ฉบับที่ 104 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนกันยายน 255213 กันยายน 2552ระวังหมอฟันเถื่อนเกลื่อนเมือง!กรณีที่มีหญิงสาวคนหนึ่งออกมาร้องเรียนกับสื่อมวลชนว่าถูกหมอฟันในคลินิกแห่งหนึ่งย่านรามคำแหงทำอนาจาร พร้อมทั้งตั้งข้อสงสัยว่าภรรยาของหมอฟัน ที่แต่งชุดและทำงานคล้ายกับทันตแพทย์นั้น จริงๆ แล้วอาจไม่ได้เป็นทันตแพทย์จริง ศาสตราจารย์พิเศษ พลโท พิศาล เทพสิทธา นายกทันตแพทยสภา กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบสำหรับกรณีทันตแพทย์ชายลวนลามคนไข้ ส่วนเรื่องภรรยาของทันตแพทย์ซึ่งตรวจสอบแล้วว่าไม่มีใบประกอบวิชาชีพ หากพบว่ามีการรักษาคนไข้จริง ทันตแพทย์ที่อนุญาตถือว่ามีความผิด ซึ่งกรณีนี้ทันตแพทยสภาสามารถเข้าไปดำเนินการเอาผิดได้ แต่ในกรณีของตัวภรรยานั้น ทันตแพทยสภาไม่สามารถเอาผิดได้ต้องเป็นหน้าที่ของตำรวจและกองการประกอบโรคศิลปะ แต่ต้องมีคนออกมาร้องทุกข์กล่าวโทษเจ้าหน้าที่จึงจะเข้าไปจัดการได้ “ปัจจุบันมีทันตแพทย์เถื่อนเป็นจำนวนมาก แต่ทางทันตแพทยสภาจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เพราะเมื่อทราบเบาะแสและร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเข้าจับกุม คนกลุ่มนี้จะรู้ตัวและหลบหนีไปทันที ที่ผ่านมาพบบ่อยบริเวณท่าพระจันทร์ล่าสุดกระจายไปทั่วแล้ว” แนะนำหากจำเป็นต้องพบทันตแพทย์ควรเลือกสถานพยาบาลที่เปิดประจำ มีใบอนุญาตให้เปิดบริการและมีใบประกอบวิชาชีพ 19 กันยายน 2552อย.ลงดาบสื่อ! โฆษณายา-อาหารสุขภาพเกินจริงทีวี เคเบิ้ลทีวี วิทยุ หรือแม้แต่นิตยสารต้องระวัง หากเผยแพร่โฆษณาผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ อาหารเสริมที่มีการอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ไม่ว่าจะจงใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มีสิทธิถูกลงโทษตามกฎหมายทั้งจำทั้งปรับ อย. เปิดเผยว่า ด้วยมีผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งที่คิดเอาเปรียบผู้บริโภค อาศัยกระแสการใส่ใจเรื่องสุขภาพของผู้คนมาเป็นช่องทางในการทำธุรกิจ โดยนำผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆ ทั้ง อาหาร ยา และเครื่องมือแพทย์ ไปโฆษณาตามสื่อต่างๆ ซึ่งถ้าหากมีการตรวจสอบพบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่ได้ผ่านการตรวจสอบและได้รับใบอนุญาตจาก อย. นอกจากผู้ผลิตจะมีความผิดแล้ว สื่อที่ทำการเผยแพร่โฆษณาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก็มีความผิดด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ อย. ได้ดำเนินคดีกับบรรณาธิการนิตยสาร Gossip Star, นิตยสารทีวีพูล และ นิตยสาร OHO ซึ่งเผยแพร่โฆษณาที่ไม่ได้รับอนุญาตจาก อย. โดยเป็นโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงของบริษัท ธัญญาพรสมุนไพร จำกัด และ บริษัท ไบโอพลัส จีเอ็มพี จำกัด ซึ่ง อย. ได้สั่งปรับเงินทั้งบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์และนิตยสารทั้ง 3 ฉบับแล้ว 21 กันยายน 2552ผู้บริโภคอีสานพบเสาโทรศัพท์ใกล้ชุมชนมากไป หวั่นผลกระทบในงานเวทีสภาผู้บริโภคภาคอีสาน ประจำปี 2552 มีการนำเสนอผลการสำรวจ “ข้อมูลพื้นที่ใกล้เคียงเสาส่งสัญญาณโทรคมนาคมที่อาจเกี่ยวข้องกับผลกระทบจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า” โดยได้สำรวจเสาส่งสัญญาณโทรคมนาคม จาก 5 จังหวัด คือ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ดและสกลนคร พบว่าเสาสัญญาณส่วนใหญ่ตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งชุมชนไม่ถึง 20 เมตร ซึ่งเสาเจ้าปัญหา 3 อันดับแรก คือ เอไอเอส ทรูมูฟ และดีแทค ตามลำดับ โดย ร้อยละ 48.1 ของเสาสัญญาณที่สำรวจนั้นพบว่า ตั้งอยู่ห่างจากโรงเรียนน้อยกว่า 200 เมตร ร้อยละ 15.2 พบว่า เสาสัญญาณอยู่ใกล้โรงพยาบาลมากไป และร้อยละ 18.4 อยู่ใกล้สถานีอนามัยมาก นายปฏิบัติ เฉลิมชาติ ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ได้ยื่นข้อเสนอต่อ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ให้มีการบังคับใช้ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการตั้งเสาส่งสัญญาณโทรคมนาคมอย่างเข้มงวดและจริงจัง กทช.ต้องมีหน่วยติดตามตรวจสอบความเข้มของสนามแม่เหล็กในบริเวณที่มีการตั้งเสาสัญญาณโทรคมนาคม พร้อมทั้งคอยสนับสนุนสถาบันการศึกษา นักวิชาการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาค้นคว้าทำการวิจัยอย่างจริงจัง เกี่ยวกับผลกระทบและอันตรายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 22 กันยายน 2552“พริกน้ำปลา” ภัยร้ายใกล้ตัวนางอรพินท์ บรรจง จากสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจจากการทำโครงการพัฒนาตำรับอาหารท้องถิ่นสำหรับผู้สูงอายุ พบว่าถ้วยพริกน้ำปลาซึ่งไม่ได้จัดเป็นเมนูอาหาร แต่มักจะถูกไว้อยู่บนโต๊ะที่เรารับประทานอาหารเสมอนั้น อาจทำให้ร่างกายของเราได้รับปริมาณโซเดียมมากเกินความจำเป็น การเติมพริกน้ำปลาเพิ่มลงในอาหารจัดเป็นพฤติกรรมปกติของสังคมไทย แต่การรับประทานอาหารรสเค็มมากๆ และบ่อยๆ ทำให้เกิดมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมองแตก โรคหัวใจและไตวาย รวมทั้งโรคกระดูกพรุนเพิ่มขึ้น และผู้ที่เป็นโรคเหล่านี้จะต้องระมัดระวังอาหารที่มีโซเดียมสูงเป็นพิเศษ เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในโรคที่เป็นอยู่ ค่าปกติในการรับประทานทานอาหารที่มีโซเดียม แนะนำว่าบริโภคได้ไม่เกินวัน 2,400 มิลลิกรัม ซึ่งเทียบได้กับน้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะหรือเกลือประมาณครึ่งช้อนชา ดังนั้นเลี่ยงพฤติกรรมการเติมพริกน้ำปลาตามความเคยชิน ควรชิมก่อนเพื่อตัดสินใจว่าจะปรุงเพิ่มดีหรือไม่ ---------------------------------------------------------------------------------------------- ครบรอบ 1 ปี พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ได้จัดสัมมนา “1 ปี พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค” เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ย้อนมองถึงการทำงานของกฎหมายนี้ตลอดระยะเวลา 1 ปีตั้งแต่ที่เริ่มประกาศใช้ โดยได้นักวิชาการ นักกฎหมาย และผู้ที่เคยใช้กฎหมายมาร่วมพูดคุยและแสดงความคิดเห็น ศ.จรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกล่าวว่า “การมี พ.ร. บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคออกมานั้นถือเป็นเรื่องดี แม้ว่าจะสร้างภาระให้กับผู้ประกอบการมากขึ้นกว่าเดิมแต่ก็ถือว่าน้อยมากถ้าเทียบกับความปลอดภัยที่ผู้บริโภคพึงได้รับ อย่างไรก็ตามเนื่องจากกฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคยังเป็นการนำปัญหาไปวางไว้ที่ศาล ซึ่งอยู่ตอนปลายของกระบวนการยุติธรรม ถึงแม้จะมีการตัดสิน แต่ก็ไม่ได้มีผลในเรื่องการป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นได้ ปัจจุบันกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคเน้นอยู่ 3 ด้านหลัก คือ โฆษณา ฉลากและสัญญา ซึ่งถ้าสามารถควบคุมใน 3 ส่วนนี้ให้ถูกต้องได้ เชื่อว่าปัญหาการฟ้องร้องระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการก็จะลดลงไปได้ไม่น้อย” ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภาผู้ที่เคยใช้ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค ฟ้องร้องชนะคดีเรียกร้องค่าชดใช้เป็น "รายแรก" ของเมืองไทย หลังกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้เมื่อ 23 ส.ค.2551 ในกรณีร้องสิทธิผู้บริโภคกับ "นกแอร์" บกพร่องในหน้าที่การให้บริการโดย "ไม่ใช้" เครื่องตรวจสแกนระเบิดวัตถุโลหะแก่ผู้โดยสาร กล่าวว่า "กฎหมายนี้ถือว่าเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคอย่างมาก ซึ่งช่วยลดขั้นตอนต่างๆ ในการดำเนินคดีให้สั้นลง แต่อย่างไรก็ดีกฎหมายนี้ต้องมีการพัฒนาต่อไปทั้งทางด้านการเผยแพร่ข้อมูล ให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงกฎหมาย และทางศาลเองก็ต้องมีเจ้าพนักงานที่ให้ความช่วยเหลือผู้บริโภคอย่างแท้จริง เพราะถึงแม้ว่าการฟ้องคดีนั้นไม่ต้องใช้ทนาย แต่เมื่อต้องขึ้นศาลจริงๆ ตัวผู้บริโภคเองก็ต้องมีข้อมูลและต้องมีความรู้เพื่อไปต่อสู้ในชั้นศาล” นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมถึงบทเรียนการใช้กฎหมายว่า “ปัญหาจากการฟ้องโดยใช้กฎหมายดังกล่าวตามหลักการนั้นมีประโยชน์ แต่เมื่อมาใช้จริงกลับมีความยุ่งยากและล่าช้าทั้งในการฟ้องร้อง การนัดสืบคำร้อง ศาลไม่มีทนายที่มีความรู้ในการอ่านเวชระเบียน และเมื่อมีการสืบพยาน กรณีคดีผู้เสียหายทางการแพทย์ การหาพยานที่อยู่ฝั่งผู้เสียหายทำได้ยากมาก ในขณะที่อีกฝ่ายมีพยานเยอะ รวมถึงเมื่อต้องอยู่ในศาล ฝ่ายจำเลยมีทนาย มีอำนาจ มีทุกอย่าง ขณะที่โจทก์ไม่มีอะไรเลย และการนัดไกล่เกลี่ยของตัวแทนแต่ละฝั่งทำงานไม่สมดุลกัน” นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกล่าวว่า “กฎหมายนี้มีประโยชน์ช่วยให้ผู้บริโภคฟ้องร้องดำเนินคดีได้จริง ตอนนี้มีมากกว่า 150 คดีที่อยู่ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและที่ได้ยื่นฟ้องไปแล้วกว่า 100 คดี ซึ่งทำให้เห็นว่าผู้บริโภคเข้าถึงกฎหมายได้มากขึ้น แม้จะยังมีอุปสรรคหลายประการ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเจ้าพนักงานคดียังขาดความเข้าใจต่อกฎหมาย และอยากจะให้ศาลมีกลไกในการรวบรวมปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้กฎหมายฉบับนี้และต้องทำให้ผู้บริโภคเข้าใจมากยิ่งขึ้นเช่นกัน ด้าน นายชาญณรงค์ ปราณีจิตต์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ กล่าวว่า “กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคถือว่าเป็นกฎหมายที่พัฒนาการมาก แต่ก็ยังต้องมีการพัฒนาต่อไป คดีผู้บริโภคมี 2 ด้าน คือด้านที่ผู้ประกอบการฟ้องกับด้านที่ผู้บริโภคฟ้อง ซึ่งก่อนหน้านี้จะเป็นคดีที่ผู้ประกอบการฟ้องผู้บริโภคซะเป็นส่วนใหญ่ แต่เชื่อว่าในอนาคตข้างหน้าผู้บริโภคที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการใช้สินค้าและบริการต่างๆ จะได้รับประโยชน์จากกฎหมายนี้เพิ่มมากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ยังต้องอาศัยความรู้ความสามารถของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งจาก สคบ. หรือองค์กร มูลนิธิที่คอยดูแลในเรื่องนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าพนักงานที่ทำหน้าที่ในศาลที่ต้องช่วยเหลือผู้บริโภคในการเขียนคำฟ้อง และตัวผู้บริโภคเองก็ต้องเก็บรวบรวมหลักฐานต่างๆ ให้ครบถ้วนและมากที่สุด เพื่อเป็นประโยชน์ในการพิจารณาคดี --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- รุมค้าน อย. ปล่อยบริษัทยาต่างชาติขายยาโดยไม่ต้องตรวจคุณภาพในไทยกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เตรียมออกประกาศเรื่อง การขึ้นทะเบียนยาสามัญ การศึกษาชีวสมมูลของยาสามัญ พ.ศ. ... ตามข้อตกลงของกลุ่มประเทศอาเซียนว่า ด้วยการจัดระเบียบการขึ้นทะเบียนตำรับยา โดยบริษัทยาสามารถใช้รายงานผลการศึกษาชีวสมมูลของยาสามัญที่ดำเนินการศึกษาในต่างประเทศตามหลักเกณฑ์และคุณภาพมาตรฐานที่ อย.กำหนดเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ต้องนำมาศึกษาชีวสมมูลในประเทศไทยอีก รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ ประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกล่าวว่า “ประกาศนี้เอื้อต่อบริษัทยาสามัญของต่างชาติที่ต้องการนำเข้ายา ซึ่งขณะนี้รอคิวขึ้นทะเบียนยาอยู่เป็นจำนวนมาก หากใช้รายงานศึกษาชีวสมมูลที่บริษัทแม่ในต่างประเทศศึกษามาใช้ขึ้นทะเบียนได้ทันทีก็ทำให้บริษัทเหล่านี้ได้ประโยชน์ แม้ว่าการไม่ต้องศึกษาชีวสมมูลใหม่จะช่วยลดทอนขั้นตอนระยะเวลาการขึ้นทะเบียนยาสามัญ ทำให้ขึ้นทะเบียนยาได้รวดเร็วขึ้นแต่บริษัทยาไทยจำเป็นต้องมีการศึกษาชีวสมมูลอยู่ดี เท่ากับเป็นกลยุทธ์ในการตัดกำลังศักยภาพการผลิตยาของไทย “การออกประกาศดังกล่าวไม่ผ่านความเห็นจากคณะกรรมการยา โดย อย.เห็นว่าเป็นเรื่องการปฏิบัติงานภายในของอย.จึงไม่จำเป็นต้องผ่านคณะกรรมการยาทั้งที่เรื่องดังกล่าวนี้ จริงๆแล้วไม่ใช่เรื่องเชิงปฏิบัติการแต่เป็นเรื่องเชิงนโยบายที่เป็นทิศทางของยาสามัญในประเทศไทยในอนาคต ซึ่งต้องเข้าสู่วาระการประชุมของคณะกรรมการยาด้วยเช่นกัน” ด้าน ภญ.ศศิธร กิตติวรวิทย์กุล ผู้ช่วยเลขาธิการสมาคมไทยอุตสาหกรรมการผลิตยาแผนปัจจุบัน กล่าวว่า “ในร่างประกาศฯ ระบุว่า บริษัทยาสามัญข้ามชาติสามารถใช้รายงานการศึกษาชีวสมมูลจากประเทศต้นทางได้โดยไม่ต้องมาศึกษาชีวสมมูลในไทยอีก แต่ศูนย์ที่ศึกษาในต่างประเทศจะต้องมีมาตรฐาน ซึ่งอย.สามารถขอไปตรวจสอบได้หากมีข้อสงสัยแต่ไม่ใช่ทุกกรณี การให้บริษัทยาสามัญข้ามชาติที่จะนำยาสามัญเข้าประเทศจะต้องศึกษาชีวสมมูลในประเทศอีกครั้งถือว่าเป็นการตรวจสอบที่ทุกประเทศในโลกนี้ทำกัน เพื่อป้องกันไม่ให้อุตสาหกรรมยาในประเทศตาย แต่การออกประกาศฉบับนี้ของ อย.นอกจากจะเอื้อต่อบริษัทยาข้ามชาติแล้วยังเป็นการลดทอนศักยภาพอุตสาหกรรมยาและศูนย์ศึกษาชีวสมมูลในประเทศไทยอีกด้วย”

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 182 กิน อยู่ คือ อย่างอเมริกัน

ในประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านวิชาการที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สุขภาพนั้น รัฐบาลมักสร้างข้อแนะนำในการบริโภคอาหาร (Dietary Guidelines) เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานด้านโภชนาการและสุขภาพซึ่งรวมถึงผู้วางนโยบายตลอดจนบุคลากรในวงการการศึกษานำไปเผยแพร่ (แบบที่เข้าใจง่าย ๆ) สู่ประชาชน โดยหวังว่าเมื่อคำแนะนำเหล่านี้ถูกถ่ายทอดถึงประชาชน แล้วประชาชนเชื่อจนทำตามจริง ๆ ประโยชน์จะกลับสู่รัฐโดยตรงเป็นมูลค่ามหาศาล ในการที่ไม่ต้องจ่ายเงินสนับสนุนการรักษาพยาบาลประชาชนที่ป่วยเป็นโรคที่ป้องกันได้   จากเว็บ www.hhs.gov/about/budget/fy2015/budget-in-brief ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับงบประมาณประจำปีของสหรัฐอเมริกานั้นพบว่า จากงบประมาณทั้งหมดในปี 2015 ที่ผ่านไปแล้วซึ่งมีตัวเลขเท่ากับ $1,010 Billion dollars (1,010,000,000,000 ดอลลาร์อเมริกัน) นั้น ร้อยละ 33 ถูกใช้เป็นค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ (Medicaid) ที่ให้แก่กระทรวงด้านสาธารณสุขคือ Department of Health and Human Services ซึ่งทำงานทั้งด้านการบริการ วิจัย และอื่น ๆ ปัจจุบันคนอเมริกันมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคที่ไม่ติดต่อค่อนข้างสูง โดยปรากฏการนี้เป็นแบบต่อเนื่องทุกปี (www.cdc.gov/nchs/hus/healthrisk.htm) โรคที่ว่าคือ ติดเหล้า ติดบุหรี่ มีโคเลสเตอรอลในเลือดสูง (เนื่องจากกินอาหารมันมาก) ความดันโลหิตสูง ติดยาเสพติด สุขภาวะเลวเนื่องจากขาดการออกกำลังกาย และน้ำหนักเกิน ด้วยข้อมูลลักษณะนี้จึงทำให้รัฐบาลจำต้องสร้างข้อเสนอแนะในการกินเพื่อสุขภาพที่ดีแก่ประชาชนทุก 5 ปี โดยแอบตั้งความหวังว่าคนอเมริกันจะเชื่อ เหมือนอย่างที่กรมอนามัยบ้านเราหวังว่าคนไทยจะขยับตัววันละเยอะๆ เพื่อลดพุง เมื่อราวปลายปี 2015 คณะกรรมการของผู้สร้างข้อแนะนำการบริโภคอาหารสำหรับคนอเมริกันซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้ส่งรายงานให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา ซึ่งต่อมาในวันที่ 7 มกราคม 2016 ข้อแนะนำดังกล่าวก็ได้ถูกพิมพ์ขึ้นเพื่อเผยแพร่แก่บุคลากรของรัฐและเป้าหมายที่เหมาะสม พร้อมทั้งจำหน่ายแก่ผู้สนใจ ส่วนผู้ที่ไม่ประสงค์จะซื้อแต่ประสงค์จะอ่าน สามารถอ่านฟรีได้ที่ http://health.gov/dietaryguidelines/2015/guidelines/full/   ในข้อแนะนำใหม่(ซึ่งปรับปรุงจากของเก่า) นี้ คณะกรรมการผู้สร้างยังคงแนะนำให้คนอเมริกันเลี่ยงการกินอาหารที่ผ่านการปรุงแบบสลับซับซ้อนทางอุตสาหกรรม (ซึ่งใช้สารเคมีสังเคราะห์ในการผลิตหลากหลายชนิด) รวมทั้งลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงและบริโภคแป้งที่ถูกป่นเป็นผง (ซึ่งคงไม่พ้นขนมปัง) แต่ให้หันไปกินอาหารที่มีพืชผักเป็นหลัก ซึ่งคณะกรรมการใช้ศัพท์ว่า plant-based foods (เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชทั้งเมล็ด ถั่วเปลือกอ่อน ถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดพืชต่าง ๆ) อีกทั้งคนอเมริกันควรกินอาหารมีพลังงานรวมต่ำ และกินเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงในลักษณะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเช่น ไม่ปล่อยก๊าซที่ทำให้โลกร้อน ใช้น้ำ ดินและพลังงานต่ำ (กรณีเนื้อสัตว์นี้คงลำบากมากสำหรับคนอเมริกัน เพราะระบบผลิตของฟาร์มใหญ่ในสหรัฐฯนั้นล้วนแต่ไม่เป็นไปตามที่กำหนดแทบทั้งสิ้น) นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยว่า ในกรณีเนื้อสัตว์ที่กินควรเป็นเนื้อที่ไม่แดงนัก(ซึ่งส่วนใหญ่ได้จากสัตว์ปีกและปลา ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนว่าเป็นเนื้อขาวคือ อกไก่ ในขณะที่ส่วนน่องและสะโพกไก่น่าจะจัดว่าเป็นเนื้อแดง ซึ่งสังเกตได้หลังการต้มเนื้อเหล่านี้จะเห็นสีแดง) เพราะมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่า เนื้อแดงนั้นเพิ่มความเสี่ยงในภาพรวมของการเป็นมะเร็ง เนื้อจากอวัยวะของสัตว์ที่มีสีออกแดงนั้น เป็นเพราะอวัยวะนั้นมีการใช้กล้ามเนื้อทำงานสูง จึงมีสารชีวเคมีที่เรียกว่า มัยโอกลอบิน (myoglobin) ในความเข้มข้นสูง สารชีวเคมีนี้ช่วยในการนำออกซิเจนมาใช้ในการสันดาปสร้างพลังงานให้กล้ามเนื้อนั้น แต่ข้อเสียที่เกิดจากการมีมัยโอกลอบินสูงคือ สารชีวเคมีนี้มีเหล็กเป็นองค์ประกอบ(ทำนองเดียวกับฮีโมกลอบินในเลือด) จึงทำให้ผู้ที่กินเนื้อแดงได้เหล็กสูง เหล็กนั้นเป็นธาตุโลหะที่มีคุณสมบัติทางเคมีที่เพิ่มความเสี่ยงในการก่อให้เกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ตามหลักการทางเคมีที่เรียกว่า Fenton reaction(ซึ่งหาความรู้เพิ่มเติมได้จาก Wikipedia) ประเด็นซึ่งเป็นที่ฮือฮาในข้อแนะนำใหม่นี้คือ ยกเลิกคำแนะนำให้จำกัดปริมาณโคเลสเตอรอลในอาหาร ทั้งนี้เพราะมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่สรุปว่า ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการกินโคเลสเตอรอลจากอาหารทำให้โคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น ทั้งนี้เพราะร่างกายของแต่ละคนต้องการโคเลสเตอรอลในระดับหนึ่ง ซึ่งตามปรกติต้องสร้างขึ้นมาเองเพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการได้โคเลสเตอรอลจากอาหารในประมาณที่ปรกติคนทั่วไปที่กินเพื่ออยู่นั้นจึงไม่น่ากังวลอะไร โคเลสเตอรอลนั้นเป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์ในอวัยวะต่าง ๆ เป็นสารตั้งต้นในการสร้างวิตามินดี สร้างเกลือน้ำดีเพื่อช่วยในการย่อยไขมันในลำไส้เล็ก เป็นต้น ดังนั้นถ้ากินอาหารที่ไม่ได้มีไขมันสูงเกินปรกติแล้ว ประมาณโคเลสเตอรอลในอาหารจะไปช่วยลดการสร้างเองของร่างกาย ยกเว้นกรณีผู้ที่มีทัศนคติ อยู่เพื่อกิน ที่ไขว่คว้าหาอาหารไขมันสูงมาก (เช่น ขาหมูพะโล้ ขาหมูเยอรมัน หรืออาหารอื่นที่มันมากๆ) มากินจนโคเลสเตอรอลสูงเกินความต้องการของร่างกาย พฤติกรรมลักษณะนี้จะทำให้ผู้บริโภคมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอันตรายที่เกี่ยวกับหัวใจเพิ่มขึ้น และอันตรายจะมากขึ้นถ้าเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายหรือใช้แรงงานประจำวัน คำแนะนำในการกินเพื่อสุขภาพดีของคนอเมริกันที่คณะกรรมการย้ำแล้วย้ำอีกทุกครั้งที่มีการเสนอทุก 5 ปีคือ ไม่กินเค็ม ซึ่งเป็นลดการได้รับธาตุโซเดียมซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อไตและทำให้เสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง ที่สำคัญนอกจากความเค็มแล้วยังก็ต้องเลี่ยงหวาน(มากเกินไป) ด้วย ข้อแนะนำที่ต้องขอให้ลดการกินเค็มคงเป็นเพราะ คนอเมริกันนั้นเสพติดมันฝรั่งทอดอย่างหนัก เนื่องจากเป็นอาหารที่ยิ่งกินยิ่งมัน และถ้าได้กินแกล้มเบียร์ในวันที่ได้ดูอเมริกันฟุตบอลทางโทรทัศน์แล้ว ไม่หมดถุงยักษ์เป็นไม่หยุด ส่วนความหวานนั้นเป็นที่รู้กันว่า ขนมและเครื่องดื่มที่ทำในสหรัฐฯนั้นออกหวานนำ ซึ่งต่างจากขนมที่ทำในฝั่งยุโรปที่มีความมันนำและไม่หวานนัก(แต่ก็ทำให้ลงพุงได้เช่นกัน) สำหรับประเด็นของการดื่มกาแฟซึ่งเป็นเครื่องดื่มหลักในมื้ออาหารของคนอเมริกันนั้น ข้อแนะนำกล่าวว่า การดื่มเพียง 3 ถึง 5 ถ้วย ต่อวันซึ่งทำให้ได้แคฟฟีอีนไม่เกิน 400 มิลลิกรัมต่อวันนั้น ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้ดื่ม แต่มีประเด็นหนึ่งที่คณะกรรมการเตือนไว้คือ ไม่พึงเติมสารอาหารที่ทำให้กาแฟนั้นมีแคลอรีสูง เช่น ครีม นม หรือน้ำตาล ดังนั้นข้อแนะนำนี้จึงใช้ยากยกกำลังสองกับคนไทยเพราะหนุ่มสาวชาวไทยปัจจุบันได้กลายเป็นผู้เสพติดกาแฟเข้มข้นทั้งหวานทั้งมันไปแล้ว สังเกตจากการสั่งกาแฟแต่ละครั้งมักเป็นแก้วใหญ่ขนาดเกือบครึ่งลิตรเสียทุกคราว คณะกรรมการผู้ทำข้อแนะนำได้เอ่ยถึงน้ำตาลเทียมชนิดหนึ่งซึ่งขายมากที่สุดในโลกของผู้จำเป็นต้องใช้ว่า น่าจะปลอดภัยในการบริโภค แต่ก็ขอกั๊กไว้ว่า ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง ดังนั้นขอให้ผู้บริโภคเผื่อใจไว้บ้าง เผื่อวันหนึ่งในอนาคตอาจมีข้อมูลด้านร้ายเกี่ยวกับน้ำตาลเทียมชนิดนี้ออกมา ก็จะได้ไม่ตกใจมากนัก สำหรับกรณีความหวานที่มาจากน้ำตาลนั้น ข้อแนะนำกล่าวว่า ควรลดลงและไม่ควรแทนที่ด้วยน้ำตาลเทียม และที่แนะนำสุดหัวใจก็คือ ถ้าเป็นไปได้ควรดื่มน้ำเปล่าในมื้ออาหารแทนน้ำหวานต่างๆ เรื่องนี้น่าสนับสนุนมากเมื่อกินอาหารที่บ้าน แต่ในกรณีที่กินอาหารนอกบ้านหลายคนอาจมีความรู้สึก(คล้ายผู้เขียน) ว่า เราขาดทุนเมื่อต้องดื่มน้ำเปล่าตามร้านอาหารซึ่งราคาเกือบหรือเท่าน้ำอัดลม (ซึ่งอร่อยและแก้เลี่ยนอาหารมันบางอย่างที่ขอแอบกินนิดหน่อย) ส่วนที่น่าสนใจที่สุดคือ ข้อแนะนำนี้ได้รวมไปถึงการงด (หรือลด) เครื่องดื่มอัลกอฮอล์ที่ชาวโลกเป็นทาสอยู่ ซึ่งสามารถคาดการได้ว่า ข้อแนะนำสุดท้ายนี้คงไม่ได้ผลแน่ในประเทศไทย…ถ้าไม่ใช้ ม.44  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 180 อย่าวางใจ “ธรรมชาติ” บนฉลากอาหาร

