ฉบับที่ 175 กระแสในประเทศ

สรุปความเคลื่อนไหวเดือนกันยายน 2558“Eco Sticker” คู่มือคนซื้อรถยนต์ตั้งแต่ 1 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป รถยนต์ที่ผลิตขึ้นใหม่ทุกคันทั้งนำเข้าและผลิตเองในประเทศจะต้องติด “Eco Sticker” หรือป้ายแสดงข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล เพื่อให้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจก่อนซื้อรถยนต์ ข้อมูลที่แสดงอยู่บน Eco Sticker  จะบอกข้อมูลอัตราการใช้น้ำมันว่า มีปริมาณมากน้อยเพียงใด เรื่องของความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การสร้างมลพิษ และมาตรฐานเรื่องความปลอดภัยโดยเฉพาะเรื่องมาตรฐานการเบรก ซึ่งอิงกับเกณฑ์ระดับสากล Eco Sticker จะควบคุมดูแลโดยกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงการคลัง เชื่อว่าการออกข้อกำหนดให้รถยนต์รุนใหม่ๆ ที่จะวางจำหน่ายในประเทศทุกคันต้องติดป้าย Eco Sticker จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้บริโภคในการมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไว้สำหรับเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์สักคัน ส่วนทางฝั่งผู้ผลิตรถยนต์ก็จะพัฒนารถของตัวเองให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ผลิตรถยนต์ที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะต่อไปเชื่อว่านอกจากเรื่องสมรรถนะและความปลอดภัยแล้ว เรื่องของการประหยัดพลังงานและไม่ทำลายสภาพแวดล้อมจะเป็นอีกองค์ประกอบสำคัญที่ผู้บริโภคใช้เป็นข้อมูลก่อนตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์สักคัน “คีนัว” - “เมล็ดเชีย” คุณค่าทางอาหารเท่าธัญพืชไทยเพราะเดี๋ยวนี้คนไทยเรารักสุขภาพกันมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินที่หลายๆ คนให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เรียกว่ามีอะไรใหม่ๆ มาที่เขาว่ากินแล้วดีต่อสุขภาพเป็นต้องหามาลองเพราะอยากจะมีสุขภาพดีอย่างที่เขาโฆษณาล่าสุดก็เกิดกระแสการบริโภค “คีนัว” และ “เมล็ดเชีย” ธัญพืชที่ว่ากันว่านำเข้ามากจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นประเทศแถบอเมริกาใต้ ซึ่งมีคุณค่าทางอาหารหลายอย่าง ทั้ง โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ แม้จะฟังดูคุณค่าทางอาหารสูง แต่ว่าราคาที่ขายก็สูงด้วยเช่นกัน ซึ่ง ผศ.อาณดี นิติธรรมยง อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ออกมาเตือนคนไทยว่าอย่าตื่นตัวกับ ข้าวคีนัว และ เมล็ดเชีย มากกันจนเกินไป เพราะจริงๆ แล้วธัญพืชของไทยเราก็มีคุณค่าทางอาหารไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็น ลูกเดือย ถั่วแดง งา ข้าวไรซ์เบอรี่ ฯลฯ เพียงแต่หลายคนมองข้ามเพราะอาจจะมองว่าเป็นของที่อยู่ใกล้ตัวหาทานได้ทั่วไป ที่สำคัญคือราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับข้าวคีนัว และ เมล็ดเชีย ใครที่พอมีทุนทรัพย์อยากจะหามารับประทานก็ตามความสะดวก แต่ยังไงการทานอาหารให้ได้ประโยชน์สูงสุดก็คือการรับประทานอาหารให้หลากหลายครบทั้ง 5 หมู่ ลาขาด SMS กวนใจหลังจากที่ปล่อยให้บรรดา SMS ขายของ ชิงโชค ดูดวง เป็นปัญหากวนใจคนใช้โทรศัพท์มือถือมานานแสนนาน ในที่สุด กสทช. ก็ได้ฤกษ์ออกประกาศห้ามผู้บริการสัญญาณโทรศัพท์มือถือทุกค่ายส่งข้อความโฆษณาที่สร้างความรำคาญหรือทำให้ต้องเสียค่าบริการเพิ่มกับผู้ใช้มือถือ นอกจากที่เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้บริการโดยข้อห้ามดังกล่าวถูกกำหนดไว้ในประกาศของ กสทช. เรื่อง “การกระทำที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม โดยอาศัยการใช้เครือข่ายหรือการโฆษณาอันมีลักษณะเป็นการค้ากำไรเกินควรหรือก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ พ.ศ. 2558” ซึ่งในประกาศฉบับนี้ยังมีข้อกำหนดอื่นๆ ที่ห้ามไม่ให้ค่ายผู้ให้บริการมือถือเอาเปรียบผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น ห้ามโฆษณาเกินจริง ห้ามกำหนดเงื่อนไขในการคิดค่าบริการที่ไม่เป็นธรรม จำกัดโอกาสการเลือกใช้บริการ ฯลฯ ซึ่งหากค่ายผู้บริการมือถือไม่ทำตามประกาศฉบับนี้จะมีโทษปรับทางปกครองสูงสุดถึง 5 ล้านบาท แล้วถ้ายังไม่ทำการแก้ไขก็จะมีโทษปรับอีกสูงสุดวันละ 1 แสนบาทโทลล์เวย์ต้องลดราคา หลังศาลบอกสัญญาไม่เป็นธรรมศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้มติที่ประชุมของคณะรัฐมนตรีปี 2549 และ 2550 ที่เห็นชอบให้แก้ไขสัญญาสัมปทานทางหลวง อนุญาตให้ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด เก็บค่าผ่านทางเพิ่มพร้อมทั้งขยายอายุสัมปทานเพิ่มอีก 27 ปี เป็นมติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นธรรมและเอาเปรียบผู้บริโภค สร้างภาระให้กับประชาชน เพราะในสัญญาเอื้อให้ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด สามารถกำหนดราคาล่วง หน้า และขึ้นราคาได้โดยไม่ต้องขออนุญาต จากมติดังกล่าวของศาลปกครองกลาง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาล ดำเนินการออกคำสั่งบังคับให้ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด กลับไปใช้อัตราค่าผ่านทางเดิมก่อนแก้ไขสัญญา ที่ปรับเพิ่มขึ้นมา 5 – 15 บาท และให้เรียกเงินคืนเงินจากบริษัทที่สร้างภาระเกินสมควรกับผู้บริโภคจากการเรียกเก็บค่าผ่านทางเพิ่มจากมติที่ไม่ชอบดังกล่าวจำนวน  4 พันล้านบาท พร้อมขอให้รัฐบาลอย่าอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองกลาง เพราะศาลได้พิจารณาแล้วว่าการทำสัญญาระหว่างภาครัฐกับเอกชนครั้งนี้ เป็นสัญญาที่ทำให้ประเทศชาติเสียผลประโยชน์และสร้างภาระอย่างมากให้กับประชาชนสั่งถอดโฆษณา “ประกันสุขภาพสูงวัย” ทำผู้บริโภคเข้าใจผิดศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ให้ข้อมูลกับสื่อมวลชน ถึงความไม่ตรงไปตรงมาของการประกันสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งมีการโฆษณาเชิญชวนให้ซื้อประกันผ่านสื่อต่างๆ โดยเฉพาะทางทีวีเป็นจำนวนมาก ในโฆษณาจะให้ข้อมูลแค่ว่าสมัครได้โดยไม่ต้องตรวจสุขภาพ จ่ายเบี้ยประกันเฉลี่ยวันละไม่กี่บาท ได้ผลตอบแทนจากวงเงินประกันสูง แต่กลับพบปัญหาเมื่อไม่สามารถเรียกร้องค่าชดเชยจากการรักษาพยาบาล เนื่องจากบริษัทประกันอ้างว่า ผู้เอาประกันเป็นโรคร้ายแรงมาก่อนจะสมัครซื้อประกัน แถมยังมีการยกเลิกสัญญาประกันตามมาด้วย เพราะบริษัทประกันอ้างว่าผู้ซื้อประกันปกปิดข้อมูล ซึ่งถือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างชัดเจน หลังจากที่เรื่องดังกล่าวถูกเผยแพร่ไปยังสื่อต่างๆ ทำให้ผู้บริโภคตื่นตัวกับปัญหานี้เป็นอย่างมาก ทำให้สมาคมประกันชีวิตไทย ต้องออกมาประกาศให้บริษัทประกันชีวิตทุกบริษัทถอดโฆษณาขายประกันสำหรับผู้สูงอายุออกทั้งหมด แล้วให้ไปทำการปรับปรุงและเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงข้อความในโฆษณาให้มีความชัดเจน โดยต้องมีการแจ้งให้ผู้จะซื้อประกันทราบด้วยว่า ถ้าเกิดกรณีผู้ประกันเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยภายใน 2 ปีแรก บริษัทจะคืนเบี้ยประกันภัยพร้อมเงินเพิ่ม 2-5 เปอร์เซ็นต์ให้กับผู้เอาประกัน แต่ถ้าผ่านพ้นไปหลัง 2 ปีแล้วจะได้รับเงินคืนทั้งหมดตามทุนประกันที่ทำไว้กับบริษัทประกันชีวิต และต้องแจ้งเงื่อนไขในการทำประกันที่ว่าไม่ต้องตรวจสุขภาพนั้นมีเงื่อนไขอื่นแฝงอยู่หรือไม่ เช่นไม่จ่ายชดเชยกับโรคร้ายแรงบางโรคหรือมีเงื่อนไขในการจ่าย เพื่อไม่ให้เป็นปัญหากับผู้บริโภคในภายหลัง  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 163 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนกันยายน 2557 บังคับใช้ “ค่าแท็กซี่มิเตอร์” 3 จังหวัดใหญ่ ภูเก็ตเรียกในสนามบินเพิ่ม 100 บ. กระทรวงคมนาคมประกาศอัตราแท็กซี่มิเตอร์ 3 จังหวัดใหญ่ เชียงใหม่-ขอนแก่น-ภูเก็ต 2 จังหวัดแรกเริ่มต้นที่ 2 กม.แรก 40 บาท ส่วนภูเก็ตเรียกในสนามบินบวกเพิ่ม 100 บาท เริ่ม 17 ก.ย. 57 จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดภูเก็ต อัตราค่าจ้างบรรทุกคนโดยสาร ระยะทาง 2 กิโลเมตรแรก 40 บาทระยะทางกิโลเมตรที่ 2 ขึ้นไปถึงกิโลเมตรที่ 10 กิโลเมตรละ 6 บาท ระยะทางกิโลเมตรที่ 10 ขึ้นไป กิโลเมตรละ 10 บาท กรณีรถไม่สามารถเคลื่อนที่หรือเดินรถต่อ ไปได้เกินกว่า 6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตรานาทีละ 1 บาท ค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นจากค่าจ้างบรรทุกคนโดยสาร ให้กำหนด ดังนี้ (1) กรณีการจ้างผ่านศูนย์บริการสื่อสารเรียกรถยนต์รับจ้าง ให้เรียกเก็บค่าจ้างบรรทุกคนโดยสารเพิ่มขึ้นจากที่แสดงไว้ในมาตรค่าโดยสารอีก 20 บาท (2) กรณีการจ้างจากภายในท่าอากาศยานเชียงใหม่ ณ จุดที่ได้จัดไว้เป็นการเฉพาะให้เรียกเก็บค่าจ้างบรรทุกคนโดยสารเพิ่มขึ้นจากที่แสดงไว้ในมาตรค่าโดยสารอีก 50 บาท อัตราค่าจ้างบรรทุกคนโดยสาร ระยะทาง 2 กิโลเมตรแรก 40 บาท ระยะทางกิโลเมตรที่ 2 ขึ้นไปถึงกิโลเมตรที่ 10 กิโลเมตรละ 6 บาท ระยะทางกิโลเมตรที่ 10 ขึ้นไป กิโลเมตรละ 10 บาท กรณีรถไม่สามารถเคลื่อนที่หรือเดินรถต่อ ไปได้เกินกว่า 6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตรานาทีละ 1 บาทค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นจากค่าจ้างบรรทุกคนโดยสาร ในกรณีการจ้างผ่านศูนย์บริการสื่อสาร เรียกรถยนต์รับจ้าง ให้เรียกเก็บค่าจ้างบรรทุกคนโดยสารเพิ่มขึ้นจากที่แสดงไว้ในมาตรค่าโดยสารอีก 20 บาท อัตราค่าจ้างบรรทุกคนโดยสารระยะทาง 2 กิโลเมตรแรก 50 บาท ระยะทางกิโลเมตรที่ 2 ขึ้นไปถึงกิโลเมตรที่ 15 กิโลเมตรละ 12 บาท ระยะทางกิโลเมตรที่ 15 ขึ้นไป กิโลเมตรละ 10 บาท กรณีรถไม่สามารถเคลื่อนที่หรือเดินรถต่อไปได้เกินกว่า 6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตรานาทีละ 1 บาท ค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นจากค่าจ้างบรรทุกคนโดยสารให้กำหนด ดังนี้ (1) กรณีการจ้างผ่านศูนย์บริการสื่อสารเรียกรถยนต์รับจ้าง ให้เรียกเก็บค่าจ้างบรรทุกคนโดยสารเพิ่มขึ้นจากที่แสดงไว้ในมาตรค่าโดยสาร อีก 50 บาท (2) กรณีการจ้างจากภายในท่าอากาศยานภูเก็ต ณ จุดที่ได้จัดไว้เป็นการเฉพาะให้เรียกเก็บค่าจ้างบรรทุกคนโดยสารเพิ่มขึ้นจาก ที่แสดงไว้ในมาตรค่าโดยสารอีก 100 บาท ที่มา  http://www.ratchakitcha.soc.go.th   "เครดิตบูโร" เตือน! อย่าหลงเชื่อ เรื่องลบข้อมูลแบล็กลิสต์ได้ นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผยว่า จากข่าวที่มีการจับกุมผู้โฆษณาชวนเชื่อประกาศทางอินเทอร์เน็ตว่าสามารถรับทำบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคล บ้าน รถยนต์ ให้กับผู้ที่ถูกขึ้นบัญชีดำติดแบล็กลิสต์หรือปลดล็อกหนี้จากเครดิตบูโรนั้น เครดิตบูโรอยากจะสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจว่า ข้อมูลในฐานข้อมูลมิใช่ข้อมูลแบล็กลิสต์ หรือเป็นข้อมูลที่แสดงความไม่น่าเชื่อถือของบุคคลใดบุคคลหนึ่งแต่อย่างใด สิ่งที่จัดเก็บตามที่กฎหมายกำหนด คือประวัติการก่อหนี้และประวัติการชำระหนี้ของบัญชีสินเชื่อที่บุคคลนั้นมีอยู่กับสมาชิกของเครดิตบูโร โดยปัจจุบันเครดิตบูโรมีสมาชิกทั้งสิ้น 80 สมาชิก ทั้งนี้ข้อมูลของการก่อหนี้ประเภทต่างๆ รวมทั้งประวัติการชำระเงินที่ไม่มีค้างชำระหรือประวัติการค้างชำระ ถ้ามีตามที่เกิดขึ้นจริงจะมีการจัดเก็บตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เครดิตบูโรไม่สามารถเปลี่ยนแปลง ลบทิ้งให้ต่างไปจากความเป็นจริงได้ และไม่มีใครไปปลดล็อกอะไรได้ตามที่มีการโฆษณาหลอกลวง อีกทั้งเครดิตบูโรไม่มีการจัดเก็บข้อมูลการชำระ หรือค้างชำระเกี่ยวกับสาธารณูปโภคทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น เบอร์โทรศัพท์ รายการบัญชีเงินฝาก ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า หรือข้อมูลทรัพย์สิน เงินฝากแต่อย่างใด เพราะกฎหมายไม่อนุญาตให้ดำเนินการจัดเก็บ หากใครฝ่าฝืนจะมีโทษในทางอาญา “การจะแก้ไขข้อมูลในเครดิตบูโรสามารถทำได้ในกรณีที่ข้อมูลนั้นไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงเท่านั้น โดยต้องมีหลักฐานชัดเจนที่พิสูจน์ได้ว่าข้อมูลไม่ถูกต้องเช่น เจ้าหนี้-ลูกหนี้ยืนยันว่าไม่ถูกต้อง ศาลมีคำพิพากษา ฯลฯ จึงขอให้ประชาชนระมัดระวัง และอย่าหลงเชื่อโดยเด็ดขาด การทำธุรกรรมทางการเงินหรือการขอสินเชื่อนั้น ควรติดต่อสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตโดยตรงจะปลอดภัยที่สุด” นายสุรพล กล่าว   ห้ามช่อง 3 ออริจินอล ออนเเอร์ผ่านโครงข่ายเคเบิล ดาวเทียม ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์(กสท.) มีมติเมื่อวันที่ 1 ก.ย.ให้สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ในระบบอนาล็อกของบริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด สิ้นสุดสถานะการเป็นฟรีทีวี ตามประกาศหลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป (Must Carry) โดยไม่ขยายเวลาให้อีก จากที่ก่อนหน้านี้เคยขยายเวลาการเป็นฟรีทีวีให้ช่อง 3 อนาล็อกมาแล้วเป็นเวลา 100 วัน นับแต่วันที่ 26 พ.ค. โดยครบกำหนดเมื่อวันที่ 1 ก.ย. ซึ่งส่งผลให้ช่อง 3 อนาล็อก จะไม่สามารถออกอากาศในโครงข่ายทีวีดาวเทียมและเคเบิลได้อีกต่อไป แต่การรับชมผ่านเสาอากาศหนวดกุ้งและก้างปลายังเป็นไปตามปกติ จากกรณีดังกล่าว ทางช่อง 3 ได้ยื่นฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนมติของ กสท. พร้อมขอให้ศาลทุเลาการบังคับใช้มติของ กสท.ดังกล่าว เพื่อให้ช่อง 3 ยังคงออกอากาศผ่านเคเบิลและทีวีดาวเทียมได้ต่อไป จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา แต่ศาลยกคำร้อง ช่อง 3 จึงได้อ้างประกาศ คสช.ฉบับที่ 27 ว่า คุ้มครองให้โทรทัศน์ทุกช่องออกอากาศได้ทุกช่องทาง ทั้งภาคพื้นดิน ดาวเทียมและเคเบิล แต่ทาง คสช. ยืนยันว่า ไม่มีประกาศฉบับใดของ คสช.ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องระบบอนาล็อกหรือทีวีดิจิตอล ช่อง 3 จึงหันมาอ้างจำนวนคนดูช่อง 3 ผ่านระบบเคเบิลและดาวเทียมว่ามีมากถึง 70% ดังนั้นช่อง 3 จึงไม่ควรจอดำจากเคเบิลและดาวเทียม ซึ่งการอ้างดังกล่าวส่งผลให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ช่อง 3 กำลังจับคนดูเป็นตัวประกัน หลังจากนั้น ได้มีการประชุม กสท.เมื่อ วันที่ 5 ก.ย. แต่ไม่ครบองค์ประชุม ทำให้การประชุมล่ม และนัดประชุมใหม่ในวันที่ 8 ก.ย. อย่างไรก็ตาม กสท. 3 คน ที่เข้าประชุมในวันที่ 5 ก.ย. ประกอบด้วย น.ส. สุภิญญา กลางณรงค์ ,พล.ท. พีระพงษ์ มานะกิจ และ ผศ. ดร. ธวัชชัย จิตภาษ์นันท์ ได้เปิดแถลงจุดยืนส่วนตัวต่อปัญหาช่อง 3 ว่า กสท.ต้องปฏิบัติตามมติเมื่อ วันที่ 1 ก.ย.ด้วยการออกคำสั่งทางปกครองแจ้งให้โครงข่ายเคเบิลและดาวเทียมห้ามออก อากาศช่อง 3 อนาล็อก เนื่องจากไม่มีสถานะเป็นฟรีทีวีแล้ว และให้เคเบิลและดาวเทียมแจ้งผู้ชมทราบเป็นเวลา 15 วันว่าจะไม่สามารถรับชมช่อง 3 อนาล็อกได้อีก หลังการแถลงดังกล่าว ปรากฏว่า ช่อง 3 ไม่พอใจ จึงได้ส่งทนายไปฟ้องต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 8 ก.ย.กล่าวหาว่า กสท. ทั้งสามคนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดย น.ส. สุภิญญาถูกกล่าวหามากสุด 3 ข้อหา คือ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หมิ่นประมาท และฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งศาลได้นัดฟังคำสั่งว่าจะรับไว้ไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่ ในวันที่ 18 ก.ย. 57 ด้าน น.ส.สุภิญญา กล่าวถึงกรณีที่ถูกช่อง 3 ฟ้องว่า อาจพิจารณา ฟ้องกลับ เนื่องจากเห็นว่าช่อง 3 มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เพราะส่งทนายไปฟ้องก่อนที่จะมีการประชุมบอร์ด กสท. จึงเห็นว่าการกระทำของช่อง 3 อาจเข้าข่ายขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐได้ ภาคประชาสังคมจี้รัฐบาลบรรจุระบบประกันสุขภาพมาตรฐานเดียวในรัฐธรรมนูญ 7 กันยายน 2557 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ร่วมกับกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ จัดเสวนา ‘ระบบหลักประกันสุขภาพยุค คสช. ปฏิรูปอย่างไรเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ’ ณ มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม กรุงเทพฯ น.ส.สุภัทรา นาคะผิว ผู้แทนกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กล่าวว่า จากกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พูดผ่านรายการคืนความสุขให้คนในชาติเกี่ยวกับประเด็นหลักประกันสุขภาพอยาก ให้มีการใช้จ่ายเฉพาะคนยากจน นั่นแสดงถึงความไม่เข้าใจในเรื่องดังกล่าวอย่างเพียงพอ ท่านยังมองครอบคลุมเฉพาะกรณีสงเคราะห์ผู้ยากไร้เท่านั้น ทั้งที่ความจริงสิ่งเหล่านี้คือสิทธิของประชาชนทุกคน จึงทำให้เราต้องลุกขึ้นมาเฝ้าจับตา เพราะหวั่นว่าจะมีบุคคลบางกลุ่มพยายามล้มหลักการสำคัญนี้ “เราอยากเห็นระบบหลักประกันสุขภาพมี มาตรฐานเดียว แต่จะรวมกองทุนต่าง ๆ หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ อย่างไรก็ตาม หากรวมเป็นกองทุนเดียวกันได้ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ” ผู้แทนกลุ่มคนรักหลักประกันฯ กล่าว และว่าในฐานะที่ถูกเสนอชื่อเข้าเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) จะทำทุกช่องทางให้เกิดขึ้น เพราะเราอยากเห็นทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินไทย ไม่เว้นแม้กระทั่งแรงงานข้ามชาติ ได้รับการดูแล น.ส.สุภัทรา กล่าวต่อว่า แนวทางการปฏิรูปจึงควรบรรจุหลักการให้ระบบหลักประกันสุขภาพมีมาตรฐานเดียว ไว้ในรัฐธรรมนูญ สร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และจัดการกับนโยบายที่อาจเป็นอุปสรรคในการขับเคลื่อนรอบด้าน ด้าน นพ.วชิระ บถพิบูลย์ ผู้แทนชมรมแพทย์ชนบท ระบุถึงความเป็นห่วงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมช.สธ.) ที่เข้ามาบริหารงานด้วยระยะเวลาเพียง 1 ปี ต้องพบกับข้อจำกัดบางประการ กล่าวคือ ระบบหลักประกันสุขภาพยังมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ ทำให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ต้องเตรียมทางออกไว้ โดยการปรับลดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการงบประมาณ ส่วนหน่วยบริการต้องปรับเพิ่มประสิทธิภาพการบริการมากขึ้น ขณะที่ความขัดแย้งระหว่าง สธ.กับ สปสช. นั้น เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่ากังวล เนื่องจาก สธ.ยังมีแผนเดินหน้าดำเนินการรวบอำนาจกลับคืน ยกตัวอย่าง การจัดตั้งเขตบริการสุขภาพ แต่ความจริงแล้วอยากให้หันกลับมาทบทวนภารกิจเดิมของตัวเองมีความเหมาะสมหรือ ไม่ เพราะปัจจุบัน สธ.มีงบประมาณอยู่ในหน่วยงานต่าง ๆ แต่กลับไม่ได้รับการบริหารจัดการอย่างเหมาะสม เช่น กรมสุขภาพจิตไม่นำผู้ป่วยทางจิตมารับการบำบัดอย่างเต็มที่ กรมควบคุมโรคยังไม่มีวิธีควบคุมโรคท้องถิ่นที่ดีพอ อาทิ โรคไข้เลือดออก โรคฉี่หนู โรคอุจจาระร่วง ขณะที่ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวถึงข้อเสนอให้มีการปฏิรูประบบบริการฉุกเฉิน ซึ่งที่ผ่านมามีการดำเนินโยบายที่ดี แต่เกิดปัญหาในเชิงบริการจัดการมาก จึงเรียกร้องให้ สธ.ออกประกาศบังคับให้โรงพยาบาลเอกชนยอมรับอัตราร่วมจ่ายกรณีฉุกเฉิน และต้องมีระบบสำรองเตียงนอนขั้นต่ำ 10% ให้กับผู้ป่วยทุกคนและเพิ่มตามสัดส่วนกำไรของโรงพยาบาล “เราได้รับจดหมายจากสภาผู้แทนราษฎรแจ้งกรณีประชาชนขอเข้าชื่อ 1 หมื่นชื่อ เพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้ได้รับความเสียหายด้านการบริการสาธารณสุขไม่สามารถดำเนินการได้ แล้ว เนื่องจากรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ถูกยกเลิก และยังไม่ได้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงขอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และคสช.นำเรื่องนี้ขึ้นมาวินิจฉัยด้วย โดยทำอย่างไรให้เกิดกลไกการมีส่วนร่วม”

