขายกตัวอย่างของครอบครัวหนึ่งที่ตัดสินใจขายบ้านหลังใหญ่ ในย่านที่มีสภาพแวดล้อมยอดเยี่ยม เพื่อนำเงินมาซื้ออพาร์ตเมนต์ในเขตเดียวกับโรงเรียนที่หมายตาไว้ให้ลูก ซึ่งจะเข้าโรงเรียนในอีก 3 ปีข้างหน้า (กฎของเมืองเซี่ยงไฮ้กำหนดให้เด็กต้องมีชื่อเป็นผู้อาศัยในเขตเดียวกับโรงเรียนอย่างน้อย 3 ปี) แต่คุณต้องทำใจ เพราะที่อยู่อาศัยในเขตเดียวกับโรงเรียนดังนั้นจะมีราคาแพงกว่าที่อยู่นอกเขตเป็นเท่าตัว และยังไม่นับว่าสภาพก็ค่อนข้างจะย่ำแย่ด้วย อพาร์ตเมนท์ขนาด 28 ตารางเมตร ที่ครอบครัวนี้ตัดสินใจซื้อนั้น แม้จะอายุ 30 ปีแล้ว ก็ยังขายได้ราคาประมาณ 250,000 บาท (50,000 หยวน) ต่อตารางเมตร ไม่ว่าจะแพงแค่ไหน พ่อแม่เหล่าก็ยินดีจ่ายโดยไม่ลังเล เพราะช้าเดี๋ยวหมดแล้วลูกจะอดเรียน ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าจีนมีคอนโดสร้างใหม่ที่ไม่มีใครไปซื้ออยู่ ... คงเป็นเพราะไม่มาสร้างในย่านที่มีโรงเรียนดีๆ นี่เอง     คนรุ่นใหม่เชิดใส่บัตรเครดิต เรากำลังพูดถึงคนอเมริกันในยุคเศรษฐกิจชะลอตัวที่กลัวการเป็นหนี้ ข้อมูลจาก FICO (คล้ายๆ บริษัทเครดิตบูโรที่บ้านเรา) ระบุว่า คนอายุระหว่าง 18 – 29 นิยมไม่มีบัตรเครดิตกันมากขึ้น ข้อมูลปี 2012 ระบุว่ามีถึงร้อยละ 16 และหนี้บัตรเครดิตของกลุ่มอายุนี้ก็ลดลงด้วย เมื่อ 5 ปีก่อนเป็นหนี้เฉลี่ยคนละ 3,073 เหรียญ (95,500 บาท) ปีที่แล้วลดลงมาเหลือ 2,087 เหรียญ (65,000 บาท) ข่าวบอกว่าสาเหตุหนึ่งคือ พ.ร.บ.บัตรเครดิต ที่ประกาศใช้เมื่อสี่ปีที่แล้วนั้นทำให้คนอายุต่ำกว่า 21 ปีขอมีบัตรเครดิตได้ยากขึ้นกว่าเดิม และภาวะฝืดเคืองยังทำให้หนุ่มสาวอเมริกันเลือกที่จะไม่ซื้อรถเพราะต้องการเก็บเงินสำรองไว้ยามจำเป็น และไม่ใช้บัตรเครดิตเพราะกลัวว่าจะเมื่อมีปัญหาไม่สามารถชำระเงินได้ ก็จะถูกบันทึกประวัติ ทำให้ไม่สามารถขอกู้เงินในยามฉุกเฉิน และคนกลุ่มนี้ยังนิยมใช้การจ่ายเงินผ่านมือถือหรือการหักบัญชีธนาคารกันมากขึ้นด้วย แต่เดี๋ยวก่อน ... แม้จะไม่มีหนี้บัตรเครดิต แต่หนุ่มสาวเหล่านี้กลับมีหนี้เงินกู้เพื่อการศึกษามากขึ้น จากหนี้เฉลี่ยคนละ 6,500 เหรียญ (202,000 บาท) เมื่อ 5 ปีก่อน เพิ่มเป็น 11,500 เหรียญ (358,000 บาท) ในปี 2012   กีวีนิยมกินกล้วย สำนักงานสถิติแห่งชาติของนิวซีแลนด์ระบุว่า ผลไม้ที่ชาวกีวีนิยมซื้อหามารับประทานมากที่สุดคือกล้วยหอม สถิติระบุว่า ประชากรหนึ่งคนจะบริโภคกล้วยหอมปีละ 18 กิโลกรัม (หรือสัปดาห์ละ 2 ลูก) และแต่ละครัวเรือนจะมีค่าใช้จ่ายเรื่องกล้วยๆ ไม่ต่ำกว่าปีละ 2,000 บาท แซงหน้าแอปเปิ้ลและส้ม ซึ่งมียอดซื้ออยู่ที่ 1,500 และ 650 บาท