ท่านผู้อ่านที่มีโอกาสเดินตามห้างสรรพสินค้าใหญ่หน่อยอาจเคยสงสัยว่า สินค้าที่มีวิตามินขนาดสูงๆ หรือเป็นสารสกัดจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาตินั้น ถูกนำมาวางขายบนหิ้งในห้างได้อย่างไร มันปลอดภัยแล้วหรือ ผู้เขียนเคยพบคลิปใน YouTube ให้ข้อมูลว่า ครึ่งหนึ่งของชาวอเมริกันปัจจุบันนั้น ซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซึ่งรวมถึงสารสกัดจากใบแปะก๊วยและรากวาเลอเรี่ยนมากินเอง โดยไม่ได้ปรึกษาผู้รู้เช่น แพทย์ เภสัชกร หรือนักโภชนาการ สารสกัดจากใบแปะก๊วย(Ginkgo Biloba extract) เป็นสารสกัดที่ใช้ลดความเสี่ยงหรือแก้ปัญหาอาการความจำเสื่อม แต่สารสกัดนี้ไม่ได้ช่วยให้ความจำดีขึ้นในคนปรกติ กล่าวคือ ฉลาดหรือโง่เพียงใดก็เป็นได้แค่นั้น การกินสารสกัดนี้เองอาจก่อปัญหาถ้าต้องเข้ารับการผ่าตัด เพราะสารนี้ทำให้เลือดหยุดไหลช้าจนอาจถึงตายได้) ส่วนสารสกัดจากรากวาเลอเรี่ยน (valerian root extract) นั้น การแพทย์ทางเลือกใช้ช่วยแก้ปัญหาหลับยาก แต่อาจมีผลข้างเคียงในการทำลายตับเมื่อกินมากไป ดังนั้นจึงมีข้อแนะนำในการใช้สารสกัดเหล่านี้ว่า ให้ใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ที่รู้จริง ท่านผู้อ่านจึงควรถามตนเองในเรื่องความจำเป็น และสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ ก่อนซื้อมาบริโภคทุกครั้ง แต่ปัญหาสำคัญที่มักเกิดขึ้นกับบางท่านคือ จะถามใครหรือหาข้อมูลได้จากที่ไหน มีข้อสังเกตว่า ผู้ขายสมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติต่างๆ มักกล่าวอ้างแบบปากต่อปากถึงสรรพคุณของสินค้าว่า มีฤทธิ์ในการบำบัดอาการหรือเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพเพราะเป็นสินค้าจากธรรมชาติ ประเด็นที่น่าสนใจคือ คำว่า ธรรมชาติ นั้นไม่ได้หมายความหรือแปลว่า ปลอดภัย แค่ดูตัวหนังสือที่ใช้เขียนก็เห็นความต่างแล้ว ผู้เขียนขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านลองเข้าไปดูคลิปของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์เรื่อง ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ปลอดภัยกว่าสารเคมีจริงหรือ ใน YouTube ( ลิงค์ยูทูปกดดูได้ )ก็คงเข้าใจได้ดีขึ้น ตัวอย่างที่คนอเมริกันซาบซึ้งใจดีเกี่ยวกับคำว่าธรรมชาติคือ การใช้สมุนไพรจีนชื่อ มาฮวง (Ma Huang ซึ่งรู้จักกันทั่วโลกในชื่อ Ephedra โดยมีชื่อเล่นว่า yellow horse) ในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก แต่สุดท้ายปรากฏว่า ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงคือ เพิ่มความดันโลหิตให้สูงกว่าปรกติพร้อมกับอัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น (ซึ่งทั้งสองอาการนี้นำไปสู่อาการหัวใจวาย) ก่อปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง กระตุ้นการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูกจึงทำให้ถูกห้ามใช้อย่างเด็ดขาดในสตรีมีครรภ์ ข้อมูลจาก Wikipedia กล่าวว่า อย.มะกันได้ห้ามขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสารอัลคาลอยด์ซึ่งเป็นสารสำคัญในมาฮวงชื่อ อีฟีดรีน (ephedrine alkaloids) ตั้งแต่ปี 2004 แต่ไม่ได้ห้ามการขายมาฮวงหรือสารสกัดจากมาฮวงที่มีอีฟีดรีนไม่มากเกินปริมาณที่ อย.กำหนด ในรัฐยูทาห์มีการชงชาที่ใช้ใบมาฮวงแทนใบชาจีนเพราะไม่มีคาเฟอีน ซึ่งเป็นสารห้ามกินในศาสนานี้ จึงมีผู้เรียกชานี้ว่า Mormon tea จากตัวอย่างความหมายของคำว่า “ธรรมชาติ” ที่ยกให้เห็นเกี่ยวกับมาฮวงในสหรัฐอเมริกานั้น จะเห็นได้ว่าเมื่อคำนี้ปรากฏบนฉลากผลิตภัณฑ์ใดๆ โดยเฉพาะบนฉลากอาหารนั้น มัก เป็นคำที่ดูไร้สาระ ในความนึกคิดของชาวอเมริกันที่มีการศึกษาดี ดังนั้นสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของสหรัฐอเมริกาจึงได้เริ่มขยับที่จะทำให้คำๆ นี้มีความหมายเป็นเรื่องราวเสียที ดังปรากฏในบทความชื่อ FDA Wants You to Define ‘Natural’ on Food Labels ซึ่งปรากฏในเว็บ www.care2.com เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2015 ใจความสำคัญในบทความนั้นกล่าวว่า องค์กรเอกชนในสหรัฐอเมริกาได้พยายามรวบรวมข้อเสนอแนะจากสาธารณะชน เพื่อขอ(กดดัน)ให้ อย.กำหนดความหมายที่ชัดเจนหรือห้ามการใช้คำๆ นี้บนฉลากอาหาร ประจวบกับทางหน่วยงานนี้ได้ถูกศาลของรัฐบาลกลางขอร้องให้ข้อแนะนำเพื่อการตัดสินคดีว่า สินค้าที่มีวัตถุดิบที่เป็นจีเอ็มโอ หรือใช้น้ำเชื่อมฟรัคโตสที่ทำจากข้าวโพดนั้น ใช้คำว่าธรรมชาติได้หรือไม่ โดยทั่วไปแล้วนักการตลาดที่ไร้เดียงสาในความรู้ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ มักมโนว่า ธรรมชาตินั้นมีความหมายเกี่ยวข้องเพียงสีธรรมชาติหรืออะไรประมาณนั้น ซึ่งบางครั้งการมโนแบบนี้ก็ได้กลายเป็นภาพลวงที่มักเกิดได้กับผู้ซื้อสินค้า(นักช็อป)มืออาชีพ จากรายงานการสำรวจของ Consumer Reports ในบทความเรื่อง Say no to 'natural' on food labels (โดย Deborah Pike Olsen ซึ่งถูกตีพิมพ์เมื่อ 16 มิถุนายน 2014 ใน www.consumerreports.org) กล่าวว่า กว่าร้อยละ 60 ของผู้ตอบแบบสอบถาม 1000 คน พยายามมองหาคำว่าธรรมชาติบนฉลากเมื่อต้องการซื้ออาหารสำเร็จรูป โดยที่สองในสามตีความสินค้าที่มีคำว่าธรรมชาติหมายถึงสินค้านั้นไม่มีองค์ประกอบที่เป็นสิ่งสังเคราะห์ ยาฆ่าแมลง และจีเอ็มโอ ในการสำรวจเดียวกันนั้นยังพบว่า 9 ใน 10 ของผู้ตอบแบบสำรวจเห็นควรให้ติดฉลากอาหารที่มีองค์ประกอบที่เป็นจีเอ็มโอตามมาตรฐานที่รัฐบาลกำหนดไว้ โดยที่กว่า 3 ใน 4 กล่าวว่าเรื่องนี้สำคัญมากสำหรับประชาชนที่ต้องหลีกเลี่ยงองค์ประกอบอาหารที่มาจากจีเอ็มโอ ในขณะที่ประเด็นนี้ทาง อย.มะกันไม่ได้รู้สึกร้อนรู้สึกหนาวในการจะบังคับให้มีการติดฉลากหรือสร้างมาตรฐานความปลอดภัย พฤติกรรมของ อย.มะกันเกี่ยวกับจีเอ็มโอนั้นเป็นที่สงสัยกันมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ท่านผู้อ่านที่สนใจสามารถเข้าไปดูบทความเรื่อง Monsanto Controls both the White House and the US Congress ที่ www.globalresearch.ca/monsanto-controls-both-the-white-house-and-the-us-congress/5336422 แล้วใช้วิจารณญานของแต่ละบุคคลคิดเองว่ามันเป็นอย่างไร สำหรับประเด็นความหมายของคำว่า ธรรมชาติ สำหรับ อย.มะกันแล้ว มันมีอะไรมากกว่าที่มนุษย์ธรรมดาคิด กล่าวคือ อย.ได้พิจารณาว่า คำๆ นี้น่าจะหมายถึง การไม่มีของเทียมหรือสารสังเคราะห์(ซึ่งรวมถึงสีที่ใช้ใส่ในอาหาร โดยไม่คำนึงถึงแหล่งที่มาของสี ทำให้น่าจะหมายความว่า แม้แต่แตงโมที่ถูกเอาสีจากกระเจี๊ยบทาให้ดูแดงฉ่ำกว่าเดิม แตงโมนั้นก็ไม่เรียกว่าเป็นอาหารธรรมชาติแล้ว) เป็นองค์ประกอบหรือถูกเติมลงไปในอาหารนั้น อย่างไรก็ดี ความหมายของธรรมชาติที่ อย.มะกันมองนั้น ไม่เกี่ยวกับกระบวนการผลิตว่าใช้หรือไม่ใช้สารกำจัดศัตรูพืช หรือขั้นตอนการผลิตใช้หรือไม่ใช้ความร้อนในการฆ่าเชื้อ หรือการฉายรังสี อีกทั้ง อย.มะกันก็ไม่ได้มองคำว่า ธรรมชาติ นั้นมีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณค่าทางโภชนาการหรือสิ่งที่มีผลต่อสุขภาพของผู้บริโภค ดังนั้นในปัจจุบัน อย.มะกันจึงพยายามมองหาผู้ร่วมอุดมการมาช่วยคิดว่า มันถึงเวลาแล้วในการกำหนดความหมายที่แน่นอนของคำว่า ธรรมชาติ และควรกำหนดด้วยวิธีใด อีกทั้งหน่วยงานนี้ก็ยังต้องการความเห็นว่า การใช้คำว่าธรรมชาติบนฉลากอาหารนั้นควรเป็นอย่างไรด้วย ความเห็นของผู้สนใจ(ชาวอเมริกัน)นั้นสามารถส่งให้ อย.มะกันได้ตั้งแต่ 12 พฤศจิกายน 2015 ถึง 10 กุมภาพันธ์ 2016 ซึ่งหลังจากนั้นก็คงรอกันอีกนานพอควรกว่าจะได้ข้อสรุปออกมาเป็นเรื่องเป็นราวให้ อย.ประเทศอื่นได้สำเนาไปใช้กัน  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 177 กัญชากับ...อาหารรสเด็ด

การเกษียณจากราชการมาอยู่บ้านขณะที่เมืองไทยมีโทรทัศน์ดิจิตอล นับว่าเป็นโอกาสดีที่ผู้เขียนไม่ต้องจมอยู่กับรายการโทรทัศน์ของ 6 สถานี ซึ่งไม่ค่อยพัฒนา ดังนั้น ณ วันนี้ผู้เขียนได้ดูข่าวคุณภาพดีขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าจากหลายสถานี มีสารคดีให้ดูมากขึ้น แถมด้วยหนังดังจากต่างประเทศ ราวปลายปีที่แล้วได้มีรายการข่าวภาคกลางวันของช่อง 3 SD ซึ่งมีพิธีกรรุ่นใหม่ทำข่าวภาษาไทยปนการสอนภาษาอังกฤษและภาษาจีน ซึ่งเป็นการหลีกหนีความจำเจของรสชาติข่าว แต่สุดท้ายรายการดีในวันธรรมดาก็ต้องยุติลง เข้าใจว่ามีปัญหาเกี่ยวกับผู้สนับสนุนรายการอย่างไรก็ตามผู้เขียนจำได้ว่า เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2557 ได้มีข่าวชิ้นหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับ กัญชา (ซึ่งคนไทยบางกลุ่มให้ความสนใจอย่างมากที่จะทำการรณรงค์ให้สถานภาพของกัญชาในสังคมไทยเปลี่ยนไป) สำหรับเนื้อข่าวซึ่งสามารถดูได้ใน www.youtube.com/watch?v=B8KJA1xIhFU นั้น พิธีกรได้คุยถึงข่าวเกี่ยวการผสมกัญชาลงไปในผลิตภัณฑ์อาหารในรัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา โดยสิ่งที่น่าตกใจในเนื้อข่าว คือ มีการผสมกัญชาลงในขนมเด็กเช่น เจลลี อมยิ้ม ยาอม ซึ่งสินค้าเหล่านี้ผลิตและขายได้เฉพาะในโคโลราโดเท่านั้น กัญชาเป็นพืชที่มีใบที่สวยงาม ผู้ใหญ่และครูหลายท่านของผู้เขียนสอนว่า กัญชาเป็นสิ่งที่ไม่ดี เมื่อสูบแล้วจะเมา มีอาการหลอน เหมือนคนบ้า แต่เมื่อเอากัญชาใส่ลงแกงเผ็ดแล้วเขาว่ามันจะอร่อยกว่าเดิม ดังนั้นเมื่อชีวิตประจำวันของเรา ซึ่งอาจต้องกินอาหารตามร้านอาหารในบางมื้อ หลายท่านอาจนึกไม่ถึงว่าท่านอาจได้เสพกัญชาโดยไม่ได้เจตนา เพียงแค่ท่านเลือกร้านอาหารที่ถูกขนานนามว่า อร่อยสุดๆ ในบทความที่มีการเผยแพร่ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ทั้งไทยและอังกฤษ ต่างก็จัดให้กัญชาเป็นยาเสพติด ดังนั้นใครก็ตามที่คิดว่ามันไม่ใช่ก็คงต้องเหนื่อยหน่อยที่จะพิสูจน์ ช่วงปี พ.ศ. 2520 ถึง 2525(ซึ่งผู้เขียนไปเรียนทางด้านพิษวิทยาที่สหรัฐอเมริกานั้น) กัญชาก็เป็นแหล่งของสารธรรมชาติกลุ่มแคนนาบินอยด์(cannabinoids) ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาชนิดที่เมื่อใช้นานเกินไปกลับออกฤทธิ์เป็นยาเสพติดระดับไม่รุนแรงนัก มวลชนอเมริกันจึงมีการนำมาใช้ในทางผิดๆ เพื่อผ่อนคลายความเครียด การมีโอกาสได้สัมผัสความเป็นอยู่ของคนอเมริกันวัยหนุ่มสาวนั้น สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนจับกระแสได้คือ คนที่มาจากเมืองใหญ่เพื่อมาเรียนในเมืองเล็กมักถวิลหาถึงกัญชาเป็นประจำ ดังนั้นทุกปลายสัปดาห์ที่มีการตรวจความสะอาดของห้องในหอพักของมหาวิทยาลัย สิ่งที่มักพบคือกัญชาแห้ง และบางครั้งถึงขั้นพบต้นกัญชา ซึ่งเหล่านักศึกษาทำเนียนว่าปลูกเป็นไม้ประดับข้างหน้าต่างรวมๆ ไปกับพืชอื่นๆ เพื่อแสดงความเป็นคนรักธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่ควรประหลาดใจที่ลูกหลานของท่านที่ไปเรียนจบจากสหรัฐอเมริกาแล้วติดกัญชากลับมา ในช่วงที่ผู้เขียนเตรียมตัวกลับมาทำงานที่เมืองไทยนั้น ข่าวทางโทรทัศน์ข่าวหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนยังจำได้ก็คือ มีแนวโน้มในการใช้กัญชาเพื่อผ่อนคลายผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรงก่อนสิ้นชีวิตในรัฐโคโลราโด อย่างไรก็ดีผู้เขียนก็ไม่ได้ติดตามข่าวนี้นักเพราะไม่ใช้ประเด็นที่สนใจ จนเมื่อในปี 2012 ก็ได้ข่าวว่า ประชาชนในรัฐโคโลราโดและรัฐวอชิงตันของสหรัฐอเมริกา ได้ลงคะแนนเสียงให้กัญชาเป็นสิ่งถูกต้องตามกฎหมายในการมีหรือปลูก จากนั้นในปี 2014 จึงอนุญาตการขายในปริมาณน้อยตามใบสั่งแพทย์แก่ผู้ที่อายุเกิน 21 ปี ในขณะที่อีก 20 รัฐอนุญาตยอมให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ภายใต้การดูแลของแพทย์ แต่สำหรับกฎหมายระดับประเทศ (Federal Law) นั้นยังคงห้ามคนทั่วไปใช้แบบเสรีในเกือบทุกรัฐ ประเด็นการสูบกัญชานั้น ผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตว่า กัญชาเป็นยาเสพติดที่ต้องทำให้เป็นควันก่อนเพื่อสูบเหมือนบุหรี่ ดังนั้นที่ใดมีควันที่นั่นย่อมมีสารก่อมะเร็งกลุ่มโพลีไซคลิกอะโรเมติกไฮโดรคาร์บอน(หรือพีเอเอช) เช่นเดียวกับที่พบในบุหรี่ พร้อมทั้งสารพิษกลุ่มไนโตรซามีนและกลุ่มอัลดีไฮด์ ซึ่งโดยเบ็ดเสร็จแล้วกล่าวกันว่า มีสารก่อมะเร็งอย่างน้อย 50 ชนิดขึ้นไป เป็นของแถมแก่นักสูบ ข่าวคราวการใช้กัญชานั้นพบได้ไม่ยากนัก เช่น จากการชมภาพยนตร์หรือแม้แต่ข่าวทางโทรทัศน์ของต่างประเทศ ดังนั้นผู้เขียนจึงตระหนักว่า กัญชานั้นอยู่ในสังคมของมนุษย์ตลอดมา โดยเฉพาะในสังคมนักเรียนและนักศึกษา ซึ่งอยู่ในวัยที่อยากลองเพื่อสนองความต้องการของฮอร์โมนที่กำลังปั่นป่วน ในอดีตที่ผ่านมา เคยมีข่าวผู้สมัครเป็นตัวแทนพรรคการเมืองเพื่อเข้ารับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของบางประเทศต้องประกาศถอนตัว เพราะมีหลักฐานว่าเคยถูกจับข้อหาสูบกัญชาสมัยเมื่อยังเป็นนักเรียนหรือนักศึกษา นี่แสดงว่าสังคมของบางประเทศ ซึ่งประชาชนมีหลักยึดของจิตวิญญาณว่า เสรีชนทำชั่วส่วนตัวนั้นไม่เป็นไร แต่ถ้าจะเป็นตัวแทนหรือผู้นำต้อง มีประวัติที่สะอาดโปร่งใสหาความผิดไม่ได้ ซึ่งหลักยึดในกระบวนการเลือกนักการเมืองมาเป็นตัวแทนประชาชนแบบนี้ ไม่ปรากฏในร่างรัฐธรรมนูญที่ตกกระป๋องไปแล้ว ดังนั้นถ้าร่างใหม่จะมีเรื่องนี้ก็จะเป็นพระคุณเป็นอย่างสูงแก่ประเทศเรา ในเว็บของ Wikipedia นั้นได้ให้ข้อมูลเชิงวิชาการเกี่ยวกับกัญชาว่า กัญชานั้นมีผลทั้งทางร่างกายและจิตใจเช่น ทำให้เคลิบเคลิ้มมีความสุข(แบบที่วัยรุ่นเรียกว่า high) เกิดอาการผ่อนคลาย และที่น่าสนใจคือ ทำให้อยากอาหาร โดยมีอาการแถมแก่ผู้เสพคือ ความจำระยะสั้นลดลง ปากแห้ง(กระหายน้ำ จึงมีข้อสังเกตว่า ถ้าไปกินอาหารที่ไหนแล้วหิวน้ำมาก ทั้งที่อาหารไม่ได้เค็มเลย ท่านอาจเจอกัญชาเข้าแล้ว) นอกจากนี้อาจมีอาการงุ่มง่าม สะเปะสะปะ ตาแดง และหวาดระแวงหรือขี้กังวล โดยของแถมที่ได้นี้จะหายไปภายใน 2-6 ชั่วโมง ข้อดีของกัญชาในด้านการแพทย์นั้นคือ ลดอาการคลื่นไส้และอาเจียนในคนไข้ที่ได้รับยาบำบัดมะเร็ง(ไม่ใช่ว่ากัญชาบำบัดมะเร็งนะครับ สามารถดูข้อมูลนี้ต่อได้ที่ American Cancer Society หรือ www.cancer.org ซึ่งเป็นองค์กรหลักเรื่องเกี่ยวกับมะเร็งของสหรัฐอเมริกา) กระตุ้นความอยากอาหารในคนไข้โรคเอดส์ ลดอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังและอาการชักกระตุก แต่ถ้าใช้ไปนานๆ อาจเกิดอาการความจำเสื่อมหรือจิตเภทในบางคน แหล่งข้อมูลที่ไม่เป็นวิชาการนักในอินเตอร์เน็ทคือ www.pantip.com ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับกัญชาในอาหาร (ที่เราท่านอาจพบได้ด้วยตนเอง) เช่น “.....ก๋วยเตี๋ยวใส่กัญชานั้นมีแน่นอน เพราะในคลองบางกอกน้อยเมื่อก่อนจะมีก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้าอร่อยอยู่เจ้านึงขาย ในคลองชื่อนายหลอ ผมเป็นลูกค้าจนสนิทกัน เขาเลยบอกว่าเขา ใช้ต้นกัญชามาทุบๆ ให้แตกแล้วห่อด้วยใบเตยกันคนเห็น แล้วเอาลวดมัดก่อนจะหย่อนลงในหม้อน้ำซุป ที่มีทั้งเนื้อเปื่อย เครื่องใน กระดูกวัว และห่อเครื่องเทศอื่นๆ อีก แต่ก่อนมีแหล่งซื้อกัญชาอยู่แถวๆ วัดชัยพฤกษ์น่ะครับ 30 กว่าปีแล้วนะ เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วครับ……” “.......ตอนไปเข้าค่ายอาสาฯ เพื่อนๆ แกงป่าเป็ดแบบแห้งห่อไปด้วย ทานกันตอนเย็นๆ ทั้งเหนื่อยและหิว เลยเอาแกงเป็ดมาคลุกข้าวสวยกินอร่อยสุดๆ ผลก็คือ หัวเราะกันตั้งแต่ตอนเย็นถึงตีสามค่ะ หัวเราะจนตกจากเก้าอี้รอบกองไฟ หงายหลังแล้วยังหัวเราะต่ออีก ตื่นมาเจ็บซี่โครงเหมือนโดนซ้อม มารู้ทีหลังว่าเพื่อนมันใส่กัญชาในเครื่องแกง ไม่โกรธมันเลยค่ะ อร่อยดีอีกต่างหาก หัวเราะมันส์ดีเหมือนกัน…..” นอกจากนี้ในเว็บของหลายประเทศนั้นก็อธิบายแบบชัดเจนถึงการทำอาหารและขนมที่มีกัญชาเป็นองค์ประกอบ เพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกว่าอาหารและขนมนั้นอร่อยมากกว่าเดิม โดยอาศัยฤทธิ์ของกัญชาไปเพิ่มความรู้สึกอยากอาหาร ในขณะที่อาหารที่กินนั้นรสชาติไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างไร ตัวอย่างที่น่าสนใจในอินเตอร์เน็ท(แต่ไม่ควรเข้าไปลอกเรียนแบบ) เกี่ยวกับอาหารใส่กัญชาคือ การทำ Cannabutter หรือเนยกัญชา เพื่อใช้เป็นองค์ประกอบของอาหาร ทั้งนี้เพราะสารออกฤทธิ์ในกัญชานั้นสกัดได้ดีด้วยไขมัน ดังนั้นขนมจากฝรั่งที่ว่าอร่อยสุดๆ นั้น เราควรใส่เครื่องหมายคำถามแล้วว่าทำไม เห็นได้ว่าโอกาสที่ผู้บริโภคจะได้สัมผัสกับกัญชาโดยไม่เจตนานั้น ไม่ยากนักทั้งในอดีตและปัจจุบัน โดยการสัมผัสจากอาหารที่อาจได้รับการขึ้นชื่อลือชาว่า รสเด็ด โดยขายสินค้าอาจไม่คิดว่าผู้บริโภคอาจได้รับอันตรายจากฤทธิ์ของกัญชา เช่น การเกิดอุบัติเหตุจากการขับรถหรือใช้เครื่องยนต์จากอาการหลอนระหว่างที่กัญชาออกฤทธิ์ หรือความผ่อนคลายของสาวรุ่นที่ได้กัญชาโดยไม่รู้ตัวในสถานที่อโคจร ข้อสังเกตว่าอาหารใส่กัญชาหรือไม่คือ มันอร่อยมาก ถูกปากเป๊ะๆ ไม่ต้องปรุงเพิ่ม แต่เมื่อกินมากหน่อยอาจมีอาการใจสั่น (เพราะกัญชาบีบหัวใจของบางคน) ตามด้วยการกระหายน้ำ แต่ที่ชัด ๆ คือ กินเเล้วรู้สึกรื่นเริงครึกครื้นกว่าปกติ เเบบเห็นอะไรจะขำง่ายไปหมด ดังนั้นข่าวคราวที่จะมีการใช้กัญชาแบบที่หลายคนเข้าใจว่าเสรีนั้น คงต้องผ่านการกลั่นกรองถึงผลได้และผลเสีย ซึ่งรวมไปถึงการควบคุมที่ดีต่างไปจากการใช้สารเสพติดอื่นคือ เหล้าและบุหรี่ ซึ่งประชาชนใช้กันแบบสะเปะสะปะ เกิดคดีความและอุบัติเหตุได้ทุกวัน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 164 อาวุโส สูงวัย ไม่โอเค

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิด เช่น วิตามิน เกลือแร่ นั้นมีประโยชน์ต่อผู้ที่อยู่ในภาวะขาดสารอาหาร แต่สำหรับผู้ที่บริโภคอาหารได้สมบูรณ์ครบห้าหมู่(ซึ่งมักสูงวัยแล้ว) และมีสุขภาพปรกติ มักให้เหตุผลการกินผลิตภัณฑ์เหล่านี้ว่า น่าจะช่วยป้องกันโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกาย เช่น มะเร็ง ไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ซึ่งโดยสรุปแล้วทำให้เข้าใจว่า ทำให้ตายช้าลง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในภาพรวมแล้ว ทำกำไรมหาศาลให้กับผู้ประกอบการ มูลค่าของยอดขายสินค้านี้ในสหรัฐอเมริกา (ค.ศ. 2014) ไม่ต่ำกว่าสองหมื่นล้านเหรียญดอลลาร์ ส่วนในเมืองไทยนั้นอย่าไปพูดถึงเลย เพราะมันมากพอที่มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งหนึ่งของไทยต้องเปิดหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาผลิตกำลังพลคนขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารออกไปให้บริการแก่สังคมคนหวังตายช้าหรือได้อะไรทางลัด เมื่อ 13 สิงหาคม 2014 ผู้เขียนได้อ่านรายงานข่าวเรื่อง Should We Take a Multivitamin? จากเว็บ www.care2.com ซึ่งกล่าวว่า หนึ่งในสามของชาวอเมริกันนิยมกินวิตามินรวมเป็นประจำ(ข้อมูลเดียวกันนี้ก็พบได้ในสหราชอาณาจักร) ทั้งที่มีคำถามว่า มันได้ประโยชน์ มีอันตราย หรือเสียเงินฟรี เนื่องจากมีผู้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพของสตรีสูงวัยในรัฐไอโอวาว่า การใช้วิตามินรวม(multivitamin) และแร่ธาตุบางชนิดในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้น ก่อให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตเร็วกว่าปรกติ ตัวรายงานนั้นชื่อว่า Dietary Supplements and Mortality Rate in Older Women ตีพิมพ์ใน Archives of Internal Medicine ฉบับประจำวันที่ 10 เดือนตุลาคม 2011   งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาทางระบาดวิทยานาน 19 ปี มีการสัมภาษณ์โดยใช้แบบสอบถามกับ สว.สตรี 38,772 ท่านของรัฐไอโอวาที่มีอายุเฉลี่ย 61.6 ปี (ในปี ค.ศ. 1986) และสัมภาษณ์ซ้ำอีกในปี 1997 และ 2004 และได้สรุปผลว่า การบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ ซึ่งรวมถึงวิตามินเช่น กรดโฟลิก เหล็กและทองแดง ฯ ของผู้บริโภคในวัยเกษียณซึ่งหวังจะมีสุขภาพดีในทางลัด กลับเพิ่มความเสี่ยงของการเสียชีวิตในสว.สตรี ข้อมูลการศึกษานั้นกล่าวว่า ปี 1986 นั้นร้อยละ 62.7 ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่ากินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างน้อย 1 ชนิด และเพิ่มเป็นร้อยละ 75.1 ในปี 1997 (ปีนี้เหลืออาสาสมัคร 29,230) และ 85.1 ในปี 2004  (ปีสุดท้ายนี้เหลืออาสาสมัคร 20,844 คน) ตามลำดับ สรุปแล้วมีอาสาสมัครหายไปสวรรค์ 15,594 คน คิดเป็นร้อยละของ 40.2% จากนั้นในปี 2004 ก็ได้มีการศึกษาเพิ่มเติมโดยใช้อาสาสมัครชุดเก่า 19,124 คน ไปจบการศึกษาจริงในปี 2008 โดยเหลือผู้รอดตาย 16,690 คน แสดงว่าในช่วงปี 1986 ถึง 2004 คนอเมริกันกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นักวิจัยประเมินว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารส่วนใหญ่ไม่ได้มีผลอะไรที่เกี่ยวกับความตายของ สว.หญิง ยกเว้นกลุ่มวิตามินรวมและแร่ธาตุเช่น วิตามินบี 6 กรดโฟลิก วิตามินบี 12 เหล็ก แมกนีเซียม สังกะสีและทองแดง นั้นที่มีความสัมพันธ์กับการไปสู่สัมปรายภพของผู้ถูกศึกษาเร็วขึ้น มีประเด็นที่ทำให้ใจชื้นหน่อยคือ ในการศึกษาพบว่า การเสริมแคลเซียมน่าจะช่วยให้ตายช้ากว่าปรกติหน่อยหนึ่ง ความจริงในประเด็นของโฟเลต วิตามินบี 6 วิตามิน บี 12 ซึ่งสามสหายนี้เป็นความหวังทางการแพทย์ว่า ควรจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะผิดปรกติของหัวใจได้ โดยเป็นวิตามินที่ช่วยลดปริมาณโฮโมซีสตีอีน (homocystein ซึ่งเป็นดัชนีของความเสี่ยงของโรคหัวใจ) ได้จริง แต่ปรากฏว่าความเสี่ยงต่อภาวะผิดปรกติของหัวใจไม่ได้ลดอย่างที่หวัง ผู้ทำวิจัยได้ยกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ แร่ธาตุที่ดูเหมือนยิ่งเสริมจะยิ่งทำให้ตายเร็วคือ เหล็ก ผู้ทำวิจัยไม่ได้ให้เหตุผลว่าทำไม  แต่จากข้อมูลพื้นฐานด้านพิษวิทยาของเหล็กแล้วพบว่า เหล็กที่อยู่ในสภาวะอิสระในร่างกายเรา (ซึ่งผู้สูงอายุแล้วอาจสร้างโปรตีนเฟอไรติน (ferritin) มาจับกับอะตอมเหล็กน้อยลง) ถ้ามีมากเกินไปจะเป็นปัจจัยในการเพิ่มปริมาณอนุมูลอิสระให้สูงขึ้นตามหลักการทางเคมีที่เรียกว่า Fenton Reaction ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อหลายโรค ในกลุ่มประชาชนที่สูงอายุนี้ นอกจากการกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแล้ว ยังมีอีกประเด็นที่น่าพะวงคือ การกินอาหารสำเร็จรูปที่พยายามเติมสารอาหารบางประเภทลงไป เพื่อให้มีคุณค่าโภชนาการสูงเท่าอาหารก่อนปรุง แต่ก็มีที่เลยเถิดไปถึงการเติมแบบ “จัดหนัก” โดยผู้บริโภคไม่ได้รับรู้จากรสสัมผัส และแม้จะมีการติดฉลากโภชนาการ ผู้บริโภคก็มักไม่ได้อ่าน หรือถึงอ่านก็อาจไม่เข้าใจนัก สิ่งที่นักพิษวิทยาด้านโภชนาการกังวลคือ ปรกติสารอาหารอะไรที่ต้องใช้ในปริมาณสูงกว่าปรกตินั้น มักต้องมีการทำวิจัยอย่างลึกซึ้งถึงผลที่อาจเกิดขึ้น เช่น กรณีของโฟเลตและกรดโฟลิค ซึ่งจากชื่อนั้นดูว่าจะเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ในความจริงเป็นคนละเรื่อง Dr. Donald Abrams อาจารย์แพทย์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแห่งเมืองซานฟรานซิสโก ได้กล่าวในคลิปของ YouTube (www.youtube.com/watch?v=zeZFcIbwCZg) ว่า เมื่อพูดถึงโฟเลตนั้น เราหมายถึงสารนั้นอยู่ในผักใบเขียวและอาหารอื่นๆ ส่วนกรดโฟลิคนั้นแสดงว่ามันเป็นสารสังเคราะห์ ซึ่งสามารถกินเกินได้ไม่ยาก ที่สำคัญก็คือ อาหารสำเร็จรูปที่มีการเติมอะไรต่อมิอะไรมากเกินไปนั้น ไม่เคยต้องถูกทดสอบว่า การเติมสารอาหารปริมาณสูงกว่าความต้องการนั้นมีอันตรายอย่างใดต่อผู้บริโภค เพราะมักเข้าใจกันง่าย ๆ ว่าสารอาหารนั้นไม่ควรมีโทษ ท่านผู้อ่านควรทราบว่า โฟเลต ซึ่งมนุษย์กินจากอาหารสารธรรมชาตินั้นอยู่ในรูปที่เชื่อมต่ออยู่กับสายโพลีกลูตาเมต ซึ่งมีขนาดใหญ่เล็กขึ้นกับชนิดแหล่งอาหาร สายโพลีกลูตาเมตนี้ถูกแยกออกที่ผิวของผนังลำไส้เล็กด้วยระบบเอนไซม์จำเพาะ เหลือเป็นโฟเลตโมโนกลูตาเมต (มีกลูตาเมตติดอยู่ 1 โมเลกุล) ที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นจะเห็นว่า การนำเอาโพลีกลูตาเมตออกจากโฟเลตนั้นเป็นจุดกำหนด ปริมาณโฟเลตที่ร่างกายจะได้ใช้ (ซึ่งมีตัวเลขประมาณร้อยละ 25-50 ที่กินเข้าไป) ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นกรดโฟลิก การดูดซึมจะเป็นเกือบร้อยละ 100 เพราะกรดโฟลิกนั้นถูกสังเคราะห์ในรูปที่ไม่มีสายโพลีกลูตาเมตเชื่อมไว้ ท่านผู้สนใจอ่านข้อมูลนี้ได้จาก http://www.fao.org/docrep/004/y2809e/y2809e0a.htm ซึ่งองค์กรแห่งสหประชาตินี้ก็แสดงความกังวลอยู่เช่นกัน เป็นธรรมดาของชาวโลก งานวิจัยใดมีผู้สนใจมากก็มักมีผู้โต้แย้งอยู่เสมอ เช่น กล่าวว่าเป็นเพียงผลจากการเฝ้าสังเกตกลุ่มคนกลุ่มเดียว โดยไม่ได้ทำการศึกษาที่มีการแบ่งกลุ่มการทดลองที่ได้กินผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร(คือวิตามินรวมและแร่ธาตุ) และกลุ่มควบคุมซึ่งได้ยาหลอกเพื่อเปรียบเทียบว่ากลุ่มไหนอายุยืนกว่ากัน  ทำให้ยังสรุปไม่ได้ว่ากลุ่มที่ถูกศึกษานั้นกินวิตามินเพราะป่วยอยู่แล้วจึงตายเร็ว อย่างไรก็ดีได้มีงานวิจัยจริงๆ เรื่องหนึ่งชื่อ Multivitamins in the Prevention of Cardiovascular Disease in Men ซึ่งอยู่ในโครงการ Harvard Physicians’ Study II ในช่วงปี พ.ศ. 1997-2011 (และตีพิมพ์ใน JAMA. 2012; 308(17): 1751-1760)  ซึ่งมีการวางแผนวิจัยด้านระบาดวิทยาที่เป็นการศึกษาในแพทย์เพศชายแบบ randomized double blind ซึ่งหมายความว่า การศึกษานี้มีอาสาสมัครจำนวนนับ 14,641 คนที่ถูกเฝ้าสังเกตโดยไม่รู้ว่าตนได้รับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มวิตามินรวม (7,317 คน ซึ่ง ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2011 เหลือมีชีวิต 5,924 คน ตาย 1,345 คน หายไป 48 คน) หรือยาหลอก (7,324 คน ซึ่ง ณ.วันที่ 1 มิถุนายน 2011 เหลือมีชีวิต 5,855 คน ตาย 1,412 คน หายไป 57 คน) จากเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ป้อนยา ซึ่งเจ้าหน้าที่เองก็ไม่รู้ว่ายาที่ป้อนเป็นวิตามินรวมหรือยาหลอก (สรุปคือ ทั้งคนป้อนยาและคนรับยาต่างไม่รู้ว่าสิ่งที่ผ่านจากมือเข้าปากนั้นคืออะไร คนที่รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นคือ กลุ่มคนที่รับผิดชอบโครงการเท่านั้น) ได้สรุปผลว่า การเสริมวิตามินนั้นไม่ได้มีผลอะไรต่อการที่อาสาสมัครจะหัวใจวาย สมองขาดเลือด หรือตายด้วยอาการอื่น แต่มีแนวโน้มได้ของแถมติดไม้ติดมือบ้างคือ อาการแผลในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบ บ้างท้องผูก บ้างท้องเสีย คลื่นไส้ หมดแรง ง่วงเหงาหาวนอน ผิวหนังเปลี่ยนสี และอาการปวดหัวไมเกรน ดังนั้นถ้าท่านผู้อ่านอยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่าเป็น สว. โดยธรรมชาติ ไม่ได้มีใครเลือกตั้งหรือแต่งตั้งแล้ว การจะกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็อยู่ในวิสัยที่จะทำได้ด้วยความตระหนักว่า ทำไมตนเองจึงกิน แต่ถ้าถามตัวเองแล้วไม่ได้คำตอบว่ากินไปทำไม ก็ย้อนกลับขึ้นไปอ่านบทความนี้อีกที น่าจะดีเหมือนกันนะครับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 163 12 อาหารสำเร็จรูปที่ต้องระวัง