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 161 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนกรกฎาคม 2557 เด็กไทย...เหยื่อโฆษณาอาหาร มีเดียมอนิเตอร์ร่วมกับแผนงานวิจัยนโยบายอาหารและโภชนาการเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ ได้ศึกษาการโฆษณาอาหารและเครื่องดื่มในรายการสำหรับเด็ก ทางฟรีทีวี 4 ช่อง ได้แก่ ช่อง 3 5 7 และ 9 ช่วงปิดเทอมใหญ่ ระหว่างวันที่ 24 มี.ค. ถึง 4 เม.ย. 2557 พบว่า ร้อยละ 94 ของอาหารและเครื่องดื่มที่โฆษณาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการไม่เหมาะสม ส่วนใหญ่เป็นเครื่องดื่ม นม และขนมขบเคี้ยว ซึ่งโฆษณาที่เป็นปัญหามักใช้กลยุทธ์ต่างๆ ดึงดูดความสนใจของเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้พรีเซนเตอร์ที่เป็นดาราดัง ใช้การ์ตูน ทำให้อาหารมีขนาดใหญ่เกินความเป็นจริง กระตุ้นให้กินเกินความจำเป็น บ้างก็อ้างถึงขนาดว่ากินแทนอาหารมื้อหลักได้ ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ผู้อำนวยการโครงการมีเดียมอนิเตอร์ กล่าวว่า ปัจจุบันกฎหมายควบคุมการโฆษณาไม่ครอบคลุมการโฆษณาที่มีรูปแบบและเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก อย., กสทช. และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ควรเร่งออกข้อกำหนดในการควบคุมโฆษณาอาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการไม่เหมาะสม เพราะขณะนี้พบว่ามีเด็กไทยจำนวนไม่น้อยที่มีภาวะโภชนาการไม่เหมาะสมกับวัย เกิดภาวะอ้วน ขาดสารอาหาร และรุนแรงถึงขั้นเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังอย่าง เบาหวาน หัวใจ ไต ความดัน   ใช้ “ทิชชู” ซับน้ำมัน เสี่ยงอันตราย!!! จริงหรือ ใครที่ชอบใช้กระดาษทิชชูซับน้ำมันจากอาหาร ต้องระวังให้ดี เพราะกรมอนามัยได้ออกมาเตือนว่า ในกระดาษทิชชูมีสารโซเดียมไฮดรอกไซด์ซึ่งทำปฏิกิริยากับโปรตีนและไขมัน ทำให้มีฤทธิ์กัดกร่อน หากหายใจเข้าไปจะทำให้ระคายเคืองทางเดินหายใจ หากสัมผัสถูกผิวหนังจะระคายเคืองรุนแรง นอกจากนี้ยังมีสารก่อมะเร็ง หากกินเข้าไปก็อาจเป็นอันตรายกับกระเพาะอาหาร กระบวนการผลิตกระดาษทิชชู นิยมใช้กระดาษมาหมุนเวียนใหม่เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น นำกระดาษ A4 ที่ใช้แล้วมาผลิตกระดาษทิชชู ซึ่งการตีวัตถุดิบให้เป็นเนื้อเยื่อต้องใช้สารโซเดียมไฮดรอกไซด์ หรือ โซดาไฟ และเพื่อความขาวน่าใช้ จึงมีการใช้สารคลอรีนฟอกขาว ซึ่งมีสารไดออกซินเป็นส่วนประกอบ การใช้ทิชชูซับน้ำมันจากอาหาร กระดาษจะสัมผัสกับอาหารโดยตรง จึงควรเลือกใช้กระดาษที่ผลิตมาเพื่อใช้กับอาหารโดยเฉพาะ และต้องผ่านการรับรองตามมาตรฐานระดับสากล เช่น HACCP ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตที่มีมาตรการป้องกันอันตรายที่ผู้บริโภคอาจได้รับจากการบริโภคอาหาร แต่หลังจากที่มีข่าวดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ก็ได้มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่ง ได้ออกมาโต้แย้งในข้อมูลดังกล่าว ว่า กระดาษ อนามัยหรือกระดาษทิชชูนั้น ไม่ได้มีความน่ากลัวตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด และแทบจะไม่มีโซดาไฟ และสารไดออกซินอยู่เลย ดร.ภูวดี ตู้จินดา อธิบายผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว ว่า สารพิษที่เป็นข่าวอยู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นไดออกซินหรือโซเดียมไฮดร็อกไซด์ ไม่ได้เกิดขึ้น ใน "กระบวนการผลิตกระดาษ" แต่ถูกใช้ใน "กระบวนการฟอกเยื่อ" ดังนั้นการจะมีโซดาไฟปริมาณมากพอ ที่ก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพปนเปื้อนอยู่ในเยื่อกระดาษธรรมดาๆ นั้นว่าน้อยแล้ว สำหรับกระดาษทิชชูนั้นยิ่งน้อยกว่า อีกทั้งโรงงานฟอกเยื่อเกือบทั้งหมดในประเทศไทยใช้สาร "คลอรีนไดออกไซด์" ซึ่งอาจทำให้เกิดสารพิษที่เรียกสั้นๆ ว่า AOX แต่ไม่เกิด "ไดออกซิน" เมื่อ "เยื่อกระดาษ" ไม่มีโซดาไฟ และ(แทบ)ไม่มีไดออกซิน กระดาษทิชชูจึงแทบไม่มีไดออกซินด้วย   ปรากฏการณ์ “คุกกี้ รัน” ดูดเงินแสน ถือเป็นเรื่องระดับ Talk of the Town เมื่อจู่ๆ มีผู้บริโภคนับ 10 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กๆ และผู้ปกครอง พร้อมใจกันออกมาโวยว่าตัวเองถูกเรียกเก็บค่าบริการโทรศัพท์แพงจนน่าตกใจ บางรายถูกเรียกเก็บหลักแสนบาท ซึ่งเมื่อตรวจสอบดูก็พบว่าเป็นผลมาจากการเล่นเกมชื่อดังบนมือถือ อย่าง “คุกกี้ รัน” ซึ่งเงินจำนวนมหาศาลที่ถูกเรียกเก็บเกิดจากการซื้อของต่างๆ ที่อยู่ในเกม เด็กที่เล่นเกมไม่รู้ว่าเมื่อกดซื้อแล้วจะต้องเสียเงิน ทำให้ถูกเรียกเก็นเงินเป็นจำนวนมากรวมไปกับค่าบริการปกติ การแก้ปัญหา ทาง สคบ.ได้เชิญผู้เสียหายมาเจรจากับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ เพื่อร่วมกันเพื่อหาทางออก แม้เบื้องต้นทางผู้ให้บริการจะยอมยกเลิกการเรียกเก็บเงิน เพราะเห็นว่าเป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ใช้โทรศัพท์ แต่ดูแล้วมีโอกาสที่ปัญหาในลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นซ้ำ ทาง สคบ.จึงร่วมกับ กสทช. เตรียมปรับปรุงแก้ไขประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องให้ธุรกิจการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นธุรกิจควบคุมสัญญาโดยเพิ่มข้อกำหนดของสัญญาการให้บริการให้ชัดเจน เพื่อป้องกันปัญหาผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือถูกเรียกเก็บค่าใช้บริการเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งจะมีการจัดการปัญหาข้อความเอสเอ็มเอส ต่างๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการดูดวง ทายหวย หรือการโฆษณาต่างๆ ที่ส่งมาให้ผู้บริโภคโดยใช้กลยุทธ์บริการฟรี 7 วัน พอถึงวันที่ 8 ก็ต่ออายุอัตโนมัติและคิดเงินทันทีโดยที่ผู้ใช้มือถือไม่รู้ ซึ่งตามกฏหมาย สคบ.ก็มีการคุ้มครองผู้บริโภคในเรื่องของโฆษณาที่สร้างความรำคาญ มีโทษจำคุก ไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ   สคบ. เตรียมตั้ง “ศูนย์คุ้มครองผู้บริโภคแห่งชาติ” สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เตรียมจัดตั้งศูนย์คุ้มครองผู้บริโภคแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นการปรับโครงสร้างการทำงานของ สคบ.ครั้งใหญ่ เพราะจะเป็นการรวบรวมงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคของ 10 กระทรวงและ 20 กรม เข้ามารวมกันเพื่อแก้ไขปัญหาให้รวดเร็วมากขึ้น ตั้งกองทุนเยียวยาผู้บริโภค คอยทำหน้าที่จ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายให้ผู้บริโภคในช่วงที่คดีกำลังอยู่ในขั้นตอนการฟ้องร้อง โดยศูนย์ดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งตามแผนแม่บทการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งจากการที่ สคบ. ได้ประชุมร่วมกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เห็นชอบให้แก้ไขกฎหมายของ สคบ.ฉบับเดิมให้ครอบคลุมกับแผนดังกล่าว คาดว่าศูนย์นี้จะดำเนินงานได้ภายใน 3 - 6 เดือน โดยจะให้นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกที่นายกฯ มอบหมายมาเป็นประธานศูนย์ฯ หน้าที่ของหลักศูนย์ฯ จะรวบรวมงานที่ซ้ำซ้อนของแต่ละหน่วยงาน ที่มีข้อกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค มาเร่งแก้ไขในจุดเดียวลดขั้นตอนการดำเนินงานที่ล่าช้า พร้อมทั้งมีหน่วยงาน สคบ.ระดับภูมิภาครับเรื่องร้องเรียน และไกล่เกลี่ยให้จบภายในระดับภูมิภาค รวมถึงสร้างองค์ความรู้ และสร้างเครือข่ายระดับท้องถิ่น โดยเชื่อว่าหากมีศูนย์ดังกล่าวจะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าใจ เข้าถึง สคบ.มากขึ้น ปริมาณเรื่องร้องเรียนที่มีเข้ามาก็น่าจะเพิ่มขึ้นจากปีละแค่ 8,000-10,000 เรื่อง เป็น 100,000 เรื่อง   8 เครือข่ายองค์กรสุขภาพ ร้อง คสช.- ดีเอสไอ เอาผิดบอร์ดและ ผอ.องค์การเภสัช 8 เครือข่ายองค์กรสุขภาพ ประกอบด้วย ชมรมแพทย์ชนบท, ชมรมเภสัชชนบท, กลุ่มศึกษาปัญหายา, กลุ่มคนรักหลักประกัน, เครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ, สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค, มูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนา และมูลนิธิเภสัชชนบท ได้ยื่นหนังสือต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และสำนักงานกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ เพื่อให้พิจารณาปลดและตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ชุดที่มี นายแพทย์พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เป็นประธาน และนายแพทย์สุวัช เซียศิริวัฒนา ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม มีพฤติกรรมส่อทุจริต และทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐเป็นคดีพิเศษ โดยมี 2 ประเด็นที่ให้ดีเอสไอพิจารณารับเป็นคดีพิเศษ คือ ปัญหาการก่อสร้างโรงงานผลิตยาที่รังสิต ขององค์การเภสัชกรรมที่ ผอ. และบอร์ดยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้าง และมีการเอื้อแก่บริษัทที่เคยทิ้งงานและไม่ขึ้นบัญชีดำบริษัทที่ทิ้งงาน ทั้งที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเคยได้ทักท้วงมา นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งประเด็น คือเรื่องการก่อสร้างโรงงานวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งหลังจากบอร์ดปลด นายแพทย์วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการ องค์การเภสัชกรรมในขณะนั้นไปแล้ว กลับไม่มีการเร่งรัดเพื่อให้การก่อสร้างให้แล้วเสร็จโดยเร็วตรงกันข้ามกลับมีการดำเนินการล่าช้า ที่สำคัญขณะนี้โรงพยาบาลในต่างจังหวัดจำนวนมากเผชิญภาวะยาขาด สาเหตุจากการที่ ผอ.อภ. และบอร์ด อภ. แก้ไขปัญหาภาวะขาดทุนด้วยการสั่งงดผลิตยาจำเป็น เช่น ยาเบาหวาน ซึ่ง อภ. เป็นผู้ผลิตส่งให้โรงพยาบาลต่างๆ ของรัฐราว 80% ของที่ใช้กับคนไข้ในประเทศ นอกจากนี้ อภ. ยังขาดส่งยาไปยังกองทุนยาต้านไวรัสกว่า 400 ล้านบาท และมีแนวโน้มว่า หากไม่มีการแก้ปัญหาวัตถุดิบยา ต่อไปคนไข้อาจขาดยา นอกจากนี้ นพ.สุวัช ยังเสนอตัดงบเรื่องการทำงานวิจัย 45 ล้าน เพื่อแก้ปัญหาขาดทุน ถือเป็นการแก้ปัญหาโดยไม่คำนึงถึงอนาคตของ อภ.ที่ต้องให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 151 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนสิงหาคม 2556 ตรวจสุขภาพ...อาจทำร้ายสุขภาพ โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) รายงานว่าคนไทยให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่เป็นการตรวจที่ไม่เหมาะสม เป็นการตรวจสุขภาพโดยการสุ่มตรวจหรือการตรวจแบบ “เหวี่ยงแห” นอกจากจะสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังอาจเสี่ยงทำให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะอื่น นำไปสู่การรักษาที่ไม่จำเป็น นพ.ยศ ตีระวัฒนานนท์ หัวหน้าโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) กล่าวว่า การตรวจสุขภาพหรือการคัดกรองสุขภาพ(ไม่รวมการตรวจสุขภาพที่เกี่ยวกับการยืนยันโรค หรือเพื่อรักษาโรคนั้น) ควรหลีกเลี่ยงการคัดกรองแบบเหวี่ยงแห ที่เป็นการตรวจแบบไร้จุดเป้าหมาย เพราะมีโทษมากกว่าประโยชน์ และสามารถก่ออันตรายต่ออวัยวะอื่น เช่น การเอกซเรย์ การตรวจการทำงานของตับ ไต หรือการใช้เครื่องซีทีสแกน ซึ่งมีรังสีมากกว่าการเอกซเรย์ 100 เท่า เป็นต้น โดยทาง HITAP ได้ทำวิจัยร่วมกับผู้เชี่ยวชาญและราชวิทยาลัยต่างๆ จัดเป็นโปรแกรมการตรวจคัดกรอง 12 เรื่อง เตรียมเสนอให้กับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่ง 12 เรื่องที่อยู่ในโปรแกรมการตรวจมีอย่างเช่น การตรวจโลหิตจาง ภาวะทุพโภชนาการ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง ตรวจสายตา ฯลฯ พร้อมกับกำหนดช่วงวัยที่เหมาะสมและจำนวนการตรวจ ซึ่งประชาชนควรได้รับทราบข้อดี ข้อเสียของการตรวจสุขภาพ ก่อนเข้ารับการตรวจ     ตู้น้ำดื่มตกมาตรฐาน ปัจจุบันมีผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่เลือกบริโภคน้ำจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ แต่หลายๆ คนอาจยังไม่รู้ว่าบรรดาตู้น้ำดื่มทั้งหลายที่ตั้งให้บริการอยู่นั้น ยังไม่มีหน่วยงานใดที่รับหน้าที่ดูตรวจสอบความปลอดภัยที่ชัดเจน แถมล่าสุดทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้สุมตรวจความปลอดภัยของน้ำดื่มจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ พบว่าเกินครึ่งตกมาตรฐาน อย. ได้เปิดเผยข้อมูลการสุ่มตรวจตัวอย่างคุณภาพน้ำดื่มจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญในเขต กทม.จำนวน 300 ตัวอย่าง พบผ่านมาตรฐาน 129 ตัวอย่าง หรือร้อยละ 43 ตกมาตรฐาน 171 ตัวอย่าง หรือร้อยละ 57 โดยรายการที่ไม่ผ่านมาตรฐานมากที่สุด คือ ค่าความเป็นกรดด่าง ซึ่งอาจมาจากระบบการกรองของตู้ (Reverse Osmosis) ซึ่งไม่ผ่านมาตรฐานที่กำหนด ซึ่ง อย. ออกมาเปิดเผยว่าไม่ได้นิ่งเฉยกับปัญหานี้ โดยขณะนี้ได้จัดทำร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง น้ำบริโภคจากตู้น้ำหยอดเหรียญอัตโนมัติ เพื่อกำหนดคุณภาพของน้ำบริโภคที่ผลิตจากเครื่องอัตโนมัติโดยตรง ขณะนี้เหลือเพียงรอลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมบังคับใช้ในปี 2557 ซึ่งเมื่อมีผลตามกฎหมายหากพบตู้น้ำหยอดเหรียญอัตโนมัติของผู้ประกอบการรายใดไม่ได้มาตรฐานจะมีโทษทันที   อย.มั่นใจนมผงไทยไม่มีเชื้อแบคทีเรีย หลังจากมีข่าวที่ชวนให้ตกใจ เรื่องการพบเชื้อแบคทีเรียในเวย์โปรตีนชนิดเข้มข้นที่ผลิตจากบริษัท ฟอนเทียร่า ประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งเวย์โปรตีนชนิดเข้มข้นนี้ถือเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตผลิตภัณฑ์นมต่างๆ โดยเฉพาะนมผง โดยเชื้อแบคทีเรียที่พบการปนเปื้อนมีอันตรายหากมีการบริโภคเข้าสู่ร่างกาย ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ออกมาตรวจสอบปัญหาดังกล่าวเพื่อคลายความกังวลของผู้บริโภคในประเทศไทย ทั้งการตรวจเข้มการนำเข้า เก็บตัวอย่างตรวจวิเคราะห์ เชิญผู้ประกอบการมาชี้แจงหามาตรการเฝ้าระวังความปลอดภัย สำหรับกรณีที่ บริษัท ดูเม็กซ์ ประเทศไทย ที่มีบางผลิตภัณฑ์ใช้วัตถุดิบจากบริษัท ฟอนเทียร่า บริษัท ดูเม็กซ์ ประเทศไทย จึงได้มีการเรียกคืนผลิตภัณฑ์บางตัว ประกอบด้วย 1.ดูโปร สูตร 2 ผลิตขึ้นระหว่างวันที่ 29 เมษายน 2556 ถึง 28 มิถุนายน 2556 หมดอายุในระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม 2557 ถึง 28 ธันวาคม 2557, 2. ไฮคิว สูตร 1 ผลิตขึ้นระหว่างวันที่ 09 พฤษภาคม 2556 ถึง 15 กรกฎาคม 2556 หมดอายุระหว่างวันที่ 09 พฤศจิกายน 2557 ถึง 15 มกราคม 2558, 3. ไฮคิว สูตร 2 ผลิตขึ้นระหว่างวันที่ 29 เมษายน 2556 ถึง 25 มิถุนายน 2556 หมดอายุระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม 2557 ถึง 25 ธันวาคม 2558, 4. ไฮคิว ซูเปอร์โกลด์ สูตร 1 ผลิตขึ้นระหว่างวันที่ 11 พฤษภาคม 2556 ถึง 14 มิถุนายน 2556 หมดอายุระหว่างวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 ถึง 14 ธันวาคม 2557 และ 5. ไฮคิว ซูเปอร์โกลด์ สูตร 2 ผลิตขึ้นระหว่างวันที่ 11 พฤษภาคม 2556 ถึง 28 มิถุนายน 2556 หมดอายุระหว่างวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 ถึง 28 ธันวาคม 2557 ส่วนผลิตภัณฑ์นมดัดแปลงและอาหารทารกสำหรับเด็กเล็กจากบริษัทผู้ผลิตและนำเข้าอื่นๆ รวม 73 รายการ ที่แจ้งกับทาง อย. ทาง อย. ยืนยันว่าไม่มีบริษัทใดนำเข้าหรือใช้เวย์โปรตีนล็อตที่เป็นปัญหาเป็นวัตถุดิบแต่อย่างใด   เตรียมปรับฉลากอาหาร ปริมาณ “น้ำตาล – เกลือ” ต้องอ่านง่าย นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ดำเนินการจัดทำฉลากอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลและเกลือใหม่ จากเดิมที่ระบุปริมาณเป็นมิลลิกรัม ซึ่งอ่านเข้าใจยาก โดยเฉพาะในฉลากขนมที่มีน้ำตาลและเกลือสูง หวังช่วยให้เด็กๆ มี่ซื้อรับประทานอ่านฉลากมากขึ้น โดยฉลากแบบใหม่ต้องปรับให้เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย อาจใช้รูปสัญลักษณ์ในการบอกค่า เช่น รูปช้อน แทนปริมาณน้ำตาล 1ช้อน หรือ 2 ช้อน พร้อมกับระบุวิธีการเผาผลาญออกจากร่างกาย และผลกระทบ ผลเสีย หรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายด้วย เช่น น้ำตาล 2 ช้อน การเผาผลาญต้องวิ่งเป็นเวลา 20 นาที หรือ เกลือ หากได้รับปริมาณมากเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น โดยอาจจะทำเป็นสติกเกอร์ติดที่ซองอาหารเพิ่มเติมจากฉลากเดิมที่มีอยู่แล้ว ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) คนไทยเราเสี่ยงต่อการป่วยด้วยโรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ มากขึ้น โดยในปี 2554 ข้อมูลจากการตรวจคัดกรองประชาชนอายุ 35 ปีขึ้นไป จำนวน 22.2 ล้านคน พบผู้ป่วยเบาหวาน 1,581,857 ราย ในจำนวนนี้มีผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อน 277,020 ราย โดยมีภาวะแทรกซ้อนทางไตมากที่สุด เช่น ไตวาย ร้อยละ 25 รองลงมาคือแทรกซ้อนทางตา เช่น ตาต้อกระจก ต้อหินร้อยละ 23 คาดการณ์ว่าในอีก 8 ปีข้างหน้า ไทยจะพบผู้ป่วยถึง 4.7 ล้านราย เสียชีวิตเฉลี่ยปีละ 52,800 ราย แนวโน้มพบในเด็กมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้เด็กไทยเผชิญความอ้วนมากขึ้น   พลังคนไทยทวงคืนพลังงานชาติ 9 ก.ย. ที่ผ่านมา ภาคประชาชนได้รวมตัวกันเพื่อร่วมแสดงพลังเรียกร้องความเป็นธรรม หน้าสำนักงานใหญ่ ปตท. ถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อชุมนุมคัดค้านการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม หรือ แอลพีจี พร้อมทั้งล่ารายชื่อ 5 หมื่นชื่อ ยื่นถอดถอนรัฐมนตรีว่าการและข้าราชการกระทรวงพลังงานทั้งสิ้น 5 คน เนื่องจากนโยบายการปรับขึ้นราคาแอลพีจีที่ไม่เป็นธรรม ส่งผลให้ประชาชนทั่วประเทศเดือดร้อน ซึ่งการรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อรวมคัดค้านนั้น จะกระจายไปทุกจังหวัด โดยตั้งเป้าให้ได้จังหวัดละ 1 พันรายชื่อ เพื่อแสดงพลังของประชาชนที่คัดค้านการปรับขึ้นราคาแอลพีจีและจะนำรายชื่อไป ยื่นให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และผู้ตรวจการแผ่นดินต่อไป ก๊าซแอลพีจี หรือ ก๊าซปิโตรเลียมเหลวสำหรับภาคครัวเรือน เริ่มปรับขึ้นราคาเมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยปรับราคาขึ้นกิโลกรัมละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ต่อเดือนต่อเนื่องเป็นเวลา 12 เดือน รวมแล้วขึ้นราคาเป็น 6 บาท จากเดิมที่ราคา 18.13 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 24.82 บาทต่อกิโลกรัมใครที่อยากร่วมลงชื่อถอดถอนรัฐมนตรีว่าการและข้าราชการกระทรวงพลังงาน สามารถเข้าไปโหลดเอกสารลงรายชื่อได้ที่ลิงค์ http://www.gasthai.com/pengout.pdf และติดตามความเคลื่อนไหวกิจกรรมและข้อมูลต่างๆ เรื่องความไม่เป็นธรรมของธุรกิจพลังงานในไทยได้ที่เฟซบุ๊ค Goosoogong   //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 99 กระแสในประเทศ