ต่อครัวเรือนต่อปีไปขาดลอย อาจเป็นเพราะผู้คนรู้สึกว่ากล้วยเป็นอาหารที่คุ้มค่าเงินที่สุด ในขณะที่ราคาอาหารในนิวซีแลนด์พากันขึ้นราคาเป็นสามเท่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา กล้วยหอมมีราคาเพิ่มจากเดิมเพียงสองเท่าเท่านั้น (จาก 34 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 68 บาท) แถมกล้วยหอมยังเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูง ถูกใจคนที่ต้องการอิ่มท้องแต่ไม่ต้องเสียเงินมากอีกด้วย แต่ขอบอกว่านิวซีแลนด์ไม่ได้ปลูกกล้วยหอมเองเลย เขาต้องพึ่งพากล้วยหอมนำเข้าจากเอกวาดอร์และฟิลิปปินส์ ความต้องการเยอะขนาดนี้ เกษตรกรไทยสนใจจะปลูกไปขายเขาบ้างไหม?     ระวังผู้ติดตาม แม้ปัจจุบันการมีผู้ติดตาม หรือ Follower ในเว็บโซเชียลทั้งหลายจะไม่ใช่เรื่องใหม่และเป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนาจะมีให้มากไว้ แต่รู้หรือไม่ว่านอกจากคนอเมริกันจะถูกรัฐบาลแอบฟังเป็นประจำแล้ว (ตามที่เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดนออกมาแฉ) แล้ว พวกเขายังเป็นเป้าหมายการติดตามของบรรดาเว็บไซต์ต่างๆ ที่ต้องการข้อมูลส่วนบุคคลอีกด้วย งานวิจัยชิ้นล่าสุดจากมหาวิทยาลัยเซาท์เธิร์นแคลิฟอเนีย พบว่ามีคน “อยากรู้ว่าคุณอยากรู้อะไร” เพื่อนำไปประเมินหรือตีความว่าสุขภาพร่างกายจิตใจของคุณปกติดีหรือไม่ นักวิจัยทดลองใส่คำค้นเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ อย่าง “โรคซึมเศร้า” หรือ “มะเร็ง” ลงไปในเว็บไซต์ด้านสุขภาพ เช่น เว็บของสถาบันสุขภาพ องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ WebMD และ Weight Watcher แล้วใช้ซอฟต์แวร์ฟรี DoNotTrackMe และ Ghostery ตรวจจับว่าบุคคลที่สาม (Third Party) ในเว็บไซต์ที่เข้าไปมีใครบ้าง แล้วใช้ซอฟท์แวร์อีกตัวหนึ่งตรวจหาว่ามีการส่งต่อข้อมูลจากเว็บนั้นไปยัง Third Party ด้วยหรือไม่ ผลคือทุกเว็บที่สำรวจต่างก็มี “บุคคลที่สาม” และมีอยู่ 13 จากทั้งหมด 20 เว็บที่คอยติดตามข้อมูลผู้ใช้ สำคัญที่สุดคือมี 7 เว็บจาก 20 เว็บที่ส่งต่อข้อมูลการค้นหาของคุณออกไปให้คนอื่น ทั้งนี้ผู้วิจัยให้เหตุผลว่า เว็บไซต์ต่างๆ ยังสามารถทำอย่างนี้ได้ก็เพราะกฎหมายของอเมริกายังไม่ชัดเจนเรื่องการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวและการเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้นั่นเอง นักวิจัยเตือนว่า การถูกเปิดเผยว่าเรากำลังวิตกกับอาการเจ็บป่วยอะไรนั้นไม่ได้แค่ทำให้เราอับอาย แต่มันหมายถึงเราอาจถูกปฏิเสธโอกาสในการได้งานทำด้วย //

อ่านเพิ่มเติม >