โดย : รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ สถาบันโภชนาการ  มหาวิทยาลัยมหิดล  ไม่ว่าท่านผู้อ่านจะเห็นด้วยหรือไม่กับวลีที่นักวิชาการชอบพูดว่า กินแบบไหนก็เป็นแบบนั้น ผู้เขียนคิดว่า สำหรับคนที่มีวิถีชีวิตในสังคมที่วุ่นวาย ซึ่งต้องการประหยัดเวลา เพื่อให้ได้เขี่ยสมาร์ทโฟนติดตามข่าวร้อยแปดพันประการได้ทัน มักไม่ค่อยสนใจวลีนี้ เพราะเขาทั้งหลาย (They) นิยมบริโภคอาหารปรุงสำเร็จ ซึ่งเขาทั้งหลายจะได้ความหวานเป็นพิเศษและก็เสพติดรสชาติของไขมัน โดยไม่รู้ว่ามันเป็นอันตรายต่อร่างกายในระยะยาว อาหารปรุงสำเร็จ “ถูกสร้างภาพ”  ให้เป็นอาหาร "สำหรับคนรุ่นใหม่" และอาหารเหล่านี้มีช่วงเวลา “ลด แลก แจก แถม” ตามหลักการโฆษณาสมัยใหม่ จนยากที่หลายคนจะต่อต้านและพร้อมที่จะลืมคิดถึงค่าใช้จ่ายแฝงที่ตามมาภายหลังกินอาหารปรุงสำเร็จแล้วคือ สุขภาพของเขาทั้งหลาย ดังนั้นเว็บ http://www.fitnea.com จึงเตือนว่า ผู้ที่พัฒนาพฤติกรรมการบริโภคไปเป็นแบบอเมริกันแล้ว น่าจะทราบข้อมูลต่อไปนี้เพื่อใช้ในการตัดสินชะตากรรมของชีวิตของตนเอง   12 อาหารสำเร็จรูปที่ต้องระวัง 1.ไก่บดทอด (Chicken nuggets) เป็นอาหารที่ถูกคุณชี้เลือกเพื่อสนองความหิวตามร้านอาหารจานด่วน (เช่น ของตาลุงผู้พัน) โดยยอมรับสารเจือปนในอาหารปริมาณสูง เพราะมันเป็นอาหารที่ดูดี กรอบ เหลือง แม้ว่าเค็มด้วยเกลือและไขมันสูง และที่สำคัญถ้าท่านผู้อ่านเข้า YouTube แล้วพิมพ์คำว่า What Are Chicken Nuggets Made Of? แล้ว คุณอาจต้อง อึ้ง ทึ่ง เสียว ในทันใด 2.มันฝรั่งทอด (French Fries) ให้พลังงานสูงพร้อมข้อมูลวิทยาศาสตร์สุขภาพที่กล่าวว่า เมื่อคุณกินมันเข้าไป คุณกำลังเข้าไปทักทายกับโรคเบาหวานและโรคอ้วนโดยรู้ตัว คุณค่าทางโภชนาการของอาหารนี้ต่ำมาก แต่ถ้าคุณถึงภาวะที่รู้สึกว่าต้องการการกินมันฝรั่งทอดเหลือเกิน คุณควรทำเองด้วยการ “อบ” ไม่ใช่ทอดในน้ำมัน  3.ข้าวเกรียบมันฝรั่ง (Potato chips) ญาติสนิทของมันฝรั่งทอด ซึ่งดูคล้ายข้าวเกรียบไทย เช่น ข้าวเกรียบกุ้ง ข้าวเกรียบเห็ด ฯ อาหารชนิดนี้ถูกระบุว่า ทำลายความพยายามของคนที่ลดน้ำหนักให้ย่อยยับลงมานักต่อนักแล้ว มันเพิ่มพลังงานและเกลือแกงพร้อมสารกันบูด เพราะโรงงานอาหารสำเร็จรูปได้เติมสารเจือปนต่างๆ เพื่อให้มันเป็นสินค้าที่มีลักษณะล่อตาผู้บริโภค หลังจากที่ถูกทอดในน้ำมันเดือดจนกลายเป็นอาหารอมน้ำมันสูงที่มีคุณค่าทางโภชนาการไม่ครบและขาดใยอาหาร 4.น้ำอัดลม (Soda pop) เป็นตัวอย่างของอาหารที่เรียกว่า empty calories เพราะมันให้แต่พลังงานอย่างเดียวโดยไม่ให้สารอาหารอะไรเลย สุดจะเลวร้าย(ที่เราชอบดื่มจริงๆ ขณะเมื่อจะตายเพราะกระหายน้ำ) ความหวานของน้ำอัดลมมักได้จาก น้ำเชื่อมฟรักโตส(fructose syrup) ซึ่งดูเหมือนไม่มีอันตรายเพราะไม่ต้องการอินซูลินในการนำเข้าเซลล์ของร่างกาย แต่ด้วยสมมุติฐานของนักวิทยาศาสตร์บางท่านที่กล่าวว่า น้ำเชื่อมฟรักโตสที่เข้าสู่ตับอย่างรวดเร็วจะกระตุ้นกระบวนการสร้างไขมัน(lipogenesis) อย่างฉับพลันจนเกิดอาการที่ตับรับไม่ไหวที่เรียกว่า fatty liver ซึ่งในสัตว์ทดลองนั้นถ้าพบการที่ตับมีไขมันสะสมสูงเมื่อไร ก็หมายความว่าตับสัตว์นั้นพังแล้ว 5.ไส้กรอกฝรั่ง หมูแฮมและเบคอน (Fermented meat products) ซึ่งมีการเติมสารปรุงรสเช่น ผงชูรส เกลือดินประสิว และอื่น ๆ เนื่องจากอาหารเหล่ามักใช้วัตถุดิบคุณภาพรองจึงต้อง แต่งกลิ่น แต่งสี ให้เก็บแช่แข็งได้นานก่อนนำมาขายแก่ผู้บริโภค กระบวนการดังกล่าวนี้ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะเรามีกฎหมายที่ทำให้มันถูกต้อง อย่างไรก็ดีอาหารกลุ่มนี้ถูกยกย่องจากนักพิษวิทยาทั่วไปว่า มีสารก่อมะเร็งกลุ่มไนโตรซามีนแน่นอน มากบ้างน้อยบ้าง ดังนั้นเด็กและสตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการบริโภค สำหรับผู้ที่ประสงค์จะบริโภค ควรมีตับแข็งแรงเพื่อทำลายสารพิษนี้และบริโภคพร้อมกับผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง 6.แฮมเบอร์เกอร์จานด่วน (Fast food hamburgers) เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารก่อมะเร็งซึ่งเกิดจากการปิ้งย่างรมควันเนื้อสัตว์ ตลอดจนถึงความเสี่ยงต่อเบาหวานซึ่งมีการศึกษาทางระบาดวิทยาว่า ผู้หญิงที่กินแฮมเบอร์เกอร์มากกว่าสองครั้งต่อสัปดาห์มีแนวโน้มที่จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน 7.อาหารเช้าธัญพืช (Cereal) เป็นความสะดวกสบายของผู้ต้องการอาหารเช้าที่อยู่ในกล่องสวยงาม เพื่อให้สมาชิกในครอบครัวได้น้ำตาลเพิ่มขึ้นจนเสี่ยงต่อเบาหวาน ดังนั้นถ้าต้องกินอาหารชนิดนี้ควรเพิ่มอาหารที่มีเส้นใยสูงเข้าไป หรือมองหาอาหารธัญพืชที่ให้ใยอาหารประมาณ 5 กรัม ขึ้นไป พร้อมทั้งอย่าเลือกชนิดที่มีรสหวานจัดนัก หรือจะให้ง่ายกว่านั้น กินข้าวเม่าไทยดีกว่า ถูกและปลอดภัยไร้สารพิษ 8.กราโนล่า (Granola bars) คือขนม(โคตร) หวานของฝรั่ง เป็นได้ทั้งอาหารเช้าธัญพืชหรือเมื่อเหงาปาก ส่วนประกอบมักมีข้าวโอ๊ต ถั่ว น้ำผึ้ง บางครั้งเพิ่มผลไม้แห้ง ลูกเกด หรืออินทผลัมลงไปด้วยเพื่อเพิ่มความหวานสุดๆ แล้วอบจนกรอบ ขนมนี้ให้พลังงานสูง น้ำหนักเบา เก็บได้นาน ใช้เป็นเสบียงระหว่างการเดินทางหรือระหว่างเกมกีฬาดีๆ เพราะให้พลังงานและอยู่ท้องพอสมควร ในบ้านเราสินค้านี้มักมีเด็กเล็กเป็นเป้าหมายสำคัญที่ต้องพุ่งเข้าชน ขนมดังกล่าวมักถูกเติมน้ำเชื่อมฟรักโตสเพื่อความหวานจัด ที่ร้ายกว่านั้นในกระบวนการปรุงแต่งมักทำให้มันเป็นขนมที่มีโซเดียมและไขมันค่อนข้างสูง 9.ขนมอบต่าง ๆ (Store-bought cookies, crackers, cakes and muffins) ที่มีมากมายหลายชนิดซึ่งพบได้ในห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อ จัดเป็นอาหารทำลายสุขภาพซึ่งมักให้กันในช่วงวันหยุดเทศกาลเหมือนมีเจตนาร้ายซ่อนไว้ ขนมนี้ให้เกลือและน้ำตาลพร้อมทั้งไขมันทรานส์ซึ่งเป็นผู้ก่อการร้ายต่อสุขภาพของหัวใจอย่างสุดๆ 10.เครื่องดื่ม (ในซอง) พร้อมชง และเครื่องดื่ม (ในขวด) พร้อมดื่ม เป็นเครื่องดื่มที่เตรียมได้ง่ายและราคาถูก เพราะมักทำจากวัตถุดิบราคาต่ำ จากนั้นจึงแต่งกลิ่น สี และรสชาติสังเคราะห์ด้วยสารเคมีเพื่อให้สินค้าดูดี ถ้าองค์ประกอบมีครีมเทียมด้วยก็จะได้ไขมันทรานซ์ ส่วนน้ำตาลนั้นก็อาจเป็นน้ำเชื่อมฟรักโตสซึ่งเมื่อบริโภคมากอาจเกิดปัญหาต่อสุขภาพตับ สินค้านี้ขายได้ด้วยเทคนิกทางการโฆษณาโดยแท้ ไม่เชื่อคุณลองวิเคราะห์ต้นทุนด้วยว่า อะไรคือต้นทุนหลักของสินค้านี้ 11.เนยเทียม (Margarine) เป็นทางเลือกที่ถูกนำมาใช้ในการเตรียมอาหารเช้าของคนไทยจน ๆ เนื่องจากเนยแท้หรือ butter มีราคาแพงมากเมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำ การกินขนมปังทาเนยเทียมจึงดูหรูสุดๆ แล้วสำหรับคนจน เนยเทียมนั้นทำจากน้ำมันพืชที่ถูกนำมาเติมอะตอมของไฮโดรเจนด้วยวิธีการทางเคมีเพื่อให้กลายเป็นไขมันอิ่มตัวที่แข็งพร้อมการแต่งกลิ่น สี และรสด้วยสารเคมีจนละม้ายคล้ายเนยจริง ข้อเสียหลักๆ เกี่ยวกับเนยเทียมคือ ไขมันทรานส์ ซึ่งมีการเชื่อมโยงสู่สุขภาพเลวของผู้บริโภค 12.ข้าวโพคคั่วในถุงไมโครเวฟ (Microwave popcorn) อาหารนี้เป็นที่นิยมของมนุษย์ผู้ไม่ชอบให้ปากว่างระหว่างชมโทรทัศน์ที่บ้าน นอกจากทำลายสุขภาพฟันแล้วยังทำให้คุณเสี่ยงต่อการรับสารไดอะเซ็ตติล ซึ่งเป็นกลิ่นรสเนยสังเคราะห์ที่สามารถทำลายปอดได้ ที่สำคัญสุดๆ คือ ถุงสำหรับใส่ข้าวโพดเพื่อนำไปรับความร้อนในไมโครเวฟนั้นมักถูกเคลือบด้วยสารเทฟลอน(Teflon) ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับที่ใช้เคลือบกระทะ nonstick ซึ่งเมื่อถูกความร้อนสูง ๆ จะสลายตัวให้กรด perfluorooctanoic (เปอร์-ฟลูออ-โร-ออค-ตะ-โนอิค) ซึ่งถูกสงสัยว่าก่อมะเร็ง แต่ที่แน่ ๆ ถ้าสารนี้เกิดจากการตั้งกระทะเคลือบเทฟลอนบนเตาจนร้อนแล้วไม่เติมอาหารลงไป เพราะแม่บ้านมัวแต่คอเอียงโทรศัพท์หรือเขี่ยสมาร์ทโฟนอยู่ นกแก้วที่แม่บ้านฝรั่งชอบเลี้ยงเป็นเพื่อนในครัวมักตายด้วยสารนี้ สนใจข่าวนี้สามารถอ่านได้โดยใช้ google แล้วพิมพ์ว่า Non-Stick Cookware Kills Another Parrot ผู้เขียนให้ข้อมูลแก่ท่านผู้อ่านแล้ว ก็สุดแต่ท่านจะไขว้คว้าเอาอาหารนี้มาทำลายสุขภาพกันตามหลักสำคัญที่บอกว่า ทำอะไรได้ตามใจคือไทยแท้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 157 ฉลาดที่จะฉลาด

มีการโฆษณาทางอินเตอร์เน็ต วิทยุ โทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ค่อนข้างมากเกี่ยวกับการดื่มหรือบริโภคอาหารมหัศจรรย์บางชนิด ที่ทำให้มีเชาว์ปัญญาสูงขึ้น ทั้งที่ความจริงแล้วสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของสมองอย่างแท้จริงคือ น้ำตาลกลูโคส ซึ่งให้พลังงานที่จำเป็นต้องใช้ในการดำเนินการส่งกระแสในระบบประสาทขณะคิด หลายท่านคงมีประสบการณ์ว่า ทันทีที่ความเข้มข้นของน้ำตาลนี้ในสมองต่ำลง ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายที่เกิดขึ้นคือ ไขว่คว้าหาอาหาร(แป้งต่างๆ ) ที่ให้น้ำตาลดังกล่าวมาใส่ปาก ถ้าจะให้ดีต้องมีของแถมคือ สารต้านออกซิเดชั่น ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมอง เนื่องจากเวลาสมองใช้น้ำตาลกลูโคสไปสร้างเป็นพลังงานนั้นมีการส่งผ่านอิเล็กตรอนเป็นจำนวนมาก โอกาสเกิดอนุมูลอิสระจึงสูง ดังนั้นเมื่อมีผู้ตั้งประเด็นถามกับผู้เขียนว่า ในทางด้านอาหารและโภชนาการแล้ว กินอะไรถึงจะทำให้เด็กฉลาด สอบเข้าเรียนต่อในสาขายอดนิยมในสังคมไทยของมหาวิทยาลัยดีๆ ได้ ผู้เขียนจึงมักเลี่ยงที่จะตอบคำถามนี้ เนื่องจากผู้เขียนไม่เชื่อว่า การกินอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งจะทำให้คนฉลาดขึ้น เพราะความฉลาดของคนนั้นขึ้นกับปัจจัยทั้งสิ่งแวดล้อมและพันธุกรรม ซึ่งไม่สามารถทำได้ในช่วงสั้นๆ ก่อนสอบ นักวิชาการด้านการศึกษากล่าวว่า เด็กที่อยู่ในครอบครัวที่ปิดตนเองจากสังคม มักมีความสามารถในการนึกคิดแก้ปัญหาได้น้อยกว่าเด็กที่มีโอกาสเห็นอะไรต่อมิอะไรที่เกิดในสังคม ดังนั้นการให้ความรู้ต่างๆ ตั้งแต่เด็กยังเล็กจึงสำคัญมากต่อกระบวนการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหา แต่ที่สำคัญกว่าคือ การทำให้สมองของเด็กพร้อมเปิดรับการฝึกที่จะเรียนรู้   เราคงยอมรับกันว่า ถ้าเด็กได้กินดีอยู่ดี โอกาสที่เด็กจะฉลาดย่อมสูงขึ้น แต่เราก็ยังเห็นเด็กที่เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะการเงินดีทำความเลวได้สุดๆ ดังนั้นคำว่ากินดีอยู่ดีนั้นจะต้องควบคู่ไปกับสิ่งแวดล้อมที่ดีรวมถึงการอบรมสั่งสอนที่ถูกต้องที่ครอบครัวป้อนให้ ผู้เขียนได้ลองสังเกตผู้คนที่อยู่ในสังคมของผู้เขียนก็พบว่า ปัจจัยที่ทำให้คนฉลาดคือ สมาธิ(รวมถึงความขยัน) หรือ พันธุกรรมที่ดี (คู่ไปกับอาหารและโภชนาการที่ดี) และถ้าจะฉลาดมาก ๆ ต้องมีทั้งสองปัจจัยไปด้วยกัน ก่อนจะไปต่อในเรื่องของความฉลาด คงต้องกลับมาทำความเข้าใจกันว่า ฉลาดและดี นั้นไม่ใช่คำเดียวกัน เพราะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าในสังคมไทยนั้น คนโกงชาติมักเป็นคนฉลาดในการทำสิ่งที่ดีเฉพาะกับตนเอง โดยไม่สนใจผลว่าสิ่งที่ตนกระทำก่อความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองอย่างไร ดังนั้นจึงน่าจะสรุปได้ว่า ความพยายามหาทางให้เด็กไทยฉลาดนั้นยากหนักหนา แต่สิ่งที่ยากกว่านั้นคือ การหาทางกำกับให้เด็กไทยที่ฉลาดเป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่คดในข้องอในกระดูกจนทำให้ประเทศไทยติดโผขี้โกงลำดับต้น ๆ ของโลก เราเชื่อกันว่าความฉลาดของคนอยู่ที่สมองซึ่งเป็นอวัยวะกำหนดความคิด สังเกตได้ว่าเด็กสองคนที่มองเห็นสิ่งเดียวกัน อาจแสดงออกถึงความเข้าใจหรือยอมรับในสิ่งที่เห็นต่างกัน แม้ว่าเด็กทั้งสองจะมีอายุใกล้กันและเลี้ยงดูมาคล้ายกันเช่นพี่กับน้อง ผู้เขียนได้เข้าไปดูการบรรยายหนึ่งใน Youtube ซึ่งผู้บรรยายเป็นอาจารย์ด้านระบบประสาทท่านหนึ่งจากฮาร์วาร์ด ผู้บรรยายเล่าถึงการทดลองในสัตว์ทดลองว่า การที่สัตว์จะยอมรับรู้อะไรหรือไม่นั้นขึ้นกับว่าเซลล์ที่รับรู้นั้นทำงานถูกต้องหรือไม่ โดยหลักการแล้วเซลล์ที่เกี่ยวกับการรับรู้(เซลล์ประสาท) ต้องมีสุขภาพดีจากการได้รับสารอาหารเต็มที่(เด็กขาดสารอาหาร ไม่ว่าสารอาหารใด มักแสดงออกด้วยอาการปัญญาอ่อนที่ไม่ได้เกิดจากพันธุกรรม) จากนั้นการทำงานของเซลล์จึงเกิดขึ้นโดยมีการสร้างโปรตีนที่ทำหน้าที่ในการรับการกระตุ้นเพื่อส่งสัญญาณไปยังส่วนที่เกี่ยวกับการรับรู้ มีงานวิจัยทางด้านระบบประสาทสัมผัสเช่น กลิ่นรสที่จมูกหรือลิ้นสรุปผลว่า ถ้าโปรตีนที่เป็นตัวรับสัมผัสนั้นไปปรากฏที่เส้นประสาทที่ต่างกันผลย่อมต่างกัน กล่าวคือ ถ้าโปรตีนตัวรับสัมผัสไปปรากฏที่เส้นประสาทที่ทำให้เรารู้สึกชอบ การเรียนรู้ของสมองจะสอนให้ชอบกลิ่นหรือรสนั้น แต่ในทางตรงข้ามถ้าโปรตีนตัวรับสัมผัสไปปรากฏที่เส้นประสาทที่ทำให้เรารู้สึกไม่ชอบ การกระตุ้นระบบประสาทด้วยสิ่งเดียวกันย่อมส่งผลไปในทางตรงข้าม คำอธิบายนี้อาจเป็นเหตุผลว่า ทำไมผู้เขียนถึงเกลียดกลิ่นคาวปลาต่างๆ จนแทบไปยอมกินอาหารที่มีปลาเป็นองค์ประกอบ ในขณะที่ทุกคนในครอบครัวชอบกินปลา ในระบบอินเตอร์เน็ตนั้น ไม่ว่าจะค้นข้อมูลด้วยภาษาไทยหรืออังกฤษใน Google ก็พบว่ามีเว็บไซต์มากมายที่พูดถึง อาหารที่ทำให้สมองทำงานได้ดี ยิ่งถ้าไปดูใน Youtube ด้วยแล้ว มีนักวิชาการและนักวิชาเกินมากหน้าหลายตามาให้ข้อมูลซึ่งหลายคลิปแฝงการค้าเข้าไปด้วย ผู้ชมจึงควรใช้หลักกาลามสูตรของพระพุทธเจ้าช่วยในการตัดสินว่าควรเชื่อหรือไม่ อย่างไรก็ดีมีเว็บหนึ่งให้ความรู้ค่อนข้างกลางๆ เกี่ยวกับการทำให้มนุษย์มีประสาทรับรู้ดีขึ้นโดยเป็นบทความเรื่อง 10 Easy Ways To Boost Your Cognitive Performance ของ Gregory Myers (เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2013) ใน http://listverse.com   บทความนั้นกล่าวว่า มนุษย์ต้องใช้สมองคิดทุกวันเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ แต่ในหลายสถานการณ์เราต้องการให้สมองสามารถรับรู้เพื่อคิดดีขึ้นกว่าปรกติเช่น ขณะสอบข้อเขียน ขณะทำงานในโครงการสำคัญ หรือขณะที่พยายามเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ จึงมีความสำคัญที่จะต้องหาอะไรสักอย่างมากระตุ้นกระบวนการรับรู้ให้สามารถคิดได้ดีกว่าเดิม Gregory Myers กล่าวว่ามี 10 แนวทางที่น่าจะกระตุ้นให้การรับรู้เพื่อแก้ปัญหาดีขึ้น โดยมี 3 แนวทางที่เกี่ยวข้องกับการกิน ดังนี้ การดื่มกาแฟสามารถกระตุ้นให้ระบบประสาทตื่นตัว โดยมีข้อแม้ว่าต้องนอนหลับให้อิ่มก่อน (ไม่ใช่ดูบอลจนตีห้าแล้วดื่มกาแฟเพื่อเข้าสอบในตอนแปดโมงเช้า ชาติหน้าบ่ายๆ คงสอบผ่าน) งานวิจัยทางประสาทวิทยาหลายชิ้นกล่าวว่า สารแคฟเฟอีนในกาแฟเป็นตัวกระตุ้นให้ระบบประสาทตื่นตัว มีสมาธิในงานที่น่าเบื่อหน่ายและปรับปรุงความคิดทุกอย่างที่เกี่ยวกับเชาว์ปัญญา ซึ่งรวมถึงช่วงเวลาประมวลเหตุผลและตอบสนองของสมองให้สั้นลง อย่างไรก็ดีการได้รับแคฟเฟอีนไม่ได้หมายความว่าผู้ได้รับมีสมองไวตลอดไป เพราะมันดีแค่เพียงช่วงที่แคฟเฟอีนออกฤทธิ์เท่านั้นเอง เครื่องดื่มอีกประเภทที่มีการแนะนำว่า ดื่มแล้วความคิดความอ่านอาจดีขึ้น(นักการเมืองหลายคนที่เป็นจอมเขียนโครงการจึงจมปลักอยู่กับมัน) คือ ไวน์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ปริมาณที่พอเหมาะเท่านั้นที่จะทำให้การรับรู้ของสมองดีขึ้น โดยคาดว่าเป็นผลเนื่องจากสารต้านออกซิเดชั่นในไวน์เป็นตัวรับผิดชอบ ประเด็นที่เป็นปัญหาคือ ปริมาณที่เหมาะสมในการดื่มนั้นมักถูกละเลย เนื่องจากผู้ดื่มลืมรับรู้ว่าควรพอแค่ไหน กลับเอาแต่สนุกกับความผ่อนคลายสมองมากไปจนเมาแม้ต้องเข้าประชุม…… แนวทางที่สามนั้นไม่ใช่ตัวอาหารแต่เป็นการปรับพฤติกรรมการการกินที่แปลกมาก โดยแนะนำว่า ถ้าอยากให้สมองแล่นควรงดอาหารก่อนทำกิจสำคัญ ทั้งนี้เพราะมีงานวิจัยของคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยลพบว่า หนูทดลองที่ถูกงดให้อาหารมีการรับรู้ต่อข้อมูลดีกว่าอีกกลุ่มที่ได้อาหาร ผลการทดลองนี้นักวิจัยอภิปรายสรุปความหมายว่า เราน่าจะทำงานได้ดีขึ้นเพราะเราต้องการให้มันเสร็จเสียทีเพื่อจะได้กินอาหาร คล้ายกับเป็นการสร้างแรงจูงใจของพระเจ้าตากสินที่สั่งทุบหม้อข้าวก่อนการบุกยึดเมืองจันทบุรีกระมัง ดังนั้นโดยสรุปแล้วการที่เด็กจะฉลาดหรือไม่ฉลาดนั้น อาจต้องรอการค้นคว้าในอนาคตที่สามารถพิสูจน์ได้จริงทางวิทยาศาสตร์ว่า ปัจจัยการกินอาหารอะไรหรือใช้กระบวนการอย่างไรจึงทำให้สมองเด็กฉลาดถาวรพ่วงกับการเป็นคนดีของสังคมด้วย   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 154 อาหารใส่ปากและการคำนวณแคลอรี่