ฉบับที่ 99 กระแสในประเทศประมวลเหตุการณ์เดือนเมษายน 25521 เมษายน 2552ผู้บริโภคโล่งใจ ถั่วพิสตาซิโออันตรายไม่มีขายในไทยจากการที่สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ ประกาศเตือนประชาชนหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารทุกชนิดที่มี ถั่วพิสตาซิโอ เป็นส่วนผสม หลังจากมีการตรวจสอบพบเชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลลาในถั่วชนิดนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคทางเดินอาหาร งานนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ของไทยจึงได้เร่งมือตรวจสอบ พร้อมประกาศให้คนไทยเราเบาใจได้ว่าไม่มีการตรวจพบถั่วพิสตาซิโอชนิดที่เป็นอันตรายแบบที่พบในสหรัฐฯ ในประเทศไทย ซึ่งจากตรวจสอบต้นต่อของถั่วพิสตาซิโอเจ้าปัญหา พบว่ามีผลิตมาจากบริษัท เซตตัน ฟาร์ม ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งประเทศไทยไม่มีการนำเข้าถั่วชนิดนี้จากบริษัทดังกล่าว แต่เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค อย. จึงทำการติดตามเฝ้าระวังและเก็บตัวอย่างถั่วชนิดดังกล่าว ไม่ว่าจะนำเข้าจากบริษัทใด หากพบว่ามีการปนเปื้อนเชื้อซัลโมเนลลา จะรีบแจ้งให้ผู้บริโภคทราบทันที รวมทั้งเก็บผลิตภัณฑ์ดังกล่าวออกจากท้องตลาดและระงับการนำเข้าโดยด่วน 2 เมษายน 2552เพนต์ “เฮนนา” ระวัง!หายนะถามหาผิวภญ. วีรวรรณ แตงแก้ว รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ออกโรงเตือนวัยรุ่นที่ชื่นชอบการตกแต่งลวดลายลงบนร่างกายด้วย “เฮนนา” อาจได้รับอาการแพ้ทางผิวหนังแถมมาพร้อมกับความสวยงาม สาเหตุจากการตรวจสอบพบว่ามีการลักลอบเติมสาร p-phenylenediamine (PPD) หรือพีพีดี ลงในเฮนนา เพื่อทำให้สีที่วาดมีความเข้มขึ้นและติดทนนานกว่าปกติ โดยจะเรียกกันว่า แบล็กเฮนนา (Black Henna) หรือบลูเฮนนา (Blue Henna) ซึ่งเฮนนาเป็นสารจากพืชชนิดหนึ่ง ให้สีน้ำตาลอมส้ม นิยมมาใช้ตกแต่งผิวหนังและนำมาย้อมผม สำหรับสารพีดีพีเป็นสารเคมีที่มีความเสี่ยงสูง อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ ซึ่ง อย. กำหนดให้ใช้สารพีพีดีได้เฉพาะในผลิตภัณฑ์ย้อมผมเท่านั้น โดยกำหนดอัตราส่วนสูงสุดไว้ไม่เกิน 6% และต้องระบุคำเตือนไว้บนฉลากผลิตภัณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนด โดยเน้นย้ำให้ทราบว่าสารชนิดนี้มีฤทธิ์ระคายเคืองต่อผิวหนัง และก่อให้เกิดอาการแพ้ ที่สำคัญคือห้ามนำไปย้อมขนคิ้วหรือขนตาเด็ดขาด เพราะหากเข้าตาอาจเป็นอันตรายถึงขั้นตาบอดได้ 29 เมษายน 2552สคบ. เตรียมติดดาบยุบกิจการขายตรงนอกระบบเพราะผลจากการที่มีผู้ประกอบการธุรกิจขายตรงมาร่วมประชุมสัมมนาผู้ประกอบการขายตรง ในจำนวนไม่ถึงครึ่งจากจำนวนที่คาดการว่ามีธุรกิจขายตรงในระบบกว่า 500 บริษัท ซึ่งมีสาเหตุมาจากธุรกิจขายตรงบางบริษัทได้ปิดกิจการไปแล้ว แต่การปิดกิจการไม่ได้แจ้งนายทะเบียน ทำให้ยังคงความเป็นบริษัทขายตรงอยู่ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า มีมากกว่า 200 บริษัท ที่ไม่ได้ดำเนินกิจการ แต่ไม่มีการแจ้งปิดกิจการของธุรกิจขายตรงเหล่านั้น การประชุมสัมมนาครั้งนี้จัดโดยการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อชี้แจงนโยบายและทำความเข้าใจในตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรงไปแล้ว เมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งผลจากการที่พบความคลุมเครือของสถานภาพทางบริษัทขายตรงกว่า 200 บริษัทดังที่กล่าวมา ทำให้สคบ.เตรียมศึกษาแก้ไขกฎหมายขายตรงและตลาดแบบตรง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้กำกับและส่งเสริมธุรกิจขายตรง โดยการเสนอให้มีการเพิ่มอำนาจของนายทะเบียน ในการยุบ หรือเลิกธุรกิจขายตรงที่ไม่มีการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากเกรงธุรกิจที่อยู่นอกระบบเหล่านี้จะอาศัยช่องทางกลายพันธุ์กลายเป็นแชร์ลูกโซ่ เด็กไทยจมน้ำตาย1,500คน/ปี สธ.จับเด็กเข้าคอร์สเอาชีวิตรอดกระทรวงสาธารณสุข นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวในงาน "เปิดโครงการทดลองหลักสูตรว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด" ภายใต้การสนับสนุนขององค์การอนามัยโลก (WHO) โดยใช้เวลาเรียน 15 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง ว่า ขณะนี้การจมน้ำเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ทั่วโลกเสียชีวิตปีละ 230,000 คน มีจำนวนมากกว่าเด็กที่ตายจากโรคไอกรน โรคหัด โรคคอตีบ โรคอหิวาตกโรค โรคไข้เลือดออก และโรคไทฟอยด์รวมกัน ซึ่งมีไม่ถึงปีละ 200,000 คน และเป็นสาเหตุอันดับแรกของการเสียชีวิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยมีเด็กเสียชีวิตจากการจมน้ำมากที่สุดเป็นอันดับ 1 เสียชีวิตปีละประมาณ 1,500 คน เฉลี่ยวันละ 4 คน โดยพบเด็กอายุ 5-9 ปี เสียชีวิตมากที่สุด โดยในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กปิดภาคเรียน มีเด็กเสียชีวิตจากการจมน้ำมากถึง 112 คนจากเด็กไทย 13 ล้านคน พบว่ามีเด็กว่ายน้ำเป็นเพียง 2 ล้านคนเท่านั้น จึงเป็นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข เพื่อเป็นการป้องกันและลดจำนวนเด็กเสียชีวิตนายมานิตกล่าวว่า โดยในช่วงปิดภาคเรียนนี้ สธ.ได้ทำโครงการนำร่องจัดหลักสูตรฝึกสอนการว่ายน้ำให้กับเด็กอายุระหว่าง 4-7 ปี ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ราชบุรี สุรินทร์ เพชรบูรณ์ และนครศรีธรรมราช เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีเด็กจมน้ำเสียชีวิตมากที่สุดในแต่ละภาค คือ สุรินทร์ 45 ราย ราชบุรี 33 ราย เพชรบูรณ์ 29 ราย และนครศรีธรรมราช 19 ราย โดยให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ประสานกับเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อคัดเลือกโรงเรียนว่ายน้ำ และครูผู้ฝึกสอนที่ผ่านการอบรมแล้ว โดยจะสอนเรื่องการเอาชีวิตรอด พื้นฐานการว่ายน้ำ และความปลอดภัยทางน้ำ โดยตั้งเป้าภายใน 10 ปี เด็กอายุครบ 7 ปีจะมีทักษะในการว่ายน้ำเป็นครบทุกคน ซึ่งจะสามารถลดการเสียชีวิตจากการจมน้ำได้อย่างน้อยปีละ 100 คน ผลโหวตผลิตภัณฑ์ บริการ โฆษณายอดเยี่ยม ยอดแย่วารสารฉลาดซื้อเปิดผลโหวต “ผลิตภัณฑ์-บริการ-โฆษณา” ยอดเยี่ยมและยอดแย่ในความรู้สึกประชาชนทั่วประเทศ พบ “ปตท.-รถโดยสารสาธารณะ-โฆษณาขายตรงผ่านทีวี” ติดอันดับยอดแย่ โดยเฉพาะรถโดยสารเกิดอุบัติเหตุปีละ 3-4 พันครั้ง 26 เมษายน ในงานเปิดบ้าน “มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค” ที่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานเปิดบ้านใหม่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวถึงสิทธิการคุ้มครองผู้บริโภคในปัจจุบันว่า ในโลกที่เป็นอยู่เราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนเอาเปรียบ ซึ่งคนที่มีความแข็งแรงในวิชาชีพ มีรายได้ ก็มักจะต่อสู้ได้ แต่สังคมไทยในปัจจุบันมีคนอยู่ในสภาพที่เรียกว่าหากไม่มีคนช่วยคงไม่สามารถรักษาสิทธิได้ จึงเกิดแนวคิดสร้างกระบวนการประชาสังคมเพื่อช่วยเหลือ “ผมรู้สึกดีใจที่ขณะนี้มีความตื่นตัวในการรักษาสิทธิผู้บริโภค แต่เรื่องสิทธิผู้บริโภคยังอีกไกล และต้องทำให้ประชาชนส่วนใหญ่รู้ในสิทธิของตนเอง เพราะตอนนี้เรายังไปไม่ถึงก้าวที่สองที่ทำให้ประชาชนรู้ตระหนักและรู้สิทธิของตนเอง” นายอานันท์ กล่าวต่อว่า อยากเห็นกระบวนการคุ้มครองผู้บริโภคที่เป็นปึกแผ่นโดยไม่ต้องอาศัยองค์กรนี้ และให้องค์กรนี้ทำหน้าที่เคียงข้างกับสภา เพราะปัญหาการเอารัดเอาเปรียบเกิดขึ้นได้เนื่องจากอาศัยช่องว่างของกฎหมาย หากนักการเมืองไม่ดูแลประชาชน ก็เป็นหน้าที่เรากันเองที่ต้องทำงานกับฝ่ายกฎหมายเพื่อแก้ไขความอยุติธรรมในสังคมไทยที่มีอยู่ หรือผลักดันกฎหมายใหม่ๆ เพื่อดูแลให้เรื่องสิทธิผู้บริโภคมีความมั่นคงและยังยืนยิ่งขึ้น ในงานดังกล่าว ยังมีการแถลงข่าว ผลโหวต “ผลิตภัณฑ์-บริการ-โฆษณา ยอดเยี่ยมและยอดแย่ประจำปี 2551” ด้วย โดย น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า จากที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคร่วมกับสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ทำการสำรวจผลิตภัณฑ์ บริการ และโฆษณายอดเยี่ยมและยอดแย่ในรอบปีที่ผ่านมา โดยสอบถามความเห็นประชาชนจำนวน 2,993 คน พร้อมเปิดให้มีการโหวตผ่านหน้าเว็บไซต์ของกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว สถาบันวิจัยโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล และเว็บไซต์ www.consumerthai.org วารสารฉลาดซื้อ รายการกระต่ายตื่นตัว สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 ไปนั้นทางคณะกรรมการพิจารณารางวัล ได้กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณา คือ ต้องเป็นสินค้าที่มีอยู่ทั่วประเทศ โดยในส่วนของการโหวตยอดเยี่ยม ต้องไม่มีชื่อโหวตอยู่ในอันดับยอดแย่ ไม่ทำร้ายสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ไม่มีการร้องเรียนการละเมิดสิทธิ และไม่เป็นที่ถกเถียงในสังคม ดังนั้นผลการโหวตที่เข้าหลักเกณฑ์ข้างต้น ได้แก่   ผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยม แป้งเด็กเบบี้มายด์ บริการยอดเยี่ยม บริการของธนาคารไทยพาณิชย์ โฆษณายอดเยี่ยม โฆษณาของบริษัทไทยประกันชีวิต ชุดแม่ต้อย ผลิตภัณฑ์ยอดแย่ แก๊สและน้ำมันของบริษัท ปตท บริการยอดแย่ บริการรถโดยสารสาธารณะ โฆษณายอดแย่ การโฆษณาขายตรงผ่านทีวี น.ส.สารี ยังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า บริการรถโดยสารสาธารณะถือเป็นบริการยอดแย่ที่ได้รับการโหวตในอันดับต้นๆ และที่ผ่านมาจากงานวิจัยของศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) พบว่า ในแต่ละปีมีอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะเฉลี่ยปีละ 3,000-4,000 ครั้ง ซึ่งทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจะเข้าไปดูในเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท โดยเป็นแผนงานในปี 2553 นี้ เนื่องจากเป็นบริการที่มีประชาชนใช้บริการจำนวนมาก และมีปัญหาการร้องเรียนบ่อยครั้ง ซึ่งมูลนิธิฯ ไม่เพียงแต่จะเข้าไปดูในเรื่องมาตรฐานรถและบริการเท่านั้น แต่จะดูถึงผู้ให้บริการ คือ ผู้ขับรถโดยสารสาธารณะด้วย เนื่องจากพบว่ามักมีอารมณ์รุนแรง ฉุนเฉียว โดยเฉพาะรถสาธารณะที่เป็นบริการร่วมกับเอกชน เนื่องจากมีปัญหาในเรื่องรายได้ ต้องแข่งขัน ซึ่งรัฐบาลอาจต้องเข้ามาสนับสนุนในเรื่อง “รายการสุขภาพในทีวี” ให้ประโยชน์หรือหวังโฆษณา?โครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม (Media Monitor) โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้แถลงผลการศึกษาในหัวข้อ "รายการสุขภาพในฟรีทีวี" โดยนายธาม เชื้อสถาปนศิริ ผู้จัดการกลุ่มงานวิชาการ โครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อฯ ได้ทำการศึกษาพบว่า รายการที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสุขภาพส่วนใหญ่ เลือกนำเสนอข้อมูลที่ไม่เป็นประโยชน์กับผู้ชมเท่าที่ควร คือนำเสนออาการเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยแต่นำไปสู่โรคร้ายแรง ทำให้ผู้ชมเกิดความกลัว วิตกกังวล ส่วนเนื้อหาที่เป็นการแนะนำให้ผู้ชมดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง ลดการพึ่งพาแพทย์กลับมีให้ชมในสัดส่วนที่น้อยมาก ขณะที่เนื้อหาเกี่ยวกับแพทย์ทางเลือกและเรื่องสิทธิประโยชน์ของผู้ป่วยแทบไม่มีให้เห็นนอกจากนี้ ผลการตรวจสอบการเฝ้าระวังทางสื่อ พบว่ามีโฆษณาอยู่ในรายการเป็นจำนวนมาก ทั้งการโฆษณาตรงและโฆษณาแฝงในรายการ ซึ่งสินค้าที่โฆษณาส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์จำพวกอาหารเสริม ยา ผลิตภัณฑ์บำรุงร่างกาย สถานพยาบาลเอกชน ซึ่งแฝงอยู่ในรายการทั้งในรูปแบบ กราฟิกรายการ โลโก้บริการและสินค้า รองลงมาคือ สปอตโฆษณาสั้นๆ แฝงเนื้อหา แฝงวัตถุผลิตภัณฑ์ และแฝงบุคคลที่มีการสวมเสื้อที่มีตราสัญลักษณ์ผู้สนับสนุนรายการ ซึ่งรายการที่มีโฆษณาแฝงมากที่สุดคือ รายการตะลุยโรงหมอ (ปัจจุบันเป็นรายการ ชิดหมอ) และสโมสรสุขภาพ รองลงมาเป็น รายการชูรักชูรส รายการชีวิตชีวา Daily และ อโรคาปาร์ตี้ รศ.ดร.ปาริชาต สถาปิตานนท์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเสริมว่า การมีรายการเพื่อสุขภาพมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าคนในสังคมปัจจุบันใส่ใจสุขภาพเพิ่มมากขึ้น แต่การโฆษณาในรายการยังถือเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะรายการประเภทนี้เป็นรายการที่มีลักษณะผ่อนคลายสมอง ทำให้เกิดการโน้มน้าวจิตใจคล้อยตามได้ง่าย ซึ่งการสอดแทรกการโฆษณาสินค้าและบริการเกี่ยวกับสุขภาพ อาจเป็นการสร้างพฤติกรรมการบริโภคสินค้าด้านสุขภาพที่ฟุ่มเฟือย และสินค้าหลายๆ ตัวยังเป็นในลักษณะชวนเชื่อ คือยังไม่มีการตรวจสอบรับรองถึงเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัย น.พ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา ย้ำถึงปัญหาการโฆษณาแฝงในรายการสุขภาพว่า เป็นเรื่องที่ทางแพทยสภากำลังจับตาดูอยู่ ซึ่งพบว่ามีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น แต่ทางแพทยสภามีอำนาจเพียงขอบเขตดูแลเฉพาะตัวแพทย์เท่านั้น ไม่รวมถึงสถานประกอบการที่เป็นหน้าที่ของกองการประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีคณะกรรมการจริยธรรมควบคุมดูแลว่าการนำเสนอเนื้อหาเป็นไปในระดับใด ทั้งนี้การร้องเรียนที่เข้ามาส่วนใหญ่เป็นเรื่องของโฆษณาเรื่องจริยธรรมแพทย์ แต่มักเป็นการฟ้องร้องจากคู่แข่งทางการตลาดด้วยกันเองด้าน พ.ญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล ผู้จัดการโครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อฯ เสนอแนวคิดว่าควรมีการออกกฎหมายควบคุมการโฆษณาแฝง พร้อมทั้งจัดตั้งองค์กรเพื่อดูแลสิทธิผู้บริโภคด้านสื่อโดยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันมีการโฆษณาแฝงในรายการโทรทัศน์เป็นจำนวนมาก แม้แต่ในละครก็มักถ่ายภาพให้เห็นด้านหน้าหรือป้ายโรงพยาบาลอยู่ตรงหัวเตียงผู้ป่วยในเนื้อหาละคร ซึ่งถือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค เป็นการยัดเยียดในสิ่งที่ผู้บริโภคไม่ต้องการ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 182 กิน อยู่ คือ อย่างอเมริกัน

ในประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านวิชาการที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สุขภาพนั้น รัฐบาลมักสร้างข้อแนะนำในการบริโภคอาหาร (Dietary Guidelines) เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานด้านโภชนาการและสุขภาพซึ่งรวมถึงผู้วางนโยบายตลอดจนบุคลากรในวงการการศึกษานำไปเผยแพร่ (แบบที่เข้าใจง่าย ๆ) สู่ประชาชน โดยหวังว่าเมื่อคำแนะนำเหล่านี้ถูกถ่ายทอดถึงประชาชน แล้วประชาชนเชื่อจนทำตามจริง ๆ ประโยชน์จะกลับสู่รัฐโดยตรงเป็นมูลค่ามหาศาล ในการที่ไม่ต้องจ่ายเงินสนับสนุนการรักษาพยาบาลประชาชนที่ป่วยเป็นโรคที่ป้องกันได้   จากเว็บ www.hhs.gov/about/budget/fy2015/budget-in-brief ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับงบประมาณประจำปีของสหรัฐอเมริกานั้นพบว่า จากงบประมาณทั้งหมดในปี 2015 ที่ผ่านไปแล้วซึ่งมีตัวเลขเท่ากับ $1,010 Billion dollars (1,010,000,000,000 ดอลลาร์อเมริกัน) นั้น ร้อยละ 33 ถูกใช้เป็นค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ (Medicaid) ที่ให้แก่กระทรวงด้านสาธารณสุขคือ Department of Health and Human Services ซึ่งทำงานทั้งด้านการบริการ วิจัย และอื่น ๆ ปัจจุบันคนอเมริกันมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคที่ไม่ติดต่อค่อนข้างสูง โดยปรากฏการนี้เป็นแบบต่อเนื่องทุกปี (www.cdc.gov/nchs/hus/healthrisk.htm) โรคที่ว่าคือ ติดเหล้า ติดบุหรี่ มีโคเลสเตอรอลในเลือดสูง (เนื่องจากกินอาหารมันมาก) ความดันโลหิตสูง ติดยาเสพติด สุขภาวะเลวเนื่องจากขาดการออกกำลังกาย และน้ำหนักเกิน ด้วยข้อมูลลักษณะนี้จึงทำให้รัฐบาลจำต้องสร้างข้อเสนอแนะในการกินเพื่อสุขภาพที่ดีแก่ประชาชนทุก 5 ปี โดยแอบตั้งความหวังว่าคนอเมริกันจะเชื่อ เหมือนอย่างที่กรมอนามัยบ้านเราหวังว่าคนไทยจะขยับตัววันละเยอะๆ เพื่อลดพุง เมื่อราวปลายปี 2015 คณะกรรมการของผู้สร้างข้อแนะนำการบริโภคอาหารสำหรับคนอเมริกันซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้ส่งรายงานให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา ซึ่งต่อมาในวันที่ 7 มกราคม 2016 ข้อแนะนำดังกล่าวก็ได้ถูกพิมพ์ขึ้นเพื่อเผยแพร่แก่บุคลากรของรัฐและเป้าหมายที่เหมาะสม พร้อมทั้งจำหน่ายแก่ผู้สนใจ ส่วนผู้ที่ไม่ประสงค์จะซื้อแต่ประสงค์จะอ่าน สามารถอ่านฟรีได้ที่ http://health.gov/dietaryguidelines/2015/guidelines/full/   ในข้อแนะนำใหม่(ซึ่งปรับปรุงจากของเก่า) นี้ คณะกรรมการผู้สร้างยังคงแนะนำให้คนอเมริกันเลี่ยงการกินอาหารที่ผ่านการปรุงแบบสลับซับซ้อนทางอุตสาหกรรม (ซึ่งใช้สารเคมีสังเคราะห์ในการผลิตหลากหลายชนิด) รวมทั้งลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงและบริโภคแป้งที่ถูกป่นเป็นผง (ซึ่งคงไม่พ้นขนมปัง) แต่ให้หันไปกินอาหารที่มีพืชผักเป็นหลัก ซึ่งคณะกรรมการใช้ศัพท์ว่า plant-based foods (เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชทั้งเมล็ด ถั่วเปลือกอ่อน ถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดพืชต่าง ๆ) อีกทั้งคนอเมริกันควรกินอาหารมีพลังงานรวมต่ำ และกินเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงในลักษณะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเช่น ไม่ปล่อยก๊าซที่ทำให้โลกร้อน ใช้น้ำ ดินและพลังงานต่ำ (กรณีเนื้อสัตว์นี้คงลำบากมากสำหรับคนอเมริกัน เพราะระบบผลิตของฟาร์มใหญ่ในสหรัฐฯนั้นล้วนแต่ไม่เป็นไปตามที่กำหนดแทบทั้งสิ้น) นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยว่า ในกรณีเนื้อสัตว์ที่กินควรเป็นเนื้อที่ไม่แดงนัก(ซึ่งส่วนใหญ่ได้จากสัตว์ปีกและปลา ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนว่าเป็นเนื้อขาวคือ อกไก่ ในขณะที่ส่วนน่องและสะโพกไก่น่าจะจัดว่าเป็นเนื้อแดง ซึ่งสังเกตได้หลังการต้มเนื้อเหล่านี้จะเห็นสีแดง) เพราะมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่า เนื้อแดงนั้นเพิ่มความเสี่ยงในภาพรวมของการเป็นมะเร็ง เนื้อจากอวัยวะของสัตว์ที่มีสีออกแดงนั้น เป็นเพราะอวัยวะนั้นมีการใช้กล้ามเนื้อทำงานสูง จึงมีสารชีวเคมีที่เรียกว่า มัยโอกลอบิน (myoglobin) ในความเข้มข้นสูง สารชีวเคมีนี้ช่วยในการนำออกซิเจนมาใช้ในการสันดาปสร้างพลังงานให้กล้ามเนื้อนั้น แต่ข้อเสียที่เกิดจากการมีมัยโอกลอบินสูงคือ สารชีวเคมีนี้มีเหล็กเป็นองค์ประกอบ(ทำนองเดียวกับฮีโมกลอบินในเลือด) จึงทำให้ผู้ที่กินเนื้อแดงได้เหล็กสูง เหล็กนั้นเป็นธาตุโลหะที่มีคุณสมบัติทางเคมีที่เพิ่มความเสี่ยงในการก่อให้เกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ตามหลักการทางเคมีที่เรียกว่า Fenton reaction(ซึ่งหาความรู้เพิ่มเติมได้จาก Wikipedia) ประเด็นซึ่งเป็นที่ฮือฮาในข้อแนะนำใหม่นี้คือ ยกเลิกคำแนะนำให้จำกัดปริมาณโคเลสเตอรอลในอาหาร ทั้งนี้เพราะมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่สรุปว่า ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการกินโคเลสเตอรอลจากอาหารทำให้โคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น ทั้งนี้เพราะร่างกายของแต่ละคนต้องการโคเลสเตอรอลในระดับหนึ่ง ซึ่งตามปรกติต้องสร้างขึ้นมาเองเพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการได้โคเลสเตอรอลจากอาหารในประมาณที่ปรกติคนทั่วไปที่กินเพื่ออยู่นั้นจึงไม่น่ากังวลอะไร โคเลสเตอรอลนั้นเป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์ในอวัยวะต่าง ๆ เป็นสารตั้งต้นในการสร้างวิตามินดี สร้างเกลือน้ำดีเพื่อช่วยในการย่อยไขมันในลำไส้เล็ก เป็นต้น ดังนั้นถ้ากินอาหารที่ไม่ได้มีไขมันสูงเกินปรกติแล้ว ประมาณโคเลสเตอรอลในอาหารจะไปช่วยลดการสร้างเองของร่างกาย ยกเว้นกรณีผู้ที่มีทัศนคติ อยู่เพื่อกิน ที่ไขว่คว้าหาอาหารไขมันสูงมาก (เช่น ขาหมูพะโล้ ขาหมูเยอรมัน หรืออาหารอื่นที่มันมากๆ) มากินจนโคเลสเตอรอลสูงเกินความต้องการของร่างกาย พฤติกรรมลักษณะนี้จะทำให้ผู้บริโภคมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอันตรายที่เกี่ยวกับหัวใจเพิ่มขึ้น และอันตรายจะมากขึ้นถ้าเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายหรือใช้แรงงานประจำวัน คำแนะนำในการกินเพื่อสุขภาพดีของคนอเมริกันที่คณะกรรมการย้ำแล้วย้ำอีกทุกครั้งที่มีการเสนอทุก 5 ปีคือ ไม่กินเค็ม ซึ่งเป็นลดการได้รับธาตุโซเดียมซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อไตและทำให้เสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง ที่สำคัญนอกจากความเค็มแล้วยังก็ต้องเลี่ยงหวาน(มากเกินไป) ด้วย ข้อแนะนำที่ต้องขอให้ลดการกินเค็มคงเป็นเพราะ คนอเมริกันนั้นเสพติดมันฝรั่งทอดอย่างหนัก เนื่องจากเป็นอาหารที่ยิ่งกินยิ่งมัน และถ้าได้กินแกล้มเบียร์ในวันที่ได้ดูอเมริกันฟุตบอลทางโทรทัศน์แล้ว ไม่หมดถุงยักษ์เป็นไม่หยุด ส่วนความหวานนั้นเป็นที่รู้กันว่า ขนมและเครื่องดื่มที่ทำในสหรัฐฯนั้นออกหวานนำ ซึ่งต่างจากขนมที่ทำในฝั่งยุโรปที่มีความมันนำและไม่หวานนัก(แต่ก็ทำให้ลงพุงได้เช่นกัน) สำหรับประเด็นของการดื่มกาแฟซึ่งเป็นเครื่องดื่มหลักในมื้ออาหารของคนอเมริกันนั้น ข้อแนะนำกล่าวว่า การดื่มเพียง 3 ถึง 5 ถ้วย ต่อวันซึ่งทำให้ได้แคฟฟีอีนไม่เกิน 400 มิลลิกรัมต่อวันนั้น ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้ดื่ม แต่มีประเด็นหนึ่งที่คณะกรรมการเตือนไว้คือ ไม่พึงเติมสารอาหารที่ทำให้กาแฟนั้นมีแคลอรีสูง เช่น ครีม นม หรือน้ำตาล ดังนั้นข้อแนะนำนี้จึงใช้ยากยกกำลังสองกับคนไทยเพราะหนุ่มสาวชาวไทยปัจจุบันได้กลายเป็นผู้เสพติดกาแฟเข้มข้นทั้งหวานทั้งมันไปแล้ว สังเกตจากการสั่งกาแฟแต่ละครั้งมักเป็นแก้วใหญ่ขนาดเกือบครึ่งลิตรเสียทุกคราว คณะกรรมการผู้ทำข้อแนะนำได้เอ่ยถึงน้ำตาลเทียมชนิดหนึ่งซึ่งขายมากที่สุดในโลกของผู้จำเป็นต้องใช้ว่า น่าจะปลอดภัยในการบริโภค แต่ก็ขอกั๊กไว้ว่า ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง ดังนั้นขอให้ผู้บริโภคเผื่อใจไว้บ้าง เผื่อวันหนึ่งในอนาคตอาจมีข้อมูลด้านร้ายเกี่ยวกับน้ำตาลเทียมชนิดนี้ออกมา ก็จะได้ไม่ตกใจมากนัก สำหรับกรณีความหวานที่มาจากน้ำตาลนั้น ข้อแนะนำกล่าวว่า ควรลดลงและไม่ควรแทนที่ด้วยน้ำตาลเทียม และที่แนะนำสุดหัวใจก็คือ ถ้าเป็นไปได้ควรดื่มน้ำเปล่าในมื้ออาหารแทนน้ำหวานต่างๆ เรื่องนี้น่าสนับสนุนมากเมื่อกินอาหารที่บ้าน แต่ในกรณีที่กินอาหารนอกบ้านหลายคนอาจมีความรู้สึก(คล้ายผู้เขียน) ว่า เราขาดทุนเมื่อต้องดื่มน้ำเปล่าตามร้านอาหารซึ่งราคาเกือบหรือเท่าน้ำอัดลม (ซึ่งอร่อยและแก้เลี่ยนอาหารมันบางอย่างที่ขอแอบกินนิดหน่อย) ส่วนที่น่าสนใจที่สุดคือ ข้อแนะนำนี้ได้รวมไปถึงการงด (หรือลด) เครื่องดื่มอัลกอฮอล์ที่ชาวโลกเป็นทาสอยู่ ซึ่งสามารถคาดการได้ว่า ข้อแนะนำสุดท้ายนี้คงไม่ได้ผลแน่ในประเทศไทย…ถ้าไม่ใช้ ม.44  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 155 ข้าวนอกบ้าน(เพื่อสุขภาพ)

