ฉบับที่ 103 Electro smog มีผลต่อสุขภาพร่างกายมนุษย์?

จากที่เราได้ทำการทดสอบเตาแม่เหล็กไฟฟ้าและวัดค่าความเข้มของสนามแม่เหล็ก ซึ่งพบว่ามีค่าสูงมาก ประเด็นดังกล่าวทำให้ผู้บริโภคหลายท่านสนใจว่า สนามแม่เหล็กไฟฟ้า จะมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพของเราอย่างไรบ้าง ขอขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาวะ อิเลคโตรสมอก (Electrosmog) เพื่อไขข้อข้องใจของทุกๆ ท่านนะครับ หวังว่าจะสามารถช่วยให้ผู้อ่านทุกท่านทราบถึงภาวะความเสี่ยงเมื่ออยู่ภายใต้สนามแม่เหล็ก และจะได้หลีกเลี่ยงสำหรับประเด็นดังกล่าว นักวิชาการทั่วโลกก็ให้ความสนใจและมีการทำการศึกษาวิจัยอยู่ หากมีรายงานความคืบหน้าของผลการวิจัยในเรื่องนี้ ก็จะนำมาเล่าให้ฟังอีกเป็นระยะๆ นะครับ คำว่า อิเลคโตรสมอก (Electro smog) เป็นศัพท์ที่ได้มีการกล่าวอ้างถึงไว้ตั้งแต่ปี 1980 เป็นคำใช้เรียก สนามไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก และสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพร่างกายของสิ่งมีชีวิต สำหรับคำว่า smog มาจากศัพท์ภาษาอังกฤษสองคำมาผสมกัน คือ smoke (ควัน) กับ fog (หมอก) มาจากปรากฏการณ์ของอากาศที่เป็นมลภาวะ ซึ่งมนุษย์เราเริ่มเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในยุคอุตสาหกรรม หากเกิดปรากฏการณ์ smog ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็แสดงว่า สภาพของอากาศนั้นแย่มากและเป็นพิษต่อมนุษย์ด้วยผลกระทบจากการอยู่ภายใต้สนามไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก และสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีคลื่นความถี่ต่างกัน จะมีอาการแตกต่างกันออกไป เป็นต้นว่า ภายใต้สนามไฟฟ้าหรือคลื่นแม่เหล็กที่มีคลื่นความถี่ต่ำ อาจทำให้มีการระคายเคืองหรือคันที่ผิวหนัง เพราะคลื่นแม่เหล็กสามารถวิ่งผ่านเข้าสู่ร่างกายได้ และหากความเข้มข้นของคลื่นสูงจะไปกระตุ้นเซลล์ประสาทและเซลล์กล้ามเนื้อ ให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิสูงขึ้น การเพิ่มของอุณหภูมิขึ้นอยู่กับค่าที่เรียกว่า อัตราการดูดซึมจำเพาะ (Specific Absorption Rate: SAR) ถ้าวัตถุใดมีค่า SAR น้อย หากอยู่ภายใต้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะมีอุณหภูมิต่ำในประเทศเยอรมนีมีกฎหมายควบคุมมลภาวะ (26. BImSchV, Verordnung zur Durchführung des Bundes Immissionsschutzgesetz- Federal Pollution Protection Laws) โดยมีการควบคุมความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น ค่าความเข้มข้นที่มากที่สุดไม่ควรจะเกินค่า marginal value (marginal value = ค่าความเข้มข้นของสนามแม่เหล็ก ซึ่งทดสอบแล้วว่าไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์)โดยทั่วไปแล้วขณะที่เราใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน จะเกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่ของคลื่นไฟฟ้าต่ำ และค่าความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กไม่สูงมากนัก โดยอยู่ต่ำกว่า 100 ไมโครเทสลา ตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด เครื่องเป่าผมและเครื่องโกนหนวด เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กสูง แต่เนื่องจากเราใช้งานเป็นระยะเวลาสั้นๆ จึงไม่มีผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์ สำหรับค่าความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กของเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ภายในบ้าน สามารถตรวจสอบได้จากตารางที่ 1 จะเห็นได้ว่าความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กขึ้นอยู่กับ ระยะห่างระหว่างร่างกายมนุษย์กับเครื่องใช้ไฟฟ้า ยิ่งอยู่ไกล ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กก็จะลดลงตารางที่ 1 ค่าความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กที่เกิดจากอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ค่าความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน ที่ระยะต่างๆ (ไมโครเทสลา mT) อุปกรณ์ 3 cm 30 cm 1 m วิทยุ (แบบพกกพา) 16-56 1 < 0.01 โทรทัศน์ 2.5- 50 0.04- 2 0.01- 0.15 คอมพิวเตอร์ 0.5- 30 < 0.01 ไม่ระบุ เตาไมโครเวฟ 