ฉบับที่แล้วผู้เขียนได้เขียนถึงอาหารที่ควรใส่บาตรให้พระสงฆ์ จากนั้นก็มานึกได้ว่า แล้วอาหารที่ควรใส่ปากเรานั้นน่าจะเป็นอย่างไรดี ความจริงประเด็นนี้หลายท่านคงพอนึกออกแล้ว และบางท่านได้กระทำมาเป็นเวลานานด้วย ในฉลาดซื้อฉบับนี้ผู้เขียนจึงเพียงหวังเพื่อกระตุ้นหรือเสนอทางเลือกใหม่ในการหาความรู้เกี่ยวกับอาหารและโภชนาการ เนื่องจากผู้เขียนได้ไปพบเว็บหนึ่งบนอินเตอร์เน็ตชื่อ www.nhs.uk NHS (National Health Service) เป็นองค์กรอิสระสังกัดกระทรวงสาธารณสุขของอังกฤษ ตั้งขึ้นมาตามพระราชบัญญัติชื่อ Health and Social Care Act 2012 คำว่า “องค์กรอิสระ” นี้เรียกกันเป็นทางการว่า Non Departmental Public Bodies (NDPB) ซึ่งอังกฤษมีเป็นจำนวนมากทั้งใหญ่และเล็ก ทั้งระดับชาติถึงระดับท้องถิ่น องค์กรอิสระในอังกฤษนั้นรับผิดชอบงานที่ไม่เหมาะจะให้รัฐเป็นผู้กระทำการเอง หรือเพื่อเป็นการขยายการมีส่วนร่วมของประชาชน สำหรับบ้านเรานั้นองค์กรอิสระที่มีลักษณะเดียวกันคือ “ไทยพีบีเอส” ความน่าสนใจของเว็บนี้คือ มีบทความซึ่งอ่านไม่ยากนัก(แต่จะลำบากสำหรับท่านที่มีอาการภาษาอังกฤษเป็นพิษ) หลายเรื่องซึ่งอาจตอบปัญหาที่ค้างคาใจผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรด้านโภชนาการได้ ที่จะกล่าวถึงในฉบับนี้คือ ในการกล่าวถึงอาหารที่ให้พลังงาน 100 แคลอรี ท่านผู้อ่านสามารถยกตัวอย่างได้หรือไม่ว่าได้แก่อะไร ปริมาณเท่าใดบ้าง ถ้าคำตอบคือ ไม่ ท่านน่าจะไปลองอ่านบทความเรื่อง What does 100 calories look like? ในบทความ What does 100 calories look like? นั้น กล่าวถึงความจำเป็นที่ต้องเข้าใจว่า แคลอรี(ซึ่งความหมายจริง ๆ ทางโภชนาการนั้นคือ กิโลแคลอรี) ซึ่งเป็นหน่วยวัดของพลังงานที่ได้จากอาหารนั้นจำเป็นอย่างไร เพราะถ้าท่านไม่สามารถประเมินได้ว่า การกินอาหารของท่านแต่ละมื้อนั้นท่านได้พลังงานสักเท่าไร โอกาสที่ท่านจะได้รับพลังงานจากอาหารเกินกว่าที่ต้องการและถูกนำไปสะสมในรูปไขมันโดยเฉพาะที่หน้าท้องก็มีมาก ท่านผู้อ่านอาจเคยได้ยินเพื่อนบางคนที่พยายามดูแลสุขภาพตนเองพูดเป็นเชิงว่า “วันนี้กินอาหารมากเกินไปหน่อยเพราะมันอร่อยจนอดใจไม่ได้ เดี๋ยวต้องไปวิ่งเพื่อรีดไขมันออกบ้าง” โดยมีความหมายในเชิงว่า จะได้ไม่ต้องกังวลต่อการขึ้นของน้ำหนักตัว ซึ่งร้อยทั้งร้อยมักเอาออกได้ไม่หมด ยกเว้นเพื่อนผู้นั้นเป็นผู้ที่รักในการเล่นกีฬาแบบจริงจัง หลังจากได้ทราบความหมายของคำว่า แคลอรี จากบทความดังกล่าวแล้ว ท่านผู้อ่านหลายท่านอาจมีอาการเหมือนผู้เขียนคือ ลืมคำจำกัดความนี้ได้ในทันทีที่ละสายตาไปอ่านบรรทัดต่อไป เพราะสำหรับผู้เขียนแล้วมันดูไม่มีความหมายอะไรนัก เพราะสิ่งที่อยากรู้นั้นอยู่ในตอนต่อไปของบทความ ข้อมูลหนึ่งที่นักโภชนาการ(ซึ่งผู้เขียนไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มนี้) มักบอกกับคนทั่วไปว่า ผู้หญิงควรได้รับพลังงานจากอาหารโดยเฉลี่ยต่อวันคือ 2000 แคลอรี ส่วนผู้ชายนั้นตัวเลขคือ 2500 แคลอรี ข้อมูลนี้ค่อนข้างหยาบมาก เพราะควรบอกเป็นจำนวนแคลอรีต่อน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม เนื่องจากมนุษย์ไม่ว่าเพศใด น้ำหนักตัวควรเป็นไปตามความสูง เช่น สตรีสูง 100 เซนติเมตร ถ้าได้พลังงาน 2000 แคลอรี ก็ย่อมอ้วนได้ ต่างจากสตรีที่สูง 200 เซนติเมตรซึ่งจะดูผอมทันที อย่างไรก็ดี ตัวเลข 2000 และ 2500 ก็ยังเป็นที่นิยมของนักโภชนาการอยู่ดี ก่อนที่จะรู้ว่ากินอะไรจึงจะได้พลังงานที่เพียงพอในแต่ละวัน บทความดังกล่าวได้กล่าวถึงสัดส่วนของพลังงานที่คุณควรได้ในแต่ละวันว่า มื้อเช้าควรให้พลังงานร้อยละ 20 มื้อเที่ยงให้ร้อยละ 30 และมื้อค่ำให้อีกร้อยละ 30 ส่วนอีกร้อยละ 20 นั้นอาจได้จากขนมนมเนยและเครื่องดื่ม ซึ่งก็ดูเป็นธรรมดี เพราะการห้ามมนุษย์กินขนมนั้นเป็นการทารุณจิตใจมาก นักโภชนาการไทยหลายคนนิยมห้ามในเรื่องนี้ จึงทำให้คำปรึกษาในเรื่องการจำกัดน้ำหนักต่อผู้เป็นโรคอ้วนล้มเหลว เพราะมันฝืนธรรมชาติของมนุษย์เกินไป เมื่ออ่านบทความนี้จบผู้เขียนเข้าใจเอาเองว่า สิ่งที่กล่าวในบทความนี้เป็นหลักการง่ายของ food exchange เพื่อให้เราเตือนตัวเองว่า เช้าวันนี้กินขนมมากเกินไปแล้ว ควรลดปริมาณอาหารในมื้ออื่นเพื่อให้ปริมาณพลังงานรวมในวันนั้นไม่เบี่ยงเบนไปจากค่าที่มีการแนะนำ บทความได้ยกตัวอย่างพร้อมรูปภาพปริมาณอาหารที่ให้พลังงาน 100 แคลอรี ซึ่งความรู้นี้เมื่อทำให้ง่ายแล้ว ประชาชนบางส่วนน่าจะใช้ประเมินปริมาณพลังงานที่ได้รับแต่ละมื้อ เพื่อเป็นแนวทางหนึ่งในการควบคุมน้ำหนักตัว ส่วนข้อมูลในลักษณะเดียวกันที่เป็นภาษาไทยนั้น ผู้เขียนคิดว่าน่าจะมีใครสักคนทำไว้บ้างแล้ว แต่จากการเข้าเว็บเจ้าประจำที่มักดูคือ เว็บของสำนักโภชนาการ กรมอนามัยนั้น มีเอกสารให้ดูแต่เข้าใจยากเพราะมองไม่เห็นภาพ ตัวอย่างเช่น ตารางปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย ซึ่งสำหรับผู้เขียนแล้ว นึกภาพไม่ออกเลยเพราะเป็นตัวเลข ซึ่งต้องมาจากการนำเอาพลังงานจากที่ผู้บริโภคได้รับจากอาหารแต่ละชนิดมาบวกกัน อย่างไรก็ดีเมื่อเข้าไปค้นหาข้อมูลใน google โดยใช้คำว่า อาหารแลกเปลี่ยน (food exchange)  ผู้เขียนก็ได้พบข้อมูลที่มีการทำเป็นตารางว่า อาหารแต่ละชนิดในปริมาณหนึ่งนั้นให้พลังงานเท่าใด ซึ่งน่าจะพอทำให้กะได้ว่าท่านได้รับพลังงานสักเท่าใดในแต่ละมื้อ ท่านผู้อ่านเข้าไปดูตารางนั้นดูได้จาก www.bloggang.com/data/l/lovelydear/picture/1280891409.png ตัวอย่างปริมาณอาหารที่ให้พลังงาน 100 แคลอรี ได้จาก www.nhs.uk ที่น่าสนใจอีกเว็บคือ เว็บของคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล ซึ่งมีเอกสารชื่อ รายการอาหารแลกเปลี่ยน เขียนโดย อาจารย์ศรีสมัย วิบูลยานนท์ ซึ่งมีรูปภาพน่าสนใจ แต่ก็ยังไม่ถึงกับทำให้การกะระดับพลังงานที่ได้ในแต่ละมื้อเป็นไปอย่างสะดวกนัก ท่านผู้สนใจเข้าไปดูได้ที่ www.si.mahidol.ac.th/th/division/diabetes/admin/news_files/12_44_1.pdf ความสามารถในการกะปริมาณพลังงานในอาหารที่บริโภคนั้น เป็นเรื่องน่าจะสำคัญมากในเรื่องสุขภาพของคนไทย ดังนั้นในการปรับปรุงระบบการศึกษาใหม่ของกระทรวงศึกษาธิการนั้น น่าจะบรรจุเรื่องง่าย ๆ ที่ทำได้แล้วส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน เช่น การกะปริมาณพลังงานจานอาหารแต่ละมื้อก็จะดี //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 152 รูป รส กลิ่น สี ในอาหารอุตสาหกรรม

ผู้เขียนดื่มกาแฟมาแต่เล็ก เนื่องจากเห็นผู้ใหญ่ดื่มกันก็ดื่มบ้าง ถามว่าติดไหม ตอบได้ว่าไม่ดื่มก็ได้ ถ้าวันนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่มีดื่ม ก็ไม่รู้สึกอะไร จึงเข้าใจว่าผู้เขียนไม่น่าถูกจัดว่าเป็นคนติดกาแฟ คำอธิบายง่าย ๆ สำหรับปรากฏการณ์นี้คือ ผู้เขียนน่าจะมีระบบการเปลี่ยนแปลงแคฟฟีอีนเพื่อขับออกจากร่างกายค่อนข้างเร็ว เพราะทุกครั้งที่ดื่มกาแฟหมดแก้ว จากนั้นไม่นานเกินรอก็ต้องเข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะซึ่งเป็นการขับแคฟฟีอีนที่ถูกเปลี่ยนแปลงแล้วพร้อมกับสารที่ให้กลิ่นของกาแฟออกจากร่างกายดังนั้นการดื่มกาแฟก่อนนอนจึงไม่เคยเป็นปัญหาต่อการนอนหลับของผู้เขียนเลย แถมกลับพบว่า วันใดที่รู้สึกเครียดหรือเหนื่อยมาก การได้ดื่มกาแฟสักนิดกลับทำให้หลับสบาย แคฟฟีอีนนั้นเป็นสารเคมีที่มีความสามารถในการกระตุ้นให้ผู้ดื่มกาแฟเกิดความสดชื่น ประสาทตื่นตัว ยิ่งถ้าอยู่ในร่างกายนานเท่าใด ร่างกายก็ตื่นตัวมากขึ้นเท่านั้นจนถึงนอนไม่หลับ ค่าครึ่งชีวิต (half-life) ของแคฟฟีอีนจาก Wikipedia คือ ประมาณ 5 ชั่วโมง ซึ่งหมายความว่า แคฟฟีอีนในแต่ละแก้วที่คนทั่วไปดื่มจะถูกขับออกทางปัสสาวะครึ่งหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไป 5 ชั่วโมงจากนั้นที่เหลือก็จะถูกขับออกอีกครึ่งหนึ่งของที่เหลือเมื่อเวลาผ่านไปอีก 5 ชั่วโมง เรื่อยๆ จนอยู่ในระดับที่ไม่พอออกฤทธิ์ จึงต้องมีการเติมแคฟฟีอีนจากกาแฟแก้วต่อไป สำหรับพฤติกรรมในการดื่มกาแฟนั้น ผู้เขียนไม่นิยมดื่มกาแฟที่มีขายตามซุ้มหรือร้านต่างๆ ตามศูนย์การค้า เนื่องจากกาแฟที่ขายนั้นมักมีความเข้มข้น หวานและมันมากจนเสี่ยงต่อความอ้วน ที่สำคัญปริมาณแคฟฟีอีนที่สูงมากอาจเป็นอันตรายต่อหัวใจเป็นอย่างยิ่ง   เคยมีลูกศิษย์ซื้อกาแฟโบราณซึ่งทั้งเข้มข้นและหวานมันมาให้ดื่มในช่วงเที่ยง ซึ่งเป็นขณะที่ผู้เขียนกำลังจะไปเล่นแบดมินตัน ผลปรากฏว่า วันนั้นเมื่อเริ่มเล่นเกมส์ไปได้เพียงห้านาทีผู้เขียนก็ต้องหยุดเล่นทันทีเพราะรู้สึกตัวว่าหัวใจเต้นเร็วมาก และทำท่าจะไม่ยอมลดลงมาเต้นปรกติเลยแม้หยุดยืนพัก(ซึ่งปรกติแล้วกีฬาที่ต้องใช้แรงเป็นพัก ๆ นั้นเมื่อเกมส์หยุด อาการเต้นเร็วของหัวใจควรผ่อนลงเป็นปรกติ) เมื่อผู้เขียนถามตนเองว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็นึกได้ว่าเพิ่งดื่มกาแฟที่เข้มข้นไปราวครึ่งแก้วนั่นเอง บทเรียนนี้สอนว่า กาแฟนั้นมีประโยชน์ในการทำให้เราสดชื่นและช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยระหว่างการย่อยอาหาร แถมแคฟฟีอีน(ในขนาดที่พอเหมาะ) น่าจะเป็นเทอร์โมเจน (thermogen) ที่ช่วยในการใช้ไขมันเป็นพลังงานได้ดีระหว่างการออกกำลังกาย(ถ้าไม่มีการออกกำลังกาย เทอร์โมเจนก็ไม่ทำงาน) แต่จะเป็นโทษแก่หัวใจถ้าดื่มอย่างเข้มข้นในขณะที่ร่างกายต้องออกแรงอย่างหนัก ชนิดของกาแฟที่ผู้เขียนดื่มประจำคือ ทรีอินวัน ซึ่งเป็นกาแฟปรุงสำเร็จที่สะดวกมากในการตัดปากซองเทลงแก้วแล้วเติมน้ำร้อน คนให้เข้ากันดื่มได้เลย ที่สำคัญกาแฟลักษณะนี้มีราคาถูกเป็นหนึ่งในสิบของกาแฟที่ขายตามซุ้มต่างๆ และมัก ไม่อร่อยเลย จึงทำให้สามารถดื่มได้ทุกยี่ห้อ ขึ้นกับว่ายี่ห้อใดถูกที่สุด ณ เวลาซื้อ จนวันหนึ่งก็ได้พบว่า กาแฟปรุงสำเร็จแบบทรีอินวันซองหนึ่งเมื่อเทน้ำร้อนใส่ลงไปแล้ว กลิ่นนั้นหอมขจรกระจายไปทั้งห้อง จนนักศึกษาที่เดินผ่านมาต้องถามว่า อาจารย์ดื่มกาแฟยี่ห้ออะไรจึงหอมได้สะใจขนาดนี้ ผู้เขียนก็บอกยี่ห้อไปแล้วสำทับด้วยว่า ซองละ 2 บาท 85 สตางค์เท่านั้นเอง ทุกคนที่ได้ยินก็รู้สึกทึ่งว่า ทำไมกาแฟราคาแบบโลว์เอ็นจึงมีกลิ่นหอมเท่ากาแฟไฮเอ็นได้ ผู้เขียนจึงฉุกใจหยิบซองใส่กาแฟในถังผงขึ้นมาดู ก็ถึงบางอ้อว่า ไม่หอมได้อย่างไรในเมื่อในกาแฟนั้นได้เติมกลิ่นกาแฟสังเคราะห์ลงไปด้วย กลิ่นกาแฟสังเคราะห์นั้นเป็นสารเจือปนในอาหารที่มีการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เป็นสารเคมีที่สังเคราะห์ขึ้นเพื่อเลียนแบบกลิ่นธรรมชาติของกาแฟ สารเคมีกลุ่มนี้มีมากมายเพื่อเลียนแบบกลิ่นธรรมชาติ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการผลิตอาหารต่างๆ ทางอุตสาหกรรม ความรู้ทำนองนี้สามารถหาได้โดยอาศัย google ที่เราคุ้นกันดี ที่สำคัญกาแฟลดน้ำหนักที่ขายตามเน็ตหลายยี่ห้อก็ใช้สารเคมีเหล่านี้   ที่น่าตลกก็คือ เคยมีผู้ผลิตกาแฟดำที่ผู้ซื้อสามารถนำไปผสมน้ำแข็งทำเป็นโอวเลี้ยงได้ ส่งตัวอย่างมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเคมีของที่ทำงานของผู้เขียน แล้วพบว่าสินค้าชิ้นนั้นเป็นกาแฟดำที่ไม่มีแคฟฟีอีนเลย   ผู้เขียนเคยเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในตอนเปิดห้าง เมื่อผ่านร้านขายกาแฟที่มีราคาระดับไฮเอ็น(แต่รสชาติที่ผู้เขียนเคยสัมผัสเพราะมีคนซื้อให้ลองชิม ก็ไม่ได้ดีเลิศกว่าทรีอินวันสักเท่าไร) ปรากฏว่ามีกลิ่นกาแฟหอมยั่วยวนมากมาเตะจมูก ทั้งที่เด็กประจำร้านเพิ่งเปิดประตูร้านและยังไม่ได้ต้มน้ำร้อนเลย ทั้งนี้เพราะร้านใช้สเปรย์กลิ่นกาแฟพ่นเพื่อให้ลูกค้าทราบว่ามีร้านกาแฟอยู่แถวนั้นนะ สิ่งที่เป็นประเด็นที่หวังให้ท่านผู้อ่านคิดก็คือ สินค้าอาหารที่ไม่ได้ผลิตเพื่อขายในระบบอุตสาหกรรม นั้น เป็นการขายจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภคโดยตรง ไม่มีการขึ้นทะเบียนที่เป็นระบบ เนื่องจากผู้บริโภคสามารถได้ข้อมูลจากปากผู้ผลิตโดยตรง(ถ้าถาม) แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักไม่สนใจ ยกตัวอย่างง่ายว่า ใครเคยถามผู้ขาย ขนมเค้ก ไอศครีม(โดยเฉพาะเชอร์เบ็ต) น้ำผลไม้ น้ำสมุนไพร ขนมปังสังขยา ขนมชั้น แม้แต่ขนมเปียกปูน (ที่ดำปี๋แต่ไม่มีกลิ่นถ่านไม้เลย) ว่าใช้สารเคมีทั้งหมดเลยหรือใช้สารเคมีผสมกับสารสกัดจากธรรมชาติบ้าง ทั้งที่ผู้ผลิตหรือแม่ค้านั้นควรมีป้ายแจ้งให้ผู้บริโภคทราบเนื่องจากเป็นสินค้าซึ่งผลิตขายหน้าร้าน (ไม่จำเป็นต้องมีฉลาก) ท่านผู้อ่านคงเคยอมทอฟฟีที่มีกลิ่นและรสกาแฟแล้วสงสัยว่า ทำไมยังง่วงอยู่ คำตอบง่าย ๆ ก็คือ ทอฟฟีหลายยี่ห้อนั้นใช้สารเคมีแต่งกลิ่นกาแฟผสมน้ำตาลทำเป็นทอฟฟีกาแฟ ยกเว้นทอฟฟีกาแฟบางยี่ห้อที่นักเรียนนักศึกษาที่ต้องการอยู่ดึกรู้จักดีว่า อมเมื่อไรตาค้างเมื่อนั้น เพราะมีแคฟฟีอีนสังเคราะห์ในระดับสูง ที่น่าตลกก็คือ เคยมีผู้ผลิตกาแฟดำที่ผู้ซื้อสามารถนำไปผสมน้ำแข็งทำเป็นโอวเลี้ยงได้ ส่งตัวอย่างมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเคมีของที่ทำงานของผู้เขียน แล้วพบว่าสินค้าชิ้นนั้นเป็นกาแฟดำที่ไม่มีแคฟฟีอีนเลย การใช้สารเคมีในการผลิตอาหารระดับอุตสาหกรรมนั้น นัยว่าเพื่อควบคุมการผลิตสินค้าให้อยู่ในมาตรฐานที่กำหนดได้ตามต้องการ ซึ่งต่างจากสินค้าที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติซึ่งอาจมีการแปรเปลี่ยนของรสชาติได้ เนื่องจากวัตถุดิบมาจากคนละสวน หรือคนละไร่ ท่านผู้บริโภคจึงควรใช้วิจารณญานตัดสินใจเองว่า ต้องการกินสินค้าที่มีรสชาติมาตรฐานที่ทำจากสารเคมี(ซึ่งผู้ผลิตมักแจ้งที่ฉลากเพราะเป็นข้อบังคับของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) หรือสินค้าที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติของชาวบ้านซึ่งอาจมีรสชาติแปรปรวนได้ในการผลิตวันต่อวันโดยไม่ต้องสัมผัสกับสารเคมีโดยไม่จำเป็น

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 147 กินดิน

มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตบนดาวโลกที่กินอาหารด้วยแรงขับสองประการคือ สัญชาติญาณเพื่อการอยู่รอด ซึ่งกินอาหารเพราะต้องการสารอาหาร เพื่อคงไว้ซึ่งการทำงานของอวัยวะภายใน แต่แรงขับที่สองนั้นเป็นการกินเพราะความอยากคือ กินในสิ่งที่ต้องมีการไขว่คว้าหามา ไม่ว่าด้วยตนเองหรือใช้พลังเงิน ความจริงแล้วสัตว์ป่าเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะใหญ่เป็นช้างจนถึงเล็กเป็นนกก็มีการกินอาหารบางอย่างที่ดูไม่ได้เป็นอาหารปรกติ จนเหมือนเป็นการกินเพื่อความบันเทิง เช่น การกินดินโป่ง เพื่อให้ได้สารอาหารสำคัญที่สัตว์ป่าต้องการแต่มีน้อยในอาหารปรกติคือ เกลือ ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบสรีรวิทยาของร่างกายสัตว์หลายชนิด ดินโป่งของสัตว์ป่านั้น ในวิกิพีเดีย (ไทย) อธิบายว่า เป็นแหล่งดินที่มีรสเค็มและละเอียด ซึ่งเกิดจากแร่ธาตุบางชนิด เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แร่ธาตุในโป่งประกอบไปด้วย โซเดียม แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส และสังกะสี ซึ่งเป็นที่ต้องการของกระดูกและกล้ามเนื้อ แร่ธาตุเหล่านี้เป็นสิ่ง ซึ่งสัตว์ไม่สามารถหาทดแทนได้จากพืช ดังนั้นโป่งจึงเป็นแหล่งแร่ธาตุสำหรับสัตว์ป่าซึ่งกินพืชเป็นอาหาร ส่วนใหญ่พบโป่งได้มากในป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และ ป่าดงดิบ จากมากไปน้อยตามลำดับ จะเห็นว่าการกินดินของสัตว์ป่านั้นเป็นการกินตามสัญชาติญาณ เพื่อทำให้ระบบภายในร่างกายมีการทำงานได้ตามปรกติ ดังนั้นการนำสัตว์ป่ามาเลี้ยงในเมืองโดยขาดความรู้เรื่องโภชนาการของอาหารสัตว์ป่านั้น จึงเป็นการทำร้ายสัตว์เพื่อความบันเทิงของมนุษย์โดยแท้   ท่านผู้อ่านที่มีอายุมากหน่อยคงเคยได้รับข่าวสารว่า คนไทยนั้นก็มีการกินดินกันมานานแล้ว นัยว่าเพื่อสนองความเปรี้ยวปาก เช่น คนเชียงใหม่เรียกดินที่นำมากินกันนั้นว่า “อิด หรือ อิบ” โดยเลือกดินเหนียวที่อยู่ลึกจากผิวดินประมาณ 2 เมตร อาจได้จากการขุดบ่อน้ำ แล้วนำดินนั้นมาหั่นเป็นแผ่นบางๆขนาดฝ่ามือแล้วผึ่งให้แห้ง การกินนั้นอาจเป็นเพราะความชอบกลิ่นรสโดยส่วนตัว หรือในช่วงการแพ้ท้องซึ่งมักต้องการกินอะไรบางอย่างที่ต่างไปจากพฤติกรรมการกินปรกติ รายละเอียดเรื่องนี้สามารถไปดูได้ที่ http://www.gotoknow.org/posts/130370 ส่วนที่เป็นข่าวในระบบสื่อสารมวลชนของไทยนั้นก็มีในราวปี 2528 ที่มีการทำข่าวว่า เด็กในอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ ยากจนอดอยากจนต้องกินดินต่างข้าว ซึ่งสุดท้ายแล้วต้องมีการเฉลยกันว่า การกินดินของเด็กนั้นเป็นเรื่องปรกติของเด็กที่มีความอยากเฉพาะตัว ไม่ได้อดอยากไม่มีอะไรกินจนถึงกับต้องขุดดินกิน ที่สำคัญเรื่องของการกินดินนั้นสามารถค้นหาข้อมูลดูได้จากระบบอินเตอร์เน็ทซึ่งมีผู้ลงข้อมูลว่า การกินดินนั้นมีอยู่ทั่วโลก การกินดินเพราะแพ้ท้องนั้น มีปรากฏในวรรณคดีที่ผู้เขียนเรียนในสมัยเรียนชั้นมัธยมศึกษาคือ ในหนังสือเรื่องราชาธิราชมีเรื่องเล่า กล่าวถึงมเหสีของพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ซึ่งเป็นพม่าเจ้าเมืองอังวะทรงอยากเสวยดินเพราะแพ้ท้อง การที่อยากกินของแปลกนี้เนื่องมาจากพระราชโอรสที่เกิดในพระครรภ์นั้น ชาติก่อนคือ พ่อลาวแก่นท้าว เคยมีความแค้นเคืองกับพระเจ้าราชาธิราชเจ้ามอญแห่งเมืองหงสาวดี (ซึ่งเป็นทั้งพระราชบิดาและศัตรูของพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องซึ่งเป็นพระราชบิดาในชาติต่อมา) ดังนั้นก่อนตายพ่อลาวแก่นท้าว จึงอธิษฐานต่อพระธาตุมุเตาว่า เกิดมาชาติหน้าจะขอแก้แค้นให้สำเร็จ แล้วด้วยความแค้นจัดเลยเผลออธิษฐานเรื่องที่กำหนดให้พระราชมารดาอยากกินดินกลางเมืองหงสาวดีด้วย แต่คงอธิษฐานดังไปหน่อย พระเจ้าหงสาวดีทรงทราบเลยทรงอธิษฐานเกทับเลยว่า ขอให้พระองค์ชนะต่อศัตรูซึ่งเคยเป็นลูกตลอดไป ดังนั้นพอทางพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องส่งทูตไปขอดิน ทางพระเจ้าหงสาวดีเลยส่งดินที่ขุดจากส้วมกลางเมืองหงสาวดีไปให้เป็นของขวัญกินเล่น เด็กที่ออกมาเมื่อโตขึ้นเป็นมังรายกะยอชวารบทุกครั้งก็แพ้ทุกคราว นิยายเรื่องนี้สอนว่า เวลาอธิษฐานอะไร ต้องกล่าวในใจมิเช่นนั้นจะมีคนอธิษฐานแบบเกทับเราได้ มูลเหตุที่ผู้เขียนสนใจหาเกร็ดความรู้เรื่องการกินดินมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้อ่านนั้น เพราะวันหนึ่งได้ดูข่าวทั้งทางโทรทัศน์และหน้าเว็บไซต์กล่าวถึง ร้านอาหารญี่ปุ่น แหวกแนวนำ "ดิน" มาทำอาหาร โดยพ่อครัวของร้านอาหารชื่อ โทชิโอะ ทานาเบะ ซึ่งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เคยทำอาหารฝรั่งเศสอยู่ถึง 20 ปีแล้วคงไม่รุ่งพอ จึงทดลองนำดินมาทำเป็นอาหารบริการลูกค้าที่ชอบของแปลก โดยพ่อครัวนายนี้ยืนยันว่า อาหารที่ทำมาจากดินมีประโยชน์มากมาย (แต่ไม่ได้บอกว่าใครยืนยันว่าประโยชน์นั้นเป็นจริง) ต่อคำถามว่าดินนั้นเอามาจากไหน พ่อครัวนายนี้กล่าวว่า ดินที่ทำเป็นอาหารได้นั้นต้องเป็นดินที่สะอาด และไม่มีสารเคมีปนเปื้อน โดยเขาได้เดินทางไปหาดินมาทำอาหารในหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นตามภูเขา แต่ท้ายที่สุดก็พบว่า ดินที่ใช้ได้จริงๆ คือ ดินที่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวดินจากเมืองคานุมะในจังหวัดโทชิกิ ซึ่งเป็นดินในระดับลึกจึงจะสะอาดพอที่จะสามารถนำมาใช้ทำอาหารได้ โดยเขามีตัวแทนคอยจัดหาดินสะอาดให้ทางร้านทุกวัน วันละ 1 กิโลกรัม เขาจึงมั่นใจได้ว่าดินที่ได้มาสะอาดไม่เป็นอันตรายต่อการบริโภค เมื่อได้ดินมาแล้วพ่อครัวท่านนี้จะจัดแจงร่อนดินเอาเศษทราย เศษหินแยกออกมา จากนั้นจึงนำดินมาเป็นส่วนผสม ตั้งแต่ในน้ำซุป นำมาผสมในอาหาร และปิดท้ายด้วยการราดดินบนเชอร์เบท สำหรับอาหารจานเด็ดของเขาคือ มันฝรั่งบดปั้นเป็นก้อนกลม มีเห็ดทรัฟเฟิลอยู่ตรงกลาง แล้วราดด้วยดิน   จากการพิเคราะห์คำอธิบายของพ่อครัวท่านนั้นแล้ว ไม่พบว่าตัวแทนจัดหาดินของเขาเคยเอาดินไปทำการตรวจวิเคราะห์เลยว่าดินมีสารพิษหรือไม่แต่อย่างไร   ถ้าท่านผู้อ่านลองใช้ Google หาข้อมูลเกี่ยวกับสารพิษในดินแล้ว จะพบข้อมูลที่น่าตกใจว่ามันมีมากมายมหาศาล โดยบางครั้งสารพิษก็สามารถซึมเข้าไปสะสมอยู่ในพืชเช่น กรณีสารหนูจากดินสะสมในพืชผักผลไม้ หรือเนื้อสัตว์ ทั้งที่พืชและสัตว์นั้นต่างก็มีกระบวนการกำจัดสารพิษของตนเองแต่ก็ยังตกค้างก่อพิษร้ายให้มนุษย์ซึ่งเป็นโซ่ข้อสุดท้ายของห่วงโซ่อาหาร   ดังนั้นท่านผู้บริโภคผู้ใดที่ได้รับข่าวการนำดินมาปรุงอาหารของพ่อครัวชาวญี่ปุ่นนี้แล้ว พึงตั้งสติระลึกให้ได้ว่า คนญี่ปุ่นนั้นมีความละเมียดละไม พิถีพิถันในการสรรหาของกินหลายอย่างที่ชวนให้เกิดอาการสวิงสวายของลำไส้ เช่น การกินปลาปักเป้าดิบรวมทั้งสัตว์ทะเลไม่สุกอีกหลายเมนู   ท้ายที่สุดแล้ว ผู้บริโภคซึ่งมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนดีอยู่ คงตั้งอยู่บนความเป็นอยู่ที่พอเพียง เมื่อหิวก็กินอาหารเพียงเพื่อความอยู่รอดของชีวิต เพื่อประกอบกรรมดีต่อสังคม ไม่ใช่มีชีวิตที่ตั้งหลักแต่จะกินเพื่อความสำราญของชีวิตที่เกิดมาครั้งหนึ่ง โดยปราศจากคำสรรเสริญจากผู้อื่นเมื่อจากโลกนี้ไปเพราะประกอบแต่กรรมชั่วเช่น กินหิน กินปูน กินทราย กินเหล็กเส้น เป็นต้น

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 137 กาวติดเนื้อ(meat glue)