สำหรับบทความนี้ผู้เขียนขอเล่าเรื่องต่อจากฉบับที่แล้ว ซึ่งเป็นข้อมูลจาก www.nhs.uk โดยหัวข้อที่เลือกในฉบับนี้ชื่อว่า Healthy eating out หรือ กินข้าวนอกบ้านเพื่อสุขภาพ ซึ่งดูเหมาะกับสภาวะความเป็นอยู่ของคนเมืองใหญ่ที่หลายคนต้องอยู่คอนโดมิเนียม NHS ให้ความรู้แก่คนอังกฤษว่า ถ้าต้องไปกินอาหารนอกบ้านตามร้านจานด่วนหรือภัตตาคาร โอกาสเจออาหารที่ดีนั้นยังมีอยู่ ทั้งนี้เพราะอาหารที่จะมาวางบนโต๊ะนั้นเป็นการเลือกของคุณเอง ที่สำคัญคุณต้องสามารถมองออกว่า อาหารแต่ละจานที่วางบนโต๊ะนั้นเป็นประเภท กินแล้วอ้วนแน่ เบาหวานถามหา หรือความดันขึ้นสูงหรือไม่ อย่างไรก็ตามแม้อาหารที่ก่ออันตรายในลักษณะดังกล่าวมีอยู่ สำหรับคนไทยแล้วคุณมีสิทธิเลือกจะไม่กิน หรือกินแต่พอรู้รส ทั้งนี้เพราะความสุขของมนุษย์อย่างหนึ่งคือ การได้กินของที่ชอบ แต่ต้องกินแบบมีสติสัมปชัญญะ คือ รู้ว่าควรกินเท่าไรแล้วควรไปตัดบางส่วนของอาหารชิ้นอื่นออกท่าไร เช่น ถ้าใจมันอยากกินข้าวขาหมูและได้พยายามไม่กินส่วนที่เป็นหนังมัน ๆ แล้ว ท่านยังต้องมองที่จะตัดอาหารอื่นที่ให้พลังงานสูง เช่น แกงกะทิ ออกไปด้วย เพราะยังไง ๆ ข้าวขาหมูก็ต้องมีมันบ้างไม่มากก็น้อย   ความรู้หนึ่งที่ท่านผู้อ่านควรมีไว้ประดุจเป็นอาวุธต่อสู้โรคภัยจากการกินคือ รู้ว่าอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ได้แก่ ขาหมูพะโล้ หมูกรอบ กุนเชียง ไอศกรีมทำเอง (ซึ่งอุดมทั้งนมเนยไข่) รู้ว่าอาหารอะไรมีน้ำตาลสูงเช่น น้ำชานั้นโดยธรรมชาติมีรสขม ถ้าจะทำให้หวานสดชื่นจะต้องใส่น้ำตาลหลายช้อนโต๊ะ ส่วนน้ำมะตูมนั้นแม้ไม่หวานนัก แต่ก็มีความหอมธรรมชาติที่ไม่ต้องเติมน้ำตาลมากก็ทำให้เกิดความชื่นใจได้ ผู้เขียนนั้นได้รับการสอนมาไม่ให้กินทิ้งกินขว้าง จึงมักกินอาหารในลักษณะที่ล้างจานได้ง่าย ในขณะที่หนุ่มสาวปัจจุบัน สั่งอาหารกินตามที่ตาเห็นว่าน่ากิน แต่พอเข้าปากแล้วไม่ถูกใจ ก็เลิกกินอาหารจานนั้น ซึ่งดูแล้วขัดตาผู้เขียนยิ่งนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องกินอาหารจนหมดจานก็ได้ (แม้ว่ามันจะสุดอร่อย) เมื่อรู้สึกอิ่มแล้วก็หยุดกิน ฝรั่งใช้สำนวนว่า “You don't need to clear your plate. Instead, eat slowly and stop when you are full.” วิธีนี้ทำให้ความเสี่ยงในการกินอาหารเกินจำเป็นลดลง หลายท่านอาจเคยเตลิดเปิดเปิงไปกับอาหารที่มีน้ำตาลสูง ถ้าต้องไปงานเลี้ยงที่สอดแทรกการทะนุบำรุงวัฒนธรรมการกินอาหารไทย ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่า ทองหยิบ ฝอยทอง เม็ดขนุน ฯลฯ นั้นเมื่อกินแล้วมักหยุดยาก จึงต้องมีใจหนักแน่น หายใจเข้านึกรู้ว่าอ้วนแน่ หายใจออกนึกรู้ว่าโรคถามหา ที่สำคัญถ้าไปงานเลี้ยงแบบฝรั่ง ซึ่งขนมนมเนยเต็มที่นั้น ขอให้มองให้ออกว่า ประตูสู่นรกของสุขภาพเลวเปิดกว้างแล้ว บทความ Healthy eating out นั้นมีเรื่องที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ คำแนะนำให้เปลี่ยนใจไม่กินอาหารอย่างหนึ่งไปกินอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่าว่า food swap ซึ่งน่าจะมีความหมายใกล้กับคำว่า food exchange แต่ไม่เหมือนกันทีเดียวเพราะ food swap นั้นเป็นการมองที่ชนิดอาหารโดยรวม ในขณะที่ food exchange นั้นมองลงลึกถึงองค์ประกอบทางโภชนาการของอาหารที่เทียบเท่ากัน ตัวอย่างของ food swap คือ คำแนะนำเมื่อไปกินอาหารตามภัตตาคารเช่น ถ้าเบื่อเนื้อไก่ไม่มีหนังนั้นสามารถเปลี่ยนไปกินเนื้อสัตว์ไม่ติดมันอื่นเช่น แฮม หรือปลา (ซึ่งไม่ได้ทำให้สุกโดยการทอด) ถ้าไม่ต้องการกินขนมพาย เบคอนและไส้กรอก ก็หันไปกิน pulses ซึ่งหมายถึง เมล็ดถั่วต่าง ๆ ส่วนเครื่องปรุงเช่น ซอสที่มีครีมและเนยแข็งนั้นควรเปลี่ยนไปใช้ซอสที่ทำจากผักหรือผลไม้เช่น ซอสมะเขือเทศ เป็นต้น ผู้เขียนนั้นค่อนข้างเห็นด้วยกับการใช้ food swap มากกว่า food exchange เพราะถ้าจำเป็นต้องกินสลัดเพื่อให้ได้ผัก ตามภัตตาคารมักทำสลัดแบบฝรั่งซึ่งมีน้ำสลัดที่มีค่าพลังงานสูง ทั้งที่คนไทยควรกินสลัดผักไทยคือ ส้มตำ ซึ่งสามารถเปลี่ยนชนิดของผักเป็นอะไรก็ได้ อีกทั้งน้ำสลัดของส้มตำนั้นพลังงานต่ำมาก ส่วนในกรณีท่านที่พ้นวัยรุ่นมาหลายฝนแล้วแต่ยังต้องการดื่มนมก็น่าจะเป็นการดื่มนมถั่วเหลือง เพราะมีไขมันต่ำและมีสารไฟโตเคมิคอลซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม บทความกินอาหารนอกบ้านเพื่อสุขภาพได้มีการแนะนำเคล็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการเลือกสั่งอาหารในเมนูที่เขียนว่า เพื่อสุขภาพ (ซึ่งในร้านอาหารบ้านเรายังไม่มี) บริกรในประเทศพัฒนาแล้วมักอธิบายได้ว่า มันเป็นอาหารสุขภาพด้วยเหตุผลใด ความจริงอาหารไทยเช่น แกงป่าต่าง ๆ ส้มตำ ขนมถั่วแปบนั้นจัดเป็นอาหารสุขภาพได้เลย ในหลายประเทศที่เจริญแล้ว เมนูของร้านอาหารนั้นได้มีการกำกับจำนวนพลังงานที่ท่านจะได้รับโดยประมาณไว้ด้วย ซึ่งประเทศไทยน่ามีกฎหมายบังคับกับอาหารจานด่วนที่วัยรุ่นชอบกิน เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถกำหนดได้ว่า จะกินอะไรบ้างเพื่อไม่ให้พลังงานที่ได้รับต่อวันไม่เกินไปจากที่ควรเป็นคือ หญิง 2000 กิโลแคลอรี และชาย 2500 กิโลแคลอรี ประเด็นหนึ่งที่บทความดังกล่าวย้ำเน้นคือ เมื่อไปรับประทานอาหารตามร้านนั้น ผู้บริโภคมักไม่เคยได้เห็นว่า พ่อครัวหรือแม่ครัวได้ทำการปรุงอาหารในลักษณะใด  ผู้บริโภคจึงควรบริหารสิทธิโดยถามว่า อาหารแต่ละจานนั้นปรุงแบบใดเช่น กรณีของคนไทยกินก๋วยเตี๋ยว ควรถามผู้ปรุงหรือสำทับหลังสั่งอาหารว่า ไม่ต้องใส่ผงชูรส (เพิ่มจากที่มีอยู่ในน้ำซุปแล้ว) เป็นต้น เรื่องการถามวิธีการปรุงอาหารนี้ไม่สำคัญเลยถ้าท่านไปโจ้ส้มตำไก่ย่างข้างปัมพ์น้ำมัน เพราะเราเห็นได้แน่ ๆ ว่า แม่ค้าปรุงอาหารสะอาดหรือสกปรกเพียงใด เติมอะไรให้เรากินบ้าง น้ำมะนาวนั้นเป็นมะนาวเทียมหรือเปล่า (ถ้าสนใจสังเกต) สิ่งที่สำคัญในกรณีของส้มตำนั้น ควรมีคำถามติดปากว่า ปูเค็มหรือปลาร้า นั้นสุกหรือไม่ มิเช่นนั้นถ้าติดเชื้อที่ทำให้ท้องเสียแล้วก็ไม่ควรบ่นให้เสียเวลา เพราะเข้าตำราว่า กินอยู่กับปาก (อ)ยากอยู่กับท้อง ในยุคสมัยที่คนไทยยอมรับกันแล้วว่า วัฒนธรรมการกินของคนไทยในเมืองใหญ่นั้นไม่ต่างจากชาวตะวันตก เพราะชีวิตมันรันทดนัก ต้องเร่งรีบซื้อ รีบกิน รีบกลับไปทำงาน ดังนั้นอาหารที่กินง่ายเช่น แซนด์วิชจึงตอบสนองกับรูปแบบชีวิตได้ดี บทความดังกล่าวได้แนะว่า ถ้ายังมีโอกาสทำแซนด์วิชไปกินเองที่ทำงานก็ควรทำ เพราะประหยัดเงินและสามารถจัดให้อาหารจานด่วนนี้มีคุณค่าทางโภชนาการดูดีและสะอาดเท่าที่เราต้องการ เช่น การเลือกใช้ขนมปังที่ทำจากแป้งสาลีไม่ขัดสี การใส่ผักในแซนด์วิชให้มากพอที่ควรลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ผู้เขียนไม่กล้าใช้คำว่า โภชนาการครบ กับการกินอาหารประจำวัน เพราะจริง ๆ แล้วมีใครบ้างสามารถทำให้อาหารแต่ละจานมีคุณค่าโภชนาการครบได้จริง ที่เป็นไปได้ก็แค่ดูเหมือนครบ ซึ่งแค่ดูเหมือนก็คงพอแล้ว เช่น ขอให้มีผักผลไม้ประมาณกึ่งหนึ่งในมื้ออาหาร เป็นต้น ประเด็นหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากต่อผู้ที่ต้องซื้ออาหารกินคือ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยอาหาร ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดมักเน้นย้ำว่า ท่านต้อง “อ่านฉลาก” ที่ติดที่ภาชนะบรรจุอาหารให้เข้าใจทุกครั้งว่า ท่านได้สารเจือปนในอาหารสักเท่าไร โดยเฉพาะถ้าเป็นอาหารที่ได้จากผู้ผลิตซึ่งทำตามมาตรฐานที่ดีแล้ว จะบอกสิ่งสำคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับสุขภาพที่ผู้บริโภคควรรู้ต่าง ๆ เช่น ปริมาณเกลือ สำหรับผู้ที่มีอาการความดันโลหิตสูงหรือไตไม่ปรกติ เป็นต้น ดังนั้นท่านอาจต้องทำป้ายติดที่โต๊ะอาหารว่า วันนี้คุณอ่านฉลากอาหารแล้วหรือยัง   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 126 ฟังก์ชั่นนอลฟู้ด อาหารเพื่อสุขภาพ ??

  มนุษย์มิได้กินอาหารเพียงเพื่อตอบสนองต่อความหิวเท่านั้น แต่เป็นการกินเพื่อตอบสนองต่อความอยากและความชอบ นอกจากนี้อาจมีปัจจัยอื่นๆ เช่น ฐานะ เงินทอง และโอกาสฉลองต่างๆ มนุษย์ก็จะเพิ่มความวิลิศมาหราในการกินขึ้นไปจากเดิม จนหลายครั้งผู้เขียนก็ยังสงสัยว่า สิ่งที่คนหลายคนกินนั้นมันเกิดเนื่องจากเหตุผลอะไร และมีความสมควรที่จะกินหรือไม่   ท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินคำว่า Functional food ที่มีคนไทยแปลแบบทับศัพท์ว่า อาหารฟังก์ชั่น (ฟังดูแล้วเดิ้ลแต่ไม่ได้อะไรเลยจริงๆ) มีนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นกล่าวว่า คำนี้เต็ม ๆ คือ physiologically functional food ซึ่งความหมายนั้นน่าจะหมายถึง “อาหารที่มีผลดีต่ออวัยวะภายในร่างกายมนุษย์ ซึ่งส่งผลให้สุขภาพมนุษย์ดีเหมือนอย่างที่ควรเป็นได้” จึงน่าจะเรียกง่ายๆ ว่า อาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งอาหารกลุ่มนี้จำเป็นต้องมีประจักษ์พยานจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่า ทำให้สุขภาพผู้บริโภค ดีเหมือนคนปรกติหรือป้องกันไม่ให้มีความผิดปรกติเกิดขึ้น แก่ระบบสรีรวิทยาของร่างกายผู้บริโภค  ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับคำนิยามของอาหารเพื่อสุขภาพที่นักวิชาการบางคนกล่าวว่า เป็นอาหารที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายเหนือไปจากการกินสารอาหารพื้นฐาน (ซึ่งตรงกับคำว่า nutrient) ที่ร่างกายต้องการ  ทั้งนี้เพราะเราไม่สามารถกินสารอาหารพื้นฐาน ซึ่งได้แก่ แป้ง โปรตีน ไขมัน แร่ธาตุ และวิตามิน โดยปราศจากสารที่ไม่ได้เป็นสารอาหารพื้นฐานที่ร่างกายต้องการ(ซึ่งในภาษาอังกฤษใช้คำว่า anutrient เช่น พฤกษเคมี หรือ phytochemical)  ตัวอย่างเช่น ในการกินข้าวเหนียวดำ เราได้แป้งซึ่งเป็น nutrient แน่นอน แต่ก็ยังได้ แอนโทไซยานิน (anthocyanin) ซึ่งเป็น anutrient อย่างเลี่ยงไม่ได้และไม่ควรเลี่ยง  ดังนั้นถ้าพยายามลองใช้คำจำกัดความของผู้ที่พยายามทำให้อาหารเพื่อสุขภาพดูวิเศษกว่าที่ควรเป็น มาอธิบายความหมายของ ข้าวเหนียวดำมูน (กะทิ) ถั่วแดงต้มน้ำตาล และอื่น ๆ ซึ่งเป็นอาหารธรรมดาที่เรากินทุกวัน เราก็น่าจะประมวลได้ว่าอาหารเหล่านี้ต่างเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่เกิดตามธรรมชาติ ในขณะที่อาหารเพื่อสุขภาพที่ไม่เป็นธรรมชาตินั้น เป็นการดัดแปลงเอาอาหารที่มีประโยชน์อย่างเดียวมาเติมสิ่งที่เป็นประโยชน์ ซึ่งมักสกัดมาจากแหล่งอาหารธรรมชาติอื่นเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดูดีขึ้น เช่น กรณีทำให้ขนมจีนสีขาวซึ่งมีแต่แป้งกลายเป็นขนมจีนสีดอกอัญชัญ ซึ่งเมื่อทดสอบฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์แล้วได้ผลดี ขนมจีนสีดอกอัญชัน(รวมทั้งสีอื่นที่ได้จากธรรมชาติ) ก็น่าจะเป็นอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดการก่อกลายพันธุ์ และจัดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพชนิดหนึ่งได้  จะเห็นว่าอาหารเพื่อสุขภาพนั้นไม่ได้อยู่ไกลตัวเรานัก เพียงแต่ขอให้มีปัญญาในการประดิษฐ์อาหารให้แปลกออกไปจนเป็นอาหารที่ทำให้ร่างกายทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เช่น ถ้ารู้ว่าอาหารจานใดขาดสารที่มีประโยชน์กลุ่มใดก็หามาเติมให้ครบ แต่ถ้าครบอยู่แล้วก็ควรได้แค่นั้น ไม่ควรเติมจนได้เกินนักเพราะอะไรที่กินเกินไปมักก่อโทษแก่ร่างกายได้   ฟังก์ชั่นนอลฟู้ดกับการจัดการสไตล์ญี่ปุ่น ในประเทศญี่ปุ่นมีคำว่า FOSHU (Foods for Specified Health Use) และอาจมีคำอื่นอีกเช่น Designed food และ Nutraceutical food ซึ่งน่าจะหมายถึงอาหารเพื่อสุขภาพเช่นกัน  ตัวอย่างเช่น ถ้าหวังจะให้คนท้องได้สารอาหารไปเพิ่มให้เด็กในท้องมีสุขภาพปรกติ ต้องผลิตอาหารที่มีแคลเซียมสูง เหล็กสูง โฟลิกสูง และสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับคนท้องที่ไม่ค่อยมีโอกาส(อาจรวมถึงปัญญา) กินอาหารลักษณะนี้เพื่อช่วยให้ตัวอ่อนในครรภ์เจริญเติบโตเต็มที่  ส่วนคนที่ขับถ่ายไม่สะดวก ก็ควรได้กินอาหารที่มีการประดิษฐ์ให้มีกากใยอาหารสูงและมีเชื้อจุลินทรีย์สายพันธุ์เฉพาะ ที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยทำให้ขับถ่ายดีผสมกัน พร้อมมีลักษณะสัมผัสที่คนทั่วไปชอบ ในขณะที่นักกีฬาซึ่งเสียเหงื่อมากระหว่างการออกกำลังกาย ต้องการการชดเชยของเกลือแร่ ก็มีการประดิษฐ์เครื่องดื่มเกลือแร่เพื่อช่วยให้ไม่เป็นตะคริว และผู้ที่มีอาการความดันโลหิตสูงหรือไตไม่แข็งแรง ต้องกินอาหารที่ประดิษฐ์ให้มีเกลือต่ำ เป็นต้น  ดังที่ได้เกริ่นในตอนต้นแล้วว่าในประเทศไทยนั้น คำจำกัดความจริงๆ ของอาหารเพื่อสุขภาพยังไม่มีเป็นทางการ ดังนั้นการคุ้มครองผู้บริโภคจึงไม่เป็นทางการด้วย เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักขึ้นทะเบียนเป็นอาหารทั่วไป แล้วไปโฆษณาเต็มที่เวลาขายตรง(ใครจะไปตามจับทัน หน่วยงานขาดบุคลากร งบประมาณและเครื่องมือ นี่คือคำอธิบายที่ได้รับเวลาถามหน่วยงานที่ควรเป็นผู้ดูแลว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ออกมาขายพร้อมโฆษณาเกินจริงได้อย่างไร) ผู้เขียนจึงขอนำหลักการดูแลอาหารประเภทนี้แบบคร่าว ๆ จากญี่ปุ่น (www.cspinet.org) มาเล่าให้ฟัง  การขออนุญาตให้อาหารที่เรียกว่า FOSHU ได้มีการขายแบบถูกต้องนั้น ต้องมีหลักการที่ทำให้ผู้บริโภครู้ว่า กำลังกินอะไรอยู่ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องยื่นขออนุญาตจากกระทรวงที่เกี่ยวข้องในการขายผลิตภัณฑ์ โดยต้องยื่นข้อมูลประกอบด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่า อาหารดังกล่าวนั้นมีผลจริงจากการทดลองโดยนักวิชาการจริงๆ เพื่อให้รู้ว่าอาหารที่ขอขึ้นทะเบียนขายนั้นมีประโยชน์ตามการอ้างในโฆษณาหรือไม่ นอกจากนี้ต้องมีการแสดงข้อมูลความปลอดภัยของอาหารนั้นๆ ตลอดจนมีวิธีการวิเคราะห์องค์ประกอบอาหาร ซึ่งต้องอยู่ในลักษณะของบทความทางวิทยาศาสตร์ที่มีการตีพิมพ์เป็นสากล ไม่ใช้เอาบทความที่เขียนเองอ่านเองโดยผู้ผลิตอาหารมาอ้าง ส่วนฉลากของอาหารเพื่อสุขภาพนั้น ต้องมีการแสดงข้อมูลที่ไม่ทำให้ผู้บริโภคฉลาดน้อยกว่าเดิม และหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องตรวจสอบและให้เครื่องหมายเฉพาะที่หมายความว่า ผ่านการตรวจสอบอย่างดีแล้ว ซึ่งก็ควรหมายความต่อว่า ถ้ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นเนื่องจากฉลาก ผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบควรได้รับผลของความเลินเล่อให้ฉลากมั่วออกไปสู่ตาผู้บริโภคแบบเต็มๆ   จ่ายแพงไปทำไม สรุปแล้วอาหารที่เป็นอาหารเพื่อสุขภาพนั้น ต้องมีสภาพทางกายภาพเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่แท้จริงคือ ไม่อยู่ในรูปแคปซูล หรือเป็นผงเหมือนยา และเป็นอาหารที่ได้หรือดัดแปลงจากวัตถุดิบตามธรรมชาติ มนุษย์ธรรมดาสามารถบริโภคเป็นอาหารได้เป็นประจำไม่มีข้อจำกัดเหมือนยา และมีส่วนประกอบที่ให้ผลโดยตรงในการส่งเสริมการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายให้ปรกติและป้องกันโรคต่างๆ ได้ โดยมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์สุขภาพโดยผู้ชำนาญการเฉพาะ  สำหรับท่านผู้อ่านที่มีฝีมือในการปรุงอาหารอยู่แล้ว ความจำเป็นต้องเสียเงินไปซื้ออาหารเพื่อสุขภาพนั้นควรจะหมดไป เพราะท่านสามารถดัดแปลงอาหารทั่วไปที่บริโภคในแต่ละมื้อให้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพได้ เช่น กรณีของส้มตำ ถ้ามีความสะอาดดีพอก็จะเป็นอาหารที่เพิ่มกากใย ให้สารต้านมะเร็ง ลดความเสี่ยงโรคหลายโรคได้ สำหรับนมไขมันต่ำก็น่าจะเป็นอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับคนที่มีไขมันในเลือดสูงและ/หรือสำหรับคนต้องการแคลเซียมสูง ในกรณีที่ต้องการควบคุมความดันโลหิตสูง ก็ทำได้โดยกินอาหารมีเกลือต่ำ เช่น อาจผัดผักโดยไม่ใส่เกลือหรือน้ำปลาหรือใช้น้ำปลามีโซเดียมต่ำ เป็นต้น  ดังนี้แล้วเราก็จะประหยัดเงิน ไม่ต้องไปซื้ออาหารอะไรก็ไม่รู้ ที่มีใครก็ไม่รู้ มาบอกอะไรก็ไม่รู้ กินให้ไม่รู้อะไร

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 125 รวมเด็ดสะเก็ดข่าวอาหารและโภชนาการ ตอน 2

  ในฉบับนี้ผู้เขียนขอเล่าถึงคำถามที่มักต้องตอบเพื่อไขข้อข้องใจของผู้สนใจต่อจากที่ค้างในฉบับที่แล้วอีก 5 ประเด็น   กลูตาไทโอนทำให้ผิวขาวจริงหรือไม่  คำตอบคือถ้ากลูตาไทโอนปรากฏอยู่ในเลือดในระดับสูงกว่าปรกติมากๆ โอกาสที่ผู้นั้นจะมีผิวขาวกว่าเดิมก็มี แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรจึงจะทำให้ความเข้มข้นของกลูตาไทโอนในเลือดสูงขึ้นมาได้  ผู้ค้าสินค้าที่ผสมกลูตาไทโอน ไม่ว่ากินหรือทา ต่างก็นั่งยัน นอนยัน ว่าสินค้านั้นได้ผลทั้งสิ้น คือ ขาวแน่ แต่ไม่มีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน มักบอกแต่ว่าลูกค้าบอกว่าขาวจริง ซึ่งอาจเป็นด้วยอุปทาน หรือกลัวเสียค่าโง่ที่ซื้อของไปแล้วไม่ได้ตามต้องการ เลยแกล้งบอกว่าได้ผล เพื่อให้มีคนโดนหลอกเหมือนตนเองบ้าง ทั้งนี้เพราะกลูตาไทโอนนั้น องค์ประกอบทางเคมีเป็นกรดอะมิโนสามชนิด คือ กลูตามิก ซิสเตอีนและกลัยซีน ต่อกันเป็นสายสั้นนิดเดียว(ไตรเป็บไตด์) เมื่อลงสู่ลำไส้เล็กของมนุษย์หลังการกลืนแล้ว ผู้เขียนยังหาหลักฐานยืนยันจากบทความที่เป็นผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ว่า มีการเพิ่มขึ้นของกลูตาไทโอนในเลือดแต่อย่างใด ผู้เขียนเข้าใจว่า กลูตาไทโอนนั้นถูกย่อยออกเป็นกรดอะมิโนทั้งสามชนิด ก่อนถูกดูดซึมเข้าเลือดไปตับ หลังจากนั้นการจะสร้างหรือไม่สร้างกลูตาไทโอนจากกรดอะมิโนทั้งสามนั้นเป็นไปตามบุญตามกรรม ดังนั้นวิธีเดียวที่จะทำให้กลูตาไทโอนในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนคือ การฉีดเข้าเส้นเลือด ซึ่งเป็นความเสี่ยงอันตรายต่อการเสียชีวิต ถ้าเป็นการฉีดจากผู้ไม่ชำนาญหรือปริมาณที่สูงเกินไปจนร่างกายรับไม่ได้ ดังนั้นโดยสรุปแล้ว ไม่ควรแลกความขาวของผิวกับความเสี่ยงที่ไม่ได้อยู่ดูโลกแตกในปี 2012 เลย ที่สำคัญถ้าผิวขาวขึ้นจริง ท่านก็จะต้องเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังสูงขึ้นเป็นรางวัลแด่คนช่างฝัน   การกินคลอลาเจนแล้วผิวจะเต่งตึงขึ้นหรือไม่  คำตอบก็คือ ขึ้นกับว่าอายุท่านแก่มากแค่ไหน ถ้ายังแค่ห่ามๆ เซลล์ร่างกายพอมีความสามารถในการสร้างคลอลาเจนได้จากกรดอะมิโนพิเศษคือ ไฮดรอกซีโพรลีนและไฮดรอกซีไลซีน(ซึ่งถูกย่อยออกจากคอลลาเจนที่กินเข้าไป) ผลที่มองเห็นว่ามีความเต่งตึงก็คงพอมี แต่คงไม่ต่างจากการกินโปรตีนทั่วไปสักเท่าไร ทั้งนี้เพราะกรดอะมิโนพิเศษที่ใช้ในการสร้างคลอลาเจนนั้นร่างกายมนุษย์เราผลิตได้เองจากกรดอะมิโนธรรมดาคือ โพรลีนและไลซีน ในร่างกายเราโดยอาศัยวิตามินซีเป็นผู้ช่วยสำคัญ ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจที่ผู้ซึ่งนิยมบริโภคผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงจะมีผิวสวยในราคาต้นทุนที่ถูกกว่า  แต่ถ้าท่านอยู่ในวัยที่สุกงอมคาต้นแล้ว กินอย่างไรก็ไร้ค่า วิธีเดียวคือ เสี่ยงตายฉีดคลอลาเจนเข้าใต้ผิวหนังส่วนที่ต้องการให้ตึง แล้วก็นั่งนับวันที่มันจะมีอาการบวมติดเชื้อตามมาได้เลย ถ้าคนฉีดไม่มีความสามารถจริง  *************** กินข้าวกล้องงอกแล้วดีหรือไม่ คำตอบคือ ดีแน่ เพราะข้าวกล้องโดยธรรมชาติแล้วอุดมไปด้วยวิตามินบีต่างๆ วิตามินอีและสารต้านอนุมูลอิสระอีกหลายชนิด นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งของใยอาหารที่ช่วยการขับถ่ายให้สะดวกด้วย นอกจากนี้เมื่อข้าวกล้องถูกนำมาทำเป็นข้าวกล้องงอก สิ่งที่ตามมาคือ การเป็นแหล่งของสารกาบา (gamma-aminobutyric acid) ซึ่งดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ดีคือ ได้ทั้งสารที่มีประโยชน์จากการเป็นข้าวกล้อง และสารกาบาซึ่งเชื่อว่าช่วยให้เกิดการผ่อนคลายของสมอง แต่........  เมื่อเข้าค้นหาข้อมูลว่า การกินอาหารที่มีกาบาแล้วมีผลต่อการทำงานของสมองหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีงานวิจัยที่พิสูจน์ว่า อาหารที่มีกาบาสูงช่วยให้สมองมีการผ่อนคลาย ตัวอย่างเช่นข้อมูลจาก Wikipedia กล่าวว่า “GABA does not penetrate the blood-brain barrier; it is synthesized in the brain. It is synthesized from glutamate using the enzyme L-glutamic acid decarboxylase and pyridoxal phosphate (which is the active form of vitamin B6) as a cofactor via a metabolic pathway called the GABA shunt. This process converts glutamate, the principal excitatory neurotransmitter, into the principal inhibitory neurotransmitter (GABA)” นั่นก็คือ กินกาบาเข้าสู่ร่างกายได้ แต่ไม่เข้าสมอง เพราะไม่สามารถผ่านกำแพงสำคัญคือ blood-brain barrier ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ป้องกันสมองจากสารอันตรายต่างๆ และที่สำคัญกาบาที่ช่วยให้สมองผ่อนคลายนั้นเป็นกาบาที่สมองสร้างขึ้นเองจากสารกลูตาเมต โดยสรุป ณ เวลานี้ กินข้าวกล้องงอกได้กาบา แต่ดูจะไม่มีประโยชน์ในด้านทำให้หลับสบายเพราะเข้าไปไม่ถึงสมองนั่นเอง  ขอแสดงความเสียใจต่อผู้ที่หวังว่ากินข้าวกล้องงอกแล้วจะได้ประโยชน์จากสารกาบา  ให้ลูกกินน้ำมันปลาดีไหมจะได้ฉลาด  คำตอบน่าจะต้องเข้าใจพื้นฐานของคำว่า ฉลาด ก่อนว่าหมายความว่าอย่างไร  ใน Cambridge Advanced Leraners’s Dictionary ให้ความหมายของคำว่า clever หรือ ฉลาดว่า having or showing the ability to learn and understand things quickly and easily ดังนั้นคนฉลาดจึงน่าจะหมายถึงคนที่เข้าใจอะไรได้เร็วหรือเรียนอะไรได้เร็วกว่าคนอื่น ซึ่งอาจเนื่องจากสมองมีระบบประสาทที่มีใยประสาทเชื่อมต่อกันอย่างดี สามารถประมวลผลความรู้ก่อให้เกิดเป็นปัญญาเร็วกว่าคนอื่น  นักวิจัยด้านการพัฒนาการทำงานของสมองกล่าวว่า ช่วงสามปีแรกของเด็กจะเป็นช่วงสำคัญของการพัฒนาสมอง ซึ่งขึ้นกับสภาวะโภชนาการที่ดี มีสารอาหารครบ อย่างไรก็ดียังไม่มีการระบุว่า สารอาหารอะไรที่มีความวิเศษที่จะเสกให้เด็กมีปัญญาเลิศเกินคนอื่น เพราะส่วนใหญ่เด็กที่จัดว่าฉลาดเช่น เข้าเรียนแพทย์โดยไม่ต้องกวดวิชา มักอยู่ในสังคมระดับที่พ่อแม่มีอันจะกิน ซื้อหาความรู้มาประดับสมองเด็กได้ ในขณะที่เด็กซึ่งอาจดูฉลาดแต่อยู่ในสภาวะแวดล้อมเลวร้ายเช่น ชุมโจร ก็อาจฉลาดได้สุด ๆ ในด้านการก่อความเลวร้ายได้  ผู้เขียนเคยฟังการบรรยายของแพทย์ท่านหนึ่งแล้วประมวลได้ว่า ในกรณีของน้ำมันปลาซึ่งมีกรดไขมันชนิดโอเมก้า 3 นั้นช่วยให้เด็กมีระบบเส้นใยประสาทสมองเชื่อมกันได้ดี ถ้าแม่กินตั้งแต่เด็กยังไม่เกิด โดยแนะนำให้กินในรูปอาหารมากกว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเมื่อเด็กออกมาจากท้องแม่แล้ว ความฉลาดจะขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเด็กที่ฉลาดนั้นมักจะขยันด้วยแล้วจึงได้ดี ในขณะที่เด็กบางคนท่าดีว่าจะฉลาดแต่เมื่อไม่ขยันในการเรียน ก็มักไม่ได้ดี อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้ว นอกจากจะพยายามส่งเสริมให้ลูกหลานฉลาดแล้ว ต้องปรับแต่งให้เด็กเป็นคนดีด้วย รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ไม่หวังเอา ลาภ ยศ สรรเสริญ โดยทำผิดทำนองคลองธรรม เพราะถ้าทำอย่างนั้นจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ดังมีตัวอย่างที่ปรากฏแล้วหลายตัวอย่าง ****************************** การดื่มน้ำชาและกาแฟเป็นประโยชน์หรือโทษแก่ร่างกาย คำตอบคือ เป็นทั้งประโยชน์ถ้าดื่มเป็นและโทษถ้าดื่มไม่เป็น โดยก่อนอื่นท่านผู้อ่านต้องเข้าใจว่า เราดื่มน้ำชาและกาแฟด้วยวัตถุประสงค์อะไร  เครื่องดื่มทั้งสองชนิดว่าไปแล้วเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้การเข้าสังคมเป็นไปได้อย่างราบรื่น ดีกว่าการดื่มเหล้าและเบียร์แบบฟ้ากับเหว เพราะน้ำชาและกาแฟนั้นจะช่วยให้ผู้ดื่มสดชื่นจากแคฟเฟอีน อีกทั้งแคฟเฟอีนก็ช่วยในการกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร แต่ประเด็นนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับแอลกอฮอล์ที่ช่วยการเรียกน้ำย่อย อย่างไรก็ดีการดื่มน้ำชาและกาแฟไม่ทำให้ไร้สติสัมปชัญญะ ต่างจากเหล้าและเบียร์ อีกทั้งน้ำชาและกาแฟชงสดๆ (แต่ไม่ร้อนเกินไป) จะมีสารต้านอนุมูลอิสระ และสารต้านมะเร็งอยู่ด้วย ดังนั้นการดื่มน้ำชาและกาแฟไม่เกินวันละสามครั้งหลังอาหาร ก็ควรจะเป็นประโยชน์แก่สุขภาพ แต่ถ้ามากไปและไม่เป็นเวลา อาการปวดหัวไมเกรนและโรคกระเพาะอาจถามหาได้ เพราะน้ำย่อยอาหารที่กาแฟเหนี่ยวนำออกมา ถ้าไม่มีอะไรย่อย ก็จะย่อยกระเพาะอาหารจนทำให้เป็นแผลในกระเพาะได้ กรณีนี้จะยกเว้นกับคนส่วนน้อยบางคนที่สามารถกินกาแฟได้ทุกช่วงเวลาโดยไม่เป็นอะไร