73- 200 4- 8 0.25- 0.6 เตาไฟฟ้า 1- 50 0.15- 0.5 0.01- 0.04 เครื่องล้างจาน 3.5- 20 0.6- 3 0.07- 0.3 ตู้เย็น 0.5- 1.7 0.01- 0.25 < 0.01 เตารีด 8- 30 0.12- 0.3 0.01- 0.03 เครื่องซักผ้า 0.8- 50 0.15- 3 0.01- 0.15 เครื่องดูดฝุ่น 200- 800 2- 20 0.13- 2 ดรายเป่าผม 6- 2,000 0.01- 7 0.01- 0.3 เครื่องโกนหนวด 15- 5,000 0.08- 9 0.01- 0.3 หลอดไฟฟลูออเสเซนต์ 40- 400 0.5- 2 0.02- 0.25 สว่านไฟฟ้า 400- 800 2- 3.5 0.08- 0.2 ที่มา Radiation Protection Commission of Federal Republic of Germany, 1997เตาไมโครเวฟ มีการแผ่รังสีของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูงออกมา เพื่อทำให้อาหารร้อน โดยปกติแล้วหน้าต่างของเตาไมโครเวฟจะมีตัวกำบังทำให้รังสีไม่รั่วไหลออกมาจากเตาได้แหล่งกำเนิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูง ภายในบ้านคือ โทรศัพท์ไร้สาย (cordless telephone) ขณะที่เรากำลังใช้โทรศัพท์ไร้สายนั้น ตัวฐานของโทรศัพท์จะปล่อยคลื่นสนามแม่เหล็กออกมา ตลอดเวลา เช่นเดียวกับ Baby phone  ก็จะปล่อยสนามแม่เหล็กออกมาได้เช่นกัน (Baby phone  เป็นเครื่องมือรับส่งสัญญาณ คุณพ่อคุณแม่ชาวเยอรมันนิยมใช้เครื่องมีนี้อย่างแพร่หลาย โดยวางเครื่องดังกล่าวไว้ในห้องของลูก เพื่อใช้ฟังเสียงทารกน้อยว่าตื่นหรือหลับ  ช่วยให้พ่อแม่ทำกิจกรรมอื่นๆ ภายในบ้านได้ ไม่ต้องเฝ้าลูกตลอดเวลา) Bluetooth เป็นเครื่องมือที่เชื่อมต่อสัญญาณในระยะสั้นๆ อยู่ในเครื่องมือสื่อสารอิเลคโทรนิคส์ เช่น คอมพิวเตอร์ โน้ตบุค แลปทอป ปาล์มทอป ออร์กาไนเซอร์  พริ้นเตอร์ และสแกนเนอร์  ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กที่เกิดจาก Bluetooth มีความเข้มข้นน้อยไม่จำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันเป็นพิเศษ โทรศัพท์มือถือ ที่ใช้ในเยอรมันต้องผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมการกำกับดูแลมลพิษจากการปลดปล่อยรังสี (Strahlenschutzkommission) ซึ่งผู้บริโภคสามารถสังเกตได้จาก ฉลากน้ำเงิน Der blaue Engelในประเทศเยอรมนีมักมีการโฆษณาเกี่ยวกับวัสดุที่สามารถป้องกันสนามแม่เหล็กได้ (Magnetic field protection shield) ผลิตจากเส้นใยสังเคราะห์ที่สามารถนำไฟฟ้าได้ โดยจะต่อสายดินพ่วงเข้าไปด้วย ข้อเท็จจริงคือวัสดุดังกล่าวสามารถป้องกันได้เฉพาะสนามไฟฟ้าความถี่ต่ำเท่านั้น ไม่สามารถป้องกันสนามแม่เหล็กได้ ทำให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันรังสีแห่งชาติ (The federal office for radiation protection) ออกมาเตือนประชาชนไม่ให้ใช้วิธีการดังกล่าวในการป้องกันสนามแม่เหล็ก TIPS: วิธีป้องกันและหลีกเลี่ยง Electro smog1. ควรเดินสายไฟโดยฝังลงไปในผนังให้ลึกพอสมควร 2.หากไม่ได้ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ควรถอดปลั๊กไฟออกไม่ควรปล่อยให้อยู่ใน mode standby โดยเฉพาะทีวี และเครื่องเล่นสเตอริโอ เนื่องจากจะมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเครื่องตลอดเวลาทำให้เกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้3. มาตรการการป้องกันสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงการอยู่ภายใต้สนามแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นระยะเวลานานๆ โดยเฉพาะในห้องนอน และห้องของเด็กทารก ไม่ควรตั้งนาฬิกาปลุกที่ใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ หรือวางโทรศัพท์ไร้สายไว้บนหัวเตียง 4. ไม่ควรให้เด็กเล็กอยู่ใกล้เตาไมโครเวฟขณะกำลังใช้งาน5. หลีกเลี่ยงการใช้ Babyphone ที่มีการส่งสัญญาณตลอดเวลาและติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณให้ไกลจากตัวเด็ก นอกจากนี้ ควรใช้ Babyphone ที่ใช้พลังงานจากถ่านไฟฉาย เพื่อหลีกเลี่ยง สภาวะสนามแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ต่ำ6. หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือเป็นระยะเวลานานๆ ควรรอสัญญาณให้คู่สายรับสัญญาณก่อนที่จะนำโทรศัพท์ไปแนบหู ใช้ Head set หรือส่ง SMS แทนการคุยทางโทรศัพท์ ขณะอยู่ที่บ้านควรใช้โทรศัพท์บ้านแทน วิธีการต่างๆ เหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการอยู่ภายใต้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point