ในห้องปฏิบัติการของผู้เขียนมีนักวิจัยประจำอยู่สองคน คนหนึ่งไปเรียนต่อปริญญาเอกและกลับมาแล้วพร้อมลูกสองคน ในขณะที่อีกคนกำลังจะไปเรียนบ้าง ทั้งนี้เพราะสมัยนี้ใครไม่จบปริญญาเอกไม่สามารถเป็นผู้นำในการขอทุนวิจัยได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะว่า การศึกษาระดับปริญญาโทของเรานั้นมันด้อยเกินไปในสายตาผู้ให้ทุน จึงต้องมีหลักเกณฑ์สำคัญขั้นต้นว่า ต้องจบปริญญาเอกก่อนจึงขอทุนได้ จริงแล้วในฉบับนี้ผู้เขียนไม่ได้ตั้งใจคุยเรื่องการขอทุนวิจัยหรอก แต่ขอกล่าวอ้างถึงนักวิจัยคนที่สองที่ผู้เขียนดูแลว่า เมื่อสอบเรียนต่อได้แล้วก็มีการไปเลี้ยงฉลองกินสเต็กกับเพื่อนๆ ซึ่งก็ไม่น่าจะมีอะไร แต่ก็อาจมีอะไรได้ ขอให้ท่านผู้อ่านติดตามต่อไป   เวลาเราไปกินสเต็กหรืออาหารเนื้อสัตว์ตามร้านอาหารต่างๆ นั้น เราไม่เคยได้เข้าไปดูในครัวว่า เนื้อที่เอามาปรุงให้เรากินนั้นมีสภาพก่อนปรุงเสร็จอย่างไร ทุกคนคงคิดเอาเองว่า คงจะเป็นเนื้อที่ดี คุณภาพเป็นเลิศ ก็สเต็กจานนั้นมันออกจะแพงแบบว่าไม่อร่อยไม่ได้แล้วนี่ ปรากฏว่าเมื่อเดือนที่แล้ว ผู้เขียนได้พบข่าวในอินเตอร์เน็ตภายใต้หัวข้อว่า Is meat glue safe enough to eat? ซึ่งทำให้ผู้เขียนรู้สึกประหลาดใจเนื่องจากไม่เคยเรียนวิชาเกี่ยวกับการปรุงอาหารมาก่อน แม้เคยได้ยินคำว่า meat glue มาบ้างแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ดังนั้นพอเห็นหัวข้อข่าวดังกล่าว จึงทำให้ต้องไปหา wikipedia ว่า meat glue คืออะไร ซึ่งปรากฏว่า เมื่อพิมพ์คำว่า meat glue ใน search engine ของ wikipedia ข้อมูลที่ได้กลายเป็นเรื่องของ ทรานซ์กลูตามิเนส (Transglutaminases) ซึ่ง wikipedia บอกว่า Redirected from Meat glue ทรานซ์กลูตามิเนส เป็นเอนไซม์ที่ทำหน้าที่สร้างพันธะโควาเลนท์ระหว่างกลุ่มเอมีนอิสระที่อยู่ในสายโปรตีนหนึ่งกับกลุ่มแกมม่าคาร์บอกซาไมด์ที่อยู่บนอีกสายโปรตีนหนึ่ง การสร้างพันธะนี้แข็งแรงมากขนาด เอนไซม์ที่สามารถย่อยโปรตีนทั่วไปไม่สามารถย่อยพันธะที่สร้างขึ้นโดยทรานซ์กลูตามิเนสได้ (ข้อความนี้มาจาก wikipedia) แต่ก็มีการแย้งข้อมูลนี้หลังผู้เขียนเข้าไปอ่านเอกสารของผู้ผลิตเอนไซม์นี้ว่า การย่อยเนื้อสัตว์ที่ใช้ทรานซ์กลูตามิเนสนั้นไม่ต่างจากเนื้อสัตว์ทั่วไป ก็คงต้องฟังหูไว้หู หลายท่านที่ไม่ได้จบด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพอาจงง ก็จงงงต่อไปเถิดครับ ส่วนคนเรียนค่อนมาทางด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพหรือวิทยาศาสตร์ทางอาหารคงพอเข้าใจบ้าง ที่สำคัญเอนไซม์นี้พบได้ในกระบวนการแข็งตัวของเลือดสัตว์ชั้นสูง และเอนไซม์นี้มีบทบาทในอุตสาหกรรมอาหารเกี่ยวกับการเชื่อมเนื้อสัตว์ต่างชนิดเข้าด้วยกัน นานมาแล้วเอนไซม์นี้เคยสกัดได้จากเลือดสัตว์  ซึ่งทำให้มีราคาแพงมากเกินกว่าจะเอามาใช้ทางอุตสาหกรรมอาหาร จนในปี 1989 จึงมีบริษัทหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่า เป็นตัวพ่อ ที่เชี่ยวมากในเรื่องเทคโนโลยีชีวภาพ จึงสามารถผลิตเอนไซม์นี้โดยอาศัยแบคทีเรียที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในดินชื่อ Streptoverticillium mobaraense ดังนั้นราคาของเอนไซม์นี้จึงถูกลง จนสามารถนำไปใช้ในการผลิตอาหารเช่น แฮม และซูริมิซึ่งเมื่อนำไปแต้มสีต่อก็เป็นปูอัดได้ เอนไซม์ทรานซ์กลูตามิเนสนี้ เป็นสารชีวเคมีที่สามารถพบได้ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทั่วไป ซึ่งปัจจุบันเป็นเอนไซม์ที่รู้จักกันดีของนักวิทยาศาสตร์ทางอาหาร ตลอดไปจนถึงพ่อครัวแม่ครัวในต่างประเทศ ผู้เขียนเข้าใจว่าป่านนี้พ่อครัวแม่ครัวในไทยคงรู้จักบ้างแล้ว ในทางการค้ามีการเอาเอนไซม์นี้ไปผสมกับองค์ประกอบอื่น จนได้สินค้าที่รู้จักกันในชื่อ meat glue หรือแปลง่ายๆ ว่า กาวติดเนื้อ   กาวติดเนื้อนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางชีวเคมีโดยแท้ เพราะสามารถทำให้ผู้ปรุงอาหารสามารถนำเอาเนื้อสัตว์ต่างชนิดชิ้นเล็กๆ มารวมกัน แล้วใช้กาวชนิดนี้โรยลงไป ขยำให้เข้ากัน จากนั้นก็ห่อด้วยแผ่นพลาสติกบางใสสำหรับห่ออาหารที่เรียกว่า wrap ให้แน่นๆ สักพักก็จะเป็นเนื้อสัตว์สายพันธุ์ใหม่ที่หาไม่พบในโลกนี้ เพราะคุณสามารถจะผสมเนื้อสัตว์อะไรก็ได้เข้าด้วยกัน ขอย้ำเน้นว่า เนื้อสัตว์อะไรก็ได้เข้าด้วยกัน เพื่อได้เนื้อสัตว์ที่มีรสชาติพิเศษระดับเกิดมาไม่เคยขย้ำทีเดียว   ในบทความโฆษณาของผู้ผลิตกาวนี้ได้บอกประโยชน์ของกาวติดเนื้อประการหนึ่งคือ reduce waste ซึ่งหมายถึง ลดปริมาณขยะซึ่งเกิดจากเศษเนื้อ ซึ่งคุณลักษณะนี้เจ้าด่างทั้งหลายคงไม่พึงประสงค์จะได้ยินแน่ นอกจากใช้กับเนื้อสัตว์แล้ว ยังสามารถทำให้ไข่แดงเข้มข้นขึ้น ทำให้แป้งขนมปังมีลักษณะสัมผัสที่หนึบขึ้น ไอศกรีมดูดีขึ้น ตลอดจนสามารถใช้ได้ดีกับเต้าหู้เพื่อให้ดูดีขึ้นกว่าเต้าหู้ที่ไม่ได้ใช้กาวนี้ เอนไซม์ที่ใช้ทำกาวติดเนื้อนี้ ได้รับการยอมรับในหลายประเทศให้มีสถานะภาพ GRAS (generally recognized as safe) ซึ่งเป็นสถานะภาพสำหรับสารเจือปนในอาหารที่มีการใช้มานานน้านนานจนนึกไม่ออกว่าเริ่มใช้แต่เมื่อใดในอาหาร ทำให้อนุมานว่า กินแล้วไม่เป็นพิษ กาวติดเนื้อนี้มีประโยชน์มากถ้าใช้อย่างซื่อสัตย์ เช่น การเอาเนื้อปลาชนิดเดียวกันมาเชื่อมเพื่อให้มีขนาดเหมาะสมในการนำไปทอด แต่แย่มากถ้าเนื้อที่เชื่อมกันเป็นเนื้อปลาและเนื้อสัตว์บก เพราะเนื้อสัตว์ต่างชนิดกันนั้นใช้เวลาในการทอดให้สุกต่างกัน ดังนั้นท่านอาจจะได้เนื้อที่ดิบผสมสุก หรือสุกผสมไหม้ได้ อย่างไรก็ดีบางครั้งก็สามารถนำไปใช้กับการเอาหนังไก่มาหุ้มเนื้อปลาก่อนทอด ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ทำให้เนื้อปลาไหม้ ที่น่าอนาถที่สุดคือ การนำเอาชิ้นเนื้อซึ่งได้จากการเลาะจากเนื้อชิ้นใหญ่ระหว่างการตัดแต่งเนื้อ (ซึ่งปรกติแล้วชิ้นเนื้อเล็กๆ นี้ควรจะจำหน่ายในราคาที่สุนัขชอบ) มารวมกันให้ดูกลายเป็นเนื้อชิ้นใหญ่ด้วยกาวติดเนื้อนี้แล้วขายในราคาเนื้อสำหรับทำสเต็ก ปรากฏการณ์แบบนี้ก็ยังไม่มีการยืนยันว่าเกิดในร้านอาหารเมืองไทยหรือไม่ ส่วนที่น่ากังวลสำหรับพี่น้องมุสลิมก็คือ ถ้ามีพ่อครัวใจบาปเอาเนื้อวัวผสมกับเนื้อสัตว์อื่นๆ ที่ขัดต่อข้อบัญญัติทางศาสนา เมื่อกินเข้าไป ถ้าไม่รู้ก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้ารู้อะไรจะเกิดขึ้น ดังนั้นการนำกาวติดเนื้อมาใช้ในครัวของร้านอาหาร จึงเป็นเรื่องที่ต้องควบคุมกันว่า ไม่ก่อให้เกิดการหลอกลวงผู้บริโภคเกี่ยวกับข้อบัญญัติทางศาสนา ประเด็นว่าการใช้กาวติดเนื้อนั้นทำให้อาหารมีกลิ่นผิดปรกติหรือไม่นั้น ปรากฏว่ามีคนเคยทดลองแล้วเขียนข้อมูลในเน็ตว่า ถ้ามีการใช้ปริมาณสูงกับเนื้อที่นำไปปรุงภายใต้ระบบสูญญากาศในถุงพลาสติกชนิดพิเศษ ผู้บริโภคสามารถสัมผัสกับกลิ่นที่ต่างจากเนื้อสัตว์ที่ปรุงวิธีเดียวกันแต่ไม่ใช้กาว ผู้ทดลองศึกษาคิดว่า กลิ่นนั้นอาจเกิดเนื่องมาจากโปรตีนเคซีอีน (casein) ที่เป็นองค์ประกอบในกาวติดเนื้อหรือเนื่องจากก๊าซแอมโมเนียที่หลุดออกมาจากการปรุงอาหารเป็นเวลานาน ดังนั้นผู้ทดลองจึงแนะนำว่า อย่าใช้กาวมากเกินไป และจะให้ดีเจาะถุงให้เป็นรู เพื่อให้อะไรที่เกิดเป็นกลิ่นไม่พึงประสงค์หลุดออกไปได้ระหว่างการปรุง ในการเก็บรักษาผงกาวนี้ ผู้ประกอบการแนะนำว่า ผงกาวนี้สามารถเก็บได้นานถึง 18 เดือนที่อุณหภูมิ 21 องศาเซลเซียส หรือให้ดีแช่แข็งไปเลย ส่วนการพิสูจน์กาวว่ายังดีหรือไม่นั้น ทำได้โดยเอาผงกาวทากับเนื้อไก่บดแล้วขยำรวมกันแล้วดมดู ถ้ายังมีกลิ่นเป็นเนื้อไก่ แสดงว่าผงกาวมันเสื่อมไปแล้ว แต่ถ้ามีกลิ่นคล้าย wet dog หรือ หมาเปียกน้ำ แล้วไซร้ผงกาวยังดีอยู่ ใครไม่รู้จักกลิ่นนี้ คงต้องลองทำดู โดยสรุปงวดนี้หมาซวยไปหลายตัวแน่ สำหรับข้อมูลด้านความปลอดภัยที่บริษัทผู้ผลิตให้ไว้ในอินเตอร์เน็ตนั้น อ่านดูน่าจะไม่มีปัญหานัก เพราะกาวติดเนื้อนี้เมื่อโดนความร้อนก็จะหมดสภาพไป กลายเป็นโปรตีนธรรมดา ผู้ผลิตยืนยันว่าไม่ทำให้มือของผู้ปรุงอาหารติดกันแน่นอน และอาหารที่ใช้กาวติดเนื้อนี้ก็จะไม่มีกลิ่นผิดไปจากปรกติ ข้อควรระวังก็คือ กาวนั้นอยู่ในสภาพผง จึงอย่าหายใจเข้าไปเด็ดขาดและอย่าบังอาจกินเข้าไปโดยตรง เพราะอาจเกิดอะไรขึ้นก็ได้ เนื่องจากยังไม่มีการทดลองว่ามันจะก่ออันตรายหรือไม่ สิ่งที่ผู้บริโภคควรทราบก็คือ กาวติดเนื้อนี้ถ้ามองกันในมุมของนักวิทยาศาสตร์ทางอาหารแล้ว มันอยู่ในสถานะของ สารช่วยการผลิต หรือ processing aid ซึ่งคงยากที่จะตรวจพบได้หลังการผลิต ดังนั้นจึงไม่มีการติดฉลากบนอาหาร แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ คงไม่มีการบังคับให้ติดฉลากบอกด้วยซ้ำว่า เนื้อสัตว์ที่ติดกาวนั้นมีองค์ประกอบเป็นเนื้อจากสัตว์อะไรบ้าง เข้าใจว่าหน่วยงานที่ควรดูแลเรื่องนี้ คงต้องการให้ผู้บริโภคมีความรู้สึกเหมือน เต๋อ ฉันทวิทย์ ใน กวน มึน โฮ ที่ซาบซึ้งเมื่อได้กินเนื้อ man best friend กระมัง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 136 ความคิดที่เหมือนถูกแต่ผิด

โดย รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ สถาบันโภชนาการ  มหาวิทยาลัยมหิดลวันหนึ่งก็มีผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ขอความเห็นเรื่องการบริโภค raw food ซึ่งผู้เขียนไม่เคยสนใจมาก่อน เพราะมันไม่ได้อยู่ในสารบบของความรู้ทางวิชาการที่เรียนรู้กันในมหาวิทยาลัยที่ สกอ. (สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา) รับรอง ดังนั้นเมื่อได้ยินคำนี้ก็นึกเอาโดยใช้ไขสันหลังมากกว่าสมองว่า มันน่าจะหมายถึงการกินอาหารดิบ ซึ่งมีทั้งพืชและเนื้อสัตว์ และก็เข้าใจเอาเองว่า คนไทยที่เรียนจนจบอย่างน้อยระดับมัธยมศึกษาขึ้นไป น่าจะเคยได้รับการสอนสั่งว่า อาหารที่ยังดิบนั้น ถ้ากินเข้าไปเราจะเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโรคต่างๆ ทั้งแบคทีเรีย เชื้อรา และพยาธิ ตัวอย่างการกินอาหารเนื้อสัตว์ดิบแล้วป่วยเป็นโรคนั้นมีทุกวันถ้าท่านผู้อ่านตามสถิติในเว็บของกระทรวงสาธารณสุข ที่เก็บทั่วประเทศจะพบว่า มีผู้ป่วยเป็นโรคทางเดินอาหารเนื่องจากแบคทีเรีย ป่วยเป็นพยาธิใบไม้ตับเพราะกินปลาดิบ มีพยาธิตัวจี๊ดไชตามแขนขาแล้วลามไปสมอง หรือกินปลาปักเป้าน้ำจืดตายเนื่องจากพิษที่อยู่ในตัวปลาซึ่งดูไม่ปักเป้าเลย (คนไทยมักนึกภาพปลาปักเป้าว่าต้องกลม ๆ และมีหนามแหลม ทั้งที่ความจริงปลาปักเป้าน้ำจืดนั้นไม่ได้เป็นอย่างนั้น จึงมีคนจับมากินเพราะนึกว่าไม่มีพิษ)   ปรากฏว่าเมื่อได้คุยกับนักข่าวที่โทรศัพท์มาสัมภาษณ์ กลับเป็นเรื่องของการกิน raw food ซึ่งเป็นพฤติกรรมการกินอาหารพืชผักสด..... ฟังดูไม่น่าเป็นปัญหาอะไร เพราะเราก็กินผักผลไม้สดกันเป็นประจำ แต่ว่าปัญหาที่ผู้สื่อข่าวแจ้งคือ คนที่กิน raw food นั้นเข้าใจว่า ตนได้รับสิ่งที่กินเข้าไปมากกว่าที่ควรได้ เช่น ได้เอนไซม์จากน้ำผักปั่น ไปช่วยย่อยอาหารในท้องเรา ซึ่งเป็นความหลงผิดแบบฝรั่งเรียกว่า ignorance หรือภาษาไทยน่าจะหมายถึง เขลาเบาปัญญา (ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะเขลาเพราะขาดความรู้ เมื่อได้รับความรู้แล้ว ความเขลาก็จะหายไป) ดังนั้นจึงควรลองดูความเข้าใจของหลายคนในเน็ตว่า เขาเข้าใจกันอย่างไร เกี่ยวกับ raw food และทำไมมันจึงเป็นประเด็นขึ้นมาได้ ในบล็อกขายอาหารบล็อกหนึ่งบนเน็ตมีผู้กล่าวว่า “raw food หมายถึงอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงด้วยความร้อนที่สูงกว่า 118 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 42 องศาเซลเซียส ซึ่งการปรุงอาหารด้วยความร้อนที่สูงเกินกว่า 42 องศาเซลเซียสนั้น สารอาหารส่วนใหญ่จะถูกทำลายและทำให้องค์ประกอบทางเคมีถูกเปลี่ยนไป สารอาหารที่จำเป็นจึงสลายไป ความร้อนจะทำลายเอนไซม์ วิตามิน แร่ธาตุและไขมันที่มีประโยชน์ และทำให้อาหารนั้นย่อยยากขึ้น อาหารที่ขาดสารอาหารที่จำเป็นจะไม่สามารถชดเชยความหิวของร่างกายได้ ทำให้เกิดการกินมากเกินควร เกิดอาการอยากอาหารมากเกินซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคตามมา”   ข้อความคำอธิบายดังกล่าวนั้น แสดงว่าผู้เขียนไม่เข้าใจในเรื่องของการย่อยอาหารในวิชาสรีรวิทยา เพราะความจริงที่มีการพิสูจน์มานานแสนนานแล้วว่า อาหารเนื้อสัตว์ที่ไม่เสียสภาพคือ ยังดิบ นั้นย่อยยาก การเสียสภาพของเนื้อสัตว์ด้วยความร้อนประมาณการต้ม ทอด ผัดนั้นทำให้โปรตีนเกิดการคลายตัว ส่งผลให้เอนไซม์ในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กย่อยโปรตีนเป็นกรดอะมิโนเพื่อดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ดี ดังนั้นการทำให้โปรตีนเสียสภาพด้วยความร้อนกำลังดี จึงเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย นอกเหนือไปจากการฆ่าเชื้อโรค ในกรณีของการสูญเสียของสารอาหารเช่น วิตามินนั้นมีบ้างคือ วิตามิน ซี ซึ่งควรกินจากผักผลไม้สด ส่วนวิตามินชนิดอื่นไม่ใคร่มีปัญหานัก แร่ธาตุและไขมันนั้นสามารถทนความร้อนระดับการหุงต้มได้ดี ที่สำคัญความอยากกินอาหารมากหรือน้อย ขึ้นกับปัจจัยอื่นๆ เช่น รสชาติการปรุง และความหิวที่สมองเป็นศูนย์ควบคุมสั่งการ ไม่ใช่อย่างที่มีผู้เขียนในบล็อกยกให้ดูเป็นตัวอย่าง นอกจากนี้ยังมีคำอธิบายในอีกบล็อกว่า “การกินมังสวิรัติแบบกินสดๆ โดยที่ไม่ผ่านความร้อนเกิน 42 องศาเซลเซียส ฟังดูยุ่งยากแล้วทำไมต้องห้ามเกิน 42 ด้วย คำตอบคือ เพราะการที่อาหารโดนนำไปผ่านความร้อนที่อุณหภูมิเกิน 42 องศาเซลเซียสจนสุกนั้นเรียกว่า เป็นอาหารที่ตายแล้ว  ความร้อนจะทำลายสารอาหารถึง 95% เหลือแค่เพียง 5 % ที่ร่างกายได้รับ ร่างกายจะต้องดึงเอาเอนไซม์ในร่างกายมาย่อยอาหารปรุงสุกที่คุณกินเข้าไปอีก” ข้อความดังกล่าวนั้นผิดพลาดจากหลักการทางวิชาการหลายจุดเช่น คำว่า อาหารที่ตายแล้ว นั้นไม่มีในตำราวิชาการเล่มใดที่เป็นเรื่องเป็นราว ยกเว้นในหนังสือที่คนเขียนเขียนเอามัน มั่วไปตามเพลง   โดยเฉพาะในเรื่องการใช้เอนไซม์ในการย่อยอาหารนั้น เป็นข้อกำหนดตามธรรมชาติที่ต้องเกิดในทางเดินอาหารของเรา อาหารที่เรากินเข้าไปแบบมนุษย์ธรรมดาที่ไม่ใช่ผู้ป่วยนั้น ต้องการการย่อยด้วยเอนไซม์แทบทั้งสิ้น และมันก็ไม่ทำให้ร่างกายมีปัญหาใดในการสร้างเอนไซม์มาย่อยอาหาร คนในบล็อกที่คิดว่าตนเองรู้เรื่องเกี่ยวกับอาหารดีกล่าวอีกว่า “ปกติร่างกายจะสร้างเอนไซม์ได้เอง  แต่ความจริงแล้วเอนไซม์ก็เปรียบเสมือนเงินในธนาคารที่ใช้แล้วหมดไป เอนไซม์จะหมดไปเรื่อยๆ ตามอายุของเรา ลองสังเกตดูสิ พวกคนมีอายุชอบบ่นว่าพออ้วนแล้วลดยาก เป็นเพราะว่าเอนไซม์เริ่มน้อยลง ส่งผลให้ระบบเผาผลาญไขมันทำงานช้าด้วย” ประโยคในข้อความดังกล่าวนั้นมีความถูกต้องบ้างว่า เอนไซม์นั้นจะมีน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น แต่ก็ไม่ถูกนักเพราะเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยอาหารนั้นสร้างใหม่ทุกมื้อ การที่มนุษย์แก่จนถึง 70-80 ปีแล้ว เซลล์ตับอ่อนที่สร้างเอนไซม์สำหรับย่อยอาหารในลำไส้เล็กก็แก่ด้วย สร้างเอนไซม์ได้น้อยลง อาหารกินเข้าไปก็ใช้ได้น้อยลง จึงลดการซ่อมแซมส่วนสึกหรอของร่างกาย ถึงวันหนึ่งไม่มีเอนไซม์ย่อยอาหารเพราะตับอ่อนแก่เกินไป เราก็ตาย แต่ก็มีบางคนที่ยังแข็งแรง ร่างกายไม่เปลี่ยนแปลงแม้อายุมาก เรื่องนี้ไม่น่าประหลาดใจเพราะความหนุ่มแก่นั้นขึ้นกับพันธุกรรมและการปฏิบัติตนให้มีการทำงานหรือออกกำลังเป็นประจำ ตัวอย่างที่มีการเผยแพร่ทางโทรทัศน์บางรายการคือ การไปสัมภาษณ์ ตาหรือยาย ที่มีอาชีพปีนตาล ซึ่งยังสามารถในการโยนตัวจากยอดตาลหนึ่งไปอีกยอดหนึ่ง ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ของการฝึกฝนร่างกายให้ทำงานหนักตลอดเวลา จนไม่อ้วน คนที่ทำงานนั่งโต๊ะและขาดการออกกำลังกายจะอ้วน เพราะไขมันในอาหารที่กินเข้าไปขาดการเผาผลาญ จึงสะสมทำให้ตัวใหญ่ขึ้น กรณีนี้ไม่ได้หมายถึงการลดลงของเอนไซม์ แต่เป็นการไม่ออกกำลังกาย ร่างกายจึงไม่เผาไขมันเป็นพลังงาน เพราะไม่รู้จะเผาไปทำไมเนื่องจากร่างกายไม่ต้องการใช้พลังงาน ที่สำคัญการรับประทาน raw food นั้นเท่าที่อ่านจากเว็บทั้งไทยและอังกฤษนั้น ได้มุ่งเน้นถึงผักและผลไม้ โดยไม่ได้พูดถึงอาหารหมู่อื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะถูกต้อง ยกเว้นในบางกรณี เช่น การลดน้ำหนัก ซึ่งต้องการการลดการรับพลังงานจากอาหารแป้งและไขมันในช่วงที่เหมาะสม ส่วนโปรตีนนั้นร่างกายยังคงต้องการในปริมาณที่แต่ละคนต้องการ วัดได้ด้วยการสังเกตว่า ถ้าปริมาณอาหารที่กินนั้นถูกต้อง สุขภาพของผู้บริโภคควรจะดี ไม่เป็นหวัด สามารถทำงานและออกแรงได้เป็นอย่างดี จากความคิดของผู้กิน raw food ที่ว่า “การรับประทานอาหารแบบ raw Food นอกจากจะช่วยให้ร่างกายไม่ต้องรับสารพิษเข้าไปสะสมแล้ว ยังดีต่อการลดน้ำหนักอีกด้วยเพราะไม่มีแคลอรี สามารถทานได้มากเท่าที่ต้องการ มีวิตามิน เกลือแร่ และแร่ธาตุต่างๆ อยู่ด้วย แถมยังเตรียมง่าย ไม่ต้องเสียเวลาปรุง” มีทั้งส่วนถูกและคลาดเคลื่อน เพราะถ้าการกิน raw food นั้นหมายถึงผักและผลไม้อย่างเดียว ร่างกายย่อมไม่แข็งแรงเพราะขาดสารอาหารหลักที่มนุษย์ต้องการคือ โปรตีน คงต้องเน้นย้ำว่า ในวิชาที่สอนเกี่ยวกับสุขภาพของมนุษย์นั้นกล่าวว่า เราต้องการสารอาหาร 5 ประเภทคือ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ เพื่อช่วยในการสร้างและซ่อมแซมร่างกาย ส่วนน้ำและใยอาหารนั้นก็ขาดไม่ได้ แม้ไม่ใช่สารอาหารที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมร่างกายโดยตรง หลายคนอาจถามว่าแล้ว พฤกษเคมี หรือสารต้านอนุมูลอิสระหายไปไหน ความจริงแล้ว สารพฤกษเคมีและสารต้านอนุมูลอิสระนั้นร่างกายจะได้รับเมื่อกินผักผลไม้ มากบ้างน้อยบ้างขึ้นกับชนิดและปริมาณของผักผลไม้ในแต่ละมื้อ โดยไม่จำเป็นต้องไปซื้อชนิดเป็นเม็ดมากินเหมือนสัตว์ปีกกินอาหารที่คนให้ โดยสรุปแล้ว ถ้าคำว่า raw food หมายถึงการกินผักผลไม้สดไม่ผ่านความร้อน ปัญหาไม่น่าจะเกิดขึ้นถ้าจัดมื้ออาหารให้มีโปรตีนและไขมันพอที่ร่างกายต้องการ  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 126 ฟังก์ชั่นนอลฟู้ด อาหารเพื่อสุขภาพ ??