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 124 รวมเด็ดสะเก็ดข่าว อาหารและโภชนาการ

  ผู้เขียนถามตัวเองว่า เรารู้อะไรและไม่รู้อะไรบ้างเกี่ยวกับอาหารและโภชนาการ คำตอบที่ได้คือ รู้น้อยมาก เพราะหลายครั้งที่มีคนตั้งคำถามขึ้นมา เราต้องเสียเวลาหาคำตอบจากแหล่งที่ให้ความรู้คือ ตำราและอินเตอร์เน็ต ในกรณีของอินเตอร์เน็ตนั้น เป็นแหล่งที่คนทั้งที่เป็นผู้รู้และคิดว่าตนเป็นผู้รู้ขึ้นมาแสดงความรู้กัน จึงทำให้เราซึ่งเป็นผู้แสวงหาความรู้ต้องสามารถตีความได้ว่า ข้อมูลที่กำลังอ่านหรือฟังจากอินเตอร์เน็ตนั้นเชื่อถือได้เพียงใด โดยเฉพาะกับข้อมูลที่เกี่ยวพันกับการค้าสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพ  เวลาผู้เขียนมีโอกาสบรรยายความรู้ทางอาหาร โภชนาการและพิษวิทยาในที่ประชุมต่างๆ มักมีคำถามที่ผู้ฟังกังขา(ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในประเด็นที่ได้บรรยาย) ถามเป็นประจำ ซึ่งเป็นการแสดงว่า ผู้ถามเริ่มเป็นนักแสวงหาความรู้ที่ดี กล่าวคือไม่เชื่ออะไรง่ายๆ พยายามหาความคิดที่สอง ซึ่งฝรั่งเรียกว่า second thought  คำถามที่มักอยู่ในการบรรยายช่วง ถาม-ตอบ คือ • น้ำมันมะพร้าวกินดีไหม • น้ำประปาต้มแล้วดื่มได้หรือไม่• สมุนไพรเป็นของธรรมชาติแล้วมีอันตรายได้หรือ• น้ำคลอโรฟิลล์กินดีหรือไม่• กินน้ำต้มใบแปะก๊วยแล้วสมองจะดีขึ้นใช่ไหม• กินรังนกแล้วสุขภาพดีขึ้นจริงหรือไม่• กลูตาไทโอนช่วยทำให้ผิวขาวจริงหรือ• กินคลอลาเจนแล้วผิวจะเต่งตึงขึ้นหรือไม่• กินข้าวกล้องงอกแล้วดีหรือไม่• ทำอย่างไรลูกจึงจะฉลาด ควรให้กินน้ำมันปลาดีไหม• ดื่มน้ำชาและกาแฟ เป็นประโยชน์หรือโทษแก่ร่างกาย ฯลฯ  ผู้เขียนจะขอตอบคำถามเหล่านี้ให้ท่านผู้อ่านเข้าใจแบบง่าย ๆ อีกสักครั้ง เผื่อคราวหน้าได้พบปะกัน จะได้มีประเด็นนอกเหนือไปจากนี้เสียที   น้ำมันมะพร้าวดีจริงไหม?  กรณีน้ำมันมะพร้าวนั้น ผู้เขียนเคยเขียนลงในฉลาดซื้อเมื่อไม่กี่เดือนมานี้แล้ว และความจริงเรื่องเกี่ยวกับไขมันที่ใช้ในการบริโภคก็ได้เคยเขียนมา 3 ตอนในฉลาดซื้อเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ซึ่งสรุปแล้วการกินน้ำมันมะพร้าว สิ่งที่ได้ก็เหมือนกับกินน้ำมันทั่วไปคือ ให้พลังงาน กินมากก็อ้วน ข้อดีคือ น้ำมันมะพร้าวให้พลังงานเร็ว ทางการแพทย์จึงนำไปประกอบเป็นอาหารการแพทย์สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการพลังงานในการฟื้นตัว ที่สำคัญน้ำมันมะพร้าวใช้ทอดอาหารดี เพราะเป็นน้ำมันอิ่มตัว มีองค์ประกอบบางชนิดที่ทำให้อาหารที่ทอดมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ความสามารถในการฆ่าเชื้อนั้นเป็นคุณสมบัติทั่วไปของน้ำมันพืช สังเกตได้ว่าในการทำศึกสมัยโบราณ เวลาตัดหัวแม่ทัพข้าศึกได้ จะทำการแช่หัวไม่ให้เน่าในน้ำมันหรือน้ำผึ้ง โดยอาศัยว่า สารละลายทั้งสองชนิดยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ดี   จริงหรือไม่อย่าดื่มน้ำประปาต้ม?  เรื่องของน้ำประปานั้น เป็นประเด็นสำคัญเพราะมีนักเขียนทั้งในเน็ตและหนังสือไปพบข้อความของนักเขียนต่างชาติที่บอกว่า เนื่องจากน้ำประปามีสารคลอรีนปนอยู่ ขณะที่ทำการต้มน้ำนั้นคลอรีนสามารถทำปฏิกิริยากับสารประกอบอินทรีย์ที่มีแขวนลอยอยู่ในน้ำกลายเป็นสารประกอบใหม่กลุ่มที่เรียกว่า ฮาโลมีเทน (halomethane) ซึ่งมีสมาชิกหลายชนิดเป็นสารก่อมะเร็ง จึงแนะนำให้ผู้บริโภคซื้อเครื่องกรองน้ำมากรองเอาคลอรีนออกจากน้ำก่อนต้ม  ความจริงแล้วมันก็จริงอย่างที่เขาเขียนกัน เพียงแต่ว่าปรกติแล้วปริมาณคลอรีนที่ใช้ในการฆ่าเชื้อนั้นค่อนข้างต่ำและถ้าทิ้งน้ำประปาไว้ในตุ่มดินก่อนนำน้ำมาดื่ม คลอรีนก็จะระเหยไปบ้าง ส่วนสารก่อมะเร็งที่เกิดขึ้นหลังการต้มน้ำประปาโดยปรกติแล้วเกิดในปริมาณต่ำมากๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับเป็นส่วนในพันล้านส่วน โดยสรุปแล้วยังคงแนะนำให้ต้มน้ำประปาดื่มต่อไปถ้ายังกังวลว่าอาจมีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ ส่วนสารพิษที่เกิดขึ้นในปริมาณต่ำร่างกายมักทำลายทิ้งได้เอง   สมุนไพรไม่น่าอันตรายเพราะมาจากธรรมชาติ?   สำหรับประเด็นความกังวลของผู้รักสุขภาพ(ที่มักแสวงหาอาหารหรือสมุนไพรมากินบำรุงร่างกาย) เกี่ยวกับอันตรายจากการแสวงหาของกินนั้นเป็นเรื่องน่าสนใจ เพราะมีหลายคนที่เข้าใจว่า อะไรก็ตามที่เป็นธรรมชาติแล้วน่าจะปลอดภัย ทั้งที่คำสองคำนั้นเขียนก็ต่างกัน ความหมายยิ่งคนละเรื่องเลย ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่จะบริโภคสิ่งที่เป็นสมุนไพร(ซึ่งมีคำจำกัดความกว้างมาก) ก็ให้พึงระลึกก่อนว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปเขากินกันมาหลายชั่วคนแล้วหรือไม่ และที่สำคัญสิ่งที่กินนั้นมันใช่สิ่งที่ต้องการกินหรือไม่ (เพราะสมุนไพร เช่น รากไม้นั้นดูเหมือนกันไปหมด) ถ้ากติกาทั้งสองข้อนี้ไม่ผ่าน ก็กินอะไรที่หากินได้ง่าย ๆ ไปก่อนเถิด เพราะผู้เขียนยังเชื่อในหลักการว่า การกินอาหารครบห้าหมู่ในสัดส่วนที่ถูกต้องตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ประกอบกับการออกกำลังกายที่เหมาะสมแล้ว สุขภาพควรแข็งแรงดี   น้ำคลอโรฟิลล์ดีจริงหรือ?  คำถามยอดฮิตของวัยรุ่นแย้มฝาโลงคือ การดื่มน้ำคลอโรฟิลล์แล้วทำให้สุขภาพดีจริงหรือไม่ คำตอบคือ จริง เพราะคลอโรฟิลล์ช่วยจับสารพิษบางประเภทออกจากร่างกายได้ อีกทั้งคลอโรฟิลล์เป็นแหล่งของธาตุ “แมกนีเซียม” ที่จำเป็นมากต่อร่างกาย อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้ว เราได้คลอโรฟิลล์จากผักใบเขียว การดื่มน้ำใบบัวบกแก้ร้อนใน หรือน้ำใบเตยก็ได้คลอโรฟิลล์ตามวัตถุประสงค์ให้สุขภาพดีแล้ว อีกทั้งแมกนีเซียมก็มีมากมายในน้ำประปาโดยอยู่ในรูปแมกนีเซียมคลอไรด์ซึ่งทำให้น้ำกระด้างถาวร ผู้บริโภคจึงไม่จำเป็นต้องไปซื้อผงคลอโรฟิลล์มาชงดื่มให้เปลืองเงินโดยไม่จำเป็น   จริงหรือไม่ น้ำชาจากใบแปะก๊วยช่วยให้ความจำดี?  ประเด็นการดื่มน้ำชาที่ได้จากการชงใบแปะก๊วยนั้น ผู้เขียนได้รับคำถามนี้จากสมาชิกชาวสวนลุมพินีที่ไปออกกำลังกายและบังเอิญผ่านเข้าไปฟังการบรรยายกลางสวนที่ผู้เขียนได้รับเชิญนานมาแล้ว คำตอบแบบฟันธงก็คือ สารสกัดจากใบแปะก๊วยด้วยน้ำร้อนนั้นเป็นสารคนละกลุ่มที่ช่วยให้เส้นเลือดสมองขยายได้ สารที่ช่วยให้เส้นเลือดที่สมองขยายตัวได้นั้นต้องสกัดด้วยตัวทำละลายไขมัน ได้แก่ เฮ็กเซน ไม่ใช่น้ำร้อน อย่างไรก็ตามถึงได้กินสารสกัดใบแปะก๊วยที่ได้จากการใช้เฮ็กเซนสกัดก็ตาม การขยายตัวของเส้นเลือดสมองนั้นเป็นการขยายจากเส้นเลือดที่เกิดอาการตีบให้ขยายออกเท่าเดิม จึงคิดและจำได้เหมือนที่เคยเป็น ไม่ใช่ขยายจากเดิมออกไปแล้วจำหรือคิดได้มากขึ้น จึงขอแสดงความเสียใจต่อนักศึกษา(ขี้คร้านทั้งหลาย) ผู้ตั้งความหวังว่า การกินสารสกัดจากใบแปะก๊วยทำให้เส้นเลือดเลี้ยงสมองขยายขนาดได้ แล้วเลือดจะไปเลี้ยงสมองมากขึ้นทำให้ฉลาดขึ้นเวลาใกล้สอบ  ความฉลาดนั้นเกิดจากการอ่านมากรู้มากและรู้จักคิด ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับพันธุกรรมด้วย นอกจากนี้ยังมีข้อควรระวังอีกว่า ถ้าท่านบริโภคสารสกัดจากใบแปะก๊วย(จริงๆ) เองโดยไม่อยู่ในความดูแลของแพทย์ เวลาต้องเข้ารับการผ่าตัดต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อน มิเช่นนั้นอาจมีอันตรายจากการเสียเลือดมากกว่าปรกติ เพราะมีตัวอย่างผู้บริโภคสารสกัดใบแปะก๊วยในต่างประเทศที่เสียเลือดมากกว่าปรกติจนเสียชีวิตขณะรับการผ่าตัดมาแล้ว   รังนกมีประโยชน์มากจริงหรือ? ในการบรรยายเกี่ยวกับความรู้ด้านอาหารและสุขภาพนั้น เมื่อเปิดเวทีให้มีการถาม ประเด็นที่ไม่เคยขาดไปจากความสนใจของผู้ฟังคือ เรื่องการกินรังนก ซึ่งผู้เขียนก็ยังยืนยันว่ามันคือ เสมหะหรือเสลดของนก ซึ่งเป็นสารคัดหลั่งจำพวกคอลลาเจน ที่เป็นโปรตีนไม่สมบูรณ์ ที่ไม่น่าจะมีสรรพคุณใดๆ ต่อสุขภาพของผู้บริโภค ยกเว้นว่า อร่อย เมื่อต้มกับน้ำตาลในความรู้สึกของผู้บริโภคบางท่าน ซึ่งไม่รวมผู้เขียน เนื่องจากอาหารประเภทนี้ ไม่ได้ต่างไปจากการกินหูฉลาม ซึ่งเป็นการทำร้ายสัตว์โลกผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขในภาวะโลกกำลังวิกฤตเช่นเดียวกัน ดังนั้นถ้าจะกินเพราะติดในกิเลสที่ต้องการเสพ ก็กินไปเถิด แต่ถ้าหวังประโยชน์ในการบำรุงสุขภาพ ก็ควรรอว่าเมื่อไรจะมีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับกันเสียที  สำหรับประเด็นอื่น ๆ จะขอยกยอดไปเล่าให้ฟังกันในฉบับหน้านะครับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 109 รู้ว่าเขาหลอก (แต่เต็มใจให้หลอก)

หัวข้อสนทนาในฉบับนี้คือ ชื่อเพลงที่ คุณสิรินทรา นิยากร ร้องมานานแล้ว และก็ยังเพราะอยู่ ที่สำคัญมันยอดจะทันสมัยสำหรับคนไทยวันนี้เลย ผู้เขียนจึงขอนำมาเป็นประเด็นในการคุยกับท่านผู้อ่านในฉบับนี้ ประเด็นสุขภาพกับอาหารนั้นเป็นเรื่องที่ รู้ว่าเขาหลอก (แต่เต็มใจให้หลอก) ไม่รู้จบ หลายคนรวยไปแล้วเพราะพูดเรื่องดังกล่าวเก่ง บ้างก็รวยจากสิ่งดีๆ ที่บริการแก่ผู้บริโภค ในขณะที่บ้างก็รวยจากสิ่งตนเองคิดเอาเองว่าดีแล้วขายต่อผู้บริโภค น่าประหลาดที่คนชอบหลอกหลายคนปักใจว่า สิ่งที่ตนคิดนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และนำแต่สิ่งที่คิดว่าถูกไปขายให้ผู้บริโภค ทำให้เกิดความน่าประหลาดใจมากขึ้นอีกหลายเท่าที่พบว่า สิ่งที่ขาย(ซึ่งไม่มีความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์) นั้น มีผู้ซื้อเสียด้วย เป็นไปในทำนองเดียวกับเครื่อง GT 200 ซึ่งความรู้ที่เรียนจากโรงเรียนของกระทรวงศึกษาไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย ประมาณยี่สิบปีมาแล้ว ผู้เขียนเคยซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าจากเพื่อนร่วมงานซึ่งคงขายด้วยความบริสุทธิ์ใจ ที่ว่าบริสุทธิ์ใจเพราะเพื่อนเป็นทั้ง รุ่นน้อง แล้วมาเป็นลูกศิษย์ จากนั้นก็มาเป็นลูกน้อง ผู้เขียนจึงประมาณเอาว่า ความสัมพันธ์หลายชั้นนี้ควรจะช่วยป้องกันการหลอกลวงได้ อุปกรณ์ที่ว่านั้นคือ เครื่องฟอกอากาศราคาเยา ซึ่งขอตั้งชื่อว่า กล่องมหาบำบัด ถามว่าทำไมถึงกล่าวว่าราคาเยาและทำไมผู้เขียนถึงซื้อ ก็ขอเฉลยว่าเนื่องจากอุปกรณ์ดังกล่าวนี้เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างง่ายๆ เป็นกล่องพลาสติกเล็กๆ มีเข็มแหลมยื่นออกมาสองแท่ง มีสายไฟต่อออกมาเพื่อนำไปเสียบกับระบบไฟบ้านเพื่อให้อุปกรณ์ในกล่องนั้นทำงานได้  ราคาประมาณ 150 บาท ซึ่งเมื่อนึกย้อนหลังไปแล้วก็พบว่า อุปกรณ์นี้ดูน่าเชื่อถือกว่า เครื่องตรวจหาวัตถุระเบิดมาก เพราะยังใช้ไฟบ้านเป็นแหล่งให้พลังงานไม่ได้ใช้ไฟฟ้าสถิตจากตัวเรา กล่องมหาบำบัดนี้ สามารถลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศได้ นี่คือคำประกาศคุณภาพที่ส่งต่อกันมา เหตุผลในการลดฝุ่นละอองได้ก็เพราะขณะทำงาน กล่องนี้จะปล่อยประจุไฟฟ้าออกมาจากเข็มแหลมดังกล่าวข้างต้นตามหลักทางไฟฟ้าที่ผู้เขียนไม่ใคร่เข้าใจ เพราะไม่ชอบวิชานี้ ผลที่ได้จากการปล่อยประจุออกมาคือ ทำให้บริเวณรอบๆ กล่องมีฝุ่นละอองดำๆ ตกอยู่เต็ม ดูน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดี ความที่เป็นคนมีโอกาสหาความรู้ใหม่ เมื่อมีสิ่งที่ไม่เข้าใจเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ผู้เขียนจึงพบว่า ฝุ่นดำที่ตกรอบกล่องมหาบำบัดนั้นเกิดพร้อมกับการที่มีกระบวนการเปลี่ยนออกซิเจนไปเป็นโอโซน ประเด็นนี้น่าสนใจเพราะตอนเรียนวิชาเคมีระดับมัธยมนั้นทราบว่าโอโซนมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ เพราะสามารถทำอันตรายต่อเซลล์สิ่งมีชีวิต ดังนั้นกล่องมหาบำบัดที่ซื้อมาจึงคงมีประโยชน์ ถ้าเราใช้ขณะที่ไม่มีคนอยู่ เพื่อให้มีการฆ่าเชื้อโรคที่อยู่ในอากาศ ณ บริเวณเปิดเครื่อง แต่สุดท้ายผู้เขียนก็ต้องทำลายกล่องมหาบำบัดทิ้งเมื่อมีผู้รู้เตือนว่า ขณะใช้กล่องนี้จะมีความเสี่ยงกับเรื่องของ ไฟรั่ว ไฟช็อต ได้เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่มีระบบป้องกันอะไรเลย นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดมาเกือบยี่สิบปีมาแล้ว มาวันนี้เหตุการณ์เกี่ยวกับกล่องมหาบำบัดก็ยังมีอยู่ แต่คราวนี้ขึ้นอยู่บนเน็ต ข้อความและข้อมูลนั้นเป็นดังนี้ “เครื่องผลิตโอโซนจิ๋วแต่แจ๋ว” และ “รับมือหวัด 2009 ด้วยเครื่องทำโอโซนราคาประหยัด” จากนั้นก็บรรยายความว่า “วันนี้มีโอกาศนำเครื่องผลิตโอโซนมาเสนอครับ ราคาไม่แพง แต่ได้ประโยชน์มากๆ เพียงติดตั้งเครื่องผลิตโอโซนไว้ในห้องที่คุณนอน หรือ สถานที่ที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ปัญหาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอับชื้น กลิ่นบุหรี่ กลิ่นเหล้า หรือกลิ่นอุจาระ ปัสสาวะ ของลูกๆ หรือของผู้สูงอายุที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้จะหมดไป ด้วยเครื่องผลิตโอโซนขนาดจิ๋วตัวนี้ครับ” นอกจากนี้ก็อธิบายกระบวนการเกิดโอโซน ปฏิกิริยาของโอโซน และอื่นๆ ถูกบ้าง มั่วบ้าง ไปตามภาษาของความรู้ที่มีถูกๆ ผิดของผู้ทำกล่องมหาบำบัดขายในราคาไม่เกินพันบาท ที่น่าประหลาดใจคือ ในปัจจุบันยังมีการพัฒนาอุปกรณ์ผลิตโอโซนอย่างง่ายนั้นไปประยุกต์ใช้ในกิจการอื่นในครัวเรือนเช่น ใช้ล้างผัก ผลไม้ ล้างอาหารสด ขจัดสารพิษ ยาฆ่าแมลง และเชื้อโรค ใช้ประกอบกับ  เครื่องกรองน้ำทำน้ำดื่มในบ้านเรือน ใช้ในกระบวนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เช่น บ่อปลา บ่อเพาะฟักลูกกุ้ง และบ่อเลี้ยงกุ้งกุลาดำ ใช้ดับกลิ่นและฆ่าเชื้อโรคในสถานอาบอบนวด เป็นต้น สำหรับกรณีที่เป็นกล่องมหาบำบัดที่มีกระบวนการที่มีความปลอดภัยทางไฟฟ้ารวมด้วย ราคามักไม่ต่ำกว่าหมื่นบาทขึ้นไป เพราะจะเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงงานที่มีการจดทะเบียน ปรากฏการณ์ขายสินค้าซึ่งขาดการรับรองจากหน่วยราชการนี้ มีตั้งแต่อินเตอร์เน็ตเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทย โดยแทบจะไม่มีการควบคุมใดๆ จากทางราชการ ซึ่งมักอ้างว่าไม่มีกฏหมายเอาผิดในเรื่องนี้ อีกทั้งหน่วยราชการที่มีหน้าที่ปิดเว็บไซต์นั้นมุ่งเน้นแต่เว็บโป๊และเว็บที่หมิ่นเหม่ต่อความรู้สึกของประชาชนเท่านั้น เว็บขายอาหารโง่เง่า ขายยาปลุกกำหนัด ขายยาสลบนั้นส่วนใหญ่ยังอยู่รอดปลอดภัย ส่วนกรณีปรากฏการณ์น้ำหมาบำบัด (สะกดไม่ผิดครับ) นั้น อยากแจ้งแก่ผู้ติดตามข่าวว่า คนผลิตนั้นเป็นแค่ปลายแถว ในข่าวที่มีออกต่อสื่อมวลชนนั้น ผู้ทำการค้าสินค้าดังกล่าวได้เปิดเผยว่าได้สูตรมาจากใคร ซึ่งเป็นตัวแม่ที่เแท้จริง และมีเว็บขายน้ำหมาบำบัดเป็นเรื่องเป็นราว นอกจากตัวแม่ของน้ำหมาบำบัดแล้ว ยังมีตัวพ่ออีกหลายตัวที่ขายสินค้าประเภทนี้ ซึ่งผู้เขียนไม่หาญจะบอกว่าเป็นการหลอกลวงหรือไม่ เพราะหน่วยงานที่ควรรับผิดชอบหลายหน่วยงานยังไม่กล้าจัดการเลย แล้วเราจะไปยุ่งได้อย่างไร ผู้เขียนได้ตั้งคำถามและพยายามหาคำตอบเพื่ออธิบายความผิดปรกติของการขายสินค้าที่พิสูจน์ผลทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้นั้นว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร มีผู้ให้คำตอบว่า มันก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่คนไปกราบไหว้ต้นไม้ หรือสัตว์ประหลาดเพื่อขอหวยนั่นแหละ ในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2553 นี้  ผู้เขียนได้รับเชิญจากหน่วยงานด้านสุขภาพแห่งหนึ่งให้ไปให้ความรู้แก่สมาชิกผู้บริจาคของหน่วยงานนั้นเกี่ยวกับอาหารและสุขภาพ การบรรยายครั้งนี้ผู้เขียนตั้งใจว่า คงไม่จำเป็นต้องให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอาหารห้าหมู่หรืออะไรๆ ที่คนที่ใส่ใจในสุขภาพตนเองมักจะรู้แล้ว แต่ผู้เขียนคิดว่าจะไปให้ความรู้ในสิ่งที่ผู้สนใจสุขภาพหลายท่านอาจละล้าละลังว่า ที่ตนเองเชื่อหรือเคยเชื่อนั้นมีเหตุทางวิทยาศาสตร์หรือไม่ ตัวอย่างที่น่าสนใจว่าควรพูดให้รู้เรื่องคือ น้ำหมักชีวภาพ เช่น น้ำอีเอ็ม ซึ่งเดิมมันก็อยู่ในกระบวยรดน้ำต้นไม้ หรือขวดที่เทลงบำบัดน้ำเน่า แต่ปัจจุบันมันสามารถไปบำบัดความเน่าในตาคนได้ ซึ่งทำให้ผู้เขียนเริ่มสงสัยว่า กรณีผู้ป่วยผ่าตาต้อของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ผ่าจนตาบอดเกือบทุกรายนั้น ผู้ป่วยเหล่านี้เคยใช้น้ำอีเอ็มหยอดตาก่อนไปทำการผ่าตัดหรือไม่ จึงติดเชื้อและตาบอด อีกตัวอย่างที่คนบางคนเชื่อว่า การนอนใต้ใบตองกลางแดดแล้วสุขภาพดีนั้น ผู้เขียนเริ่มสับสนว่า ความรู้ทางวิทยาศาสตร์กายภาพเรื่องของแสงที่เขาสอนกันในระดับมัธยมต่อมหาวิทยาลัยนั้น ไม่ช่วยให้คนไทยเข้าใจประโยชน์ของแสงแดดบ้างหรือ จึงได้ไปนอนอาบแดดภายใต้ใบตอง แล้วหวังลมๆ แล้ง ๆ ว่าสุขภาพจะดี หายจากโรคที่เป็น ที่สำคัญคือ เรื่องราวแปลกๆ นี้ไม่เคยเกิดในสมัยผู้เขียนเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เมื่อเกือบสี่สิบปีที่แล้ว แต่มาเกิดในสมัยปัจจุบันนี้เอง ความรู้แปลกประหลาดที่ประชาชนทั่วไป แม้จะจบการศึกษาขึ้นมหาวิทยาลัยก็ยังหลงเชื่อหรืองุนงงไม่แน่ใจว่าควรเชื่อหรือไม่นั้น ล้วนเป็นประโยชน์ในด้านการค้าแก่ผู้ที่หยิบยกขึ้นมาหากิน ผู้เขียนมีฉงนในตัวเองว่า เรามีความรู้เรื่องน้ำแค่หางอึ่งจริงหรือ จึงไม่เข้าใจว่าน้ำที่ผ่านกระแสแม่เหล็กมันแน่กว่าน้ำในตุ่มดินที่บ้าน ที่เคยเรียนมาก็รู้เพียงว่า โมเลกุลของน้ำนั้นเกาะกันเป็นพวงไปจนมีสภาพเป็นของเหลว และเมื่อได้พลังงานจากความร้อนถึงจุดหนึ่ง มันก็จะหลุดจากกันกลายไปไอน้ำลอยไปในอากาศ และเมื่อลดพลังงานลงก็เกาะกันเป็นพวงตกลงมาเป็นฝน ไอ้ประเภทที่น้ำโมเลกุลมีเล็กกว่า หรือมีพลังแม่เหล็ก หรือแม้กรณีแคลเซียมที่มีโมเลกุลมีใหญ่และเล็กมีประโยชน์กว่านั้น เมื่อพยายามหาตำรามาอ่านก็ไม่พบคุณสมบัติเหมือนที่ระบุไว้ในโฆษณา ยกเว้น ถ้าพูดถึงแคลเซียมที่เป็นนาโนซิ ค่อยพอเคยได้ยิน ดังนั้นผู้ที่บริโภคความรู้ด้านอาหารและสุขภาพพึงตระหนักไว้ในสมองคือ การใช้หลักการกาลามสูตรซึ่งหาอ่านได้ไม่ยากในเว็บด้านพุทธศาสนา เพื่อป้องกันการถูกชักชวนให้  กลายเป็นหนูทดลองในอาหารหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ที่นักวิชาเกินทั้งหลายหามาประเคนท่านผู้เป็นเป้าหมายการเผยแพร่ความรู้ด้วยจุดมุ่งหวังที่เป็นคำตอบสุดท้ายคือ สตางค์ในกระเป๋าผู้บริโภคนั่นเอง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 105 สัพเพเหระเรื่องอาหาร

วันหนึ่งในเดือนตุลาคมปีนี้ ผู้เขียนได้ชมข่าวเช้าทางโทรทัศน์ไทยช่วงราว 7.15 น. เป็นข่าวเกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งดีมาก ๆ เนื่องจากไม่น่าเบื่อเท่าการอ่านข่าวทางหนังสือพิมพ์ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ โดยผู้อ่านไม่ได้เข้าใจธรรมชาติของเนื้อข่าวเท่าที่ควร ในวันนั้นมีข่าวเกี่ยวกับชายผู้หนึ่งที่เป็นโรคเก๊าท์ไปหาแพทย์ ซึ่งแพทย์ผู้ให้การบำบัดนั้นได้อธิบายถึงสาเหตุและวิธีป้องกัน โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารบางประเภทที่เพิ่มความเสี่ยง ตัวอย่างหนึ่งที่อาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด แต่ไม่น่าเป็นห่วงนัก เพราะถึงผิดก็ไม่ก่อปัญหาสักเท่าไรคือ แพทย์ท่านนั้นได้แนะนำว่า ไม่ควรบริโภคอาหารประเภทยอดผักซึ่งมีกรดยูริกสูง (นอกเหนือไปจากเครื่องในของสัตว์) ความถูกคือ ใช่ ไม่ควรบริโภค ความผิดคือ ยอดผักไม่ได้มีกรดยูริกสูง บังเอิญโชคดีของทีวีไทยที่ผู้ประกาศข่าวในวันนั้นแน่มาก ได้แก้ไขความคลาดเคลื่อนว่า ยอดผักมีสารจำพวกพิวรีน (purine) ซึ่งถูกเปลี่ยนไปเป็นกรดยูริกได้ในร่างกายมนุษย์สูง ผู้เขียนขอขยายความเพิ่มว่า ในพืชผักทุกชนิด ขณะกำลังเติบโต ส่วนที่เป็นยอดจะมีการแบ่งเซลล์อย่างรวดเร็ว ดัชนีที่บอกว่าเซลล์กำลังแบ่งอยู่คือ การสร้างโครโมโซมเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในเซลล์แล้วแบ่งจากหนึ่งเซลล์เป็นสองเซลล์เรื่อยๆ ไป ที่สำคัญคือ ระหว่างการสร้างโครโมโซมนั้นจะมีการสร้างสารจำพวก พิวรีน และ พิริมิดีน (pyrimidine) เพื่อนำมาประกอบเป็นดีเอ็นเอของโครโมโซม ดังนั้นถ้าเรากินยอดผักมาก ก็จะได้สารทั้งสองกลุ่มนี้สูง สารกลุ่มพิริมิดีนนั้นร่างกายสามารถเปลี่ยนแปลงและขับออกจากร่างกายได้ เมื่อมีปริมาณเกินความต้องการ ในขณะที่สารกลุ่มพิวรีนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นกรดยูริก ซึ่งร่างกายมนุษย์ขับออกได้ทางไตในระดับหนึ่ง ดังนั้นถ้ามีเหลือมากๆ ในรูปของเกลือยูเรทก็จะไปสะสมที่ข้อต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดความเจ็บปวดเหมือนมีเม็ดทรายเล็กๆ อยู่ นอกจากนี้การมียูริกในเลือดสูงก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะด้วย ด้วยเหตุนี้การดื่มน้ำมากๆ ในแต่ละวัน จึงเป็นข้อดีเพราะเพิ่มการขับยูริกออกมาในปัสสาวะและลดความเข้มข้นของสารนี้ในเลือด พูดถึงเรื่องการดื่มน้ำมาก มีนักวิชาเกินท่านหนึ่งออกมาอวดรู้ทั้งในเน็ตและโทรทัศน์ว่า การดื่มน้ำมากทำให้ไตเป็นอันตรายเพราะต้องทำงานหนักในการขับฉี่ ข้อมูลนี้ทำให้ผู้เขียนเกิดความงงมาก เนื่องจากชายแก่ผู้นี้จบวิชาชีพที่ต้องเรียนวิชาสรีรวิทยามาแน่นอน แต่สามารถพูดข้อมูลที่กลับตาลปัตรไปอย่างนี้ได้ ชายแก่ผู้นี้เป็นคนเดียวกับที่เคยพูดด้วยว่า การดื่มนมวัวมีความเป็นพิษ ทำให้เลือดเป็นกรด เพราะนมนั้นถ้าถูกหมักด้วยเชื้อแบคทีเรียก็จะเกิดกรด ซึ่งเป็นความเข้าใจถูกที่ผิด เพราะในความเป็นจริงแล้ว การหมักนมในภาชนะเกิดกรดได้ แต่ในเลือดมนุษย์นั้นไม่มีแบคทีเรียแน่ๆ (เพราะถ้ามีก็แสดงว่าเกิดการติดเชื้อ) การหมักย่อมไม่เกิดขึ้น ดังนั้นถ้าผู้บริโภคที่ได้ฟังอะไรแปลกๆ ก็ขอให้ฟังหูไว้หู แล้วสอบถามหาความรู้จากผู้ที่ท่านคิดว่าน่าเชื่อถือ ซึ่งมักเป็นคนที่ไม่นิยมฟันธงและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการขายสินค้าหรือบริการ เรื่องเกี่ยวกับการเกิดโรคบางโรคที่เกิดเนื่องจากการดื่มน้ำอีกโรคหนึ่งซึ่งมักมีคนเข้าใจผิด อาจเนื่องจากการได้รับการสอนมาผิด หรือประมวลความรู้ที่ตนมีออกมาเป็นปัญญาผิดคือ เรื่องการที่คนอีสานเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะเนื่องจากดื่มน้ำกระด้าง ขอให้ท่านผู้อ่านลองถามคนข้างเคียงว่า ทราบสาเหตุที่แท้จริงหรือไม่ สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะของคนทางอีสานนั้น เกิดขึ้นเพราะกินอาหารขาดแหล่งของโปรตีนที่ต้องใช้คำว่าแหล่งของโปรตีนก็เพราะ โปรตีนนั้นต้องอยู่ในเซลล์ใหญ่เล็กต่างๆ ดังนั้นเมื่อพูดถึงเซลล์แล้ว นอกจากโปรตีนในเซลล์ องค์ประกอบที่สำคัญมากคือ ดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นแหล่งเก็บข้อมูลทางพันธุกรรมของเรา ดีเอ็นเอนั้นมีองค์ประกอบสำคัญคือ เบส (base) ซึ่งแบ่งเป็น พิวรีน และ พิริมิดีน (ที่กล่าวแล้วในเรื่องการเกิดเก๊าท์ข้างบน) ส่วนที่สองคือ น้ำตาลกลุ่มดีออกซีไรโบส และส่วนที่สามคือ กลุ่มอนุมูลฟอสเฟต ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนยึดหน่วยอื่นไว้ให้เป็นเส้นยาวได้ กลุ่มฟอสเฟตนี้เป็นส่วนสำคัญจากอาหารโปรตีน ที่ช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ความรู้นี้เกิดขึ้นจากการทำวิจัยของ ศ. นพ อารี วัลยะเสวี และ ศ. พญ. คุณสาคร ธนมิตต์ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและอดีตผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ (เจ้านายเก่าของผู้เขียนนั่นเอง) พบว่า ถ้าใครก็ตามกินอาหารขาดโปรตีนก็จะขาดฟอสเฟตไปด้วย และถ้าเขาผู้นั้นกินอาหารพืชผักที่มีสารออกซาเลตสูง เช่น ใบชะพลู หัวกลอย หรือพืชผักอะไรก็ตามที่กินแล้วคันคอได้ ให้สันนิษฐานว่ามีออกซาเลตสูง ออกซาเลตนี้เมื่อดูดซึมเข้าเลือดสามารถไปจับตัวกับธาตุแคลเซียมซึ่งอยู่ในเลือด แล้วไปตกตะกอนที่กระเพาะปัสสาวะกลายเป็นก้อนนิ่วได้ แต่ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดระหว่างออกซาเลตและแคลเซียมนี้มีกลุ่มฟอสเฟตสามารถมาเล่นบทบาท หมูเขาจะหามกลับเอาคานเข้ามาสอด ได้ เพราะกลุ่มฟอสเฟตทำปฏิกิริยาเคมีกับแคลเซียมในระบบเลือดเก่งกว่าออกซาเลตหลายเท่า และเมื่อเกิดเป็นสารแคลเซียมฟอสเฟตแล้ว ออกซาเลตก็ตกตะกอนไม่ได้อาการเกิดเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะจึงลดลง อาจารย์ทั้งสองท่านได้ทดลองให้เด็กชาวอุบลที่มีปัสสาวะขุ่นซึ่งเป็นอาการแสดงออกถึงโอกาสเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะกินกลุ่มฟอสเฟตผสมกับเครื่องดื่มน้ำดำ (ซึ่งก็มีฟอสเฟตเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยแล้ว) ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นเด็กฉี่ใสเลย ผลงานวิจัยนี้ทำให้อาจารย์ทั้งสองท่านได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นจากสภาวิจัยแห่งชาติ ในอินเตอร์เน็ตนั้นมีนักพูดบางคนกล่าวว่า การขาดแคลเซียมทำให้เป็นโรคต่างๆ ได้มากกว่า 200 โรค ตั้งแต่ มะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน ความจำเสื่อม และอาจจะเกือบทุกโรคที่ท่านผู้อ่านนึกได้ เพราะเขาผู้นั้นก็นึกได้เท่ากับท่านผู้อ่านนั่นแหละ เหตุผลที่การขาดแคลเซียมทำให้เกิดโรคต่างๆ เขาผู้นั้นกล่าวว่า เพราะการขาดแคลเซียมทำให้เกิดอาการเลือดเป็นกรด ดังนั้นจึงต้องกินแคลเซียม โดยเฉพาะแคลเซียมที่ได้จากปะการัง หรือ coral calcium มีฤทธิ์เป็นด่างโดยธรรมชาติของมัน จึงสามารถไปจัดการกับการเกิดกรด สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้ไม่ถูกนัก แม้ว่าจริงอยู่ที่การขาดแคลเซียมมีผลต่อความแข็งแรงของกระดูก แต่ปรากฏการณ์กระดูกพรุนไม่ได้ทำให้เกิดอาการเลือดเป็นกรด เหมือนอย่างคนที่ขายแคลเซียมขู่ อาม่า อาอึ้ม ทั้งหลาย เนื่องจากร่างกายมีระบบปรับแต่งความเป็นกรดด่างของเลือดให้อยู่ในช่วงประมาณ 7.4 คือ เป็นกลางๆ เพื่อให้ระบบเอนไซม์ในเลือดทำงานได้ดี โอกาสที่สารละลายในร่างกายถูกปรับความเป็นกรดด่างได้ด้วยการกินอะไรบางอย่างเข้าไปคือ ฉี่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่แพทย์และเภสัชกรใช้ในการขับยาหรือสารพิษบางชนิดออกจากร่างกาย นักพูดบางคนมักกล่าวว่า มีสังคมมนุษย์หลายสังคมในโลกนี้ที่สมาชิกไม่เคยป่วย ไม่เคยเป็นมะเร็ง หรือเป็นโรคอะไรเลย ไม่เป็นแม้เบาหวาน และอายุเฉลี่ยยาวกว่าคนปรกติถึง 30-40 ปี เหตุที่เป็นดังนี้เพราะเขาเหล่านั้นได้รับสารอาหารจำเป็นที่ร่างกายต้องการปริมาณน้อย (micronutrient) สูงกว่าค่ามาตรฐานของ RDA (ตัวเลขที่นักวิชาการแนะนำให้ประชาชนกินเพื่อให้มีสุขภาพดี) ถึง 100 เท่า ประโยคดังกล่าวนั้น ขี้หกทั้งเพ เพราะไม่มีสังคมมนุษย์สังคมใดที่มันจะแข็งแรงกันไปหมด จนไม่ป่วย การกินสารอาหารพวก ไวตามิน เกลือแร่ และสารพฤกษเคมีเข้าไปเป็น 100 เท่าของที่ควรนั้น คนธรรมดาคงทำยาก เช่น กรณีของเหล็ก ถ้ากินมากถึงระดับ 100 เท่าของที่แนะนำกันตามปรกติ อาจถึงตายได้ทีเดียว (ยกเว้นคนบางประเภทเท่านั้นที่กินเหล็กได้ในปริมาณสูง แล้วยังมีความสุขได้นะครับท่านประธานที่เคารพ) เราอาจเคยได้ยินนักวิชาเกินบางท่านกล่าวว่า ร่างกายมนุษย์นั้นมหัศจรรย์สามารถบำบัดโรคต่างๆ ได้เอง ถ้าได้รับสารอาหารจำเป็นที่ร่างกายตัองการครบ ดังนั้นกว่าร้อยละเก้าสิบของโรคที่ประชาชนเป็นกันนั้นสามารถกำจัดได้ถ้าเขาเหล่านั้นได้รับสารอาหารที่เหมาะสม ความเข้าใจนี้อาจทำให้เกิดความเสี่ยงได้ แม้จะมีส่วนของความเป็นจริงอยู่บ้าง แต่ส่วนที่ไม่เป็นจริงนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงเช่น กรณีของอาการความดันโลหิตสูงที่มักเกิดเมื่ออายุมากขึ้น ถ้าปล่อยให้ร่างกายรักษาตนเองโดยพยายามหาอาหารหรือสมุนไพรกินเองโดยไม่ไปพบแพทย์ ทั้งแผนปัจจุบันหรือไม่ปัจจุบันก็ตาม อาจทำให้เวลาที่อยู่ในโลกนี้ของผู้มีอาการความดันผิดปรกติน้อยลงได้ ยังมีเรื่องตลกที่ขำไม่ออกเกี่ยวกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์สุขภาพอีกมากมายเกิดขึ้นในอินเตอร์เน็ตและรายการโทรทัศน์ แม้กระทั่งในภาพยนตร์ไทยบางเรื่องที่พยายามสร้างให้น่าสนใจเกี่ยวกับความรักของคนกับมนุษย์นาคา ซึ่งพอเริ่มเรื่องก็พลาดอย่างน่าเสียดายเช่น การที่คนสมัยมนุษย์ถ้ำทำนายว่า เมื่อถึงเวลาที่ดาวนพเคราะห์ทั้งเก้ามาเรียงตัวกันบนฟากฟ้า ก็ให้มนุษย์นาคาสองคนมารวมกันทิ้งร่างมนุษย์กลับเป็นเผ่าพันธุ์เดิม ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้น คนไทยเพิ่งรู้ว่าระบบสุริยะจักรวาลมีดาวเก้าดวงเมื่อสักร้อยปีมานี่เองกระมัง และที่สำคัญตอนนี้ได้มีคนกลุ่มหนึ่งได้ปลดดาวดวงหนึ่งออกไปด้วย เลยทำให้ระบบสุริยะจักรวาลมีดาวแค่ 8 ดวง เรื่องแบบนี้ผู้เขียนจะหาโอกาสนำมาเล่าเพื่อความครื้นเครงต่อไป

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 97 สุขภาพที่ดีจากอินเตอร์เน็ต