  มนุษย์มิได้กินอาหารเพียงเพื่อตอบสนองต่อความหิวเท่านั้น แต่เป็นการกินเพื่อตอบสนองต่อความอยากและความชอบ นอกจากนี้อาจมีปัจจัยอื่นๆ เช่น ฐานะ เงินทอง และโอกาสฉลองต่างๆ มนุษย์ก็จะเพิ่มความวิลิศมาหราในการกินขึ้นไปจากเดิม จนหลายครั้งผู้เขียนก็ยังสงสัยว่า สิ่งที่คนหลายคนกินนั้นมันเกิดเนื่องจากเหตุผลอะไร และมีความสมควรที่จะกินหรือไม่   ท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินคำว่า Functional food ที่มีคนไทยแปลแบบทับศัพท์ว่า อาหารฟังก์ชั่น (ฟังดูแล้วเดิ้ลแต่ไม่ได้อะไรเลยจริงๆ) มีนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นกล่าวว่า คำนี้เต็ม ๆ คือ physiologically functional food ซึ่งความหมายนั้นน่าจะหมายถึง “อาหารที่มีผลดีต่ออวัยวะภายในร่างกายมนุษย์ ซึ่งส่งผลให้สุขภาพมนุษย์ดีเหมือนอย่างที่ควรเป็นได้” จึงน่าจะเรียกง่ายๆ ว่า อาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งอาหารกลุ่มนี้จำเป็นต้องมีประจักษ์พยานจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่า ทำให้สุขภาพผู้บริโภค ดีเหมือนคนปรกติหรือป้องกันไม่ให้มีความผิดปรกติเกิดขึ้น แก่ระบบสรีรวิทยาของร่างกายผู้บริโภค  ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับคำนิยามของอาหารเพื่อสุขภาพที่นักวิชาการบางคนกล่าวว่า เป็นอาหารที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายเหนือไปจากการกินสารอาหารพื้นฐาน (ซึ่งตรงกับคำว่า nutrient) ที่ร่างกายต้องการ  ทั้งนี้เพราะเราไม่สามารถกินสารอาหารพื้นฐาน ซึ่งได้แก่ แป้ง โปรตีน ไขมัน แร่ธาตุ และวิตามิน โดยปราศจากสารที่ไม่ได้เป็นสารอาหารพื้นฐานที่ร่างกายต้องการ(ซึ่งในภาษาอังกฤษใช้คำว่า anutrient เช่น พฤกษเคมี หรือ phytochemical)  ตัวอย่างเช่น ในการกินข้าวเหนียวดำ เราได้แป้งซึ่งเป็น nutrient แน่นอน แต่ก็ยังได้ แอนโทไซยานิน (anthocyanin) ซึ่งเป็น anutrient อย่างเลี่ยงไม่ได้และไม่ควรเลี่ยง  ดังนั้นถ้าพยายามลองใช้คำจำกัดความของผู้ที่พยายามทำให้อาหารเพื่อสุขภาพดูวิเศษกว่าที่ควรเป็น มาอธิบายความหมายของ ข้าวเหนียวดำมูน (กะทิ) ถั่วแดงต้มน้ำตาล และอื่น ๆ ซึ่งเป็นอาหารธรรมดาที่เรากินทุกวัน เราก็น่าจะประมวลได้ว่าอาหารเหล่านี้ต่างเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่เกิดตามธรรมชาติ ในขณะที่อาหารเพื่อสุขภาพที่ไม่เป็นธรรมชาตินั้น เป็นการดัดแปลงเอาอาหารที่มีประโยชน์อย่างเดียวมาเติมสิ่งที่เป็นประโยชน์ ซึ่งมักสกัดมาจากแหล่งอาหารธรรมชาติอื่นเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดูดีขึ้น เช่น กรณีทำให้ขนมจีนสีขาวซึ่งมีแต่แป้งกลายเป็นขนมจีนสีดอกอัญชัญ ซึ่งเมื่อทดสอบฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์แล้วได้ผลดี ขนมจีนสีดอกอัญชัน(รวมทั้งสีอื่นที่ได้จากธรรมชาติ) ก็น่าจะเป็นอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดการก่อกลายพันธุ์ และจัดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพชนิดหนึ่งได้  จะเห็นว่าอาหารเพื่อสุขภาพนั้นไม่ได้อยู่ไกลตัวเรานัก เพียงแต่ขอให้มีปัญญาในการประดิษฐ์อาหารให้แปลกออกไปจนเป็นอาหารที่ทำให้ร่างกายทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เช่น ถ้ารู้ว่าอาหารจานใดขาดสารที่มีประโยชน์กลุ่มใดก็หามาเติมให้ครบ แต่ถ้าครบอยู่แล้วก็ควรได้แค่นั้น ไม่ควรเติมจนได้เกินนักเพราะอะไรที่กินเกินไปมักก่อโทษแก่ร่างกายได้   ฟังก์ชั่นนอลฟู้ดกับการจัดการสไตล์ญี่ปุ่น ในประเทศญี่ปุ่นมีคำว่า FOSHU (Foods for Specified Health Use) และอาจมีคำอื่นอีกเช่น Designed food และ Nutraceutical food ซึ่งน่าจะหมายถึงอาหารเพื่อสุขภาพเช่นกัน  ตัวอย่างเช่น ถ้าหวังจะให้คนท้องได้สารอาหารไปเพิ่มให้เด็กในท้องมีสุขภาพปรกติ ต้องผลิตอาหารที่มีแคลเซียมสูง เหล็กสูง โฟลิกสูง และสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับคนท้องที่ไม่ค่อยมีโอกาส(อาจรวมถึงปัญญา) กินอาหารลักษณะนี้เพื่อช่วยให้ตัวอ่อนในครรภ์เจริญเติบโตเต็มที่  ส่วนคนที่ขับถ่ายไม่สะดวก ก็ควรได้กินอาหารที่มีการประดิษฐ์ให้มีกากใยอาหารสูงและมีเชื้อจุลินทรีย์สายพันธุ์เฉพาะ ที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยทำให้ขับถ่ายดีผสมกัน พร้อมมีลักษณะสัมผัสที่คนทั่วไปชอบ ในขณะที่นักกีฬาซึ่งเสียเหงื่อมากระหว่างการออกกำลังกาย ต้องการการชดเชยของเกลือแร่ ก็มีการประดิษฐ์เครื่องดื่มเกลือแร่เพื่อช่วยให้ไม่เป็นตะคริว และผู้ที่มีอาการความดันโลหิตสูงหรือไตไม่แข็งแรง ต้องกินอาหารที่ประดิษฐ์ให้มีเกลือต่ำ เป็นต้น  ดังที่ได้เกริ่นในตอนต้นแล้วว่าในประเทศไทยนั้น คำจำกัดความจริงๆ ของอาหารเพื่อสุขภาพยังไม่มีเป็นทางการ ดังนั้นการคุ้มครองผู้บริโภคจึงไม่เป็นทางการด้วย เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักขึ้นทะเบียนเป็นอาหารทั่วไป แล้วไปโฆษณาเต็มที่เวลาขายตรง(ใครจะไปตามจับทัน หน่วยงานขาดบุคลากร งบประมาณและเครื่องมือ นี่คือคำอธิบายที่ได้รับเวลาถามหน่วยงานที่ควรเป็นผู้ดูแลว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ออกมาขายพร้อมโฆษณาเกินจริงได้อย่างไร) ผู้เขียนจึงขอนำหลักการดูแลอาหารประเภทนี้แบบคร่าว ๆ จากญี่ปุ่น (www.cspinet.org) มาเล่าให้ฟัง  การขออนุญาตให้อาหารที่เรียกว่า FOSHU ได้มีการขายแบบถูกต้องนั้น ต้องมีหลักการที่ทำให้ผู้บริโภครู้ว่า กำลังกินอะไรอยู่ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องยื่นขออนุญาตจากกระทรวงที่เกี่ยวข้องในการขายผลิตภัณฑ์ โดยต้องยื่นข้อมูลประกอบด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่า อาหารดังกล่าวนั้นมีผลจริงจากการทดลองโดยนักวิชาการจริงๆ เพื่อให้รู้ว่าอาหารที่ขอขึ้นทะเบียนขายนั้นมีประโยชน์ตามการอ้างในโฆษณาหรือไม่ นอกจากนี้ต้องมีการแสดงข้อมูลความปลอดภัยของอาหารนั้นๆ ตลอดจนมีวิธีการวิเคราะห์องค์ประกอบอาหาร ซึ่งต้องอยู่ในลักษณะของบทความทางวิทยาศาสตร์ที่มีการตีพิมพ์เป็นสากล ไม่ใช้เอาบทความที่เขียนเองอ่านเองโดยผู้ผลิตอาหารมาอ้าง ส่วนฉลากของอาหารเพื่อสุขภาพนั้น ต้องมีการแสดงข้อมูลที่ไม่ทำให้ผู้บริโภคฉลาดน้อยกว่าเดิม และหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องตรวจสอบและให้เครื่องหมายเฉพาะที่หมายความว่า ผ่านการตรวจสอบอย่างดีแล้ว ซึ่งก็ควรหมายความต่อว่า ถ้ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นเนื่องจากฉลาก ผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบควรได้รับผลของความเลินเล่อให้ฉลากมั่วออกไปสู่ตาผู้บริโภคแบบเต็มๆ   จ่ายแพงไปทำไม สรุปแล้วอาหารที่เป็นอาหารเพื่อสุขภาพนั้น ต้องมีสภาพทางกายภาพเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่แท้จริงคือ ไม่อยู่ในรูปแคปซูล หรือเป็นผงเหมือนยา และเป็นอาหารที่ได้หรือดัดแปลงจากวัตถุดิบตามธรรมชาติ มนุษย์ธรรมดาสามารถบริโภคเป็นอาหารได้เป็นประจำไม่มีข้อจำกัดเหมือนยา และมีส่วนประกอบที่ให้ผลโดยตรงในการส่งเสริมการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายให้ปรกติและป้องกันโรคต่างๆ ได้ โดยมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์สุขภาพโดยผู้ชำนาญการเฉพาะ  สำหรับท่านผู้อ่านที่มีฝีมือในการปรุงอาหารอยู่แล้ว ความจำเป็นต้องเสียเงินไปซื้ออาหารเพื่อสุขภาพนั้นควรจะหมดไป เพราะท่านสามารถดัดแปลงอาหารทั่วไปที่บริโภคในแต่ละมื้อให้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพได้ เช่น กรณีของส้มตำ ถ้ามีความสะอาดดีพอก็จะเป็นอาหารที่เพิ่มกากใย ให้สารต้านมะเร็ง ลดความเสี่ยงโรคหลายโรคได้ สำหรับนมไขมันต่ำก็น่าจะเป็นอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับคนที่มีไขมันในเลือดสูงและ/หรือสำหรับคนต้องการแคลเซียมสูง ในกรณีที่ต้องการควบคุมความดันโลหิตสูง ก็ทำได้โดยกินอาหารมีเกลือต่ำ เช่น อาจผัดผักโดยไม่ใส่เกลือหรือน้ำปลาหรือใช้น้ำปลามีโซเดียมต่ำ เป็นต้น  ดังนี้แล้วเราก็จะประหยัดเงิน ไม่ต้องไปซื้ออาหารอะไรก็ไม่รู้ ที่มีใครก็ไม่รู้ มาบอกอะไรก็ไม่รู้ กินให้ไม่รู้อะไร

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 125 รวมเด็ดสะเก็ดข่าวอาหารและโภชนาการ ตอน 2

  ในฉบับนี้ผู้เขียนขอเล่าถึงคำถามที่มักต้องตอบเพื่อไขข้อข้องใจของผู้สนใจต่อจากที่ค้างในฉบับที่แล้วอีก 5 ประเด็น   กลูตาไทโอนทำให้ผิวขาวจริงหรือไม่  คำตอบคือถ้ากลูตาไทโอนปรากฏอยู่ในเลือดในระดับสูงกว่าปรกติมากๆ โอกาสที่ผู้นั้นจะมีผิวขาวกว่าเดิมก็มี แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรจึงจะทำให้ความเข้มข้นของกลูตาไทโอนในเลือดสูงขึ้นมาได้  ผู้ค้าสินค้าที่ผสมกลูตาไทโอน ไม่ว่ากินหรือทา ต่างก็นั่งยัน นอนยัน ว่าสินค้านั้นได้ผลทั้งสิ้น คือ ขาวแน่ แต่ไม่มีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน มักบอกแต่ว่าลูกค้าบอกว่าขาวจริง ซึ่งอาจเป็นด้วยอุปทาน หรือกลัวเสียค่าโง่ที่ซื้อของไปแล้วไม่ได้ตามต้องการ เลยแกล้งบอกว่าได้ผล เพื่อให้มีคนโดนหลอกเหมือนตนเองบ้าง ทั้งนี้เพราะกลูตาไทโอนนั้น องค์ประกอบทางเคมีเป็นกรดอะมิโนสามชนิด คือ กลูตามิก ซิสเตอีนและกลัยซีน ต่อกันเป็นสายสั้นนิดเดียว(ไตรเป็บไตด์) เมื่อลงสู่ลำไส้เล็กของมนุษย์หลังการกลืนแล้ว ผู้เขียนยังหาหลักฐานยืนยันจากบทความที่เป็นผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ว่า มีการเพิ่มขึ้นของกลูตาไทโอนในเลือดแต่อย่างใด ผู้เขียนเข้าใจว่า กลูตาไทโอนนั้นถูกย่อยออกเป็นกรดอะมิโนทั้งสามชนิด ก่อนถูกดูดซึมเข้าเลือดไปตับ หลังจากนั้นการจะสร้างหรือไม่สร้างกลูตาไทโอนจากกรดอะมิโนทั้งสามนั้นเป็นไปตามบุญตามกรรม ดังนั้นวิธีเดียวที่จะทำให้กลูตาไทโอนในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนคือ การฉีดเข้าเส้นเลือด ซึ่งเป็นความเสี่ยงอันตรายต่อการเสียชีวิต ถ้าเป็นการฉีดจากผู้ไม่ชำนาญหรือปริมาณที่สูงเกินไปจนร่างกายรับไม่ได้ ดังนั้นโดยสรุปแล้ว ไม่ควรแลกความขาวของผิวกับความเสี่ยงที่ไม่ได้อยู่ดูโลกแตกในปี 2012 เลย ที่สำคัญถ้าผิวขาวขึ้นจริง ท่านก็จะต้องเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังสูงขึ้นเป็นรางวัลแด่คนช่างฝัน   การกินคลอลาเจนแล้วผิวจะเต่งตึงขึ้นหรือไม่  คำตอบก็คือ ขึ้นกับว่าอายุท่านแก่มากแค่ไหน ถ้ายังแค่ห่ามๆ เซลล์ร่างกายพอมีความสามารถในการสร้างคลอลาเจนได้จากกรดอะมิโนพิเศษคือ ไฮดรอกซีโพรลีนและไฮดรอกซีไลซีน(ซึ่งถูกย่อยออกจากคอลลาเจนที่กินเข้าไป) ผลที่มองเห็นว่ามีความเต่งตึงก็คงพอมี แต่คงไม่ต่างจากการกินโปรตีนทั่วไปสักเท่าไร ทั้งนี้เพราะกรดอะมิโนพิเศษที่ใช้ในการสร้างคลอลาเจนนั้นร่างกายมนุษย์เราผลิตได้เองจากกรดอะมิโนธรรมดาคือ โพรลีนและไลซีน ในร่างกายเราโดยอาศัยวิตามินซีเป็นผู้ช่วยสำคัญ ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจที่ผู้ซึ่งนิยมบริโภคผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงจะมีผิวสวยในราคาต้นทุนที่ถูกกว่า  แต่ถ้าท่านอยู่ในวัยที่สุกงอมคาต้นแล้ว กินอย่างไรก็ไร้ค่า วิธีเดียวคือ เสี่ยงตายฉีดคลอลาเจนเข้าใต้ผิวหนังส่วนที่ต้องการให้ตึง แล้วก็นั่งนับวันที่มันจะมีอาการบวมติดเชื้อตามมาได้เลย ถ้าคนฉีดไม่มีความสามารถจริง  *************** กินข้าวกล้องงอกแล้วดีหรือไม่ คำตอบคือ ดีแน่ เพราะข้าวกล้องโดยธรรมชาติแล้วอุดมไปด้วยวิตามินบีต่างๆ วิตามินอีและสารต้านอนุมูลอิสระอีกหลายชนิด นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งของใยอาหารที่ช่วยการขับถ่ายให้สะดวกด้วย นอกจากนี้เมื่อข้าวกล้องถูกนำมาทำเป็นข้าวกล้องงอก สิ่งที่ตามมาคือ การเป็นแหล่งของสารกาบา (gamma-aminobutyric acid) ซึ่งดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ดีคือ ได้ทั้งสารที่มีประโยชน์จากการเป็นข้าวกล้อง และสารกาบาซึ่งเชื่อว่าช่วยให้เกิดการผ่อนคลายของสมอง แต่........  เมื่อเข้าค้นหาข้อมูลว่า การกินอาหารที่มีกาบาแล้วมีผลต่อการทำงานของสมองหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีงานวิจัยที่พิสูจน์ว่า อาหารที่มีกาบาสูงช่วยให้สมองมีการผ่อนคลาย ตัวอย่างเช่นข้อมูลจาก Wikipedia กล่าวว่า “GABA does not penetrate the blood-brain barrier; it is synthesized in the brain. It is synthesized from glutamate using the enzyme L-glutamic acid decarboxylase and pyridoxal phosphate (which is the active form of vitamin B6) as a cofactor via a metabolic pathway called the GABA shunt. This process converts glutamate, the principal excitatory neurotransmitter, into the principal inhibitory neurotransmitter (GABA)” นั่นก็คือ กินกาบาเข้าสู่ร่างกายได้ แต่ไม่เข้าสมอง เพราะไม่สามารถผ่านกำแพงสำคัญคือ blood-brain barrier ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ป้องกันสมองจากสารอันตรายต่างๆ และที่สำคัญกาบาที่ช่วยให้สมองผ่อนคลายนั้นเป็นกาบาที่สมองสร้างขึ้นเองจากสารกลูตาเมต โดยสรุป ณ เวลานี้ กินข้าวกล้องงอกได้กาบา แต่ดูจะไม่มีประโยชน์ในด้านทำให้หลับสบายเพราะเข้าไปไม่ถึงสมองนั่นเอง  ขอแสดงความเสียใจต่อผู้ที่หวังว่ากินข้าวกล้องงอกแล้วจะได้ประโยชน์จากสารกาบา  ให้ลูกกินน้ำมันปลาดีไหมจะได้ฉลาด  คำตอบน่าจะต้องเข้าใจพื้นฐานของคำว่า ฉลาด ก่อนว่าหมายความว่าอย่างไร  ใน Cambridge Advanced Leraners’s Dictionary ให้ความหมายของคำว่า clever หรือ ฉลาดว่า having or showing the ability to learn and understand things quickly and easily ดังนั้นคนฉลาดจึงน่าจะหมายถึงคนที่เข้าใจอะไรได้เร็วหรือเรียนอะไรได้เร็วกว่าคนอื่น ซึ่งอาจเนื่องจากสมองมีระบบประสาทที่มีใยประสาทเชื่อมต่อกันอย่างดี สามารถประมวลผลความรู้ก่อให้เกิดเป็นปัญญาเร็วกว่าคนอื่น  นักวิจัยด้านการพัฒนาการทำงานของสมองกล่าวว่า ช่วงสามปีแรกของเด็กจะเป็นช่วงสำคัญของการพัฒนาสมอง ซึ่งขึ้นกับสภาวะโภชนาการที่ดี มีสารอาหารครบ อย่างไรก็ดียังไม่มีการระบุว่า สารอาหารอะไรที่มีความวิเศษที่จะเสกให้เด็กมีปัญญาเลิศเกินคนอื่น เพราะส่วนใหญ่เด็กที่จัดว่าฉลาดเช่น เข้าเรียนแพทย์โดยไม่ต้องกวดวิชา มักอยู่ในสังคมระดับที่พ่อแม่มีอันจะกิน ซื้อหาความรู้มาประดับสมองเด็กได้ ในขณะที่เด็กซึ่งอาจดูฉลาดแต่อยู่ในสภาวะแวดล้อมเลวร้ายเช่น ชุมโจร ก็อาจฉลาดได้สุด ๆ ในด้านการก่อความเลวร้ายได้  ผู้เขียนเคยฟังการบรรยายของแพทย์ท่านหนึ่งแล้วประมวลได้ว่า ในกรณีของน้ำมันปลาซึ่งมีกรดไขมันชนิดโอเมก้า 3 นั้นช่วยให้เด็กมีระบบเส้นใยประสาทสมองเชื่อมกันได้ดี ถ้าแม่กินตั้งแต่เด็กยังไม่เกิด โดยแนะนำให้กินในรูปอาหารมากกว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเมื่อเด็กออกมาจากท้องแม่แล้ว ความฉลาดจะขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเด็กที่ฉลาดนั้นมักจะขยันด้วยแล้วจึงได้ดี ในขณะที่เด็กบางคนท่าดีว่าจะฉลาดแต่เมื่อไม่ขยันในการเรียน ก็มักไม่ได้ดี อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้ว นอกจากจะพยายามส่งเสริมให้ลูกหลานฉลาดแล้ว ต้องปรับแต่งให้เด็กเป็นคนดีด้วย รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ไม่หวังเอา ลาภ ยศ สรรเสริญ โดยทำผิดทำนองคลองธรรม เพราะถ้าทำอย่างนั้นจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ดังมีตัวอย่างที่ปรากฏแล้วหลายตัวอย่าง ****************************** การดื่มน้ำชาและกาแฟเป็นประโยชน์หรือโทษแก่ร่างกาย คำตอบคือ เป็นทั้งประโยชน์ถ้าดื่มเป็นและโทษถ้าดื่มไม่เป็น โดยก่อนอื่นท่านผู้อ่านต้องเข้าใจว่า เราดื่มน้ำชาและกาแฟด้วยวัตถุประสงค์อะไร  เครื่องดื่มทั้งสองชนิดว่าไปแล้วเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้การเข้าสังคมเป็นไปได้อย่างราบรื่น ดีกว่าการดื่มเหล้าและเบียร์แบบฟ้ากับเหว เพราะน้ำชาและกาแฟนั้นจะช่วยให้ผู้ดื่มสดชื่นจากแคฟเฟอีน อีกทั้งแคฟเฟอีนก็ช่วยในการกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร แต่ประเด็นนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับแอลกอฮอล์ที่ช่วยการเรียกน้ำย่อย อย่างไรก็ดีการดื่มน้ำชาและกาแฟไม่ทำให้ไร้สติสัมปชัญญะ ต่างจากเหล้าและเบียร์ อีกทั้งน้ำชาและกาแฟชงสดๆ (แต่ไม่ร้อนเกินไป) จะมีสารต้านอนุมูลอิสระ และสารต้านมะเร็งอยู่ด้วย ดังนั้นการดื่มน้ำชาและกาแฟไม่เกินวันละสามครั้งหลังอาหาร ก็ควรจะเป็นประโยชน์แก่สุขภาพ แต่ถ้ามากไปและไม่เป็นเวลา อาการปวดหัวไมเกรนและโรคกระเพาะอาจถามหาได้ เพราะน้ำย่อยอาหารที่กาแฟเหนี่ยวนำออกมา ถ้าไม่มีอะไรย่อย ก็จะย่อยกระเพาะอาหารจนทำให้เป็นแผลในกระเพาะได้ กรณีนี้จะยกเว้นกับคนส่วนน้อยบางคนที่สามารถกินกาแฟได้ทุกช่วงเวลาโดยไม่เป็นอะไร

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 124 รวมเด็ดสะเก็ดข่าว อาหารและโภชนาการ

  ผู้เขียนถามตัวเองว่า เรารู้อะไรและไม่รู้อะไรบ้างเกี่ยวกับอาหารและโภชนาการ คำตอบที่ได้คือ รู้น้อยมาก เพราะหลายครั้งที่มีคนตั้งคำถามขึ้นมา เราต้องเสียเวลาหาคำตอบจากแหล่งที่ให้ความรู้คือ ตำราและอินเตอร์เน็ต ในกรณีของอินเตอร์เน็ตนั้น เป็นแหล่งที่คนทั้งที่เป็นผู้รู้และคิดว่าตนเป็นผู้รู้ขึ้นมาแสดงความรู้กัน จึงทำให้เราซึ่งเป็นผู้แสวงหาความรู้ต้องสามารถตีความได้ว่า ข้อมูลที่กำลังอ่านหรือฟังจากอินเตอร์เน็ตนั้นเชื่อถือได้เพียงใด โดยเฉพาะกับข้อมูลที่เกี่ยวพันกับการค้าสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพ  เวลาผู้เขียนมีโอกาสบรรยายความรู้ทางอาหาร โภชนาการและพิษวิทยาในที่ประชุมต่างๆ มักมีคำถามที่ผู้ฟังกังขา(ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในประเด็นที่ได้บรรยาย) ถามเป็นประจำ ซึ่งเป็นการแสดงว่า ผู้ถามเริ่มเป็นนักแสวงหาความรู้ที่ดี กล่าวคือไม่เชื่ออะไรง่ายๆ พยายามหาความคิดที่สอง ซึ่งฝรั่งเรียกว่า second thought  คำถามที่มักอยู่ในการบรรยายช่วง ถาม-ตอบ คือ • น้ำมันมะพร้าวกินดีไหม • น้ำประปาต้มแล้วดื่มได้หรือไม่• สมุนไพรเป็นของธรรมชาติแล้วมีอันตรายได้หรือ• น้ำคลอโรฟิลล์กินดีหรือไม่• กินน้ำต้มใบแปะก๊วยแล้วสมองจะดีขึ้นใช่ไหม• กินรังนกแล้วสุขภาพดีขึ้นจริงหรือไม่• กลูตาไทโอนช่วยทำให้ผิวขาวจริงหรือ• กินคลอลาเจนแล้วผิวจะเต่งตึงขึ้นหรือไม่• กินข้าวกล้องงอกแล้วดีหรือไม่• ทำอย่างไรลูกจึงจะฉลาด ควรให้กินน้ำมันปลาดีไหม• ดื่มน้ำชาและกาแฟ เป็นประโยชน์หรือโทษแก่ร่างกาย ฯลฯ  ผู้เขียนจะขอตอบคำถามเหล่านี้ให้ท่านผู้อ่านเข้าใจแบบง่าย ๆ อีกสักครั้ง เผื่อคราวหน้าได้พบปะกัน จะได้มีประเด็นนอกเหนือไปจากนี้เสียที   น้ำมันมะพร้าวดีจริงไหม?  กรณีน้ำมันมะพร้าวนั้น ผู้เขียนเคยเขียนลงในฉลาดซื้อเมื่อไม่กี่เดือนมานี้แล้ว และความจริงเรื่องเกี่ยวกับไขมันที่ใช้ในการบริโภคก็ได้เคยเขียนมา 3 ตอนในฉลาดซื้อเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ซึ่งสรุปแล้วการกินน้ำมันมะพร้าว สิ่งที่ได้ก็เหมือนกับกินน้ำมันทั่วไปคือ ให้พลังงาน กินมากก็อ้วน ข้อดีคือ น้ำมันมะพร้าวให้พลังงานเร็ว ทางการแพทย์จึงนำไปประกอบเป็นอาหารการแพทย์สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการพลังงานในการฟื้นตัว ที่สำคัญน้ำมันมะพร้าวใช้ทอดอาหารดี เพราะเป็นน้ำมันอิ่มตัว มีองค์ประกอบบางชนิดที่ทำให้อาหารที่ทอดมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ความสามารถในการฆ่าเชื้อนั้นเป็นคุณสมบัติทั่วไปของน้ำมันพืช สังเกตได้ว่าในการทำศึกสมัยโบราณ เวลาตัดหัวแม่ทัพข้าศึกได้ จะทำการแช่หัวไม่ให้เน่าในน้ำมันหรือน้ำผึ้ง โดยอาศัยว่า สารละลายทั้งสองชนิดยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ดี   จริงหรือไม่อย่าดื่มน้ำประปาต้ม?  เรื่องของน้ำประปานั้น เป็นประเด็นสำคัญเพราะมีนักเขียนทั้งในเน็ตและหนังสือไปพบข้อความของนักเขียนต่างชาติที่บอกว่า เนื่องจากน้ำประปามีสารคลอรีนปนอยู่ ขณะที่ทำการต้มน้ำนั้นคลอรีนสามารถทำปฏิกิริยากับสารประกอบอินทรีย์ที่มีแขวนลอยอยู่ในน้ำกลายเป็นสารประกอบใหม่กลุ่มที่เรียกว่า ฮาโลมีเทน (halomethane) ซึ่งมีสมาชิกหลายชนิดเป็นสารก่อมะเร็ง จึงแนะนำให้ผู้บริโภคซื้อเครื่องกรองน้ำมากรองเอาคลอรีนออกจากน้ำก่อนต้ม  ความจริงแล้วมันก็จริงอย่างที่เขาเขียนกัน เพียงแต่ว่าปรกติแล้วปริมาณคลอรีนที่ใช้ในการฆ่าเชื้อนั้นค่อนข้างต่ำและถ้าทิ้งน้ำประปาไว้ในตุ่มดินก่อนนำน้ำมาดื่ม คลอรีนก็จะระเหยไปบ้าง ส่วนสารก่อมะเร็งที่เกิดขึ้นหลังการต้มน้ำประปาโดยปรกติแล้วเกิดในปริมาณต่ำมากๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับเป็นส่วนในพันล้านส่วน โดยสรุปแล้วยังคงแนะนำให้ต้มน้ำประปาดื่มต่อไปถ้ายังกังวลว่าอาจมีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ ส่วนสารพิษที่เกิดขึ้นในปริมาณต่ำร่างกายมักทำลายทิ้งได้เอง   สมุนไพรไม่น่าอันตรายเพราะมาจากธรรมชาติ?   สำหรับประเด็นความกังวลของผู้รักสุขภาพ(ที่มักแสวงหาอาหารหรือสมุนไพรมากินบำรุงร่างกาย) เกี่ยวกับอันตรายจากการแสวงหาของกินนั้นเป็นเรื่องน่าสนใจ เพราะมีหลายคนที่เข้าใจว่า อะไรก็ตามที่เป็นธรรมชาติแล้วน่าจะปลอดภัย ทั้งที่คำสองคำนั้นเขียนก็ต่างกัน ความหมายยิ่งคนละเรื่องเลย ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่จะบริโภคสิ่งที่เป็นสมุนไพร(ซึ่งมีคำจำกัดความกว้างมาก) ก็ให้พึงระลึกก่อนว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปเขากินกันมาหลายชั่วคนแล้วหรือไม่ และที่สำคัญสิ่งที่กินนั้นมันใช่สิ่งที่ต้องการกินหรือไม่ (เพราะสมุนไพร เช่น รากไม้นั้นดูเหมือนกันไปหมด) ถ้ากติกาทั้งสองข้อนี้ไม่ผ่าน ก็กินอะไรที่หากินได้ง่าย ๆ ไปก่อนเถิด เพราะผู้เขียนยังเชื่อในหลักการว่า การกินอาหารครบห้าหมู่ในสัดส่วนที่ถูกต้องตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ประกอบกับการออกกำลังกายที่เหมาะสมแล้ว สุขภาพควรแข็งแรงดี   น้ำคลอโรฟิลล์ดีจริงหรือ?  คำถามยอดฮิตของวัยรุ่นแย้มฝาโลงคือ การดื่มน้ำคลอโรฟิลล์แล้วทำให้สุขภาพดีจริงหรือไม่ คำตอบคือ จริง เพราะคลอโรฟิลล์ช่วยจับสารพิษบางประเภทออกจากร่างกายได้ อีกทั้งคลอโรฟิลล์เป็นแหล่งของธาตุ “แมกนีเซียม” ที่จำเป็นมากต่อร่างกาย อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้ว เราได้คลอโรฟิลล์จากผักใบเขียว การดื่มน้ำใบบัวบกแก้ร้อนใน หรือน้ำใบเตยก็ได้คลอโรฟิลล์ตามวัตถุประสงค์ให้สุขภาพดีแล้ว อีกทั้งแมกนีเซียมก็มีมากมายในน้ำประปาโดยอยู่ในรูปแมกนีเซียมคลอไรด์ซึ่งทำให้น้ำกระด้างถาวร ผู้บริโภคจึงไม่จำเป็นต้องไปซื้อผงคลอโรฟิลล์มาชงดื่มให้เปลืองเงินโดยไม่จำเป็น   จริงหรือไม่ น้ำชาจากใบแปะก๊วยช่วยให้ความจำดี?  ประเด็นการดื่มน้ำชาที่ได้จากการชงใบแปะก๊วยนั้น ผู้เขียนได้รับคำถามนี้จากสมาชิกชาวสวนลุมพินีที่ไปออกกำลังกายและบังเอิญผ่านเข้าไปฟังการบรรยายกลางสวนที่ผู้เขียนได้รับเชิญนานมาแล้ว คำตอบแบบฟันธงก็คือ สารสกัดจากใบแปะก๊วยด้วยน้ำร้อนนั้นเป็นสารคนละกลุ่มที่ช่วยให้เส้นเลือดสมองขยายได้ สารที่ช่วยให้เส้นเลือดที่สมองขยายตัวได้นั้นต้องสกัดด้วยตัวทำละลายไขมัน ได้แก่ เฮ็กเซน ไม่ใช่น้ำร้อน อย่างไรก็ตามถึงได้กินสารสกัดใบแปะก๊วยที่ได้จากการใช้เฮ็กเซนสกัดก็ตาม การขยายตัวของเส้นเลือดสมองนั้นเป็นการขยายจากเส้นเลือดที่เกิดอาการตีบให้ขยายออกเท่าเดิม จึงคิดและจำได้เหมือนที่เคยเป็น ไม่ใช่ขยายจากเดิมออกไปแล้วจำหรือคิดได้มากขึ้น จึงขอแสดงความเสียใจต่อนักศึกษา(ขี้คร้านทั้งหลาย) ผู้ตั้งความหวังว่า การกินสารสกัดจากใบแปะก๊วยทำให้เส้นเลือดเลี้ยงสมองขยายขนาดได้ แล้วเลือดจะไปเลี้ยงสมองมากขึ้นทำให้ฉลาดขึ้นเวลาใกล้สอบ  ความฉลาดนั้นเกิดจากการอ่านมากรู้มากและรู้จักคิด ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับพันธุกรรมด้วย นอกจากนี้ยังมีข้อควรระวังอีกว่า ถ้าท่านบริโภคสารสกัดจากใบแปะก๊วย(จริงๆ) เองโดยไม่อยู่ในความดูแลของแพทย์ เวลาต้องเข้ารับการผ่าตัดต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อน มิเช่นนั้นอาจมีอันตรายจากการเสียเลือดมากกว่าปรกติ เพราะมีตัวอย่างผู้บริโภคสารสกัดใบแปะก๊วยในต่างประเทศที่เสียเลือดมากกว่าปรกติจนเสียชีวิตขณะรับการผ่าตัดมาแล้ว   รังนกมีประโยชน์มากจริงหรือ? ในการบรรยายเกี่ยวกับความรู้ด้านอาหารและสุขภาพนั้น เมื่อเปิดเวทีให้มีการถาม ประเด็นที่ไม่เคยขาดไปจากความสนใจของผู้ฟังคือ เรื่องการกินรังนก ซึ่งผู้เขียนก็ยังยืนยันว่ามันคือ เสมหะหรือเสลดของนก ซึ่งเป็นสารคัดหลั่งจำพวกคอลลาเจน ที่เป็นโปรตีนไม่สมบูรณ์ ที่ไม่น่าจะมีสรรพคุณใดๆ ต่อสุขภาพของผู้บริโภค ยกเว้นว่า อร่อย เมื่อต้มกับน้ำตาลในความรู้สึกของผู้บริโภคบางท่าน ซึ่งไม่รวมผู้เขียน เนื่องจากอาหารประเภทนี้ ไม่ได้ต่างไปจากการกินหูฉลาม ซึ่งเป็นการทำร้ายสัตว์โลกผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขในภาวะโลกกำลังวิกฤตเช่นเดียวกัน ดังนั้นถ้าจะกินเพราะติดในกิเลสที่ต้องการเสพ ก็กินไปเถิด แต่ถ้าหวังประโยชน์ในการบำรุงสุขภาพ ก็ควรรอว่าเมื่อไรจะมีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับกันเสียที  สำหรับประเด็นอื่น ๆ จะขอยกยอดไปเล่าให้ฟังกันในฉบับหน้านะครับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 116 กินอาหารด่างฆ่ามะเร็ง?