ของฝากจากอินเตอร์เน็ตรศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ : สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยามหิดลnukks@mahidol.ac.th ตามที่ได้สัญญาว่าจะหาแหล่งข้อมูลทางโภชนาการดีในเว็บนานาชาติให้ท่านผู้อ่านได้เข้าถึง ต่อไปนี้จึงภูมิใจเสนอเว็บแรกคือ www.who.int/nutrition/en/index.html หรือองค์การอนามัยโลก ซึ่งเป็นหน่วยงานขึ้นตรงของสหประชาชาติ ท่านผู้อ่านคงไม่ประหลาดใจถ้าผู้เขียนจะกล่าวว่าเว็บนี้เป็นเว็บขององค์กรที่ (น่าจะมี) ข้อมูลที่ดีที่สุด (อาจจะ) ถูกต้องที่สุด และไม่ (น่าจะ) หลอกลวงที่สุด เพราะไม่มีการขายของอะไรเพื่อประโยชน์ของคนในองค์กร เนื่องจากเงินเดือนแต่ละคนที่ทำงานค่อนข้างสูง จนสหประชาติเคยถูกตำหนิจากหลายประเทศว่าจ่ายค่าตอบแทนให้บุคลากรในบางส่วนขององค์กรมากเกินไปแต่ได้งานไม่คุ้ม อย่างไรก็ดีข้อมูลในเว็บนี้ค่อนข้างมืออาชีพมากๆ มือสมัครเล่นอาจค่อนข้างลำบากเพราะเนื้อหา รูปแบบเว็บจืดชืด มีแต่ข้อมูลพื้นฐานคือ เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับโภชนาการ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเด็กนั้น ต้องเว็บนี้เป็นหลัก มีข้อมูลเกี่ยวกับการรนณรงค์ให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งบริษัทขายนมกระป๋องคงไม่อยากอ่าน เสียอย่างเดียวไม่บู๊เท่าที่ควร เพราะถ้าเป็นการให้ข้อมูลในเรื่องเดียวกันของ NGO ในประเด็นดังกล่าว คงน่าดูกว่านี้ สิ่งน่าสนใจคือ การเข้าไปเก็บเกี่ยวเอกสารอิเล็คทรอนิกส์ ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างวิชาการทั้งนั้น ได้แก่ หนังสือเกี่ยวกับการวางนโยบายและแผนงานด้านโภชนาการ ซึ่งมีทั้งเรื่องเกี่ยวกับแม่และเด็ก ตั้งแต่ในครรภ์ จนถึงชรา หนังสือเกี่ยวกับการลดปัญหาการขาดสารอาหารที่ร่างกายต้องการปริมาณน้อย ซึ่งมีข้อมูลหลัก ๆ ที่นักโภชนาการกังวลมานานแล้วคือ เหล็ก ไอโอดีนและวิตามินเอ หนังสือเกี่ยวกับการตรวจวัดการเจริญเติบโตของเด็ก หนังสือกลุ่มสุดท้ายเกี่ยวกับเรื่องของโภชนาการในสภาวะวิกฤตต่าง ๆ ของชุมชน แต่เล่มที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้เขียนคือ เล่มที่ชื่อว่า Diet, nutrition and the prevention of chronic diseases ซึ่งมีข้อมูลที่ครบถ้วนพอสมควรเกี่ยวกับความสำคัญของอาหารและสภาวะโภชนาการต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อต่าง ๆ เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดต่างๆ เป็นต้น เว็บต่างชาติที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ เว็บของ usa.gov ซึ่งเป็นเว็บหลักของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ผู้นำการล้มละลายทางเศรษฐกิจของโลก ซึ่งเข้าดูได้ที่ http://www.usa.gov/Citizen/Topics/Health.shtmlเว็บนี้มีข้อมูลพื้นฐานด้านอาหารและโภชนาการที่มีผลต่อสุขภาพของประชาชนมีครบ และอยู่ในระดับที่ประชาชนควรทราบและเข้าใจได้ มีทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์และด้านกฎหมายที่สำคัญ คำแนะนำในการเลือกกินเพื่อสุขภาพที่ดี การออกกำลังกายซึ่งสำคัญมาก เพราะคนอเมริกันหนึ่งในสามเป็นโรคอ้วนไปนานแล้ว เรื่องเกี่ยวกับยาที่ควรรู้ โรคและการป้องกันโรคต่างๆ และการเตรียมตัวเป็นผู้สูงวัยที่ดี เป็นต้น ที่สำคัญของเว็บนี้คือ ท่านผู้อ่านสามารถลุยต่อจากส่วนที่เข้านี้ไปยังหน่วยงานของสหรัฐอเมริกาทั้งหมดได้เลย เพราะมี หัวข้อ A-Z Index of U.S. Government Departments and Agencies ให้เข้าไปเลือกหาข้อมูล หน่วยงานของสหรัฐอเมริกันที่น่าสนใจอันดับ 1 คือ Food and Drug Administration (FDA) อันดับ 2 คือ Food and Nutrition Service อันดับ 3 คือ Food Safety and Inspection Service และอันดับ 4 คือ Food, Nutrition and Consumer Services ผู้เขียนขอรับรองเลยว่า ถ้าท่านต้องการความรู้ด้านอาหาร โภชนาการ และความปลอดภัยด้านอาหาร เว็บทั้งสี่นี้ให้ท่านอย่างเหลือเฟือ เว็บต่อไปต้องข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก จากสหรัฐอเมริกาไปเกาะอังกฤษ เพราะเว็บนี้คือ เว็บของ BBC http://www.bbc.co.uk/health/healthy_living/nutrition/ ซึ่งให้ความรู้เกี่ยวกับ Healthy eating คือ กินให้มีสุขภาพดี (ความหมายคือ ถ้ามีสตางค์ก็ควรรู้ว่า ควรซื้ออะไรกินดี ไม่ใช่รวยไม่รู้เรื่อง ซื้อของไม่ได้เรื่องมากิน) ส่วนที่น่าสนใจคงหนีไม่พ้นข้อมูลที่เกี่ยวกับเรื่องของน้ำหนักตัว ที่ว่าน้ำหนักตัวอย่างไรถึงเป็น healthy weight เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยากมาก เป็นปัญหาระดับจักรวาล เพราะต่อให้มนุษย์ย้ายไปอยู่ดาวดวงไหน เมื่ออายุมากขึ้น โอกาสที่อ้วนก็จะเพิ่มเป็นเงาตามตัวอยู่ดี ผู้เขียนเองก็ยังอยู่ในสถานภาพปริ่มๆ ที่จะเกินบ้าง ไม่เกินบ้าง ขนาดพยายามออกกำลังกายแบบเต็มที่สัปดาห์ละสี่ชั่วโมงยังแทบไม่รอด ดังนั้นจึงพอเข้าใจความรู้สึกของผู้ที่ทำงานวิชาการหรืองานบริหารที่ไม่ค่อยได้ออกแรงนั้นว่า เวลาพูดถึง ดัชนีมวลกาย หรือ BMI แล้วมันระคายหูมาก เพราะใครๆ ก็อยากทำให้ตนเองอยู่ในเกณฑ์ที่ปรกติ แต่พออายุขึ้นเลขห้าแล้ว โอกาสน้อยมากถ้าไม่ได้มีการบริหารร่างกายอย่างมีระบบตั้งแต่อายุขึ้นเลขสี่ อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ BBC ให้ความใส่ใจกับสิ่งที่มนุษย์ชอบ คือ เรื่องทางเพศ เพราะมีส่วนหนึ่งของเว็บที่พูดถึง Sexual health screening ซึ่งมีทั้งความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์ การป้องกันโรค การป้องกัน ท.ก.ต (ท้องก่อนแต่ง) เป็นต้น เพราะกำเนิดนั้นคุมได้แต่กำหนัดนั้นคุมยาก ยิ่งถ้าเรามีประชาชนที่ไร้คุณภาพคือ ใครอยากทำให้เด็กเกิดก็ทำได้ตามใจคือไทยแท้ โดยสังคมไม่มีการออกกฎ กติกา มารยาท ให้เหมาะสมแก่ความเป็นจริงแล้ว ประเทศเราก็จะมีปัญหาจากคนไร้คุณสมบัติมากขึ้นเรื่อยๆ จนวันหนึ่งอาจจะมีเหตุการณ์เหมือนกับภาพยนตร์สารคดีขององค์กรเกี่ยวกับมนุษยชนที่แสดงให้เห็นเหตุการณ์ในประเทศบราซิลที่ ผู้มีสตางค์ต้องจ้างมือปืนรับจ้างออกเก็บคนที่อาศัยในสลัมหรือข้างถนนคืนละเฉลี่ยถึงหกคน เพื่อป้องกันการเกิดอาชญากรรมที่รัฐคุมไม่ได้ เว็บถัดไปคือ เว็บของประเทศแคนาดา ซึ่งมีข้อมูลหลักเกี่ยวกับมาตรฐานด้านความปลอดภัยของอาหารและด้านโภชนาการ กระบวนการกระตุ้นการดำเนินงานด้านอาหารและโภชนาการ ตลอดจนถึงรัฐบัญญัติอาหารของแคนาดา เป็นต้น ท่านผู้อ่านสามารถเข้าดูข้อมูลเหล่านี้ได้ที่ http://www.hc-sc.gc.ca/fn-an/index-eng.php ข้อมูลในเว็บนี้ค่อนข้างดูสวยงามเป็นหลัก มีการ์ตูนประกอบภาพ ที่น่าสนใจคือ ข้อแนะนำในการออกกำลังกายให้มีสุขภาพดี ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่และผู้สูงวัย ซึ่งน่าประทับใจมากเพราะเมื่อเข้าไปดูจะพบข้อความที่เขียนว่า Age is no barrier ซึ่งน่าจะหมายความว่า ถ้าจะออกกำลังกายนั้น ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอายุ เพียงแต่ขอให้รู้จักวิธีออกให้สมวัย แต่ที่สำคัญที่สุดในการออกกำลังกายคือ การพาตัวเองไปให้ถึงสถานที่ออกกำลังกาย จากนั้นการออกกำลังกายก็น่าจะเกิดขึ้นได้ เว็บสุดท้ายนี้น่าสนใจมาก เพราะไม่จำเป็นต้องเป็นนักวิชาการก็ควรเข้าไปอ่าน เขาให้ข้อมูลที่ดูครบเช่นกัน เว็บนี้คือ เว็บของ Medline ซึ่งเป็นบริการของ สำนักหอสมุดแห่งชาติของสหรัฐอเมริกัน หรือ US National Library of Medicine ซึ่งสามารถเข้าไปดูข้อมูลได้ที่ http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/nutrition.html สิ่งที่ท่านผู้อ่านจะได้พบในเว็บของ Medline คือ ข้อแนะนำการบริโภคอาหารของชาวอเมริกันปี 2005 ซึ่งยังใช้อยู่ เรื่องราวเกี่ยวกับปิรามิดอาหารที่บ้านเราปรับเป็นธงโภชนาการและอีกมากมาย ควรค่าแก่การเข้าชมเป็นอย่างยิ่ง เช่น ข้อมูลในส่วนที่เรียกว่า Nutrient List ซึ่งจะเป็นแหล่งข้อมูลว่า สารอาหารชนิดใด สามารถหามารับประทานได้จากสินค้ายี่ห้ออะไร เช่น ไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในมะเขือเทศนั้นอยู่ในสินค้ายี่ห้อใด เหตุที่ผู้เขียนยกตัวอย่างของไลโคปีนเพราะเพิ่งได้อ่านบทความวิจัยว่า สารธรรมชาติชนิดนี้ช่วยลดการสร้างโคเลสเตอรอลและเพิ่มการพาโคเลสเตอรอลเข้าเซลล์เพื่อทำลาย อีกทั้งเคยทราบข้อมูลมาจากเว็บด้านอาหารกับมะเร็งอีกว่า ไลโคปีน ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากในชายสูงอายุ ดังนั้นผู้เขียนเลยพยายามหาโอกาสกินไลโคปีนให้มากกว่าเดิม ไหนๆ ก็เอ่ยถึงคำว่า อาหารกับมะเร็งแล้ว จึงขอแถมเว็บที่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ซึ่งเป็นเว็บที่หลายท่านอาจรู้จักดีคือ เว็บของ NCI (National Cancer Institute) ซึ่งเข้าชมได้ที่ http://www.cancer.gov/ ซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับอาหารหลายมุมมอง ที่น่าสนใจคือ เรื่องของตำรับอาหารที่น่าจะลดความเสี่ยงหรือสู้กับมะเร็งได้ ซึ่งท่านผู้อ่านเข้าไปดูได้ที่ http://www.cancer.gov/cancertopics/down-home-healthy-cooking และที่ขอแนะนำคือ ให้ใช้ search engine ของเว็บนี้หาข้อมูลเกี่ยวกับ diet หรือ nutrition ท่านจะได้ความรู้ที่น่าสนใจมหาศาลเลยทีเดียว เว็บต่างๆ ที่ยกตัวอย่างให้ท่านเข้าเยี่ยมชมนี้ อาจเป็นเพียงส่วนน้อยนิด ซึ่งแต่ละเว็บอาจพาท่านไปยังเว็บที่ดีอื่นๆ ได้ด้วย แต่ที่ท่านควรต้องระวังให้จงหนัก ไม่ว่าเป็นเว็บชาติใด ภาษาใดก็ตาม ถ้ามีการขายสินค้าหรือบริการแล้ว ให้อ่านข้อมูลด้วยความระมัดระวัง ก่อนยอมจ่ายเงินให้ เพราะเว็บที่มีธุรกิจเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น อาจดีในบางเรื่อง แต่เลวร้ายเกือบทุกเรื่องทีเดียว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 108 น้ำสลัดทางเลือกเพื่อคนรักผักสุขภาพ

ก่อนขึ้นปีใหม่ ฉันและเพื่อนได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนผู้ผลิตผักอินทรีย์ ที่บ้านป่าคู้ล่าง  หมู่บ้านเล็กๆ ของชาวโปว หรือที่คนอื่นมักเรียกเขาว่ากะเหรี่ยง ซึ่งอยู่เขตพื้นที่ติดต่อระหว่างเมืองกาญจน์กับสุพรรณบุรี  ทัวร์ครั้งนี้จัดโดยพี่เจน ระวิวรรณ และพี่พยงค์  ศรีทอง  ซึ่งทำงานด้านการเก็บรวบรวมองค์ความรู้ ภูมิปัญญา และพันธุกรรมพืชท้องถิ่น ในโครงการ การพัฒนาระบบนิเวศน์และอนุรักษ์พืชพันธุ์ กับกลุ่มชาวบ้านในแถบนั้นมาตั้งแต่ปี 35เกือบ 10 ปีแล้วที่พี่เจนและพี่พยงค์ส่งเสริมอาชีพชาวบ้านในแถบนี้โดยหันมาปรับเปลี่ยนระบบการปลูกพืชเศรษฐกิจที่ใช้สารเคมีหลังจากมีปัญหาเรื่องการจำกัดพื้นที่ในการทำไร่หมุนเวียนแบบดั้งเดิมมาสู่การปลูกผักอินทรีย์ หลังจากมีผลผลิตส่งขายทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งตามห้างสรรพสินค้าอยู่พักใหญ่  พี่เจนกับชาวบ้านก็หันมาสรุปบทเรียนแล้วปรับเปลี่ยนรูปแบบการตลาดใหม่  โดยอาศัยหลักความคิดของ CSA :  community supported agriculture ที่ชาวแคนนาดา-อเมริกา พัฒนามาจากระบบสหกรณ์ของชาวญี่ปุ่นอีกที โครงการพี่เจนกับพี่พยงค์ ซึ่งปัจจุบันได้ส่งเสริมให้ชาวบ้านในพื้นที่ทำโครงการผักประสานใจ มา 8 ปี โดยการเปิดรับสมาชิกที่ต้องการรับซื้อผักล่วงหน้าและจ่ายเงินล่วงหน้าให้กับเกษตรกร  เป็นการร่วมลงทุนของคนกินเพื่อสนับสนุนผู้ผลิตซึ่งเป็นเกษตรกร โดยผู้บริโภคกลุ่มนี้จะเข้ามาร่วมประกันความเสี่ยงในการผลิตที่จะเกิดขึ้นกับเกษตรกร  รวมทั้งยินยอมที่จะกินผักชนิดต่างๆ ที่เกษตรกรพยายามปลูกขึ้นตามรอบฤดูกาลปลูกในระบบการทำเกษตรแบบอินทรีย์ วันที่เราไปเยี่ยมบ้านป่าคู้  นอกจากมีการต้อนรับด้วยอาหารธรรมชาติปรุงรสแบบชาวโปว การหลามข้าวรอบกองไฟเคล้าเสียงเพลงตงโดยเครื่องดนตรีของชนเผ่าที่เรียกว่านาเดย  การพูดคุยแลกเปลี่ยนกันระหว่างสมาชิกผู้รับผักกับชาวบ้านที่ปลูกผัก  และลงแปลงผักและตัดผักกลับบ้านแล้ว  เช้าวันที่เราเดินสำรวจแปลงและตัดผักนั้น พี่เจนกับกลุ่มแม่บ้านได้เตรียมอาหารเช้าแบบสดใหม่ เอาใจคนรักสุขภาพ และเกษตรอินทรีย์สุดๆ ข้าวต้มเห็ด 3 อย่าง กับถั่ว 5 สี  ร้อนๆ  วางเรียงเคียงคู่กับผักเมืองหนาวอินทรีย์ ที่มีให้กินอย่างหลากหลายและชวนกินเฉพาะในช่วงฤดูหนาวนี้ถูกนำมาจัดวางเรียงอย่างสวยงาม  ซึ่งหากถ้าเรามาในช่วงหน้าฝนหรือหน้าแล้งเมนูสลัดบาร์แบบนี้คงต้องเปลี่ยนไปเป็นผักอื่นๆ ไปตามความเหมาะสมของดินฟ้าอากาศที่จะเอื้อให้ผักต่างๆ เติบโต ที่น่าสนใจไม่แพ้กันกับสลัดบาร์คือน้ำสลัด  ซึ่งมี 2 สูตร  ขอนำมาฝากผู้อ่านฉลาดซื้อค่ะ สูตรแรกเป็นน้ำสลัดที่ทำจากไข่แดงของพี่โหน่ง สูตรสองเป็นน้ำสลัดฟักทองของพี่เจน ถามสูตรพี่เจนซึ่งเป็นคนที่ชอบทำกับข้าวและทำกับข้าวได้อร่อยเกือบทุกประเภท  พี่เจนว่าใช้ฟักทองนึ่งแล้วเอามาบดให้ละเอียดแล้วผสมนม น้ำมะนาว เกลือ พริกไทย โรยด้วยงาคั่ว  โดยรสชาติและเนื้อใช้วิธีชิมให้มีรสเข้มเล็กน้อยตามที่เราชอบ เผื่อว่าเมื่อผสมกับผักสดๆ แล้วจะได้รสชาติที่อร่อยกลมกล่อมพอดิบพอดี เห็นน้ำสลัดฟักทองของพี่เจน  ครั้งหนึ่งฉันเคยทดลองทำน้ำสลัดฟักทองเช่นกัน  ส่วนผสมคล้ายๆ  แต่เปลี่ยนจากนมเป็นน้ำมันรำ น้ำมันงา  โดยเอาฟักทองนึ่งแล้วผสมกับน้ำเล็กน้อยแล้วเอาไปปั่น  ได้เนื้อสลัดข้นๆ จึงเอามาผสมกับน้ำมะนาวหรือน้ำส้มหมักผลไม้เท่าที่มีอยู่ในตู้เย็นให้ออกรสเปรี้ยว แล้วเติมน้ำมันรำและน้ำมันงาลงไป แต่ด้วยความที่น้ำสลัดฟักทองที่ฉันทำมันค่อนข้างข้น  บางทีฉันก็ใช้มันกินเป็นครีมหรือแยมแทน โดยใช้วิธีการเอางาตัด ถั่วกระจก หรือขนมปังมาทาหรือจิ้ม  อีกสูตรหนึ่งที่เพิ่งทดลองทำหลังจากไปเจอน้ำสลัดฟักทองอร่อยๆ ของพี่เจน คือน้ำสลัดถั่วเขียว วิธีทำใช้ถั่วเขียวอินทรีย์ ประมาณ ¼ ถ้วยแช่น้ำ ตอนเช้า  ตกค่ำก็เอามาปั่นกับหางกะทิให้ละเอียด  แล้วน้ำถั่วเขียวปั่นไปตุ๋นกับหางกะทิ  1 ถ้วย และหัวกะทิ  1 ถ้วย  ฉันเพิ่มสีให้เขียวสวยขึ้นโดยใส่น้ำย่านางคั้นลงไปด้วยอีก 1 ถ้วย  เมื่อถั่วสุกดีแล้วใส่เกลือและน้ำตาลทราย และพริกไทยป่นลงไป  จากนั้นยกลงจากเตาปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น  ถั่วที่กวนไว้จะพองตัวขึ้นมาและน้ำจะแห้งงวดลงเล็กน้อย ก่อนจะกินกับผักสลัดจึงค่อยเอามาปรุงรสเพิ่มโดยใส่น้ำมะนาวลงไป จะได้รสชาติ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เคล็ดไม่ลับ ตอนตุ๋นนี่ ใช้วิธีใส่น้ำลงในกระทะใหญ่ แล้วเอาหม้อใบเล็กที่เราจะเคี่ยวถั่วกับกะทิตั้งในกระทะ แล้วค่อยๆ คน เพื่อป้องกันถั่วเขียวจับตัวเป็นก้อน  ซึ่งวิธีนี้จะป้องกันการไหม้ก้นหม้อได้เป็นอย่างดี สลัดน้ำถั่วเขียวสูตรนี้ ตอนทำฉันนึกไปถึงน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ น้ำสลัดแขก และไพล่ไปถึงข้าวตังหน้าตั้ง  และยังคิดทำน้ำสลัดจากพืชผักพื้นบ้านไทยๆ โดยไม่ใช้ ไข่นมเนยแทนอีกหลายสูตร  ส่วนคนกินอย่างคุณสารี บก.ฉลาดซื้อบอกว่า “อร่อยดี”

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 157 รู้เท่าทันสถานการณ์สุขภาพปีพ.ศ. 2556 ตอนที่ 2

การขาดแคลนยาที่ดีในสถานบริการสาธารณสุขภาครัฐทำให้ประชาชนต้องหาซื้อยาจากภาคเอกชน ซึ่งยาชื่อสามัญจะมีราคาสูงกว่าราคากลางระหว่างประเทศถึงร้อยละ 610  คุณภาพการบริการของภาครัฐที่ไม่ดีและราคาค่าบริการของภาคเอกชนที่สูงทำให้หลายครอบครัวเกิดภาวะล้มละลาย โดยเฉพาะครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นโรคเรื้อรัง ในฉบับก่อนได้กล่าวถึงเป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษ (Millennium Development Goals- MDGs) คือ เป้าหมายแปดประการ ที่รัฐสมาชิกสหประชาชาติ 191 แห่ง ตกลงยอมรับกันที่จะพยายามบรรลุให้ได้ภายใน พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) โดยมีการลงนามในเดือนกันยายน ค.ศ. 2000 เพื่อต่อสู้กับ ความยากจน ความหิวโหย โรค การไม่รู้หนังสือ การเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม และการเลือกปฏิบัติต่อสตรีเพศ  เป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษได้พัฒนามาจากคำประกาศดังกล่าว และทั้งหมดมีเป้าหมายและตัวชี้วัดเฉพาะ ในเรื่องโรคติดต่อนั้น พบว่าครึ่งหนึ่งของประชากรในโลกมีความเสี่ยงในการติดต่อเชื้อ มาลาเรีย และในจำนวนผู้ป่วยมาลาเรียในโลกจำนวน 219 ล้านคน มีผู้เสียชีวิต 660,000 รายในปี ค.ศ. 2010  ร้อยละ 80 ของผู้ป่วยเกิดขึ้นใน 17 ประเทศ และร้อยละ 80 ของผู้ป่วยที่เสียชีวิตเกิดใน 14 ประเทศเท่านั้น การครอบคลุมของปฏิบัติการต่างๆ เช่น การกระจายตัวของเครือข่ายการกำจัดยุงด้วยสารเคมีกำจัดแมลงและการพ่นสารเคมีกำจัดยุงตามบ้านเรือนกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากมายและจำเป็นที่จะต้องทำอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการกลับมาของยุงและการเสียชีวิตจากมาลาเรีย   ปริมาณผู้ป่วยใหม่ทั้งหมดที่เป็น วัณโรค ในแต่ละปีลดลงตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 และระหว่างปี ค.ศ. 2010-2011 ลดลงร้อยละ 2.2  ในจำนวนผู้ป่วยใหม่ 8.7 ล้านรายในปี ค.ศ. 2011 นั้นเกิดจากผู้มีเชื้อเอชไอวี ร้อยละ 13  การตายจากวัณโรคลดลงร้อยละ 41 ตั้งแต่ ปีค.ศ. 1990 และจะลดลงร้อยละ 50 เมื่อถึงปีค.ศ. 2015 ปี ค.ศ. 2010 ประมาณการว่า มีผู้ป่วยที่ ติดเชื้อเอชไอวี รายใหม่ 2.7 ล้านคน ซึ่งลดลงร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ 3.1 ล้านคนในปี ค.ศ. 2001  ปลายปี ค.ศ. 2010 จะมีผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีประมาณ 34 ล้านคน ซึ่งมากกว่าปีก่อนๆ เพราะผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาด้วยยาฆ่าไวรัสมากขึ้น ทำให้มีการเสียชีวิตน้อยลง โลกได้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษในเรื่องการเข้าถึง น้ำดื่มที่ปลอดภัย ในปีค.ศ. 2010 ร้อยละ 89 ของประชากรมีแหล่งน้ำดื่มที่ปรับปรุงดีขึ้นเมื่อเทียบกับร้อยละ 76 ในปีค.ศ. 1990 ในเรื่องสุขอนามัยโดยเฉพาะ สุขาภิบาล นั้น อัตราการมีสุขาภิบาลที่ดียังพัฒนาค่อนข้างช้าเกินกว่าที่จะบรรลุเป้าหมาย  ในปี ค.ศ. 2010 มีประชากร 2,500 ล้านยังไม่มีสุขอนามัยที่ดีพอ และร้อยละ 72 ของประชากรเหล่านี้อาศัยอยู่ในชนบท  ปริมาณของประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองและไม่มีสุขาภิบาลที่ดีกำลังเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากการขยายตัวของประชากรในเขตเมือง แม้ว่าเกือบทุกประเทศจะมีรายการยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ แต่การจัดหายาเพื่อให้บริการในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐยังค่อนข้างแย่  จากการสำรวจประเทศที่ยากจนและเศรษฐกิจปานกลางมากกว่า 70 ประเทศพบว่า มีการจัดหายาในบัญชียาหลักเพียงร้อยละ 42 ในสถานบริการภาครัฐ และร้อยละ 64 ในสถานพยาบาลภาคเอกชน  ยาที่ใช้สำหรับการรักษาโรคเรื้อรังค่อนข้างจะมีคุณภาพต่ำเมื่อเทียบกับยาที่ใช้รักษาโรคฉุกเฉิน  การขาดแคลนยาที่ดีในสถานบริการสาธารณสุขภาครัฐทำให้ประชาชนต้องหาซื้อยาจากภาคเอกชน ซึ่งยาชื่อสามัญจะมีราคาสูงกว่าราคากลางระหว่างประเทศถึงร้อยละ 610 คุณภาพการบริการของภาครัฐที่ไม่ดีและราคาค่าบริการของภาคเอกชนที่สูงทำให้หลายครอบครัวเกิดภาวะล้มละลาย โดยเฉพาะครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นโรคเรื้อรัง เหลือเวลาเพียงสองปีเท่านั้นก็จะสิ้นสุดปี ค.ศ. 2015 ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษที่ประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยที่ได้ประกาศไว้ในปี ค.ศ. 2000   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 156 รู้เท่าทันสถานการณ์สุขภาพปีพ.ศ. 2556 ตอนที่ 1

ปีพ.ศ. 2556 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว  เมื่อขึ้นปีใหม่ก็สมควรที่ทุกคนควรจะทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต  ทั้งจากการกระทำของเราเองหรือของสังคมที่เราได้มีส่วนร่วมรวมทั้งที่เราได้รับผลกระทบ  เพื่อนำบทเรียนมาเป็นแนวทางในการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาวะ  ดังนั้นฉบับนี้ขออนุญาตทบทวนสถานการณ์สุขภาพในระดับโลกที่เชื่อมโยงกับภาวะสุขภาพของไทยด้วย ในระดับโลกนั้น การประชุมสุดยอดของประเทศสมาชิกสหประชาชาติ เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) ได้มีการแถลงการณ์อย่างเป็นทางการของประเทศสมาชิก เพื่อยอมรับข้อผูกมัดตาม คำประกาศสหัสวรรษของสหประชาชาติ (United Nations Millennium Declaration)  ซึ่งได้มีการกำหนด เป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษ (Millennium Development Goals- MDGs) คือ เป้าหมายแปดประการ ที่รัฐสมาชิกสหประชาชาติ 189 แห่ง ตกลงยอมรับกันที่จะพยายามบรรลุให้ได้ภายใน พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015)  เป้าหมายแปดประการได้แก่ การขจัดความยากจนและความหิวโหย การพัฒนาการศึกษาขั้นประถม การส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางเพศ การลดอัตราการตายของเด็ก การพัฒนาสุขภาพของแม่ การป้องกันโรคเอดส์ มาลาเรีย และโรคติดต่ออื่นๆ การรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาในโลก   องค์การอนามัยโลกได้รายงานสถานการณ์สุขภาพเกี่ยวกับ การลดอัตราการตายของแม่และเด็ก  การพัฒนาด้านโภชนาการ การลดอัตราการตายจากโรคเอดส์ วัณโรค มาลาเรีย และโรคติดต่ออื่นๆ ในปีค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556) ดังต่อไปนี้ ในภาพรวมระดับโลก สามารถลดระดับของอัตราการเสียชีวิตของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบจากปีค.ศ. 1990-2011 (พ.ศ. 2533-2554) ได้ร้อยละ 41 หรือจาก 87 รายเป็น 51 รายต่อทารกแรกเกิดที่มีชีวิต แต่อย่างไรก็ตาม อัตราการลดลงดังกล่าวก็ยังไม่เพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ ให้ลดลง 2 ใน 3 ของการตายของเด็กในปีค.ศ. 1990 ในภาพระดับประเทศ พบว่า มีประเทศที่มีความแตกต่างกันถึง 27 ประเทศที่สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษก่อนปีค.ศ. 2015  ซึ่งในจำนวนนี้มีถึง 5 ประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตของเด็กสูงมากเมื่อปีค.ศ. 1991  และสาเหตุพื้นฐานของการเสียชีวิตคือ ภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งประมาณว่าเป็นสาเหตุการตายของเด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบร้อยละ 35 จำนวนการเสียชีวิตของเด็กทารกลดลงจาก 4.4 ล้านรายในปีค.ศ. 1990 เป็น 3.0 ล้านรายในปีค.ศ. 2011 หรืออัตราการตายของเด็กทารกลดลงจาก 32 รายในเด็กทารกแรกเกิดที่มีชีวิต 1,000 ราย เป็น 22 รายในเด็กแรกเกิดที่มีชีวิต 1,000 ราย ในเวลาดังกล่าว อัตราการเสียชีวิตของแม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากจำนวน 543,000 ในปีค.ศ. 1990 เป็น 287,000 ใน ค.ศ. 2010 หรือร้อยละ 3.1 ต่อปี  โดยทวีปอัฟริกาเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเสียชีวิตของแม่สูงที่สุด  การแก้ปัญหาดังกล่าวได้แก่ การเข้าถึงบริการการดูแลแม่และเด็กที่มีคุณภาพ การวางแผนการมีลูกอย่างเหมาะสม ผู้หญิงวัยรุ่นประมาณ 16 ล้านคนให้กำเนิดลูกในแต่ละปี คิดเป็นร้อยละ 11 ของการให้กำเนิดทารกในโลกทั้งหมด และร้อยละ 95 ของการกำเนิดอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา  (สำหรับประเทศไทยก็มีข้อมูลจากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงในมนุษย์ว่า แม่ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีและคลอดลูกของประเทศไทยมีอัตราสูงที่สุดเป็นที่หนึ่งของอาเซียน  และเป็นที่สองของโลก กระทรวงสาธารณสุขโดยรัฐมนตรีก็แถลงว่า ประเทศไทยมีแม่ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี คลอดลูกปีละ 133,176 ราย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง จังหวัดที่มีแม่วัยรุ่นจำนวนมากที่สุดได้แก่ จังหวัดตาก ระยองและชลบุรี) หน้ากระดาษหมดอีกแล้ว คงต้องขอต่อฉบับหน้า  ซึ่งน่าสนใจมาก เพราะรายงานสถานการณ์ของโรคติดต่อต่างๆ ได้แก่ มาเลเรีย เอชไอวี และวัณโรค  สวัสดีครับ   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 150 เล็บบอกสุขภาพ