อาหารด่างนั้นไม่ได้หมายถึงอาหารของไอ้ด่างนะครับ ท่านผู้อ่านฉลาดซื้อหลายท่านคงเคยได้เห็นข้อความบนเน็ต หรือจาก forward mail เกี่ยวกับอาหารในประเด็นต่างๆ ทั้งที่น่าจะจริงและน่าประหลาด ข้อมูลเหล่านี้เป็นกระบวนการที่จะกระตุ้นให้ท่านใฝ่สำนึกถึงกาลามสูตรทางพุทธศาสนา หรือคำสอนของศาสดาในศาสนาอื่นๆ เกี่ยวกับการตัดสินใจเชื่อในสิ่งใดที่มีคนบอกเล่าว่า ต้องใช้สมองในการประเมินความเชื่อถือเสียก่อนจะตัดใจว่าเชื่อหรือไม่ และที่สำคัญต้องเข้าใจหลักการหนึ่งว่า เฉพาะคนตายเท่านั้นที่ไม่เปลี่ยนความคิด คนเป็นนั้นเปลี่ยนความคิดได้ถ้ามีข้อมูลใหม่ที่ถูกต้องมาประกอบความเชื่อเดิม ในฉลาดซื้อเล่มนี้ผู้เขียนขอเล่าให้ฟังถึงประเด็นที่ถูกถามว่า เคยได้ยินการบอกเล่าจากผู้หวังดีให้บริโภคอาหารที่เป็นด่างเพื่อลดพิษและป้องกันมะเร็งหรือไม่ ผู้เขียนจึงต้องไปมองหาข้อมูลในเน็ตดู ก็พบว่ามีประเด็นดังกล่าวอยู่จริงๆ ขอยกตัวอย่างเว็บไซต์หนึ่งซึ่งเป็นเว็บที่มี experts อยู่เยอะมากชื่อ http://blog.ezinearticles.com ซึ่งเมื่อเข้าไปพิจารณาแล้ว พบว่าเป็นเว็บที่พยายามทำตัวให้เหมือน wikipedia แต่คงลำบากเพราะมีองค์ประกอบและวิธีการที่ต่างกัน เนื่องจากมีระบบที่ใครอยากเขียนอะไร เอาเลย ตัวอย่างคนที่เขียนบทความเก่งสุด เขียนบทความลงในเว็บจนถึงวันนี้ถึง 23,739 บทความ  ในขณะที่หมายเลขสองจรดปลายปากกามาจนถึงวันนี้ถึง 21,000 บทความ อะไรมันจะขนาดนั้นยอดเยี่ยมในการเขียนเหมือนจักรกลได้ประมาณนี้ ที่สำคัญสำหรับเว็บนี้คือ การที่ไม่มีใครตรวจสอบว่าบทความนั้นจริงหรือลวงทางวิชาการ ดังนั้นท่านอาคันตุกะผู้เยี่ยมเว็บนี้จึงสามารถพบบทความเรื่องเกี่ยวกับการกินอาหารที่เป็นด่างเพื่อสุขภาพ ซึ่งส่วนใหญ่เขียนโดยนักเขียนท่านหนึ่งซึ่งมีบทความในประเด็นนี้เท่าที่นับดูคือ 52 บทความ เช่น เรื่อง Alkaline Diet and Cancer - Cancer Cells Cannot Live In An Alkaline Environment เรื่อง High Alkaline Foods - What Are the Best Ones to Include? เรื่องThe Ideal Human pH & Its เรื่อง Benefits Blood pH Level - The Benefits Of Alkaline pH Blood ทำไมอาหารที่กินต้องเป็นด่าง ผู้เขียนบทความในลักษณะนี้หลายๆ คนรวมทั้งคนไทยที่ไปจำขี้ปากเขามาพูด จะอธิบายโดยกล่าวถึงพื้นฐานของความเป็นกรดด่างของร่างกายมนุษย์ในลักษณะมั่วๆ ว่า “ความเป็นกรดด่างในร่างกายเรานั้นต้องถูกรักษาให้เหมาะสมโดยมีอาหารที่เรากินเข้าไปนั้นส่งผลกระทบโดยตรง ถ้ากินอาหารที่เป็นกรด สภาวะในร่างกายจะเป็นกรดแต่ถ้ากินอาหารที่เป็นด่างสภาวะในร่างกายก็จะออกทางเป็นด่าง การเป็นด่างนี้ดีเพราะ ปรกติเวลาร่างกายเราเผาผลาญพลังงานออกมาโดยกระบวนการที่ใช้ออกซิเจนนั้นขยะที่ได้จะมีความเป็นกรดต่อเซลล์ ซึ่งทำให้เซลล์ไม่สบายอ่อนแอลงส่งผลให้เป็นโรคต่างๆ ได้ถึงเป็นมะเร็ง ความเป็นกรดด่างในร่างกายมนุษย์นี้มีผลกระทบถึงการทำงานของสมอง ซึ่งเป็นอวัยวะที่ไม่มีเซลล์ไขมันของมันเองแต่ได้พลังงานมาเซลล์เม็ดเลือดโดยตรง ดังนั้นถ้าเซลล์เม็ดเลือดไม่สบายเพราะความเป็นกรดด่างไม่เหมาะสม สมองก็ไม่สบายไปด้วย อีกทั้งการเป็นไปเป็นสภาวะกรดในร่างก็ทำให้ร่างกายเปลี่ยนขั้ว (polarity) ของเซลล์เม็ดเลือด จากลบเป็นบวกจึงทำให้หันไปเกาะติดกับผนังหลอดเลือดแดงซึ่งมีขั้วลบเกิดการตีบตัน จึงเกิดปัญหาโรคเส้นเลือดหัวใจได้ อีกทั้งความเป็นกรดภายในร่างกายนั้นทำให้น้ำหนักเกินได้ง่ายจึงอ้วนได้เร็ว การทำให้สภาวะในร่างกายเป็นด่างจึงเป็นการดึงสมดุลต่างๆ เข้าสู่ความเป็นปรกติ” อ่านแล้วก็น่าเหนื่อยใจ เพราะเว็บทั้งไทยและเทศมีข้อมูลวิชาการแบบจับแพะชนแกะเยอะมาก เหมือนอย่างที่ผู้เขียนเคยเล่าเรื่องที่มี forward mail ว่ากินน้ำเย็นแล้วไขมันจะอุดตันในทางเดินอาหารทำให้ย่อยไม่ได้ เคลื่อนลงไปในลำไส้ใหญ่ก่อให้เกิดมะเร็งได้ซึ่งเป็นเรื่องมั่วสุดๆ เพราะแม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะพบว่าการกินอาหารไขมันสูงจะมีความสัมพันธ์ต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ก็ตาม แต่กระบวนการนั้นไม่ใช่เรื่องโง่ ๆ แบบไขมันอุดในลำไส้ก่อมะเร็ง เช่นกันกับเรื่องกินน้ำเย็น ข้อความเกี่ยวกับสภาพกรดด่างในร่างกายที่มักเขียนในเน็ตโดยนักวิชาเกินนั้น เป็นเรื่องน่าอนาถอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะทั้งวิชาสรีรวิทยาและชีวเคมีที่สอนกันในมหาวิทยาลัยที่เชื่อถือได้ จะอธิบายว่า ระบบต่างๆ ในร่างกายมนุษย์จะควบคุมความเป็นกรดด่างให้เหมาะสมอย่างอัตโนมัติเท่าที่จะทำได้ โดยปรกติสภาวะในเลือดหรือเซลล์บางอวัยวะต้องมีความเป็นกรดด่างราว 7.4 เนื่องระบบการทำงานเช่น เอนไซม์ ต้องการสภาวะนี้ วิธีการปรับนั้นร่างกายเราใช้ระบบที่เรียกว่า บัฟเฟอร์ ซึ่งมีอย่างน้อยสาม ระบบที่เกิดจากองค์ประกอบในน้ำเลือดหรือเซลล์เอง ได้แก่ ฟอสเฟต (ซึ่งได้จากดีเอ็นเอในอาหารที่มีเซลล์ทั้งพืชและสัตว์) กรดอะมิโนหลายชนิดจากอาหารที่ถูกย่อยเข้าสู่เลือด แต่ที่สำคัญและน่าจะเป็นหลักสำคัญ คือ ไบคาร์บอเนต ซึ่งได้จากคาร์บอนไดออกไซด์ที่เซลล์ปล่อยออกมาระหว่างการเผาผลาญน้ำตาลเป็นพลังงาน องค์ประกอบของบัฟเฟอร์นั้นมีทั้งส่วนที่เป็นกรดและด่างในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยเฉพาะในกรณีไบคาร์บอเนตบัฟเฟอร์ ถ้ามีส่วนที่เป็นคาร์บอนไดออกไซด์มากไปจะต้องมีการกำจัดทิ้ง โดยมีการกระตุ้นการหาวของเราเพื่อขับก๊าซนี้ทิ้ง ซึ่งจะทำให้ระดับความเป็นกรดด่างของเลือดเข้าสู่สภาวะปรกติได้ สำหรับบางอวัยวะเช่น กระเพาะอาหารนั้นต้องมีความเป็นกรดสูงระหว่างย่อยอาหาร ความเป็นกรดอาจลดลงไปถึงช่วง 1-2 ได้เป็นเวลา 2-3 ชั่วโมง เพื่อช่วยในการย่อยโปรตีนบางส่วน ถ้ากระเพาะไม่สามารถปรับให้มีความเป็นกรดในระดับนี้ได้ จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาสู่ระบบทางเดินอาหาร ที่เบาสุดคือ ท้องอืดเฟ้อ ในทางตรงข้าม ระหว่างการย่อยอาหารในลำไส้เล็ก ความเป็นด่างถึง 8 กว่าๆ นั้นจำเป็นต่อการย่อยสารอาหารทั้งโปรตีน แป้ง และไขมัน ซึ่งมีเอนไซมจากตับอ่อนเป็นตัวช่วยในการปฏิบัติการนี้ ซึ่งถ้าขาดซึ่ง  น้ำดี ที่ได้จากตับมาช่วยในปฏิบัติการนี้ การย่อยอาหารจะไม่สำเร็จ ส่งผลให้สารอาหารที่ไม่ถูกย่อยลงสู่ลำไส้ใหญ่ให้แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ย่อยเกิดก๊าซทำให้ท้องอืดเฟ้อได้เช่นกัน ดังนั้นความเหมาะสมของกรดด่างในร่างกายจึงต่างกันตามชนิดของอวัยวะ การกล่าวว่ากินอาหารเพื่อปรับร่างกายให้เป็นด่างนั้นน่าจะเป็นการพูดผิด และที่ผิดอย่างมากคือ การพยายามแนะนำให้กินผักผลไม้ซึ่งกล่าวว่าเป็นอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่าง ซึ่งอาจหมายถึง การมีโปแตสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุจำเป็นต่อร่างกาย แต่เมื่อมันเข้าไปอยู่ในร่างกายมันไม่จำเป็นต้องแสดงความเป็นด่างเหมือนเมื่อเป็นด่างชื่อ โปแตสเซียมไฮดรอกไซด์ ทั้งนี้เพราะแร่ธาตุนี้แสดงการทำงานในรูปการแตกตัวเป็นเกลือซึ่งในหลอดทดลองเมื่อละลายน้ำจะมีฤทธิ์เป็นกลาง อีกทั้งผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นกรดเช่น ผลไม้ตระกูลส้ม ก็มีโปแตสเซียมเป็นองค์ประกอบเช่นกัน โดยสรุปแล้วการกินอาหารเพื่อปรับความเป็นกรดด่างโดยการไปเชื่อคำแนะนำทั้งในหนังสือฝรั่ง และไทยนั้น ท่านอาจพลาดการได้ประโยชน์จากพืชผักที่อาจไม่อยู่ในกลุ่มที่เขาทั้งหลายจัดว่าเป็นด่างได้ ผักผลไม้ที่เรารับประทานนั้นควรมีความหลากหลาย โดยยึดให้มีสีแตกต่างกันไป และกินให้มากจนได้ปริมาณครึ่งจานก็จะเป็นประโยชน์ทำให้ร่างกายมีสุขภาพดีได้ ทั้งนี้เพราะใยอาหารบางชนิดจะถูกแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ย่อยได้เป็นกรดไขมันที่ช่วยในการคงระดับความเป็นกรดด่างอยู่ที่ 7 คือ กลางๆ ไม่ให้เป็นด่าง ทั้งนี้เพราะถ้าลำไส้ใหญ่มีความเป็นด่าง(ซึ่งมักเกิดกับคนที่กินเนื้อสัตว์สูง) คนผู้นั้นจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เพราะเซลล์มะเร็งจะเจริญได้ดีในสภาวะที่เป็นด่างเนื่องจากเซลล์มะเร็งมีการผลิตกรดมากเกินไป ความเป็นด่างจะช่วยให้เซลล์มะเร็งรอดจากกรดที่มันผลิตออกมา ดังนั้นการกล่าวว่าต้องกินอาหารเพื่อให้ร่างกายมีความเป็นด่างจึงดูเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ทีเดียว ในเรื่องการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 112-113 ความเข้าใจผิดๆ ถูกเกี่ยวกับอาหาร ตอนที่ 2

เวลานักโภชนาการพูดถึงโปรตีนพืชนั้นมักเน้นเป็นหลักว่ามาจาก ถั่ว เพราะถั่วนั้นสร้างโปรตีนสะสมมากในเมล็ดถั่วซึ่งจะอยู่เป็นฝัก ไม่ได้สร้างสะสมในใบหรือลำต้น ซึ่งมีใยอาหารและสารอื่นๆ เป็นหลัก ดังนั้นเวลาวิเคราะห์หาปริมาณสารไนโตรเจนในใบหรือลำต้นของพืชผักได้สูง ไม่ได้หมายความว่ามีโปรตีนสูง อย่างที่นักวิชาการหลายคนพูดทางโทรทัศน์ วิทยุ และในสิ่งตีพิมพ์ต่าง ๆ จากตอนที่แล้วได้เกริ่นว่า ผงนัว นั้นเป็นผงชูรสธรรมชาติที่ทำให้อาหารอร่อย ซึ่งทั่วไปแล้วผงนัวประกอบด้วยพืชผักที่มีรสชาติต่างๆ กัน ทั้งเปรี้ยว หวาน เผ็ด มัน จืด ขม และอื่นๆ โดยมีสัดส่วนที่ต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ว่า จะนำไป พล่า ยำ ต้มจืด หรือ อื่นๆ ตามวิวัฒนาการการปรุงอาหาร ดังนั้นการผลิตผงนัวนั้นจึงยังไม่จบเป็นสูตรตายตัว น่าจะยังมีการพัฒนาต่อๆ ไปตามความเหมาะสม ท่านผู้อ่านสามารถหาสูตรทำผงนัวได้จากเว็บต่างๆ มากมาย แต่ถ้าดูสูตรแล้วท้อใจในการทำเองเพราะหาองค์ประกอบที่เป็นผักพื้นบ้านบางชนิดไม่ได้ ก็สามารถหาซื้อผงนัวสำเร็จรูปที่มีขายเป็นสินค้าโอทอปได้ไม่ยาก เพียงแต่ว่าดูให้มันใหม่หน่อย ไม่มีสิ่งปนเปื้อนโดยเฉพาะเชื้อรา ก็จะได้ผงนัวมาทดลองว่า ชอบหรือไม่ ในลักษณะลางเนื้อชอบลางยาครับ ผู้เขียนเคยให้ลูกศิษย์คนหนึ่งทำวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ต้านพิษของสารก่อกลายพันธุ์และปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระของผงนัวที่ได้จากแหล่งต่างๆ ผลการศึกษาก็เป็นไปตามคาดคือ ส่วนใหญ่มีผลต้านสารพิษได้ มากบ้างน้อยบ้างขึ้นกับสูตร แต่บางชนิดก็ส่งเสริมพิษได้เหมือนกัน ซึ่งอาจเป็นเพราะในการศึกษาได้ให้ผงนัวชนิดนั้นแก่สัตว์ทดลองในปริมาณที่มากเกินจริงไป สำหรับในเรื่องของปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระนั้น เพียบครับ เพราะเป็นผงผัก แบบว่าไม่ต้องวิเคราะห์ก็รู้ แต่ก็ได้วิเคราะห์แล้ว ปัญหาคือ ผงนัวจากแหล่งเดียวกัน ปริมาณสารมีประโยชน์ มักไม่ค่อยเท่ากันอาจเพราะอายุการเก็บรักษาก่อนซื้อมาศึกษาไม่เท่ากัน หรือเป็นเพราะองค์ประกอบที่เป็นพืชผักนั้นมีสารออกฤทธิ์ที่ปริมาณแปรเปลี่ยนไปตามฤดูกาลและสถานที่ปลูกประเด็นหนึ่งจากการดูรายการที่พูดเกี่ยวกับผงนัวแล้วผู้เขียนไม่ค่อยสบายใจคือ ผู้ร่วมรายการท่านหนึ่งให้ข้อมูลที่เป็นความรู้น่าสนใจดีเพราะเป็นความรู้ด้านวิชาชีพของท่าน แต่บางอย่างที่ไม่อยู่ในวิชาชีพของท่านแล้ว อาจเกินเลยไปบ้างในลักษณะกลอนพาไป ประเด็นที่นักวิชาการที่ไม่ได้อยู่ในวงการวิเคราะห์สารอาหารในพืชมัก พูดผิด คือ การอธิบายว่าผักโดยเฉพาะใบไม้บางชนิด เป็นแหล่งของโปรตีน เพราะมีรสมันถามว่าในใบไม้มีโปรตีนไหม คำตอบคือ มี แต่ต่ำมากเนื่องจากส่วนใหญ่ของตัวใบเป็นใยอาหาร และเวลาวิเคราะห์หาปริมาณโปรตีนนั้น เป็นการวิเคราะห์ทางอ้อมโดยใช้วิธีทางเคมีด้วยวิธี Kjeldahl method ซึ่งเป็นการหาปริมาณธาตุไนโตรเจน ซึ่งเป็นธาตุหลักชนิดหนึ่งในโปรตีน แต่ก็มีในสารชีวเคมีอื่นในพืชอีกมากมาย เวลานักโภชนาการพูดถึงโปรตีนพืชนั้นมักเน้นเป็นหลักว่ามาจาก ถั่ว เพราะถั่วนั้นสร้างโปรตีนสะสมมากในเมล็ดถั่วซึ่งจะอยู่เป็นฝัก ไม่ได้สร้างสะสมในใบหรือลำต้น ซึ่งมีใยอาหารและสารอื่นๆ เป็นหลัก ดังนั้นเวลาวิเคราะห์หาปริมาณสารไนโตรเจนในใบหรือลำต้นของพืชผักได้สูง ไม่ได้หมายความว่ามีโปรตีนสูง อย่างที่นักวิชาการหลายคนพูดทางโทรทัศน์ วิทยุ และในสิ่งตีพิมพ์ต่าง ๆ กล่าวได้ว่า ประเด็นโปรตีนในใบไม้นั้นทำให้นักวิชาการหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ แอนตาซินไม่จ่ายค่าแตกให้เลยครับ เหตุที่นักวิชาการเหล่านี้เจ๊งทางปัญญาก็คือ ไปตีความว่าปริมาณไนโตรเจนในตัวอย่างวิเคราะห์นั้นสามารถนำไปคูณกับตัวเลข 6.25 แล้วแปลงเป็นค่าน้ำหนักโปรตีนได้เลย ซึ่งกรณีการแปลงโดยใช้ตัวเลข 6.25 นี้จะทำได้เมื่อรู้ว่าอาหารนั้นเป็นแหล่งโปรตีนแน่ๆ เช่น ผัดกระเพรา ไข่ดาว คอหมูย่าง ฯลฯ อย่างไรก็ดีในกรณีเมล็ดถั่วนั้น ถึงมีโปรตีนแน่ๆ แต่ก็มีในความเข้มข้นต่ำกว่าเนื้อสัตว์เพราะมีสารอื่นที่ไม่ใช่โปรตีนแต่มีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย ดังนั้นในการแปลงค่าไนโตรเจนที่ได้จากการวิเคราะห์เมล็ดถั่วไปเป็นค่าโปรตีนนั้นก็จะใช้ตัวเลขที่ต่ำกว่า เช่น ถั่วเหลืองจะใช้ตัวเลข 5.7-5.8 เป็นตัวคูณ ไม่ใช่ 6.25 ส่วนนมซึ่งมีโปรตีนสูงแน่ๆ ก็จะใช้ตัวเลขที่สูงกว่า 6.25 คือ 6.38 แทน โดยสรุปแล้วตัวเลขที่ใช้คำนวณนั้นยิ่งถ้าเป็นอาหารที่มีการทำวิจัยลงลึกในรายละเอียดแล้ว ตัวเลขที่ใช้ในการคำนวณจะเป็นเลขเฉพาะกลุ่มอาหาร ทั้งนี้เพื่อความถูกต้องมากขึ้นนั่นเองท่านที่สนใจตัวเลขเหล่านี้ไปดูได้ในหนังสืออีเล็คโทรนิค Comprehensive review of scientific literature pertaining to nitrogen protein conversion factors ซึ่งเป็น Bulletin of the International Dairy Federation ซึ่งสามารถเข้าดูและเก็บมาเป็นสมบัติส่วนตัวได้ที่ http://www.fil-idf.org/WebsiteDocuments/405-2006%20Comprehensive%20review.pdf หรือใช้วิธีพิมพ์ชื่อหนังสือลงไปใน Google Search ก็สามารถไปถึงหนังสือเล่มนี้ได้เช่นกัน เมื่อได้หนังสือมาแล้ว ท่านผู้อ่านจะพบว่าในหน้าที่ 2 ของ Comprehensive review of scientific literature pertaining to nitrogen protein conversion factors นี้ มีตารางที่ให้ตัวเลขที่ใช้ในการคำนวณหาปริมาณโปรตีนจากผลการวิเคราะห์ด้วยวิธี Kjeldahl method ซึ่งระบุที่หัวตารางว่า เป็น Specific factors for the conversion of nitrogen content to protein content (selected foods) จะเห็นว่าหัวตารางเน้นว่า selected foods แสดงว่าตัวอย่างที่วิเคราะห์หาโปรตีนนั้นต้องเป็นอาหารที่มีการกินกันเป็นปรกติ ส่วนในกรณีใบไม้นั้นถึงเป็นอาหารก็ต้องอยู่ในลักษณะของผสมหลายๆ อย่าง จึงพออนุโลมให้ใช้ตัวเลข 6.25 ได้ แต่ถึงใช้อย่างไรๆ ก็ผิดพลาดอยู่ดี นักโภชนาการที่เป็นมืออาชีพจะตระหนักถึงเรื่องนี้เสมอว่า ถ้าอาหารมีผักสูงปริมาณโปรตีนที่ได้จากการคำนวณนั้นมีความผิดพลาดในแง่ปริมาณโปรตีนเกินจริงสูงเสมอ สรุปแล้วการที่พิธีกรและนักวิชาการบางท่านกล่าวในบางรายการว่า คนโบราณรู้จักนำเอาใบพืชผักบางชนิดมาใช้ป้องกันการขาดสารอาหารโปรตีนนั้น เป็นการพูดแบบกลอนพาไป โดยบางครั้งพาไปเพราะไปดูตัวเลขปริมาณไนโตรเจนในพืชที่พูดถึง เห็นตัวเลขสูงก็ตีความว่ามีโปรตีนสูงไปเลย ผู้เขียนจึงขอฟันธงทั้งเสาธงเลยว่า เข้าใจผิดนะครับ คนโบราณนั้นไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับการขาดโปรตีนหรอกครับ ท่านเหล่านั้นเพียงแต่รู้ว่า ผักนั้นมันกินแล้วอร่อย หรือเอามาทำผงนัวแล้วอร่อย ก็จดบันทึกไว้ บังเอิญนักวิชาการปัจจุบันมีความรู้เรื่องการวิเคราะห์หาปริมาณไนโตรเจนดีเลยสรุปว่า คนโบราณรู้วิธีการแก้ปัญหาขาดสารโปรตีนโดยแนะนำให้กินใบไม้ ใบผัก บางชนิด เป็นการให้เครดิตคนตายไปนานแล้ว ซึ่งก็เก๋ไปอีกแบบหนึ่ง ที่ผู้เขียนร่ายยาวมาถึงตอนนี้ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านนำกระบวนการคิดไปประกอบการฟังการบรรยายต่างๆ ทั้งทางวิทยุ โทรทัศน์ เวทีประชุมอภิปรายทางวิชาการต่างๆ ตลอดจนจากการอ่านหนังสือว่า บางเรื่อง บางประเด็นนั้น ต้องมืออาชีพเท่านั้นที่จะพูดได้ถูกต้อง มือสมัครเล่นถอยไปก่อน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 111 ความเข้าใจผิดๆ ถูกๆ เกี่ยวกับอาหาร ตอนที่ 1

ความคิดของการใช้สาหร่ายเป็นวัตถุดิบของการสกัดสารอร่อยหรือที่เรียกว่า อูมามิ นั้นเป็นเพราะวัฒนธรรมการกินอาหารของคนญี่ปุ่นมักใช้สาหร่ายทำน้ำซุปเพื่อเพิ่มความอร่อยของอาหาร และด้วยเหตุที่ศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นได้สังเกตเห็นและช่างคิดจึงลองวิเคราะห์สารที่ประกอบเป็นน้ำซุปดู ก็พบว่ามีเกลือกลูตาเมตในปริมาณที่สูงกว่าสารอื่นๆ ต้นเดือนเมษายน 2553 ที่แสนจะร้อนนี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์สถานีหนึ่ง โดยผู้มาสัมภาษณ์แจังให้ทราบว่า จะเอาไปทำคลิปประกอบรายการหนึ่งที่ออกอากาศเรื่องเกี่ยวกับผงนัว โดยจะนำคลิปไม่ลับที่ผู้เขียนให้สัมภาษณ์นั้นไปเป็นน้ำกระสายเพื่อกระตุ้นให้ผู้ชมทราบว่า ทำไมคนไทยถึงควรหันมาใช้ผงนัว คลิปที่ผู้เขียนให้สัมภาษณ์นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับผงชูรส ซึ่งความหมายในปัจจุบันนั้นคือ สารเคมีที่ทำหน้าที่เป็น Flavor enhancer ซึ่งหมายถึง สารเคมีที่ไปกระตุ้นให้ต่อมรับรสในปากให้รับรสมากกว่าปรกติ สารเคมีที่มีความหมายว่าเป็นผงชูรสนั้น สามารถกระตุ้นระบบประสาทรับรสในปากให้มีความไวสูงขึ้นกว่าเดิม โดยมีทั้งที่สกัดจากเนื้อสัตว์และพืชพรรณธรรมชาติ และที่สังเคราะห์ด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีทางชีวภาพได้ เช่น โมโนโซเดียมกลูตาเมต ไรโบไซด์ต่างๆ เป็นต้น โมโนโซเดียมกลูตาเมตนั้นชาวบ้านรู้จักดีจนเรียกกันติดปากว่า ผงชูรส ทั้งที่ความจริงแล้วคำว่า ผงชูรสนี้เป็นคำกลางๆ เหมือนที่ชาวบ้านมักเรียกสิ่งที่ช่วยในการซักผ้าให้สะอาดง่ายขึ้นคือผงซักฟอกว่า แฟ้บ ในขณะที่กำลังใช้ บรีส โอโม หรือผงซักฟอกอื่นๆ อยู่ คงเนื่องจากกระบวนการโฆษณาสินค้าชื่อ แฟ้บ ประสบความสำเร็จมากตั้งแต่สมัยโทรทัศน์ยังจอไม่แบนและออกอากาศในลักษณะสีขาวดำ ชื่อสินค้านี้เลยกลายเป็นคำเรียกแทนกลุ่มสินค้าไปเลย ย้อนกลับมาที่ผงชูรสใหม่ เจ้าสารเคมีที่เรียกว่า โมโนโซเดียมกลูตาเมต นั้น เป็นเกลือของกรดอะมิโนชื่อ กลูตามิก ซึ่งเป็นหนึ่งในยี่สิบของกรดอะมิโนที่ร่างกายเราใช้ในการสังเคราะห์โปรตีนต่างๆ กรดอะมิโนชนิดนี้เราสามารถสังเคราะห์ได้เองในร่างกาย และรับจากอาหารที่เราบริโภคเข้าไปด้วย ในประการหลังกรดอะมิโนนี้คือตัวทำให้อาหารมีรสชาติอร่อยขึ้น ตัวอย่างเช่น น้ำต้มผักกาดขาวอย่างเดียว กับน้ำต้มผักกาดขาวใส่หมูสับนั้น ท่านผู้อ่านคงนึกออกว่าอะไรอร่อยกว่ากัน ความอร่อยนั้นมาจากกรดอะมิโนชนิดดังกล่าวเป็นหลัก ทำไมโมโนโซเดียมกลูตาเมตถึงทำให้อาหารอร่อยนั้น ผู้เขียนขออธิบายให้ง่ายว่า ตัวกรดอะมิโนนี้ขณะที่อยู่ในของเหลวของร่างกายเรานั้น อยู่ในรูปเกลือที่แตกตัวแล้วเสมอเรียกว่า กลูตาเมต ทั้งนี้เพราะสภาพกรดด่างของของเหลวในร่างกายไม่ทำให้สารนี้อยู่ในรูปกรด เพราะถ้าอยู่ในรูปกรดเมื่อใดก็จะก่ออันตรายให้ร่างกายซึ่งต้องมีความเป็นกรดด่างอยู่ในระดับกลาง ในวิชาสรีรวิทยาที่เรียนมา เมื่อพูดถึงระบบการสื่อประสาทนั้นจุดส่งต่อของสัญญาณประสาทจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปอีกเซลล์ประสาทหนึ่ง อาศัยกลุ่มสารชีวเคมีในร่างกายที่เรียกว่า สารสื่อประสาท ซึ่งมีหลายชนิด ทั้งที่ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทหลักและทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทรอง กลูตาเมตนั้นเป็นหนึ่งในกรดอะมิโนบางชนิดที่อยู่ในกลุ่มที่สองคือ ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทรอง แบบว่าเป็นงานอดิเรก ดังนั้น ณ ตอนนี้ท่านผู้อ่านคงพอเข้าใจได้ว่า กลูตาเมท หรือที่อยู่ในซองเรียกว่า โมโนโซเดียมกลูตาเมต นั้น เป็นสารสื่อประสาทของร่างกายมนุษย์ ซึ่งความจริงแล้วน่าจะรวมถึงสัตว์ชั้นสูงอื่นๆ เช่น หมา ม้า ลิง ด้วย การเป็นสารสื่อประสาทนี้น่าจะเป็นคำอธิบายว่าทำไมกลูตาเมตจึงเป็นผงชูรส เพราะการรับรสสัมผัสของลิ้นเรานั้นอาศัยส่วนที่เรียกว่า ตุ่มรับรสที่ลิ้น (tastebud) และกลูตาเมตก็สามารถกระตุ้มต่อมนี้ให้ไวได้ดีกว่าสารสื่อประสาทรองอื่นๆ ระหว่างการรับประทานอาหาร นานมาแล้ว ประมาณเมื่อผู้เขียนยังอยู่ชั้นประถม โมโนโซเดียมกลูตาเมตนั้นค่อนข้างแพง เพราะเป็นการสังเคราะห์ทางเคมีขึ้นมา และถ้าย้อนยุคไปสมัยที่ผู้เขียนยังไม่เกิด กลูตาเมต นั้นต้องสกัดจากแหล่งธรรมชาติอย่างเดียว  ได้แก่ สาหร่ายทะเล เห็ดต่างๆ หรือแม้กระทั่งเนื้อสัตว์ โดยศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งได้เริ่มทำการศึกษาหาทางสกัดออกมาได้ในปริมาณค่อนข้างน้อย แต่สามารถทำให้อาหารอร่อย เพราะปริมาณที่ทำให้แกงหนึ่งหม้ออร่อยได้คือ เท่ากับปลายช้อนแคะขี้หูของช่างตัดผมเท่านั้น ต้นตอความคิดของการใช้สาหร่ายเป็นวัตถุดิบของการสกัดสารอร่อย หรือที่เรียกว่า อูมามิ นั้นเป็นเพราะวัฒนธรรมการกินอาหารของคนญี่ปุ่นมักใช้สาหร่ายทำน้ำซุปเพื่อเพิ่มความอร่อยของอาหาร และด้วยเหตุที่ศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นได้สังเกตเห็นและช่างคิดจึงลองวิเคราะห์สารที่ประกอบเป็นน้ำซุปดู ก็พบว่ามีเกลือกลูตาเมตในปริมาณที่สูงกว่าสารอื่นๆ จึงมีการทดลองเอาเกลือโมโนโซเดียมกลูตาเมตที่สังเคราะห์ในห้องทดลองมาศึกษาความสามารถในการทำให้อาหารอร่อยขึ้น สุดท้ายก็กลายเป็นผงชูรสประจำบ้านที่ไม่มีคนทำอาหารอร่อย ต่อมาเมื่อความรู้ทางเทคโนโลยีชีวภาพเจริญขึ้น และญี่ปุ่นก็เป็นประเทศที่ก้าวล้ำหน้าในวิทยาการด้านนี้มาก การนำเอาแบคทีเรียมาเป็นผู้เปลี่ยนแป้งเช่น แป้งมันสำประหลังหรือน้ำตาล ให้กลายเป็นผงชูรสจึงเกิดขึ้น ส่งผลให้การปลอมผงชูรสในปัจจุบันแทบตกยุค เพราะประชาชนรู้วิธีสังเกตผงชูรสปลอมและราคาผงชูรสนั้นถูกลงมากจนไม่คุ้มค่าปรับ สิ่งที่เล่าให้ท่านผู้อ่านได้อ่านนั้นไม่ใช่เรื่องที่อยู่ในคลิปไม่ฉาวของผู้เขียน เพราะเขาให้เวลาออกอากาศประมาณ 2 นาที และได้แพร่ภาพไปแล้วเมื่อราว 7.05 น ของวันจักรีที่ผ่านมา ซึ่งผู้เขียนก็เข้าใจเพราะผู้ผลิตบอกแล้วว่าจะเอาไปประกอบรายการที่พูดเกี่ยวกับผงนัว ผงนัวคืออะไร ผู้เขียนเคยถามนักศึกษาปริญญาโทซึ่งเป็นสาวอุบล ซึ่งมีบ้านอยู่ตรงข้ามวัดหนองป่าพง ที่ทำวิจัยกับผู้เขียนว่า ผงนัวคืออะไร เธอก็ตอบว่า คือ ผงชูรส ตอนแรกผู้เขียนนึกดีใจว่า เออ!! ลูกศิษย์เราก็ยังรู้เรื่องพื้นบ้านดีอยู่ ก็เลยถามต่อว่า มันมีลักษณะอย่างไร ปรากฏว่าคำตอบนั้นทำให้ผู้เขียนแทบล้มทั้งยืน เพราะเธอกล่าวว่ามันก็คือ โมโนโซเดียมกลูตาเมต ที่มีขายทั่วไป นิทานเรื่องนี้น่าจะแสดงว่า ชาวบ้านแถวนั้นเอาคำว่า ผงนัว มาใช้แทนคำว่า ผงชูรสปัจจุบัน ทั้งที่คำว่าผงนัวนั้นเป็นภาษาอีสานที่ นัว หมายถึง รสชาติกลมกล่อม ภาษาญี่ปุ่นน่าจะหมายถึง อูมามิ ซึ่งไม่ได้หมายถึง ผงชูรสในซองนะครับ ผงนัวนั้นมีลักษณะเป็นผงผักรวม ทำจากพืชผักแห้งต่างๆ บดเป็นผงเพื่อให้สามารถเก็บรักษาได้นานและเพิ่มบทบาทในการแทรกซึมรสชาติเข้าไปในอาหารที่ปรุงด้วยผงนัว เรื่องราวของผงนัวนั้นจะกล่าวต่อไปในตอนที่ 2 ครับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 109 รู้ว่าเขาหลอก (แต่เต็มใจให้หลอก)

หัวข้อสนทนาในฉบับนี้คือ ชื่อเพลงที่ คุณสิรินทรา นิยากร ร้องมานานแล้ว และก็ยังเพราะอยู่ ที่สำคัญมันยอดจะทันสมัยสำหรับคนไทยวันนี้เลย ผู้เขียนจึงขอนำมาเป็นประเด็นในการคุยกับท่านผู้อ่านในฉบับนี้ ประเด็นสุขภาพกับอาหารนั้นเป็นเรื่องที่ รู้ว่าเขาหลอก (แต่เต็มใจให้หลอก) ไม่รู้จบ หลายคนรวยไปแล้วเพราะพูดเรื่องดังกล่าวเก่ง บ้างก็รวยจากสิ่งดีๆ ที่บริการแก่ผู้บริโภค ในขณะที่บ้างก็รวยจากสิ่งตนเองคิดเอาเองว่าดีแล้วขายต่อผู้บริโภค น่าประหลาดที่คนชอบหลอกหลายคนปักใจว่า สิ่งที่ตนคิดนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และนำแต่สิ่งที่คิดว่าถูกไปขายให้ผู้บริโภค ทำให้เกิดความน่าประหลาดใจมากขึ้นอีกหลายเท่าที่พบว่า สิ่งที่ขาย(ซึ่งไม่มีความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์) นั้น มีผู้ซื้อเสียด้วย เป็นไปในทำนองเดียวกับเครื่อง GT 200 ซึ่งความรู้ที่เรียนจากโรงเรียนของกระทรวงศึกษาไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย ประมาณยี่สิบปีมาแล้ว ผู้เขียนเคยซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าจากเพื่อนร่วมงานซึ่งคงขายด้วยความบริสุทธิ์ใจ ที่ว่าบริสุทธิ์ใจเพราะเพื่อนเป็นทั้ง รุ่นน้อง แล้วมาเป็นลูกศิษย์ จากนั้นก็มาเป็นลูกน้อง ผู้เขียนจึงประมาณเอาว่า ความสัมพันธ์หลายชั้นนี้ควรจะช่วยป้องกันการหลอกลวงได้ อุปกรณ์ที่ว่านั้นคือ เครื่องฟอกอากาศราคาเยา ซึ่งขอตั้งชื่อว่า กล่องมหาบำบัด ถามว่าทำไมถึงกล่าวว่าราคาเยาและทำไมผู้เขียนถึงซื้อ ก็ขอเฉลยว่าเนื่องจากอุปกรณ์ดังกล่าวนี้เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างง่ายๆ เป็นกล่องพลาสติกเล็กๆ มีเข็มแหลมยื่นออกมาสองแท่ง มีสายไฟต่อออกมาเพื่อนำไปเสียบกับระบบไฟบ้านเพื่อให้อุปกรณ์ในกล่องนั้นทำงานได้  ราคาประมาณ 150 บาท ซึ่งเมื่อนึกย้อนหลังไปแล้วก็พบว่า อุปกรณ์นี้ดูน่าเชื่อถือกว่า เครื่องตรวจหาวัตถุระเบิดมาก เพราะยังใช้ไฟบ้านเป็นแหล่งให้พลังงานไม่ได้ใช้ไฟฟ้าสถิตจากตัวเรา กล่องมหาบำบัดนี้ สามารถลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศได้ นี่คือคำประกาศคุณภาพที่ส่งต่อกันมา เหตุผลในการลดฝุ่นละอองได้ก็เพราะขณะทำงาน กล่องนี้จะปล่อยประจุไฟฟ้าออกมาจากเข็มแหลมดังกล่าวข้างต้นตามหลักทางไฟฟ้าที่ผู้เขียนไม่ใคร่เข้าใจ เพราะไม่ชอบวิชานี้ ผลที่ได้จากการปล่อยประจุออกมาคือ ทำให้บริเวณรอบๆ กล่องมีฝุ่นละอองดำๆ ตกอยู่เต็ม ดูน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดี ความที่เป็นคนมีโอกาสหาความรู้ใหม่ เมื่อมีสิ่งที่ไม่เข้าใจเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ผู้เขียนจึงพบว่า ฝุ่นดำที่ตกรอบกล่องมหาบำบัดนั้นเกิดพร้อมกับการที่มีกระบวนการเปลี่ยนออกซิเจนไปเป็นโอโซน ประเด็นนี้น่าสนใจเพราะตอนเรียนวิชาเคมีระดับมัธยมนั้นทราบว่าโอโซนมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ เพราะสามารถทำอันตรายต่อเซลล์สิ่งมีชีวิต ดังนั้นกล่องมหาบำบัดที่ซื้อมาจึงคงมีประโยชน์ ถ้าเราใช้ขณะที่ไม่มีคนอยู่ เพื่อให้มีการฆ่าเชื้อโรคที่อยู่ในอากาศ ณ บริเวณเปิดเครื่อง แต่สุดท้ายผู้เขียนก็ต้องทำลายกล่องมหาบำบัดทิ้งเมื่อมีผู้รู้เตือนว่า ขณะใช้กล่องนี้จะมีความเสี่ยงกับเรื่องของ ไฟรั่ว ไฟช็อต ได้เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่มีระบบป้องกันอะไรเลย นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดมาเกือบยี่สิบปีมาแล้ว มาวันนี้เหตุการณ์เกี่ยวกับกล่องมหาบำบัดก็ยังมีอยู่ แต่คราวนี้ขึ้นอยู่บนเน็ต ข้อความและข้อมูลนั้นเป็นดังนี้ “เครื่องผลิตโอโซนจิ๋วแต่แจ๋ว” และ “รับมือหวัด 2009 ด้วยเครื่องทำโอโซนราคาประหยัด” จากนั้นก็บรรยายความว่า “วันนี้มีโอกาศนำเครื่องผลิตโอโซนมาเสนอครับ ราคาไม่แพง แต่ได้ประโยชน์มากๆ เพียงติดตั้งเครื่องผลิตโอโซนไว้ในห้องที่คุณนอน หรือ สถานที่ที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ปัญหาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอับชื้น กลิ่นบุหรี่ กลิ่นเหล้า หรือกลิ่นอุจาระ ปัสสาวะ ของลูกๆ หรือของผู้สูงอายุที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้จะหมดไป ด้วยเครื่องผลิตโอโซนขนาดจิ๋วตัวนี้ครับ” นอกจากนี้ก็อธิบายกระบวนการเกิดโอโซน ปฏิกิริยาของโอโซน และอื่นๆ ถูกบ้าง มั่วบ้าง ไปตามภาษาของความรู้ที่มีถูกๆ ผิดของผู้ทำกล่องมหาบำบัดขายในราคาไม่เกินพันบาท ที่น่าประหลาดใจคือ ในปัจจุบันยังมีการพัฒนาอุปกรณ์ผลิตโอโซนอย่างง่ายนั้นไปประยุกต์ใช้ในกิจการอื่นในครัวเรือนเช่น ใช้ล้างผัก ผลไม้ ล้างอาหารสด ขจัดสารพิษ ยาฆ่าแมลง และเชื้อโรค ใช้ประกอบกับ  เครื่องกรองน้ำทำน้ำดื่มในบ้านเรือน ใช้ในกระบวนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เช่น บ่อปลา บ่อเพาะฟักลูกกุ้ง และบ่อเลี้ยงกุ้งกุลาดำ ใช้ดับกลิ่นและฆ่าเชื้อโรคในสถานอาบอบนวด เป็นต้น สำหรับกรณีที่เป็นกล่องมหาบำบัดที่มีกระบวนการที่มีความปลอดภัยทางไฟฟ้ารวมด้วย ราคามักไม่ต่ำกว่าหมื่นบาทขึ้นไป เพราะจะเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงงานที่มีการจดทะเบียน ปรากฏการณ์ขายสินค้าซึ่งขาดการรับรองจากหน่วยราชการนี้ มีตั้งแต่อินเตอร์เน็ตเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทย โดยแทบจะไม่มีการควบคุมใดๆ จากทางราชการ ซึ่งมักอ้างว่าไม่มีกฏหมายเอาผิดในเรื่องนี้ อีกทั้งหน่วยราชการที่มีหน้าที่ปิดเว็บไซต์นั้นมุ่งเน้นแต่เว็บโป๊และเว็บที่หมิ่นเหม่ต่อความรู้สึกของประชาชนเท่านั้น เว็บขายอาหารโง่เง่า ขายยาปลุกกำหนัด ขายยาสลบนั้นส่วนใหญ่ยังอยู่รอดปลอดภัย ส่วนกรณีปรากฏการณ์น้ำหมาบำบัด (สะกดไม่ผิดครับ) นั้น อยากแจ้งแก่ผู้ติดตามข่าวว่า คนผลิตนั้นเป็นแค่ปลายแถว ในข่าวที่มีออกต่อสื่อมวลชนนั้น ผู้ทำการค้าสินค้าดังกล่าวได้เปิดเผยว่าได้สูตรมาจากใคร ซึ่งเป็นตัวแม่ที่เแท้จริง และมีเว็บขายน้ำหมาบำบัดเป็นเรื่องเป็นราว นอกจากตัวแม่ของน้ำหมาบำบัดแล้ว ยังมีตัวพ่ออีกหลายตัวที่ขายสินค้าประเภทนี้ ซึ่งผู้เขียนไม่หาญจะบอกว่าเป็นการหลอกลวงหรือไม่ เพราะหน่วยงานที่ควรรับผิดชอบหลายหน่วยงานยังไม่กล้าจัดการเลย แล้วเราจะไปยุ่งได้อย่างไร ผู้เขียนได้ตั้งคำถามและพยายามหาคำตอบเพื่ออธิบายความผิดปรกติของการขายสินค้าที่พิสูจน์ผลทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้นั้นว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร มีผู้ให้คำตอบว่า มันก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่คนไปกราบไหว้ต้นไม้ หรือสัตว์ประหลาดเพื่อขอหวยนั่นแหละ ในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2553 นี้  ผู้เขียนได้รับเชิญจากหน่วยงานด้านสุขภาพแห่งหนึ่งให้ไปให้ความรู้แก่สมาชิกผู้บริจาคของหน่วยงานนั้นเกี่ยวกับอาหารและสุขภาพ การบรรยายครั้งนี้ผู้เขียนตั้งใจว่า คงไม่จำเป็นต้องให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอาหารห้าหมู่หรืออะไรๆ ที่คนที่ใส่ใจในสุขภาพตนเองมักจะรู้แล้ว แต่ผู้เขียนคิดว่าจะไปให้ความรู้ในสิ่งที่ผู้สนใจสุขภาพหลายท่านอาจละล้าละลังว่า ที่ตนเองเชื่อหรือเคยเชื่อนั้นมีเหตุทางวิทยาศาสตร์หรือไม่ ตัวอย่างที่น่าสนใจว่าควรพูดให้รู้เรื่องคือ น้ำหมักชีวภาพ เช่น น้ำอีเอ็ม ซึ่งเดิมมันก็อยู่ในกระบวยรดน้ำต้นไม้ หรือขวดที่เทลงบำบัดน้ำเน่า แต่ปัจจุบันมันสามารถไปบำบัดความเน่าในตาคนได้ ซึ่งทำให้ผู้เขียนเริ่มสงสัยว่า กรณีผู้ป่วยผ่าตาต้อของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ผ่าจนตาบอดเกือบทุกรายนั้น ผู้ป่วยเหล่านี้เคยใช้น้ำอีเอ็มหยอดตาก่อนไปทำการผ่าตัดหรือไม่ จึงติดเชื้อและตาบอด อีกตัวอย่างที่คนบางคนเชื่อว่า การนอนใต้ใบตองกลางแดดแล้วสุขภาพดีนั้น ผู้เขียนเริ่มสับสนว่า ความรู้ทางวิทยาศาสตร์กายภาพเรื่องของแสงที่เขาสอนกันในระดับมัธยมต่อมหาวิทยาลัยนั้น ไม่ช่วยให้คนไทยเข้าใจประโยชน์ของแสงแดดบ้างหรือ จึงได้ไปนอนอาบแดดภายใต้ใบตอง แล้วหวังลมๆ แล้ง ๆ ว่าสุขภาพจะดี หายจากโรคที่เป็น ที่สำคัญคือ เรื่องราวแปลกๆ นี้ไม่เคยเกิดในสมัยผู้เขียนเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เมื่อเกือบสี่สิบปีที่แล้ว แต่มาเกิดในสมัยปัจจุบันนี้เอง ความรู้แปลกประหลาดที่ประชาชนทั่วไป แม้จะจบการศึกษาขึ้นมหาวิทยาลัยก็ยังหลงเชื่อหรืองุนงงไม่แน่ใจว่าควรเชื่อหรือไม่นั้น ล้วนเป็นประโยชน์ในด้านการค้าแก่ผู้ที่หยิบยกขึ้นมาหากิน ผู้เขียนมีฉงนในตัวเองว่า เรามีความรู้เรื่องน้ำแค่หางอึ่งจริงหรือ จึงไม่เข้าใจว่าน้ำที่ผ่านกระแสแม่เหล็กมันแน่กว่าน้ำในตุ่มดินที่บ้าน ที่เคยเรียนมาก็รู้เพียงว่า โมเลกุลของน้ำนั้นเกาะกันเป็นพวงไปจนมีสภาพเป็นของเหลว และเมื่อได้พลังงานจากความร้อนถึงจุดหนึ่ง มันก็จะหลุดจากกันกลายไปไอน้ำลอยไปในอากาศ และเมื่อลดพลังงานลงก็เกาะกันเป็นพวงตกลงมาเป็นฝน ไอ้ประเภทที่น้ำโมเลกุลมีเล็กกว่า หรือมีพลังแม่เหล็ก หรือแม้กรณีแคลเซียมที่มีโมเลกุลมีใหญ่และเล็กมีประโยชน์กว่านั้น เมื่อพยายามหาตำรามาอ่านก็ไม่พบคุณสมบัติเหมือนที่ระบุไว้ในโฆษณา ยกเว้น ถ้าพูดถึงแคลเซียมที่เป็นนาโนซิ ค่อยพอเคยได้ยิน ดังนั้นผู้ที่บริโภคความรู้ด้านอาหารและสุขภาพพึงตระหนักไว้ในสมองคือ การใช้หลักการกาลามสูตรซึ่งหาอ่านได้ไม่ยากในเว็บด้านพุทธศาสนา เพื่อป้องกันการถูกชักชวนให้  กลายเป็นหนูทดลองในอาหารหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ที่นักวิชาเกินทั้งหลายหามาประเคนท่านผู้เป็นเป้าหมายการเผยแพร่ความรู้ด้วยจุดมุ่งหวังที่เป็นคำตอบสุดท้ายคือ สตางค์ในกระเป๋าผู้บริโภคนั่นเอง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 105 สัพเพเหระเรื่องอาหาร

วันหนึ่งในเดือนตุลาคมปีนี้ ผู้เขียนได้ชมข่าวเช้าทางโทรทัศน์ไทยช่วงราว 7.15 น. เป็นข่าวเกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งดีมาก ๆ เนื่องจากไม่น่าเบื่อเท่าการอ่านข่าวทางหนังสือพิมพ์ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ โดยผู้อ่านไม่ได้เข้าใจธรรมชาติของเนื้อข่าวเท่าที่ควร ในวันนั้นมีข่าวเกี่ยวกับชายผู้หนึ่งที่เป็นโรคเก๊าท์ไปหาแพทย์ ซึ่งแพทย์ผู้ให้การบำบัดนั้นได้อธิบายถึงสาเหตุและวิธีป้องกัน โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารบางประเภทที่เพิ่มความเสี่ยง ตัวอย่างหนึ่งที่อาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด แต่ไม่น่าเป็นห่วงนัก เพราะถึงผิดก็ไม่ก่อปัญหาสักเท่าไรคือ แพทย์ท่านนั้นได้แนะนำว่า ไม่ควรบริโภคอาหารประเภทยอดผักซึ่งมีกรดยูริกสูง (นอกเหนือไปจากเครื่องในของสัตว์) ความถูกคือ ใช่ ไม่ควรบริโภค ความผิดคือ ยอดผักไม่ได้มีกรดยูริกสูง บังเอิญโชคดีของทีวีไทยที่ผู้ประกาศข่าวในวันนั้นแน่มาก ได้แก้ไขความคลาดเคลื่อนว่า ยอดผักมีสารจำพวกพิวรีน (purine) ซึ่งถูกเปลี่ยนไปเป็นกรดยูริกได้ในร่างกายมนุษย์สูง ผู้เขียนขอขยายความเพิ่มว่า ในพืชผักทุกชนิด ขณะกำลังเติบโต ส่วนที่เป็นยอดจะมีการแบ่งเซลล์อย่างรวดเร็ว ดัชนีที่บอกว่าเซลล์กำลังแบ่งอยู่คือ การสร้างโครโมโซมเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในเซลล์แล้วแบ่งจากหนึ่งเซลล์เป็นสองเซลล์เรื่อยๆ ไป ที่สำคัญคือ ระหว่างการสร้างโครโมโซมนั้นจะมีการสร้างสารจำพวก พิวรีน และ พิริมิดีน (pyrimidine) เพื่อนำมาประกอบเป็นดีเอ็นเอของโครโมโซม ดังนั้นถ้าเรากินยอดผักมาก ก็จะได้สารทั้งสองกลุ่มนี้สูง สารกลุ่มพิริมิดีนนั้นร่างกายสามารถเปลี่ยนแปลงและขับออกจากร่างกายได้ เมื่อมีปริมาณเกินความต้องการ ในขณะที่สารกลุ่มพิวรีนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นกรดยูริก ซึ่งร่างกายมนุษย์ขับออกได้ทางไตในระดับหนึ่ง ดังนั้นถ้ามีเหลือมากๆ ในรูปของเกลือยูเรทก็จะไปสะสมที่ข้อต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดความเจ็บปวดเหมือนมีเม็ดทรายเล็กๆ อยู่ นอกจากนี้การมียูริกในเลือดสูงก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะด้วย ด้วยเหตุนี้การดื่มน้ำมากๆ ในแต่ละวัน จึงเป็นข้อดีเพราะเพิ่มการขับยูริกออกมาในปัสสาวะและลดความเข้มข้นของสารนี้ในเลือด พูดถึงเรื่องการดื่มน้ำมาก มีนักวิชาเกินท่านหนึ่งออกมาอวดรู้ทั้งในเน็ตและโทรทัศน์ว่า การดื่มน้ำมากทำให้ไตเป็นอันตรายเพราะต้องทำงานหนักในการขับฉี่ ข้อมูลนี้ทำให้ผู้เขียนเกิดความงงมาก เนื่องจากชายแก่ผู้นี้จบวิชาชีพที่ต้องเรียนวิชาสรีรวิทยามาแน่นอน แต่สามารถพูดข้อมูลที่กลับตาลปัตรไปอย่างนี้ได้ ชายแก่ผู้นี้เป็นคนเดียวกับที่เคยพูดด้วยว่า การดื่มนมวัวมีความเป็นพิษ ทำให้เลือดเป็นกรด เพราะนมนั้นถ้าถูกหมักด้วยเชื้อแบคทีเรียก็จะเกิดกรด ซึ่งเป็นความเข้าใจถูกที่ผิด เพราะในความเป็นจริงแล้ว การหมักนมในภาชนะเกิดกรดได้ แต่ในเลือดมนุษย์นั้นไม่มีแบคทีเรียแน่ๆ (เพราะถ้ามีก็แสดงว่าเกิดการติดเชื้อ) การหมักย่อมไม่เกิดขึ้น ดังนั้นถ้าผู้บริโภคที่ได้ฟังอะไรแปลกๆ ก็ขอให้ฟังหูไว้หู แล้วสอบถามหาความรู้จากผู้ที่ท่านคิดว่าน่าเชื่อถือ ซึ่งมักเป็นคนที่ไม่นิยมฟันธงและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการขายสินค้าหรือบริการ เรื่องเกี่ยวกับการเกิดโรคบางโรคที่เกิดเนื่องจากการดื่มน้ำอีกโรคหนึ่งซึ่งมักมีคนเข้าใจผิด อาจเนื่องจากการได้รับการสอนมาผิด หรือประมวลความรู้ที่ตนมีออกมาเป็นปัญญาผิดคือ เรื่องการที่คนอีสานเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะเนื่องจากดื่มน้ำกระด้าง ขอให้ท่านผู้อ่านลองถามคนข้างเคียงว่า ทราบสาเหตุที่แท้จริงหรือไม่ สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะของคนทางอีสานนั้น เกิดขึ้นเพราะกินอาหารขาดแหล่งของโปรตีนที่ต้องใช้คำว่าแหล่งของโปรตีนก็เพราะ โปรตีนนั้นต้องอยู่ในเซลล์ใหญ่เล็กต่างๆ ดังนั้นเมื่อพูดถึงเซลล์แล้ว นอกจากโปรตีนในเซลล์ องค์ประกอบที่สำคัญมากคือ ดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นแหล่งเก็บข้อมูลทางพันธุกรรมของเรา ดีเอ็นเอนั้นมีองค์ประกอบสำคัญคือ เบส (base) ซึ่งแบ่งเป็น พิวรีน และ พิริมิดีน (ที่กล่าวแล้วในเรื่องการเกิดเก๊าท์ข้างบน) ส่วนที่สองคือ น้ำตาลกลุ่มดีออกซีไรโบส และส่วนที่สามคือ กลุ่มอนุมูลฟอสเฟต ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนยึดหน่วยอื่นไว้ให้เป็นเส้นยาวได้ กลุ่มฟอสเฟตนี้เป็นส่วนสำคัญจากอาหารโปรตีน ที่ช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ความรู้นี้เกิดขึ้นจากการทำวิจัยของ ศ. นพ อารี วัลยะเสวี และ ศ. พญ. คุณสาคร ธนมิตต์ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและอดีตผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ (เจ้านายเก่าของผู้เขียนนั่นเอง) พบว่า ถ้าใครก็ตามกินอาหารขาดโปรตีนก็จะขาดฟอสเฟตไปด้วย และถ้าเขาผู้นั้นกินอาหารพืชผักที่มีสารออกซาเลตสูง เช่น ใบชะพลู หัวกลอย หรือพืชผักอะไรก็ตามที่กินแล้วคันคอได้ ให้สันนิษฐานว่ามีออกซาเลตสูง ออกซาเลตนี้เมื่อดูดซึมเข้าเลือดสามารถไปจับตัวกับธาตุแคลเซียมซึ่งอยู่ในเลือด แล้วไปตกตะกอนที่กระเพาะปัสสาวะกลายเป็นก้อนนิ่วได้ แต่ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดระหว่างออกซาเลตและแคลเซียมนี้มีกลุ่มฟอสเฟตสามารถมาเล่นบทบาท หมูเขาจะหามกลับเอาคานเข้ามาสอด ได้ เพราะกลุ่มฟอสเฟตทำปฏิกิริยาเคมีกับแคลเซียมในระบบเลือดเก่งกว่าออกซาเลตหลายเท่า และเมื่อเกิดเป็นสารแคลเซียมฟอสเฟตแล้ว ออกซาเลตก็ตกตะกอนไม่ได้อาการเกิดเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะจึงลดลง อาจารย์ทั้งสองท่านได้ทดลองให้เด็กชาวอุบลที่มีปัสสาวะขุ่นซึ่งเป็นอาการแสดงออกถึงโอกาสเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะกินกลุ่มฟอสเฟตผสมกับเครื่องดื่มน้ำดำ (ซึ่งก็มีฟอสเฟตเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยแล้ว) ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นเด็กฉี่ใสเลย ผลงานวิจัยนี้ทำให้อาจารย์ทั้งสองท่านได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นจากสภาวิจัยแห่งชาติ ในอินเตอร์เน็ตนั้นมีนักพูดบางคนกล่าวว่า การขาดแคลเซียมทำให้เป็นโรคต่างๆ ได้มากกว่า 200 โรค ตั้งแต่ มะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน ความจำเสื่อม และอาจจะเกือบทุกโรคที่ท่านผู้อ่านนึกได้ เพราะเขาผู้นั้นก็นึกได้เท่ากับท่านผู้อ่านนั่นแหละ เหตุผลที่การขาดแคลเซียมทำให้เกิดโรคต่างๆ เขาผู้นั้นกล่าวว่า เพราะการขาดแคลเซียมทำให้เกิดอาการเลือดเป็นกรด ดังนั้นจึงต้องกินแคลเซียม โดยเฉพาะแคลเซียมที่ได้จากปะการัง หรือ coral calcium มีฤทธิ์เป็นด่างโดยธรรมชาติของมัน จึงสามารถไปจัดการกับการเกิดกรด สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้ไม่ถูกนัก แม้ว่าจริงอยู่ที่การขาดแคลเซียมมีผลต่อความแข็งแรงของกระดูก แต่ปรากฏการณ์กระดูกพรุนไม่ได้ทำให้เกิดอาการเลือดเป็นกรด เหมือนอย่างคนที่ขายแคลเซียมขู่ อาม่า อาอึ้ม ทั้งหลาย เนื่องจากร่างกายมีระบบปรับแต่งความเป็นกรดด่างของเลือดให้อยู่ในช่วงประมาณ 7.4 คือ เป็นกลางๆ เพื่อให้ระบบเอนไซม์ในเลือดทำงานได้ดี โอกาสที่สารละลายในร่างกายถูกปรับความเป็นกรดด่างได้ด้วยการกินอะไรบางอย่างเข้าไปคือ ฉี่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่แพทย์และเภสัชกรใช้ในการขับยาหรือสารพิษบางชนิดออกจากร่างกาย นักพูดบางคนมักกล่าวว่า มีสังคมมนุษย์หลายสังคมในโลกนี้ที่สมาชิกไม่เคยป่วย ไม่เคยเป็นมะเร็ง หรือเป็นโรคอะไรเลย ไม่เป็นแม้เบาหวาน และอายุเฉลี่ยยาวกว่าคนปรกติถึง 30-40 ปี เหตุที่เป็นดังนี้เพราะเขาเหล่านั้นได้รับสารอาหารจำเป็นที่ร่างกายต้องการปริมาณน้อย (micronutrient) สูงกว่าค่ามาตรฐานของ RDA (ตัวเลขที่นักวิชาการแนะนำให้ประชาชนกินเพื่อให้มีสุขภาพดี) ถึง 100 เท่า ประโยคดังกล่าวนั้น ขี้หกทั้งเพ เพราะไม่มีสังคมมนุษย์สังคมใดที่มันจะแข็งแรงกันไปหมด จนไม่ป่วย การกินสารอาหารพวก ไวตามิน เกลือแร่ และสารพฤกษเคมีเข้าไปเป็น 100 เท่าของที่ควรนั้น คนธรรมดาคงทำยาก เช่น กรณีของเหล็ก ถ้ากินมากถึงระดับ 100 เท่าของที่แนะนำกันตามปรกติ อาจถึงตายได้ทีเดียว (ยกเว้นคนบางประเภทเท่านั้นที่กินเหล็กได้ในปริมาณสูง แล้วยังมีความสุขได้นะครับท่านประธานที่เคารพ) เราอาจเคยได้ยินนักวิชาเกินบางท่านกล่าวว่า ร่างกายมนุษย์นั้นมหัศจรรย์สามารถบำบัดโรคต่างๆ ได้เอง ถ้าได้รับสารอาหารจำเป็นที่ร่างกายตัองการครบ ดังนั้นกว่าร้อยละเก้าสิบของโรคที่ประชาชนเป็นกันนั้นสามารถกำจัดได้ถ้าเขาเหล่านั้นได้รับสารอาหารที่เหมาะสม ความเข้าใจนี้อาจทำให้เกิดความเสี่ยงได้ แม้จะมีส่วนของความเป็นจริงอยู่บ้าง แต่ส่วนที่ไม่เป็นจริงนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงเช่น กรณีของอาการความดันโลหิตสูงที่มักเกิดเมื่ออายุมากขึ้น ถ้าปล่อยให้ร่างกายรักษาตนเองโดยพยายามหาอาหารหรือสมุนไพรกินเองโดยไม่ไปพบแพทย์ ทั้งแผนปัจจุบันหรือไม่ปัจจุบันก็ตาม อาจทำให้เวลาที่อยู่ในโลกนี้ของผู้มีอาการความดันผิดปรกติน้อยลงได้ ยังมีเรื่องตลกที่ขำไม่ออกเกี่ยวกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์สุขภาพอีกมากมายเกิดขึ้นในอินเตอร์เน็ตและรายการโทรทัศน์ แม้กระทั่งในภาพยนตร์ไทยบางเรื่องที่พยายามสร้างให้น่าสนใจเกี่ยวกับความรักของคนกับมนุษย์นาคา ซึ่งพอเริ่มเรื่องก็พลาดอย่างน่าเสียดายเช่น การที่คนสมัยมนุษย์ถ้ำทำนายว่า เมื่อถึงเวลาที่ดาวนพเคราะห์ทั้งเก้ามาเรียงตัวกันบนฟากฟ้า ก็ให้มนุษย์นาคาสองคนมารวมกันทิ้งร่างมนุษย์กลับเป็นเผ่าพันธุ์เดิม ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้น คนไทยเพิ่งรู้ว่าระบบสุริยะจักรวาลมีดาวเก้าดวงเมื่อสักร้อยปีมานี่เองกระมัง และที่สำคัญตอนนี้ได้มีคนกลุ่มหนึ่งได้ปลดดาวดวงหนึ่งออกไปด้วย เลยทำให้ระบบสุริยะจักรวาลมีดาวแค่ 8 ดวง เรื่องแบบนี้ผู้เขียนจะหาโอกาสนำมาเล่าเพื่อความครื้นเครงต่อไป

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point