คนยุคปัจจุบันกินอาหารหลากหลายและได้รับโภชนาการที่ดีกว่าคนยุคก่อน ทำให้เล็บยาวเร็วมาก ในงานวิจัยหนึ่งระบุว่า “คนสมัยหลังมีเล็บมือและเล็บเท้ายาวเร็วขึ้นเกือบ 25% เมื่อเทียบกับของคนเมื่อ 70 ปีก่อน เหตุเพราะกินอาหารที่มีโปรตีนสูง” เล็บจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถบอกถึงสภาวะของร่างกายได้ เล็บที่มีสุขภาพดี จะมีความแข็งแรงและมีลักษณะผิวเรียบ ไม่มีร่องหรือขอบที่ผิว นอกจากนี้สีของเล็บก็จะเป็นสีเดียวกันสม่ำเสมอตลอดทั้งเล็บ ไม่มีดอกหรือจุดขึ้น ถ้าเล็บเกิดผิดปกติไปรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ก็ควรใส่ใจเป็นพิเศษ และเท่าที่ฉลาดซื้อได้ลองค้นหามา พบว่ามีหลายประเด็นที่น่าสนใจและอาจเป็นแนวทางไว้สำหรับตรวจเช็กสุขภาพเราได้   ความผิดปกติของเล็บที่อาจบ่งบอกถึงสาเหตุของโรคบางอย่าง เล็บเปราะอาจเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ เลือดลมเดินไม่สะดวก เล็บที่มีสีออกเหลืองอาจบอกถึงปัญหาที่ระบบน้ำเหลืองหรือที่ไต เล็บเหลือง ยังพบในคนสูบบุหรี่จัด เล็บเขียวพบในผู้ที่เป็นโรคหัวใจเนื่องจากมีออกซิเจนไม่เพียงพอในเม็ดเลือด เล็บสีเขียวคล้ำ คุณอาจกำลังป่วยด้วยโรคหืดอย่างรุนแรง โรคถุงลมโป่งพอง เล็บเป็นลอน(ตามขวาง) อาจบ่งบอกว่าฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติ ซึ่งอาจเพราะคุณกำลังมีโรคร้ายแรงจึงทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง เล็บเป็นร่อง มักเป็นโรคขาดอาหาร หรือเป็นผู้ที่ตรากตรำทำงานหนัก ร่างกายอ่อนแอ เล็บมีเส้นตามแนวขวางเป็นสีขาว พบในผู้ที่เป็นโรคพิษสารหนู เล็บจะเป็นลอนตามขวางเท่ากันทุกเล็บ(เนื่องจากขณะป่วย เล็บจะหยุดโตทำให้เห็นเป็นร่อง เว้าลงไป) เล็บขาว อาจบอกถึงความผิดปกติของตับ ไต ภาวะโลหิตจางหรือตับอักเสบเรื้อรัง ถ้ามีเล็บขาวขุ่นครึ่งเล็บทางด้านโคน ส่วนครึ่งปลายมีสีชมพูตามปกติ อาจเป็นอาการของโรคไตเรื้อรัง ถ้ามีสีขาวขุ่นเกือบทั้งเล็บโดยที่มีสีชมพูน้อยกว่าร้อยละ 20 มักเกิดในผู้ที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ดังนั้นควรหมั่นสังเกตเล็บของเรา หากพบเห็นความผิดปกติของเล็บ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณหนึ่งที่ ร่างกายกำลังเตือนภัยเรา ก็ควรหาทางป้องกันหรือเร่งหาสาเหตุเพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพต่อไป   -------------------------------------------------------------------------------------------- การดูแลสุขภาพเล็บ แม้ว่าตามธรรมชาติ เล็บจะเป็นอวัยวะที่มีความแข็งแรงมาก เพื่อไว้คอยเป็นเกราะกำบังนิ้วมือ และนิ้วเท้า จากอันตรายต่างๆ แต่ก็ควรต้องได้รับการดูแลทะนุถนอมอย่างถูกต้องเช่นเดียวกับผิวหนังบริเวณอื่น 1.ไม่ทาเล็บและล้างเล็บบ่อยเกินไป อาจจะทำให้เล็บเสียได้แล้ว ผิวหนังที่อยู่ข้างเคียงอาจเกิดการอักเสบได้ ควรมีเวลาให้เล็บได้ว่างเว้นจากการทาสี เพราะนอกจากเล็บจะได้พักหรือฟื้นสภาพที่เสียไปแล้ว ยังเป็นโอกาสให้ได้สังเกตความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเล็บด้วย 2.พยายามหลีกเลี่ยงการรบกวนผิวหนังที่หุ้มโคนเล็บ เนื่องจากหนังหุ้มโคนเล็บ เป็นตัวป้องกันเชื้อโรคไม่ให้เข้าไปสู่จมูกเล็บ และเนื้อเยื่อรอบๆ เล็บ 3.การตัดเล็บที่ถูกต้อง หากเป็นเล็บมือควรตัดให้มีความโค้งมนไปตามนิ้วมือ ส่วนเล็บเท้าต้องพยายามตัดให้เป็นเส้นตรงมากที่สุด เพื่อลดการสะสมความสกปรกตามซอกเล็บ ลดโอกาสการเกิดเล็บขบ และแน่นอนไม่ตัดสั้นชิดเนื้อเกินไป 4.พยายามเลี่ยงไม่ให้มือและเท้าต้องถูกน้ำบ่อยๆ หรือแช่น้ำอยู่เป็นเวลานาน เนื่องจากจะทำให้ผิวหนังมีสภาพที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อยีสต์ และเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะเชื้อรา ซึ่งปัญหาเชื้อราที่เล็บเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 107 เครื่องดื่มสุขภาพ ดื่มแล้วสวย สาวและฉลาด ?

ปัจจุบันนับเป็นยุคที่ผู้คนในสังคมตื่นตัวกับการดูแลสุขภาพของตนเองมากเป็นพิเศษ ด้วยวิถีชีวิตที่เร่งรีบ นักเรียนต้องกวดวิชาทุกวัน ผู้ใหญ่ต้องเร่งรีบทำงานไขว่คว้าหาเงิน ทำให้กลัวว่าจะดูแลตัวเองไม่เพียงพอ จึงเป็นช่องว่างให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความสวยความงามเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เครื่องดื่มสุขภาพทั้งหลายเลยโผล่ออกมาอวดโฉมมากมาย  ชาเขียวแช่เย็นเมื่อเข้าร้านอาหาร ชาเขียวแช่เย็นจะเป็นเครื่องดื่มที่ถูกนำเสนอแทนน้ำเปล่า ทำให้เจ้าของสินค้าหรือผู้ผลิตรวยแล้วรวยอีก จนสามารถให้รางวัลเปิดฝาขวดและได้เงินล้านใน 2 ปีที่ผ่านไป ผู้บริโภคหลายครอบครัวถึงขนาดซื้อกันเป็นแพคใหญ่ๆ นำกลับไปบริโภคเป็นประจำทั้งเช้า-เย็นเพราะเข้าใจว่าเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ดื่มแล้วชะลอความแก่ได้ ดื่มแล้วผิวสวย แต่คงรู้แล้วว่าดื่มแล้วไม่เห็นสวยขึ้นแต่กลับน้ำหนักขึ้นอีกต่างหาก? ส่วนเจ้าของสินค้นกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีไปแล้ว!  เครื่องดื่มชาเขียวแช่เย็นเหมาะที่จะเป็นเครื่องดื่มแก้กระหายมากกว่า เพราะถูกแต่งแต้มด้วยรสหวานและกลิ่นหอม ดื่มมากๆ จะเป็นการสะสมน้ำตาลในเลือดและยังมีคาเฟอีนไม่แตกต่างจากน้ำอัดลมและเครื่องดื่มชูกำลังทั่วไป ความจริงชาเขียวมีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ 4 ชนิดที่มีคุณค่าต่อร่างกายทุกส่วนรวมทั้งผิวพรรณ เนื่องจากสารทั้งสี่ชนิดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ผ่านขบวนการกลั่นกรองทดสอบโดยนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกแล้วว่าดีจริง มีการค้นพบว่าสารสกัดชาเขียวสามารถต้านมะเร็ง ต้านเชื้อโรคในลำไส้ใหญ่ได้ ป้องกันตับอักเสบจากสารพิษทั้งหลาย แต่เนื่องจากสารสำคัญในชาเขียวมีน้อยมากและไวต่อความร้อน ดังนั้นการจะดื่มให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ ควรที่จะดื่มชาเข้มข้นเช่นเดียวกับกาแฟเอสเปรสโซ่ ไม่ควรเติมน้ำตาลหรือนมสดหรือนมผง เพราะจะไปทำลายสารสำคัญ เครื่องดื่มคอลลาเจนเปปไทด์ กำลังฮอตมากพบทั้งในทีวีและทางอินเตอร์เน็ต มีโฆษณาว่าให้ดื่มทุกวันแล้วจะทั้งสวย หล่อ และฉลาด ความจริงคือ คอลลาเจนนับเป็นโปรตีนที่มีมากที่สุดในร่างกาย มีคุณสมบัติที่สำคัญคือไม่ละลายน้ำ แต่อุ้มน้ำได้มาก มีความแข็งแรงโดยทำงานร่วมกับอีลาสติน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้อวัยวะส่วนต่างๆ รวมทั้งผิวหนัง เมื่ออายุคนเรามากขึ้น คุณสมบัติของคอลลาเจนจะเสื่อมลงทำให้ประสิทธิภาพการอุ้มน้ำไม่ดี จะเห็นได้ชัดจากการที่ผิวหนังแห้ง เหี่ยว หย่อนคล้อย กระดูกเสื่อม เส้นเอ็นตามร่างกายและข้อต่อทั้งหลายตึงและอักเสบ นักวิทยาศาสตร์พบว่าการสกัดเอาคอลลาเจนจากสัตว์ใหญ่ เช่น หนังหมู หนังปลา กระดูกลูกวัวและกระดูกปลา หากนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์จะไม่ได้ประโยชน์ เนื่องจากโมเลกุลของคอลลาเจนมีขนาดใหญ่มาก ไม่ละลายน้ำและไม่สามารถซึมผ่านกระเพาะอาหารหรือผิวหนังคนได้ จึงได้นำคอลลาเจนจากสัตว์มาสลายด้วยขบวนการทางเคมีเพื่อให้มีโมเลกุลขนาดเล็กลงมากๆ คือ คอลลาเจนเปปไทด์ ซึ่งละลายน้ำได้ดีและสามารถซึมเข้าผ่านกระเพาะอาหารและผิวหนังได้เร็ว นักวิทยาศาสตร์หลายคณะเชื่อว่าการที่ร่างกายคนเราได้รับอาหารเสริมคือคอลลาเจนเปปไทด์ทุกวันในปริมาณมากเพียงพอ จะช่วยทดแทนคอลลาเจนธรรมชาติที่เสื่อมได้ และยังสามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ได้อีกด้วย แต่ก็ยังไม่รายงานพิสูจน์ถึงข้อบ่งชี้ดังกล่าว เนื่องจากคอลลาเจนเปปไทด์จัดเป็นสารอาหารจำพวกโปรตีนเทียบเท่ากับการรับประทานเนื้อสัตว์ เครื่องดื่มชนิดนี้จึงน่าจะเหมาะกับผู้สูงอายุหรือคนป่วยหลังพักฟื้นที่ต้องการโปรตีนสูงมากกว่า ซอยเปปไทด์ ตัวนี้ได้จากการนำน้ำนมถั่วเหลืองไปย่อยด้วยเอนไซม์ย่อยโปรตีนบางชนิด เพื่อให้ได้โปรตีนถั่วเหลืองที่มีโมเลกุลเล็กลง จะได้ถูกดูดซึมได้ง่ายขึ้นจากกระเพาะอาหาร โปรตีนจากถั่วเหลืองนับเป็นแหล่งอาหารเสริมที่สำคัญ นักวิทยาศาสตร์ให้การยอมรับว่าถั่วเหลืองให้คุณค่าทางโปรตีนที่สมบูรณ์เทียบได้กับโปรตีนจากสัตว์ นอกจากนั้นยังประกอบไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวจำนวนมาก มีรายงานการวิจัยที่พิสูจน์ได้ว่าการดื่มนมถั่วเหลืองเป็นประจำ สามารถช่วยยับยั้งการสร้างโคเลสเตอรอลภายในร่างกายได้ และลดการดูดซึมโคเลสเตอรอลจากลำไส้ได้ดี มีผลทำให้ค่าแอลดีแอล (LDL)และไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดลดลง จึงมีคุณค่าต่อผู้ที่มีความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจและผู้ที่ต้องการห่างไกลจากโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังพบว่าในน้ำนมถั่วเหลืองยังประกอบไปด้วยสารไฟโตร์เอสโตรเจน หรือฮอร์โมนเพศหญิงจากพืช สามารถทดแทนฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดน้อยลงในหญิงวัยทองได้บ้าง การดื่มเป็นประจำ จะช่วยให้หญิงวัยทองมีผิวพรรณชุ่มชื้นขึ้น ไม่แห้งตึง แต่ไม่ได้มีผลต่อความเฉลียวฉลาดแต่อย่างใด มีข้อควรระวังสำหรับการดื่มน้ำนมถั่วเหลืองหรือซอยเปปไทด์สำหรับเด็ก เนื่องจากในนมถั่วเหลืองประกอบไปด้วยสารสำคัญบางชนิดที่มีคุณสมบัติในการจับแร่ธาตุและโลหะหนัก เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก สังกะสี ฯ ดังนั้นการดื่มนมถั่วเหลืองเป็นประจำในเด็กอาจทำให้ร่างกายสูญเสียแร่ธาตุที่จำเป็นในการเจริญเติบโตของร่างกาย ส่วนในวัยสูงอายุ แร่ธาตุหรือโลหะหนักที่มีมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ การบริโภคน้ำนมถั่วเหลืองเป็นประจำ จะช่วยลดปริมาณส่วนเกินลงได้เพื่อป้องกันไม่ให้แร่ธาตุหรือโลหะหนักส่วนเกินไปเกาะตามผนังหลอดเลือด หรือเกาะตามข้อต่อของกระดูกส่วนต่างๆ ได้ Smart Drink คือกลุ่มเครื่องดื่มที่ผู้ขายต้องการประชาสัมพันธ์ว่า ดื่มแล้วจะเพิ่มความฉลาดและเก่งสำหรับวัยนักเรียนนักศึกษา เครื่องดื่มยี่ห้อดังในทีวี ซึ่งโฆษณาว่าเป็นเปปไทด์ต้นกำเนิดจากนมถั่วเหลือง (Original Soy Peptides) ความจริงก็คือน้ำนมถั่วเหลืองธรรมดา และให้คุณค่าของโปรตีนถั่วเหลืองที่กล่าวไปข้างต้น ไม่ใช่ดื่มแล้วทำให้นักเรียนนักศึกษามีไอคิวสูงขึ้น ท่องหนังสือได้มากขึ้น หรือเรียนเก่งขึ้นแต่อย่างไร นับเป็นการตลาดที่มุ่งหวังเจาะตลาดวัยนักเรียนนักศึกษาที่สังคมยุคใหม่เน้นให้ต้องทั้งสวย หล่อ และ ฉลาด อาหารเสริมที่เหมาะสมสำหรับวัยนี้และทุกวัย ควรมุ่งเน้นไปที่ปลาทะเลซึ่งมีสารโอเมก้า-3 บำรุงเซลสมองโดยตรง เช่น ปลาทู ราคาถูกและอร่อย หาซื้อง่าย เครื่องดื่มชูกำลังทั้งหลายที่มีต้นกำเนิดจากประเทศไทย ก็จัดอยู่ในหมวด Smart Drink นี้เช่นกัน ซึ่งมีองค์ประกอบเพียงเกลือแร่ น้ำตาลซูโครส และคาเฟอีน เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ขายดีมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ Beauty Drink and Health Drink เครื่องดื่มที่เน้นว่าดื่มแล้วช่วยให้สวยเร็วขึ้น บำรุงร่างกายได้รวดเร็ว ทดแทนความเครียดและความวุ่นวายในหน้าที่การงานได้ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่คอลลาเจนเปปไทด์ เจลลาตินเปปไทด์ และหรือมีส่วนผสมของวิตามินซีและวิตามินอี ลองกลับไปอ่านทบทวนประโยชน์ของคอลลาเจนที่กล่าวไปแล้วข้างต้น จะพบว่ายังไม่ข้อพิสูจน์บ่งชี้ใดๆ ว่าเป็นเรื่องจริง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 98 ดื่มชาอย่างไรให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ

สวยอย่างฉลาดรศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล : คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดลpypph@hotmail.com เครื่องดื่มประเภทน้ำชามีมาช้านานกว่า 4,700 ปี นอกเหนือจากการเป็นเครื่องดื่มแก้กระหาย แก้ง่วง ยังพบว่าสามารถแก้สารพัดโรคได้อีกด้วย เช่น ต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของร่างกาย ต้านอาการอักเสบ ต้านเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ ป้องกันตับจากสารพิษและโรคอื่นๆอีกมากมายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ อย่างไรก็ตามการที่เครื่องดื่มชาให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เนื่องจากมีองค์ประกอบของสารสำคัญในใบชาที่เรียกว่า แทนนินหรือทีโพลีฟีนอล (Tea polyphenols) สารสำคัญกลุ่มนี้พบมากในพืชเกือบทุกชนิด แต่ละชนิดอาจจะมีโครงสร้างทางเคมีที่แตกต่างกันไป สารแทนนินในใบชาสดหรือชาเขียวที่มีฤทธิ์ทางยาที่สำคัญได้แก่ สารกลุ่มที่ชื่อว่า คาเทคชินส์ (catechins) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่ามีฤทธิ์ต้านโรคภัยได้มากมายหากดื่มเป็นประจำ แต่สารสำคัญจากใบชามักจะสลายตัวได้ง่ายและรวดเร็วเมื่อสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศและความร้อน ดังนั้นเราลองมาพิจารณาดูว่าวิธีการชงชาหรือเครื่องดื่มชาแบบไหนที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด หรือแบบไหนจะได้ประโยชน์น้อยที่สุด หรือไม่ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพเลย หรือในทางตรงกันข้ามมีผลเสียต่อร่างกายก็เป็นไปได้   คำแนะนำเรื่องการดื่มชา1, สำหรับผู้ที่นิยมดื่มน้ำชาร้อนๆ สารสำคัญที่เป็นประโยชน์คือ ‘คาเทคชินส์’ จะถูกความร้อนทำลายไปเกือบหมด คงเหลือแต่ความหอมและรสชาติ ถ้าต้องการให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายแต่ยังนิยมชาร้อนๆ ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้น เช่นเดียวกับคนจีนแต้จิ๋ว ที่นิยมชงชาจีนรสเข้มข้นในถ้วยชาใบจิ๋วคล้ายกับการดื่มกาแฟเอ็กซ์เพรสโซ่ ความเข้มข้นของใบชาจะทำให้มีปริมาณสารคาเทคชินส์ที่เข้มข้น และแม้ว่าสารเหล่านี้จะสลายตัวไปบางส่วนเมื่อโดนความร้อนจากน้ำร้อน แต่จะยังคงมีบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ ที่พอจะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพได้บ้าง 2, ชาเขียวหรือสารสกัดจากใบชาสด หากนำมาเตรียมเป็นเครื่องดื่มแช่เย็น ความเย็นจะช่วยรักษาคุณค่าของสารสำคัญในใบชาไว้ได้ดี อย่างไรก็ตามหากขบวนการผลิตเครื่องดื่มชาเขียวต้องผ่านขบวนการต้มหรือทำให้ร้อนในขบวนการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ก่อนบรรจุลงในขวด ปริมาณสารสำคัญในน้ำชาก็จะถูกทำลายไปเช่นกัน 3, การดื่มน้ำชาไม่ว่าจะชาร้อนหรือชาแช่เย็น ไม่ควรแต่งรสด้วยนมทุกชนิด ไม่ว่าจะน้ำนมสด นมข้นหรือนมผง เพราะโปรตีนในนมจะไปจับกับสารสำคัญในชา และทำลายประสิทธิภาพสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย วิธีการดื่มชาเขียวให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ จึงควรดื่มน้ำชาล้วนๆ ไม่ควรปรุงแต่ง สำหรับผู้ที่ชื่นชอบชาเย็นใส่นม จะไม่ได้ประโยชน์จากชาเลย4. ผู้ที่รับประทานวิตามินเสริม เช่น ธาตุเหล็ก เกลือแร่ หรือยาที่คล้ายคลึงกัน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำชาร่วมไปด้วย เพราะสารสำคัญจากใบชาจะไปตกตะกอนธาตุเหล็กหรือเกลือแร่ไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ในกรณีที่ดื่มน้ำชาร่วมกับการรับประทานอาหาร แร่ธาตุต่างๆ จากผักใบเขียวหรือจากผลไม้ก็จะถูกสารสำคัญจากชาจับไว้หมดไม่ให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเช่นกัน 5 โทษของการดื่มชาต่อร่างกายก็มีรายงานเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสำคัญคือแทนนิน ซึ่งจะไปตกตะกอนโปรตีนและแร่ธาตุต่างๆ จากอาหารที่รับประทาน ทำให้ลดการดูดซึมของสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย ดังนั้นจึงมักจะมีคำแนะนำไม่ให้เด็กดื่มน้ำชาไม่ว่าจะเป็นชาเขียวแช่เย็นหรือชาร้อน เพราะจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้ 6,ใบชายังมีองค์ประกอบที่ให้โทษต่อร่างกายที่ยังไม่ค่อยมีคนกล่าวถึงคือ มีองค์ประกอบของฟลูออไรด์ในปริมาณที่ค่อนข้างสูง สูงกว่าปริมาณในน้ำประปา การที่ร่างกายได้รับเข้าไปทุกวันจากการดื่มน้ำชาเป็นประจำ จะเกิดการสะสม มีผลให้ไตวาย เกิดมะเร็งลำไส้ โรคกระดูกพรุน โรคข้อ และโรคอื่นๆที่เกี่ยวกับกระดูก แต่ผู้ที่ดื่มไม่มาก ก็คงไม่ต้องกังวล 7, ใบชายังมีสารที่ไม่ดีต่อสุขภาพอีก คือ สารที่ชื่อว่า ‘ออกซาเรท oxalate’ แม้ว่าสารชนิดนี้จะมีอยู่น้อย แต่หากผู้ที่ชื่นชอบการดื่มชามากๆ และดื่มบ่อยๆ เป็นประจำ จะสะสมสารออกซาเรทในร่างกายได้ สารชนิดนี้มีรายงานว่ามีผลทำลายไต 8, ใบชามีสารคาเฟอีนในปริมาณสูง อาจสูงกว่าในเมล็ดกาแฟด้วยซ้ำไป เพียงแต่การดื่มน้ำชา สารแทนนินจากน้ำชาจะป้องกันหรือลดการดูดซึมของคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ฤทธิ์การกระตุ้นหัวใจและสมองน้อยกว่ากาแฟมาก ชากับสปาจากที่กล่าวไปข้างต้น พอสรุปได้ว่า เครื่องดื่มชามีทั้งคุณและโทษต่อร่างกาย ขึ้นอยู่กับการบริโภค ถ้ามากเกินไปจะเป็นโทษได้ ส่วนผู้ที่นิยมนำสารสกัดจากชาเขียวไปทำสปา โดยการหมักบนใบหน้าและผิวหนัง ควรผสมกับน้ำเย็น ไม่ควรผสมน้ำนมเด็ดขาด เพราะจะไปทำลายคุณค่าของสารสกัดชาเขียวตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น การนำสารสกัดชาเขียวไปผสมกับอาหารอื่นๆ หากต้องนำไปทำให้ร้อน เช่น ขนมเค้ก คุณค่าชาเขียวจะหมดไป คงเหลือแต่รสชาติเท่านั้น ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการนำผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารสกัดชาเขียวไปผ่านขบวนการความร้อน เพื่อคงคุณค่าของชาเขียวต่อสุขภาพร่างกาย บทความฉบับนี้อาจทำให้ผู้บริโภคหลายคนงง เพราะเคยทราบแต่สารพัดประโยชน์ของชาเขียว แต่อ่านแล้วคงไม่ทำให้กลัวการการดื่มชา องค์ความรู้จากนักวิจัยจะช่วยให้เราระวังไม่บริโภคมากเกินไป เพราะเช่นเดียวกับทุกอย่างถ้ามากไปมักจะมีให้ผลเสียต่อร่างกายได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 180 เทรนด์ใหม่มาแรง..แย่งอาหารจิ้งหรีด

จำได้ว่าสมัยเด็กๆ  ผมเคยได้ยินผู้ใหญ่บอกว่า ถ้าอยากเสียงดี ต้องไปกินน้ำค้างที่ยอดหญ้าเหมือนจิ้งหรีด ตอนนั้นยังขำๆ กับคำพูดนี้  จนปัจจุบัน ได้มาทำงานคุ้มครองผู้บริโภค  มิคาดว่าเรื่องเล่าขานตำนานน้ำค้าง มันจะกลายมาเป็นจริง เพราะเดี๋ยวนี้มีผลิตภัณฑ์จำหน่าย โดยแจ้งว่าเป็น น้ำค้างเพื่อสุขภาพ นี่เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? ผลิตภัณฑ์ที่ผมกำลังพูดถึง มีการประกาศขาย โดยให้สั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ต ระบุว่าเป็น  “น้ำค้างบริสุทธิ์แท้” ที่รวบรวมน้ำค้างจากธรรมชาติ โดยใช้อุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นมา เพื่อใช้จับน้ำค้างโดยเฉพาะ  ทำให้ได้น้ำค้างที่มีความบริสุทธิ์และมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับน้ำค้างที่เกาะบนใบหญ้า 100%  จึงอุดมไปด้วยออกซิเจนจากธรรมชาติ และมีโครงสร้างโมเลกุลขนาดเล็กที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ  เสมือนน้ำที่บริสุทธิ์ที่สุดในธรรมชาติ ไหนๆ ก็พร่ำพรรณนากระบวนการผลิตมาขนาดนี้แล้ว เรื่องสรรพคุณคงไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนแล้ว เพราะเล่นบรรยายจะเคลิบเคลิ้มไปเลย.. ขายเด่นๆ ที่อ้าง คือการเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้กับอวัยวะต่างๆ และเกิดผลได้อย่างมหัศจรรย์ เช่น  เพิ่มให้กับสมอง(ทำให้สมองปลอดโปร่ง คลายเครียด ความจำดี และมีสมาธิมากขึ้น บรรเทาอาการปวดศีรษะ ไมเกรน และลดภาวะสมองขาดออกซิเจน) เพิ่มให้กับตับ (ทำให้ตับสามารถกำจัดสารพิษต่างๆ ในร่างกายได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันอันตรายต่อเซลล์ตับจากสารพิษต่างๆ จากอาหารเครื่องดื่มและยาที่ปนเปื้อนสารพิษ ชำระล้างของเสียที่สั่งสมมานานออกไปจากร่างกาย) เพิ่มให้กับผิวหนังและเนื้อเยื่อ(ทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้นสดใส เพิ่มการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหายเร็ว) เพิ่มปริมาณออกซิเจนธรรมชาติให้กับเลือด(ทำให้เม็ดเลือดและเกล็ดเลือดมีจำนวนมากขึ้น ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันป้องกันการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายจากภาวะขาดเลือด รักษาระดับความดันเลือดให้ปกติ) เพิ่มให้กับข้อต่อ เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อ(ทำให้ข้อต่อ เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อผ่อนคลาย ช่วยเจือจางระดับของกรดยูริก บรรเทาอาการปวดเมื่อย และอาการข้อเสื่อม) เพิ่มให้กับปอด (ป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจ หอบหืด และภูมิแพ้) ส่วนเรื่องราคาจะขายถูกเหมือนน้ำดื่มบรรจุขวดทั่วไปก็จะกระไรอยู่ น้ำค้างบริสุทธิ์นี้ ขวด 300 มิลลิลิตร ราคาขายประมาณ 120 – 144 บาท หวังว่าผู้บริโภคที่ฉลาดคงจะตัดสินใจได้นะครับว่า ผลิตภัณฑ์นี้มันมีสรรพคุณมหัศจรรย์พันลึกได้อย่างที่ว่าหรือเปล่า ยังไงก็ฝากเตือนๆ เพื่อนฝูงด้วยนะครับ “ การดื่มน้ำสะอาดเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าน้ำสะอาด แต่ดันโอ้อวดเกินจริง ถึงไม่ตาย ก็อาจเสียเงินเกินเหตุได้นะครับ”

อ่านเพิ่มเติม >